Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 882-883
GGS:บทที่ 882 นี่คุณอยากได้เงินขนาดนั้นเลยเหรอ
ราคาของรูปปั้นได้พุ่งสูงขึ้นเร็วราวกับติดจรวดจนสร้างความตกตะลึงให้กับชาวเน็ตไปทั่วกัน
“โว่…ห้าสิบล้านหยวน ราคาของชิ้นนี้มันช่าง….”
“ไอ้คนที่บอกว่าลูกพี่จิ้งนั้นไม่ยอมรีบขายตอนห้าล้านเหรียญแล้วต้องมาขายเลหลังทีหลังนี้ตอนนี้หน้าแตกยับไปรึยัง”
“เฮ้เฮ้สมบัติที่พี่จิ้งเอาออกมาแต่ละชิ้นมีค่าแค่ห้าล้านหยวนน่ะนะ ไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยนะเท่าที่ฉันรู้มา”
“นายไม่รู้ความรู้สึกของฉันหรอก ฉันและภรรยาได้มีโอกาสไปสวนฟางหลินเมื่อเช้านี้จนได้เห็นรูปปั้นนั้นกับตาตัวเอง ตอนนี้ฉันรู้สึกได้เลยว่ามันสวยงามและรู้สึกถึงอารมณ์ศิลป์จริงๆ
หลังจากที่รูปปั้นนั้นได้ตั้งที่สวนฟางหลินจึงทำให้มีค่าห้าสิบล้านหยวนน่ะนะ ไม่ใช่ซะหรอก ฉันบอกได้เลยว่าฉันกับภรรยาตีค่ารูปปั้นนั้นเกินไว้กว่าร้อยล้านหยวน”
“นายน่ะยังโชคดีที่ได้เห็น ตอนฉันไปหลังจากได้ยินข่าวก็เจอคนเยอะจนแทรกเข้าไปเห็นยังไม่ได้เลย”
“ว่าแต่ใครเป็นคนสร้างรูปปั้นอันสุดแสนน่ามหัศจรรย์พันลึกนั้นได้กัน”
“มีคนบอกว่าช่างฝีมือคนนี้บรรลุถึงขั้นที่ไม่มีใครคาดเดาได้ แม้แต่เหล่าศิลปินนักปั้นทั้งหลายเมื่อเห็นยังต้องตกตะลึงกันเลย”
“ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ครอบครองรูปปั้นเหมือนมีชีวิตเอาไว้ รูปปั้นนั้นถูกขายที่สิบล้านดอลล่า ไม่รู้ว่ารูปปั้นทั้งสองนั้นถูกสร้างสรรค์ด้วยคนเดียวกันรึเปล่า”
“ชาวต่างชาติตอนนี้มาเสนอที่ห้าสิบล้านหยวนแล้ว ซูจิ้งน่าจะขายแหล่ะ เขาน่าจะไม่ยื้อไปกว่านี้แล้ว”
ตอนนี้โลกภายนอกนั้นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน ไม่คิดว่าชาวต่างชาติจะมาเสนอซื้อรูปปั้นนี้ด้วยเงินกว่าห้าสิบล้านหยวน
ณ หน้าสำนักงานกลางที่ดูแลที่นี่และปิดประตูกั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายภายใน
อลันและแอนนาในตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากซูจิ้งแต่ประการใดจึงได้มาที่นี่เพื่อสอบถามความคืบหน้า เมื่อเห็นผอ.หวังยังนั่งนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งสองอดไม่ได้จนต้องถามออกมาว่า
“พวกเราเสนอเงินไปห้าสิบล้านหยวนแล้ว ทำไมผอ.ยังไม่ติดต่อไปยังคุณซูอีกล่ะครับ”
“ห้าสิบล้านยังน้อยเกินไป ผมไม่สนใจหรอก” ผอ.หวังที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ตอนนี้พูดออกมาอย่างหนักแน่น ความจริงตอนที่พูดออกไปนี้เขาอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ คำพูดนี้ช่างฝืนใจเขาอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขานั้นได้เรียนรู้ความรู้สึกแบบนี้
หากไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั้นบอกไว้ว่าหากไม่มีคนเสนอสองร้อยล้านหยวนไม่ต้องโทรไปเป็นเกณฑ์ไว้ล่ะก็ แค่ได้ยินว่าห้าสิบล้านหยวนนี่เขาคงนั่งไม่ติดที่แล้วล่ะ
“ไม่จริงน่า ห้าสิบล้านหยวนเนี่ยนะน้อยไป” แอนนาโวยวายออกมาด้วยท่าทางโกรธเล็กน้อย
“เฮ้อ ผมขอถามหน่อยเหอะว่าคุณสามารถใช้เงินห้าสิบล้านหยวนที่ว่ามานี่เสนอซื้อวีนัสไร้แขนของไมเคิลแองเจโล่ได้รึเปล่า
เอาจริงๆนี่ผมยังไม่ได้โวยวายเรื่องที่พวกคุณพยายามซื้อรูปปั้นนี้ด้วยราคาสองหมื่นหยวนก่อนนี้ด้วยซ้ำ ไอ้คนที่เริ่มก่อนคือพวกคุณที่จะโกงหรอกเหรอ
นี่ถ้าผมละโมบจนยอมขายให้พวกคุณไปผมคงไม่มีหน้าอยู่ในเมืองจีนนี้แล้ว” ผอ.หวังเริ่มตะคอกออกมาอย่างเหลืออด
“ผมขอโทษ มันเป็นความผิดผมเองจริงๆ แต่ราคาห้าสิบล้านหยวนนี้ถือว่าสูงแล้วจริงๆนะครับ คุณลองคิดดูก็ได้ว่าจะมีใครกล้าเสนอเงินสูงเท่าเราได้อีกกัน
ก็จริงที่ราคานี้ไม่สามารถที่จะซื้อรูปปั้นวีนัสไร้แขนนั้นได้ แต่คุณต้องไม่ลืมว่ารูปปั้นนั้นนอกจากจะแฝงไว้ด้วยอารมณ์ศิลป์แล้วมันยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วย
แน่นอนว่าอย่างหลังนี่ถึงทำให้ราคาของมันทะลุขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น รูปปั้นที่ตั้งในเมืองฟางหลินนี้ไม่บันทึกทางประวัติศาสตร์หรือคุณค่าทางวัฒนธรรมเลย
รูปปั้นนี้ควรจะมีค่าในด้านงานศิลป์อย่างเดียวเท่านั้น การที่จะนำคุณค่ามาเทียบกันแบบนี้ผมว่าเป็นไปได้ยาก” อลันพูดออกมา
เอาจริงๆหลังจากได้ยินคำพูดนี้เองผอ.หวังก็เริ่มจะอยู่ไม่สุขเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าเขาเองนั้นเข้าใจในสิ่งที่ชายชาวต่างชาตินี้กำลังจะพยายามสื่ออกมาดี
งานศิลป์มากมายที่มีมูลค่าสูงเวอร์นั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันก็เหมือนกับเครื่องลายครามที่มีทั้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีความงามจนยากจะปฏิเสธ
ด้วยเหตุผลทั้งสองอย่างนี้ทำให้ของที่มีลักษณะเดียวกันรูปร่างเหมือนกันราคาเพียงไม่กี่พันหยวนกับอีกชิ้นที่สร้างมาเมื่อกาลก่อนแต่กลับราคานับล้านก็มีเยอะ
ด้วยเรื่องนี้เขาเองก็คิดไว้เหมือนกันว่ารูปปั้นของซูจิ้งที่ไม่รูปที่มาที่ไปการจะนำไปเทียบกับรูปปั้นวีนัสไร้แขนนั้นคงจะยากไปหน่อย
แต่ยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว เป็นซูจิ้งเองที่บอกราคาขั้นต่ำกับเขาไว้แล้วว่าอย่างต่ำสองร้อยล้านหยวน ด้วยราคาแค่ห้าสิบล้ายหยวนนี้เยาเองก็สมควรจะไม่สนใจจริงๆ ในที่สุดผอ.หวังก็ต้องฝืนในตัวเองและพูดออกมาว่า “ยังไงซะ ห้าสิบล้านหยวนนี้ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป คุณซูไม่สนใจอย่างแน่นอน”
“คุณซูคนนี้ต้องอยากได้เงินมากแน่ๆ รูปปั้นที่ไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แบบนี้ห้าสิบล้านหยวนนี่ก็ถือว่าสูงแล้ว การที่นำมาตั้งไว้ที่นี่ท้าแดดท้าฝนหรือแม้แต่การถูกทำลายหรือถูกขโมยนี่เขาไม่กลัวเลยรึไง”
อลันและแอนนาพยายามใช้คำพูดกดันผอ.หวังเพราะยังไม่ยอมถอดใจ แต่ผอ.หวังเองก็หาได้สนใจไม่ จนสุดท้ายทั้งสองไม่มีทางเลือกจึงต้องโทรไปยังอเมริกาอีกครั้งเพื่อขออนุมัติเงิน
แต่ด้วยการที่ราคาห้าสิบล้านหยวนในตอนนี้ก็ถือได้ว่าสูงมากแล้วทำให้พวกเขานั้นไม่อยากจะเพิ่มวงเงินเข้าไปอีก
พวกเขาขอส่งคนมาอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อมาวิเคราะห์และประเมินดูก่อนตัดสินใจเพราะไม่ยากเสียใจภายหลังหากเลือกซื้อพลาดไปด้วยเงินอันสูงค่า
ในที่สุดแล้วข่าวการปฏิเสธเงินห้าสิบล้านหยวนของซูจิ้งก็ได้แพร่กระจายออกไปจนทำให้แม้แต่ชาวเน็ตก็อยู่กันไม่สุขอีกต่อไป
“แม่…เอ๊ย ห้าสิบล้านหยวนนี่ยังไม่มากพออีกเหรอ”
“มีคนว่าซูจิ้งนั้นไม่เพียงจะเขาจะไม่สนใจนะ เขานั้นไม่อยาก ไม่แยแส ไม่ไยดีต่อเงินห้าสิบล้ายหยวนนี่เลยด้วยซ้ำ”
“นี่เขารวยจนปล่อยวางได้หรือว่ารูปปั้นนี้มีค่าเกินห้าสิบล้านหยวนจริงๆกันแน่”
“วีนัสไร้แขนนั่นไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่กันนะ”
“ถ้ารูปปั้นวีนัสล่ะก็บอกเลยว่าประเมินค่าไม่ได้ พวกเขาไม่ได้ขายด้วยเงินกันแล้วล่ะ แต่รูปปั้นวีนัสนั่นมันไม่เพียงมีคุณค่าทางศิลปะอย่างเดียวแต่มันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วยนี่สิ มันเป็นของจากยุคอดีตก็ว่าได้นะ มันเอามาเทียบกับรูปปั้นงามเลิศในสวนฟางหลินไม่ได้หรอก”
“ในมุมมองฉันนะ ห้าสิบล้านหยวนนี่ก็มากพอแล้ว ซูจิ้งจะคลั่งเงินไปถึงไหนกัน”
“มันก็จริง จากมุมมองนี้เราเห็นว่าเขานั้นเป็นพวกละโมบอยากได้เงินทางอย่างมาก แต่ไม่ลองคิดดูว่าทำไมเขานั้นไม่เทขายสมบัติทั้งหมดแทนที่จะเก็บมันเอาไว้ล่ะ
ครั้งนี้ซูจิ้งเองก็เพียงแค่เอารูปปั้นมาตั้งเอาไว้ในสวนเท่านั้นเอง เขานั้นมีวิธีการสุดแสนจะง่ายดายและมากมายที่จะทำให้เงินห้าสิบล้านหยวนมาเข้ากระเป๋าอยู่แล้ว
แต่นี่หากเขาเลือกวิธีนี้เพื่อที่จะได้เงินเข้ากระเป๋าจริงๆมันก็ดูยุ่งยากเกินไปแล้วนี่ไม่ใช่วิธีการของเขาเลยนะ”
โลกภายนอกในตอนนี้ต่างก็คุยกันเรื่องนี้อย่างจ้าล่ะหวั่น บางคนคิดว่ารูปปั้นนี้สมควรมีค่าเกินกว่าห้าสิบล้านหยวน แต่บางคนก็คิดว่าซูจิ้งนั้นเป็นพวกหน้าเงิน
แต่ที่แน่ๆเหล่าศิลปินนั้นได้ผลจากรูปปั้นนี้มากที่สุด เหล่าศิลปินชั้นยอดอย่างเต๋าฉินซู่และเจียซิเซียและคนอื่นๆเองต่างก็เข้ามาเยี่ยมชม
วันต่อมาเหล่าศิลปินในวงการปูนปั้นงานแกะสลักของจงหยุนถึงกับต้องตกตะลึง นั่นก็เพราะเอี้ยป๋อและโจวซิเหยีนได้นำคนมายังสวนฟางหลิน
พวกเขาได้รีบขอติดต่อซูจิ้งในทันทีเพราะสมบัติของซูจิ้งแต่ละชิ้นนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนภายนอกนั้นเริ่มสงสัยกันแล้วว่ารูปปั้นนี้เป็นเพียงงานศิลป์ร่วมสมัยจริงๆหรอ
“นายเจออะไรบ้าง” เอี้ยป๋อถามในขณะที่มองดูรอบๆรูปปั้นเป็นเวลานาน
“มองไม่ออกเลย เธอนั้นคล้ายกับว่าจะมาจากยุคกรีกโบราณเพราะมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คิดอย่างนั้น แต่ก็ยังมีจุดแตกต่างกันอย่างหูที่เรียวยาวนั่น มันดูพิเศษจนเหมือนกับว่าวิธีการของยุคนั้นไม่สามารถสร้างสรรค์ออกมากได้ แล้วนายล่ะ”
“ฉันเองก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน ไม่สามารถประเมินได้ว่ามาจากยุคสมัยใด จะบอกว่ามันเป็นงานศิลป์ของยุคนี้แต่มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ดูขัดใจ ยังไงก็คงต้องนั้นไปตรวจสอบอายุอีกทีจริงๆ” เอี้ยป๋อ (เย่โป)พูดออกมา
พวกเจานั้นได้ติดต่อซูจิ้งจนได้รับการอนุญาตให้ตรวจสอบรูปปั้นนี้จนได้ ทันทีทุกคนได้เห็นผลการตรวจสอบอายุทำให้ทุกคนตกตะลึงราวกับเห็นผีจากอดีตเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 883 ตกตะลึง
“หนึ่งหมื่นสองพันปี บ้าน่า เป็นไปได้ยังไง” เอี่ยป๋อดูที่ผลการทดสอบถึงทำหน้าโง่งมออกมา
“น่าจะมีอะไรผิดพลาดรึเปล่า ลองดูอีกทีสิ” โจวซิเหยียนส่ายหัวอย่างไม่ยอมรับก่อนที่จะให้ผู้ช่วยตรวจสอบดูกระบวนการทดสอบดูว่ามีปัญหาตรงไหนรึเปล่า แต่ผู้ช่วยเถียงออกมาว่านี่ก็ทดสอบมาสามรอบแล้วจะทดสอบอีกเพื่อ?
“ห้ะ อายุหนึ่งหมื่นสองพันปีจริงๆหรอเนี่ย พระเจ้าเถอะ” เอี่ยป๋อถึงกับตกใจจนสะดุ้งเฮือก
“เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้ยังไงกัน” โจวซิเหยียนโวยวายออกมา เขาพยายามปฏิเสธที่จะยอมรับเรื่องนี้ แต่ผู้ช่วยของเขานั้นก็ทำได้แต่มึนตึงใส่
เป็นที่รู้กันดีว่าประวัตศาสตร์ของมนุษยชาติที่พอเก็บไว้เป็นหลักฐานเอาไว้ได้นั้นมีเพียงไม่กี่พันปีก่อนเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นชาติจีน อินเดีย อียิปต์ บาบิโลน หรือที่เรียกกันสี่อารยธรรมยุคโบราณ แต่ที่มีบันทึกไว้ก็มีมากสุดเพียงหกพันก่อนเท่านั้นเอง
การที่อยู่ๆมีงานแกะสลักศิลป์ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ออกมาแบบนี้ช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย
หากนับดูตามช่วงเวลาแล้วมนุษย์สมับนั้นสมควรจะทำตัวเยี่ยงสัตว์ป่าอยู่เลย จะไปสามารถสร้างงานแกะสลักหินที่ดูสวยงามแบบนี้ได้ยังไงกัน นี่เป็นงานก่อนยุคประวัติศาสตร์จริงๆงั้นหรอ
เมื่อคิดได้ว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือผลงานที่หลงเหลือจากอดีตกาล ตอนนี้ทั้งเอี้ยป๋อ โจวซิเหยียน และผู้ช่วยของเขาต่างก็ตื่นเต้นตกใจกันขึ้นมา
ความจริงมันก็พอมีหลักฐานหลงยุคแบบนี้ออกมาอยู่หลายชิ้น แต่ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วไม่ได้รับการยอมรับเพราะไม่สามารถพิสูจน์ได้หรือไม่ก็เกิดจากเรื่องบังเอิญเท่านั้น
แต่หลักฐานชิ้นที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นกลับถูกประเมินและพิสูจน์ได้อย่างไม่มีปัญหาแม้แต่น้อยจะไม่ให้พวกเขาไม่ตื่นเต้นได้ยังไงกัน
“ไม่ รูปปั้นจะปล่อยไว้ที่นี่ไม่ได้ เราต้องเคลื่อนย้ายกลับไปยังสถาบันโบราณคดีทันที” โจวซิเหยียนพูดออกมา
“ทำไมถึงคิดว่าฉันจะยอมส่งรูปปั้นนี้ไปยังสถาบันโบราณคดีกัน รูปปั้นนี้ต้องถูกส่งไปยังสถาบันบรรพชีวินวิทยาเท่านั้น” เอี่ยป๋อค้านแบบหัวชนฝา
“ห้ะ แหกตาดูก่อนสิว่าตรงไหนที่มันบ่งบอกว่าเกี่ยวกับบรรพชีวินกัน” โจวซิเหยียนร้องเสียงหลงและคัดออกมาในทันทีที่ได้ยินอย่างนั้น
“หากนี่เป็นหลักฐานก่อนยุคประวัติศาสตร์นั่นหมายความว่าต้องเกี่ยวกับชาติพันธุ์อย่างไม่ต้องสงสัย” เอี่ยป๋อบอกเหตุผลออกมา
ทันทีที่ทั้งสองยอมรับในผลการทดสอบนี้แล้วก็จริง แต่กลายเป็น่าเปิดศึกแย่งชิงกันในทันที
“ทั้งคุณโจวและคุณเอี้ยอย่าเพิ่งทะเลาะกันครับ พวกเรายังทำอะไรไม่ได้จริงๆในตอนนี้ ก่อนอื่นเลยเราจำเป็นต้องคุยกับทางผอ.ผู้ดูแลลานกิจกรรมและคุณซูก่อน”
ผู้ช่วยของทั้งสองเห็นสภาพของทั้งสองคนที่แย่งรูปปั้นกันราวกับเด็กแย่งของเล่นก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเหมือนกัน แต่ผู้ช่วยของทั้งสองนั้นก็เข้าใจความรู้สึกดี
นั่นก็เพราะว่ารูปปั้นนี้เป็นหลักฐานที่ทำให้ความรู้ของมวลมนุษย์ทั้งในด้านบรรพชีวินวิทยาและโบราณคดีพลิกได้หลายตลบเลยทีเดียว
เมื่อทั้งสองได้ยินดังนั้นก็ได้สติอยากจะรีบโทรหาซูจิ้งในทันทีแต่พวกเขาก็ไม่มีข้อมูลติดต่อจึงได้รุดไปหา ผอ.หวังเพื่ออธิบายสถานการณ์ในทันที
เมื่อผอ.หวังได้รับทราบสถานการณ์แล้วถึงกับทำหน้าโง่งมแบบสุดๆ กลายเป็นเกินกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้านี้ซะอีก นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงแต่รูปปั้นนี้จะมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์เท่านั้น
มันกลับเป็นหลักฐานของเผ่าพันธุ์อื่นที่เคยอาศัยอยู่บนโลกใบนี้เสียอีก เขาในตอนนี้ได้เรียกกองกำลัง(รปภ.)ทั้งหมดที่มีให้ไปอารักขารูปปั้นอย่างแน่นหนา
อย่างไรก็ตามคำขอของเอี้ยป๋อและโจวซิเหยียนนั้นไม่ได้รับการตอบรับจากผอ.หวังแต่อย่างใด
เพราะยังไงซะรูปปั้นนี้ก็ยังเป็นของซูจิ้งอยู่ดี ไม่ว่าทั้งสองคนนี้จะบอกอะไรมาก็ตาม เขาไม่มีสิทธิ์จะเคลื่อนย้ายรูปปั้นออกจากที่นี่ได้
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมีการดูแลรักษารูปปั้นนี้มากขึ้นกว่าเมื่อกี้อีกหล่ะ นี่เป็นการรักษาความปลอดภัยแบบรอบด้านเลยด้วย แถมยังไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้แบบเมื่อกี้”
“เมื่อกี้เห็นดอกเตอร์เอี้ยกับดอกเตอร์โจวมาไม่ใช่หรอ พวกเขามีธุระอะไรกับผอ.หวังกัน”
“….ฉันไปได้ยินพวกนั้นคุยกันว่ารูปปั้นนี้มีอายุกว่า หนึ่งหมื่นสองพันปี มันเป็นหลักฐานของอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์น่ะ”
“หลักฐานของอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ ฉันไม่ได้ฟังผิดใช่รึเปลา”
“นี่คือหลักฐานของอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์จริงๆงั้นเหรอ”
เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกได้เป็นที่พูดคุยกันของคนที่อยู่ในสวนอย่างรวดเร็วก่อนจะแพร่กระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ตแทบจะในทันที
เรื่องนี้สร้างคลื่นลูกใหญ่จนแม้แต่คนที่ไม่ได้สนใจยังต้องหันกลับมาติดตามเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว สำหรับซูจิ้งคนที่ปรากฎตัวและหายไปก่อนหน้านี้ได้มาอยู่ที่สวนฟางหลินอีกครั้งหนึ่ง
“คุณซู คุณอยู่ที่นี่ด้วย ทำไมผมติดต่อคุณไม่ได้เลยล่ะ” เอี่ยป๋อได้รีบเข้ามาหาก่อนที่จะโวยวายออกมาอย่างน้อยใจ
“คุณซู คุณไปได้รูปปั้นนี้มาจากที่ไหนกันแน่ครับ ผมของบอกคุณเลยก็แล้วกันว่า รูปปั้นนี้มีอายุอย่างน้อยๆก็ประมาณหนึ่งหมื่นสองพันปีครับ มันสมควรเป็นของอารยธรรมก่อนประวัติศาสตร์ รูปปั้นนี้มีความสำคัญมากจริงๆและไม่ควรจะปล่อยมันไว้ที่นี่ได้ รูปปั้นนี้สมควร…” โจวซิเหยียนได้พูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“ผมได้มาจากใต้ทะเลลึกน่ะ และผมก็รู้ดีว่ามันมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน” ซูจิ้งได้ยกมือขึ้นเชิงให้โจวซิเหยียนหยุดพูดและอธิบายคำถามที่ได้รับการถามมา
“คุณรู้อยู่แล้ว… เดี๋ยวนะหากคุณรู้อยู่แล้วทำไมคุณถึงยังนำมันมาวางไว้ที่แบบนี้อีกกันล่ะ” เอี้ยป๋อและโจวซิเหยียนต่างก็มองไปยังซูจิ้งอย่างอึ้งๆ
“แล้วการที่จะวางรูปปั้นอันสวยงามแบบนี้ไว้ในสวนฟางหลินแบบนี้มันผิดตรงไหนกันล่ะ มันก็ดูดีอยู่นะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ไยดี
นี่ทำให้ทั้งเอี้ยป๋อและโจวซิเหยียนนั้นเกิดความรู้สึกอยากฆ่าใครสักคนขึ้นมา แต่ในตอนนั้นเองพวกเขาสังเกตเห็นว่าซูจิ้งมาพร้อมกับยกอ่างสีทองเอาไว้ในมือ
เขาได้ยกมันมาวางประดับไว้ตรงหน้าหินที่อยู่หน้ารูปปั้นนั้น แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลประการใดน้ำที่ไหลอยู่ตรงหินนั้นได้ไหลรินลงในอ่างในทันทีจนเกิดเสียงที่ดังฟังชัด
หลังจากผ่านไปสักพักอ่างน้ำนั้นก็ถูกเติมด้วยน้ำจนเต็มจนน้ำเอ่อล้นออกมาจากอ่าง
ในตอนนี้รูปปั้นสาวงามผู้นี้ไม่ได้กำลังทำท่าล้างผมโดยน้ำที่ไหลออกมาจากซอกหินอีกต่อไป แต่กลายเป็นว่ากำลังล้างผมจากอ่างน้ำทองคำแทน และนี่ยิ่งดูดียิ่งกว่าเดิมซะอีก
“เจ้านี่ควรจะวางไว้ตรงนี้จริงๆด้วย เห้อ ฉันไม่น่าลืมเลยจริงๆ” ซูจิ้งพูดออมา
“มันควรจะอยู่ตรงนี้อย่างนั้นหรอ เดี๋ยวนะ อย่าบอกว่าอ่างนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของรูปปั้น?” เอี้ยป๋อและโจวซิหยวนต่างก็มึนตึบในทันที
ทั้งคู่ได้รีบตรงเข้าไปดูอ่างทองคำในทันที พวกเขาทั้งสองนอกจากการสำรวจ ตรวจสอบ และจำแนกอ่างทองคำนี้อย่างละเอียดยิบจนพอจะประเมินได้ตร่าวๆว่าอ่างชิ้นนี้ประณีตมากๆ มันดูคล้ายทั้งทองแดงและทอง
พวกเขาอยากรู้ลึกขนาดที่ต้องทดสอบมัน เมื่อผลออกมาทั้งคู่ยิ่งตกใจมากกว่าเดิมนั่นก็เพราะว่าอ่างใบนี้ทำมาจากโลหะผสมจำพวกทองแดงที่ประณีตมากๆ และอายุของอ่างนี้ก็อยู่ประมาณหนึ่งหมื่นสองพันปีเช่นเดียวกัน
นี่คื่อเครื่องเรือนโลหะผสมจำพวกทองแดงที่อายุมากกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปีอย่างนั้นรึ
“พระเจ้า นี่มัน…” ทั้งเอี้ยป๋อและโจวซิหยวนต่างก็รู้สึกได้เห็นสิ่งของในตำนาน โจวซิเหยียนได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า”คุณซู คุณยังมีอย่างอื่นที่ได้มาพร้อมกับรูปปั้นนี้และอ่างน้ำอีกรึเปล่าครับ”
“….ก็มีนะ เป็นภาพวาดน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะหยิบภาพวาดเก่าๆออกมาจากกระเป๋า
“ภาพวาด? น้ำทะเลไม่ได้มีผลกับภาพวาดเลยอย่างนั้นหรอ” เอี้ยป๋อและโจวซิหยวนต่างก็มึนงงทันทีที่ได้ยิน
“ลองดูเองสิ” ซูจิ้งได้ยื่นภาพวาดให้ดูโดยไม่ได้อธิบายอะไรให้ฟังเพิ่มเติมแต่อย่างใด
ทั้งเอี้ยป๋อและโจวซิเหยียนก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ตอนนี้พวกเขาแค่อยากรู้ว่ามันเป็นภาพวาดของอะไรกันแน่ ในภาพนั้นเป็นภาพวาดของปราสาทสไตล์ตะวันตก มันสวยงามและสบายตาราวกับเป็นปราสาทในผันเลยทีเดียว
แน่นอนว่าทั้งสองได้ตรวจสอบภาพนี้ด้วยความตื่นเต้นและผลที่ออกมาคืออายุมากกว่าหนึ่งหมื่นสองพันปี
“ไม่ต้องสงสัยแล้ว ของเหล่านี้คือหลักฐานของอารยธรรมยุคก่อนประวัติศาสตร์” เอี้ยป๋อในตอนนี้ตื่นเต้นจนตัวสั่น
“ฉัน ฉัน ฉันว่านี่ เอ่อ อ่างน้ำนี่ต้องเป็นทองแดงในตำนานเรื่องเล่านั่นแน่ๆ ทั้งรูปปั้นที่สมบุรณ์นั่น และภาพเขียนปราสาทตะวันตกนี่อีก ฉัน ฉันว่านี่น่าจะมาจากเมืองแอตแลนติสในตำนานนั่น” โจวซิเหยียนละล่ำละลักออกมาอย่างบ้าคลั่งและตื่นเต้นแบบสุด
“ฉันก็คิดเหมือนกัน” เอี้ยป๋อพยักหน้าเห็นด้วยรัวๆราวกับไก่จิดข้าวสาร
“ถ้านี่มาจากแอตแลนติสนั่นจริงๆล่ะก็ หมายความว่า…” ผู้ช่วยคนหนึ่งเริ่มคิดตามแล้วรู้สึกบ้าคลั่งอยู่ภายใน
นั่นก็เพราะว่าในฐานะนักโบราณคดีแล้วไม่ว่าจะมากน้อยเชื่อไม่เชื่ออย่างใดนั้นก็ล้วนเคยได้ยินคำว่าแอตแลนติสมาแล้วทั้งนั้น ตอนที่เคยได้ยินเรื่องเล่าเขาก็ตื่นเต้นมากพอแล้ว แต่นี่ นี่คือหลักฐานการคงอยู่ของเมืองในตำนานนั่นจริงๆเลยนะ
ตอนนี้เหล่าคนที่มองอยู่โดยรอบเมื่อได้ยินบทสนทนานี้ต่างก็พากันตื่นเต้นในทันทีและพูดคุยกันจนได้ยินกันระงมไปทั่วและเผยแพร่ในอินเตอร์เนตอย่างรวดเร็ว
ข่าวการค้นพบหลักฐานของแอตแลนติสดินแดนอันสาบสูญนั้นได้เผยแพร่รวดเร็วและเป็นวงกว้างราวกับระเบิดลง แน่นอนว่าเพียงแค่ชาวเน็ตรู้มันก็แพร่ไปทั่วประเทศและทั่วโลกในไม่นอนนัก
ผอ.หวังผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการกลางของลานกิจกรรมแห่งนี้ผู้ที่ต้องคอยมาบากหน้าติดต่อประสานงานกับซูจิ้งเรื่องรูปปั้น กับอลันและแอนนาผู้ซึ่งยังคงพยายามหาจำนวนเงินที่เหมาะสมในการซื้อรูปปั้นนี้
ตลอดจนเหล่าผู้คนที่เคยสบประมาทซูจิ้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ต่างก็อึ้งกิ่มกี่ทำหน้าโง่งมในทันทีเมื่อได้ยินข่าวนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น