Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 900-905

 GGS:บทที่ 900 กลิ่นที่คุ้นเคย


 


เสี่ยวรุย เตียนจงยี่ เจ้าของร้านอาหาร พนักงาน และแขกที่ยังคงเหลืออยู่ในร้าน ในตอนนี้อดใจไม่ได้ที่จะมาออกันที่หน้าห้องครัว


ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นกลายเป็นสุดยอดเชฟในตำนานแห่งเมืองฉิงหยุน แชมป์เปี้ยนแห่งการแข่งขัน”สุดยอดพ่อครัวอาหารจีน” ครั้งที่หนึ่งกำลังลงมือทำอาหารอยู่ตรงหน้า มีหรือที่พวกเขาจะพลาดโอกาสนี้ไปกันได้


เมื่อพวกเขานั้นได้เห็นฉากการทำอาหารนี้ ต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด ภาพที่ปรากฎตรงหน้าพวกเขานั้นราวกับว่าซูจิ้งนั้นมีสี่มือสี่แขนกันเลยทีเดียว


ไม่แค่นั้น พวกเขายังได้เห็นซูจิ้งนั้นใช้มีดที่อยู่ในมือได้อย่างพลิ้วไหวราวกับกำลังร่ายรำกระบี่ ไม่ว่าจะเป็น ปลา เนื้อ หรือผัก ที่ผ่านกระบวนการนี้ ก็ดูดีราวกับกำลังสร้างผลงานศิลป์จากอาหารเลยทีเดียว


บนเตาไฟที่มีหม้อวางอยู่นั้น เปลวไฟก็ได้พวยพุ่งราวกับราวกับมังกรเพลิงและหงส์ไฟร่ายรำใส่กันยิ่งทำให้ทุกคนนั้นตื่นเต้นเป็นการใหญ่


หลายๆคนเองที่เพียงแค่ได้ยินตำนานของซูจิ้งที่มีคนถ่ายวิดีโออัพขึ้นโลกอินเทอร์เน็ตเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นวิดีโอพวกนั้นก็ยังต้องเคยได้ยินตำนานของซูจิ้งแว่วมาให้ได้ยินอยู่บ้าง เหนือสิ่งอื่นใดแล้ววันนี้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาแล้วอย่างแน่นอน


“ที่ว่าเขาทำอาหารได้ราวกับใช้เวทมนต์นี่เป็นเรื่องจริงสินะ”


“ช่างน่ามหัศจรรย์พันลึกจริงๆ นี่เขาลงมีดได้ขนาดนี้ได้ยังไงกันทั้งๆที่ยังหนุ่มยังแน่นอยู่เลย”


“เพียงแค่มองก็ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีแล้ว”


“อาหารของเราเสร็จแล้ว จะกินกันเลยรึเปล่า”


“นายยังมีอารมณ์กินอีกเหรอ มองในครัวเพื่อเรียนรู้จากพระเจ้าโรงครัวก่อนดีกว่ามั้ง ฉันบอกได้เลยว่าแค่มองเฉยๆก็ได้อะไรหลายอย่างแล้ว”


 


“ก็จริงนะ ใครจะไปรู้ว่านายเองก็อาจได้เทคนิคขั้นเทพติดไว้สักอย่างสองอย่างก็ได้”


“กลิ่นหอมนี่มัน ช่างน่าอร่อยจริงๆ นี่แค่เพียงกลิ่นจากตอนทำนะ”


“แค่ฉันมองก็น้ำลายไหลแล้วเนี่ย”


“เดี๋ยวนะ นั่นเขาทำอาหารจานปลาแบบไหนกัน นอกจากกลิ่นปลาแล้วฉันยังได้กลิ่นอย่างอื่นด้วย มันช่างเป็นกลิ่นที่แตกต่างเหลือเกิน”


“ฉันว่าน่าจะเป็นกลิ่นข้าวนะ”


“เป็นไปได้ยังไง จะมีข้าวที่ไหนกลิ่นหอมขนาดนี้ได้กัน”


 


“นายมาลองยืนตรงนี้สิ นายจะเห็นไอน้ำที่ลอยออกมาจากหม้อหุงข้าวเลย กลิ่นมันลอยมาทางนี้จริงๆนะ แถมกลิ่นมันหอมจนรู้เลยว่าอร่อยแน่นอน”


“ไหนขอลองดมหน่อยสิว่ามันจะกลิ่นหอมขนาดไหนกัน”


ทุกคนต่างก็ประหลาดใจกันไปหมด พวกเขานั้นจะไม่รู้สึกประหลาดใจเลยถ้ากลิ่นนี้มาจากการทำอาหารของซูจิ้ง แต่กลิ่นหอมหวนที่แฝงมากับกลิ่นกับข้าวนี้กลับเป็นกลิ่นของข้าวที่เพียงหุงอย่างเดียวเท่านั้น มันหอมซะจนไปเขย่าหัวใจของเขาเลยก็ว่าได้


“พี่สามนั้นมีฝีมือการทำอาหารที่สุดยอดไม่เสื่อมคลายเลยจริงๆ มีคนบอกมาว่าจะคว้าใจผู้หญิงให้ได้นั้นอย่างแรกต้องคว้าท้องของเธอเอาไว้ให้ได้ก่อน ต้องเป็นอย่างนี้เองสินะ ฉันได้เรียนรู้แล้วจริงๆ” เสี่ยวรุยคิดออกมาในขณะที่กำลังดื่มด่ำไปกับกลิ่นอาหารที่เย้ายวน


 


กลิ่นหอมของข้าวที่หุงนี้เองก็ถือได้ว่าเป็นฝีมือการทำอาหารอย่างหนึ่งของซูจิ้งได้เช่นเดียวกัน เตียนจงยี่และหนุ่มหน้าตาดีที่ตามมานั้นต่างก็คิดถึงสิ่งที่ซูจิ้งต้องการให้พวกเขาปลูก หรือก็คือ ข้าวสีน้ำเงิน นั่นเอง


เตียนจงยี่นั้นได้พุ่งไปยังหน้าหม้อหุงข้าวที่กำลังเดือดอยู่ในตอนนี้ เขาได้ทำการสูดลมหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะทำการใช้ช้อนตักข้าวขึ้นมานิดหน่อยและชิมมันดู หลังจากนั้นเขาก็ชิมข้าวอย่างไม่หยุดปาก


“พระเจ้า อร่อยมาก คุณซู นี่คือข้าวสีน้ำเงินที่คุณพูดมาก่อนหน้านี้อย่างนั้นเหรอครับ”


“ใช้แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้าในขณะกำลังทำกับข้าว


“ในนี้มีอะไรมั่งน่ะ” เตียนจงยี่ถามออกมา


“อืมมมมม ก็มีข้าวกับน้ำนะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


“ผมหมายถึงพวกเครื่องปรุงอะไรพวกนั้นครับ”


“แน่นอนว่าไม่มี”


“ข้าวสีน้ำเงินนี่คือสุดยอดแห่งข้าวเลย” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


เขารู้ในทันทีเลยว่าข้าวชนิดนี้ต้องได้รับความนิยมอย่างมากเกินกว่าที่เขาจะสามารถคาดคะเนได้อย่างแน่นอน แค่เพียงกลิ่นหอมของมันก็ทำให้คนที่ได้กลิ่นต้องน้ำลายสอกันหมดแล้ว เอาจริงนี่สมควรจะบอกได้ว่าหอมเกินกว่าข้าวชนิดไหนบนโลกเลยก็ว่าได้


“ข้าวสีน้ำเงินคืออะไรน่ะ” เสี่ยวรุยที่ได้ยินดังนั้นก็ถามออกมา แม้แต่คนอื่นที่ได้ยินต่างก็งงไม่แพ้กัน


“เป็นข้าวสาวพันธุ์ใหม่ที่คุณซูพัฒนาขึ้นมาน่ะ” เตียนจงยี่กลัวว่าซูจิ้งจะไม่มีสมาธิในการทำจึงได้อธิบายด้วยน้ำเสียงเบา


เพียงสิ้นประโยคนี้เสี่ยวรุยทำได้เพียงจ้องซูจิ้งนิ่งๆในขณะที่ปากของเขาเอ่อล้นไปด้วยน้ำลาย เขาบอกได้ในทันทีเลยว่ายิ่งซูจิ้งมีของใหม่เท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นของที่ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน


 


ซูจิ้งยังคงทำอาหารอย่างต่อเนื่อง กลิ่นของข้าวและผักที่ซูจิ้งใช้ทำอะไรลอยฟุ้งไปทั่วจนออกไปนอกร้าน จนข้ามถนนฝั่งตรงข้ามร้านไปถึงร้านสุกี้


ที่นั่น ผู้จัดการร้านที่เป็นชายวัยกลางคนหน้าทรงจีนแท้ๆกำลังนั่งเซ็งที่วันนี้ไม่ค่อยมีคนเข้าร้าน เขาเริ่มสังเกตุเห็นว่าลูกค้านั้นเดินเข้ามาในร้านและออกไปในทันทีโดยไม่สั่งอะไรเลยสักนิด


เมื่อเห็นท่าทางของพวกนั้นแล้วเขาเลยเดินออกมาดูก็พบว่าลูกค้าได้ตรงไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามที่ซูจิ้งกำลังทำอาหารอยู่


“ทำไมวันนี้ลูกค้าของร้านฝั่งตรงข้ามเยอะจังแหะ เดี๋ยวนี้ยังมีคนกินอาหารกับร้านตามใจแบบนั้นอีกรึไง นี่พวกนั้นมั่นใจในฝีมือตัวเองขนาดนั้นเลยเหรอ” ผู้จัดการร้านสุกี้บ่นพลางถอนหายใจออกมา


“หัวหน้าครับ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะทำกันเองหรอก ผมได้ยินมาว่ามีคนดังมาทำกับข้าวกินที่ร้านน่ะ” บริกรชายคนหนึ่งพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


“คนดัง?” เจ้าของร้านหน้าจีนแท้ๆคนนั้นได้ยินถึงกับงงในทันที


“ซูจิ้งที่เป็นแชมป์เปี้ยนรายการแข่งขันสุดยอดพ่อครัวอาหารจีนคนนั้นไงครับ” บริกรอีกคนรึบพูดออกมาด้วยท่าทีอยากจะไปดูด้วยสายตาตัวเองเลยทีเดียว


“เขาก็แค่มาทำอาหารที่ร้านเท่านั้นเองนี่ไม่เห็นจะแปลก พวกแกก็อย่าไปสนใจให้มันมากนักเลยน่า เขาอาจจะมีฝีมือสูงก็จริงถึงได้ชนะการแข่งขันมาได้


แต่ยังไงซะมันก็แค่การแสดงล่ะน่า เขาต้องมีเทคนิคบางอย่างที่ทำให้อาหารดีขึ้น แค่นั้นทำเป็นตื่นเต้น เฮ้อ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆบ่นออกมา


“คร้าบ คร้าบ ผู้จัดการคือที่สุดแห่งพ่อครัวคร้าบ” บริกรอีกคนหนึ่งพูดออกมาจนทำให้คนอื่นหมั่นไส้ ร้านนี้เป็นร้านเล็ก และผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆคนนี้เองก็ไม่ใช่เพียงผู้จัดการร้านแต่ยังเป็นหนึ่งในพ่อครัวอีกด้วย


เขานั้นมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเองไม่น้อย หากเทียบกับคนปกติแล้วยังไงซะก็ถือว่าดีกว่ามาก แต่หากเทียบกับแชมป์เปี้ยนการแข่งแล้วยังไงก็เทียบกันได้ยากอยู่ดี


 


“แค้ก อ่ะแฮ่ม ฉันไม่ได้หมายความว่าฝีมือฉันดีกว่าหรอกนะ” ผู้จัดการหน้าตาจีนแท้ๆยิ้มออกมาอย่างเขินๆ ก่อนที่เขาจะพูดออกมาด้วยท่าทีลึกซึ้งว่า


“ถึงฉันจะพูดไปแบบนั้นนะแต่ฉันก็รู้ว่าสุดยอดฝีมือทำอาหารที่แท้จริงเป็นแบบไหน อย่าหาว่าฉันโม้เลยน่า ตอนที่ฉันกลับไปพักอยู่บ้านฉันเคยได้กลิ่นข้าวและกับข้าวที่สามารถรอบโชยมาจากที่ไกลๆเลยนะ นอกจากมันจะไม่รบกวนอะไรแล้วฉันยังบอกได้เลยว่ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของข้าวที่หอมหวนที่สุดในชีวิตฉันเลย ต่อให้เป็นข้าวที่ดีที่สุดที่ฉันเคยกินก็ตามยังไม่หอมขนาดนั้น คนที่หุงข้าวได้ดีขนาดนั้นย่อมแน่นอนว่าเป็นคนมีฝีมืออย่างมาก


 


ต่อให้ฉันไม่ได้กินแต่ก็ขอบอกได้เลยว่าข้าวและกับข้าวของคนๆนั้นต้องอร่อยแบบสุดๆอย่างแน่นอน แม้แต่ซูจิ้งที่เป็นแชมป์อะไรนั่นก็ยังสู้ไม่ได้”


“จริงหรอ แล้วอาหารนั้นใครทำกันล่ะครับ?” ทุกคนที่ได้ยินแบบนั้นก็เริ่มสงสัยเพราะว่าผู้จัดการของเขานั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในยอดฝีมือก็ว่าได้ อาหารที่ทำให้เขาพูดออกมาแบบนี้ได้คนทำย่อมฝีมือไม่ธรรมดา


“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันเนี่ยว่าใครทำ เอาจริงๆเลยนะ ฉันน่ะได้แต่กลิ่นจางๆเท่านั้นเอง ฉันลองพยายามหาต้นกลิ่นแล้วแต่ว่ามันกระจายมาทั่วมากๆจนหาต้นกลิ่นไม่ได้ ไม่อย่างนั้นฉันคงไปขอเป็นลูกศิษย์คนนั้นแล้ว” ผู้จัดการหน้าจีนคนนั้นพูดออกมาด้วยความซาบซึ้งตรึงใจพลางนึกถึงกลิ่นอันหอมหวนในวันนั้น


 


“ไม่ใช่ว่าบ้านของนายอยู่ใกล้กับโรงเรียนมัธยมต้นที่ 1 หรอกหรอ ฝีมือของซูจิ้งคนนั้นเองก็เป็นที่เลื่องลือในแถบนั้นนะ ทำไมนายไม่ลองถามเขาดูล่ะเพื่อจะเจอ” คนที่อยู่แถวๆนั้นที่เคยได้ยินผู้จัดการคุยฟุ้งอยู่ เขาได้ตามกลิ่นข้าวมาเมื่อได้ยินผู้จัดการพูดจึงได้แซวเล็กน้อยก่อนที่จะตามกลิ่นข้าวราวกับหมากำลังดมหากลิ่นคน


 


ทันใดนั้นอยู่ๆลมถึงพัดอยู่ด้านนอกร้านก็ได้ตีกลับมา พัดเข้ามาในร้านซู่หนึ่ง ในตอนนั้นเองก็ได้มีกลิ่นบางอย่างรอยมาเตะจมูกของทุกคนในร้านจนอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจไปเฮือกใหญ่ ทันใดนั้นเองผู้จัดการหน้าตาจีนแท้ๆก็ถึงกับจ้องไปร้านฝั่งตรงข้ามตาเขม็ง เขายืนขึ้น และได้เดินไปร้านฝั่งตรงข้ามโดยไม่ใยดีต่อสิ่งใด


GGS:บทที่ 901 ตายตาหลับ


 


“โคตรหอม” พนักงานคนหนึ่งที่อยู่ในร้านพูดออกมาด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใน ต่อให้กลิ่นของสุกี้ที่พวกเขาขายกันอยู่นั้นจะตลบอบอวลอยู่ในร้านอยู่แล้ว


แต่พวกเขาก็ยังได้กลิ่นหอมหวนที่ลอยมาตามลมได้อย่างชัดเจน กลิ่นหอมหวนชวนอร่อยที่ชวนหิวยิ่งกว่ากลิ่นสุกี้ในร้านเสียอีก


 


“ซูจิ้งคนนี้ฝีมือสมคำล่ำลือจริง ไม่แปลกใจเลยที่เขาได้รับความนิยมขนาดนี้”


“เพียงแค่กลิ่นอาหารที่ทำจากฝีมือของเขานั้นก็ดึงดูดผู้คนได้มากมายขนาดนี้แล้ว ฉันว่าอาหารที่เขาทำต้องน่ากินแน่ๆเลย”


“ไม่ใช่แค่กินอาหารนะ กลิ่นข้าวที่เขาทำเองก็หอมมากๆเลย ฉันว่าข้าวที่เขาหุงนี่ต้องสุดยอดแน่นอน”


“ผู้จัดการครับ ระหว่างกลิ่นนี้กับกลิ่นที่ผู้จัดการพูดถึงนี่กลิ่นไหนหอมกว่ากันครับ”


 


เมื่อเหล่าพนักงานในร้านไม่ได้ยินเสียงคำตอบของผู้จัดการของพวกเขาจึงได้หันกลับไปดูที่ๆผู้จัดการของเขายืนอยู่ก่อนหน้านี้


แต่ทุกคนต่างก็เห็นผู้จัดการของเขานิ่งอึ้งไป สายตาของเขาจ้องเขม็งไปยังฝั่งตรงข้ามราวกับได้เห็นคนรักที่หายสาบสูญไปมาอยู่ตรงหน้า


ก่อนที่ใครจะตั้งตัวได้ ชายหน้าจีนคนนั้นได้พุ่งตรงไปยังร้านอาหารฝั่งตรงข้ามในทันทีโดยไม่สนรถราที่วิ่งกันขวักไขว่เลยสักนิด ภาพนี้ทำให้เหล่าพนักงานในร้านต่างตกตะลึงและมองหน้ากันก่อนที่จะมีบริกรสองคนรีบตามออกไปในทันทีที่ตั้งสติได้


 


ทันทีที่ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆคนนั้นได้เข้ามาในร้านเขาก็ตกตะลึง ฉากที่เขาเห็นก็คือซูจิ้งนั้นกำลังทำกับข้าวอยู่แต่การทำกับข้าวของเขานั้นราวกับกำลังเล่นอยู่กับมังกรเพลิงและนกไฟที่ลอยไสวสยายปีกราวกับเล่นอยู่กับซูจิ้งก็ไม่ปาน


ผู้จัดการคนนั้นพลางนึกในใจว่านี่น่ะนะการทำอาหาร นี่มันเวทย์มนต์ชัดๆ กลายเป็นว่าภาพที่เขาเห็นนั้นไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไรเลยสักนิด มันเป็นของจริง เขาดมกลิ่นลึกๆอีกครั้ง คราวนี้น้ำลายของเขาไหลย้อยออกมาที่มุมปากพลางพูดออกมาว่า “กลิ่นนี้มัน เป็นไปได้ไง”


 


“เกิดอะไรขึ้นครับผู้จัดการ กลิ่นนี้มันไม่ดีเหรอ” บริการชายกับหญิงที่ตามมาเพราะเป็นห่วงได้ถามออกมา


“ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่กลิ่นมันเหมือนกับกลิ่นที่ฉันเล่าให้ฟังไงว่าได้กลิ่นสุดยอดอาหารตอนฉันกลับไปบ้านน่ะ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆแสดงใบหน้าตกตะลึงในขณะจ้องมองไปที่ซูจิ้งตาไม่กระพริบ


 


เขาเองก็ไม่อยากยอมรับในฝีมือของซูจิ้งเลยสักนิด และแทบจะไม่เชื่อเลยว่าซูจิ้งนั้นคือคนที่ทำสุดยอดอาหารที่เขาได้กลิ่นในวันนั้น ขนาดเขาเห็นการทำอาหารของซูจิ้งอยู่ตรงหน้าและกลิ่นที่ลอยออกมาจากอาหารของซูจิ้งขนาดนี้แล้วก็ตาม


“เหมือนกันอย่างกับแกะ นี่ผู้จัดการจะบอกว่าฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งอยู่ในระดับปรมาจารย์อย่างนั้นหรอ” บริกรชายที่ตามมานั้นพูดออกมา


“เดี๋ยวนะ บ้านของผู้จัดการอยู่ใกล้โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุนนี่นา ฉันจำได้ว่าพ่อแม่ของซูจิ้งเป็นครูอยู่ที่นั่นและอาศัยอยู่ในห้องเช่าที่อยู่แถวธนาคารต้าเฉิงนะ


 


ฉันว่าเขาคงไปทำกับข้าวให้ที่บ้านกินแน่ๆ กลิ่นข้าวสวยที่คุณได้กลิ่นในวันนั้นก็น่าจะเป็นเขาเองที่ทำ” บริกรหญิงพูดออกมา


“จะเป็นไปได้ยังไงกัน ธนาคารต้าเฉิงอยู่ห่างจากบ้านฉันหนึ่งกิโลเมตรเลยนะ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆพูดออกมาด้วยความตกตะลึง


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันนั้น ซูจิ้งก็ได้ทำอาหารจานสุดท้ายเสร็จเรียบร้อยและข้าวเองก็สุกได้ที่พอดีราวกับว่าซูจิ้งกะเวลาเอาไว้แล้ว


พนักงานของร้านอาหารที่ช่วยซูจิ้งนำอาหารมาจัดเรียงบนโต๊ะนั้นอดไม่ได้ที่จะต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึกใหญ่ๆในขณะที่ยก


นั่นก็เพราะว่ากลิ่นอันหอมหวนที่ลอยมาแตะจมูกอยู่ตลอดเวลาแต่เขากลับไม่สามารถจะกินได้ นี่ช่างเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะทรมานเลยจริงๆ


อีกทั้งข้าวสีน้ำเงินของซูจิ้งที่หุงขึ้นหม้อดีแล้วนะช่างสวยใสราวกับเม็ดหยกก็ไม่ปาน เพียงแค่เห็นก็ทำให้ท้องของเหล่าพนักงานร้องลั่นเลยทีเดียว


 


เตียนจงยี่ได้ตักข้าวเข้าปากไปในทันทีที่จานข้าวมาเสริฟอยู่ตรงหน้าโดยไม่ได้สนใจกับข้าวแต่อย่างใด เพียงเขากินเข้าไปคำแรกและเคี้ยวไปเพียงสองสามคำ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า


“อาหย่อย ยะเจ้า อึ๊ก ข้าวนี้อร่อยโคตร สุดยอดข้าวเลยแท้ๆ นี่ผมสามารถข้าวเปล่าๆได้สองสามชามเลยนะเนี่ย”


“มันอร่อยจริงๆนะพี่สาม พี่ต้องเพาะพันธุ์ข้าวนี้ให้มากๆเลยนะ ข้าวนี้สุดยอดจริงๆ” เสี่ยวรุยพูดออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันด้วยความตื่นเต้น


นอกจากเรื่องรสชาติแล้ว ทั้งคู่ยังรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของข้าวนี่อีกอย่างนั่นก็คือหลังจากที่สองกินข้าวเข้าไปแล้ว พวกเขารู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่กำลังแพร่กระจายอาจจากท้องของตนเองจนลามไปทั่วร่างกายจนทำให้ร่างกายรู้สึกสบายและกระปรี้กระเปร่า


 


“ผมรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและความสดชื่นที่แพร่ซ่านไปทั่วร่างกายได้เลยนะ นี่ผมคิดไปเองรึเปล่า” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยท่าทางแปลกๆ


“ผมเองก็รู้สึกแบบนั้นนะ”


“ข้าวนี่ส่งผลดีต่อร่างกายน่ะ ดีๆพอๆกับโสมเลยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“ห้ะ” เตียนจองยี่และเสี่ยวรุยได้อุทานออกมาพร้อมกัน แม้แต่คนที่มุงดูอยู่รอบๆเพียงได้ยินก็ทำตาโตในทันที พวกเขานั้นตามกลิ่นมาที่นี่เพราะอยากเห็นว่าอาหารอะไรที่กลิ่นหอมหวนได้ขนาดนี้


ในขณะที่กำลังดื่มด่ำกลับกลิ่นอยู่นั้นกลับได้ยินเรื่องที่ไม่คาดฝันไปซะได้ จะเป็นไปได้ยังไงเพียงแค่ข้าวเนี่ยนะจะมีสารอาหารมากยิ่งกว่าโสม


“คุณซู เดี๋ยวเรามาคุยกันเรื่องนี้อีกทีหลังกินเสร็จแล้วดีกว่าครับ” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น เขารู้ดีกว่าใครว่าซูจิ้งนั้นไม่เคยโกหกเลยสักครั้งเดียว หากเขาพูดอะไรออกมาย่อมเป็นตามคำพูดของเขาจริงๆ


ข้าวสีน้ำเงินนี้นอกจากอร่อยแล้วยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารที่ยากจะหยั่งถึง ช่างเป็นพันธุ์ข้าวที่สุดยอดจริงๆ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ให้ความสนใจข้าวนี้เป็นพิเศษ


และเขาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อยที่ได้รับเพียงส่วนแบ่งเพียงสิบเปอร์เซนต์ นั่นก็เพราะว่าราคาที่ขายข้าวนี้นั้นสมควรจะมากกว่าข้าวธรรมดานับสิบเท่าร้อยเท่าอย่างแน่นอน ข้าวนี้สมควรได้รับความนิยมอย่างสูง


 


“คุณซู ผมขอเสียมารยาทที่พูดแทรกครับ อะไรคือข้าวสีน้ำเงินอย่างนั้นหรือครับ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆคนนั้นอยากรู้จนต้องขอแทรกถามออกมา


“อ๋อไม่มีอะไรมากหรอกครับ ก็แค่ข้าวพันธุ์ใหม่ที่ผมเพาะพันธุ์ขึ้นมาน่ะ” ซูจิ้งตอบกลับมาอย่างสุภาพ


“นี่แสดงว่ามีเพียงคุณที่มีข้าวนี้หรือครับ” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆถามออกมาด้วยเสียงล่ะห้อย


“ก็แค่ตอนนี้แหล่ะครับ ผมกำลังวางแผนที่จะผลิตจนพอขายได้อยู่น่ะ เมื่อถึงเวลานั้นคุณอยากจะลองกินดูค่อยซื้อเอาละกัน ผมว่าน่าจะอีกไม่กี่เดือนหรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมา


“ขอถามอีกข้อครับ เมื่อไม่กี่วันก่อนคุณได้ไปทำอาหารกลางวันแถวๆโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุนรึเปล่า” ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆถามออกมาอย่างสงสัย


 


“ใช่ครับ” ซูจิ้งหันกลับไปมองชายวัยกลางคนหน้าตาจีนแท้ๆที่อยู่ตรงหน้าอย่างสงสัย เขามองเพื่อดูว่าคนตรงหน้านั้นต้องการอะไรกันแน่


“เป็นคุณเองจริงๆสินะที่ทำให้เกิดกลิ่นหอมหวนชวนหิวข้าวในตอนนั้น” ชายหน้าจีนพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นจนเห็นได้ชัด


“ฮ่าฮ่า แสดงว่าคุณเองก็มีโอกาสได้อยู่แถวนั้นด้วยสินะ ไม่แปลกใจเลยจริงๆ วันนั้นเป็นวันแรกที่ผมลองหุงข้าวสีน้ำเงินด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้าเป็นครั้งแรกน่ะ ขนาดเด็กยังทำได้ง่ายๆเลยนะ ไม่ต้องอาศัยฝีมือทำกับข้าวอะไรเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“นั่น…” ตอนนี้ชายหน้าจีนแท้ๆได้มองไปยังข้าวสีน้ำเงินที่กำลังแผ่หลาอยู่ในจานข้าวจนต้องกลืนน้ำลายไปหลายอึก เขาเองก็อยากจะลองกินสักคำแต่ก็อายเกินกว่าที่จะเอ่ยปากขอ


 


“ลองดูสักคำก็ได้ครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาได้หยิบชามเปล่าขึ้นมาและเติมข้าวสีน้ำเงินไปจนเต็มชาม


ชายหน้าจีนแท้ๆถึงกับโก้งโค้งรับด้วยความเกรงใจ ด้วยกลิ่นอันเย้ายวนของข้าวสีน้ำเงินที่อยู่ตรงหน้าทำให้ศักดิ์ศรีของเขานั้นปลิวหายไปในทันที


 


ชายหน้าจีนได้ตักข้าวเปล่าเข้าปากจนเต็มแก้มสองข้าง เขาเคี้ยวข้าวพลางทำดวงตาที่สื่อถึงความรู้สึกอึ้งและทึ่งอยู่ ทุกๆคำที่เขาเคี้ยวนั้นรู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ของข้าวแต่ละเม็ด


ด้วยท่าทางของเขาในตอนนี้ทำให้ทุกคนต่างอิจฉา แม้แต่ลูกน้องของเขาที่วิ่งตามมาก็ยังอิจฉาจนน้ำตาไหลริน


ชายหน้าจีนแท้ๆได้เขมือบข้าวลงไปอย่างรวดเร็วก่อนที่จะวางและตะเกียบอย่างเป็นระเบียบ และโค้งพร้อมยื่นชามข้าวคืนอย่างสุภาพและพูดกับซูจิ้งว่า


 


“คุณซู ก่อนหน้านี้ผมได้กล่าววาจาดูถูกฝีมือการทำอาหารของคุณไปต้องขอโทษด้วย เป็นผมเองที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง อาหารมื้อนี้อร่อยมากจริงๆ อร่อยที่สุดในชีวิตนี้ของผมเลย ความสามารถของคุณนั้นสุดยอดจริงๆ”


ชายหน้าจีนคนนี้ได้รู้สึกโดยหัวใจเลยทีเดียว ความรู้สึกของเขาไม่ใช่ความรู้สึกในเชิงตกใจ แต่เป็นความรู้สึกอร่อยจนประทับใจเสียมากกว่า


ด้วยฝีมือการทำอาหารแต่ละอย่างของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นสุดยอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้าวสีน้ำเงินนี้เลยที่อร่อยสุดๆทั้งๆที่ไม่ต้องกินกับอะไรก็อร่อย แต่เมื่อกินด้วยไปแล้วก็อร่อยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จนตราตรึงในใจของเขาแล้วจริงๆ ในขณะเดียวกันนั้นชายหน้าจีนก็ได้รู้สึกละอายในสิ่งที่ตัวเองทำก่อนหน้าทันทีที่ทุกอย่างเสร็จสิ้นลง


GGS:บทที่ 902 นายอยากจะสูงอีกสักหน่อยไม๊


 


“คุณซู คุณไปเรียนวิธีการทำอาหารแบบนี้มาจากไหนกัน” ชายหน้าจีนคนนั้นได้พูดคำถามที่ข้างคาใจออกมา


“ขอโทษครับ เรื่องนี้ผมบอกไม่ได้จริงๆ” ซูจิ้งยกมือขึ้นเชิงห้ามบ่งบอกถึงการปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้


เหตุหนึ่งนั้นคือเขานั้นไม่สนใจที่จะถ่ายทอดวิชาการทำอาหารนี้ให้กับใคร


อีกหนึ่งเป็นเพราะว่าเขานั้นมีฝีมือเหล่านี้โดยเรียนรู้มาจากตำราทำอาหารของห้วงเวลาฯDesolate Era นั่นหมายความว่าวิชาทำอาหารเหล่านี้เป็นหนึ่งในวิชายุทธ์และแน่นอนว่าคนทั่วไปไม่อาจเรียนรู้ได้โดยง่าย


ชายหน้าจีนเองก็ทำหน้าเสียใจในทันทีแต่เรื่องนี้เขาเองก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว เหตุผลนั่นก็เพราะว่าคนๆนี้นอกจากจะเป็นดาราดังแล้วเขานั้นยังเป็นนักธุรกิจใหญ่


 


แน่นอนว่าคนธรรมดาแบบเขานั้นจะไปขอให้คนที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาสอนการทำอาหารให้ถ้ารับเขาในทันทีก็คงแปลกดีพิลึก นั่นก็เพราะว่าการที่ใครสักคนจะเรียนเรื่องพวกนี้ได้นั้นอย่างต่ำคงต้องเสียเวลาเป็นสิบปีอย่างแน่นอน


ชายหน้าจีนได้ทำการตัดใจและเดินจากไปเพราะเขาเองก็ยังมีภาระในการจัดการร้านสุกี้ของเขาอยู่เช่นเดียวกัน หลังจากที่เขาเดินจากไป


ลูกน้องอีกสองคนของเขาเองก็ได้ตามเขาออกไปด้วยเช่นกันพลางหันไปมองอาหารอันโอชะที่อยู่ตรงหน้าเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะตัดใจหันหน้ากลับไปทางร้านของตน


ราวกับหญิงสาวที่ต้องตัดใจจากคนรักที่ยากจะตัดเยื่อใยได้อย่างง่ายๆแต่ต่อหน้าพ่อ(ผู้จัดการหน้าจีนแท้ๆ)ที่มองด้วยสายตาดุดันจึงต้องเดินจากไป


 


คนอื่นๆที่อยู่รอบๆในตอนนี้เมื่อเห็นฉากดังกล่าวแล้วก็เริ่มรู้สึกตัวเหมือนกันว่าไม่ควรเสียมารยาทมายืมล้อมโต๊ะคนอื่นในเวลากิน


พวกเขาจึงทำได้เพียงตัดใจกลับไปนั่งจมจ่อมกับอาหารที่ตัวเองได้สั่งเอาไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตาม ภาพของเทพเจ้าโรงครัวที่พวกเขาได้เห็นก่อนหน้านี้นั้นจะไม่จางหายไปจากใจของพวกเขาอย่างแน่นอน


ต่อให้พวกเขานั้นไม่สามารถเรียนรู้ว่าซูจิ้งใช้วิธีไหนในการปรุงอาหาร แต่อย่างน้อยๆพวกเขาก็รู้แล้วว่าฝีมือของเขานั้นคือของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย


เตียนจงยี่ เสี่ยวรุย และชายหน้าหล่อนั้นยังคงสวาปามอาหารของซูจิ้งราวกับผีหิวโซ หลังจากกินไปได้สักพักจนทุกอย่างไม่เหลือหลอ แม้แต่น้ำในจานกับข้าวก็ยังไม่เหลือ


ทุกคนในตอนนี้ได้นั่งผ่อนคลายตัวเองอยู่บนเก้าอี้นิ่งๆไม่ไหวติงไปไหน


“กินจนจุกแบบนี้ไม่ดีต่อร่างกายเลยนะ คราวหน้าคราวหลังก็เพลาๆเรื่องการกินหน่อยก็ดีนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า


 


“พี่สาม พี่ทำอาหารยังไงถึงได้อร่อยขนาดนี้เนี่ย” เสี่ยวรุยพูดออกมา


“อาหารอร่อยแบบนี้หากินไม่ได้นี่ครับ ต้องกินให้พุงกางก็ไม่แปลกเลยนะ” เตียนจงยี่พูดออกมาพลางหัวเราะลั่น


“เอาล่ะ นายคงรู้แล้วสินะว่าข้าวสีน้ำเงินของฉันมันมีค่ามากขนาดไหน นายคิดว่ารอบแรกเราควรปลูกเท่าไหร่ดีล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“แน่นอนว่าต้องมากที่สุดเท่าที่จะมากได้สิครับ แถมตอนนี้ฤดูปลูกข้าวเองก็ยังไม่ผ่านพ้นไปเลย ผมว่าอย่างน้อยถ้าเราเริ่มในตอนนี้ผมคำนวนว่าเรานั้นจะได้ข้าวตอนสิ้นปีพอดีหากเราทำได้เร็วพอ” เตียนจงยี่พูดเรื่องการปลูกข้าวนี้ออกมาด้วยความตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด


 


เขามั่นใจได้เลยว่าเมื่อข้าวนี้ออกวางตลอดเมื่อไหร่จะต้องกลายเป็นเจ้าตลาดในทันที ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากปลูกเป็นลอตใหญ่แล้ว แน่นอนว่าเขาเองในฐานะหุ้นส่วนย่อมสามารถกินข้าวนี้ได้ทุกวันโดยไม่ต้องไปแย่งใครกิน


 


“ไม่ต้องห่วงเรื่องสภาพอากาศหรอก ข้าวสีน้ำเงินของฉันนั้นมีความทนทานมากกว่าข้าวทั่วไป ต่อให้หนาวจนเย็นยะเยือกก็ยังอยู่ได้ แน่นอนว่าปีหนึ่งปีหนึ่งเราสามารถปลูกข้าวนี่ได้หลายรอบเลยทีเดียว


ส่วนจะมากแค่ไหนนั้นขึ้นกับเราล่ะว่าเราจะมีแปลงปลูก ต้นพันธุ์ และจัดการการปลูกได้ดีมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าปัญหาเหล่านั้นขึ้นอยู่กับนายแล้วหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เยี่ยม” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ถึงกับเบ่งกล้ามออกมาเพื่ออะไรก็ไม่สามารถทราบได้


“เสี่ยวรุย” ซูจิ้งหลังจากคุยกับเตียนจงยี่ก็หันไปเรียกเสี่ยวรุย


“ครับพี่สาม พี่มีอะไรให้ผมทำอย่างนั้นเหรอ ผมสามารถอยู่ตามพี่ไปได้อีกหลายวันเลยนะ”เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


ในกลุ่มของพวกเขานั้น เสี่ยวรุยนั้นคือคนที่อายุน้อยที่สุด น้อยชนิดที่ว่าแทบจะอยู่คนละรุ่นกันเลย ถึงเขานั้นจะยังติดเล่นอยู่บ้างแต่เขาก็รู้ดีว่าอะไรที่ควรทำหรือไม่ควรทำ


“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆเลยนะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะสอนนายจีบสาวยังไงดีนะเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“พี่สามก็อย่าถ่อมตัวไปเลย พี่นะไม่ได้มีเพียงแฟนสุดสวยอย่างฉือชิงนะ พี่ยังมีแฟนคลับมากมาย บางคนสวยล้ำยิ่งกว่าใครเลยนะ พี่สอนผมสักสองสามอย่างเถอะน่า แค่สองสามอย่างนั่นผมก็ว่าน่าจะพอแล้วล่ะ” เสี่ยวรุยพูดออกมาพร้อมทำท่าอ้อนวอนแบบสุดๆ


“ฉือชิงกับฉันน่ะสนิทกันมาตั้งแต่เด็กอยู่แล้วและ แน่นอนว่าแฟนคลับกับแฟนนั้นยังไงก็ถือได้ว่าต่างกัน หรือจะให้ฉันสอนการทำอาหาร เต้นรำ เล่นกู่จิ้ง ฝึกสัตว์ วาดภาพ หรือทักษะอื่นๆ จนนายมีชื่อเสียงดีล่ะ ฉันสอนได้นะ แต่คำถามคือนายจะไหวรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


เมื่อเสี่ยวรุยได้ฟังคำร่ายทักษะของซูจิ้งออกมาแล้วก็ได้แต่รู้สึกตื่นเต้นไม่ได้เหมือนกัน เพียงแค่เรียนได้สุดยอดหนึ่งอย่างก็ถือว่าดีมากพอที่จะไล่จีบสาวได้แล้ว


แต่เมื่อเขาคิดอีกทีแล้ว เขาก็ย่อมรู้ตัวเองดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเรียนทักษะพวกนี้ให้ดีได้สักด้านก็ช่างยากยิ่ง ยกตัวอย่างเช่นการทำอาหาร


ถึงจะกล่าวกันมาว่าการจะกุมหัวใจผู้หญิงได้นั้นต้องกุมท้องเธอให้ได้ก่อน เรื่องนี้ใครๆต่างก็รู้ แต่จะมีผู้ชายสักกี่คนที่สามารถเรียนการทำอาหารได้จนถึงระดับนั้นได้กัน


 


หากว่าเขานั้นต้องการเรียนการทำอาหารถึงระดับกุมท้องของสาวได้ล่ะก็ สงสัยตะเกียงไฟที่แทนจะคุกรุ่นก็คงดับมอดไปก่อนแหงๆ ดีไม่ดีจะไม่ได้อะไรเลยด้วยซ้ำ


“พี่สาม พี่สอนอะไรก็ได้ที่มันง่ายๆหน่อยได้รึเปล่า เอาแค่ระดับต่ำๆก็ได้” เสี่ยวรุยยิ้มออกมา


 


“ฉันไม่มีหรอกนะไอ้ทักษะระดับต่ำแบบที่นายว่าน่ะ แต่…” ซูจิ้งเว้นช่วงคำพูดไว้พักหนึ่งราวกับกำลังตัดสินใจก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ในเมื่อนายนั้นไม่มั่นใจในความสูงของตัวเองเพียงอย่างเดียวแล้วทำไมนายไม่สูงขึ้นล่ะ ฉันช่วยนายได้นะ”


“จริงหรอ” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยสายตาเบิกโพลง หากเป็นคนอื่นเขาคงไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน ความสูงของคนนั้นใช่ว่าจะบอกว่าอยากสูงก็สูงได้


 


เขาเองก็เคยลองมามากมายหลากหลายวิธีแล้ว มีเพียงวิธีเดียวที่เขานั้นไม่อยากจะลองนั่นก็คือการเรื่อยกระดูกเพิ่มความสูงซึ่งทรมานแบบสุดๆและสามารถเพิ่มความสูงได้เพียงไม่กี่เซนติเมตรเท่านั้นในแต่ละรอบ


แต่หากว่าคำพูดนี้ออกมาจากซูจิ้งล่ะก็ ต่อให้เขานั้นไม่เชื่อก็ต้องเชื่ออยู่ดีเพราะซูจิ้งนั้นสูงหลังจากครั้งสุดท้ายที่เจอกันอย่างมาก


 


“คุณซู อย่าพูดเล่นน่า คุณจะสูงหลังจากที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้ยังไงกัน” เตียนจงยี่หัวเราะออกมา หนุ่มหน้าหล่อที่อยู่ข้างๆเองก็หัวเราะออกมาพลางคิดออกมาว่าซูจิ้งต้องหยอกเพื่อนเขาเล่นอย่างแน่นอน วิธีการเพิ่มความสูงแบบนั้นเป็นเพียงแค่คำลวงโลกเท่านั้นเอง


“ต่อให้ในโลกนี้นั้นไม่มีใครทำได้ แต่พี่สามของฉันทำได้อย่างแน่นอน ตอนที่เราเจอกันครั้งสุดท้ายหลังเรียนจบนั้นพี่สามของผมสูงแค่ร้อยเจ็ดสิบหน่อยๆเองนะ แต่ดูเขาตอนนี้สิเขาสูงตั้งร้อยแปดสิบสามเลยนะ


พี่สาม พี่ต้องมีเคล็ดลับเพิ่มความสูงแน่ๆใช่รึเปล่า” เสี่ยวรุยพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


“ห้ะ สูงกว่าตอนมหาวิทยาลัยประมาณสิบเซนติเมตรเลยเนี่ยนะ” เตียนจงยี่และชายหน้าหล่ออุทานออกมาพลางไม่เชื่ออย่างจับใจ


 


“คุณไม่เชื่อเหรอ” เสี่ยวรุยเห็นดังนั้นเขาจึงได้หยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา พลางกดเข้าไปดูในอัลบั้มรูปที่เขาเก็บรักษาไว้อย่างดีจนพบภาพชายสี่คนที่กำลังตั้งท่าถ่ายรูปกันอยู่ ทุกคนนั้นเปลือยหมดจนจรดปลายเท้า มีเพียงกางเกงบ๊อกเซอร์ธรรมดาเท่านั้น


และนั่นคือรูปที่พวกเขานั้นมาถ่ายรูปประชันความสูงกัน ซึ่งเป็นภาพสุดท้ายก่อนที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป


ในรูปเห็นได้ชัดเลยว่าเสี่ยวรุยนั้นตัวสูงกว่าซูจิ้งซะอีก แน่นอนว่าพวกเขานั้นเท้าเปล่ากันหมดจึงเป็นความสูงของตัวเองอย่างเดียวเท่านั้นไม่ได้มีความหนาของรองเท้ามาเกี่ยวข้อง


 


ในตอนนั้นซูจิ้งถึงจะถือได้ว่าสูงอยู่แล้ว แต่เมื่อเทียบกันตอนนี้นั้นถือได้ว่าสูงกว่ามาก เห็นได้อย่างชัดเจนเลยเมื่อเทียบกับตัวจริงในตอนนี้สูงกว่าหนึ่งร้อยแปดสิบเมตรเลยทีเดียว แน่นอนว่าเป็นช่องว่างที่ห่างจนหน้าตกตะลึง


ในรูปนั้นซูจิ้งดูเหมือนจะมีดีแค่ความสูงเท่านั้นเอง ส่วนอย่างอื่นนั้นช่างดูธรรมดาสามัญ เมื่อเทียบกับในตอนนี้ที่มีความสูงเกินกว่า 1.8 เมตร ทั้งร่างกายที่ดูเข้ารูปแค่นี้ซูจิ้งก็มีศัตรูเป็นผู้ชายไปครึ่งประเทศแล้ว


นี่ยังไม่รวมอย่างอื่นเช่น หน้าตาที่ดูหล่อเหลาไร้ที่ติ โครงหน้าที่คมสัน ดวงตาที่เปล่งประกาย เพียงช่วงไม่นานมานี้ ซูจิ้งช่างเปลี่ยนไปได้อย่างเหลือเชื่อเลยจริงๆ


เตียนจงยี่และหนุ่มหน้าหล่อนั้นได้มองซูจิ้งเทียบกับรูปถ่ายในโทรศัพท์ ยิ่งเทียบก็ยิ่งรู้สึกถอนหายใจยาวๆออกมาอยู่ในใจ พวกเขาพูดกันว่าผู้หญิงสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ถึงสิบแปดครั้ง ดูเหมือนว่าผู้ชายเองก็สามารถเปลี่ยนไปได้สิบแปดครั้งไม่ต่างกัน


ซูจิ้งได้หยิบกล่องเล็กๆออกมาจากแขนเสื้อโดยทำเหมือนว่าหยิบออกจากกระเป๋าลับ เขายื่นมันให้กับเสี่ยวรุยและพูดออกมาว่า


“ในนี้มีของเหลวอยู่สามขวด หนึ่งขวดนายต้องดื่มให้ได้ในหนึ่งอาทิตย์ ห้ามดื่มมากกว่านั้นเป็นอันขาด หากอยู่ๆนายสูงจนเป็นตัวประหลาดล่ะก็อย่ามาโทษฉันซะล่ะ”


ซูจิ้งนั้นไม่ได้บอกอย่างชัดเจนว่าของเหลวสามขวดนี้จะทำให้สูงได้อย่างชัดเจน แต่เขาเองก็ขี้เกียจจะอธิบายเช่นเดียวกัน


 


ขวดยาที่เสี่ยวรุยได้รับมานั้นไม่มีป้ายกำกับใดๆทั้งสิ้น ราวกับว่ามันเป็นยาปลอมๆที่ขายทั่วไปในโลกอินเตอร์เน็ต แต่เสี่ยวรุยนั้นรับมาอย่างหวงแหนราวกับว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว


เตียนจงยี่และหนุ่มหน้าหล่อเองต่างก็คิดว่ามันเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูจิ้งอย่างแน่นอน แต่ทังคู่ก็ยังสงสัยอยู่เต็มหัวใจว่าของเหลวในกล่องเล็กๆแบบนี้จะช่วยให้สูงขึ้นได้จริงๆอย่างนั้นหรือ


ซูจิ้งนั้นที่สูงขึ้นอาจเป็นเพราะว่ากระบวนเจริญเติบโตของเขานั้นอาจจะหยุดช้าเฉยๆก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะเป็นการพัฒนาที่เกิดจากการที่เขาไปประสบเหตุอะไรมาเป็นพิเศษที่คนอื่นนั้นยากที่จะเกิดซ้ำได้ นั่นก็เพราะว่าไม่มีทางที่ผู้ใหญ่จะสามารถสูงต่อได้อย่างได้แน่นอน


GGS:บทที่ 903 สารอาหาร


 


หลังจากนั่งกันคุยกันต่ออีกพักใหญ่ เสี่ยวรุยก็ได้จากไปพร้อมกับยาประหลาดที่ซูจิ้งให้เขาไป


ซูจิ้งกับไปยังบริษัทพร้อมกับเตียนจงยี่เพื่อเซ็นสัญญา หลังจากนั้นเขาก็ทำการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินพร้อมบอกให้ขั้นทำการเพาะเมล็ดและปลูกในทันทีเท่าที่จะทำได้


“ว่าแต่ คุณซูจะให้อะไรแก่เฟิงเย่เหม่ยกันเหรอครับ มันไม่ใช่ของอย่างว่าจริงๆเหรอ ถ้าพวกเราคุยกับเธอดีๆล่ะก็ผมเชื่อว่าเธอจะเห็นด้วยกับข้อตกลงของเราแน่นอน


ยังซะด้วยฤดูกาลนี้ล่ะก็ยังไงซะผมเชื่อว่าการที่เราปลูกข้าวพวกนี้ให้เร็วที่สุดยังไงก็ดีกว่า และนาข้าวที่เราเช่าไว้เองก็ช่างน้อยนิด


หากได้นาข้าวที่เฟิงเย่เหม่ยถือครองไว้ล่ะก็ ผมมั่นใจอยู่ดีว่าหากเราได้ที่พวกนั้นมาปลูกข้าวสีน้ำเงินล่ะก็ย่อมเร่งผลผลิตที่เราจะได้อย่างแน่นอน” เตียนจงยี่พูดออกมา


 


“ฉันก็บอกแล้วนี่นาว่าไม่ใช่เรื่องอย่างว่า เชื่อกันมั่งสิ แต่ว่าฉันรับประกันได้อย่างแน่นอนว่าหลังจากเธอได้ใช้ผลิตภัณฑ์ตัวนี้แล้วฉันมั่นใจว่าเธอนั้นจะส่งมอบที่ดินของเธอแต่โดยดี”


เมื่อได้ยินที่ซูจิ้งพูดออกมา เตียนจงยี่เองที่ได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเหมือนกัน ที่ทำได้ก็เพียงแค่เงียบนิ่งไป พลางคิดไปว่าไม่ว่าซูจิ้งจะเอาอะไรให้เธอผู้นั้นก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับความสุขที่ผู้ชายมอบให้ผู้หญิงได้อย่างแน่นอน นี่เขาไร้เดียงสาในเรื่องอย่างว่าไปรึเปล่าเนี่ย


 


“นายรีบๆไปจัดการเรื่องข้าวสีน้ำเงินเหอะน่า ทำเท่าที่ทำได้ไป หากว่ามีปัญหากับหน่วยงานท้องถื่นล่ะก็มาบอกฉันได้ ถ้ามีใครยินดีที่จะขายที่นาก็เสนอราคาสูงๆได้เลย ฉันว่าพวกเขานั้นยินดีที่จะขายอย่างแน่นอน”


ซูจิ้งได้พูดออกมาเพราะเขาเองก็หวังที่จะได้ปลูกข้าวให้ทันในฤดูนี้เช่นเดียวกัน และเขาอยากจากขยายพื้นที่เพาะปลูกนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าข้าวสีน้ำเงินนี้จะเพาะปลูกได้สองครั้งต่อปีก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่ได้อยากจะเสียเวลารอไปอีกครึ่งปีโดยเปล่าประโยชน์เช่นกัน


สำหรับชาวนาทั่วไปแล้วพวกเขานั้นไม่ได้สนเวลาครึ่งปีนี้สักเท่าไหร่นัก นั่นก็เพราะว่าการที่พวกเขาปลูกข้าวในฤดูกาลที่เหมาะสมย่อมได้ผลกำไรดีกว่าปลูกข้าวทั้งปีตั้งหลายเท่า


แต่กับซูจิ้งนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนั้นและสำหรับเขาแล้วครึ่งปีนี้ถือได้ว่านานเกินไปที่จะรอ


 


ถึงแม้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาจะยกระดับแล้วจนกระทั่งรับขยะห้วงเวลาฯมากกว่าตอนแรกได้หกเท่าแล้วก็ตาม


แม้ตอนนี้เมื่อยกระดับเป็นระดับหนึ่งจนมีมิติป้องกันแล้วก็จริงแต่เขาเองก็หาได้วางใจได้ไม่ นั่นก็เพราะว่าการคงอยู่ของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้มีค่าเทียบเท่ากับว่าโลกใบนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้แล้ว


ในอนาคตอาจจะมีอะไรบางอย่างที่ติดมาพร้อมขยะห้วงเวลาฯ ที่ทรงพลังพอที่จะทำลายมิติป้องกันและสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ของเขาได้อย่างง่ายดาย


 


หากเวลานั้นมาถึงแน่นอนว่าเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงที่ยากเกินกว่าจะแก้ไขได้ มีเพียงการยกระดับไปขั้นสองเท่านั้นที่เขาจะพอวางใจได้บ้าง


“ไม่ต้องกังวลครับ เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง” เตียนจงยี่ใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่หัวของตัวเองอย่างเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่สั่งสมมา


ตราบที่ได้รับการสนับสนุนจากซูจิ้ง เขาเชื่อว่าภายในระยะเวลาอันสั้นนั้นพวกเขาจะต้องมีที่นาจำนวนมากชนิดที่ว่าที่นาที่เฟิงเย่เหม่ยถือครองอยู่ก็ไม่อาจสู้ได้


หลังจากพูดจบเขาก็รีบไปดำเนินการเรื่องนี้ในทันที


 


หลังจากกลับมาบ้าน ซูจิ้งได้ขี่อินทรีย์ทองของเขาไปยังเกาะทะเลทรายในทันที เขานั้นได้มายังพื้นที่ที่เต็มไปด้วยดอกบานเช้าอยู่เป็นทุ่ง


ตอนแรกนั้นเขาเองก็คิดเพียงว่าดอกบานเช้าพวกนี้เป็นดอกไม้ธรรมดาเลยคิดว่าจะถอนรากถอนโคนพวกมันซะ แต่ในใจของเขาเองก็ยังรู้สึกว่ามันยังไม่ใช่ของธรรมดาอยู่ดี เขาเชื่ออยู่ในใจลึกๆว่ามันต้องมีผลพิเศษอะไรบางอย่างที่เขานั้นยังหาไม่พบ และนั่นทำให้เขาได้พบหนึ่งในสุดยอดต้นไม้เลยทีเดียว


รากของดอกบานเช้าพวกนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยดินจอมเขมือบทำให้พวกมันโตได้รวดเร็วกว่าแต่ก่อน รากของมันในตอนนี้ครอบคลุมพื้นที่ไปกว่าหนึ่งร้อยตารางเมตร ขนาดของรากพวกมันบางส่วนนั้นมีขนาดใหญ่มากกว่าสิบเซนติเมตร ลำต้นที่อวบน้ำ กิ่งก้านที่เขียวและพันเกลียวราวกับงูเขียวเลยทีเดียว


ถึงแม้ว่าเถาวัลย์พวกนี้นั้น แม้แรกเห็นจะดูเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ดูรื่นรมย์ สงบนิ่ง จนเพลิดเพลินสบายตา แต่จริงๆแล้วนั้นพวกมันสามารถสังหารสิ่งมีชีวิตได้ด้วยเถาวัลย์พวกนี้


 


มีหมูป่าตัวหนึ่งที่พึ่งจะตายไปและกำลังถูกรากลงไปในดิน ในดินนั้นเต็มไปด้วยกระดูกของสิ่งมีชีวิตที่รากพวกนี้เลื้อยผ่านไป


หมูป่าพวกนี้เองก็เป็นซูจิ้งเองที่เป็นคนพามานั่นก็เพราะว่าพวกมันนั้นแพร่พันธุ์กันได้อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยเหตุที่มีเถาวัลย์ดอกบานเช้านี้อยู่ทำให้พวกมันนั้นไม่ได้เพิ่มมากขึ้นอย่างที่คิด


 


เอาจริงๆนั้นมีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่กลายเป็นอาหารของเสือของเขา ส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เสร็จเจ้าดอกบานเช้านี้กันไปหมด


“นี่ถ้าฉันปล่อยให้เจ้านี้โตในดินบนโลกนี้ล่ะก็ ต่อให้ผ่านไปยี่สิบปีก็ไม่มีทางกลายเป็นแบบนี้แหงๆ ดีจริงๆที่ตัดสินใจใช้ดินจอมเขมือบไม่อย่างนั้นล่ะก็ฉันคงรอไปอีกนานแสนนานเลยทีเดียว


แต่นี่ก็ยังถือว่าช้าเกินไปอยู่ดีแหะตามข้อมูลในห้วงเวลาฯที่เจ้านี่จากมาบอกไว้ว่าต้องใช้เวลากว่ายี่สิบปีกว่าจะก่อรูปเป็นร่างมนุษย์อย่างนั้นหรอ อืมมมม หรือฉันจะใช้กะโหลกนั้นดีนะ”


คิดได้ดังนั้น ซูจิ้ง จึงได้หยิบเอากล่องไททาเนียมอัลลอยด์ออกมา เขาทำการเปิดกล่องไททาเนียมทั้งสิบชั้นจนเจอกับกะโหลกใบนั้น


เอาจริงๆเขาเองก็อยากจะลองอะไรหลายๆอย่างกับกะโหลกนี่พอสมควรเลย


 


ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงร้องดังก้องกังวาลไปทั่วฟ้า นั่นเป็นเสียงของนกโจรสลัดนั่นเอง นอกจากนั้นยังมีฝูงค้างคาวฝูงใหญ่บินออกมาจากป่า และเสียงเสือที่พุ่งออกมาจากป่าที่อยู่ไม่ไกลนัก


เมื่อทั้งหมดนั้นเห็นว่าเป็นซูจิ้ง พวกมันจึงได้รีบพุ่งเข้ามาหาซูจิ้งในทันที แต่ทันทีที่พวกมันเข้ามาก่อนที่จะถึงซูจิ้งในระยะห่างเกือบๆห้าไม่ก็หกเมตรเห็นจะได้


 


ทุกตัวก็ได้หยุดนิ่งลง แม้แต่อินทรีย์ทองเองก็ได้ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ สายตาของทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังกะโหลกใบนั้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าพวกสัตว์นั้นมีสัญชาตญาณที่ดีกว่ามนุษย์ และแน่นอนว่ามันได้กลิ่นอายแห่งความอันตรายได้เช่นเดียวกับซูจิ้งลอยไปแต่ไกล


 


“อย่ากลัวไปเลยน่า” ซูจิ้งพูดออกมาพลางปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมาให้บรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาสงบอารมณ์ลง หลังจากพวกมันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกน็ได้กรูเข้าไปคลอเคลียซูจิ้งในทันที แต่ก็ยังทิ้งห่างออกจากกะโหลกนั่นในระดับหนึ่ง


“พวกแกมาได้จังหวะกันพอดีเลยนะเนี่ย ราชาค้างคาวและนกโจรสลัด พวกแกไปจับปลาเขี้ยวหยกกับปลาในทะเลมาให้ฉันหน่อยสิ เอาแบบมากที่สุดเท่าที่จะมากได้นะ” ซูจิ้งพูดออกมาทั้งสองจึงได้รีบพาพวกพ้องของตนเองไปจับปล่าอย่างไว


“จินน้อย อาฮวง แกสองตัวไปจับหมูป่ามาให้เยอะๆนะ” ซูจิ้งพูดออกไปทำให้อินทรีย์ทองและเสือจีนใต้พุ่งตัวออกไปในทันที ด้วยการที่นี่เป็นเขตแดนของพวกมัน พวกมันย่อมรู้ดีว่าหมูป่าเหล่านั้นอยู่ที่ไหนบ้าง


 


ซูจิ้งได้จัดการเตรียมที่ทางในทันที เขานั้นแน่นอนว่าไม่ยอมจะให้เถาวัลย์ของต้นดอกบานเช้าของเขาได้เสี่ยงมากจึงไม่ได้ใช้เถาวัลย์อันใหญ่แต่อย่างใด


ในครั้งนี้เขามาเพื่อที่จะทดลองเท่านั้น เขาอยากจะรู้ว่าถ้าลองใช้พลังจากหัวกะโหลกนี่จะต้องเตรียมพลังงานสำรองในสิ่งมีชีวิตไว้เท่าไหร่


เขานั้นรู้ดีว่ายังไงซะสิ่งมีชีวิตพวกนี้ต้องโตขึ้นอย่างแน่นอน แต่ปัญหาคือมันจะต้องใช้พลังงานเพื่อรองรับการเร่งการเจริญเติบโตเหล่านั้น


ดอกบายเช้านี้ก็กินไปมากมายต่อให้เร่งโตไปยังไงก็สมควรที่จะต้องการพลังงานในการเติบโตเพิ่มเติมอยู่ดี


 


ก่อนที่จะทำการทดลอง ซูจิ้งได้คัดเลือกต้นไม้ที่จะทำการทดลองก่อน เขาตรงเข้าไปใช้แขนของตัวเองพันเกี่ยวกับเถาวัลย์ส่วนหนึ่งและทำการดึงออกมาทำให้เถาวัลย์ส่วนอื่นนั้นถอยร่นหนีไปในทันที ถึงแม้ว่าเถาวัลย์พวกนี้จะแข็งแรงขนาดไหน แต่ก็ไม่มีทางดิ้นรนออกมาจากมือของซูจิ้งได้ง่ายๆอย่างแน่นอน


 


ซูจิ้งค่อยถอยออกมาสามก้าวโดยดึงเถาวัลย์ดอกบานเช้าพวกนั้นติดมือมาด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนเถาวัลย์ส่วนอื่นนั้นได้ล่าถอยออกไปเล็กน้อย โดยไม่คิดจะเอาส่วนนั้นกลับมาแต่อย่างใด พวกมันทำได้เพียงสั่นริกๆราวกับเจ็บปวดเท่านั้นเอง


 


เถาวัลย์ดอกบานเข้าที่ซูจิ้งดึงออกมานั้นก็สั่นระริกอยู่บนมือซูจิ้ง พวกมันพยายามดิ้นรนออกมา แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาทำการขยุมก้อนเถาวัลย์พวกนั้นให้เป็นก้อนก้อน ก่อนที่จะมองไปที่รากของพวกมัน


รากของพวกมันนั้นมีก้อนดินก้อนใหญ่ห่อหุ้มอยู่ นั่นก็สมควรเป็นส่วนหนึ่งของความสามารถของดินจอมเขมือบด้วยเช่นเดียวกัน


ซูจิ้งนั้นเดินไปหาพื้นที่ว่างๆก่อนที่เขาจะนำก้อนเถาวัลย์นั้นไปฝังเอาไว้ ทันทีที่รากของก้อนต้นบานเช้าแตะลงดิน รากของพวกมันก็ได้รีบฝังลงดินในทึนที


แต่ด้วยการที่ต้นบานเช้าพวกนี้ไม่ได้ฉลาดเท่ากับเต็งเต็ง(ชื่อดอกไม้กิน)พวกมันจึงไม่ได้หนีไปไหน หรือมีความคิดที่จะเลื้อยกลับไปหารังของพวกมันแต่อย่างใด พวกมันทำได้แค่เพียงเติบโตลงบนพื้นที่ตรงนี้เท่านั้น


 


หลังจากนั้นสักพัก อินทรีย์ทอง นกโจรสลัด ราชาค้างคาวและพวกของมัน และสุดท้ายก็คืเสือจีนใต้ ได้กลับมาจากทิศที่พวกมันจากไป ภายใต้อุ้งเล็บของอินทรียทองนั้นมีหมูป่าตัวใหญ่ยักษ์อยู่ ส่วนเสือจีนใต้ก็ได้ลากหมูป่าตัวที่ใหญ่แต่เล็กกว่าที่อินทรีย์ทองนำมานิดหน่อย และเหล่าค้างคาวและนกโจรสลัดเองก็มีปลาอยู่ในปากของพวกมันตัวละตัว


“เอาล่ะ เรามาเริ่มกันดีกว่า” ซูจิ้งเองนั้นกลัวว่าดินจอมเขมือบที่มีอยู่ที่นี่นั้นจะไม่พอต่อการทดลองเร่งการเติบโตของลูกบอลต้นดอกบ้านเช้านี้ เขาจึงได้นำถึงที่ใส่ดินจอมเขมือบออกมาจากกระเป๋ามิติ หลังจากนั้นก็เทดินจอมเขมือบลงไปบนก้อนดอกบานเช้าและทำการโยนหมูป่าและปลาที่บรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาได้มาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นก็ทำการบังคับกะโหลกเข้าไปใกล้ก้อนดอกบานเช้าในทันที


GGS:บทที่ 904 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในตำนาน


 


หลังจากซูจิ้งใช้พลังจิตของเขาบังคับให้กะโหลกเวลาแตะไปที่รากของดอกบานเช้า ทั้งหมูป่าและปลาทั้งหลายที่สัตว์เลี้ยงของเขาหามาให้นั้นได้ถึกกลืนกินโดยดินจอมเขมือบอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ชัดต่อหน้าต่อตา ตอนนี้อัตราเร่งเวลาโดยประมาณคือหนึ่งวิต่อหกวัน


ซูจิ้งยังคงโยนบรรดาอาหารต่างๆของดินจอมเขมือบที่สัตว์เลี้ยงของเขาหามาให้อย่างต่อเนื่องไปยังรากของดอกบานเช้า หลังจากผ่านไปสองนาที อาหารของจอมเขมือบที่หามานั้นได้หายวับไปกับตา


หลายวินาทีต่อมากิ่งก้านสาขาของดอกบานเช้าก็เริ่มเหี่ยวแห้งลง ตอนนี้ซูจิ้งได้หยุดมือในทันที เขาให้สัตว์เลี้ยงของเขารีบไปจับหมูป่าและปลาต่างๆมาอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาให้นกนางนวลที่เขาฝึกไว้เข้าร่วมด้วย


 


หลังจากผ่านการดูดกลืนอาหารอย่างเร่งรีบแบบนี้ไปอีกห้านาทีซึ่งเทียบเวลาโดยประมาณแล้วน่าจะผ่านไปห้าปีน่าจะได้


รากของดอกบานเช้าได้โตใหญ่ขึ้นจนเห็นได้ชัด เพียงผ่านไปห้านาทีเท่านั้นรากดอกบานเช้าในตอนนี้มีขนาดประมาณสิบเซนติเมตรไปแล้ว


หลังจากซูจิ้งเร่งเวลาจนผ่านไปอีกห้านาที ใจตอนนี้รากของดอกบานเช้าเริ่มก่อรูปออกมาเป็นร่างมนุษย์ พอมองๆดูแล้วลักษณะคล้ายหนุ่มที่ดูหล่อเหลาเลยทีเดียว


หลังจากผ่านไปอีกหลายนาที ร่างที่ก่อรูปขึ้นมานี้ก็เริ่มดูดีมีชีวิตมากขึ้น จนในที่สุดมันก็มีชีวิตขึ้นมาจริงๆจนสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว


ในตอนนี้เอง เหมือนกับคนทั่วไป ดอกบานเช้าร่างมนุษย์ได้เดินไปยังกองรากดอกบานเช้าแล้วทำการโกยขึ้นมาปิดบังเรือนร่างของตัวเองราวกับมนุษย์ทั่วไปที่รู้สึกอายเวลาตัวเองต้องเปลือยเปล่า หลังจากนั้นเขาก็ทำการขยับตัวอีกครั้ง


“เฟิงเย่เหม่ยเอ๊ย ฉันอยากรู้จริงๆว่าเธอนั้นจะรู้สึกยังไงกับดอกบานเช้าตนนี้จริงๆ” ซูจิ้งหัวเราะออกมา


ถึงแม้เขาจะยังไม่แน่ใจนักต่อถ้าเขาจำไม่ผิด ร่างที่ก่อมาจากดอกบานเช้านี้สำควรจะเป็นผู้หญิงก็ได้ ผู้ชายก็ดี แล้วแต่มันจะต้องการ แต่ที่แน่นอนนั้นเขามีคนที่จะรับทดลองเรื่องนี้อยู่แล้วนั่นก็คือเฟิงเย่เหม่ยนั่นเอง


อย่างน้อยๆเขาก็รู้สึกโชคดีอยู่เหมือนกันทั้งๆที่ไม่ได้บังคับให้ดอกบานเช้าโตมาดูเป็นผู้ชาย แต่ร่างที่ก่อขึ้นมากลับเป็นดูผู้ชายโดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลย ตอนแรกเขาก็คิดอยู่เหมือนกันว่าถ้าออกมาเป็นผู้หญิงคงต้องเสียเวลาอีกอย่างแน่นอน


 


เช้าวันถัดมามีรถคันหนึ่งได้เข้ามาจอดที่หน้าบ้านของซูจิ้ง ทันทีที่จอด ชายหนุ่มหล่อหน้าตาดีคนหนึ่งก้าวเดินลงมาจากรถ เขาได้แนะนำตัวเองกับนกแก้วทั้งสอง หลังจากนกแก้วทั้งสองบินหายเข้าไปในบ้าน สักพักซูจิ้งก็ได้เดินออกมา


“คุณซูครับ หัวหน้าของผมให้ผมมาจัดการเรื่องให้คุณครับ” หนุ่มหล่อพูดออกมาทันที่ที่เห็นซูจิ้ง หนุ่มหล่อคนนี้คือคนที่เตียนจงยี่พาไปด้วยเมื่อวันก่อน ชื่อของเขาคือฟูหมิงและเป็นมือขวาของเตียนจงยี่ก็ว่าได้


“ขอบคุณมาก” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“พวกนี้ข้อมูลของเฟิงเย่เหม่ยที่หัวหน้าบอกว่าคุณควรรู้เอาไว้ครับ” ฟูหมิงพูดออกมาพลางยื่นเอกสารชุดหนึ่งให้ซูจิ้ง


ซูจิ้งหนังตากระตุกเล็กน้อยก่อนที่จะรับเอกสารดังกล่าวมาแล้วรีบเปิดดูแบบผ่านๆ หลังจากดูจบเขาก็ย้อนดูอีกรอบหนึ่งด้วยสายตาแปลกๆ


ก่อนหน้านี้เขานั้นเพียงคิดว่าเธอผู้นี้มีผู้ชายมากมายผ่านเข้ามาในชีวิตนับร้อนนับพันอย่างแน่นอน กลายเป็นว่าเขานั้นเข้าใจผิดไปเต็มๆ เขายังถือได้ว่าประเมินผู้หญิงคนนี้ต่ำเกินไป


 


กลายเป็นว่าเฟิงเย่วเมยนั้นไม่ใช่ผู้หญิงอย่างว่าธรรมดา แต่เธอนั้นได้สร้างฮาเล็มของตัวเองโดยมีชายหนุ่มหน้าตาดีล้อมรอบตัวเธอตลอดเวลา แน่นอนว่าด้วยการที่เธอนั้นมีเงินและยังคงมีความงามอยู่ทำให้เธอนั้นไม่เคยขาดผู้ชายได้เลย


การที่เตียนจงยี่นั้นมอบข้อมูลนี้มานั้นแน่นอนว่าเขาเองก็ต้องการให้ซูจิ้งเตรียมพร้อมเอาไว้เผื่อต้องเล่นตามเกมของผู้หญิงคนนี้ ฟูหมิงก็คิดอย่างนั้นเช่นเดียวกัน แต่เมื่อมองซูจิ้งในตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นมองข้อมูลพวกนี้ไปในอีกความหมายหนึ่งยังไงก็ไม่รู้


 


ซูจิ้งได้หายเข้าไปในบ้านก่อนที่จะเดินออกมาพร้อมกล่องขนาดใหญ่และยาวประมาณ 1.8 เมตรเห็นจะได้ เขามอบกล่องให้ฟูหมิงก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นำกล่องนี่ไปให้เฟิงเย่เหม่ย ฉันขี้เกียจไปเองน่ะ ถ้ายังไงนายก็รอดูแล้วรายงานฉันกลับมาด้วยแล้วกันว่าเธอใช้แล้วเป็นยังไงบ้าง”


“อะไรอยู่ในนี้กันหรือครับ” สายตาของฟูหมิงเบิกกว้างในทันทีเมื่อเห็นกล่อง เขาสงสัยอย่างแท้จริงว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ของซูจิ้งนั้นเป็นตุ๊กตายางจริงๆรึเปล่า แต่ตุ๊กตายางจะไปสู้คนจริงๆได้ยังไงกัน


“น่าๆ นายก็แค่นำไปให้เฟิงเย่เหม่ยอย่างเดียวก็พอ จะให้ดีก็มอบให้ตอนเธออยู่คนเดียวก็ดีนะ พยายามอย่าให้คนอื่นได้เห็นของข้างในล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“ได้ครับ” ฟูหมิงนั้นตัดสินใจว่าจะทำตามคำสั่งอย่างที่สุดอยู่แล้วฉะนั้นเขาไม่คิดอะไรมากเลยอย่างแน่นอน ตอนแรกเองนั้นเขาก็อยากจะขอให้ซูจิ้งช่วยนำกล่องไปไว้ในรถเหมือนกัน แต่พอเขาลองยกดูก็พบว่ากล่องนี้ไม่ได้หนักอย่างที่คิด


ฟูหมิงได้ขับรถตรงไปยังโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีหนุ่มหล่อสองคนออกมาต้อนรับเขาก่อนที่จะช่วยเขาขนกล่องนั่นขึ้นบันได้ไป


เมื่อไปถึงห้องสูทห้องหนึ่ง เฟิงเย่เหม่ยที่อยู่ในชุดนอนสุดเย้ายวนได้เดินออกมาจากห้อง


สายตาของเฟิงเย่เหม่ยจับจ้องไปที่กล่องที่ฟูหมิงขนมาจนเขม่นตาแทบจะปิด ตอนนี้เธอโกรธมากจนหัวเราะออกมาและพูดว่า “ซูจิ้ง นายส่งไอ้ของที่เรียกว่าผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ฉันจริงๆสินะ นี่คงไม่ใช่ตุ๊กตาเป่าลมหรอกนะ ดี ดี ดีจริง นำมันเข้าไปแล้วเรามาลองดูกัน”


ชายหนุ่มสองคนในชุดสูทเองเตรียมที่จะเปิดกล่องที่ขนมาตามคำสั่ง ทันใดนั้นฟูหมิงได้พูดขึ้นมาว่า “คุณซูสั่งไว้ว่าของชิ้นนี้ไม่ควรให้คนอื่นเห็นครับ เขามอบให้คุณคนเดียวเท่านั้น”


 


เฟิงเย่เหม่ยขมวดคิ้วในทันที เธอไม่เข้าใจว่าซูจิ้งที่ทำเรื่องน่าละอายอย่างการส่งตุ๊กตายางมาให้ผู้หญิงแบบนี้ยังจะมากลัวอะไรอีก


อย่างไรก็ตามเธอเองก็ยินดีที่จะทำตามที่ซูจิ้งพูดเพื่อที่เจอกันครั้งหน้าเธอจะได้เล่นงานซูจิ้งได้เต็มที่ อีกอย่างหนึ่งเธอนั้นก็เชื่อในชื่อเสียงของซูจิ้งและรู้มาเป็นอย่างดีว่าคำพูดของซูจิ้งเป็นสิ่งที่ควรทำไม่ควรละเลยแต่อย่างใด


 


“นำมันไปไว้ในห้อง” เฟิงเย่เหม่ยสั่งออกมา สองหนุ่มหล่อก็ขนเข้าไปแต่โดยดี และได้ออกจากห้องไปตามคำสั่งโดยไม่ขัดขืนแต่อย่างใด เหลือแต่ฟูหมิงเท่านั้นที่อยู่ต่อเพื่อช่วยเปิดกล่อง


หลังจากเปิดกล่องออกจนเห็นของข้างใน แวบแรกนั้นของชิ้นนี้มีรูปร่างเหมือนกับมนุษย์แต่ถูกห่อเอาไว้โดยพลาสติกห่อของ


เฟิงเย่เหม่ยนั้นได้ยื่นมือไปดึงพลาสติกออกจากส่วนที่หน้าจะเป็นส่วนหัวของมนุษย์ เมื่อเธอได้เห็นของที่อยู่ในกระดาษห่อ ทั้งสองคนถึงกับถอยร่นจนไปติดฝาผนังเลยทีเดียว


“คุณซู นี่มันหมายความว่ายังไงกัน” เฟิงเย่เหม่ยพูดโพล่งออกมาด้วยความตกใจ


“ผม ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน” ใบหน้าของฟูหมิงในตอนนี้เปลี่ยนน่าเกลียดแบบสุดๆ


ในกล่องที่อยู่ตรงหน้าของทั้งสองในตอนนี้นั้นเป็นร่างของคนจริงๆที่นอนนิ่งๆ การที่คนๆนี้มาอยู่ในกล่องแบบนี้เขาสมควรจะเป็นคนตายเท่านั้น


ซูจิ้งส่งคนตายมาให้แบบนี้หมายความว่ายังไงกัน นี่ถ้าไม่บอกว่าดูถูกกันก็ไม่รู้จะสรรหาคำไหนมาพูดแทนได้แล้ว


“นายลองไปดูสิว่าเขาตายแล้วใช่ไหม” เฟิงเย่เหม่ยพูดออกมาอย่างใจเย็น


“ผม…” ฟูหมิงในตอนนี้ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย เขากลับพยายามกระเถิบออกไปทางประตูด้วยซ้ำ


“นายเอามันมาส่งแล้วคิดจะออกไปได้ง่ายๆรึไงกัน” เฟิงเย่เหม่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา


 


ฟูหมิงในตอนนี้รู้สึกอยากจะร้องไห้อย่างมาก เขานั้นรู้สึกฉงนสงสัยในสิ่งที่คุณซูให้เขาทำจริงๆ แน่นอนว่าเขานั้นไม่สามารถขัดได้เพราะยังไงซะเขาและหัวหน้าของเขาก็เป็นหุ้นส่วน แต่เขาไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ไปได้เลย


 


ฟูหมิงรวบรวมความกล้าสักพัก ก่อนที่เขานั้นจะค่อยเดินตรงไปยังกล่องและค่อยๆเอานิ้วของตัวเองไปอังอยู่ที่จมูกของของร่างในกล่อง ทันทีที่เขารู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ เขาจึงลองใช้มือสัมผัสใบหน้าของร่างในกล่อง มันก็อุ่นๆอยู่เช่นเดียวกัน


“เขายังไม่ตาย” ฟูหมิงพูดโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจ เฟิงเย่เหม่ยเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน


ฟูหมิงนั้นกลัวว่าพลาสติกที่ห่อร่างนี้เอาไว้จะทำให้เขาตายจริงๆจึงได้ทำการเปิดกล่องออกทั้งหมดพร้อมทั้งรื้อพลาสติกและกระดาษที่ห่อร่างนี้เอาไว้ออกจนหมด


เมื่อทั้งสองได้เห็นทั้งร่างกายของคนๆนี้ก็ทำได้แต่มองด้วยสายตาหรี่ๆแบบจับจ้องด้วยความรู้สึกบางอย่าง ก่อนที่จะสายตาเบิกโพลงขึ้นมาในทันที


ชายหนุ่มที่อยู่ในกล่องนี้แน่นอนว่าหล่อ หล่อชนิดนิดว่าไม่มีใครเปรียบได้คือหล่อโดยสมบูรณ์ ร่างกายของเขาเองก็ดูสมส่วนราวกับเป็นงานศิลป์ของศิลปินชั้นสูงเลยก็ว่าได้


 


แม้แต่ฟูหมิงนั้นค่อนข้างมั่นใจกับความหล่อของตัวเองไปแล้วหรือแม้แต่หนุ่มหล่อสองคนก่อนหน้านี้ก็ยังเทียบกับใบหน้าของร่างนี้อย่างเทียบไม่ติด ไม่สิต้องบอกว่าเทียบกันไม่ได้ดีกว่า


แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งคู่ประหลาดใจที่สุดนั้นไม่ใช่ความหล่อเหลา แต่กลับเป็นเส้นผมสีเขียวที่ดูระยิบระยับ ตอนนี้เขานั้นยังหลับตาอยู่และยังหายใจอย่างเป็นจังหวะ


ถึงแม้จะมองว่าตัวเขานั้นเป็นมนุษย์ที่กำลังหลับอยู่แต่ทั้งสองก็สามารถบอกได้เหมือนกันว่าร่างๆนี้ไม่ใช่มนุษย์


GGS:บทที่ 905 สุดยอดแห่งประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์


 


“ทำไมผมของเจ้านี่ถึงขยับได้ล่ะ” เฟิงเย่เหม่ยถามออกมา


“ไม่ทราบเหมือนกันครับ คุณซูไม่ได้บอกอะไรผมไว้เลย” ฟูหมิงส่ายหัวทันที เขารู้สึกเซ็งตัวเองเหมือนกันที่ไม่ยอมถามอะไรมาให้ละเอียดกว่านี้ เขาเองก็คิดไปตอนแรกเพียงว่านี่ก็แค่ตุ๊กตายางธรรมดา ใครจะไปคิดว่ามันจะดูสมจริงขนาดนี้ แถมผมของเจ้าสิ่งนี้ยังเคลื่อนไหวไปมาได้ซะอีก


อย่างไรก็ตามต่อหน้าทั้งสองคนนั้น ผมที่ขยับไปมาอยู่เมื่อครู่นี้ อยู่ๆก็ได้หยุดลง และได้กลายเป็นสีเขียวเข้มในทันที ทั้งคู่ที่เห็นด้วยกันกับตายังนึกว่าตาฝาดไปเลย


 


เฟิงเย่เหม่ยรวมๆความกล้าก่อนที่จะก้าวเข้าไปอยู่ข้างๆร่างกายนี้และทำการสัมผัสไปที่ผมของเขาพลางพูดออกมาลอยๆว่า “ช่างเป็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาเสียจริง” ผมของเขานั้นมีชีวิตชีวาราวกับมีลมพัดผ่านตลอดเวลา ถึงแม้ตอนนี้มันจะไม่ขยับแล้วก็ตาม


ตอนนี้ทั้งคู่นั้นต่างก็มั่นใจได้แล้วว่านี่ไม่ใช่ภาพลวงตาอย่างแน่นอน


เฟิงเย่เหม่ยได้ลองพยายามเปิดเปลือกตาเพื่อสำรวจร่างกาย แต่ทันทีที่เธอไปสัมผัสหนังตานั้นกับต้องตกตะลึงเพราะว่าเธอนั้นไม่สามารถใช้นิ้วเปิดเปลือกตานั้นได้ ไม่สิมันไม่ไม่มีหนังตา มันเหมือนกับว่าร่างนี้ไม่มีช่องลูกตาอยู่เลยมากกว่า นี่ทำให้เธอนั้นต้องถอยหลังกลับไปตั้งหลักสองก้าว


 


“เป็นอะไรครับ” ฟูหมิงที่เห็นแบบนั้นจึงได้ถามออกมาอย่างสงสัย


“เขา เขา เขาไม่มีลูกตา” เฟิงเย่เหม่ยพูดออกมาด้วยความตกใจ


“จะเป็นไปได้ยังไงกัน” ฟูหมิงได้รีบเขาไปสำรวจตรวจดูเขาก็พบว่าชายคนนี้ไม่มีลูกตาอยู่จริงๆ ไม่สิ หากดูให้ดีแล้วล่ะก็ ทั่วทั้งร่างของชายคนนี้เป็นสีขาวนวลและออกจะเขียวจนน้ำเงินหน่อยๆด้วยซ้ำ ตอนแรกเขาก็นึกว่าร่างนี้สกปรกหรือไม่ก็เปื้อนสีมา แต่กลายเป็นว่านี่คือสีผิวของเขาจริงๆ


ผมขยับได้ ไม่มีลูกตา ผิวสีน้ำเงินเขียว นี่ยังเป็นคนอยู่รึเปล่าเนี่ย


“นี่ไม่ใช่คนจริงๆเหรอ” เฟิงเย่เหม่ยนึกไปถึงเรื่องที่ซูจิ้งพูดออกมาก่อนหน้านี้ว่าเขาจะมอบผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้


“แล้วถ้าไม่ใช่มนุษย์แล้วเป็นตัวอะไรน่ะ” ฟูหมิงพูดออกมา


เฟิงเย่เหม่ยได้รวบรวมความกล้าของเธออีกครั้ง เธอก้าวเข้าไปดูร่างนี้ใกล้เพื่อตรวจสอบด้วยตัวเองและมั่นใจได้ในทันทีว่านี่ไม่มนุษย์นั่นก็เพราะว่าไม่มีสัญญาณชิพจร


เฟิงเย่เหม่ยได้ลองค่อยๆใช้เล็บกรีดตรงส่วนร่างจนลึกถึงเนื้อในแต่ก็ยังไม่เห็นมีเลือดไหลออกมา


แต่ในตอนที่เธอจับมันนั้นมันเองก็เหมือนจะมีปฏิกิริยาตอบสนองแต่เธอเช่นเดียวกัน เพราะตอนที่แตะมันมันก็เหมือนตกใจและเมื่อเธอลองกรีดมันเมื่อกี้มันก็เหมือนจะพยายามขยับหนี


“พระเจ้า ฉันว่าเจ้านี่น่าจะเป็นตุ๊กตายางจริงๆ” เฟิงเย่เหม่ยตกใจไม่น้อยทีเดียว


 


“จะเป็นได้ยังไง ถ้าเป็นตุ๊กตายางจริงเขาสร้างออกมันออกมาให้เป็นอย่างนี้ได้ยังไงกัน” ฟูหมิงเองก็ตกใจไม่น้อยที่ได้ยิน


จะตุ๊กตาตัวนี้นั้นมีรูปร่างที่สุดแสนจะสมส่วน ทั้งผิวหนัง อุณหภูมิของร่างกาย ลมหายใจ หรือแม้แต่ปฏิกริยาตอบสนองและความรู้สึกเมื่อตอนสัมผัสนั้นล้วนเหมือนคนจริงๆ


นี่จะเป็นเพียงตุ๊กตายางจริงๆเหรอ ก็ใช่ที่ทั้งรูปร่าง ผิวหนัง อุณหภูมิร่างกา และลมหายใจนั้นอาจจะยังใช้เทคโนโลยีสร้างกันได้


แต่ปฏิกิริยาตอบสนองนี่ล่ะมันไม่เหมือนจริงไปหน่อยหรอ นี่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกมนุษย์ทำได้ถึงขนาดนี้แล้วเหรอเนี่ย


 


“คุณซูทำอย่างที่พุดจริงๆ มันช่างสุดยอด ดูเหมือนว่าเขานั้นไม่ต้องการสร้างความอับอายให้ฉันจริงๆในวันนั้น” ตอนนี้เฟิงเย่เม่ยนั้นเมื่อมั่นใจแล้วว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอนแล้ว


เธอจึงได้สำรวจเรือนร่างของเจ้าสิ่งนี้ในทันที เธอนั้นสัมผัสไปทั้งส่วนที่หน้าจะเป็นใบหน้า ใช้มือสัมผัสลูบไล้ไปยังส่วนหน้าอก ทันใดนั้นส่วนที่คิดว่าเป็นรากขนาดใหญ่ก็ได้ลุกตั้งขึ้นมา พลางส่ายไปมาราวกับการรออะไรบางอย่าง


เฟิงเย่เหม่ยนั้นเลื่อนสายตาลงไปพร้อมทั้งมองด้วยสายตาเป็นประกาย ก่อนที่เธอจะพูดออกมาว่า


“นายออกไปก่อน” เฟิงเย่เหม่ยพูดด้วยสายตาแปลกๆ


“คุณต้องการ…” หลังจากที่ฟูหมิงยังไม่ทันพูดจบดี เมื่อเห็นสายตาของเธอที่จ้องราวกับจะกินเลือดเนื้อของเขา เขาจึงรีบพุ่งออกไปในทันทีพลางร้องลั่นว่า “ไปแล้วคร้าบบบบบ” ทันทีที่ฟูหมิงปิดประตูโดยยังไม่ทันจะปล่อยมือจากลูกบิด เขาก็ได้ยินเสียงล็อคประตูดังคลิ๊กจากข้างใน


 


หนุ่มหล่อสองคนที่รออยู่ข้างนอกและฟูหมิงนั้นได้มองน่ากันและต่างไปยืนประจำที่ราวกับรู้กันดีว่าควรจะทำตัวยังไงดี


หลังจากนั้นสักพักทั้งสามคนก็ได้ยินเสียงครางระงมดังออกมาจากประตูที่พวกเขาเฝ้าอยู่ เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆชนิดที่เรียกได้ว่าราวกับพวกเขาอยู่ในเหตุการณ์เอง นี่ขนาดห้องของโรงแรมระดับห้าดาวนะยังกั้นเสียงเธอไม่อยู่เลย จนทำให้ฟูหมิงนั้นตกใจและจินตนาการไม่ถูกเลยว่าตอนนี้เธอจะเล่าร้อนได้ขนาดไหน


แม้แต่หนุ่มหล่อทั้งสองที่อยู่หน้าห้องก็ยังประหลาดใจและรู้สึกแบบเดียวกันกับฟูหมิงจนหันมามองหน้ากัน เสียงนั้นช่างกระเส่าและร้อนแรงจนทำให้หนุ่มหล่อสองคนนั้นรู้สึกร้อนรุ่มตามไปด้วย


หนึ่งในนั้นได้ถามออกมาว่า “นายเคยทำให้เธอรู้สึกแบบนี้ได้รึเปล่า”


“ไม่นะ เท่าที่ฉันรู้เธอไม่เคยเร่าร้อนแบบนี้มาก่อน”


“ดูเหมือนว่าเจ้าตุ๊กตายางนี่ดีกว่าพวกเราทั้งหมดเลยน่ะสิ”


 


หนุ่มหล่อทั้งสองนั้นได้พูดคำที่ไม่ว่าชายใดก็ตามไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้เลยสักนิด นี่ทำให้ฟูหมิงถึงกับตกตะลึงจนเบิกตาโพลงเมื่อได้ยิน พลางคิดไปว่าเรื่องจริงอย่างนั้นหรอ


ทั้งหมดยังคงเลือกที่จะเฝ้ารอต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก


 


หลังจากเวลาผ่านไปนานพอสมควร เฟ่งเย่วเม่ยเดินออกมาจากส่วนห้องนอนในชุดคลุมอาบน้ำ ใบหน้าของเธอนั้นเปล่งปลั่งและสายตาที่สดชื่นจนดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เธอนั้นรู้สึกว่าตัวเองจนไม่อยากจะเดินไปไหนมาไหนเลยแม้แต่น้อย


หลังจากรวบรวมแรงใจได้สักหน่อยเธอก็ได้เดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่บนโต๊ะพร้อมกับทิ้งตัวลงอยู่บนเก้าอี้ใกล้ๆ และได้ทำการโทรหาซูจิ้งในทันที


 


หลังจากเขาได้รับสาย เฟิงเย่เหม่ยได้พูดออกมาในทันทีว่า “คุณซู ฉันชอบเจ้าตุ๊กตายางที่คุณมอบให้ฉันนั้นฉันชอบมากจริงๆ ขอบคุณมากค่ะ คุณสามารถเสนอราคาของตุ๊กตานี่มาได้อย่างเต็มที่เลย”


ตอนนี้หนุ่มหล่อทั้งสามคนนั้นต่างก็มองไปเฟิงเย่เหม่ยด้วยสายตาที่โง่งม ดูเหมือนว่าเธอนั้นจะชอบเจ้าตุ๊กตานั่นจริงๆ เอาจริงทุกคนนั้นต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะเรียกเจ้าสิ่งนี้ว่าอะไรดีเหมือนกัน มันนั้นไม่เพียงแต่จะรูปร่างคล้ายมนุษย์ มันยังมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับมนุษย์ผู้ชายอีกด้วย


 


เหตุผลก็เพราะว่าเจ้าดอกบานเช้านี้เป็นพืชกินเนื้อ โดยปกติมันนั้นดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการดูดซับแก่นแห่งตะวันและผืนปฐพี และนั่นทำให้ตัวมันนั้นดูมีชีวิตชีวาอยู่ตลอดเวลา


หากเจ้าดอกบานเช้านี้มีอายุเกินกว่าร้อยปีขึ้นไปล่ะก็ หากได้มีอะไรกับมันด้วยจะถือได้ว่าเป็นการบ่มเพาะโดยแก่นตะวันและปฐพีไปด้วยเช่นเดียวกัน และจะทำให้คนๆนั้นมีชีวิตที่เป็นหนุ่มเป็นสาวได้ยาวนานมากขึ้น


สำหรับเจ้าดอกบานเช้าตนนี้นั้นมีอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น แน่นอนว่าการที่มีอะไรกับมันจะไม่ถือว่าเป็นการบ่มเพาะร่างกายด้วยแก่นตะวันและปฐพีแต่อย่างใด แต่ยังไงซะมันก็ยังอึดถึกทนมากกว่าคนธรรมดนับสิบเท่าอยู่ดี


“ฮ่าฮ่าถ้าคุณชอบมันจริงๆล่ะก็ผมมอบให้คุณเลยครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“คุณซูนี่ช่างเป็นคนที่คอยมอบความสุขให้คนอื่นสมคำร่ำลือจริงๆ ก่อนหน้านี้ฉันต้องขอโทษด้วยที่หาว่าคุณทำให้ฉันนั้นต้องขายหน้า เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันยอมรับเจ้าตุ๊กตานี้อย่างแน่นอน และฉันจะยอมโอนนาข้าวทั้งหมดเท่าที่ฉันจะโอนได้ให้คุณโดยลดให้คุณจากราคาประเมิน 20% ไปเลยแล้วกัน” เฟิงเย่เหม่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“โอ้ งั้นผมรับไว้โดยไม่เกรงใจล่ะนะ ผมมีความสุขจริงๆที่ได้ร่วมงานกับคุณ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ด้วยความยินดีค่ะ ว่าแต่ขอฉันถามอะไรคุณหน่อยได้รึเปล่า เจ้าตุ๊กตานี่อยู่ได้นานแค่ไหนกัน ฉันลองพยายามหาดูแล้วแต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไรบนมันเลยแม้แต่น้อย แล้วอีกอย่าง ฉันสามารถนำมันไปล้างได้รึเปล่า


ฉันกลัวว่ามันจะทำให้วงจรไฟฟ้าข้างในลัดวงจรน่ะ และอย่างสุดท้ายคือฉันต้องระวังอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าคะ” เฟิงเย่เหม่ยถามออกมาเพราะรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเจ้าตุ๊กตานนี่เป็นพิเศษ


 


ซูจิ้งได้หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แบตเตอรี่งั้นเหรอ ต่อให้มันถูกเรียกว่าตุ๊กตายางแต่มันก็ไม่มีแบตหรอก ซูจิ้งได้พูดตอบไปว่า “ฮ่าฮ่า เจ้านี่นั้นคุณแทบจะทำอะไรกับมันได้เกือบทุกอย่างเลยครับ แน่นอนว่าคุณไม่ต้องไปใส่ใจเรื่องแบตเตอรี่จะหมด หรือกลัวว่าน้ำจะเข้าไปตอนล้างแต่อย่างใด


มันมีเพียงข้อสองอย่างเท่านั้นที่คุณควรจะใส่ใจมันนั่นก็คือเจ้านี่ออกมาเพื่อรองรับให้มีคนใช้ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หรือก็คือคุณนั้นเปรียบได้ดั่งเจ้านายของมันอย่างเต็มรูปแบบ ส่วนอีกข้อก็คือหากว่าคุณไม่ได้ใช้มันนาน หรือว่าคุณนั้นเลิกใส่ใจมัน มันจะแข็งค้างนิ่งไป”


 


เฟิงเย่เหม่ยนั้นรู้สึกงงอย่างหนักในทันทีที่ได้ยิน หากว่านี่เป็นคนจริงๆเธอก็ยังพอเข้าใจได้ แต่ยังไงซะเธอก็ไม่คิดว่าทั้งสองเรื่องนี้จะเกิดขึ้นมาได้อย่างแน่นอน


นั่นก็เพราะว่าเธอนั้นชอบเจ้านี่มากๆและไม่คิดจะมอบให้ใครอื่นอย่างแน่นอน เธอตอบโทรศัพท์ออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันจะจำไว้ค่ะ”


หลังจากวางสายไป ซูจิ้งได้ทำการโทรหาเตียนจงยี่เพื่อบอกเล่าสถานการณ์ เมื่อเตียนจงยี่ได้ยินไปแล้วเขาก็ถึงกับนิ่งเงียบไปนานจนต้องถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “นี่ผลิตภัณฑ์ของคุณตอบสนองต่อความต้องการของเฟิงเย่เหม่ยได้อย่างนั้นหรือครับ เป็นไปได้ไง”


“ฮ่าฮ่า ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกน่า นายรีบไปทำสัญญาซื้อขายกับเฟิงเย่เหม่ยให้เร็วที่สุดก็พอแล้วน่า”


ซูจิ้งขี้เกียจอธิบายเลยรีบตัดบทไป แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เตียนจงยี่ลดละความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองได้ไม่ เขารีบโทรไปหาฟูหมิงด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


 


ฟูหมิงเองได้เล่าออกมาด้วยความตื่นเต้นโดยละเอียดจนทำให้เตียนจงยี่อึ้งไปเลยทีเดียวจนเขาพูดออกมาลอยๆว่า “รูปร่าง ผิวสัมผัส อุณหภูมิร่างกาย ลมหายใจ และปฏิกิริยาตอบสนองเหมือนกับมนุษย์อย่างนั้นเหรอ มีตุ๊กตายางแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอเนี่ย นี่ตอนนี้เทคโนโลยีด้านนี้ไปถึงไหนกันแล้วเนี่ย”


“ฉันไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าเจ้าตุ๊กตานั่นตอบสนองเธอขนาดนั้นได้ยังไง ผมรู้แค่ว่าตอนนี้เธอชอบมันแบบสุดๆ” ฟูหมิงได้พูดออกมาจนทำให้เตียนจงยี่ถึงกับพูดไม่ออก ตอนนี้เขารู้สึกว่าความเป็นชายของเขานั้นถึงกับแปดเปื้อนไปในทันที


 


“อ้อ ยื่งไปกว่านั้นผมนั้นได้เพิ่มเพื่อนกับเพื่อนของคุณซูที่เราเจอเมื่อวันก่อนไว้ครับ คนที่ชื่อว่าเสี่ยวรุยน่ะ ผมเพิ่งจะเห็นข่าวว่าตอนนี้เขาสูงขึ้นอีกสองเซนติเมตรเพียงชั่วข้ามคืน เขานั้นโพสต์ข้อความแสดงความดีใจออกมาเลย ดูเหมือนว่ายาที่คุณซูให้เขาไปนั้นจะได้ผลจริงๆ แถมยังได้ผลเร็วซะด้วย” ฟูหมิงพูดออกมา


 


“…….” เตียนจงยี่ในตอนนี้นั้นยิ่งฟังก็ยิ่งพูดไม่ออก เข้ารู้อยู่แล้วว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งองค์เทพเซียนจึงไม่อยากจะคิดอะไรมาอีกต่อไป


เขารู้เพียงว่าเขานั้นตัดสินใจถูกแล้วที่เลือกจะติดตามซูจิ้ง ตอนนี้เขารีบโทรไปหาเฟิงเย่เหม่ยในทันทีเพื่อจัดการเรื่องที่ดิน


 


ซูจิ้งตอนนี้ที่อยู่ที่บ้านนั้นยังไม่ได้ทำกิจวัตรประจำวันของเขา เขาออกไปหาหมูจำนวนมากมาและทำการชุบเลี้ยงดอกบานเช้าต่อไป


หากเขานั้นอยากจะทำให้เจ้าดอกบานเช้านี้มีอายุให้ได้ร้อยปีไม่ก็พันปีให้ได้สักต้นหนึ่ง แต่ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนั่นก็เพราะว่าวันนั้นเขาต้องใช้เวลาไปทั้งวันเพื่อที่จะให้ได้ดอกบานเช้าร่างมนุษย์มาสองต้น


ยิ่งกับดอกบานเช้าร่างมนุษย์ผู้หญิงนี่ยิ่งแล้วใหญ่เพราะเขานั้นต้องใช้เนื้อจำนวนมหาศาลไปยังชุบได้เพียงแค่อายุประมาณ 50-60 ปีเท่านั้นเอง


 


คืนนั้น ซูจิ้งได้รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ เมื่อตอนตีสาม ฉิงหยุนก็ได้พูดด้วยเสียงลากยาวเชิงยอกเย้าว่า “ท่านเจ้าของงงงง ขยะห้วงเวลาฯกองใหม่มาแล้วค่า…..” ซูจิ้งได้ลุกขึ้นนั่งและรีบลงบันไดไปอย่างไว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)