Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 890-895
GGS:บทที่ 890 ก็แค่เบียร์
เย็นวันนั้น รถปอร์เช่ได้ตรงเข้าไปจอดอยู่หน้าประตูคลับหรูแห่งหนึ่งที่มีชื่อว่า KTV ซูจิ้งและหวังจ้าวที่อยู่ในชุดสูทก้าวลงมาจากรถ ซูจิ้งในตอนนี้ได้ถือกล่องเบียร์อยู่ในมือด้วยเช่นกัน เฉิงหนานที่รออยู่หน้าประตูเองก็ได้พอทั้งคู่ขึ้นไปยังชั้นสอง
ในระหว่างนั้นมีบริกรหนุ่มสองคนที่มีหน้าที่คอยต้อนรับแขกที่หน้าประตูตรงเข้ามาและพูดขึ้นมาว่า “ท่านครับ ในกล่องนี้มีไวน์หรือเครื่องดื่มอะไรรึเปล่าครับ ทางเราไม่อนุญาตให้นำเครื่องดื่มจากข้างนอกเข้าในร้านครับ”
เฉิงหนานที่ได้ยินดังนั้นก็ได้ขมวดคิ้วแล้วถามออกมาว่า “พวกเรามีกล่องใหญ่ก็จริง แต่เป็นแค่เบียร์เองนะ ไม่ได้หรอ”
บริกรหนุ่มคนนั้นพยายามจะพูดอะไรต่อ แต่ถูกชายวัยกลางคนที่เข้ามาจากข้างหลังล็อกคอไว้ ก่อนที่จะจับคอเสื้อและเหวี่ยงไปข้างหลังทันที หลังจากนั้นเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหวัง คุณซู คุณเฉิง ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ ไอ้หมอนี่เป็นคนใหม่เลยยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ไม่เป็นไรครับเชิญขึ้นด้านบนได้เลย เรื่องเบียร์ก็ไม่มีปัญหาครับ สามารถนำมาเท่าไหร่ก็ได้แล้วแต่คุณเลย”
ซูจิ้ง หวังจ้าวและเฉิงหนานเองขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืดจึงได้เดินขึ้นไป
“พี่บิน คลับของเรามีกฏอยู่ว่าไม่ให้เอา…”
ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มบริกรจะพูดจบ ชายวัยกลางคนก็ได้ตบหน้าเขาไปหนึ่งฉาดใหญ่ก่อนจะดุด่าออกมาว่า
“แกตาบอดรึไงห้ะ ผู้หญิงคนนั้นคือเฉิงหนาน คุณผู้หญิงแห่งตระกูลเฉิงเลยนะเว้ย ส่วนคนที่เธอนำไปสองคนเมื่อกี้นี้คือคุณชายสามและคุณชายสี่ของตระกูลหวังแห่งปักกิ่งเลยนะ
เพียงพวกเราได้มีโอกาสรับรองทั้งสามท่านนี้ก็ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างมากแล้ว นี่แกเป็นหัวหอมป่ารึไงกันห้ะ ไปมีเรื่องกับแขกด้วยเรื่องเบียร์ไม่กี่กล่องแบบนี้
หัวหน้าบอกให้ฉันดูแลพวกเขาอย่างดีแต่แกเนี่ยน้า กลับจะไล่พวกเขาออกไปด้วยเรื่องเพียงแค่นี้ แกเป็นวัวรึไง”
ชายหนุ่มที่ได้ยินดังนั้นก็ถึงกับสะดุ้งเฮือกหน้าถอดสีกันเลยทีเดียว หากไม่เป็นพี่ใหญ่บินหยุดไว้ล่ะก็ มีหวังเขาคงทำเรื่องใหญ่ไปแล้วแหงๆ
ต่อให้เบียร์ที่นี่จะแพงแค่ไหนแต่คนอย่างนั้นต้องสนใจเรื่องเบียร์แพงด้วยหรอ
“อาจิ้ง ฉันประหลาดใจจริงๆ ฉันว่าเบียร์พวกนี้ไม่พอหรอกนะ จะให้ฉันนำเบียร์มาเพิ่มให้รึเปล่า” หวังจ้าวเองก็มองไปที่เบียร์ของซูจิ้งด้วยท่าทางแปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน แม้แต่เฉิงหนานเองก็ยังคิดๆอยู่ว่าซูจิ้งจะเอาเบียร์มาเองทำไม
“น่าน่า เดี๋ยวถึงเวลาก็รู้เอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หวังจ้าวและเฉิงหนานเองก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดี พวกเขาตอนนี้ก็ได้มาอยู่ที่หน้าห้องที่การจัดเลี้ยงที่อยู่ในชั้นสองเรียบร้อยแล้ว
ที่นี่ในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยเหล่าพนักงานของบริษัทในทุกระดับขั้น ทุกคนต่างก็พูดคุยกันโดยที่ยังไม่เริ่มดื่มกันแม้แต่น้อย ไม่แม้แต่จะตักของกินมานั่งกินกันนั่นก็เพราะว่าเจ้าภาพของงานยังไม่มานั่นเอง
ทันทีที่ทั้งสามเข้ามาทุกคนก็หันไปมองอย่างเป็นตาเดียวกัน ทันใดนั้นบรรยากาศเซ็งแซ่ก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นในทันทีพร้อมเสียงตบมืออันกราวเกรียว
ซูจิ้งยกมือขึ้นมาทักทายและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องตบมือต้อนรับหรอกน่า พวกเรานั้นควรตบมือให้กับทุกคนในบริษัทมากกว่า เพราะทุกคนต่างหากที่ทำให้บริษัทของพวกเราเจริญรุ่งเรื่องมาได้ถึงขนาดนี้
พวกเราต่างหากที่ต้องขอบคุณทุกคน ตอนนี้นี้เรามาเริ่มงานกันเลยดีกว่า เรามาสนุกกับงานเลี้ยงในวันนี้กัน วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา แล้วนะพอบริษัทเป็นหนึ่งในหล้านี้ให้ได้” ซูจิ้งกล่าวคำเปิดงานเลี้ยงออกมา
ซูจิ้งนั้นนอกจากจะถือว่าเป็นดาราใหญ่แล้ว หลายๆคนนั้นเองก็ยังคิดว่าเขานั้นเป็นคนที่ออกแนวเย็นชา แต่ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้คือซูจิ้งนั้นมีท่าทางที่ดูอบอุ่นและดูเป็นกันเอง
ทำให้พวกเขาเองก็อดที่จะคิดไม่ได้เหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นน่าสนิทชิดเชื้ออย่างมาก และเป็นกันเองแบบสุดๆ เอาจริงๆต่อให้ซูจิ้งไม่เคยคิดใส่ใจที่จะให้ใครนับถือเขาแม้แต่น้อย แต่ด้วยทุกสิ่งที่เขาทำนั้นก็อยากเกินกว่าที่ใครจะไม่นับถือได้
หวังจ้าวเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เอาล่ะเอาล่ะเรามาเริ่มดื่มกันดีกว่า เรามาร้องเล่นเต้นตามเพลงกันได้เลย หรือว่าเราจะให้อาจิ้งเริ่มงานด้วยการร้องเพลงดี…..”
ซูจิ้งยกมือขึ้นทันควันพร้อมบอกออกมาว่า “หยุดเลย ถ้าไม่อยากงานกร่อยก็ข้ามช็อตนี้ไปซะ”
หวังจ้าวนั้นก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขานั้นบอกให้คุมเพลงเปิดเพลงสนุกๆขึ้นมาเพลงหนึ่งแล้วหยิบไมค์พร้อมทั้งทำการร้องเพลงเปิดงานในทันที
เอาจริงๆนั้นเสียงของหวังจ้าวนั้นถือได้ว่าดีใช้ได้เลย แต่ประเด็นคือเขานั้นร้องคร่อมจังหวะตั้งแต่ต้นยันจบ
นั่นทำให้พนักงานทุกคนที่อยู่ในงานเลี้ยงถึงกับหัวเราะกันกระจายและนั่นถือได้ว่าเป็นการเปิดงานอย่างเป็นทางการ
ตอนนี้บรรยากาศภายในงานรู้สึกมีชีวิตชีวา ไม่มีใครเกรงใจอีกต่อไปทุกคนต่างก็ร้องเพลง เต้นรำ เล่นเกม ดื่มเหล้า และกินกันอย่างสนุกสนาน
ซูจิ้ง หวังจ้าว และเฉิงหนานเองนั่งได้นั่งอยู่ในโต๊ะของผู้บริหารและผู้จัดการ แน่นอนว่าพนักงานทั่วไปนั้นไม่อาจจะมานั่งที่นี่ได้
ซูจิ้งมองไปรอบก็เห็นซูฉือที่นั่งอยู่ในกลุ่มผู้หญิงพนักงานบริษัทเขาก็พยักหน้าให้ แต่เมื่อเขาหันไปเห็นลู่ชุนเย่ที่นั่งข้างๆก็นิ่งอึ้งไปในทันที เขาว่าเขานั้นให้เฉิงหนานจัดการแต่ก็ไม่คิดว่าจะยอมรับเธอเข้าทำงานแถมยังพามางานเลี้ยงบริษัทเสียอีก
ลู่ชุนเย่นั้นดูๆไปก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรและก็ไม่ได้เกลียดอะไรนัก เธอเป็นแค่คนขี้เกียจคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง นี่คือสิ่งที่ฝังใจเขาเอาไว้ตั้งแต่ช่วงตอนมหาวิทยาลัย
เมื่อเธอหันหน้ามาเห็นซูจิ้งนั้น ถ้าเป็นตอนมหาวิทยาลัยเธอนั้นสมควรจะจ้องกลับมาตรงๆ แต่นี่เธอกลับทำท่าเขิลซะงั้น
ตอนนี้เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวผ่าข้างเผยให้เห็นเรียวขางาม ดูเหมือนเธอเองก็ดูมีเสน่ห์มากกว่าแต่ก่อนเหมือนกัน
ที่เธอก้มหน้าหลบสายตาของเขานี่เขาก็ไม่แน่ใจว่าเธอรู้สึกอายก็เป็นได้ที่ต้องอาศัยชื่อของซูจิ้งเพื่อได้งานนี้มา
แต่ที่แน่ๆเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างแน่นอนหากเธอทำการพูดคุยกับซูจิ้งในตอนนี้
“ชุนเย่ แนได้ยินว่าเธอกับบอสเรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกันอย่างนั้นหรอ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ในกลุ่มถามออกมา โดยคนๆนั้นมีอายุใกล้เคียงกับเธอ
“ใช่” ลู่ชุนเย่พยักหน้ารับ
“ฉันอิจฉาเธอจริงๆ” หญิงสาวอีกคนหนึ่งเองพูดออกมาด้วยท่าทางอิจฉาเช่นเดียวกัน อีกคนหนึ่งก็ได้ถามออกมาว่า “จริงรึเปล่าที่ว่ามีคนเทหัวหน้าของพวกเราตอนมหาวิทยาลัยน่ะ ฉันก็ว่าหัวหน้าของพวกเรานั้นทั้งหนุ่มทั้งแน่นและหล่อเหลานี่นา ผู้หญิงคนนั้นคิดอะไรกันแน่นะ”
“บอกได้เลยว่าผู้หญิงคนนั้นมีตาแต่ไร้แววจริงๆ” ลู่ชิงเย่นั้นพูดออกมา ถึงจะบอกแบบนั้นก็จริงแต่เธอเองก็ได้ลองนึกถึงช่วงเวลาช่วงนั้นไปแล้วก็คิดออกมาว่าในตอนนั้นซูจิ้งก็เป็นเพียงนักศึกษาบ้านนอกคนหนึ่งเท่านั้น
ตอนที่เขาถูกหวังหยานเทไปตอนนั้นถึงแม้หมอนี่จะได้รับผลไปไม่น้อย แต่เธอก็ไม่ได้แปลกใจเรื่องนั้นสักเท่าไหร่
แต่ที่เธอแปลกใจก็คือซูจิ้งในตอนนี้ต่างหาก ใครจะไปคิดว่านักศึกษาบ้านนอกคนนั้นกับสุดยอดนักธุรกิจหนุ่มตรงนี้จะเป็นคนๆเดียวกัน
เป็นซูจิ้งต่างหากที่เป็นคนเปลี่ยนความคิดของเธอทำให้เธอนั้นสนใจเขาแทนจนแทบจะอดใจไม่ไหว เมื่อประมาณครึ่งปีก่อนที่เธอได้เห็นซูจิ้งเองเธอก็แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
ตอนที่เธอเห็นซูจิ้งจากในข่าวนั้นตอนแรกเธอไม่คิดว่าเป็นคนเดียวกับที่เธอนั้นเคยเห็นมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว และใช้เวลานานพอสมควรจนกว่าเธอจะยอมรับเรื่องนี้มาได้
เมื่อเดือนก่อน เธอเองก็ได้ถูกไล่ออกจากงานและเมื่อเธอเห็นว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศกำลังรับสมัครงาน เธอจึงลองคิดจะมาสมัครงานดูด้วยความคิดที่ว่ายังไงซะก็เป็นคนรู้จักกันน่าจะพอช่วยๆกันได้บ้าง
ในตอนนี้เธอคาดไว้แล้วว่าอย่างน้อยซูจิ้งนั้นก็น่าจะคิดว่าเธอยังเป็นร่วมชั้นเรียนอยู่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี ต่อภาพที่อยู่ตรงหน้าเธอในตอนนี้กลับทำให้เธอรู้สึกว่ามันช่างห่างไกลซะเหลือเกินจริงๆ
“”อาจิ้ง นายเอาเบียร์อะไรมาหรอ” หวังจ้าวที่กำลังกรึ่มๆอยู่ตอนนี้ได้ถามซูจิ้งออกมาตรงๆในขณะที่ใช้มือเปิดฝากล่องดูก็เห็นเบียร์ที่แช่อยู่ในน้ำแข็งจนเต็ม
“เอาเป็นเรามาลองกันคนละสักขวดก่อนดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่ไม่ใช่เบียร์หยันจิ้งเหรอ” หวังจ้าวหยิบขวดออกมาเมื่อเห็นป้ายยี่ห้อก็ถามออกมาอย่างงงๆ
“อ่ะแฮ่ม ถึงจะเป็นขวดเบียร์หยันจิ้งแต่ข้างในไม่ใช่เบียร์หยันจิ้งหรอกนะ” ซูจิ้งพูดออกมาแบบอายๆเล็กน้อย
ความจริงแล้วเบียร์นี้คือเบียร์มอลต์แห่งไชร์ที่ได้จากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั่นเอง
เพื่อที่จะทำให้เบียร์เย็นเขาจึงได้ไปยังร้านที่เปิดในชายหาดเมืองฉิงหยุนแล้วทำการซื้อเบียร์มากล่องหนึ่ง หลังจากนั้นจึงล้างทำความสะอาดก่อนที่จะนำมาบรรจุลงขวดพร้อมปิดฝาอย่างดี
“ถ้างั้นนี่ก็คือเบียร์ทำเอง” หวังจ้าวเองก็ตกตะลึงในทันที พลางคิดไปว่า หมอนี่คิดอะไรกันแน่ เขาเองก็รู้ว่าจะมีอะไรเทียบเท่ากับไวน์จิ้งจอกแดงของเขาได้อีกกัน หรือว่าเบียร์นี่เทียบได้จริงๆ?
คนอื่นๆที่ได้ยินดังนั้นต่างก็รู้สึกสงสัยในทันทีว่าได้ยินอะไรผิดไปรึเปล่า แค่คนระดับซูจิ้งนั้นเอาเบียร์มาจากนอกร้านก็ถือว่าน่าแปลกในแล้ว
ยิ่งพอได้ยินมาว่าเบียร์เป็นเบียร์บ่มเองบรรจุเองแบบนี้ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ นี่ซูจิ้งเป็นคนรวยขนาดนี้ยังต้องมาประหยัดแบบนี้ไปทำไมกัน
GGS:บทที่ 891 หาซื้อได้ที่ไหน
หวังจ้าวและเฉิงหนานที่กำลังอยู่ในงานเลี้ยงบริษัทมองหน้าซูจิ้งแบบอึ้งๆในทันทีที่เห็นซูจิ้งแบกรังเบียร์มาต่อหน้าธารกำนัล พลางคิดไปว่านี่เขาจะยกมาเลี้ยงทั้งจังหวัดรึไงกัน
แต่เมื่อทั้งคู่ได้รู้ว่านี่คือเบียร์ที่ซูจิ้งหมักเองนั้น ทั้งสองก็ตื่นเต้นออกมาแบบสังเกตุเห็นได้บนใบหน้าอย่างชัดเจน
“บริกร ช่วยรินเบียร์ให้หน่อยสิ” หวังจ้าวที่เห็นบริกรสาวสวยอยู่ไม่ไกลนักก็ได้เรียกให้เธอช่วยบริการให้กับเขา
“ได้ค่ะ” บริกรรับคำด้วยรอยยิ้มและได้ทำการเปิดฝาขวดอย่างชำนาญ ในทันทีที่เธอได้รินเบียร์ใส่แก้วเธอก็ได้กลิ่นอันหอมละมุนที่ลอยมาจากเบียร์ที่ซูจิ้งนำมาในทันที เธอได้แอบสูดหายใจเขาไปลึกๆเพื่อสัมผัสกลิ่นให้ได้เต็มที่ตามนิสัยของผู้เชี่ยวชาญด้านของมึนเมาและได้นิ่งอึ้งไปในทันที
“อะไรกัน…” ทันทีที่หวังจ้าวและเฉิงหนานได้กลิ่นเบียร์แห่งไชร์ สายตาก็เป็นประกายสว่างวาบ ส่วนคนอื่นนั้นก็นึ่งไปไม่ต่างกับบริกรสาวสวยคนนี้
ทุกๆคนในที่นี้ต่างก็เคยดื่มเบียร์มาแล้วทั้งนั้น และเบียร์ข้าวมอลท์ก็ไม่ใช่ของใหม่แต่อย่างใด แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนในที่นี้ได้กลิ่นเบียร์มอลท์ที่หอมละมุนแบบสุดๆ
“อาจิ้ง นี่คือเบียร์ข้าวมอลท์ใช่รึเปลา” หวังจ้าวถามออกมาด้วยท่าทางยิ้มกริ่ม
“กลิ่นช่างหอมหวลเหลือเกิน” เฉิงหนานเองก็พูดออกมาด้วยท่าทางไม่ต่างกัน
“มันก็แค่เบียร์มอลท์เองจริงๆนะ ลองดูก็ได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแบบเดียวกัน
“คนสวย รินเร็วๆหน่อยสิ” หวังจ้าวทนที่จะลิ้มรสไม่ได้จนเผลอพูดออกมาเสียงดังแบบตื่นเต้น
ทันทีที่บริกรสาวสวยรู้สึกตัวจากความประหลาดใจเธอก็ได้รีบทำการรินเบียร์ในทันที เธอนั้นทำงานมานานจนรู้ว่าควรจะบริการใครก่อน เธอได้รินเบียร์และเสริฟให้หวังจ้าว ตามด้วยซูจิ้ง เฉิงหนาน และคนอื่นๆที่นั่งร่วมโต๊ะรวมทั้งหมดแปดคน
ทันทีที่ทุกได้กลิ่นเบียร์ลอยมาเตะจมูกพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะลองจิบเบียร์ไปเล็กน้อย เพียงแค่จิบเข้าไป
กลิ่นมอลต์อันแรงกล้าที่พวกเขาไม่เคยได้สัมผัสที่ไหนมาก่อนได้แพร่กระจายไปทั่วลิ้นลามไปจนถึงลำคอ
ทุกคนรู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันทีที่ชนิดที่รั้งเอาไว้ไม่อยู่
“เบียร์ที่โคตรดี” หวังจ้าวเอ่ยชมออกมาแบบไม่อาจยั้งปากไว้ได้
“รสชาติดีสุดๆ” เฉิงหนานตกใจในรสชาติจนเผลอกระดกรวดเดียวหมดแก้ว
“เบียร์นี่รสชาติดีที่สุดในโลกเลย”
“กลิ่นอันเอ่อล้นนี่มันอะไรกัน ไหนจะรสชาตินี่อีก ความสดใหม่นี้อีก ไหนจะความรู้สึกสดชื่นหลังดื่มนี่อีก จะอัศจรรย์เกินไปแล้ว”
ทุกคนที่ได้กินต่างรู้สึกมหัศจรรย์พันลึกไปตามๆกัน เบียร์นี่ทำให้เบียร์ทุกชนิดที่พวกเขาเคยกินนั้นไร้คุณค่าไปเลย ยิ่งไปกว่านั้นมันยังไม่ใช่เบียร์ที่มาจากยี่ห้อใหญ่ๆแต่เป็นเบียร์หมักเองซะนี่
ข่าวลือที่ว่าซูจิ้งนั้นเก่งรอบด้านนี่เป็นเรื่องจริงสินะ
“เร็วๆสิครับคนสวย รีบรินเร็วเข้า” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มยิ่งกว่าตอนที่เขานั้นเมามายไปกับไวน์จิ้งจอกแดงของซูจิ้งซะอีก
ไม่สิแม้แต่ไวน์ที่หมักโดยจิวชงเองเมื่อเทียบกันแล้วเขายังรู้สึกว่าเบียร์นี้ยังรู้สึกดีซะกว่า
“อย่ารินให้แค่พวกเรานะ รินเบียร์นี้ให้ทุกคนคนละแก้วได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ”
บริกรสาวสวยยิ้มหวานตอบออกมา แต่ในปากเธอนั้นได้แอบลอบกลืนน้ำลายไปหนึ่งอึกใหญ่ เธอได้รีบทำการรินเบียร์ให้คนอื่นแบบมือเป็นระวิงจนทำให้เสื้อผ้าเริ่มหลุดลุ่ยออกจากชุดฟอร์มของร้าน
ในสถานที่แห่งนี้นั้นหลายครั้งหลายคราที่เธอได้มีโอกาสได้ดื่มเบียร์จนเมาหัวทิ่มรากแตกไปก็หลายหน แต่นี่เป็นครั้งแรกของเธอเช่นเดียวกันที่เพียงแค่ได้กลิ่นเบียร์แล้วรู้สึกหลงใหลไปกับมันขนาดนี้
บริกรสาวสวยก็ยังคงทำหน้าที่ของเธออย่างขะมักขะเม่นและทำการรินเบีบร์ให้แก่หวังจ้าว ซูจิ้ง เฉิงหนาน และคนอื่นๆอย่างไม่ได้พัก
หลังจากที่ซูจิ้งให้คนอื่นได้มีโอกาสได้ลิ้มลองเบียร์นี้ด้วย ก็ได้มีบริกรอีกสองคนเข้ามาช่วยทำหน้าที่ในขนเบียร์เข้ามา แต่ด้วยการที่มีคนที่ต้องการดื่มเยอะกว่าที่คิดทำให้บางคนได้เบียร์ได้อย่างไม่เต็มแก้วดี บางคนได้เพียงครึ่งแก้วเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นกับผู้บริหารหวังกับผู้จัดการของเขากัน ทำไมพวกเขาถึงได้ทำท่าตื่นเต้นในขณะดื่มขนาดนั้น”
“ไม่แน่ใจนะ ดูเหมือนเขาจะบอกกันว่าเบียร์จะเป็นผู้บริหารซูนำมาเองน่ะ”
“โออออ มิน่าล่ะ”
เหล่าพนักงานทั้งหลายในที่นั้นเมื่อได้ยินแล้วต่างก็เข้าใจทันทีที่ได้ยิน พลางคิดไปว่าหากเป็นของที่ผู้บริหารซูเป็นคนนำมาเอง มีหรือที่ทั้งสองผู้บริหารจะไม่ดื่มด่ำไปกับเบียร์พวกนี้ออกนอกหน้าได้ยังไงกัน
ดีไม่ดีทั้งผู้บริหารหวังและผู้จัดการเฉิงนั้นกำลังดื่มเบียร์ที่ดีที่สุดในโลกอย่างอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะออกรสออกชาติขนาดนั้นไปทำไมกัน
“เยี่ยมเลยรู้สึกว่าบริกรจะเริ่มแจกจ่ายเบียร์นะ ไม่นึกเลยว่าเราจะได้โอกาสแบบนี้”
“แต่ฉันไม่ดื่มนี่นา”
“เธอนี่ต้องโง่แน่ๆ นี่คือเบียร์ของผู้บริหารซูจิ้งเลยนะ ต่อให้เธอไม่ดื่มก็สมควรดื่มมันซะ ดื่มแก้วเดียวไม่ตายหรอกน่าไม่ดื่มนี่สิเสียชาติเกิด”
เหล่าพนักงานบริษัททุกคนต่างก็รู้สึกได้ว่าตัวเองได้รับเกียรติอย่างไม่คาดฝันที่ได้ดื่มเบียร์ของซูจิ้ง ต่อให้พวกเขาไม่เคยดื่มมาก่อนก็ตามและก็ไม่คิดจะไว้หน้าซูจิ้งแต่อย่างใด
แต่เมื่อพวกเขาได้กลิ่นไวน์อันเย้ายวนออกมานั้น ต่อให้เป็นคนที่ไม่ดื่มก็อดที่จะกลืนน้ำลายไม่ได้ต่อหน้ากลิ่นอันเย้ายวนใจขนาดนี้จนต้องกระดกหมดในทีเดียว
ตอนนี้ทุกคนในงานต่างก็กระดกแก้วของพวกเขากินอย่างสบายอารมณ์ เมื่อรสชาติอันนุ่มนวลและกลิ่นอันละมุนของมอลต์ที่อันแน่นอยู่ในเบียร์ได้แพร่กระจายไปทั่วลิ้น ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนต้องกระดกแก้วซ้ำไปในทันที
“พระเจ้าช่วยรสชาติดีมาก ฉันพึ่งจะเคยดื่มเบียร์ที่รสชาติดีขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะ”
“เบียร์ทั่วไปไม่มีทางดีขนาดนี้เลยนะ สุดยอดแห่งเบียร์จริงๆ”
“ช่าย ไม่เคยกินเบียร์รสชาติดีขนาดนี้มาก่อนเลย”
“การเป็นว่าคุณหวังและคุณเฉิงไม่ได้แสดงออกนอกหน้าแหะ พวกเขานั้นดื่มของดีอยู่จริงๆ”
ซูฉือและลู่ชุนเย่เองก็ดื่มเหมือนกัน ทันทีที่ริมฝีปากของทั้งสองได้สัมผัสเบียร์กลิ่นหอมหวนกระได้ไหลบ่ากระแทกไปชนฟันก่อนที่จะเอ่อล้นเข้าไปทั่วทุกที่ในมุมปาก
ตอนนี้ทุกคนต่างก็ดื่มด่ำไปกับเบียร์อย่างสุขสันต์ กว่าจะรู้ตัวนั้นก็พบว่าขวดเบียร์ที่พวกเขาได้รับนั้นก็ว่างเปล่า เมื่อทั้งหมดหันไปทางซูจิ้ง ขวดที่ซูจิ้งเองก็ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
และพวกเขายิ่งแน่นอนเข้าไปอีกว่าไม่มีแล้วจริงๆเพราะเห็นเฉิงหนานกำลังเทเบียร์โดยกระแทกทุกหยดออกมาให้ได้ และเห็นหวังจ้าวที่กำลังมึนเมาพยายามเทโดยการบิดขวดแก้วที่ใส่เบียร์อย่างตั้งใจ
“หัวหน้าครับ หัวหน้าไปได้เบียร์พวกนี้มากจากไหนกัน” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เขานั้นอยู่ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขาย ส่วนคนอื่นๆที่ได้ยินคำถามนี้ต่างก็เงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
หากพวกเขารู้ว่าที่ไหนขายล่ะก็แน่นอนว่าจะต้องหาซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านอย่างแน่นอน
“ฮี่ฮี่ฮี่ ฉันยังไม่ได้ทำออกมาขายหรอกนะบอกไว้ก่อน ฉันทำเองที่บ้านน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“สินค้าใหม่?” หวังจ้าวและเจ้งหนานที่ได้ยินก็มีสายตาเปล่งประกายวิ้งวับ
“ใช่ สินค้าตัวใหม่ เท่าที่ดูผลตอลรับแล้วน่าจะโอเคเลยแหะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพลางพยักหน้าอย่างพอใจ
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ตกตะลึงทันทีที่ได้ยิน พวกเขาก็รู้ดีว่าซูจิ้งและหวังจ้าวนั้นเป็นหุ้นส่วนกันไม่เพียงแต่ธุรกิจแผงวงจรพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ทั้งสองยังเป็นหุ้นส่วนในธุรกินซอสมะเขือเทศ และไวน์จิ้งจอกแดงอีกด้วย โดยของทั้งหมดนั้นค่าการตลาดของไวน์จึ้งจอกแดงถือได้ว่าเติบโตได้ดีที่สุดชนิดที่สินค้าอื่นนั้นเทียบไม่ติด
และที่สำคัญไวน์จิ้งจอกแดงนี้ก็เป็นหนึ่งในบรรดาไวน์ทั้งหลายที่ซูจิ้งเป็นคนบ่มเองทั้งนั้น
ดูเหมือนว่าเบียร์นี้น่าจะไม่ใช่เบียร์ทั่วไปแต่กลายเป็นเบียร์ที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่ซูจิ้งนั้นเป็นคนคิดค้นขึ้น เรื่องในครั้งนี้ทำให้เราพนักงานทุกคนนอกจากจะชื่นชมในตัวซูจิ้งมากยิ่งขึ้นแล้ว พวกเขายังรู้สึกเป็นเกียรติที่เป็นส่วนหนึ่งของการได้ลองชิมผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ชั้นเลิศชิ้นนี้
“เบียร์นี้ไม่เพียงแค่รสชาติดีเท่านั้น แต่รสชาติของมันยังเหนือล้ำกว่าทุกเบียร์ในท้องตลาดอย่างแน่นอน นายรีบจัดการผลิตภัณฑ์ในทันทีได้เลย รีบทำให้เบียร์นี่เข้าสู่ตลาดให้ได้เร็วที่สุด” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความติ่นเต้น เช่นเดียวกับเฉิงหนานที่พยักหน้ารับ
ทั้งคู่ต่างก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นได้ทำให้พวกเขานั้นมีช่องทางการทำกำไรมหาศาลอีกแล้ว ชายคนนี้เผลอไม่ได้เลยจริงๆ เผลอเมื่อไหร่ทำให้พวกเขานั้นมหัศจรรย์พันลึกได้ทุกทีเลยทีเดียว
“นี่หมายความว่าพวกเราสามารถซื้อเบียร์นี่ในอนาคตได้เหมือนกันสินะคะ” ผู้จัดการฝ่ายขายที่เป็นสาววัยกลางคนถามออกมาด้วยสายตาเป็นประกาย
“แน่นอน” ซูจิ้งพยักหน้าพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เบียร์ของซูจิ้งหมดเกลี้ยงไม่เหลือหลอ เราบริกรสาวสวยและบริกรชายที่หิ้วเอาขวดออกมาทิ้งตามนำขวดเบียร์เปล่ามาดมอย่างตั้งใจด้วยความเสียดายที่ไม่มีโอกาสได้ดื่มเลยสักนิด
พวกเขานั้นจริงๆแล้วแทบจะทุกคืนนั้น มีโอกาสที่จะได้ดื่มเบียร์ที่ลูกค้าเหลือไว้มาโดยตลอด แต่ครั้งนี้พวกเขานั้นหมดโอกาสนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เพราะในครั้งนี้นั้นแขกเจ้าของไวน์ยังอยากดื่มต่อจะบิดขวดให้เห็นกันโต้งๆ ไม่มีทางเหลือมาถึงพวกเขาอย่างแน่นอน
ทันใดนั้นก็มีชายคนหนึ่งที่มีหัวล้านเดินเข้ามา บริกรทุกคนต่างก็หันไปและตะโกนออกมาว่า “หัวหน้า”
ชายหัวล้านพยักหน้ารับก่อนที่จะเดินเข้าไปดูในห้องอาหารของร้าน
ในขณะที่เขากำลังเดินผ่านลังเบียร์ที่เต็มไปด้วยขวดเปล่านั้น เขาหยุดในทันทีก่อนจะถามออกมาว่า “เดี๋ยวนะ ทำไมหอมขนาดนี้กัน นี่มันเบียร์อะไรกันเนี่ย พวกเรามีเบียร์ใหม่มาขายงั้นรึ”
GGS:บทที่ 892 เปรียบ
“หัวหน้าคะนี่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของทางเราแต่เป็นคุณซูเป็นผู้นำมาค่ะ” บริกรสาวน่ารักคนหนึ่งตอบออกมา
“เบียร์ที่คุณซูนำมาเองอย่างนั้นเหรอ” ชายหัวล้านรู้สึกตกใจไปเล็กน้อยในทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ เขาได้หยิบขวดขึ้นมาขวดหนึ่งและพยายามส่องเบียร์ที่เหลือเพียงน้อยนิดมากๆในขวดและถามออกมาว่า “เบียร์หยันจิ้งหรอ”
“มีแต่ขวดเท่านั้นแหล่ะค่ะที่เป็นเบียร์หยันจิ้ง ข้างในนั้นเป็นเบียร์มอลต์ที่คุณซูบ่มด้วยตัวเอง” บริกรสาวสวยอธิบายออกมา
“อ้อ” ชายหัวล้านลองยกปากขวดขึ้นมาใกล้ๆจมูกเพื่อลองดมกลิ่นเบียร์ดู ทันใดนั้นสายตาของเขาตกใจจนสว่างวาบ ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆอีกสองสามที โดยไม่ใส่ใจต่อสายตาลูกน้องที่รักที่อยู่ข้างหลังเขา
ทั้งสองเองก็เป็นคนที่คอยเฝ้าประตูหน้าร้านไว้และก็ได้กลิ่นเบียร์นี้เป็นคนแรกๆในที่นี้ แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่ได้กลิ่นในตอนแรกเช่นกัน
ชายหัวล้านได้รีบหยิบขวดเบียร์อันว่างเปล่าแล้วเดินตรงไปยังซูจิ้งที่กำลังนั่งสังสรรค์อยู่ในห้องอย่างรวดเร็ว โดยมีชายหนุ่มและชายวัยกลางคนตามเข้ามาติดๆ
“สวัสดีครับคุณซู คุณหวัง ผมชื่อหวันเจิ้งหยางเป็นหัวหน้าของร้านคาราโอเกะแห่งนี้ครับ”
“โอ้ คุณหวัน ยินดีครับที่ได้รู้จักครับ” หวังจ้าวและซูจิ้งหยักหน้าทักทายเล็กน้อย
“การมาของพวกคุณนั้นทำให้ทางผมรู้สึกเป็นเกียรติเป็นอย่างยิ่งครับ พอผมได้ยินมาจากลูกน้องว่าเป็นคุณซูและคุณหวังที่มาเป็นแขกของที่นี่ในวันนี้ผมจึงได้เตรียมของเล็กๆน้อยๆมาให้” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ” ซูจิ้งผายมือออกเชิงอนุญาต เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นต้องทำเป็นพิธีรีตรองแต่อย่างใด
หวันเจิ้งหยางเองเห็นดังนั้นก็ได้ส่งสายตาให้ลูกน้อง ลูกน้องคนนั้นเห็นจึงได้ทำการยกเบียร์ขึ้นมาขวดหนึ่งเปิดฝาแล้วพูดออกมาด้วยเสียงอันดังชัดถ้อยชัดคำว่า
“คุณซู คุณหวัง ก่อนหน้านี้ผมทำเรื่องเสียมารยาทไป ผมขอดื่มเบียร์ขวดนี้เป็นการขอโทษครับ” พูดจบลูกน้องของชายหัวล้านก็กระดกเบียร์เข้าไปทีเดียวหมดขวด ถึงแม้การดื่มเบียร์นั้นไม่ได้ยากเย็นอะไรแต่การกระดกทีเดียวหมดขวดนั้นก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ หลังจากดื่มเสร็จ หน้าของลูกน้องคนนั้นก็แดงฉานในทันที
“คุณซูถ้าไม่ว่าอะไร…” หวันเจิ้งหยางได้หยุดไปชั่วขณะ หมายความว่าเขานั้นอยากจะให้ซูจิ้งตัดสินว่าควรจะให้ทำอะไรต่อกับลูกน้องของเขาที่ทำเรื่องไม่ดีกับซูจิ้งไว้ก่อนหน้านี้
“ไม่เป็นไรครับ แหม่ เรื่องแค่นี้เอง” ซูจิ้งยกมือเชิงห้ามปรามและหวันเจิ้งหยานก็หยุดในทันที เมื่อเขาเห็นว่าซูจิ้งยอมปล่อยเรื่องในครั้งนี้ไปแล้วจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา ถ้าไม่อย่างนั้นเขาเองก็ไม่รู้จะทำยังไงดีเหมือนกัน
เพราะเรื่องในครั้งนี้เป็นฝั่งเขาเองที่ผิดเต็มๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องค่าใช้จ่ายเขาเองจึงต้องให้บริกรที่มีเรื่องก่อนหน้านี้เข้ามาขอโทษด้วยวิธีนี้ แต่กลายเป็นว่าทั้งซูจิ้งและหวังจ้าวนั้นไม่ได้เคืองโกรธอะไรเพราะมันเป็นเรื่องพื้นฐานอยู่แล้ว
ตอนนี้ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานต่างก็จ้องมองมาจังหวันเจิ้งหยานด้วยสายตาแปลกพิกล นั่นก็เพราะว่าบรรยากาศที่ปลดปล่อยออกมารอบตัวของหวันเจิ้งหยางนั้นในแวบแรกรู้เลยว่าเขากลัวมากๆ
แต่เมื่อทั้งสองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วกลับกลายเป็นว่าเขาเพียงกลัวเรื่องพวกนี้ไปซะได้ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะถ้าพูดถึงความผิดปกติของเรื่องนี้แล้ว
กับคนธรรมดานั้นควรเห็นหวังจ้าวที่เป็คุณชายสามที่แท้จริงแห่งตระกูลหวังไม่พอใจ มากกว่าซูจิ้งที่เป็นคุณชายสี่แต่ในนามสิ แต่นี่เขากลับเกรงกลัวซูจิ้งมากกว่าเหมือนกับเขายกระดับของซูจิ้งขึ้นไประดับเหนือกว่าไปแล้ว
เรื่องนี้มีเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ก็คือหวันเจิ้งหยางนั้นรู้ข่าวที่เกิดขึ้นที่เมืองหลวงเกี่ยวกับเรื่องใบยาสูบแล้ว และรู้ดีว่าซูจิ้งไม่ใช่เพียงคนที่คอยเกาะตระกูลหวังแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องการปฏิรูปกฎหมายใบยาสูบใหม่นั้นถึงจะคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องลับแต่อย่างใด หากจะได้ยินมาบ้างก็ไม่แปลก
“คุณซูครับ ผมก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่สมควรจะพูดออกมาแต่ผมเองก็อดใจไม่ไหวแล้วจริงๆเมื่อได้กลิ่นเบียร์นี่ แถมลูกน้องของผมนั้นยังบอกมาอีกว่าเบียร์พวกนี้เป็นของที่คุณซูทำขึ้นเอง …..
เอ่อ… ถ้าเป็นไปได้ผมขอลองลิ้มสักหน่อยได้รึเปล่าครับ” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เอ้อออ กับเรื่องนั้น ผมเองก็เหลือเพียงแค่ครึ่งแก้วของผมนี้เท่านั้นเอง ถ้าคุณไม่รัจเกียงน้ำลาย…”
“ไม่รังเกียจแม้แต่น้อยครับ” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาทันทีในขณะที่ซูจิ้งยังพูดไม่จบดี เขารีบฉวยแก้วมาและดื่มมันในทันทีอย่างไม่คิดอะไรมาก
ทันทีที่ลิ้มรสดวงตาของเขาก็เบิกโพลงในทันที หลังจากนั้นเขาก็ยกซดไปรวดเดียวราวกับกลัวว่าซูจิ้งจะขอแก้วคืนก่อนที่จะกล่าวชมออกมาว่า “เบียร์ที่ดี ไม่สิเบียร์ชั้นเลิศ ผมไม่เคยกินเบียร์ที่รสชาติดีแบบนี้มาก่อนในชีวิตเลยนะ”
ชายหนุ่มคนที่มาดื่มขอโทษกับบริกรชายวัยกลางคนเองต่างก็จ้องมองด้วยความอิจฉา กลิ่นของเบียร์ในแก้วที่หัวหน้าของเขายกดื่มไปเมื่อกี้ได้ลอยมาเตะจมูกของทั้งคู่ในทันทีที่แก้วขยับ
ถ้าเบียร์นี้ถึงขนาดทำให้หัวหน้าของเขาพูดออกมาถึงขนาดนี้ล่ะก็แสดงว่ามันคือของดีจริงๆ ตอนนี้พวกเขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องนำเบียร์มาเอง
เขานั้นไม่ได้ทำเพื่อประหยัดเงินแต่อย่างใด แต่เป็นว่าเบียร์ของร้านนี้น่าจะห่วยเกินไปสำหรับเขามากกว่า
“คุณซูครับ เบียร์นี่ขายรึเปล่าครับ แล้วราคราเท่าไหร่” หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นราวกับว่าเบียร์แก้วนี้คืออาหารชวนฝันที่เขาตามหามาตลอดชีวิต
หากเทียบกันแล้วเพียงเบียร์ครึ่งแก้วที่เขาได้ดื่มไปนี้นั้น เขายินดีที่จะไม่ยอมดื่มเบียร์ยี่ห้ออื่นเลยไปชั่วชีวิต ลองคิดดูซิว่าหากร้านของเขานั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่ขายเบียร์นี้ รับรองได้เลยว่ากิจการเจริญรุ่งเรื่องดั่งหาร้านใดเปรียบมิได้
“เบียร์นี้ผมยังไม่ได้ทำขายหรอกครับ แต่ก็คงอีกไม่นานนัก แต่ราคานี่ผมก็ยังไม่แน่นอนเหมือนกัน ถึงเวลาจริงๆก็คงต้องขึ้นอยู่กับผู้จัดการเฉิงน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางชี้นิ้วไปยังเฉิงหนาน
“หัวหน้าหวันคะ นี่คือนามบัตรของฉันค่ะ” เฉิงหนานได้รีบหยิบนามบัตรออกมาในทันทีอย่างมืออาชีพ
“สวัสดีครับผู้จัดการเฉิง นี่นามบัตรของผมครับ” หวันเจิ้งหยางได้ทำการสุภาพนอบน้อมต่อเฉิงหนานในทันที ก่อนหน้านี้เขาเองก็ละเลยไม่ได้ทักทายเฉิงหนานไปพักใหญ่จึงรู้สึกผิดเหมือนกัน
หลังจากที่ทั้งคู่ได้แลกนามบัตรกันแล้ว หวันเจิ้งหยางก็ได้ขอตัวออกไปก่อนที่จะสั่งให้บริกรนำขนมของขบเขี้ยวและเบียร์จนพอเลี้ยงแต่ละคนได้สองรอบมาเสริฟให้แบบฟรีๆ
งานเลี้ยงยังคงดำเนินต่อไปโดยมีซูจิ้งและหวังจ้าวยังคงอยู่ต่ออีกนิดหน่อยเพราะกลัวว่าคนอื่นจะหมดสนุกกัน แต่ทั้งสองเองก็คิดว่าจะอยู่ต่อไม่นานนัก
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะออกไปนั้นก็เมื่อเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ด้านนอกจากเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมกันขึ้น
“ดูเหมือนว่าจะมีคนก่อเรื่องนะ” หวังจ้าวที่กำลังนั่งปลอกเปลือกส้มได้พูดออกมาลอยๆพลางหันไปทางต้นเสียง
“หืม… ดูเหมือนว่าคนของเราจะถูกรังแกนะ” ซูจิ้งที่ได้ยินเสียงของนอกชัดเจนราวกับในห้องไม่ได้มีเสียงดนตรีใดๆนั้นขมวดคิ้วและยืนขึ้นในทันที
หวังจ้าวที่ได้ยินดังนั้นก็ได้โยนส้มทิ้งไปตรงหน้าอย่างไม่สบอารมณ์และเดินตามซูจิ้งออกไปในทันที แม้แต่เฉิงหนาน ผู้บริหารบริษัท หัวหน้างาน และพนักงาน และคนอื่นๆก็ตามออกไปติดๆ
ที่ด้านหน้าของประตูร้านนั้นซูจิ้งได้พบกับคนที่ไม่คาดคิดนั่นก็คือหวู่ฉิงติงที่มีใบหน้าแดงฉาน แค่ดูก็รู้ว่าเขาเมาอย่างแน่นอนโดยเขานั้นได้ดึงสาวผมสั้นคนหนึ่งเอาไว้และพูดออกมาอย่างหยำเปว่า “อย่ามาทำเป็นไร้เดียงสาเลย…ฮึ้ก..สาวน้อย มาดื่มกับฉัน…ฮึ้ก…ซะ แล้ว…ฉันจะให้ทิปอย่างงามเลยนะ”
“หวู่ฉิงติงนี่แกทำบ้าอะไรเนี่ย” เฉิงหนานที่เห็นหน้าอดีตสามีก็พูดออกมาด้วยเสียงดังลั่น ถึงแม้เธอจะขยะแขยงชายคนนี้ชนิดไม่อยากเข้าใกล้และพูดด้วยแม้จะสักคำเดียว
แต่เมื่อเห็นว่าพนักงานของตัวเองโดนลวนลามอยู่ในตอนนี้ ต่อให้เธอขยะแขยงหมอนี่แค่ไหนก็ต้องช่วยให้ได้ เธอรีบเข้าไปดึงหญิงสาวผมสั้นคนนั้นมาและพามาแอบไว้ข้างหลังตัวเอง
สาวผมสั้นคนนี้เป็นเพียงเด็กฝึกงานที่เพิ่งจะเข้ามาในบริษัท และมาที่นี่เพียงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงเท่านั้น
หวู่ฉิงติงที่เห็นเฉิงหนานนั้นก็เกือบจะหลุดปากด่าออกไปแล้ว แต่เมื่อเขาได้เห็นใบหน้าของหวังจ้าวและซูจิ้งนั้น ใบหน้าของเขาก็ถอดสีและส่ายหัวในทันทีพร้อมพูดออกมาอย่างร้อนรนว่า
“ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆนะ สาบานได้ ฉันแค่บอกให้แม่นี่มาดื่มเป็นเพื่อนเท่านั้น ถ้าเธอไม่ยอมล่ะก็ไม่เป็นไร” พูดจบเขาก็รีบหันออกไปและเดินจากไปในทันที
“หยุดนะ แกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นจนกว่าจะเคลียกันรู้เรื่อง” เฉิงหนานเองที่กำลังกรึ่มๆอยู่ก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แต่หวู่ฉิงติงนั้นทำเป็นไม่ได้ยินและตรงกับเข้าห้องที่เขากำลังดื่มอยู่ไป
“เหยาน้อยเป็นอะไรรึเปล่า” เฉิงหนานค่อยๆจับตัวสาวน้อยไปมาด้วยความห่วงใย สาวน้อยผมสั้นในตอนนี้มีสายตาแดงกล่ำด้วยความกลัวอยู่แล้ว
ทันทีที่ได้ยินเฉิงหนานถามออกมาด้วยความห่วงใยเธอก็ได้ร้องไห้ออกมา ตอนนั้นเองเหล่าสาวๆพนักงานคนอื่นก็ได้เข้ากอดเธอจนเธอรู้สึกอุ่นใจมากขึ้นจึงได้สงบสติลงพอจะเล่าเรื่องราวออกมาได้
เธอเล่าออกมาว่าตอนที่เธอออกจากห้องน้ำก็ได้เจอหวู่ฉิงติงเข้า หวู่ฉิงติงต้องการให้เธอไปนั่งดื่มเป็นเพื่อน แต่พอเธอปฏิเสธเขาก็โกรธและเข้ามาลวนลามเธอ มีบางคนที่เห็นก็ไม่ได้เข้ามาช่วยเธอแต่อย่างใด
“เกิดอะไรขึ้น” หวันเจิ้งหยางนั้นรีบวิ่งเข้ามาพร้อมชายสองคนในทันที นี่เขานั้นต้องเจอปัญหาถึงสองครั้งในวันแบบนี้เลยหรือเนี่ย ปกติเขานั้นจะไม่มาด้วยตัวเองแบบนี้แต่วันนี้มีแขกพิเศษที่ชั้นสองเขาจึงต้องเอาใจใส่ทุกเรื่องเป็นพิเศษ
“คุณหวัน ไปพอตัวหวู่ฉิงติงในนั้นมาหาผมหน่อย” ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเลือดเย็นและได้ชี้ไปยังห้องที่หวู่ฉิงติงหนีเข้าไป
หลังจากนั้นซูจิ้งได้เดินไปยังสาวน้อยผมสั้นก่อนที่จะได้ตบไปที่ไหล่ของเธอเบาๆก่อนจะพูดออกมาว่า “ไม่เป็นไรนะ อย่าร้องไห้ไปเลย กลับไปที่ห้องของเราก่อน เดี๋ยวฉันจะให้ไปเวรนั่นมาคุกเข่าขอโทษเธอเองนะ”
GGS:บทที่ 893 ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก
ซูจิ้ง หวังจ้าว และคนอื่นๆกลับไปยังห้องที่จัดเลี้ยงของตัวเอง สาวผมสั้นเองก็ยังคงร้องไห้อยู่โดยมีเฉิงหนานและสาวๆรุ่นพี่ของเธอคอยอยู่ข้างๆปลอบประโลมให้ดีขึ้น
หวันเจิ้งหยางพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแหยๆว่า “คุณซูและคุณหวังครับ ผมต้องขอโทษกับเรื่องที่…”
“เลิกพูดเรื่องนี้ไปได้เลย นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคุณ คุณแค่ไปบอกไอ้หวู่ฉิงติงนั่นมานี่ก็พอ” หวังจ้าวยกมือเชิงให้หยุดพูดแล้วตัดเข้าประเด็นทันที
“ได้ครับ ได้” หวังเจิ้งหยางได้ชี้ให้คนไปจัดการในทันที แม้ว่าโดยปกตินั้นหวู่ฉิงติงจะไม่ใช่คนที่เขาจะตอแยด้วยได้ก็ตาม แถมส่วนใหญ่เขายังต้องคล้อยตามหมอนั่นไปอย่างไม่อยากเลยด้วยซ้ำ
แต่ในครั้งนี้ไม่ใช่อีกแล้ว ระหว่างหวังจ้าวและซูจิ้งกับหวู่ฉิงติงนั้น เมื่อเทียบกันแล้วต่อให้ไม่มีซูจิ้งอยู่หวังจ้าวก็ยังภาษีดีกว่าเห็นๆ
หวันเจิ้งหยางเองเหมือนคิดอะไรก็ได้รีบออกไปยังห้องข้างๆด้วยตัวเองในทันที ไม่นานนักเขาก็กลับมาแต่กลายเป็นว่าเขากลับพาเด็กหัวเหลืองมาแทน หวังจ้าวเห็นดังนั้นถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะถามออกมาว่า
“หวู่ฉิงติง?”
“หวู่ฉิงติงอยู่ห้องข้างๆจริงครับ แต่จ้าวซือเฟิงแห่งตระจ้าวก็อยู่ด้วย ผมเองก็เอ่อ…” หวันเจิ้งหยางได้แต่ยิ้มแห้งๆออกมา เขารู้ดีว่าห้องข้างๆนั้นมีหวู่ฉิงติงอยู่แต่ไม่คิดว่าจ้าวซือเฟิงจะมาด้วย เรื่องนี้ดันรอดสายตาเขาได้ยังไงกัน
เขาตอนนี้ถูกประกบหน้าหลังด้วยเหล่าคุณชายทั้งสองตระกูลจนเขานั้นรู้สึกว่าอยากตายให้พ้นๆไปเลยจริงๆ ไม่ว่าจะว่ายไปไหนก็เจอแต่ขอบสระทั้งนั้น(หนีเสือปะจรเข้)
“คุณหวังครับ คุณซูครับ นายน้อยของผมส่งผมมาเพื่อขอโทษแทนครับ” หนุ่มหัวเหลืองพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เหอออออ นี่จ้าวซือเฟิงคิดจะปกป้องหวู่ฉิงติงงั้นเหรอ” หวังจ้าวขมวดคิ้ว
“ก็จริงครับที่หวู่ฉิงติงนั้นผิดเต็มๆที่เขาไปทำไม่ดีกับพนักงานของบริษัทคุณ แต่มันก็เป็นเพราะเขาเมาสติเลยเลอะเลือนไปช่วยขณะเท่านั้นเอง
ตอนนี้เขานั้นตัดสินใจจะติดตามนายน้อยของผมแล้ว แน่นอนว่าจะเป็นหรือตายนายน้อยของผมก็ไม่อาจจะเพิกเฉยได้เช่นกัน
เขาเลย…เอ่ออออ..นายน้อยของผมเลยมาถามว่าลูกพี่หวังจะพอไว้หน้าเขาหน่อยได้รึเปล่าครับ” หนุ่มหัวเหลืองเองก็ได้พูดออกมาน้ำเสียงเบาๆ
“ห้ะ อะไรกันที่ทำให้จ้าวซือเฟิงคิดว่าการที่ส่งไอ้หนูอย่างแกมาพูดแล้วฉันจะไว้หน้า นี่มันอยากให้ฉันไปด้วยตัวเองงั้นสิ” หวังจ้าวสบถออกมา
“ไม่ครับ เรื่องนั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ผมนั้นจะพาตัวหวู่ฉิงติงมาดิ่มขอโทษอย่างแน่นอนครับ ผมเพียงมาพูดก่อนจะตัดสินใจหุนหันกันแค่นั้นเอง” ชายหนุ่มหัวเหลืองถึงกับพูดไม่เป็นจังหวะในทันทีเมื่อได้ยิน
หวันเจิ้งหยางเองก็เข้าใจในทันทีว่าฝั่งจ้าวซือเฟิงนั้นพยายามทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็กอยู่
หวังจ้าวได้นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ก่อนที่จะหันไปมองสาวผมสั้นที่เขาเองก็ไม่รู้แม้แต่ชื่อด้วยซ้ำ เขานิ่งไปสักพักก่อนจะถามออกมาว่า
“สาวน้อย เธอคิดว่ายังไง ถ้าจะให้หวู่ฉิงติงนั้นมาขอโทษแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไป” ด้วยการที่พนักงานนี้เป็นเพียงพนักงานตัวน้อยๆ
ซึ่งตามนิสัยของหวังจ้าวเองก็ไม่ใช่คนที่จะช่วยเหลือคนไปทั่วแบบซูจิ้งโดยไม่ดูหน้าอินทร์หน้าพรหม
และจ้าวซือเฟิงเองไม่ใช่คนที่จะออกหน้าให้ใครง่ายๆก็ยังมาออกหน้าให้หวู่ฉิงติงด้วยเช่นเดียวกันทำให้เขาเองก็ต้องคิดนิดหน่อย
“ขอบคุณค่ะหัวหน้า” สาวน้อยผมสั้นเองก็พยักหน้ารับในทันที เธอรู้ดีว่าเธอเองก็เป็นเพียงพนักงานตำแหน่งเล็กๆแต่หวู่ฉิงติงที่เป็นคนตระกูลหวู่ แถมอีกคนคือจ้าวซือเฟิงที่เป็นคนตระกูลจ้าว เพียงแค่ให้หวู่ฉิงติงมาขอโทษเธอก็ดีมากแล้ว
“ขอบคุณที่ไว้หน้าครับ ผมจะไปนำตัวหวู่ฉิงติงมาที่นี่ในทันทีเพื่อขอโทษครับ” หนุ่มหัวเหลืองเองก็รู้สึกยินดีที่ได้ยินคำตอบแบบที่เขาหวังจนต้องยิ้มออกมาอย่างสบายใจ เขานั้นไม่คิดว่าเรื่องจะจบลงง่ายแบบนี้
แต่ในขณะที่หนุ่มหัวเหลืองกำลังหันออกไปเพื่อจะไปลากหวู่ฉิงติงมานั้น ซูจิ้งที่นิ่งเงียบไปนานก็ได้พูดออกมาว่า “เดี๋ยวก่อน”
หนุ่มหัวเหลืองใจเต้นระส่ำในทันทีที่ได้ยินเสียงซูจิ้ง เขาหยุดในทันทีและค่อยหันไปหาซูจิ้งแบบเกร็งๆก่อนจะถามออกมาว่า “คุณ…คุณซูต้องการชี้แนะเรื่องอะไรครับ”
“ไม่มีอะไรมากหรอกว่าพวกเรานั้นไม่ต้องการการขอโทษตามธรรมเนียมปฏิบัติอะไรพวกนั้นหรอก
มันยุ่งยากเกินไปหน่อย เอางี้หากพวกเขาอยากจะมาขอโทษจริงๆก็เพียงแค่มาคุกเข่าต่อหน้าสาวน้อยคนนี้และตบหน้าสามครั้งก็พอ แค่นี้เรื่องก็จบแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หนุ่มหัวเหลืองเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับหน้าถอดสีในทันที ส่วนหวันเจิ้งหยางเองก็มีสีหน้าไม่ต่างกัน แต่กับหวังจ้าวและเฉิงหนานนั้นทั้งสองกลับรู้สึกประหลาดใจขึ้นมา ส่วนสาวผมสั้นและลู่ชุนเย่ถึงได้ยินต่างก็ทำหน้าเหวอตามๆกันไป
การที่จะให้ผู้ชายไม่ว่าจะเป็นคนใหญ่คนโตหรือจะเป็นเด็กน้อยหอยสังข์ที่ไหนมาคุกเข่าต่อหน้าสาวน้อยเพื่อขอโทษเนี่ยนะ
ทุกคนเข้าใจความหมายของเรื่องนี้ดีโดยไม่ต้องอธิบายแต่อย่างใด มันหมายความว่าเขาต้องการให้หวู่ฉิงติงนั้นยอมรับความผิดโดยไม่ไว้หน้าจ้าวซือเฟิงแม้แต่น้อย
เอาจริงๆนั้นแค่หวู่ฉิงติงมายอมขอโทษแบบที่หวังจ้าวต้องการนั้น แค่นั้นก็ถือว่ามากพอที่จะสร้างขวัญกำลังใจให้ทุกคนแล้ว ต่อให้การที่หวู่ฉิงติงมาขอโทษตามมารยาทมันจะกลายเป็นว่าสาวผมสั้นเป็นคนผิดก็ตามแต่นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้วเพราะโลกมันก็ไม่เคยยุติธรรมแบบนี้จริงๆ
บางคนนั้นเกิดมาอยู่บนสุดแห่งห่วงโซ่ของสังคมอยู่เหนือเหล่าคนชั้นล่างทั้งหลาย คนพวกนี้ก็ทำได้เพียงแค่อดกลั้นความรู้สึกตัวเองไว้ แม้แต่สาวน้อยคนนี้เองแม้จะโกรธเพียงไหนแต่แค่นั้นก็ถือว่าดีแล้วสำหรับเธอจริงๆ
อย่างไรก็ตามโลกที่ซูจิ้งต้องการนั้นเป็นโลกที่สงบสุขและเท่าเทียมที่คนแบบหวู่ฉิงติงและจ้าวซือเฟิงนั้นไม่มีวันได้ลืมตาอ้าหากได้ นั่นหมายความว่าเขานั้นไม่ยินยอมให้เรื่องใหญ่เช่นนี้กลายเป็นเรื่องเล็กได้เช่นกัน
ซูฉือที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับคนแบบสาวน้อยคนนี้ที่ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมาโดยตลอดถึงกับต้องใจหวั่นไหวในทันที
เธอเองก็ถูกช่วยเอาไว้ด้วยซูจิ้งเช่นเดียวกัน แม้แต่จ้าวซือเฟิงที่เป็นคนตระกูลจ้าวเองนั้นก็อดที่จะเดือดดาลไม่ได้ตอนที่ได้เห็นเธอมาเดินเฉิดฉายแบบนี้
แม้ว่าเธอจะรู้ว่าการที่เธอจะรอดได้นั้นเป็นเรื่องยากแต่ซูจิ้งก็ยังคอยช่วยเหลือเธอไว้ และในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันที่ซูจิ้งยอมช่วยคนชั้นล่างแบบนี้มีหรือที่จ้าวซือเฟิงจะไม่โกรธเขาได้
“หัวหน้าคะ ฉัน…” สาวน้อยผมสั้นนั้นรู้สึกปลาบปลื้มใจในตัวซูจิ้งจริงๆที่ปกป้องศักดิ์ศรีของเธอ แต่เธอนั้นกลัวว่าจะเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นจริงๆ
“เธอแค่รอเฉยๆก็พอน่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มละมุนให้กับสาวน้อยผมสั้น ด้วยรอยยิ้มของซูจิ้งในตอนนี้ทำให้สาวๆโดยรอบนั้นรู้สึกผ่อนคลายในทันที และรู้สึกดีมากๆที่ซูจิ้งนั้นยังคงยืนอยู่ข้างคนชั้นล่างแบบพวกเธอ
“คุณ…คุณซูครับ ผมว่าเราไม่น่าจะต้อง…ทำกันถึงขนาดนั้นก็ได้ครับ… แค่พนักงานเล็กๆ…” หนุ่มหัวเหลืองในตอนนี้แม้ว่าจะยิ้มออกมาแต่เขานั้นกลับยิ้มแห้งแบบแห้งผากเลยทีเดียว
“คุณซู ครับ หวู่ฉิงติงนั้นมันควรที่จะเมาจนไม่รู้เรื่องรู้ราว หากว่าคุณคิดว่าเรื่องที่เขามาขอโทษอย่างเป็นทางการไม่พอ ผมยอมเลี้ยงพวกคุณทั้งหมดในที่นี้ฟรีๆเลยก็ได้นะครับ”
หวันเจิ้งหยางเองในตอนนี้พยายามไกล่เกลี่ยให้กลายเป็นเรื่องเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพราะไม่อยากให้คนใหญ่คนโตแห่งยุคนี้ต้องมารบรากันที่นี่เพียงเพราะพนักงานตัวเล็กๆเท่านั้น ตัวเขาเองนั้นก็มองเรื่องนี้ว่าได้ไม่คุ้มเสียเลยสักนิด
ต่อให้ซูจิ้งในตอนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป แต่ยังไงซะจ้าวซือเฟิงเองก็ไม่ใช่ว่าจะกินได้ลงง่ายๆเพราะยังไงซะเขานั้นก็เป็นนายน้อยแห่งตระกูลจ้าวแน่นอนว่าตระกูลจ้าวต้องถือหางเต็มที่
หวันเจิ้งหยางนั้นยังได้หันไปมองยังหวังจ้าวและเฉิงหนานโดยหวังว่าทั้งสองจะยอมพูดกับซูจิ้งให้
แต่กลายเป็นว่าทั้งสองไม่หือไม่อือกับเรื่องนี้แต่อย่างใด โดยเฉพาะหวังจ้าวถึงแม้ว่าเขานั้นจะเบื่อที่จะวุ่นวายกับเรื่องแบบนี้มากที่สุด แต่เขาก็ไม่มีทางจะไปขวางน้องรักของเขาอย่างแน่นอน
“หืมมมม นายแน่ใจหรือว่าจะเข้ามาเกี่ยวด้วยเนี่ย” ซูจิ้งถามอย่างเริ่มไม่สบอารมณ์ก่อนจะจ้องมองไปยังหวันเจิ้งหยางอย่างสายตาเรียบเฉย
“ไม่ต้องการอย่างแน่นอนครับ” หวันเจิ้งหยางรีบส่ายหัวพลางยกมือยอมแพ้ทั้งสองข้างก่อนถอยหลังไปในทันที
“พนักงานของฉันถูกรังแกต่อหน้าแล้วจะให้ฉันยอมปล่อยไปเฉยๆงั้นเรอะ ฉันว่าฉันคงไม่ไม่ถูกคนรังแกแบบสาวน้อยคนนี้ได้ง่ายๆหรอกนะ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวเล็กน้อยพลางหันไปชายหัวเหลืองและได้พูดมาต่อว่า “ไปบอกหวู่ฉิงติงว่าให้มาคุกเข่าซะ ถ้าจ้าวซือเฟิงอยากจะช่วยจริงล่ะก็บอกมันไปว่าพยายามให้ดีกว่านี้ดีกว่านะ”
ชายหัวเหลืองเองเห็รแรงกดดันของซูจิ้งในตอนนี้ถึงกับสะดุ้งเฮือกพลางคิดในใจว่าทำไมเขาต้องออกตัวแรงซะขนาดนี้กับพนักงานตัวเล็กๆด้วยกัน หรือว่าเขาต้องการวางอำนาจกัน
แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ชายหัวเหลืองนั้นยอมก้มหัวรับและออกไปอย่างรวดเร็วเพราะว่าเขานั้นเมื่อเจอซูจิ้งแล้วทำอะไรไม่ได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้บรรยากาศในห้องงานเลี้ยงต่างเงียบสนิทชนิดที่เงียบจนน่ากลัวอย่างกับป่าช้า แม้แต่เหล่าพนักงานเองก็ไม่กล้าจะทำอะไรอีกต่อไป
นั่นก็เพราะว่าเหล่าพนักงานกำลังรู้สึกอุ่นใจอย่างเต็มที่ที่ซูจิ้งนั้นคอยสนับสนุนคนแบบพวกเขา แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็กลัวสิ่งที่จะตามมา
นั่นก็เพราะว่าคำขอของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าใหญ่หลวงมากนัก แน่นอนว่าทั้งหวู่ฉิงติงและจ้าวซือเฟิงนั้นไม่มีทางยอมอย่างแน่นอน พนักงานทุกคนทำได้เพียงคาดการณ์ไปต่างๆนานาว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปเท่านั้น
GGS:บทที่ 894 ยอมรึเปล่า
ในห้องเพลงที่อยู่ข้างๆกันนั้น ชายหัวเหลืองได้ผลักประตูเข้ามา จ้าวซือเฟิงที่มือของเขากำลังโอบสาวสวที่คอยยกแก้วเหล้าให้เขาดื่มอยู่บนตักนั้นได้ถามออกมาว่า “เป็นยังไงบ้าง”
ชายหัวเหลืองมองไปยังจ้าวซือเฟิงด้วยหน้าหน้าตาน่าเกลียดพร้อมบอกว่า “หวังจ้าวนั้นเขายอมรับ แต่ซูจิ้งนั้นบอกว่ายังไงซะฉิงติงต้องไปคุกเข่าขอโทษนังเด็กนั่น”
“ห้ะ” จ้าวซือเฟิงยืนขึ้นในทันทีจนทำให้สาวสวยที่นั่งบนตักนั้นร่วงลงไปกองอยู่กับพื้น
“ฉันไม่มีวันยอมคุกเข่าให้นังเด็กนั่นแน่นอน มันคิดว่ามันเป็นใครกัน ต่อให้ไม่ไว้หน้าฉันแต่มันกลับกล้าไม่ยอมไว้หน้าจ้าวซือเฟิงเนี่ยนะ” หวู่ฉิงติงในตอนนี้โกรธจนหน้าเปลี่ยนสีในทันที
“ฉิงติง แน่ใจนะว่าคนที่นายไปลวนลามเป็นเพียงพนักงานในกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศน่ะ” จ้าวซือเฟิงถามออกมาเพื่อยืนยันอีกครั้ง
“ดูจากชุดก็น่าจะใช่อย่างนั้นนะครับ” หวู่ฉิงติงพยักหน้า
“ยัยเด็กนั่นเป็นแค่พนักงานชั้นล่างจริงๆครับ หมอนั่นยังบอกอีกว่าหากลูกพี่ต้องการออกหน้าจริงๆก็ควรไปด้วยตัวเอง…” ชายหนุ่มหัวเหลืองพูดออกมา
“กะอีแค่เกียรติของคนชั้นต่ำจะให้ฉันยอมเสียหน้า นี่มันคิดว่าฉันลูกพลับรึไงกัน” จ้าวซือเฟิงในตอนนี้โกรธขึ้นมาในทันที
“แล้วก็ ผมยังเห็นซูฉือที่ห้องนั้นด้วยครับ” ชายหัวเหลืองกระซิบกระซาบออกมา
“ว่าไงนะ” จ้าวซือเฟิงนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันที ตอนนี้เขาโกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้นมาจนราวกับจะระเบิดได้เลย นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นโกรธถึงขั้นสุด แต่ให้ยังไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาแต่เพียงคนเห็นหน้าเขาในตอนนี้ก็ต้องหวาดกลัวไปตามๆกัน
“ลูกพี่จ้าว ผมพอจะมีวิธีการรับมือเรื่องนี้อยู่ครับ ผมว่าเรานั้นใส่ใจเรื่องนี้มากเกินไปนะ เราน่าจะไม่ต้องสนคำพูดของหมอนั่นดีกว่า” ทันทีที่หวู่ฉิงติงพูดจบนั้นก็ต้องรู้สึกแปลกใจในทันทีเมื่อเห็นใบหน้าของเจ้าซือเฟิงที่น่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม
“หุบปาก” จ้าวซือเฟิงตะคอกออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา ทำให้หวู่ฉิงติงนั้นไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
จ้าวซือเฟิงนั้นไม่มีทางยอมก้มหัวของเขาอย่างแน่นอน ขนาดซูฉืออยู่ที่นี่กับซูจิ้งเขาก็ยังไม่ยอมไว้หน้าให้เขาแม้แต่น้อย อย่าบอกว่าให้ทำเป็นไม่ใส่ใจเลย
ตอนนี้ความแค้นของเขานั้นจะล้นออกมาจนน้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปแล้วจะให้เขานั้นยอมกล้ำกลืนลงไปเนี่ยนะ ถึงแม้ตอนนี้เขาอยากจะพุ่งเข้าไปซัดซูจิ้งใจจะขาด
แต่ด้วยเรื่องการปฏิรูปกฎหมายอุตสาหกรรมยาสูบเองก็ทำให้เขารู้ว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจมากแค่ไหน แถมก่อนหน้านี้จากการสืบสวนของเขาที่พบว่าเพียงตัวซูจิ้งเองก็มีความสามารถเหนือคณานับแล้ว
ถึงแม้เขานั้นจะไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแถมยังคิดว่าเป็นเรื่องหลอกด้วยซ้ำในตอนแรก ในที่สุดเขาก็แน่ใจแล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่อย่างใด แถมหมอนั่นเองก็ยังไม่คิดว่าตระกูลจ้าวอยู่ในสายตาแล้ว
ตอนที่เขารู้ว่าซูฉือนั้นแกล้งตาย ใจของเขาบอกออกมาในทันทีว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย เขานั้นนึกถึงข้อมูลที่เขาได้รับมาว่าน้องชายของเขานั้นได้ไปพัวพันกับแฟนของซูจิ้งตั้งแต่เริ่มเรื่องแล้ว
เขาเองก็คิดมาตลอดว่าการฆ่าตัวตายของน้องชายเขานั้นมันช่างแปลกประหลาด และรู้ดีอยู่แล้วว่ามันต้องเกี่ยวกับซูจิ้งเพียงแต่เขานั้นหาเหตุเชื่อมกันไม่ได้
แต่เมื่อเขารู้ว่าซูฉือแกล้งตาย เขาก็เข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เขาเองก็ไม่อยากทำอะไรในตอนนี้เพราะมันจะไปขัดขวางแผนการใหญ่ของตระกูลเขาในอนาคตอันใกล้
“เดี๋ยวนะ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นแค่ลองเชิงฉันหรอกเหรอ” จ้าวซือเฟิงที่คิดได้ดังนั้นก็ถึงกับใจเต้นด้วยความระทึกขวัญในทันที
ด้วยการที่ในตอนนี้มีซูฉืออยู่ข้างๆหมอนั่นแต่กลับยังกล้ามาหาเรื่องเขาแบบนี้นั่นหมายความว่าหมอนั่นสมควรที่จะต้องการลองเชิงดูว่าควรจะทำยังไงกับตระกูลจ้าวต่อไปดี
หากตัวเขานั้นได้โกรธจนหน้ามืดตามัวไปหาเรื่องซูจิ้งตอนนี้ล่ะก็ แน่นอนว่าตระกูลจ้าวต้องมีปัญหาใหญ่แน่
เมื่อคิดได้ดังนั้นจ้าวซือเฟิงได้หันไปจ้องหวู่ฉิงติงด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะคิดในใจว่า
“หวู่ฉิงติงนี่มันขยะจริงๆ จะไปลวนลามผู้หญิงดูให้มันดีๆกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ สมควรแล้วที่มันต้องเจอเรื่องแบบนี้ ฉันไม่ยอมให้ตระกูลทั้งตระกูลไปเสี่ยงเพราะคนแบบแกแน่นอน”
“ฉิงติง ในเมื่อซูจิ้งไม่ยอมไว้หน้าฉัน ฉันเองก็ช่วยไม่ได้แล้วเหมือนกัน เห็นทีนายต้องไปแล้วล่ะ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
“นี่…” หวู่ฉิงติงถึงกับหน้าซีดในทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาเป็นแบบนี้ เขาไม่คิดว่าจ้าวซือเฟิงนั้นจะถีบเขาออกมารับหน้าตรงๆ
ถึงแม้เรื่องนี้จะดูเหมือนว่าจ้าวซือเฟิงนั้นกลัวซูจิ้ง แต่สำหรับเขานั้นไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายๆแบบนั้นแน่นอน เพราะยังไงซะจ้าวซือเฟิงคือว่าที่ผู้นำตระกูลจ้าว ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้คนนอกตระกูลหวังที่คอยเกาะแข้งเกาะขาตระกูลที่ทรงอำนาจแบบนี้แน่นอน
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามในเมื่อเรื่องเป็นแบบนี้แล้วเขาควรจะทำยังไงดี นี่เขาต้องไปคุกเข่าให้นังเด็กนั่นเนี่ยนะ
“ลูกพี่จ้าว ลูกพี่ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ ได้โปรดช่วยผมด้วย” หวู่ฉิงติงได้ขอร้องอ้อนวอนกับจ้าวซือเฟิงจนดังลั่นห้อง
“ขอบอกแกตรงๆเลยนะว่าฉันในตอนนี้นั้นไม่สามารถต่อกรกับไอ้หมอนั่นได้จริงๆ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาอย่างไม่ไยดีต่อหวู่ฉิงติงแม้แต่น้อยก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า “เหตุผลข้อนี้นั้น ฉันเชื่อว่าอีกไม่นานแกก็คงจะเข้าใจ และเรื่องในนี้เองเป็นแกที่ไปทำผิดด้วยการลวนลามเด็กของคนอื่นเข้าแน่นอนว่าแกผิดเต็มๆ ฉันขอแนะนำว่าให้แกไปคุกเข่าขอโทษดีๆซะ”
“……..”
“ไอ้หวู่ฉิงติงอะไรนั่นทำไมยังไม่มาอีกล่ะ”
“ไม่ใช่ว่ามันหนีไปแล้วหรอกเหรอ”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น เป็นฉันฉันก็หนีดีกว่าต้องมาคุกเข่าขอโทษแบบนี้”
ตอนนี้เหล่าพนักงานในห้องงานเลี้ยงของซูจิ้งนั้นต่างก็ซุบซิบกันจนดังระงม พวกเขาเองก็คิดเหมือนๆกันว่าไม่มีทางที่หวู่ฉิงติงจะยอมมาคุกเข่าขอโทษแต่โดยดี และจ้าวซือเฟิงเองก็ไม่สมควรไว้หน้าซูจิ้งแต่อย่างใด
ในตอนนั้นเองประตูของห้องงานเลี้ยงก็ได้เปิดออก และชายหัวเหลืองคนก่อนหน้าก็ได้เดินเข้ามาพร้อมหวู่ฉิงติงที่ทำหน้าน่าเกลียดแบบสุดๆที่ทำท่าไม่อยากมาอย่างเห็นได้ชัด
ซูจิ้งได้จ้องมองไปทั้งสองคนนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงยกแก้วเบียร์ของตัวเองดิ่มเท่านั้น
หวู่ฉิงติงในตอนนี้เขานั้นได้มองไปยังซูจิ้ง ก่อนที่จะมองไปยังเฉิงหนาน และทำท่าเหมือนกับว่าพยายามจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่เขานั้นก็ไม่ได้พูดออะไรทำเพียงแค่กัดฟันจนแน่น แน่นขนาดที่ว่าทำให้หน้าของเขาสีแดงฉาน
เขาค่อยๆเดินไปยังหญิงสาวผมสั้นที่เขาเคยลวนลามก่อนหน้านี้แล้วได้คุกเข่าลงตรงหน้าเธอ หลังจากนั้นได้รีบทำการตบหน้าสามครั้งก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงดังลั่นว่า “เป็นผมผิดเองที่ทำเรื่องไม่ดีกลับคุณ ผมเสียใจจริงๆครับ เป็นความผิดผมเอง”
ตอนนี้ทุกคนในห้องต่างก็อึ้งกันไปหมด นั่นก็เพราะว่าทุกคนนั้นไม่คาดคิดมาก่อนว่าหวู่ฉิงติงนั้นจะยอมมาคุกเข่าแบบนี้จริงๆ
ไม่ว่าจะเป็นใครน่าไหนที่มาจากตระกูลหวู่ก็ตาม การที่เขานั้นจะต้องมาคุกเข่าให้กับพนักงานบริษัทตำแหน่งเล็กๆแบบนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ต้องตกตะลึงจนอ้าปากค้างกว้างนิ่งอึ้งไป
แม้แต่หวังจ้าวเองก็ยังประหลาดใจในเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ เขาให้ไปมองซูจิ้งที่กำลังมองเรื่องที่เกิดขึ้นพร้อมพยักหน้าเห็นดีเห็นงามราวกับว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรจะเป็นอยู่แล้ว
ตอนนี้ซูจิ้งนั้นถือได้ว่ามีอำนาจสูงล้ำชนิดที่ว่าอย่าว่าแต่ตระกูลหวู่เลย ต่อให้เป็นตระกูลจ้าวเขาก็ไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย
“คุณซู” หวู่ฉิงติงนั้นยังไม่ยอมลุกขึ้นแต่อย่างใด เขามองไปยังซูจิ้งและพยายามยิ้มออกมาถึงแม้รอยยิ้มนั้นจะดูเหมือนเป็นการกล้ำกลืนฝืนทนจนอยากร้องไห้ออกมาก็ตาม
“เธอคิดว่าการขอขมาของไอ้หมอนี่มากพอรึยังสาวน้อย” ซูจิ้งหันไปมองสาวผมสั้นที่เป็นคู่กรณีแล้วถามออกมา
“พอแล้วค่ะ มากเกินพอแล้ว”
เมื่อเธอที่เห็นหวู่ฉิงติงที่กำลังคุกเข่าต่อหน้าเธอในตอนนี้ เธอเองทำได้แต่เพียงงุนงงจนตกตะลึงนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ในระหว่างเกิดเหตุการณ์คุกเข่าขอขมาจนทำอะไรไม่ถูก ทุกคนที่อยู่รอบๆเองก็ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเช่นเดียวกัน
หลังจากฟื้นคืนสติได้เธอเองจึงรีบพูดออกมาในทันที ความโกรธของเธอนั้นหายไปแล้ว และเธอเองกลับรู้สึกเริ่มเห็นใจหวู่ฉิงติงขึ้นมาในทันทีเพราะกลัวว่าหวู่ฉิงติง่จะฟิวส์ขาดทำอะไรไม่ดีออกมา
ถึงแม้ว่าซูจิ้งนั้นจะโกรธแทนเธอยังไงก็ตามแต่ แต่เธอเองก็กลัวปัญหาที่ซูจิ้งต้องแบกรับเอาไว้เช่นเดียวกัน
“หากฉันรู้นะว่าแกยังมาราวีสาวน้อยคนนี้ทีหลังอีก ฉันรับรองได้เลยว่าแกจะต้องอ้อนวอนให้ฆ่าแกตายให้พ้นๆจากโลกนี้ไปซะ” ซูจิ้งมองไปยังหวู่ฉิงติงและพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ผมไม่กล้าแล้ว เป็นความผิดผมเองในเรื่องนี้ และสมควรแล้วที่ผมต้องมาขอโทษ” หวู่ฉิงติงในตอนนี้เริ่มอ่อนน้อมขึ้นมา
“ในเมื่อเสร็จเรื่องแล้วก็ไสหัวไปซะ” ซูจิ้งพูดพลางผายมือให้ฉิงติงไปให้พ้นๆหน้าในทันที
“ได้ครับ” หลังจากพูดออกมา หวู่ฉิงติงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาทำเพียงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปจากห้องเท่านั้นเอง หนุ่มหัวเหลืองก็เดินตามออกไปแบบติดๆ
ใบหน้าของเขาในตอนนี้ค่อนข้างจะแข็งๆ และเขาก็เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรสักคำตั้งแต่เริ่มเข้ามารอบนี้แล้ว
หลังจากหวู่ฉิงติงออกไปจากห้องได้พักใหญ่ก็ได้บังเกิดเสียงโห่ร้องดีใจวี้ดวิ้วกันจนดังลั่นห้องกลบความเงียบก่อนหน้านี้ไปในทันที
เรื่องที่เกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขานั้นคือเรื่องจริงที่คนที่รังแกคนอื่นยอมมาคุกเข่าขอโทษ และนี่เองยิ่งทำให้ทุกคนนั้นต่างนับถือและชื่นชมเจ้านายของตัวเองมากยิ่งขึ้น
“ดูเหมือนว่าช่วงสองปีมานี้หมอนี่จะกลายเป็นคนใหญ่คนโตไปเลยแหะ หมอนี่ไปทำอะไรมากันแน่เนี่ย”
ลู่ชิงเย่เองในตอนนี้นั้นมองไปซูจิ้งอยู่นิ่งๆในระยะไกล และก็รับรู้ในทันทีว่าตัวซูจิ้งนั้นแปลกประหลาดและแตกต่างจากที่เธอเคยรู้จัก และมีสถานะที่ห่างไกลจากเธอมากมายนัก
GGS:บทที่ 895 พังทลาย
“เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้วโว้ย” หวู่ฉิงติงตะโกนขึ้นมาลั่นรถในทันทีที่เขานั้นขึ้นมาบนรถหลังจากออกมาจากร้านอาหารที่เกิดเรื่องขึ้น พลางทุบที่พวงมาลัยขับรถของเขาอย่างบ้านคลั่งพร้อมใบหน้าที่ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าปอดหมูซะอีก
ต่อหน้าภรรยาเก่า ต่อหน้าธารกำนัล เขานั้นต้องคุกเข่าให้เด็กสาวไร้ค่าคนหนึ่งเพื่อขอโทษนี่มันทำให้เขานั้นต้องอับอายเกินไปแล้ว
เขาตอนนี้ไม่มีหน้าไปพบใครได้อีกต่อไปอย่างแน่นอน เขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมจ้าวซือเฟิงถึงกลัวซูจิ้งมากมายขนาดนี้ เขาเพียงโดนซูจิ้งกดดันนิดหน่อยถึงกับยอมถอยหนีและถีบเขาออกมาเผชิญหน้าเรื่องแบบนี้เพียงลำพังเนี่ยนะ
“ช่างแม่…ง ฉันมันหาเรื่องเองจะโทษคนอื่นไปก็เท่านั้น” หวู่ฉิงติงนั้นบนพึมพำกับตัวเองในตอนนี้ก่อนที่จะตัดสินใจหันไปพูดกับคนขับออกมาว่า “โทรหาโอฉิงหยุนบอกหมอนั่นให้มาหาฉันในทันที บอกหมอนั่นด้วยว่าให้เอาข้อมูลทั้งหมดที่มันได้มาจากสถาบันวิจัยให้ฉันด้วย”
“ได้ครับนายน้อย” คนขับรถที่ชื่อเอี้ยหยันได้รับคำในทันที
ไม่นานนักรถของหวู่ฉิงติงได้ขับไปยังจุดนัดพบแต่โอฉิงหยุนยังไม่มาแต่อย่างใด หลังจากรอไปสักพักก็ได้มีโทรศัพท์สายหนึ่งโทรเข้ามาในทันที หลังจากเขารับสายเขาก็ได้ถามไปยังปลายสายทันทีว่า “เกิดอะไรขึ้น”
“ลูกพี่หวู่ พี่ให้ผมจับตาดูซูจิ้งเอาไว้ใช่รึเปล่า ผมมีข่าวที่น่าเหลือเชื่อมาบอกพี่ด้วยล่ะ”
“ข่าวอะไรกัน”
“กฎหมายอุตสาหกรรมยาสูบได้รับการแก้ไขน่ะ”
“ฉันไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับฉันเลยสักนิด หรือว่ามันเกี่ยวกับซูจิ้ง”
“เรื่องนี้ผมยังไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ผมจะส่งข้อมูลไปให้ลูกพี่ดูแล้วกัน” ปลายสายนั้นได้ทำการส่งข้อมูลให้หวู่ฉิงติงในทันที
หลังจากหวู่ฉิงติงมองข้อมูลที่ได้แบบผ่านตาเท่านั้น แต่แค่นั้นก็พอที่จะทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที อุตสาหกรรมยาสูบในตอนนี้ได้เปลี่ยนระบบผู้ถือหุ้นใหม่ แถมยงลดภาษีลงมากกว่าปกติอีกด้วย
เขาเห็นข้อมูลที่บอกว่าซูจิ้งนั้นได้เพาะพันธุ์ต้นยาสูบที่ให้ผลดีกับร่างกายมนุษย์เมื่อสูบและไม่มีผลเสียใดๆเลยแม้แต่น้อย
มันเป็นเพียงข้อความแค่นี้จริงๆและไม่รายละเอียดมากกว่านี้ แต่มีข้อมูลเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยว่าซูจิ้งนั้นได้เป็นผู้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมยาสูบแห่งรัฐในตอนนี้จำนวน10%
“เป็น…เป็นไปได้ยังไงกัน” หวู่ฉิงติงในตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง เขารู้ดีว่าหุ้นส่วน10%ในที่นี้หมายถึงอะไร ต่อให้เขานั้นโง่งมยังไงแต่ก็ยังรู้ดีว่าสิ่งที่ภาครัฐเสนอให้ซูจิ้งนั้นมากมายขนาดไหน และเขาเองก็เข้าใจระบบอุตสาหกรรมยาสูบนี้อย่างดีอีกด้วย
ตอนนี้เขารู้แล้ว่าทำไมจ้าวซือเฟิงนั้นถึงได้กลัวซูจิ้งมากมายนัก อย่าว่าแต่ซูจิ้งเลย แม้แต่ทั้งตระกูลหวังก็ยังต้องยอมคุกเข่าให้ซูจิ้ง
“นายน้อยครับ และโอฉิงหยุนนี่เอายังไงดีครับ” คนขับเองก็ได้เห็นข้อมูลด้วยเหมือนกันเขาจึงได้รีบถามออกมา เขานั้นไม่ใช่เพียงแค่เป็นคนขับรถ ด้วยการที่เขานั้นอยู่กับหวู่หลิวหยิงมานานปีจนเขาเองเปรียบได้กับมือขวาของตระกูลไปแล้ว
หวู่ฉิงติงในตอนนี้มีใบหน้าหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เขาเงียบไปพักหนึ่งในที่สุดเขาก็กัดฟันจนได้ยินเสียงและพูดออกมาว่า
“ต่อให้ซูจิ้งมีเบื้องหลังที่ฉันยากจะต่อกรและยังไม่รู้แน่ชัดก็ตาม แต่ในเมื่อฉันตัดสินใจเริ่มไปแล้วก็ต้องทำจนกว่าจะจบ ฉันไม่ยอมแบกรับความอับอายในครั้งนี้อยู่เฉยๆหรอกโว้ย”
เอาจริงๆนั้นหวู่ฉิงติงนั้นไม่มีอะไรที่จะไปต่อกรกับซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขานั้นมีความรู้สึกว่าซูจิ้งไม่ได้ระแวงโอฉิงหยุนแม้แต่น้อย
หากโอฉิงหยุนสามารถขโมยข้อมูลมาจากสถาบันวิจัยมาได้ล่ะก็ เขาประเมินดูแล้วว่าต้องได้ผลประโยชน์จากเรื่องนี้อย่างมหาศาลแน่นอน และยังเป็นการสร้างความลำบากให้กับซูจิ้งได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แล้วเขาต้องรออะไรล่ะ
หลังจากรอไปพักใหญ่ มีรถคันหนึ่งได้วิ่งเข้ามาจอดข้างๆกัน เมื่อประตูเปิดออกนั้นก็เป็นโอฉิงหยุนเองที่ก้าวเดินออกมาจากรถ
แต่เขานั้นไม่ได้เดินไปหาหวู่ฉิงติงแต่อย่างใด เขาเดินไปที่ประตูรถที่นั่งหลังคนขับ และนั่นเป็นหวู่หลิวหยิงที่ก้าวเดินลงมา
หวู่ฉิงติงได้นิ่งอึ้งไปในทันที เขาพยายามที่จะพูดอะไรออกมาแต่ก็ได้หุบปากลงเมื่อได้เห็นซูจิ้งที่เดินออกมาจากประตูอีกฝั่งและมีหวู่หลิวหยิงเดินตามมาไม่ห่างนัก
ตอนนี้หน้าอกของหวู่ฉิงติงนั้นราวกับร่วงลงไปที่พื้นในทันที ทั้งเขาและเอี้ยหยันนั้นต่างก็สับสนจนพูดอะไรไม่ออกไปพักใหญ่ จนกระทั่งหวู่ฉิงติงตั้งสติได้จึงได้พยายามถามออกมาว่า
“พ่อ… ทำไมพ่อมาที่นี่แล้วทำไมพ่อถึงได้ทำท่าเหมือนกับว่าพ่อติดตาม…”
“แกตามมาเดี๋ยวนี้และเราจะพูดเรื่องนี้กัน” หวู่หลิวหยิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาในทันทีโดยไม่รอให้หวู่ฉิงติงพูดจบ ทั้งหมดได้เดินเข้ายังบ้านหลังหนึ่งโดยมีโอฉิงหยุนเดินตามไม่ห่างนัก
ตอนนี้ทั้งหวู่ฉิงติงและเอี้ยหยันต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งสองมองหน้ากันก่อนที่จะเดินตามไป
เมื่อเข้าไปในบ้านได้ หวู่ฉิงติงได้ชิงพูดออกมาในทันทีว่า “พ่อนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หวู่ฉิงติงถามออกมาด้วยความสงสัยเต็มหัวใจ
การที่เขาเรียกโอฉิงหยุนมานั้นต่อให้พ่อเขารู้เรื่องและตามมาด้วยเขานั้นจะไม่แปลกใจอะไรแม้แต่น้อย แต่นี่กลายเป็นว่าเขากลับพาซูจิ้งมาด้วย
จะบอกว่าซูจิ้งรู้เรื่องที่เขาส่งโอฉิงหยุนไปโจรกรรมข้อมูลแต่ก็มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้แถมยังเป็นคนที่เชื่อถือได้ทั้งสิ้น เรื่องนี้จะถูกเปิดโปงได้ได้ยังไง
“ฉิงติง รีบมาหาคุณซูซะ” หวู่หลิวหยิงพูดออกมาอย่างเย็นชา
“ว่าไงนะ” หวู่ฉิงติงถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที
“ความจริงแล้วโอฉิงหยุนนั้นเป็นคนของคุณซูและคุณซูเองก็รู้ดีว่าเราส่งโอฉิงหยุนเข้าไปสืบข้อมูลในสถาบันวิจัยห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขาตั้งแต่แรกแล้ว ฉันเองก็เพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากได้พูดคุยกับคุณซูมาก่อนหน้านี้นานมากแล้ว และฉันนั้นทำได้เพียงหลอกคนในตระกูลให้มีความหวังลมแล้งๆเท่านั้นเอง”
“ห้ะ” หวู่ฉิงติงนั้นในตอนนี้รู้สึกราวกับความคิดในหัวสมองถูกระเบิดลงในทันทีจนไม่เหลืออะไรอีกแล้ว มันราวกับว่าโลกของเขาตามแบบที่หวังไว้นั้นได้พังทลายลง
โอฉิงหยุนนั้นจะเป็นคนของซูจิ้งไปได้ยังไงกัน โอฉิงหยุนนั้นเป็นคนของตระกูลหวู่แท้ๆนั่นจึงเป็นเหตุผลที่หมอนี่ถือเป็นไพ่ตายเพื่อใช้ต่อกรกับซูจิ้งโดยเฉพาะ แล้วทำไมกลายเป็นว่าหมอนี่ถึงกลายเป็นคนของซูจิ้งได้
หวู่ฉิงติงในตอนนี้ความรู้สึกของเขาเปรียบได้ดั่งกับตัวเองอยู่ในสนามรบที่กำลังขว้างระเบิดมือเพื่อหมายสังหารศัตรูที่ล้อมมาในทุกทิศทาง แต่ทันทีที่เขากำลังจะขว้างก็พบว่าระเบิดมือนั้นเป็นของปลอมที่ถูกหยิบยื่นให้จากศัตรูตั้งแต่ต้น
ยิ่งไปกว่านั้นคือมีคนฝั่งเดียวกันที่รับรู้แผนการนี้อยู่แล้วแถมคนๆนั้นยังเป็นพ่อของเขาเองซะอีก
“ไม่จริง นี่ต้องเป็นเรื่องโกหกแน่นอน ฉันต้องฝันไปแน่ๆ ใช่แล้ว ฉันกำลังฝันร้ายอยู่แน่ๆ” หวู่ฉิงติงในตอนนี้ทำท่าราวกับเป็นบ้า เขาพยายามตบหน้าตัวเองอย่างแรงไปสองสามหน แต่นั่นเองก็ทำให้เขารู้ในทันทีว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดอยู่ตรงหน้าของเขานั้นไม่ใช่ความฝันแต่อย่างใด
หวู่ฉิงติงนั้นพยายามฝืนบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ลงให้ได้มากที่สุด เขาในตอนนี้ต้องการคำตอบให้ชัดเจนที่สุดในความสัมพันธ์ของสามคนนี้
แต่เมื่อเขารู้รับรู้ได้อย่างกระจ่างชัดแล้วว่าพ่อของเขาและโอฉิงหยุนนั้นสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้งเป็นทีเรียบร้อยแล้วทำให้เขารู้สึกขนลุกตั้งชันในทันทีด้วยความหวาดกลัว
หากนี่ไม่ใช่ความฝันไปล่ะก็นี่หมายความว่าทั้งพ่อของเขาและโอฉิงหยุนนั้นสมควรสวามิภักดิ์ต่อซูจิ้งมานานมากแล้ว เรื่องที่โอฉิงหยุนเป็นคนของซูจิ้งไปแล้วเรื่องนี้เขานั้นพอรับได้แต่ แต่เขารับไม่ได้จริงๆที่รู้ว่าพ่อของตัวเองก็ยอมสวามิภัดิ์ต่อซูจิ้งเช่นเดียวกัน
เขาไม่รู้ว่าซูจิ้งใช้วิธีการไหนที่ทำให้พ่อของเขานั้นยอมสวามิภักดิ์ได้ขนาดนี้นี่จึงเหตุผลที่เขานั้นรู้สึกกลัวจับจิตขึ้นมา
เขาเองก็โทษใครไม่ได้เพราะตัวเองเป็นคนนำโอฉิงหยุนเข้ามายังตระกูล เขานั้นตั้งเป้าไว้ว่าให้หมอนี่เป็นสุดยอดนักจารกรรมของตระกูล ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องเด็กเล่นต่อหน้าศัตรูไปได้
“นี่หมายความว่าซูจิ้งนั้นมีเบื้องหลังที่สุดจะหยั่งถึงได้สินะ” นี่เป็นสิ่งที่แวบเข้ามาในจิตใต้สำนึกของหวู่ฉิงติงในทันที นี่ทำให้ประการด่านสุดท้ายในจิตสำนึกของเขาสลายไปในบัดดล
ไม่ว่าเขานั้นจะทำอะไรก็สมควรที่จะไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว ตอนนี้เขารู้ดีแล้วว่าหากเขาทำอะไรที่ดูขัดขืนแม้แต่น้อยย่อมหมายถึงความตายอย่างแน่นอนแล้ว
ขนาดพ่อของเขาเองยังยอมทำตามอย่างว่าง่ายแล้วนับประสาอะไรกับเขากัน ก็จริงที่ก่อนหน้านี้เขาโกรธแค้นที่ถูกบังคับให้คุกเข่าต่อหน้าสาธารณะชน แต่เรื่องนั้นเมื่อเทียบกับชีวิตตัวเองแล้วอย่างหลังย่อมสำคัญกว่า
“สวัสดีขอรับคุณซู” หวู่ฉิงติงในตอนนี้แทบจะโยนศักดิ์ศรีและเกียรติยศที่เขาภูมิใจนักหนาทิ้งไปหมดแล้ว
“สวัสดี หวังว่านายคงจะเข้าใจนะว่าการที่ฉันยอมปล่อยคนแบบนายให้ลอยหน้าลอยตาแบบนี้ได้เป็นเพราะคำขอของพ่อนายทั้งนั้น ฉันจะไม่ดีอีกต่อไปแล้วหากว่านายยังมาคอยขัดแข้งขัดขาฉันแบบนี้อีก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เข้าใจแล้วครับ ผมเข้าใจอย่างดีแล้ว” หวู่ฉิงติงในตอนนี้พูดตอบรับคำของซูจิ้งอย่างนอบน้อมที่สุดในชีวิตเสียยิ่งกว่าตอนที่คุยกับพ่อของเขาซะอีก หวู่ฉิงติงได้ถามออกมาต่อว่า “แล้วผมต้องคอยสอดส่องจ้าวซือเฟิงด้วยรึเปล่าครับ”
“นอกจากการทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องของฉันกับตระกูลหวู่และสร้างปัญหาให้ฉันอีกในอนาคตแล้วล่ะก็ ที่เหลือก็แล้วแต่นายแล้วล่ะ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง หวู่ฉิงติงที่ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้ารับราวกับไก่จิกข้าวสารในทันที เขาเข้าใจในทันทีว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้มองเห็นว่าเขานั้นเป็นคนของซูจิ้งแต่อย่างใด เห็นเพียงเขาเป็นตัวเกะกะเท่านั้นเอง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น