Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 884-885
GGS:บทที่ 884 ลือเลื่องไปทั่วหล้า
รูปปั้นที่ถูกทุกคนดูแคลนมาก่อนหน้าแต่ในตอนนี้กลายเป็นที่จับตามองไปแล้ว นั่นก็เพราะว่ารูปปั้นและของบางส่วนเหล่านี้คือหลักฐานการคงอยู่ของแอตแลนติสที่ว่ากันนั่นเอง
นี่คือเหตุผลที่ว่าความวุ่นวายก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องเล็กๆไปเลยเมื่อเรื่องนี้ได้พิสูจน์ออกมา
“พระเจ้า เมืองแอตแลนติสนั่นอ่ะนะ จริงดิ”
“ไม่ใช่ข่าวปลอมหรอกเหรอ”
“ตอนนี้ผู้เชื่ยวชาญหลายๆคนได้ไปตรวจสอบดูแล้ว และพวกเขาต่างก็ยืนยันว่าทั้งรูปปั้น อ่างน้ำ และรูปภาพนั้นอย่างน้อยก็ต้องมีอายุไม่น้อยกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปีก่อน ซึ่งมันพอๆกับเรื่องเล่าที่เขาลือกันว่าแอตแลนติสได้จมแล้วหายไปในช่วงเดียวกันเลย”
“เห็นเขาว่าการทดสอบครั้งสุดท้ายเจาะจงไปที่หนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยปีก่อนนะ”
“แม่…เอ๊ยถ้าเป็นของจริงล่ะก็แสดงว่ามันมีค่ามากเลยนะ”
“อย่าพูดว่ามีค่ามากดีกว่า ควรจะพูดว่าประเมินค่าไม่ได้ถึงจะถูก”
“ไม่แปลกใจเลยที่ว่าพี่จิ้งไม่ยอมขายทั้งๆที่ราคาพุ่งทะละไปถึงห้าสิบล้านหยวน”
“เหอะ อย่าว่าแต่ห้าสิบล้านเลย ห้าร้อยล้านก็ยังไม่ควรจะขายซะด้วยซ้ำ”
“ฉันได้ยินมาด้วยว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้แปลกใจเลยเมื่อทราบอายุของของเหล่านั้นว่ามีอายุหนึ่งหมื่นสองพันปี เขานั้นดูเหมือนจะรู้มานานแล้ว
พอลองนึกๆดูแล้วเขาต้องใจถึงขนาดไหนกันถึงได้กล้าวางของล้ำค่าขนาดนั้นในสวนฟางหลิน”
“เฮ้เฮ้ฉันเองก็อยากจะถามเหมือนกัน ก่อนหน้านี้ใครกันนะที่ว่าพี่จิ้งต้องยอมตัดใจเลหลังขายของแบบถูกๆน่ะ”
แฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะออกมาเบ่งแทนตัวซูจิ้งเอง เล่นเอาพวกที่ออกมาว่าร้ายก่อนหน้านี้ถึงกับหุบปากคุกเข่าขอขมาแทบจะในทันที
นั่นก็เพราะว่าเรื่องที่ของสามชิ้นเป็นของจากเมืองแอตแลนติสออกมาแบบนี้มันก็เท่ากับยืนยันได้แล้วว่ารูปปั้นมีค่ามากกว่าห้าสิบล้านหยวน ไม่สิห้าร้อยล้านหยวนก็ไม่ใกล้เคียงแม้แต่น้อย
ทำยังไงได้ล่ะ เป็นพวกนี้เองที่เสนอหน้าเห่าหอนออกมาก่อน ถ้าไม่ออกหน้าถลำตัวเล่นใหญ่ซะขนาดนั้นก็ไม่ต้องมาเสียหน้าเจ็บใจขนาดนี้ พวกนั้นได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น ดูสิว่าจะมากล้าว่าร้ายพี่ซูจิ้งอีกรึเปล่า
ตอนนี้แม้แต่วีนัสไร้แขนที่นำมาเทียบค่ากันก่อนหน้านี้ยังไม่สามารถเอามาเทียบคุณค่าได้เลยไม่ว่าจะเป็นทั้งด้านศิลปะ หรือประวัติศาสตร์
จะมาเทียบกันได้ยังไงในเมื่องานชิ้นหนึ่งมีค่าแต่เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ แต่กับอีกชิ้นหนึ่งคือหลักฐานการคงอยู่ของดินแดนที่สาบสูญ
นอกจากนั้นรูปปั้นวีนัสไร้แขนนี้ยังเป็นเพียงแค่ของแตกหัก แต่กับรูปปั้นนางฟ้านั้นกลับสมบูรณ์ครบถ้วน ถึงในความเป็นจริงแล้วก่อนหน้านี้จะแตกยับมาก่อนก็ตาม
เป็นไปได้เหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นอาจจะนำรูปปั้นนี้มาวางไว้ที่สวนฟางหลินก็เพื่อการโฆษณา แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่
ในเมื่อตอนนี้มีการพิสูจน์ทราบจนแน่ใจแล้วว่ารูปปั้นนี้มีอายุกว่าหนึ่งหมื่นสองพันกปีล่ะก็ อย่าว่าแต่โดนกระแนะกระแหนเลย แค่คนพวกนั้นจะพูดผิดหูออกมาก็ยังไม่กล้าอีกต่อไป
“พี่ฉิง พี่ฉิง มีเรื่องเกิดขึ้นหล่ะ” ณ ร้านเสิ้อผ้าหลงเตงอินเตอร์เนชั่นแนล(ร้านของฉือชิง) มีพนักงานคนหนึ่งได้เล่นมือถือในขณะที่เข้าห้องน้ำจะไปเห็นข่าวของซูจิ้งเข้าจนเธอรีบกุลีกุจอออกมาว่าฉือชิงในทันที หลังจากนั้นทั้งฉือชิง ตงเจี๋ยและคนอื่นๆเองต่างก็ทำหน้ามึนตึงกันไปหมด
“อาจิ้ง…” หวังซือหยาตอนนี้ตกตะลึงทันทีเมื่อเห็นข่าว ตอนที่เธอได้รับรู้การคงอยู่ของสมบัติของซูจิ้งแต่ละชิ้นก่อนหน้านี้ยังไม่เคยประหลาดใจเท่านี้มาก่อนเลย
นี่ซูจิ้งไปเจอหลักฐานการคงอยู่ของดินแดนในตำนานนั่นจริงๆอย่างนั้นหรือเนี่ย
“อาจิ้ง นี่สินะเหตุผลของนาย” หวังจ้าวที่เห็นก็ได้เขาใจในทันทีว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องการจะเป็นผู้ปรับปรุงสวนฟานหลิงแห่งนี้ด้วยตัวเอง เขานั้นเพียงแค่อยากจะโฆษณาเฉยๆ แต่ดันเป็นการโฆษณาที่โคตรน่าสะพรึงเลยจริงๆ
ในตอนนี้ผู้ว่าการเมืองกงหลิงหมิงและผอ.สำนักงานโยธาเองที่เป็นผู้สนับสนุนซูจิ้งนั้น เมื่อรู้ข่าวนี้ทั้งสองก็พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน
ตอนแรกพวกเขานั้นก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องการปรับปรุงสวนฟางหลินนี้เลยจริงๆ และตอนนี้ยิ่งกลายเป็นว่าทำอะไรไม่ได้อีกเข้าไปใหญ่ ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็คิดว่าไม่มีอะไรเลยรึไงที่หมอนี่ทำแล้วจะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่เนี่ย
และกับใครก็ตามที่คิดร้ายและจ้องหวังหาประโยชน์ทางธุรกิจในสิ่งที่ซูจิ้งหามาได้นั้นเมื่อเห็นข่าวนี้ต่างก็ต้องคุกเข่าขอยอมแพ้ในทันที
พวกเขาได้เตรียมการไว้อย่างหนักแน่นไม่ว่าซูจิ้งนั้นจะมีช่องทางธุรกิจแนวไหนออกมาแต่ไม่เคยมีใครคิดว่าจะออกมาแนวนี้ไปได้ แถมเมื่อผลการตรวจสอบออกมาจากผู้เชี่ยวชาญแบบนี้แล้วพวกเขาได้แต่ยอมแพ้ไป
กับของที่ได้ชื่อว่าเป็นหลักฐานการคงอยู่ของดินแดนที่สาบสูญแบบนี้ ทุกคนได้แต่มองห่างๆอย่างอิจฉา แน่นอนสิว่าใครจะไปหาหลักฐานของอารยธรรมยุคโบราณแบบนี้ได้ง่ายๆกัน
ณ สนามบิน ทั้งอลันและแอนนาต่างมานั่งเฝ้ารอด้วยสีหน้าอันห่อเหี่ยว ทีมผู้เชี่ยวชาญของพิพิธภัณฑ์ของพวกเขาจากอเมริการอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้มาถึงหนึ่งในที่สุด เมื่อหัวหน้าทีมได้เห็นอลันและแอนนาพวกเขาได้พูดออกมาในทันทีว่า “รีบพาเราไปยังสวนฟางหลินอะไรนั่นเร็วๆสิ”
“เอ่ออออ…ผมเกรงว่าตอนนี้ต่อให้ไปถึงเราจะไม่สามารถซื้อรูปปั้นนั่นได้แล้วล่ะ” อลันพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ
“เอาน่า ยังไงซะหากว่าเราประเมินแล้วมันมีค่าจริงๆ สองร้อยล้านเราก็ยอมจ่าย” ชายวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานพูดออกมา
“อย่าว่าแต่สองร้อยล้านเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นห้าร้อยล้านหยวนหรือมากกว่า ก็สมควรจะซื้อไม่ได้แล้ว” อลันพูดออกมาพลางส่ายหัวทำให้คนในทีมที่พึ่งจะลงเครื่องมากันต่างพากันงงไปหมด
ตอนนี้เองอลันได้เล่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจนทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงและตื่นเต้นกันจนออกนอกหน้า พวกเขายังคงมุ่งตรงไปยังสวนฟางหลินกันอยู่ดี แต่ตอนนี้คนกลับมากขึ้นก่อนหน้านี้หลายเท่า
พวกเขาในตอนนี้ทำได้เพียงมองจากระยะไกลเท่านั้น พอมานึกถึงว่ารูปปั้นนี้คือหลักฐานทางโบราณคดีอันแสนล้ำค่าอย่างอารยธรรมที่สาบสูญเมืองแอตแลนติสนั้น พวกเขาทำได้เพียงบ่นอุบออกมาว่า “ถ้าฉันรู้อย่างนี้นะฉันจะเสนอราคาสองร้อยล้านหยวนตั้งแต่แรกแล้ว หากเป็นราคานี้เขาคงยอมขายให้เรา”
“ผมเกรงว่าจะไม่เป็นอย่างนั้นน่ะสิ จากสถานการณ์ดูเหมือนว่าคุณซูจะรู้คุณค่าของรูปปั้นนี้อยู่แล้วด้วย แม้แต่ผมกับแอนนาเองก็สมควรจะมีส่วนในแผนการของเขาด้วยเหมือนกัน” อลันพูดออกมาพลางส่ายศรีษะของเขา
เขาเองก็พึ่งจะรู้ตัวก็ตอนที่มีการพิสูจน์ทราบแล้วว่ารูปปั้นนี้มีอายุถึงหนึ่งหมื่นสองพันปีแต่ซูจิ้งยังคงนิ่งไม่สะทกสะท้อนแต่อย่างใด
ความจริงหากเขาจะโกรธในเรื่องนี้ก็สามารถจะทำได้ แต่มันก็เหมือนกับที่ผอ.หวังว่าเขาเอาไว้ ที่ว่าเขานั้นไม่บริสุทธิ์ใจตั้งแต่เสนอราคาเริ่มต้นที่สองหมื่นหยวนเพื่อซื้อรูปปั้นนี้กลับไปอเมริการแล้ว
นี่คือเหตุผลที่เขานั้นไม่สามารถเรียกร้องอะไรไม่ได้ เพียงแค่เขานั้นยังได้เห็นรูปปั้นนี้ใกล้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีพอแล้ว เพราะในอนาคตดีไม่ดีเขาเอาจจะไม่มีโอกาสได้เห็นรูปปั้นนี้ใกล้ๆแบบนี้อีกแล้ว
ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ เมืองปารีส ประเทศฝรั่งเศส ทันทีที่มีคนที่นั่นรู้ข่าวต่างก็เกิดความโกลาหลในทันที
“ฉันไม่เชื่อหรอก ไม่ต้องเป็นแค่การชวนเชื่อเฉยๆแน่ๆ”
“แต่ถ้ามันเป็นเรื่องจริงล่ะก็มันมีค่าเสียยิ่งกว่าวีนัสอีกนะ”
“ไม่ได้การแล้ว ฉันต้องรีบไปเมืองจีน หากว่านี่เป็นของจริงล่ะก็ ฉันจะนำมันกลับมาที่นี่โดยทุ่มทั้งหมดเท่าที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์แห่งนี้จะทุ่มได้”
“หากว่านี่คือรูปปั้นแห่งดินแดนที่สาบสูญนั้นจริงล่ะก็ มันต้องไม่ทางตกอยู่ในเงื้อมมือจีนอย่างแน่นอน”
ชาวอิตาลีเองก็ตกใจเหมือนกันเมื่อเห็นข่าวนี้
“แอตแลนติสออกมาแล้ว”
“รูปปั้นนั้นสวยงามจริงๆ”
“หากนี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ งานชิ้นนั้นจากทรงคุณค่ากว่าวีนัสมากเลยนะ”
“แถมนี่ยังเป็นโอกาสที่จะได้ศึกษางานศิลป์ของดินแดนแอตแลนติสเลยนะ เรื่องนี้ถือได้ว่าสำคัญที่สุด”
“ไปเมืองจีนกันเดี๋ยวนี้เลย”
ตอนนี้นานาประเทศไม่ว่าจะเป็นเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น บริเตน โรม หรือก็คือทั่วทั้งโลกในตอนนี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว ผู้เชี่ยวชาญของแต่ละประเทศต่างก็ตรงมาที่จีนในทันที แต่นี่ก็ต้องมีคนเกินครึ่งต้องตีตั๋วกลับบ้านไป
นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นเริ่มรำคาญเลยนำรูปปั้นกลับมาจากสวนฟางหลิน และไล่คนที่มาเพื่อจะขอซื้อกลับบ้านไปเหลือไว้แต่เพียงคนที่ต้องการจะศึกษา ค้นคว้า และวิจัยจริงๆเท่านั้น
ตอนนี้นานาประเทศได้ตั้งทีมวิจัยเฉพาะกิจที่รวบรวมนักวิจัยจากนานาชาติมาเพื่อทำการตรวจสอบ วิจัย และเรียนรู้สิ่งต่างๆที่สามารถทำได้จากรูปปั้น อ่างน้ำ และภาพเขียน
ในที่สุดแล้วทุกผู้เชี่ยวชาญต่างก็ยืนยันแล้ว่าของทั้งสามชิ้นนี้มีอายุกว่าหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยปี ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขานั้นยังได้พยายามใช้ของทั้งสามสิ่งนี้มาเชื่อมเข้ากับตำนานต่างๆที่เกี่ยวกับดินแดนที่สาบสูญนี้ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ จนสามารถอธิบายอารยธรรมแอตแลนติสแบบคร่าวๆได้ ซึ่งของเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ซูจิ้งเองก็ไม่รู้มาก่อนว่ามีอยู่ในโลกใบนี้เหมือนกัน
เอาจริงๆถ้าไม่นับเรื่องอายุของของแต่ละชิ้นที่มีอายุหนึ่งหมื่นสองพันห้าร้อยล้านปีนี่หลักฐานแต่ละอย่างนี้คือเลื่อนลอยแบบสุดๆ
แต่เอาจริงกับเรื่องแอตแลนติสนี้ขอแค่มีหลักฐานที่อายุหนึ่งหมื่นสองพันปีก็ถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะที่พวกเขาอยากได้คำตอบมากที่สุดนั่นก็คือคำตอบที่ว่าดินแดนแอตแลนติสนั้นมีอยู่จริงๆรึเปล่าเท่านั้นเอง
ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกต่างก็คลั่งเกี่ยวกับรูปปั้นนี้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวเน็ต ลูกเล็กเด็กแดง โรงเรียน ท้องถนน แทบจะบอกได้ว่าทุกๆที่ในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นและพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของรูปปั้นนางฟ้านี้กันทั่วทุกมุมโลกเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 885 ความจริง
ชื่อเสียงของรูปปั้นนางฟ้าแห่งแอตแลนติสนี่ขึ้นสูงอย่างมาก เพียงแค่พูดชื่อนี่ก็กลายเป็นเรื่องพูดคุยได้ยาวนานเลยทีเดียว
ตอนนี้มีหลายๆประเทศพยายามอ้างความเป็นเจ้าของเพราะถือว่าประเทศของตัวเองนั้นน่าจะอยู่ใกล้ดินแดนที่สาบสูญแห่งนี้มากที่สุด และยังอ้างอีกว่าของพวกนี้น่าจะถูกนำมาจากทะเลในดินแดนของตนเอง
แต่เรื่องพวกนี้กลับถูกตีตกไปหมด แถมคนที่ออกมาตีตกเรื่องนี้ยังเป็นคนที่คอยมาหาเรื่องซูจิ้ง ทั้งๆที่ซูจิ้งยังไม่ได้ออกมาทำอะไรเลยด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะว่าทุกคนในประเทศต่างก็ถือว่าซูจิ้งคือตัวแทนของประเทศแล้วในตอนนี้
ในขณะเดียวกันหลายๆประเทศยินดีที่จะจ่ายเงินเพื่อจะได้ของพวกนี้กลับไปและราคาในตอนนี้เพิ่มขึ้นไปอยู่ที่แปดร้อยล้านเข้าไปแล้ว และยังคงเพิ่มสูงขึ้นแบบไร้ที่สิ้นสุด
อีกเรื่องหนึ่งคือการที่ซูจิ้งนั้นบอกไปว่าเขาได้สมบัติพวกนี้มาจากใต้ทะเลลึก และนั่นกลายเป็นหลักฐานอย่างดีว่าของๆซูจิ้งอยู่ในเขตน่านน้ำสากล ของที่พบย่อมตกเป็นของเขาไปโดยปริยาย
สำหรับเรื่องราคาที่แต่ละประเทศเสนอมานั้น ซูจิ้งตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่าแต่ละประเทศจะเสนอราคามาสูงขนาดไหนเขาก็ไม่ยอมขาย
เขาในตอนนี้คิดจะเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองเพื่อจัดแสดงสมบัติจากดินแดนแอตแลนติสและสมบัติอย่างอื่นที่เขาคิดว่าไม่อยากจะขายออกไป
นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงจะเป็นการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯได้แล้ว เขายังได้รับเงินกลับมาจากการขายบัตรค่าเข้างานด้วย
ความจริงแล้วซูจิ้งอยากจะส่งของทุกอย่างออกขายในงานประมูลของเขาให้หมดเลยทีเดียว แต่ก็มีของบางอย่างที่ไม่ควรปล่อยให้ไปอยู่ในมือของใครก็ไม่รู้ อย่างเช่นภาพสาวงาม ตำราวิถีแห่งใต้หล้า ตำราวิถีมังกร หัวใจพระสูทและพระพุทธ และของอย่างอื่น
ของที่ไม่น่าจะขายได้โดยง่ายเลยต้องเก็บไว้ดีกว่าอย่างหัวกะโหลกและโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่งที่เขายกให้ภาครัฐไปนั่นก็ไม่ได้ถือว่าขายแต่อย่างใด
รูปปั้นนางฟ้าแห่งเมืองแอตแลนติสนี้ที่ได้ว่าเป็นของมีค่าและหายากแบบสุดหยั่งถึง แน่นอนว่าการขายนั้นถือได้ว่าไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าจากมุมมองของทางฝั่งซูจิ้งแล้ว ของพวกนี้ไม่ได้มาจากแอตแลนติสแต่อย่างใด ของพวกนี้เป็นหนึ่งในขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศที่เขาได้มา
เพียงแต่พวกมันดันมาจากห้วงเวลาที่มีอารยธรรมที่มีความเป็นศิลป์มากหน่อยเท่านั้นเอง แน่นอนว่าการที่จะตีค่าว่ารูปปั้นนี้มาจากแอตแลนติสก็ไม่ได้แปลกแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะว่าอย่างน้อยๆมูลค่าทั้งทางโบราณคดีและศิลปะไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติแห่งเมืองแอตแลนติสของจริงชิ้นอื่นๆเลยสักนิด
และแน่นอนว่าย่อมไม่สามารถตีค่าเป็นเงินได้ เช่นเดียวกันวีนัสของฝรั่งเศส และเดวิดของอิตาลีที่ต่อให้ต้องเกิดสงครามทั้งสองประเทศก็ไม่ยอมขายเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งเป็นผู้เดียวที่รู้ว่าของเหล่านี้แท้จริงแล้วมันมาจากที่ใดกันแน่ รูปปั้นนี้คือรูปปั้นของเผ่าเอลฟ์ที่เสี่ยวไป๋ใช้
สแตนด์ซ่อมแซมมาให้
เผ่าพันธุ์เอลฟ์นั้นเป็นเผ่าพันธุ์ที่แทบจะไม่แก่เฒ่าและถือได้ว่าเป็นศิลปินขั้นเซียนเลยก็ว่าได้
ตามที่ซูจิ้งคาดเอาไว้ว่ารูปปั้นนี้สมควรจะสร้างความตกตะลึงให้กับทั้งโลกได้ไม่เพียงแค่ศิลปินเท่านั้น
ด้วยอายุกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปีนี้ถือได้ว่าเกินกว่าประวัติศาสตร์ที่มนุษยชาติจะจดบันทึกว่า แต่กับเหล่าเอลฟ์แล้วก็เพียงแค่ชั่วพริบตา
อ่างน้ำนั่นเขาก็ได้มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงด้วยเช่นเดียวกัน แต่เขานั้นก็ไม่ได้แน่ใจว่ามันมาจากพวกเอลฟ์
นี่คือเหตุผลที่เขานำออกมาในช่วงที่เหล่านักโบราณคดีกำลังสับสนและเหล่าผู้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับแอตแลนติสต่างก็คิดว่าดินแดนนั้นมีอารยธรรมเกี่ยวกับเครื่องทองแดงเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว
ส่วนภาพวาดนั้นเขานั้นได้เห็นลายเซ็นกำกับแล้วเขารู้ได้ในทันทีที่เห็นเลยว่าภาพนี้ควรเป็นภาพพระราชวังของราชาเอเวอร์เดล
แต่ส่วนลายมือนี้ถูกเขาตัดออกไปด้วยเหตุที่เขานั้นคิดว่าหากทำอย่างนี้แล้วจะทำให้ทุกคนคิดว่าภาพนี้เป็นส่วนหนึ่งของแอตแลนติสง่ายกว่า เพราะยังไงซะก็ไม่มีคนรู้อยู่แล้วว่าแอตแลนติสหน้าตาเป็นยังไง
เขานั้นยอมเสียเวลาเพราะเขารู้ดีว่าหากอยู่ๆเขานั้นพูดออกมาว่าของเหล่านี้มาจากแอตแลนติสนั้นคงจะยากที่มีคนมาเชื่อเขาได้
นอกจากนั้นอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ถูกนำมาย้อนเล่นงานเขาได้ในภายหลังซึ่งนั่นจะทำให้เขานั้นเสียเวลามากกว่าการมาทำแบบนี้ ดีไม่ดีเสียมากกว่าได้อีกด้วย
นี่คือเหตุผลที่เขานั้นจงใจที่จะขอเป็นผู้ปรับปรุงสวนฟางหลินแห่งนี้ด้วยตัวเอง ที่เหลือก็แค่รอให้สาธารณะชนทั้งหลายเป็นผู้ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ เขาก็แค่ค่อยชักจูงให้เหตุการณ์ไปในทางที่เขาต้องการให้ได้ก็พอ
จนในที่สุดแล้วการชวนเชื่อในครั้งนี้ก็ประสบผลสำเร็จชนิดที่ไม่มีใครกล้าพูดออกมาว่าเขานั้นแค่ทำการโฆษณาสมบัติของเขา
นั่นก็เพราะว่ายังไงซะสมบัติทั้งสามชิ้นนี้มาจากดินแดนที่สาบสูญ หากเขาไม่ยอมปล่อยออกมามีหรือจะมีใครมารู้ว่ามีของแบบนี้อยู่ในโลก
แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เขานั้นต้องปวดหัวอยู่อีก
“อาจิ้ง นายไปเจอที่ตั้งของแอตแลนติสจริงๆหรอ พาฉันไปดูหน่อยสิฉันอยากเห็นมากๆเลย” ฉือชิงได้โทรหาซูจิ้งพร้อมทำเสียงออดอ้อนและตื่นเต้นนิดๆ
“ไม่หรอก ฉันแค่เจอของบางส่วนเท่านั้นเอง ฉันไม่ได้เจอที่ตั้งของแอตแลนติสหรอกนะ” ซูจิ้งอธิบายออกมา
“เป็นไปได้รึเปล่าว่าจะมีหลักฐานหรือซากโบราณสถานอยู่แถวๆนั้น”
“ก็อาจจะนะ ฉันลองให้ฮู่น้อยว่ายดูแถวนั้นอยู่เพื่อว่าจะเจออะไรเหมือนกัน”
หลังจากวางสายของฉือชิงไป ฉินซู่หลานก็ได้โทรเข้ามา น้ำเสียของเขาก็ตืนเต้นไม่น้อยเช่นเดียวกัน
“พี่จิ้ง พี่เป็นคนเจอหลักฐานการคงอยู่ของแอตแลนติสจริงๆสินะ ผมคิดแล้ว่าพี่นั้นเปรียบได้ดั่งสายน้ำที่…”
“เข้าเรื่องเลยเว้ยเฮ้ย รีบตัดเข้าเรื่องเลยอย่าได้พูดเวิ่นเว้อ ไม่งั้นฉันวางละ”
“พี่จิ้ง ผมขอไปยลโฉมรูปปั้นนางฟ้าแห่งเมืองแอตแลนติสแบบใกล้ๆได้รีเปล่า ผมดูในรูปถ่ายแล้วรูปปั้นนั้นสวยงามมากๆ ว่าแต่พี่เจอที่ตั้งของแอตแลนติสเลยรึเปล่า พอจะพาผมไปดูหน่อยได้ไหมครับ พี่จิ้ง ได้โปรดเถอะน้า…. ผมจะยอมทำที่พี่บอกทุกอย่างเลยขอแค่ได้ไปดูที่นั่น ไม่ว่าพี่จะใช้เยี่ยงวัวหรือม้า…”
หลังจากเสร็จเรื่องกับฉินซูหลานไป กงหลิงหมิงก็ได้โทรมาหา
“อาจิ้ง นายเนี่ยน้า…คราวนี้ฉันโดนนายหลอกไปเต็มๆเลย ตอนแรกฉันก็คิดว่านายทำเพื่อเมืองของเราเพื่อที่จะแข่งเพื่อแย่งชิงเมืองแห่งชาติซะอีก”
“ฮ่าฮ่า เอาน่าท่านผู้ว่าการ การที่ผมทำนี่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ช่วยสร้างชื่อเสียงให้เมืองหรอกเหรอครับ
ตอนนี้ก็มีคนมาเยี่ยมชมสวนฟางหลินที่ลานกิจกรรมกันอย่างล้นหลามแล้วนี่นา แน่นอนว่าเรื่องในครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของเมืองจงหยุนเพิ่มขึ้นสูงเลยนี่นา” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็จริงอยู่ที่ตอนนี้ลานกิจกรรมของเมืองจงหยุนนั้นมีคนนิยมจนเรียกว่าลุกเป็นไฟได้เลย พวกเขานั้นเหมือนกับอยากจะได้มาสัมผัสบรรยากาศของดินแดนแห่งแอตแลนติส
ตอนนี้ต่อให้นายนำรูปปั้นออกไปแล้วแต่พวกเขานั้นก็คงมาอยู่ดี เอาตรงๆนะ เรื่องในครั้งนี้ฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าดีกับเมืองจงหยุนรึเปล่า”
“แล้วนี่ผอ.สำนักโยธาเขาไม่ได้ว่าอะไรมาบ้างหรือครับ”
“ก็ไม่เชิงนะ เขาเพียงแค่รู้สึกเสียดายเฉยๆ เอ้อถามหน่อยสิรูปปั้นแอตแลนติสที่ตอนนี้ทั่วโลกกำลังจับตามองอยู่นั้น นายตั้งใจจะทำอะไรกับมันเหรอ”
“ผมว่าจะเปิดพิพิธภัณฑ์ของตัวเองแล้วนำพวกมันไปเก็บไวในนั้นน่ะ”
“ก็ดีนะ หากเสร็จแล้วฉันจะไปดูอย่างแน่นอนถึงแม้จะไม่ได้เห็นใกล้ๆแบบนี้อีกแล้วก็ตาม ว่าแต่นายเจอพวกมันที่ไหนกันล่ะ แล้วพื้นที่โดยรอบตรงที่เจอสภาพเป็นยังไงบ้าง”
“….” ซูจิ้งนั้นเริ่มคิดออกมาแล้วว่าจะมีสักคนไหมที่ไม่ถามว่าเขานั้นไปเจอมาจากไหนหรือว่าที่ตั้งของแอตแลนติสอยู่ตรงไหนกันแน่
เรื่องนี้ยังคงวนเวียนต่อไป
ทั้งซูหยา ซูเซิ่นเชวี่ย และเย่ฉิงต่างก็โทรหาเขา
แม้แต่หวังซือหยา หวังจ้าว หวังซวนจี้ ก็โทรหาเขาเรื่องนี้
หลิวฉิง จูเจียนฮัว เป็งหมิง ก็โทรหา
หลินฮ่าว เสี่ยวรุ่ย และ ฉือเล่ย ก็ไม่เว้น
คนในหมู่บ้าน ซูเจิ้นฮง จ้างเมิงเซียง ซูเหลียง ซูเสี่ยวหลิน และคำอื่นๆพากันมาถามถึงหน้าบ้าน
บอกได้เลยว่าใครก็ตามที่เป็นเพื่อนและค่อนข้างสนิทกับเขานั้น ต่างก็ถามเรื่องเดียวกันนี้เหมือนกันทุกคน
ด้วยความรำคาญซูจิ้งนั้นจึงได้ตัดสินใจสร้างช่องทางสื่อสารเรื่องนี้ขึ้นมาเฉพาะในไมโครบลอค วีแชต และQQ ของเขาเพื่ออธิบายเรื่องทุกอย่างในคราวเดียวแต่ก็หาได้แก้ปัญหาได้ไม่
หนำซ้ำมีคนกระหน่ำโทรมายิ่งกว่าเดิมซะอีกจนโทรศัพท์แทบจะไหม้เลยทีเดียว
ในหมู่คนที่ถามเรื่องแอตแลนติสนั้นมีคนที่ถามเกี่ยวกับที่ตั้งหรือไม่ก็สถานที่ที่เขาได้ของพวกนี้มาไม่น้อยเลยทีเดียว
ซูจิ้งนั้นไม่ได้รู้เลยว่าคนเหล่านี้มีความรู้สึกยังไง เอาจริงๆถ้าเป็นตัวเขาเมื่อได้ยินย่อมต้องอยากเห็นกับตาเป็นธรรมดาแต่ในเมื่อทุกอย่างคือเรื่องโกหกเขาเองก็ทำได้แค่แต่เรื่องไปเพิ่มเติมเท่านั้น
เอี้ยป๋อ โจวซิเหยียนและเหล่านักโบราณคดีชาวต่างชาติต่างก็ต้องการถามซูจิ้งเกี่ยวกับเรื่องที่ตั้งของแอตแลนติส พอซูจิ้งอธิบายออกมา พวกเขาก็ยังต้องการเห็นสภาพพื้นที่ที่ได้เก็บของพวกนี้มา
ซูจิ้งนั้นไม่มีทางเลือกอื่นจึงได้ทำการเปิดแผนที่ขึ้นมา ดีที่เขาได้เตรียมตัวมาแล้วล่ะดับหนึ่งในเรื่องนี้ เขาได้ชี้จุดๆหนึ่งในน่านน้ำสากลที่มีความเป็นไปได้มากพอที่ควรจะมีหลักฐานของแอตแลนติสอยู่ที่นั่น
เมื่อเหล่านักโบราณคดีเห็นดังนั้นจึงได้รีบสั่งการให้มีการเตรียมตัวสำรวจกันในทันที พวกเขานั้นทำให้ซูจิ้งต้องรู้สึกผิดไปนิดนึง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น