Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 886-887

 GGS:บทที่ 886 พบเจออีกครั้ง


 


ในขณะที่โลกภายนอกนั้นกำลังบ้าคลั่งเกี่ยวกับรูปปั้นนางฟ้าแห่งแอตแลนติสรวมถึงการค้นหาสถานที่ต้องที่แท้จริงของดินแดนที่สาบสูญอยู่นั้น


ซูจิ้งขี้เกียจที่จะสนใจเรื่องพวกนั้นและหมกตัวเองอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


เขานั้นรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าในทันทีที่ได้เห็นค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯที่เพิ่มสูงขึ้น และเรื่องในครั้งนี้ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้นเร็วกว่าครั้งไหนๆเลยทีเดียว


นี่ยังไม่รวมถึงการที่เขายอมขายเมล็ดพันธุ์ยาสูบแห่งไชร์ออกไปอีก เรื่องนี้ส่งผลให้โลกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นจนตอนนี้ค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนในตอนนี้อยู่ที่หนึ่งหมื่นสามพันห้าร้อยหน่วยไปแล้ว


หากว่ายาสูบแห่งไชร์นี้ได้รับความนิยมในจีนจนออกไปขายทั่วโลกได้ล่ะก็แน่นอนแล้วว่าค่าการใช้ประโยชน์จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีที่สิ้นสุด


 


ในส่วนของค่าพลังงานนั้นเมื่อไม่กี่วันก่อนทางสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาได้ทำการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า นี่ทำให้อัตราการผลิตปฏิสสารนั้นเพิ่มสูงขึ้นสิบเท่าเช่นเดียวกัน


จนในตอนนี้เขานั้นมีปฏิสสารเก็บสะสมในชิงหยุนอยู่ที่ 0.56 กรัม หรือก็คือค่าพลังงานสะสมที่ห้าพันหกร้อยหน่วย นั่นเอง


“ทุกอย่างในตอนนี้เป็นไปได้ด้วยดีจริงๆ หากยังเป็นแบบนี้ต่อไปล่ะก็ฉันสามารถทำได้เหมือนกับการปั้นตุ๊กตาหิมะที่ยิ่งหมุนไปก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งพัฒนาค่าต่างๆก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็ว”


เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ทำการสงบอารมณ์และจัดการขยะห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงที่เหลืออยู่ต่อไป เขานั้นยังคงมีความหวังที่จะเจอของดีๆอย่างดอกไม้ไฟของแกนดรอฟ ใบยาสูบแห่งไชร์ และรูปแกะสลักของเผ่าเอลฟ์อยู่อีก


“แล้ว…นี่คือ…” ซูจิ้งได้หยิบของขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ลักษณะของมันเหมือนถุงเก็บน้ำพกพาที่มีการลงลวดลายเอาไว้ มันมีสีดำ แบน และเหมือนจะมีของเหลวบางอย่างอยู่ข้างในประมาณครึ่งหนึ่ง


หลังจากซูจิ้งเปิดออกมาและเทของเหลวข้างในออกมามันดูเหมือนน้ำจริงๆและไม่ได้มีกลิ่นแต่อย่างใด


แต่ซูจิ้งเองนั้นก็มีประสบการณ์มากมายจากขยะต่างๆในกองขยะห้วงเวลาฯที่แวบแรกนั้นดูไม่มีอะไร แต่ความจริงคือสมบัติชั้นยอดทั้งนั้น เขาจึงเลือกที่จะไม่มองข้ามของธรรมดาเหล่านี้อีกต่อไป


เขาเองก็เคยได้ลิ้มรสชาติความทรมานของน้ำจากแม่น้ำยมโลกจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วมาแล้วเขาจึงไม่สามารถประมาทของเหลวที่อยู่ในถุงพวกนี้ได้แม้แต่น้อย


ซูจิ้งได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปหาหนูมาให้เขาสองตัว หลังจากนั้นเขาก็ได้ให้หนูตัวทั้งสองตัวดื่ม ก่อนที่จะทำการหยดเลือดของพวกมันลงบนหยกหมื่นอสูรก่อนจะถามออกมาว่า “รสชาติเป็นยังไงบ้าง?”


“ปกตินะ”


“เหมือนน้ำล้างจานอ่ะ”


เมื่อได้ยินหนูทั้งสองตอบออกมาดังนั้นเขาเองก็รู้สึกเซ็งๆไปเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นหนูตัวหนึ่งได้พูดโพล่งออกมาว่า “แต่มันรู้สึกสดชื่นดีเหมือนกันนะ”


ซูจิ้งสายตาเป็นประกายก่อนที่จะถามออกมาว่า “มีอะไรอีกรึเปล่า”


หนูตัวนั้นตอบว่า “ฉันรู้สึกว่ามีแรงดีด้วยล่ะ”


ซูจิ้งยังถามคำถามเดียวกับเจ้าหนูอีกตัวหนึ่งซึ่งก็ตอบออกมาแบบเดียวกันนั่นก็คือ รู้สึกสดชื่น และทำให้แข็งแรงดี แต่ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีก ซูจิ้งเองก็ได้รอดูสักพักเพื่อรอดูผลแต่ก็เหมือนจะไม่มีผลอะไรเกิดขึ้นแล้ว


“ดูเหมือนว่าน้ำนี้จะใช้ในการฟื้นฟูความแข็งแกร่งของร่างกายนะ ไม่รู้เหมือนกันแหะว่ามาจากเผ่าพันธุ์ไหนจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริง เอลฟ์ ออร์ค หรือว่าฮอบบิทกันนะ”


ซูจิ้งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก เขาเลยปล่อยให้หนูทั้งสองไปอยู่ในมิติสิ่งแวดล้อมเทียมและดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงเพิ่มเติมภายหลังรึเปล่า เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้จะรู้ผลในระยะสั้นแล้ว แต่ยังไม่รู้ว่ายังมีผลนานแค่ไหน หรือมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง


 


ซูจิ้งยังคงจัดการกองขยะของเขาต่อไป เขาใช้เวลาทั้งวันในการจัดการขยะและเลือกที่จะพักผ่อนในนั้นไปเลยเพื่อตัดการรับรู้จากโลกภายนอก


ในตอนนี้เขาได้เริ่มถอดใจที่จะเจอของดีๆจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้แล้วเพราะแค่ของสุดยอดอย่างใบยาสูบแห่งไชร์และดอกไม้ไฟแห่งแกนดรอฟนั้นทำให้เขารู้สึกว่าของอย่างอื่นนั้นดูไร้ค่าไปเลย


ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังได้ของที่ดูจะใช้ได้มาอีกจำนวนหนึ่ง


ซูจิ้งได้ทำการตรวจดูซ้ำอีกสองครั้งเหมือนเดิม หลังจากนั้นเขาก็ให้ฉิงหยุนลองคำนวนดูว่าเขานั้นเหลือขยะที่ยังไม่ได้จัดการอีกเท่าไหร่


ฉิงหยุนได้รายงานให้เขาทราบออกมาว่า “ตอนนี้เหลือขยะอีก 4,890 ตัน หากต้องการทำลายตอนนี้จะต้องใช้ปฏิสสาร 0.005 กรัม”


อาจเป็นเพราะว่าตอนนี้สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขานั้นทำการขยายการผลิตไปสิบเท่าทำให้เขานั้นไม่ได้รู้สึกว่าปริมาณปฏิสสารที่ใช้กำจัด 0.005 กรัม นั้นมากมายอะไร


ตอนนี้ของที่เขาคิดว่าพอจะใช้ได้และของที่มีท่าที่ว่าจะใช้ได้ก็ได้ส่งเข้ามิติกักเก็บ พื้นที่ใช้งาน และพื้นที่นิเวศจำลองไปเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ก็ยังมีพื้นที่ที่ยังไม่ถูกใช้งานอยู่อีกเยอะพอทำให้เขาไม่ต้องขยายพื้นที่ของสถานีไปอีกสักพัก


กว่าที่เขาจะรู้ตัวก็กลายเป็นเวลาเย็นไปแล้ว ตอนนี้ซูจิ้งตัดสินใจจะออกจากสถานีแต่ก่อนหน้านั้นเขาได้ไปดูเจ้าหนูสองตัวก่อนหน้านี้ที่ลองดื่มน้ำในถึง แต่ทันทีที่เขาเห็นนั้นได้แต่ทำหน้ามึนตึบ


“นี่ฉันตาฟาดรึเปล่า ทำไมฉันรู้สึกว่าพวกแกตัวโตขึ้นแถมยังสูงขึ้นอีกสักเท่าหนึ่งได้ล่ะมั้งเนี่ย” ซูจึ้งรู้สึกอัศจรรย์ทันทีที่ได้เห็นเจ้าหนูสองตัวนั้นสูงขึ้น ต่อให้ไม่ต้องใช้กระแสจิตสัมผัสเขาก็รู้สึกได้ด้วยตาเปล่าของตนเอง


แต่ว่านี่ก็พึ่งจะผ่านไปครึ่งวันเองนะ แม้แต่เนื้อสัตวืวิเศษกับปลาเขี้ยวหยกกินไปแล้วยังไม่ได้ผลเท่านี้เลย


ซูจิ้งได้ลองตรวจสอบเจ้าหนูสองตัวนี้อีกทีและพบว่านอกจากความสูงแล้วพวกมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงอย่างอื่นเลย ไม่ทั้งอ่อนแอกว่าเดิมหรือแข็งแรงกว่าเดิม มันดูเหมือนปกติทุกอย่าง


“เดี๋ยวนะ หลังจากดื่มไปแล้วรู้สึกว่าร่างกายกระปรี้กระเปร่าแถมยังสูงขึ้น นี่มัน…”


 


ตอนนี้มีความคิดหนึ่งได้แวบเข้ามาในหัวของซูจิ้ง เขานึกได้ถึงของเหลวที่มีฤทธิ์คล้ายกันนี้ เขาคุ้นๆว่าในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้นตอนที่ฮอบบิทสองตนนั้นหลงเข้าไปในป่าฟังกอร์นที่เป็นที่พำนักของเหล่าเอนท์(มนุษย์ต้นไม้) ทั้งสองได้ดื่มน้ำที่มนุษย์ต้นไม้ดื่มกันแล้วตัวสูงขึ้นได้


“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด นี่สมควรจะเป็นน้ำที่เหล่าเอนท์ดื่มกัน ต่อให้มันใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนักแต่กับคนบนโลกนี้น่าจะมีคนอยากได้แบบฆ่ากันตายแน่นอน”


เอาจริงๆแล้วก่อนหน้านี้นั้นซูจิ้งตัวเตี้ยมาก แต่ด้วยการที่เขานั้นได้กินเนื้อสัตว์วิเศษ ปลาเขี้ยวหยก และของอย่างอื่น รวมถึงการฝนร่างกายจนทำให้ตอนนี้เขาสูงกว่า 1.8 เมตรแล้ว ถ้าให้เป๊ะๆก็คือ 1.83 เมตรและก็ไม่โตไปกว่านี้แล้ว


ด้วยความสูงขนาดนี้สำหรับเขานั้นถือว่าสูงพอแล้วและเขาก็ไม่คิดจะดื่มน้ำพวกนี้เข้าไปอีก


อย่างไรก็ตามมนุษย์โดยทั่วไปในโลกนี้ทุกคนต่างก็อย่างสูงให้อยู่ในช่วง 1.7 เมตร ถึง 1.8 เมตรกันทั้งนั้น แต่ก็มีหลายคนที่ไม่สามารถไปถึงความต้องการนั้นได้


มันเป็นความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มที่ไม่สามารถเอื้อมมือไปคว้าเทพธิดามาครอบครองได้ทั้งๆที่เทพธิดาตนนั้นมาอยู่ตรงหน้าแล้ว หรือจะบอกคือมันอยากเกินจะเอื้อมไปคว้ามาเพราะเกิดความไม่มั่นใจในตนเอง


มันเป็นสิ่งที่มีเพียงคนที่แข็งแกร่งและมั่นใจในตนเองเท่านั้นที่ก้าวผ่านความรู้สึกนี้มาได้


แม้แต่ฮอบบิทเองที่มีความสูงได้เต็มที่ก็เท่าเพียงแค่เหล่าคนแคระเท่านั้น แต่เมื่อทั้งสองได้ดื่มเจ้าสิ่งนี้ก็ยังสูงขึ้นได้ อย่ากร่ะนั้นเลย เจ้าหนูสองตัวนี้ก็สูงขึ้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นแม้แต่มนุษย์เองก็สมควรจะสูงขึ้นเช่นเดียวกัน


“เท่าที่ฉันรู้มา เหล่านักแสดงทั้งชายและหญิงต่างก็พยายามโกหกเกี่ยวกับความสูงของพวกเขามาโดยตลอด ถ้าพวกนั้นรู้ว่ามีน้ำที่วิเศษแบบนี้ คนพวกนั้นจะยอมจ่ายแค่ไหนกันนะ


ไม่สิแค่ขายยังไม่ถือว่าคุ้มค่าพอแหะ สงสัยต้องลองคิดดูอีกสักหน่อยก่อนดีกว่า” ซูจิ้งพูดลอยๆออกมาและได้หัวเราะลั่นก่อนที่จะเก็บถุงใส่น้ำนี้ในกระเป๋ามิติ


 


ตอนนี้ซูจิ้งได้ตรงไปดูไวน์มอลต์ที่เขาบ่มไว้ ตอนนี้ขั้นตอนที่สองถือว่าสำเร็จได้ด้วยดีไปแล้วและพร้อมสำหรับขั้นตอนที่สามในทันที


เมื่อตอนที่เขาได้สูตรไวน์นี้มาตอนนั้นเขายังไม่รู้ว่าขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯใดกันแน่จึงยังไม่กล้าทำอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาได้รู้แล้วแน่นอนว่าเขาต้องลองทำตาม แต่จะรสชาติเป็นยังไงนั้นต้องลองก่อนถึงจะรู้


“เห้ออออ กว่าจะเสร็จสิ้นทุกกระบวนการก็ต้องใช้เวลากว่าสามเดือน ช่างนานเสียเหลือเกิน ถ้ามีวิธีการย่นระยะเวลาได้ก็คงจะดีแหะ” พอคิดถึงเรื่องร่นเวลาแบบนี้เขานั้นก็พลันนึกถึงสมบัติของเขาชิ้นหนึ่งที่มีความสามารถนี้พอดี


เขาได้ใช้สมบัตินี้มาหลายครั้งแล้วถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอันสักเท่าไหร่นักก็ตาม เอาตรงๆก็ออกจะเลวร้ายเสียทุกครั้งไป แต่อย่างน้อยถ้าใช้ที่นี่ก็พอจะวางใจได้อยู่


 


“เอาวะ ลองดูสักรอบ” ซูจิ้งคิดดีแล้วจึงตัดสินใจนำสมบัติชิ้นนั้นออกมาจากมิติเก็บของ


GGS:บทที่ 887 โลกแห่งความเร่ง


 


ซูจิ้งได้นำกล่องไททาเนียมอัลลอยขนาดใหญ่ออกมา ข้างในนั้นเป็นกล่องไททาเนียมอัลลอยซ้อนกันอยู่สิบชั้น


โดยข้างในสุดนั้นเป็นกระโหลกนี้เขาได้มาเป็นชิ้นแรกๆของสมบัติทั้งหมดที่เขาได้มา เขาได้สิ่งนี้จากขยะห้วงเวลาฯศึกท้ารบสวรรค์


ทันทีที่เขานำมันออกมา เขารู้สึกได้ถึงความเย็นเยียบกระดูกและกลิ่นอายแห่งลางร้าย


เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่านี่เป็นเพียงแค่ความรู้สึกไปเองรึเปล่าแต่เทียบกับครั้งแรกที่เจอเขาว่ากลิ่นอายไม่ได้แรงขนาดนี้ แถมความรู้สึกเย็นยะเยียบนี้ก็ได้มากจนทำให้เขารู้สึกเย็นวาบถึงไขสันหลัง


ซูจิ้งเองเอาจริงๆเขาก็หวั่นๆกับกระโหลกชิ้นนี้ไม่น้อยเหมือนกันแต่ความสามารถของมันนั้นก็ทรงพลังเกินกว่าที่เขาจะเมินมันไปได้


ครั้งแรกที่เขาเคยใช้นั้นเป็นตอนที่เขาต้องการทำเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ถังเพื่อหาเงินให้ได้เยอะ ในครั้งนี้เขาเองก็อยากจะใช้กระโหลกนี้เพื่อล่นระยะเวลาการบ่มไวน์มอลต์เท่านั้นเอง


“ตอนนั้นรู้สึกว่าถ้าแตะกระโหลกนี้ไปหนึ่งนาทีจะเท่ากับหนึ่งปีที่เร่งได้สินะ ถ้าอย่างนั้นการจะทำไวน์มอลต์นี้ในสามเดือนก็สมควรจะใช้เวลาไม่ถึงนาที


อืมมมม ถ้ารวมเวลาที่ต้องเปลี่ยนถ่ายกระบวนการด้วยไวน์นี้ก็สมควรจะเสร็จโดยเวลาครึ่งชั่วโมง” ซูจิ้งพยายามคำนวนเวลาที่ต้องใช้ทั้งหมดอย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่จะแม่นได้และจึงได้เริ่มในทันที


ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตนำกระโหลกนี้ไปวางในมอลต์ที่บ่มไว้เพียงครึ่งนาทีแล้วรีบดึงออกมาอย่างไว เขาทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆประมาณยี่สิบกว่าครั้ง


ซึ่งตามกระบวนการปกติต้องใช้เวลากว่าสามเดือน แต่นี่สามารถเสร็จสิ้นได้เพียงยี่สิบนาทีเท่านั้น


หลังจากนั้นซูจิ้งได้เปิดฝาไหที่เขาใช้บ่มไวน์มอลต์นี้ออกมา ทันทีที่เขาได้สัมผัสกลิ่น ซูจิ้งแทบจะอ้วกออกมาเพราะว่ากลิ่นถือได้ว่าบรรลัยจักมาก เขารู้สึกเซ็งในทันทีก่อนจะบ่นออกมาว่า “กลิ่นผีบ้าอะไรกันเนี่ย นี่ใช้ไวน์มอลต์จริงๆอย่างนั้นเหรอ


นี่ชนเผ่าในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงไม่น่าจะชอบดื่มเบียร์ที่กลิ่นเหม็นบรรลัยแบบนี้นะ หรือว่ากระบวนการบ่มของฉันทำอะไรพลาดไปกัน”


 


ซูจิ้งได้ดูวิธีการทำอีกครั้งและเขาแน่ใจว่ากระบวนการของเขาไม่ได้มีอะไรผิดพลาดแม้แต่น้อย เขาจึงได้ลองกลั้นใจและชะโงกหน้าไปดูในไห


สิ่งที่เขาเห็นก็คือสีสันอันหลากหลายปรากฏบนมอลต์ที่อยู่ในไห ดูเหมือนว่ามอลต์บางส่วนจะเริ่มเน่า แต่ส่วนอื่นกับยังดูสดใหม่อยู่และดูเหมือนว่ากระบวนการบ่มนั้นยังไม่สมบูรณ์


“เข้าใจล่ะ ดูเหมือนว่ากระบวนบ่มที่ได้รับการเร่งเวลานั้นจะเกิดขึ้นเฉพาะส่วนที่โดนเจ้ากะโหลกนี่เท่านั้น ส่วนอื่นไม่ได้ถูกเร่งเวลาไปด้วยทำให้เกิดการบิดเบี้ยวของเวลา มันเลยเละเทะได้ขนาดนี้


ดูเหมือนว่าการทำไวน์ในครั้งนี้คงจะหวังผลได้ไม่เท่ากับตอนทำเครื่องลายครามในครั้งนั้นเลยแหะ


อืมมมมม ถ้าหากไปไว้นานกว่านี้ดูเหมือนว่าความสามารถของกะโหลกนี่จะค่อยๆเสื่อมไปตามกาลเวลา


หากไม่รีบทำไวน์ด้วยวิธีนี้ให้ได้ในเร็ววันนี้ล่ะก็ อีกไม่กี่ปี ไม่สิอาจจะสักสิบปีกะโหลกนี่สมควรจะกลายเป็นกะโหลกธรรมดา นี่เป็นเรื่องแย่เลยแหะ” ซูจิ้งตอนนี้รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา


“…ดูเหมือนว่าความสามารถของกะโหลกนี่จะด้อยลงไปแหะ ดูเหมือนต้องทดสอบดูก่อน” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้ลองมองหาอะไรมาลองใช้ความสามารถกะโหลกนี้ดูก่อนและก็พบว่าจริงดังคาด


ตอนนี้ความสามารถในการเร่งเวลาของกะโหลกลดลง แต่ถึงจะอย่างนั้นเขาก็ยังไม่กล้าจะแตะต้องกะโหลกนี่ตรงๆอยู่ดี


 


ซูจิ้งต้องการทราบอัตราการเร่งเวลาที่แน่นอนของกะโหลกจึงได้ลองดูอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้ทำเพียงแค่นำหัวกะโหลกไปแตะๆที่ด้านบนของกองมอลต์ในไหอีกแต่ไป


เขาได้ใช้กระแสจิตของเขาแหวกกองมอลต์ให้กลายเป็นช่องตรงกลางและวางหัวกะโหลกนี้ไว้ในช่องนั้น


หลังจากนั้นก็ใช้กระแสจิตบังคับให้ข้าวมอลต์พัดไปรอบๆโดยใช้อัตราเร่งที่คงที่เท่าที่จะเป็นไปได้และพยายามให้ระยะห่างจากหัวกะโหลกพอๆกัน


ถึงแม้ว่าวิธีการนี้จะทำให้เขาเหนื่อยล้ามากกว่าปกติแต่เขาก็ยังยอมทำอยู่ดี บอกได้เลยว่าคนทั่วไปไม่สามารถใช้กะโหลกนี้ได้อย่างแน่นอน


หลังจากที่ซูจิ้งได้ลองบ่มไวน์ข้าวมอลต์รอบที่สองเสร็จสิ้น เขาได้ลองเปิดไหออกดู คราวนี้ไม่ได้กลิ่นบรรลัยแบบรอบแรกแต่ประการใด แต่ว่ารสชาติของไวน์ที่หมักได้ยังคงรู้สึกแปลกๆอยู่


เขาคิดว่าน่าจะเป็นที่อัตราการเร่งของเวลาของข้าวมอลต์นั้นยังไม่เสมอกัน ด้วยการที่ช่วงเวลาที่ส่งผลต่อข้าวมอลต์แต่ละเม็ดนั้นต่างกันมากเพราะดูๆไปแล้วถึงจะต่างกันเพียงเสี้ยววิแต่อัตราเร่งน่าจะเริ่มกันหลายวันอยู่


ซูจิ้งไม่ได้รีบร้อนแต่ประการใด เพราะเขานั้นไม่ได้เพียงแค่ต้องการใช้กะโหลกนี้ทำไวน์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เขาเองก็รู้สึกเสียดายไม่น้อยเหมือนกันที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับกะโหลกนี้จนพลาดโอกาสทำเงินไปตั้งมากมาย


เขาได้ลองทำไวน์ต่อไปครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ และครั้งที่ห้า


หลังจากเขาได้บ่มไวน์ครั้งที่ห้าเสร็จสิ้น คราวนี้นอกจากกลิ่นของมอลต์ที่บ่มไวน์จะไม่ได้แปลกแล้ว กลิ่นของมันยังหอมหวลจนซูจิ้งต้องสูดลมหายใจเข้าไปยังเต็มปอดด้วยซ้ำ


“รสชาติโคตรดี” ซูจิ้งรู้สึกมีความสุขแบบสุดๆ หลังจากที่เขาหยิบช้อนมาลองชิมรสชาติของไวน์ไปหนหนึ่งจนรู้รสแล้ว


เขายังใช้ช้อนจ้วงลิ้มรสชาติอย่างไม่วางมือจนรสชาติของไวน์มอลต์ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมปากของเขา ด้วยกลิ่นมอลต์ที่หอมฟุ้งและรสชาติที่นุ่มละมุนในตอนนี้เขาอดใจไม่ไหวที่จะดื่มมันแล้ว


“อา…สดชื่น….” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชมไวน์มอลต์นี้ออกมา ถึงแม้ว่าไวน์มอลต์นี้จะเทียบไม่ได้กับไวน์แห่งเซียนที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียนก็ตาม


เต็มที่ก็น่าจะอยู่ในระดับไวน์จิ้งจอกแดงที่ทำจากสตอเบอรี่ที่เขาได้สูตรมาจากห้วงเวลาฯคัมภีร์วิถีเซียน


แต่ไวน์นี้เองก็มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์และละมุนลิ้นแบบสุดๆ ดีไม่ดีนี่จะดีกว่าไวน์จิ้งจอกแดง และการดื่มเบียร์ธรรมดาซะอีก


“อา…..ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดนี่ต้องเป็นเบียร์แห่งไชร์อย่างแน่นอน” ซูจิ้งหัวเราะออกมา


 


ดั่งที่กล่าวไปแล้วว่าเหล่าฮอบบิทนั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่ใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายแต่เต็มที่กับชีวิต พวกเขานั้นชอบการสูบยา ดื่มเบียร์ และพืชสีเขียว


ใบยาสูบแห่งไชร์ที่เขาได้มาก่อนหน้านี้ก็ถือว่าเป็นของที่มีชื่อเสียง เช่นเดียวกับเบียร์แห่งไชร์นี้ที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน


“อืมมมม แต่ว่าแค่นี้ก็ยังไม่พิสูจน์ไม่ได้แหะว่าเบียร์นี้ดีจริงๆเพราะฉันเองก็ไม่เคยกินเบียร์มาก่อนซะด้วยสิ คงต้องให้เหล่าคอเบียร์ลองกินดูซะก่อนสินะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาอีกครั้ง


ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้ทำการบ่มเบียร์นี้ต่อแต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่าเขาใจตอนนี้โคตรจะเหนื่อย สิ่งที่ซูจิ้งต้องการทำในตอนนี้ก็คือการประเมินตลาดและโอกาสทำกำไรของเบียร์ที่เขาเพิ่งจะบ่มมาได้


หากว่ามีโอกาสสร้างผลกำไรงามจริงๆล่ะก็ เขายอมรอไปสามเดือนดีกว่าใช้หัวกะโหลกแบบนี้แน่นอน


 


เมื่อเทียบกันระหว่างไวน์จิ้งจอกแดง ไวน์แห่งเซียน และไวน์จากหนอนไวน์แล้วนั้น เบียร์แห่งไชร์นี้ถือได้ว่าดีกว่าไวน์ชนิดอื่นๆที่เขามี


ไวน์จิ้งจอกแดงนั้นถูกจำกัดจำนวนด้วยสตอว์เบอรี่ที่ต้องเก็บเกี่ยวเป็นฤดูกาล และปริมาณที่จำกัด


ไวน์แห่งเซียนนั้นต่อให้เป็นไวน์ที่เป็นการเจือจางแต่ก็ถือได้ว่ามีจำกัดอยู่ดี


ไวน์จากแมลงไวน์ยิ่งแล้วใหญ่เลย ไวน์ที่ได้ออกมานั้นแม้ว่าจะสุดยอดก็จริงแต่ไวน์นั่นไม่ได้มีผลดีต่อสุขภาพและรสชาติไม่มีความเสถียรแม้แต่น้อย แถมเจ้าหนอนไวน์นั่นเขาก็มีเพียงตัวเดียวอีกด้วย


เมื่อเทียบกันแล้วนั้นเบียร์แห่งไชร์นี้ถือได้ว่านำขาดในเรื่องกำลังการผลิตเพราะบนโลกนี้มีข้าวมอลต์ชั้นเลิศอยู่มากมายที่แต่ละปีใช้ไม่หมด


ตราบใดที่เขาขายเบียร์นี้ได้ราคาพร้อมผลกำไรที่ดีเขาก็ยินดีที่จะใช้ข้าวมอลต์เหล่านั้นโดยเสนอราคาที่แพงกว่าท้องตลาดเลยยังได้


ซูจิ้งได้วางเบียร์แห่งไชร์เอาไว้ข้างๆก่อนที่จะศึกษาหัวกะโหลกนี้ต่อ เขาคิดไปซักพักก่อนจะบ่นกับตัวเองออกมาว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้กะโหลกไม่ได้มีผลต่อการเร่งอายุไข แต่เป็นการเร่งเวลามากกว่า …. นั่นหมายความว่าถ้าควบคุมดีๆล่ะก็น่าจะเร่งการเจริญเติบโตได้สินะ”


นึกได้ดังนั้น ซูจิ้งก็ได้ใช้กระแสจิตบังคับหัวกะโหลกให้ลอยไปใกล้ๆต้นหญ้า แล้วรีบบังคับให้ลอยออกห่างในทันทีโดยใช้เวลาไปทั้งหมดหนึ่งวินาทีเท่านั้น


ในช่วงเวลาเสี้ยววินาทีนั้น ซูจิ้งได้จับตามองจนได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง


เขาเห็นว่าต้นหญ้าต้นน้อย เติบโตอย่างรวดเร็ว และแก่ตัวลงแทบจะในพริบตาเมื่อนำกะโหลกออกห่างจากต้นหญ้ามันก็ได้เหี่ยวตายลงเรียบร้อยแล้ว


“อืมมมมม…. ดูเหมือนว่าหนึ่งวินาทีจะเท่ากับหกวันสินะ แต่นี่เหมือนฉันจะเดาผิดไปเหมือนกัน ดูเหมือนว่ากะโหลกนี่จะเร่งได้แต่อายุหรือนี่” ซูจิ้งขมวดคิ้วทันทีก่อนที่จะเริ่มใช้ความคิดบางอย่าง


ซูจิ้งยังคนทำการใช้กระแสจิตควบคุมกะโหลกต่อไปครั้งแล้วครั้งเล่ากับต้นหญ้า แต่ผลที่ได้ก็ยังคงออกมาเหมือนเดิม


ซูจิ้งได้ลองเปลี่ยนไปลองกับต้นกล้วยไม้ที่ปลูกกับดินจอมเขมือบดูกลับพบว่าผลที่ได้ต่างกันโดยสิ้นเชิง กล้วยไม้กลายเป็นเงางามขึ้นอย่างผิดหูปิดตา


ซูจิ้งที่ได้เห็นก็มีสายตาเปล่งประกายในทันที เขาได้ลองดูอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็ว่าจริงๆแล้วที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ใช่กล้วยไม้แต่เป็นดินจอมเขมือบ ต้นไม้ที่ปลูกบนดินจอมเขมือบนั้นก็ยังคงอยู่สภาพเดิมเพียงแค่เงางามขึ้นเท่านั้นเอง


“เข้าใจล่ะ เป็นดั่งที่ฉันคาดไว้เลย หัวกะโหลกมีความสามารถในการเร่งเวลา แต่เหล่าสิ่งมีชีวิตเองก็ต้องการพลังงานในการลองรับการเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นเดียวกัน


กับต้นหญ้านั้นตอนที่เวลาถูกเร่งไปแน่นอนว่าเมื่อดินไม่สามารถป้อนสารอาหารได้ทันมันย่อมแก่ตัวลงจนตายไป แต่กับดินจอมเขมือบที่เต็มไปด้วยสารอาหารและคุณสมบัติเฉพาะตัวของมัน


ต่อให้เร่งเวลาไปมากมายขนาดไหนมันก็พร้อมจะป้อนสารอาหารให้โดยที่ตัวมันเองไม่เสื่อมธาตุอาหารลงเลยแม้แต่น้อย


ต้นไม้ที่ปลูกบนมันนั้นถือได้ว่ามีสารอาหารคอยหล่อเลี้ยงตลอดเวลาทำให้ไม่ต้องกลืนกินพลังงานชีวิตของตัวเองจนแก่ตายไป” ตอนนี้ซูจิ้งเข้าใจได้อย่างท่องแท้แต่เขายังไม่แน่ใจเลยจัดการลองไปอีกเก้ารอบ


หลังจากที่เขานั้นค่อนข้างจะมั่นใจแล้วเขาได้ทดลองอย่างอื่นต่อในทันที คราวนี้เขาลองใส่เศษซากสิ่งมีชีวิตทุกอย่างเท่าที่เขามีลงบนดินจอมเขมือบ


เขาได้ใช้กระแสจิตของบังคบหัวกะโหลกไปแตะที่ดินจอมเขมือบอีกครั้งก็พบว่าดินจอมเขมือบดูดกลืนทุกอย่างลงไปในชั่วพริบตา


และต้นไม้ที่ปลูกในดินเองก็ได้รับผลด้วยเช่นกัน พวกมันโตขึ้นอย่างรวดเร็วแบบน่าตื่นตะลึงสุดๆ


 


ในตอนนี้เขามั่นใจในวิธีการทำงานของหัวกะโหลกแล้วเขาจึงได้ดำเนินการขั้นตอนต่อไป


คราวนี้เขานำต้นอ่อนใบยาสูบแห่งไชร์และต้นอ่อนของข้าวที่มีแถบเส้นสีเงินที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกปลูกลงไปในดินจอมเขมือบ และต้นพันธุ์ทั้งสองก็ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว


เขายังได้ใช้วิธีนี้กับพืชพันธุ์อย่างอื่นที่เขามีทั้งหมด หลังจากที่ต้นไม้พวกนั้นออกดอกออกผลจนได้เมล็ดพันธุ์ชุดถัดไปออกมา เขาก็ได้นำเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นฝังไว้ในดินจอมเขมือบและดำเนินการวนซ้ำต่อไป


ในตอนนี้ซูจิ้งได้เมล็ดพันธุ์มาจำนวนมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ต้นยาสูบแห่งไชร์และเมล็ดข้าวเส้นสีเงิน


เขาได้ทำการส่งเมล็ดพันธุ์ไปยังสถาบันเพราะพันธุ์ใบยาสูบของรัฐเพื่อที่จะแพร่กระจายพันธุ์ใบยาสูบแห่งไซร์นี้ให้เร็วที่สุด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)