Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 888-889
GGS:บทที่ 888 ข้าวสีน้ำเงิน
ซูจิ้งได้ส่งเมล็ดพันธุ์ต้นยาสูบแห่งไชร์จำนวนมากไปยังสถานีเพาะพันธุ์ใบยาสูบแห่งรัฐ หลังจากนั้นเขาได้ติดต่อกับเตียนจงยี่ให้ปลูกข้าวสีน้ำเงินในทันที
เขานั้นได้ทดลองมาแล้วครั้งจนพบว่าทั้งต้นใบยาสูบแห่งไชร์และต้นข้าวสีน้ำเงินนั้นทั้งสองอย่างนี้สามารถจะเติบโตได้ด้วยดินธรรมดาก็จริง แถมยังให้เมล็ดดกสุดๆเสียอีก
แต่เมล็ดเหล่านั้นสามารถงอกออกมาได้เฉพาะกับดินจอมเขมือบหรือไม่ก็เศษแร่เวทมนต์เท่านั้น
ต่อให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นสามารถงอกออกมาได้บนดินธรรมดาก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น แถมพวกมันจะกลายเป็นเพียงใบยาสูบและเมล็ดข้าวธรรมดาเท่านั้นเองและไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้อีกต่อไป
นี่คือเหตุผลเขานั้นไม่ต้องกลัวว่าจะมีการแอบลักลอบเอาไปปลูกเองได้อย่างสบายใจ
ตามปกตินั้นวิธีการที่เหล่าบริษัทการเกษตรนิยมใช้ในการป้องกันไม่ให้สายพันธุ์ของพวกเขาถูกนำไปขยายพันธุ์มากจนเกินไปนั้นก็คือการทำหมัน(ฉายแสง)เมล็ดพันธุ์เหล่านั้น
ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เมล็ดพันธุ์เหล่านั้นสามารถงอก เติบโต และให้ผลผลิตได้ก็จริง แต่ไม่สามารถขยายพันธุ์ต่อไปได้ นี่จึงทำให้พวกเขาสามารถขายเมล็ดพันธุ์ไปได้เรื่อยๆ
ซูจิ้งเองก็ใช้วิธีนี้โดยการควบคุมดินจอมเขมือบให้ทำให้ต้นพันธุ์ของเขาเกิดผลแบบเดียวกัน
เหนือสิ่งอื่นใดนั้นตัวเขาต้องการที่จะลองลิ้มชิมรสข้าวเหล่านี้ดูซะก่อนที่จะตัดสินใจปลูกเป็นแปลงใหญ่ต่อไป
ซูจิ้งได้กระเป๋าหนังงูที่เต็มไปด้วยเมล็ดข้าวสีน้ำเงินตรงไปยังพื้นที่ร้านค้าในหมู่บ้านตระกูลจูที่อยู่ใกล้ๆ ที่นั่นมีร้านที่รับสีข้าวอยู่และแน่นอนว่าที่นี่เป็นร้านที่ดีระดับหนึ่ง ขนาดชาวบ้านจากหมู่บ้านอื่นก็ยังมาใช้บริการ
“คุณซู คุณต้องการสีข้าวพวกนี้หรือครับ” เจ้าของร้านที่เป็นชายผิวสีคล้ำอาจะประมาณสี่สิบปีถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่คนในร้านค้าเล็กๆที่กำลังมีคนกำลังเล่นไผ่นกกระจอก และโป๊กเกอร์ก็ยังหันมามองด้วยความประหลาดใจเช่นเดียวกัน
แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมรู้จักซูจิ้งเป็นอย่างดีเพราะซูจิ้งนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในย่านนี้แล้ว
เท่าที่พวกเขารู้มาบ้านของซูจิ้งนั้นไม่มีการปลูกข้าวแต่อย่างใด ต่อให้มีแต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนรวย
เขาสมควรที่จะไปซื้อข้าวชั้นหนึ่งกินมากกว่าที่จะหาข้าวมาสีเองแบบนี้
“ใช่แล้วครับ แล้วก็อย่าเรียกผมว่าคุณซูเลย คุณกับผมเองก็เห็นหน้าค่าตาแถมยังรู้จักกันพอสมควร เรียกผมว่าอาจิ้งดีกว่าครับ” ซูจิ้งพูดในขณะที่ทำท่าจะยกถุงข้าวขึ้นมา
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมทำเองดีกว่า” เจ้าของร้านก้าวเข้ามาเพื่อที่หวังว่าจะช่วยซูจิ้งถือถุงข้าวที่เขาเห็นซูจิ้งนำมา
“ผมว่าผมทำเองดีกว่าครับ” ซูจิ้งพูดพลางถือกระเป๋าหนังงูไปยังข้างในร้านราวกับกำลังหยิบหมอนก็ไม่ปาน นี่ทำให้เจ้าของร้านถึงกับจ้องและเดินตามหลังไปต้อยๆ
ตัวเขานั้นคือชาวนาที่มีร่างกายแข็งแรงและมั่นใจในพลังของตัวเองพอสมควร
แต่หลังจากเขาเห็นซูจิ้งหิ้วกระเป๋าขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยข้าวอยู่เต็มและดูก็รู้ว่าหนักมากแต่เขาหิ้วได้อย่างสบายๆทำให้เขาหมดความมั่นใจเรื่องนี้ไปเลย
เอาจริงๆเรื่องออกแรงสำหรับซูจิ้งถือได้ว่าสุดแสนจะเป็นงานสบาย อย่าว่าแต่ต้องยกหินที่หนักกว่าห้าร้อยชั่งเลย ตัวเขานั้นหลังจากฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งไปทำให้เขาในตอนนี้มีน้ำหนักหมัดอยู่ที่ 1,650 กิโลกรัมไปแล้ว
แต่นี่ก็เป็นขีดจำกัดของการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งแล้วเหมือนกัน หากว่าเขานั้นสามารถฝึกตำราวิถีแห่งมังกรได้มากกว่านี้ล่ะก็ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของเขานั้นจะเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
น่าเสียดายที่เขานั้นยังไม่พร้อมเพราะตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นสมบัติชิ้นไหนก็ตามที่มีความสามารถในการเสริมความแข็งแกร่ง
ร่างกายของเขานั้นไม่ว่าจะใช้สมบัติเหล่านั้นยังไงก็ไม่สามารถพัฒนาร่างกายได้อีกแล้ว มีเพียงทางเดียวคือต้องหาสมบัติชิ้นใหม่เท่านั้น
หลังจากซูจิ้งนำกระเป๋าเข้าไปในร้านเรียบร้อยแล้ว เจ้าของร้านที่รู้สึกตัวก็ได้รีบเข้ามาช่วยในทันที หลังจากได้เปิดกระเป๋าออกมา เจ้าของร้านเองก็อดไม่ได้ที่จะมองด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ใน สักพักเขาก็ถามออกมาโดยยังไม่มองหน้าซุจิ้งว่า “…ทำไมข้าวพวกนี้ถึงได้เรียว ยาว แถมยังมีสีน้ำเงินอีกล่ะ นี่มันข้าวอะไรกันเนี่ย”
“ข้าวสายพันธุ์ใหม่น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“อ้อ…”เจ้าของร้านเองก็ไม่ได้ใส่ใจและแปลกใจอีกต่อไป เขานั้นได้ทำการเทข้าวใส่ในเครื่องสีอย่างชำนาญ แต่หลังจากที่เขาเริ่มสีข้าวแล้ว ความไม่ใส่ใจก็เปลี่ยนเป็นความสงสัยในทันที
เขานั้นเป็นเจ้าของร้านสีข้าวแน่นอนว่าเขาต้องสัมผัสกลิ่นข้าวที่ถูกสีอยู่เป็นประจำ นี่ทำให้เขานั้นหันไปมองเม็ดข้าวสารที่สีออกมาแล้วในทันที
สีของข้าวนั้นเนื้อใสประดุจดั่งหยกที่มีสีน้ำเงินก็ว่าได้ กลิ่นของข้าวที่ออกมานั้นรู้สึกได้เลยว่าไม่เหมือนกับข้าวอย่างอื่นที่เคยสีมาแม้แต่ครั้งเดียว
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเขาเลยที่ได้สูดกลิ่นและผงข้าวที่เกิดจากการสีพวกนี้เข้าไปแล้วไม่รู้สึกอึดอัดแม้แต่น้อย
กลับกันเขานั้นยังรู้สึกหิวในทันทีเลยทีเดียว หิวถึงขนาดที่ว่าท้องนั้นร้องโครกครากออกมาในทันที
“ข้าวนี่อร่อยสุดๆ!!” เขานั้นตกใจในทันที ด้วยประสบการณ์อันยาวนานของเขาและการตอบรับของร่างกายทำให้เขาสามารถบอกได้แม้จะไม่ได้กินก็ตาม
“โห่ ไม่เลวเลยนี่ครับ” ซูจิ้งยิ้มออกมาและนี่ทำให้เขามั่นใจได้เลยว่าข้าวสีน้ำเงินที่น่าจะมาจากวัดพุทธที่ไหนสักที่ในห้วงเวลาพระเจ้าแห่งฝั่งตะวันตกนั้นสุดยอดจริงๆ
“นี่มัน…กลิ่นอะไรเนี่ย”
“นี่มันกลิ่นข้าวนี่ หรือว่าจะเป็นข้าวสวย”
คนที่อยู่ในร้านไพ่นกกระจอกข้างๆ ทันทีที่พวกเขาได้กลิ่นถึงกับหยุดยั้งตัวเองไว้ไม่อยู่ พวกเขาได้รีบมองหาที่มาของกลิ่นนี้ในทันที
จนในที่สุด ทั้งหมดก็หันไปมองที่ร้านสีข้าวเป็นทางเดียวกัน ในเมื่อนี่เป็นกลิ่นข้าวก็ต้องมาจากร้านสีข้าวอยู่แล้ว
“นี่มันข้าวพันธุ์อะไรกันเนี่ย กลิ่นหอมมาก”
“เดี๋ยวนะ ทำไมข้าวนั้นถึงได้เรียวยาวและสีออกน้ำเงินแบบนั้นกันล่ะ ฉันไม่เคยเห็นข้าวแบบนั้นมาก่อนเลย”
“คุณซู…..คุณ พอ จะ ขาย ข้าว พวก นี้ ให้ ผม ได้ รึ เปล่า พวก มัน กิ โล ละ เท่า ไหร่ ครับ” เหล่าคนที่เห็นข้าวสีน้ำเงินนี้ต่างก็เหมือนเห็นสัตว์ประหลาดในหมู่พันธุ์ข้าวเลยทีเดียว
ในขณะที่มีคนตระโกนถามราคามานั้น ข้าวทั้งหมดก็ได้ถูกสีเสร็จพอดี หลังจากหยุดเครื่อง ซูจิ้งก็ได้พูดตอบกลับคนที่ตะโกนถามเมื่อกี้ด้วยน้ำเสียงสบายๆและรอยยิ้มว่า
“นี่เป็นข้าวสายพันธุ์ใหม่น่ะ ตอนนี้ยังไม่มีวางขายในตลาดหรอก แต่ถ้าผมไม่ผิดพลาดล่ะก็อีกไม่นานผมจะทำการปลูกขายอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นพวกคุณค่อยซื้อกินดีกว่า” ซูจิ้งตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม
ความจริงคำพูดนี้ของซูจิ้งที่ว่าผิดมหันต์เลยทีเดียว นั่นก็เพราะต่อให้ข้าวพวกนี้มีการผลิตมากพอที่จะขายออกมาจำนวนมาก
แต่ราคาของพวกมันจะสูงเกินกว่าที่คนทั่วไปจะคว้าเอาไว้ได้ง่ายๆ ในอนาคตพวกเขานั้นยอมกินข้าวพวกนี้เฉพาะวันสำคัญหรือในงานเลี้ยงฉลองเท่านั้น
เจ้าของร้านได้มองกองข้าวที่สีออกมาแล้วในขณะที่กลิ่นของข้าวนั้นยังคงหอมฟุ้งอยู่ทั้งที่ยังไม่ได้หุง กลิ่นแบบนี้ย่อมเป็นข้าวที่อร่อยอย่างแน่นอน
เอาจริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างเจ้าของร้านหรอก แม้แต่บรรดาคนที่เล่นไพ่นกกระจอกที่โดนไล่ออกไปแบบอ้อมด้วยคำพูดของซูจิ้งเมื่อกี้เองก็ยังรู้สึกได้โดยไม่ต้องใช้ประสบการณ์อะไรแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นสักพัก ซูจิ้งก็ได้เก็บทั้งข้าวสาร และข้าวเปลือก แยกใส่กระเป๋าเก็บไป แม้แต่เศษแป้งที่เหลือจากการสีข้าวซูจิ้งก็ยังโกยไปไว้ในกระเป๋าเล็กไว้ได้จนเกลี้ยงเกลา
หลังจากเขานั้นมั่นใจว่าเก็บเกี่ยวทุกสิ่งอย่างที่เป็นของเขาไปหมดแล้ว ซูจิ้งก็ได้นำของทั้งหมดขึ้นรถและได้ขับรถจากไป
เหลือทิ้งไว้เพียงกลิ่นข้าวที่แสนหอมหวลกับเจ้าของร้านสีข้าวและเหล่าคนเล่นไพ่นกกระจอกที่กรูกันเข้าไปยังกับสูดดมกลิ่นข้าวที่ยังหลงเหลืออยู่อย่างบ้าคลั่ง
เมื่อซูจิ้งไปถึงบ้าน เขาได้รีบล้างข้าวสีน้ำเงินประมาณครึ่งกิโลด้วยน้ำสะอาดแล้วนำไปใส่หม้อหุงข้าวไฟฟ้าเพื่อจะหุงในทันที
ถึงแม้ว่าก่อนหุงนั้นข้าวสีน้ำเงินพวกนี้จะหอมฟุ้งอยู่แล้ว แต่หลังจากหุงข้าวพวกนี้เสร็จ
กลิ่นของพวกมันได้หอมฟุ้งเสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก หอมชนิดที่เขาสูดเข้าไปนิดเดียวท้องของเขาก็ลั่นจนแทบจะเทียบได้ว่าลั่นบ้านเลยทีเดียว
เมื่อเทียบความหอมกับข้าวทั่วไปแล้ว ข้าวสีน้ำเงินนี้มีกลิ่นหอมมากกว่านับสิบเท่า เมื่อซูจิ้งมองลงไปในหม้อที่เขาเปิดออกมาดูเพราะหุงเสร็จแล้ว
เขาเห็นภาพเมล็ดข้าวที่ใสราวกับคริสทัล แม้แต่นำคริสทัลของจริงมาเทียบก็ยังเทียบไม่ได้ มันดูน่าเย้ายวนชวนกินมากจนน้ำลายสอ
เมื่อเห็นภาพนี้แลวซูจิ้งก็อดใจไม่ไหวอีกต่อไป เขาได้รีบนำทัพพีตักข้าวที่อยู่ใกล้แล้วจ้วงลงไปเพื่อตักข้าวขึ้นมาในทันทีและตักเข้าปากในทันใดจนแก้มเขาทั้งสองข้างบวมตุ่ยโดยมีข้าวอยู่เต็มปาก
เขาเคี้ยวอย่างพูดเพลินรับสัมผัสเนื้อข้าวที่กลั้วไปทั่วลุ้นที่ให้ความรูสึกละมุนละไมแบบสุดยอด ด้วยสภาพร่างกายที่รู้สึกสดชื่นขึ้นมาในทันใด
หลังจากอดใจไม่ไหวกินต่อไปอีกหลายคำจนเขาเริ่มตั้งสติได้จึงได้หยุดมือก่อนจะเปรยออกมาว่า
“ข้าวสีน้ำเงินนี่มัน…นี่แค่หุงกับหม้อหุงข้าวไฟฟ้าธรรมดานะ ยังไม่ได้หุงวิธีพิเศษอะไรเลย นี่มันอร่อยจนไม่ต้องกินกับกับข้าวเลยก็ได้นะเนี่ย เจ้าข้าวนี้คงสร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการอาหารอย่างแน่นอน”
หลังจากกินเล่นๆไปพักใหญ่จนอิ่มหนำสำราญแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวอะไรบางอย่างจนตกตะลึง
ในห้วงเวลาและกาลอวกาศเทพเจ้าฝั่งตะวันตกนั้นหากผู้ฝึกตนได้กินข้าวทั่วไปนั้น แน่นอนว่าร่างกายของพวกเขานั้นจะไม่สามารถก้าวข้ามผ่านการฝึกตนได้อย่างแน่นอน
นั่นเพราะว่าสารอาหารในข้าวทั่วไปนั้นไม่เพียงพอต่อการฝึกตนเองของเหล่าผู้บ่มเพาะ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขานั้นถึงต้องการข้าวที่มีสารอาหารเปี่ยมล้น และสำหรับคนทั่วไปนี้ ข้าวที่ว่าแน่นอนว่าย่อมมีสารอาหารอันสูงล้ำและหาได้ยากยิ่ง และที่สำคัญคือข้าวพวกนี้ราคาแพงกว่าทองเสียอีก
ข้าวสีน้ำเงินของวัดพุทธหลวงนั้นถือได้ว่าเป็นสายพันธุ์ที่เก่าแก่และสูงค่าอย่างมาก
แน่นอนว่าข้าวสีน้ำเงินนี้มีค่าเกินกว่าข้าวฮวงเหลียง โสม เห็ดหลินจือ และอาหารอื่นที่ถูกกล่าวขานว่ายาอายุวัฒนะทั้งหลายบนโลกใบนี้และห้วงเวลานู้นอย่างไม่ต้องสงสัย
จึงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าทำไมซูจิ้งจึงรู้สึกได้ว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแบบนี้
ซูจิ้งนั้นตัดสินใจสวาปามข้าวให้หมดหม้อนั้นในทีเดียว หลังจากรู้สึกได้ว่าร่างกายอบอุ่นและรู้สึกผ่อนคลายไปทั่วทั้งตัวแล้ว เขาได้ทำการสูดหายใจเข้าลึกๆ
หลังจากนั้นเขาได้ขับเคลื่อนเคล็ดวิชาตามตำราวิถีแห่งมังกรที่สลักจำฝังเอาไว้ในใจของเขา เพียงแค่เริ่มขับเคลื่อนก็ได้ปรากฏตราสัญญาลักษณ์มังกรออกมาอยู่ในอากาศเหนือร่างกายของเขา
หลังจากซูจิ้งฝึกฝนไปสองชั่วโมงจนเหงื่อไหลท่วมร่างกายจนเปียกโชกแล้ว เขาได้ตรงไปที่โรงฝึกและได้ทำการต่อยหมัดไปยังเครื่องวัดพลังในทันที
ทันทีที่หมัดซูจิ้งปะทะเข้ากับเครื่องวัดพลัง เครื่องวัดพลังเกิดเสียงปังชนิดที่ดังสะเทือนเลื่อนลั่น รวมถึงตัวเคร่องได้เครื่องได้เขยื้อนผลักถอยไปเล็กน้อย พร้อมด้วยตัวเลขแสดงค่าออกมาว่า 1,670 กิโลกรัม
ทันทีที่เห็นซูจิ้งก็ประหลาดใจในทันที “เพียงแค่กินข้าวไปมื้อเดียวก็มีแรงเพิ่มขึ้นมา 20 กิโลกรัมเลยหรอ สุดยอดไปเลย เจ้าข้าวสีน้ำเงินนี่มันเป็นอาหารเสริมพลังชั้นยอดเลยจริง ยิ่งกว่าปลาเขี้ยวหยกซะอีก
อา….ในที่สุดฉันก็สามารถฝึกฝนวิถีแห่งมังกรได้แล้วสินะ”
GGS:บทที่ 889 หอมสิบลี้
“โชคดีจริงๆที่ได้ข้าวสีน้ำเงินนี้มาถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ”
ซูจิ้งนั้นพูดกล่าวสรรเสริญความโชคดีของตัวเองออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงแม้ว่าข้าวที่เขาได้กินชุดนี้นั้นจะเป็นข้าวที่ชุบเลี้ยงมาอย่างดีจากดินจอมเขมือบก็ตาม
การที่ปลูกข้าวนี้กับดินธรรมดาบนโลกมนุษย์ถึงแม้ว่าคุณค่าทางอาหารจะลดลงไปอย่างมาก แต่ก็ยังถือว่าดีกว่าข้าวทุกสายพันธุ์บนโลกอยู่ดี ดังคำกล่าวที่ว่าอูฐผอมแห้งก็ยังตัวใหญ่กว่าม้าชั้นเลิศ
“วันนี้วันเสาร์สินะ พ่อกับแม่ไม่มีสอนซะด้วยสิ เอาข้าวสีน้ำเงินนี้ไปให้พ่อแม่หุงกินท่าจะดีแหะ”
พ่อแม่ของซูจิ้งนั้นอาศัยกันอยู่ในแฟลตแห่งหนึ่งในตัวเมือง แน่นอนว่าการที่เขาจะไปที่นั่นได้จำเป็นต้องผ่านถนนหนทางไปตามปกติ
แต่ด้วยการที่รถปอร์เช่ของเขานั้นเด่นสะดุดตามากเกินไป เขาเองก็ขี้เกียจวุ่นวายจึงเลือกที่จะเดินทางไปโดยรถประจำทางดีกว่าจะได้ไม่เป็นที่เด่นสะดุดตา
“พ่อหนุ่มคนนั้นหน้าตาคุ้นนะว่าไหม”
“นายไม่รู้จักเขาหรอ เขาคือซูจิ้งไง คนที่เป็นดาราดังน่ะ ลูกสาวของฉันคลั่งไคล้เขาเป็นบ้าเป็นหลังเลยนะ”
“ไม่ใช่ว่าเขาเป็นลูกชายของคุณซูกับคุณเย่ที่หยู่ชั้นบนหรอกหรือ”
“คุณซูกับคุณยี่เย่นี่โชคดีจริงๆที่มีลูกชายดีๆแบบนี้”
ซูจิ้งในตอนนี้ได้แบกข้าวสารครึ่งถึงเดินขึ้นบันไดไปยังชั้นที่พ่อแม่ของเขาอยู่ ระหว่างทางเขาเจอเพื่อนบ้านของพ่อแม่ก็กล่าวคำทักทายอย่างดี
เอาจริงๆเขาเองก็รู้จักคนพวกนี้อยู่หลายคนเหมือนกัน เขาเองก็เคยถามพ่อแม่ของเขาแล้วตอนที่เขาประสบความสำเร็จด้านธุรกิจว่าจะย้ายไปอยู่ที่อื่นที่ดีกว่านี้รึเปล่า
อย่างพวกอพาร์ทเมนหรือซื้อบ้านส่วนตัวหรูๆที่อยู่ใกล้ๆเขาอะไรอย่างนั้น
แต่พ่อแม่ของเขานั้นปฏิเสธเพราะที่นี่พวกเขานั้นใช้น้ำพักน้ำแรงของตัวเองซื้อมา และเพื่อนบ้านของเขาเองก็เป็นคนดีและมีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันอย่างมากทั้งสองจึงไม่ยอมจากที่นี่ไป
และเพื่อนบ้านของทั้งคู่เองก็มีอยู่สองครอบครัวที่ทำงานเป็นครูที่สอนอยู่ที่เดียวกันด้วย ทั้งสองจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องย้ายออกไปไหน
ซูจิ้งเองก็เคยได้มอบบัตรกดเงินที่เงินอยู่ยี่สิบล้านหยวนให้ทั้งคู่ตั้งนานแล้ว แต่ทั้งคู่นั้นยังไม่เคยใช้มันเลยสักครั้ง
ขนาดเงินเดือนของทั้งคู่จะใช้จนเกือบหมดไปในบางเดือนก็ตาม แต่พ่อแม่ของเขาก็ยังเลือกที่จะประหยัดแทนการกดเงินที่ซูจิ้งมอบมาให้ไปใช้ บางครั้งเพื่อนบ้านละแวกนั้นยังทำอาหารมาแบ่งปันกันยามยากอีก
ก็ไม่แปลกที่พวกเขานั้นไม่อยากจะย้ายไปไหนเพราะที่อยู่ดีๆหาง่าย แต่เพื่อนบ้านดีๆนั้นหายาก
ซูจิ้งเองนั้นก็ไม่ได้คิดจะบังคับพ่อแม่ของเขาแต่ประการใด เพราะตราบใดที่ทั้งสองอยู่ในพื้นที่ที่มีความสุขแค่นั้นเขาก็สุขใจพอแล้ว
เขาเองที่พอทำได้ในตอนนี้คงมีเพียงแค่การหาอาหารดีๆมาให้เพื่อเป็นการส่งเสริมสุขภาพของทั้งสองคนเพียงเท่านั้น
เมื่อซูจิ้งเปิดประตูหน้าห้องเข้าไปเขาก็เห็นพ่อของเขาซูเซิ่นเชวี่ยอ่านหนังสืออยู่ในขณะที่แม่ของเขาเย่ฉิงกำลังถูบ้าน ซูจิ้งจึงได้พูดออกมาดังๆว่า “พ่อครับ แม่ครับ”
ซูเซิ่นเชวี่ยที่กำลังอ่านหนังสือนั้นก็ทำเพียงแค่ผงกหัวรับทราบโดยยังไม่ละสายตาออกมาจากหนังสือ ส่วนแม่ของเขาที่เห็นซูจิ้งแบกอะไรบางอย่างมาก็ได้สงสัยจนถามออกมาว่า “เอาอะไรมาล่ะนั่น”
“ข้าวครับ” ซูจิ้งพูดออกมา และได้นำข้าวนั้นไปวางไว้ที่มุมหนึ่งของห้องครัว
“บ้านเรายังมีข้าวอยู่เยอะแยะนี่นา เอามาทำไมอีกล่ะ” เย่ฉิงถามออกมาอย่างสงสัยเชิงบ่นๆ
“น่าน่า ข้าวนี้ไม่ใช่ข้าวธรรมดานะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ้ออออ ข้าวก็คือข้าวล่ะน่า จะพันธุ์ไหนๆก็เหมือนๆกันน่ะแหล่ะ ต่อให้ดีก็คงดีกว่าไม่เท่าไหร่หรอก” เย่ฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คร้าบๆ เดี๋ยวผมทำเป็นข้าวเที่ยงให้กินเลยแล้วกันจะได้รู้กันไปว่าพิเศษยังไง ว่าแต่หยาน้อยไปไหนเนี่ย” ซูจิ้งถามออกมา
“ยัยเด็กน้อยนั่นน่ะหรอ ยังกลิ้งโค่โล่อยู่บนเตียงนู่นแหล่ะ เด็กสาวสมัยนี้ช่างขี้เกียจกันจริงๆ ว่ามาแล้วก็ไปปลุกให้หน่อยก็แล้วกันนะ” เย่ฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“แหม่ แม่ก็ว่าไป เด็กสมัยนี้เรียนหนักกันจะตายไป วันหยุดจริงๆแบบนี้ถือว่าหาได้ยากเย็น ปล่อยให้นอนต่อไปอีกหน่อยก็แล้วกันครับ รอผมทำข้าวเที่ยงเสร็จก่อนแล้วค่อยไปปลุกก็ได้
ดีไม่ดีเดี๋ยวได้กินของกินก็ลุกขึ้นมาเองแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ตอนนี้ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้วซูจิ้งเลยเริ่มลงมีทำข้าวเที่ยงในทันที
อย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ เหมือนซือหยาได้กลิ่นอันหอมฉุยซือหยาก็ดีดตัวผึงรีบวิ่งมาที่ครัวในทันทีทั้งๆที่อยู่ในชุดนอนพร้อมพูดออกมาอย่างหน้าตาตื่นว่า “แม่ แม่ทำอะไรกินอ่ะ กลิ่มหอมจัง”
“ทำอะไรล่ะ พี่ลูกต่างหากที่ทำ” เย่ฉินพูดออกมา
“พี่มาหรอ เย้….” ซูหยาตื่นเต้นในทันทีที่ได้ยินและรีบวิ่งไปในครัวในทันใด เมื่อเธอได้เห็นซูจิ้งกำลังเตรียมของที่จะใช้ในการทำกับข้าว ซูหยาก็ถามออกมาอย่างงงๆว่า “พี่ยังไม่ได้ทำกับข้าวหรอ แล้วนี่มันกลิ่นหอมของอะไรอ่ะ”
“หอมดีใช่ไหมล่ะ….” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ซูหยาลองดมกลิ่นนี้ดูอีกที หลังจากนั้นก็ได้ตามกลิ่นไปจนถึงหม้อข้าวที่กับลังเดือดอยู่ เธอเองมีท่าทีประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า
“นี่มันกลิ่นข้าวงั้นเหรอ เป็นไปไม่ได้น่า ทำไมแค่หุงข้าวถึงได้มีกลิ่นหอมขนาดนี้ได้กัน” เย่ฉิงเองก็เข้ามาในครัวเพราะแปลกใจในกลิ่นอันหอมหวนนี้
แม้แต่ซูเซิ่นเชวี่ยยังต้องหยุดอ่านหนังสือและเดินตามกลิ่นมาถึงในครัว พอทุกคนถามว่าซูจิ้งใส่อะไรลงไปในข้าว เมื่อบอกว่าไม่ได้ใส่อะไรลงไปก็ไม่มีคนเชื่อ ซูจิ้งก็ไม่ได้อธิบายแต่และเริ่มลงมีทำกับข้าวในทันที
กลิ่นหอมของข้าวนั้นยิ่งตลบอบอวลมากขึ้นเรื่อยๆ พอยิ่งผสมเข้ากับกลิ่นกับข้าวที่ถูกทำโดยฝีมือซูจิ้งแล้วยิ่งหอมยั่วน้ำลายไปเป็นการใหญ่
ที่ชั้นบน ชายวัยกลางคนที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่นั้นได้รับรู้กลิ่นอันหอมหวนจนต้องพูดออกมาว่า “หอมจริงๆ มันคือกลิ่นอะไรน่ะ”
หญิงวัยกลางคนที่อยู่ด้วยกันได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันได้ยินคนพูดกันตอนผ่านชั้นล่างว่าลูกชายของพี่ฉิงมาหาที่บ้านน่ะ”
ชายวัยกลางคนได้ยินดังนั้นจึงได้พูดออกมาว่า “โอ้… เจ้าหนูนั่นมีฝีมือการทำอาหารเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอเนี่ย
กลิ่นหอมของอาหารฝีมือเขาลอยมาไกลถึงบ้านเราได้นี่ช่างน่าอิจฉาจริงๆที่ได้กิน น่าอิจฉาจริงที่เขามีลูกชายดีๆแบบนั้น”
การที่เขาพูดออกมาแบบนี้ออกมาได้นั้นก็เป็นเพราะว่าลูกชายของเขากับซูจิ้งนั้นช่างมีความสามารถห่างกันราวๆเจ็ดโยชน์
ครั้งสุดท้ายคือเขาลองให้ลูกชายของทั้งคู่ทำกับข้าวให้กิน พวกเขาในตอนนั้นเกือบต้องถูกหามส่งไปโรงพยาบาล
ตอนนี้ทั้งคู่ทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาทำกับข้าวกินแล้ว
ไม่เพียงเฉพาะกับครอบครัวของคู่สามีภรรยาวัยกลางคนคู่นี้ ทุกๆชั้นในแฟลตแห่งนี้ ในทุกๆห้องล้วนได้กลิ่นอันหอมหวนและเย้ายวนของข้าวสีน้ำเงินของซูจิ้ง
หลายๆคนที่อยู่ที่นี่สามารถเดาได้ในทันทีเลยว่าซูจิ้งมายังแฟลตนี้แล้วทั้งๆที่ไม่ต้องเห็นตัวหรือได้ยินคนพูดถึงแม้แต่น้อย มีเพียงหมอนี่คนเดียวเท่านั้นที่ทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้
ตอนนี้มีหลายๆคนอดใจไม่ไหวจนต้องไปหาข้าวกินแล้ว
ข่าวการมาถึงของซูจิ้งแพร่กระจายไปทั่วแฟลตอย่างรวดเร็วพอๆกับฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งในตอนนี้เลยทีเดียว
ฝีมือการทำอาหารของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าสุดยอดจนไร้ผู้เทียมทานอยู่แล้ว ต่อให้เป็นการทำข้าวธรรมดาสามัญเมื่อซูจิ้งเป็นคนทำก็ไม่ต่างจากมีอาหารระดับภัตตาคารมาวางอยู่ตรงหน้า
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนในครอบครัวของซูจิ้งนั้นต่างก็รู้กันดี แต่กลิ่นข้าวอันหอมหวนเย้ายวนใจขนาดนี้นี่สิเป็นครั้งแรกที่ทุกคนพึ่งจะเคยได้สัมผัส
ทันทีที่ทุกคนได้ลองกินข้าวเปล่าไปหนึ่งคำ พวกเขาต่างก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่มันอบอุ่นแพร่กระจายออกมาจากกระเพาะอาหารไหลผ่านไปยังทั่วร่างกายจนรู้สึกแข็งแรงขึ้นมา
ตอนนี้ทุกคนเข้าใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงได้บอกว่าข้าวนี้สุดยอดแล้ว
ความจริงนั้นข้าวมื้อนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการหุงข้าวโดยข้าวสีน้ำเงินอย่างสมบูรณ์ นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นได้นำข้าวสีน้ำเงินไปผสมกับข้าวทั่วไปอย่างละครึ่ง
และซูจิ้งเองก็บอกให้ทุกคนในบ้านฟังว่าเวลาจะหุงข้าวนี้จะต้องใส่ข้าวอย่างอื่นลงไปด้วยอย่างน้อยๆก็ครึ่งหนึ่ง เหตุผลก็เพราะว่าข้าวสีน้ำเงินนั้นมีผลต่อร่างกายอย่างรุนแรง
หากคนทั่วไปกินลงไปล่ะก็อาจจะไม่สามารถต้านทานและดูดซับฤทธิ์ของมันได้ดีพอ เหมือนๆกับการกินโสมที่กินมากเกินไปจะทำให้เลือดกำเดาไหล และแน่นอนว่าข้าวสีน้ำเงินนี้ดูกว่าโสมนับสิบเท่าเป็นอย่างน้อย
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้อยู่สอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้กับซูหยาเล็กน้อยก่อนที่จะกลับไปยังหมู่บ้านซูเจี๋ย
เขานั้นได้ทำการสีข้าวสีน้ำเงินอีกสองชุด ชุดหนึ่งนำไปยังบ้านของลุงของเขา และอีกชุดหนึ่งนำไปยังบ้านของซือฉิง
นอกจากนั้นเขาก็ไม่ลืมที่จะกำชับให้ทุกคนนั้นหุงข้าวสีน้ำเงินนี้โดยการผสมกับข้าวธรรมดาอย่างละครึ่งเป็นอย่างน้อยเช่นเดียวกัน
ในตอนแรกทั้ง ซูเฉิงฮง จ้าวเมิงเซียง ฉือกวงลู่ และคนอื่นๆต่างก็ประหลาดใจในทันทีที่ซูจิ้งหิ้วข้าวนี้มาให้พวกเขา แต่ทันทีที่ทุกคนได้ยินต่างก็ทำได้เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น
เมื่อซูจิ้งกลับไปยังบ้านและฉือชิงได้มาหาเขาที่บ้าน ฉือชิงเองก็ได้มีโอกาสลิ้มรสข้าวสีน้ำเงินนี้ไปแล้วจนทำให้ร่างกายของเธอนั้นดูดีขึ้นอย่างมาก มากชนิดที่ว่าเธอเองนั้นก็ประหลาดใจไม่น้อยเลยทีเดียว
และเธอยังถูกซูจิ้งสะกดจิตให้อยู่ค้างคืน แน่นอนว่าเป้าประสงค์ของการข้างคืนกับซูจิ้งในครั้งนี้ก็คือ
การเรียนรู้หมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สองจากซูจิ้งโดยตรงนั่นเอง ตอนนี้ตัวเธอเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำเรียบร้อยแล้ว แต่ร่างกายของเธอก็ยังไม่อาจรองรับกับคุณค่าทางอาหารอันสุดแสนจะมหาศาลนี้ได้อยู่ดี ซูจิ้งเองก็บอกเธอว่าตอนนี้ก็กินแบบผสมไปก่อน อย่างเพิ่งกินมากเกินไปกว่านั้น
สำหรับซูจิ้งนั้นเขาสามารถกินข้าวนี้ได้โดยไม่จำเป็นต้องผสมแต่อย่างใด ผลของข้าวสีน้ำเงินกับร่างกายของเขาแล้วเอาจริงๆมันเพียงช่วยให้ร่างกายของเขานั้นตื่นตัวไม่ต่างอะไรกับยาชูกำลังเท่านั้นเอง
เป็นกระบวนการฝึกวิถีแห่งมังกรต่างหากที่ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายของเขาอย่างแท้จริง รวดเร็ว และเสริมสมรรถนะร่างกายไปทุกส่วนแม้แต่อวัยวะภายในและกระดูกก็ไม่เว้น
เขานั้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าจนถึงขนาดที่ว่าสามารถฝึกวิถีแห่งมังกรติดๆกันได้สองวันสองคืนโดยไม่ต้องหลับต้องนอนกันเลยทีเดียว
ในช่วงเย็นวันถัดมา ซูจิ้งที่กำลังฝึกวิถีแห่งมังกรอยู่อย่างเพลิดเพลินอยู่นั้น อยู่ๆก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือที่เขาวางไว้บนโต๊ะที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเขามากสักเท่าไหร่
ซูจิ้งได้กระแสจิตดึงโทรศัพท์เข้ามาหาตัว เมื่อเห็นว่าเป็นเฉิงหนานโทรมาเขาจึงได้รีบรับสายในทันที
“หัวหน้าคะ ลู่ชุนเยว่ เป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนตอนอยู่มหาวิทยาลัยรึเปล่าคะ” เฉิงหนานถามออกมา
“หืม ลู่ชุนเยว่หรอ” ซูจิ้งนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ใช่ เราเป็นเพื่อนร่วมชั้นและเคยอยู่ในหอพักเดียวกัน ทำไมอยู่ๆถึงถามขึ้นมาล่ะ”
“เธอมาที่บริษัทของเราเพื่อขอสมัครงานค่ะถึงแม้ท่าทางของเธอนั้นเหมือนจะไม่ใช่ก็ตามที ฉันเองก็ไม่อยากจะพูดอะไรหรอกนะคะแต่ทันทีที่เธอเข้ามาเธอก็บอกออกมาในทันทีว่าเป็นเพื่อนร่วมชั้นของหัวหน้า
มันทำให้ฉันรู้สึกเหมือนกับว่าเธออยากจะใช้เส้นสายของคุณให้ได้งานนี้ พอฉันได้ไปเช็คประวัติดูก็เห็นว่าเธอจบมาจากมหาวิทยาลับเทียนหยางเหมือนคุณก็เลยโทรมาเพื่อถามว่าจะเองยังไงกับเธอดี” เฉิงหนานถามออกมา
ซูจิ้งได้ยินดังนั้นก็เข้าใจในทันที ความจริงนั้นเขากับลู่ชุนเยว่นั้นไม่ได้คุ้นเคยกันดีแต่อย่างใด เขาและเธอเพียงแค่อยู่ร่วมชั้นเดียวกันก็แค่นั้นเอง
ถึงแม้จะได้เรียนด้วยกันอยู่บ่อยครั้งและทำงานอยู่กลุ่มเดียวกันก็ตาม แต่นั่นก็ทำให้เพียงพอที่เขาจะรู้แล้วว่าลู่ชุนเยว่นั้นเป็นคนแบบไหน
ลู่ชินเยว่นั้นเป็นคนประเภทตรงไปตรงมา ขี้เล่นและเล่นมาจนหน้ารำคาญในบางครั้ง ผลการเรียนก็แค่ระดับกลางๆ และทักษะความสามารถด้านต่างๆก็งั้นๆ
การที่เธอมาสมัครงานที่บริษัทของเขานั้น แน่นอนว่าด้วยสายตามองคนอันทรงพลังสุดยากจะหยั่งถึงของเฉิงหนานแล้ว
ไม่มีทางที่เฉิงหนานจะมองคนอย่างลู่ชินเยว่แม้แต่น้อย ต่อให้มาอ้างว่าเป็นเพื่อนกับหัวหน้าของเธอก็ตาม การที่เธอโทรมานั้นเป็นเพราะต้องการรู้ว่าซูจิ้งนั้นอยากจะปล่อยผ่านคนๆนี้รึเปล่าแค่นั้นเอง
“เรื่องนี้เธอตัดสินใจได้เลย อ้อแล้วก็หากมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก จงใช้ความสามารถของเธอไปตามปกติโดยไม่ต้องสนหน้าอินหน้าพรหมที่ไหนก็ตาม”
ซูจิ้งพูดออกมาถ้าหากเป็นคนรู้จักกันดีก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เป็นเพียงแค่คนร่วมชั้นเท่านั้น ไม่ได้มีค่าอะไรให้เขา
ต้องใส่ใจแต่อย่างใด
“ได้ค่ะ” เฉิงหนานเว้นวรรคไปทำท่าจะวางสายแต่เหมือนจะนึกอะไรได้จึงได้พูดออกมาว่า “อ่า… แล้วก็คืนนี้ที่บริษัทของเรามีงานเลี้ยงนะคะ หัวหน้าจะมารึเปล่า”
“ห้ะ เอถามมาเหมือนกับว่าฉันเคยไปก่อเรื่องในงานเลี้ยงไว้อย่างนั้นแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็ต้องถามสิคะ หัวหน้าคือไอดอลของพนักงานทุกคนที่นี่เลยนะ แถมเวลาปกติแล้วพวกเราเคยเจอหัวหน้าซะที่ไหนกันล่ะ
หากหัวหน้ามางานเลี้ยงล่ะก็ แน่นอนว่าพวกเขาย่อมมีความสุขอย่างแน่นอน ที่ฉันกลัวก็คือถ้าทุกคนรู้จะขยันทำงานเกินไปมากกว่า” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มนึกสนุกขึ้นมา พลางคิดถึงคำพูดของเฉิงหนานที่ว่า กลัวถ้าทุกคนรู้จะขยันทำงานเกินไปมากกว่า
แต่เมื่อเขานั้นได้คิดถึงเรื่องงงานเลี้ยงขึ้นมาแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจว่าจะนำบางอย่างไปด้วย คิดได้ดังนั้นจึงพูดว่า “ไปแน่นอนอยู่แล้วน่า แล้วก็อย่าลืมตามลูกพี่ใหญ่ของพวกเราไปด้วยล่ะ”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น