Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 896-897

 GGS:บทที่ 896 สองปี


เรื่องที่เกิดการปรับปรุงกฎหมายอุตสาหกรรมยาสูบก่อนหน้านี้นั้นไม่ได้สร้างความตื่นตระหนกให้กับประชาชนทั่วไปเท่าไหร่นัก มีเพียงชนชั้นสูงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่รับรู้เรื่องนี้

ในตอนนี้เรื่องดังกล่าวได้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันทั้งประเทศเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งมีการจับตามองกันอย่างใกล้ชิด แต่ถึงจะอย่างงั้นก็มีเพียงไม่กี่คนที่รับรู้ว่าซูจิ้งได้กลายเป็นผู้ถือหุ้นจำนวน10%ของบริษัทยาสูบแห่งรัฐเรียบร้อยแล้ว หากเป็นคนที่มีส่วนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาสูบเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่รู้ได้ยากแต่อย่างใด

“นี่มันอะไรกัน” ซ่งจุนยี่แทบจะจ้องมองข่าวแบบตาไม่กระพริบเลยตั้งแต่เห็นข่าวนี้

“ซูจิ้งทำได้ยังไงกัน หมอนี่ทำได้ยังไงกัน” ซ่งเกาหยุนเองก็มองข่าวนี้ราวกับเห็นผีเลยทีเดียว

ทั้งสองนั้นไม่คิดที่จะหาเรื่องซูจิ้งมาตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นจะบ้าจี้ยอมเดินตามเกมของจ้าวซือเฟิงรายงานเรื่องของซูจิ้งไปนิดหน่อยก็ตาม

แต่ยังถือว่าโชคดีที่ซูจิ้งนั้นไม่พบเรื่องนี้เข้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ต่อให้จ้าวซือเฟิงตายต้องเป็นพวกเขาเองที่จะอยู่ไม่สุขแทนอย่างแน่นอน


ทั้งสองเข้าใจในทันทีว่าทำไมคนที่มีส่วนกับการตายของนายน้อยคนที่สองของตระกูลจ้าวถึงได้กล้ามาเดินเฉิดฉายหลังจากที่แกล้งตายไปแล้วโดยที่ตระกูลจ้าวไม่คิดจะทำอะไรแม้แต่น้อย

“เป็นไปได้ยังไงกัน” ที่เมืองจงหยุน ณ บ้านตระกูลหวัง หวังหยิงหมิงที่ได้อ่านข่าวนี้ก็รู้สึกโง่งมในทันที แน่นอนว่าเขานั้นย่อมรู้เรื่องนี้ดีกว่าใครเกี่ยวกับเรื่องหุ้นส่วน10%ของอุตสาหกรรมยาสูบแห่งรัฐ

เขาเองก็ได้มีโอกาสรับรู้เกี่ยวกับธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆที่ซูจิ้งเป็นเจ้าของ รวมถึงสายสัมพันธ์ต่างๆที่ซูจิ้งนั้นมีกับตระกูลหวังของเขา

หวังหยิงหมิงเองนั้นจะไม่แปลกใจและไม่ขัดขวางเลยสักนิดหากลูกสาวของเขานั้นตกหลุมรักและแต่งงานกับซูจิ้ง

แต่หลังจากที่เขาสังเกตพฤติกรรมทั้งคู่แล้วดูๆไปก็เหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นเขาก็เลยไม่ได้ใส่ใจอะไรถึงแม้เขาอยากจะได้ซูจิ้งมาเป็นลูกเขยเขาแค่ไหนก็ตาม

แต่ในตอนนี้ความคิดเรื่องนี้ได้ผุดออกมาในใจเขาอีกครั้งหนึ่ง

หากไม่ใช่เพราะว่ามีการคัดค้านจากตระกูลในเรื่องนี้ตอนแรกล่ะก็ แน่นอนว่าเขานั้นย่อมสามารถกลับไปยังตระกูลหวังที่อยู่เมืองหลวงได้อย่างเต็มภาคภูมิได้แน่นอน

นั่นก็เพราะว่าธุรกิจต่างๆของซูจิ้งๆนั้นล้วนแล้วแต่ทรงพลังให้กับบ้านหลักตระกูลหวังได้ทั้งสิ้น มีหรือที่พวกนั้นจะยอมให้บ้านสาขาอย่างที่เมืองจงหยุนแห่งนี้มีอำนาจมากกว่า

เอาจริงๆถ้าหากว่ามีการแต่งงานกันจริงล่ะก็ ต่อให้เขาไม่ดิ้นรนกลับไป แค่คอยรับผลประโยชน์จากธุรกิจเหล่านี้ก็เพียงพอแล้ว แต่ยังไงซะทั้งหมดทั้งมวลแล้วเรื่องทั้งหลายนั้นสูญสลายไปด้วยน้ำมือของเขาเอง

ยิ่งหวังหยิงหมิงคิดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งอยากจะย้อนเวลากลับไปตบกะโหลกตัวเองในอดีตสักสองสามฉาดที่ทำเรื่องโง่ๆพวกนั้นลงไปเสียได้


“ซูจิ้ง สองปีที่ผ่านมานี่นายไปทำอะไรกันแน่เนี่ย” หวังหยานที่เห็นข่าวนี้เองก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหัวไปมาพลางถอนหายใจดังๆ

เธอเองในตอนนี้ยอมรับหมดใจแล้วว่าได้ตัดสินใจผิดพลาดไปแต่เธอเองก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรมากนัก เธอเพียงแค่สงสัยเฉยๆว่าซูจิ้งนั้นไปทำอะไรมาในช่วงสองปีที่ผ่านไปเท่านั้นเอง

ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นเป็นเพียงเด็กหนุ่มชนบทธรรมดาการที่เขาผลักดันตัวเองจนมาถึงขนาดนี้ได้นั้นเป็นเรื่องที่น่าสงสัยอย่างมาก ตอนนี้ต่อให้เธอพยายามนึกถึงความเป็นไปได้ทุกอย่างออกมาแล้วก็ไม่สามารถจินตนากรออกมาได้อยู่ดี

การคงอยู่ของซูจิ้งในขณะนี้สร้างความตกใจต่อทุกคนชนิดที่ว่าอยู่ๆก็รถไฟวิ่งผ่านหน้าไปทั้งๆที่ไม่มีรางรถไฟเลยสักนิด


ในตอนนี้ทั้งตระกูลซ่ง ตระกูลหวัง ตระกูลจ้าว ตระกูลถัง ตระกูลโจว และห้าตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุน ต่างก็ได้รับข่าวนี้กันไปทั่วแล้ว

ไม่ใครคิดอีกต่อไปว่าซูจิ้งนั้นเป็นเพียงคุณชายสี่ที่เป็นเพียงแค่กาฝากคอยเกาะตระกูลหวังอีกต่อไป

แน่นอนว่ารวมถึงตระกูลใหญ่ประจำจังหวัดอย่างตระกูลลู่ ตระกูลเฉิง ตระกูลเกา และตระกูลหวู่เองที่ทันทีที่ได้ข่าวต่างก็ทำหน้าโง่งมไปกันทั้งตระกูล

ตอนนี้ตระกูลลู่และตระกูลเกานั้นข่มใจตัวเองไม่ให้ไปมีเรื่องกับซูจิ้งอีกในอนาคต แม้แต่ผู้นำตระกูลเฉิงเองทันทีที่เห็นข่าวนั้นทั้งตกตะลึง ทั้งอิจฉา และด่าทอตัวเองไปพร้อมๆกันจนอธิบายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้

“ซูจิ้งเป็นใครกันแน่เนี่ย”เฉิงเสี่ยวหยุนได้พูดออกมาลอยๆด้วยความตื่นเต้นแบบออกนอกหน้า

“เฮ้อ…ดูเหมือนว่าพวกเราจะดูถูกเขาไปหน่อยนะ”เฉิงเสี่ยวฮงเองทำได้แค่เพียงสายหน้าพลางถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กๆ

เขาหันหน้าไปยังชายแก่ตัวสูงที่กำลังทำหน้าแข็งๆอยู่ในตอนนี้ว่า “พ่อ พ่อยังคิดว่าเสี่ยวหนานคัดสินใจผิดอยู่อีกรึเปล่า”

ตอนนี้ผู้นำตระกูลเฉิงนั้นทำได้เพียงแค่กะพริบตาปริบๆเท่านั้น เขารู้สึกกระดากใจขึ้นมาในทันทีเมื่อได้ยินคำถามจากลูกชายของเขา แน่นอนว่าเขาเองก็รู้สึกไม่มีความสุขแบบสุดๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะบ่ายเบี่ยงคำถามนี้เพื่อรักษาหน้าตัวเองยังไงดี

แถมเมื่อไม่นานมานี้เฉิงหนานนั้นยังถูกรับเข้าไปเป็นลูกสาวบุญธรรมของผู้ว่าการหู่ซะอีก เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไงกัน ต่อให้แค่ฟังดูก็รู้แล้วว่าเรื่องการรับเป็นลูกบุญธรรมตอบแทนความดีอะไรนั่นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งเพ

ไหนจะเรื่องที่ซูจิ้งนั้นร่วมมือกับเตียนจงยี่ในการพัฒนาผลิตผลและผลิตภัณฑ์ทางด้านการเกษตรนั่นอีก

แน่นอนว่าทั้งสองนั้นได้แรงสนับสนุนจากผู้ว่าการหู่ในการแข็งขันกับซุนหยูเฮงอย่างเต็มที่ เนื่องด้วยเฉิงหนานได้กลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของผู้ว่าการหู่ไปแล้ว

ที่สำคัญที่สุดก็คือข่าวการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาสูบอีก เขานั้นรู้ได้โดยไม่ต้องหาข้อมูลใดๆเลยว่าซูจิ้งนั้นอยู่เบื้องหลังเรื่องพวกนี้ทั้งหมดอย่างแน่นอน

หากเรื่องนี้ซูจิ้งทำได้ด้วยตัวเองล่ะก็ กับอีแค่เรื่องที่ว่าผู้ว่าการรับเฉิงหนานเป็นลูกสาวบุญธรรมนั้นง่ายยิ่งกว่าแช่แป้งซะอีก

ที่ผ่านมานั้นเขานั้นเพียงคิดว่าซูจิ้งต้องการอาศัยบุญบารมีของตระกูลหวังแห่งเมืองหลวงเท่านั้นเอง ใครจะไปคิดว่าเขานั้นคิดผิด คิดผิดแบบเต็มประตูเลยทีเดียว ซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากพอชนิดที่ว่าผู้นำตระกูลหวังเองก็ยังเทียบไม่ได้

นึกถึงตอนที่ว่าเขานั้นคอยทับถมเฉิงหนานทุกครั้งที่ไม่ยอมฟังเขาในการแต่งงานกับจ้าวหยวน ยังดีกว่าไปเป็นผู้จัดการต๋อกต๋อยให้บริษัทง่อยๆพรรนั้น

แต่ตอนนี้ด้วยตำแหน่งของเฉิงหนานที่เป็นผู้จัดการของซูจิ้งนั้น เพียงแค่นี้ตระกูลจ้าวก็ยากจะหาเรื่องได้แล้ว


“พ่อ นี่พ่อจะโกรธไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย ผมก็รู้ว่าพ่อโกรธเสี่ยวหนานมากแต่ว่านี่จะโกรธนานไปแล้วรึเปล่า แถมตอนนี้เรื่องทั้งหมดก็ออกมาเป็นแบบนี้แล้วแสดงให้เห็นว่าเสี่ยวหนานนั้นคิดไม่ผิด

เสี่ยวหนานเองก็เป็นลูกสาวของพ่อนะ ยอมให้เสี่ยวหนานกลับมาซะทีได้ไหมเนี่ย”เฉิงเสี่ยวฮงพูดออกมา

“ใช่แล้ว ใช่แล้ว พี่สาวสมควรมีอิสรภาพที่จะแต่งงานนะ ตลอดมาพอนั้นคอยพูดจาถากถางพี่มาตลอดแต่สุดท้ายแล้วพี่เขาก็ไม่ได้ตัดสินใจผิดอะไรเลยสักนิด และนี่พ่อใจเอาอะไรไปโทษพี่อีกล่ะ”เฉิงเสี่ยวหยุนเองก็สบโอกาสพูดสำทับออกมาในทันที

“เออๆๆ พวกแกอยากทำอะไรก็ทำไป” หัวหน้าตระกูลเฉิงนั้นโบกมือให้เป็นสัญญาณเชิงว่าจะทำอะไรก็ทำไปซะน่ารำคาญ ทั้งเฉิงเสี่ยวฮงและเฉิงเสี่ยวหยุนก็ถึงกับตาเป็นประกายในทันที

ต่อให้พ่อของพวกเขานั้นไม่ได้พูดออกมาเต็มปากก็ตาม แต่ตอนนี้ทั้งสองพี่น้องก็รู้ดีว่าตัวเองนั้นผิดพลาดตั้งแต่ต้น แต่ยังหาทางลงไม่ได้เฉยๆ

ความจริงแล้วผู้นำตระกูลเฉิงนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับเรื่องที่ว่ายอมให้ลูกสาวของเขากับเข้าตระกูลสักที แต่เขาในตอนนี้นั้นกลัวว่าลูกสาวของเขานั้นจะไม่ยอมกลับมามากกว่า

ต่อให้ยอมกลับมาจริงแต่จะทำให้คนกว่าค่อนตระกูลนั้นกระดากใจอย่างหนักแน่นอนเพราะทุกอย่างที่พวกเขาทำไปกับเธอนั้นล้วนแล้วแต่เลวร้ายทั้งสิ้น


นอกจากเหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหลายแล้ว คนที่คอยติดตามข่าวสารเองก็รู้สึกไม่ชอบมาพากลและตกตะลึงกับเรื่องการปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมยาสูบนี้เช่นเดียวกัน และทุกคนต่างก็พูดคุยกันในทันทีในเรื่องที่ว่าซูจิ้งนั้นทำได้ยังไง

ในตอนนี้มีแต่คนสนใจว่าซูจิ้งนั้นพัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดดจากเด็กมหาวิทยาลัยบ้านนอกจนกลายมาเป็นสุดยอดขวัญใจมหาชนแบบตอนนี้ได้อย่างไร และพยายามขุดเรื่องราวต่างๆออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าทีเป็นไปได้

บางคนก็ว่าซูจิ้งนั้นล่องเรือฝ่าอุปสรรคมาอย่างยากลำบากจนก็ทั่งโชคดีที่ลมได้เปลี่ยนทิศ

บางคนก็ว่าซูจิ้งนั้นมีสุดยอดเทคโนโลยีที่สามารถหามหาสมบัติบนโลกได้อย่างง่ายดาย

บางคนก็ว่าซูจิ้งนั้นได้รับการช่วยเหลือจากเทพเซียนบางคน

อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะคาดเดาไปแบบไหนก็ไม่เรื่องไหนเลยที่ฟังดูแล้วมันน่าจะเป็นเรื่องจริง และยิ่งนานวันไปเรื่องต่างๆของซูจิ้งก็ยิ่งแพร่หลายออกไปจนทั่วโลกอินเตอร์เน็ต

จนกระทั่งมีใครบางคนยอมตัดใจรวบรวมเรื่องราวของซูจิ้งทั้งหมดบนโลกอินเตอร์เน็ตมาจัดทำเป็นไทม์ไลน์สรุปประวัติของเขาแต่ละช่วงเวลาแบบละเอียดยิบ

และส่งไปให้คนทั่วโลกอินเตอร์เน็ตได้ศึกษากันเพราะรำคาญที่มีการถกเถียงกันเรื่องความถูกต้องของข้อมูลของซูจิ้ง

ถึงแม้ข้อมูลดังกล่าวจะเยอะมากจนทำให้ยังไม่มีใครอ่านได้หมดแม้แต่คนรวบรวมเองก็ตาม

แต่ตอนนี้นั้นทุกคนบนโลกอินเตอร์เน็ตต่างก็ตกตะลึงในวีรกรรมต่างๆที่ซูจิ้งก่อไว้ในช่วงสองปีที่ล้วนแล้วแต่น่ามหัศจรรย์พันลึก

นี่ขนาดเป็นข้อมูลบนโลกอินเตอร์เน็ตเท่านั้นแต่แค่นี้ก็รู้แล้วว่าซูจิ้งนั้นจริงๆแล้วทรงพลังขนาดไหน


GGS:บทที่ 897 ล่อลวง


 


ประวัติเกี่ยวกับซูจิ้งที่มีชาวเน็ตคนหนึ่งรวบรวมมาเพราะรำคาญข้อมูลผิดๆถูกๆที่คนอื่นเคยถามจนต้องโพสต์เอาไว้นั้นได้กลายเป็นกระทู้ในตำนานในทันที โดยกระทู้นี้ได้มีช่องคอมเม็นต์ยาวเป็นหางว่าวและยังไม่มีท่าทีที่จะหยุดลงแม้แต่น้อย


ทำให้มีชาวเน็ตจำนวนหนึ่งเกิดความอิจฉา ริษยาตาร้อน และรู้สึกเกลียดซูจิ้งขึ้นมาจนจับใจ มีหลายๆคนที่เตรียมจะสร้างเรื่องก่อกวนซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว


แต่พอพวกนั้นนึกถึงเบื้องหลังอันลึกสุดหยั่งของซูจิ้งขึ้นมา ต่อให้คนที่มีหยักสมองน้อยขนาดไหนก็ตาม แน่นอนว่าไม่กล้ามีใครกล้าทำอะไรโฉ่งฉ่างอย่างแน่นอน


ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็หาได้สนใจกระทู้ในตำนานที่ว่าแต่อย่างใด แต่เขากลับเลือกที่จะสืบสานตำนานของเขาต่อโดยไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นตำนานอะไรทั้งนั้น


 


เขาได้ทำการโทรหาเตียนจงยี่เพื่อคุยกันเรื่องการปลูกข้าวสีน้ำเงิน และเช่นเดิมเขานั้นยังคงตั้งใจที่จะเสนอส่วนแบ่ง70%เหมือนครั้งก่อน


“คุณซูครับ ผมขอพูดเลยครับว่าผมไม่ต้องการส่วนแบ่งการปลูกข้าวนี้หรอกครับ” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพนอบน้อมยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ


เขาเองก็ได้รับรู้เรื่องที่ซูจิ้งนั้นเป็นหุ้นส่วนในอุตสาหกรรมยาสูบจำนวน10%เหมือนกัน เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงให้เขาไม่น้อยเลยทีเดียวและรู้สึกว่าตัวได้รับเกียรติจนน้ำตาของเขาไหลในทันทีที่รู้เรื่องนี้


ตอนแรกที่เขาร่วมมือกับซูจิ้งนั้น เขายังกลัวอยู่ว่าซูจิ้งนั้นจะแข็งแกร่งไม่พอที่จะต่อสู้กับซุนหยูเฮงได้ กลับกลายเป็นว่าเขาเองนั้นเป็นเพียงเต่าตาบอดในไหเท่านั้นเอง


ซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากพอจนได้รับส่วนแบ่งในอุตสาหกรรมยาสูบจำนวน10%เลยนะ จะมีใครสักกี่คนที่ทำเรื่องแบบนี้ได้กัน ซุนหยูเฮงน่ะหรอ มันก็แค่เสียงผายลมแค่นั้นเอง


ยิ่งไปกว่านั้นทั้งผลกำไรที่ได้จากดอกกุหลาบสีน้ำเงิน มะละกอเกล็ดงู และมะละกอหวานนั้น ถึงแม้ว่าเขาจะได้ส่วนแบ่ง30%เท่านั้น แต่ผลกำไรที่ผ่านมานั้นถือได้ว่ามากเสียยิ่งกว่าเขาทำงานมาชั่วชีวิตซะอีก


ตราบใดที่เขานั้นยังได้รับความเชื่อใจและมีโอกาสได้ทำงานกับซูจิ้งอยู่อีกล่ะก็ ยังไงซะชีวิตนี้ก็ไม่มีทางตกต่ำอย่างแน่นอน


“ฉันจะให้นายจัดการเรื่องพวกนี้โดยไม่แบ่งเงินให้นายได้ยังไงกันเล่า เอาแบบนี้ 10% แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็รู้ถึงความคิดของเตียนจงยี่ดีเช่นเดียวกัน


แต่ตัวเขานั้นก็ไม่ใช่คนที่กดขี่ข่มเหงคนอื่นเป็นว่าเล่นขนาดนั้น อีกอย่างนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเชื่อใจให้คนของเขาไม่ให้หักหลังตัวเขาเองในอนาคตด้วยเช่นเดียวกัน


อย่างที่เขาว่ากันว่าหากอยากจะทำฟาร์มปศุสัตว์นั้นก็ควรต้องเริ่มจากการให้อาหารให้เป็นเสียก่อน ต่อให้เตียนจงยี่ไม่ต้องการสักแดงเดียว ถึงยังไงเขาก็ควรจะให้เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจสักหน่อยก็ยังดี


“ได้ครับ แค่นั้นก็พอแล้ว” เตียนจงยี่พูดออกมาด้วยความเลื่อมใสจนหมดใจ


“งั้นเราก็มาเจอหน้าแล้วเซ็นสัญญากันหน่อยก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะให้นายลองลิ้มชิมรสข้าวสีน้ำเงินของฉัน แล้วนายจะรู้ว่านายพลาดโอกาสดีไปขนาดไหน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และนี่เองก็ได้ชนะใจเตียนจงยี่ได้เต็มๆไปเลย


เขามั่นใจได้ในทันทีว่าเมื่อเตียนจงยี่ได้กินข้าวสีน้ำเงินนี่แล้วล่ะก็ต้องเร่งรีบทำการตลาดได้อย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน


“ได้ครับ ว่าแต่เรื่องที่ดินที่จะใช้ปลูกนี่พอดีผมมีคนรู้จักคนหนึ่ง เธอนั้นมีที่ที่เหมาะกับการปลูกข้าวมากๆอยู่จำนวนมากเลย แต่ตัวเธอนั้นมุ่งหวังที่จะเปลี่ยนมันเป็นพื้นที่เขตอุตสาหกรรม ผมเลยจะถามว่าคุณซูจะให้ผมจัดการเรื่องนี้เลยเป็นคุณซูเองเป็นคนคุยดีครับ”


“นายพูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไมล่ะนั่น หรือว่าฉันรู้จักเธออย่างงั้นเหรอ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยความสงสัย


“เอาจริงๆผมก็ไม่รู้จักเธอหรอกครับ และผมไม่แน่ใจด้วยว่าคุณจะรู้จักเธอด้วยรึเปล่า แต่เธอเอ่ยถึงคุณในตอนที่ผมไปหาแปลงปลูกผลผลิตของพวกเราก่อนหน้านี้ พอคุณบอกว่าจะปลูกข้าวผมเลยคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมานะ”


ก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่ซูจิ้งที่ได้ฟังเสียงของเตียนจงยี่ในตอนนี้เขาถึงรู้สึกว่าหมอนี่กำลังเขินๆยังไงบอกไม่ถูก


ซูจิ้งนิ่งเงียบคิดไปสักพักก่อนจะพูดออกมาว่า “ได้ บอกไปว่าเดี๋ยวผมไปพบเธอเอง”


 


เย็นวันนั้นซูจิ้งได้ขับรถปอร์เช่ของเขาไปจอดที่หน้าภัตตาคารอาหารชั้นสูงแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีเตียนจงยี่ยืนรอเขาที่ประตูอยู่ก่อนแล้ว และข้างๆเขานั้นมีชายหนุ่มรูปหล่อยืนอยู่ข้างๆ


เมื่อเขาเห็นซูจิ้งก้าวเดินลงจากรถก็ได้รีบตรงเข้าไปพูดคุยในทันทีโดยบอกว่า “คุณซู เธอรอคุณอยู่ที่ชั้นสองครับ”


 


“งั้นไปกันเถอะ ส่วนเรื่องสัญญาของเราสองคนเดี๋ยวค่อยเซ็นหลังจากนี้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ครับ เรื่องของผมไม่ต้องรีบร้อนหรอก คุยเรื่องธุระกับเธอก่อนดีกว่า” เตียนจงยี่พูดออกมา


ทันทีที่ซูจิ้งขึ้นไปชั้นสองนั้นก็ได้รู้สึกถึงความผิดปกติในทันที ตอนผ่านชั้นหนึ่งมาเองเขาก็รู้สึกแปลกๆได้เช่นเดียวกัน มันเหมือนกับว่าที่ชั้นหนึ่งนั้นมีลูกค้าอยู่เต็มจนล้นแต่ชั้นสองกับไม่มีใครเลยสักนิด


เขาเองเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “วันนี้ภัตตาคารนี้ปิดชั้นสองงั้นเหรอ”


“ไม่ใช่ว่าปิดชั้นสองหรอกครับแต่เป็นปิดร้านเลยต่างหาก ร้านอาหารทั้งตึกนี้มีผู้หญิงคนนั้นเป็นเจ้าของ


เพื่อเป็นการต้อนรับคุณเธอเลยปิดร้านที่ชั้นสองทั้งวันเพื่อต้อนรับคุณโดยเฉพาะ” เตียนจงยี่พูดเสร็จแล้วก็ได้หัวเราะออกมาเล็กน้อย


“ห้ะ ต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกในทันที เขาเองในตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกว่าเตียนจงยี่และหนุ่มรูปหล่อที่อยู่ข้างๆมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ


แถมออร่าที่ทั้งสองแผ่ออกมานั้นมันบ่งบอกว่าทั้งสองกำลังแอบซ่อนอะไรบางอย่าง แต่อย่างน้อยเท่าที่เขาดูไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่เรื่องประสงค์ร้ายแต่อย่างใด


ถึงแม้ซูจิ้งจะรู้สึกแปลกใจขนาดไหนแก่เขาก็ไม่ได้ถามอะไรออกมา เขายังขึ้นบันได้ไปชั้นสองอยู่ดี เมื่อไปถึงประตูก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ยินดีต้อนรับค่ะคุณซู”


ซูจิ้งได้ทำการเดินเข้าไปยังห้องโถง ในระหว่างนั้นเขาได้กลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนลอยมาเตะจมูก ที่นั่นมีสาวสวยอายุประมาณ 30 และ 40 ปีนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ข้างหลังเธอเองก็มีชายหนุ่มหน้าตาดีที่อยู่ชุดสูทยืนอยู่จำนวนหนึ่ง


 


“คุณซู ได้ยินชื่อเสียงของคุณมานานแล้ว ในที่สุดก็ได้เจอสักที” หญิงสาวที่นั่งโต๊ะได้ลุกขึ้นต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันทรงเสน่ห์


เธออยู่ในชุดเดรสสั้นสีดำผ่าอกเผยให้เห็นผิวขาวเนียนและร่องลึกที่น่าเย้ายวน เผยให้เห็นสัดส่วนที่น่าจับตามองเมื่อรวมกับชุดสีดำและผิวขาวยิ่งทำให้เห็นราวกับรอยเด่นอยู่กลางอากาศเลยทีเดียว


ในส่วนกระโปรงของเธอเองก็ผ่าข้างขึ้นมาถึงสะโพก แสดงให้เห็นเรียวขาและบั้นท้ายที่ขาวเนียนจนแทบจะเห็นชั้นในเธอได้เลย


 


ใบหน้าของเธอเองก็ดูดีเลยทีเดียวถึงแม้จะดูอายุมากไปนิดแต่ก็ถือได้ว่าดูแลผิวพรรณได้ดีและยังดีมีเสน่ห์อยู่ ถึงแม้อายุจะขนาดนี้แล้วแต่การที่เธอสวมใส่เสื้อผ้าแบบนี้ก็ไม่ได้ดูน่าเกลียดแต่อย่างใด


แถมยังดูมีเสน่ห์กว่าผู้หญิงอายุน้อยกว่าด้วยซ้ำต่อให้ไม่ได้แสดงท่าทางเซ็กซี่ออกมาก็เป็นที่จับตามองของชายหนุ่มได้อย่างง่ายดาย


ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่เขาได้เห็นเตียนจงยี่และชายหน้าหล่อข้างๆแอบมองอยู่บ่อยครั้ง


 


“สวัสดีครับคุณเฟิง ยินดีที่ได้พบครับ” แม้กับซูจิ้งเองก็อยากที่จะอดจ้องเธอไม่ได้แต่สายตาของเขานั้นเร็วเกินกว่าที่ใครจะสังเกตได้


“เป็นฉันมากกว่าค่ะ คุณซูอาจจะยังไม่รู้แต่ว่าฉันนั้นเป็นลูกค้าตัวยงของผลิตภัณฑ์จากบริษัทเวชภัณฑ์ซือหยาเลยนะคะ ไม่ว่าจะเป็นแป้งเสริมความงาม แป้งเสริมทรวงอก แป้งกระชับสัดส่วน แถมฉันยังมีชุดกระชับสัดส่วนที่คุณขายรุ่นแรกด้วยนะ


นอกจากนี้ฉันยังเป็นแฟนของสินค้าตัวอื่นๆของคุณด้วยนะของทุกอย่างล้วนเป็นของดีๆทั้งนั้นเลย นี่จึงเป็นเหตุผลที่ฉันนั้นอยากพบคุณมานานแล้ว” เฟิงเย่เหม่ยได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มและยื่นมือออกมาอย่างอ่อนช้อยเพื่อขอจับมือทักทาย


 


ซูจิ้งนั้นประหลาดใจในทันทีที่ได้ยิน เขานั้นไม่คิดว่าจะเป็นลูกค้าเก่าแก่ของเขาเอง แถมเธอยังใช้แม้แต่ผงเสริมทรวงอกด้วย แต่ด้วยอายุของเธอนี่จะเสริมไปทำไมกันล่ะนั่น ถ้าจะถามไปตรงๆก็คงจะไม่ใช่เรื่องล่ะนะ


ซูจิ้งยื่นมือออกไปเพื่อทำการจับมือทักทายในทันที แต่หลังจากที่ได้จับมือนั้น เฟิงเยว่เหม่ยกลับไม่เพียงแค่จับมือเท่านั้น เธอได้ทำการลูบไล้ไปที่ฝ่ามือของซูจิ้งเป็นไปในเชิงชู้สาวเสียมากกว่า


 


“นี่…” ซูจิ้งเองก็ไม่เคยโดนยั่วแบบนี้มาก่อนเหมือนกันเลยไม่แน่ใจว่านี่เป็นการยั่วยวนจากอีกฝ่ายหนึ่งรึเปล่า เขาหันไปมองหน้าเตียนจงยี่ที่แกล้งมองไปทางอื่นพลางผิวปากในทันที


เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หมอนี่ถึงมีน้ำเสียงแปลกๆตอนโทรศัพท์คุยกันและมองเขาด้วยท่าทีแปลกๆตอนเดินขึ้นบันได


ต้องบอกตรงๆเลยว่าตั้งแต่ซูจิ้งนั้นพัฒนาตัวเองจนกลายเป็นที่นิยมในสังคมโลกแล้วนั้น มีเด็กสาวมากมายที่ต้องการอ่อยเขาและเขาเองก็พูดได้เลยว่าแทบจะเห็นมาแล้วเกือบทุกรูปแบบ


 


แต่นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเลยที่มีคนอ่อยเขามาแบบหมัดตรงขนาดนี้ หากเป็นคนอื่นก็คงโดนตกไปในทันที แต่ตัวเขานั้นมีคู่หมั้นแล้ว และชีวิตคู่ของเขาก็ดีแบบสุด สำหรับเขาแล้วการได้มาเจอเรื่องแบบนี้คือนรกชัดๆ


ถึงจะว่ามาแบบนั้นแต่เขามาที่นี่ในวันนี้ก็เพื่อทำธุรกิจ การเจอสถานการณ์แบบนี้แล้วเผ่นหนีเองก็ไม่ใช่สไตล์ของเขาเลยสักนิด


หากเขาไม่เล่นด้วยแน่นอนว่าเธอย่อมทำอะไรไม่ได้อยู่แล้วดั่งคำที่ว่าถ้าไม่หุงข้าวให้สุกก็ไม่มีทางได้กิน


เป็นไปได้ว่าเมื่อเธอเห็นเขาไม่สนใจก็อาจจะนั่งคุยเรื่องธุรกิจกันดีๆก็ได้ คิดได้ดังนั้นซูจิ้งจึงยังคงนั่นลงต่อไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)