Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 876-881

 GGS:บทที่ 876 เกิดใหม่


 


กลับมายังเมืองจงหยุน ซูจิ้งได้ขนต้นยาสูบแห่งไซร์ที่เป็นต้นกล้าไปไว้บนรถเข็น และนำไปยังสถานีวิจัยขององค์การยาสูบแห่งรัฐสาขาย่อยในเมืองจงหยุน และได้ส่งมอบพวกมันให้คนคนหนึ่ง


ที่นั่นเองในตอนนี้ก็มีเหล่านักวิทยาศาสตร์ระดับหัวกระทิรออยู่หลายคน ตอนแรกไม่ได้มีเยอะขนาดนี้แต่ด้วยการที่ผู้อำนวยการขององค์การยาสูบกลัวว่าคนจะไม่พอจึงส่งคนจากสาขาอื่นๆมาด้วย


โดยตั้งความหวังไว้ว่าจะสามารถขยายพันธุ์ยาสูบเหล่านี้ให้ได้มากและเร็วที่สุด


ซูจิ้งเองนั้นในเมื่อเขามีส่วนในเรื่องนี้แบบสุดๆเขาเลยช่วยเหลือในการเพาะและขยายพันธุ์ต้นยาสูบพวกนี้ด้วยอย่างไม่ออมแรงไว้เลยสักนิด


ในครั้งนี้ต่อให้เสียหยาดเหงื่อแรงกายมากแค่ไหนเขาก็ยอมเพราะสุดท้ายแล้วยังไงซะตัวเขาเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด


และเขาเชื่ออีกว่าด้วยวิทยาการและความรู้ความเข้าใจในดินของโลกใบนี้จะทำให้การเพาะและขยายพันธุ์ต้นยาสูบใบนี้เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว


และสิ่งเขานั้นสามารถเพาะพันธุ์พวกมันได้เร็วเท่าไหร่ ขยายพื้นที่การปลูกได้มากเท่าไหร่ ตัวเขาก็ผลกำไรเร็วขึ้นและมากขึ้นเท่านั้น


เขานั้นได้แต่หวังเพียงว่าทันทีที่ยาสูบแห่งไชร์วางตลาดจะทำให้คนทั้งประเทศนิยมจนสามารถเพาะขยายพันธุ์ยาสูบแห่งไชร์ไปได้ในทุกที่ทั่วประเทศทดแทนผลผลิตยาสูบเดิมๆ


นี่จึงจะคุ้มค่ากับส่วนแบ่งเพียง10%ที่เขานั้นตัดใจได้มา


หลังจากที่ได้รับเงินมาแล้วเขามีแผนว่าจะเอาเงินไปลงกับสถาบันวิจัยของเขาเพื่อที่จะขยายกำลังการผลิตปฏิสสารอีกสักสิบเท่า หรือก็คือต้องผลาญเงินหนึ่งหมื่นแปดพันล้านหยวนเพื่อให้ได้ปฏิสสารเพียง 0.6 กรับต่อเดือน


 


เขาเองก็ได้แต่นึกขำๆว่าหากพวกคนรวยในจีนรู้ว่าเขาต้องใช้เงินไปเท่านี้ในแต่ละเดือนพวกนั้นจะทำหน้ายังไงกันนะ


 


อย่างไรก็ตามนอกจากการพัฒนากำลังผลิตปฏิสสารแล้ว ซูจิ้งยังวางแผนที่จะพัฒนาธุรกิจอย่างอื่นของเขาให้ดีขึ้นกว่าเดิมยิ่งๆขึ้นไปในอนาคตด้วยเช่นกัน


แน่นอนว่าเรื่องต่อแต่นี้ขึ้นอยู่กับผลกำไรที่ได้จากอุตาสาหกรรมยาสูบเป็นที่ตั้ง แน่นอนว่าทั้งเงินห้าหมื่นล้านหยวนและหุ้น10%นั่นก็เช่นเดียวกัน นี่ยังไม่รวมถึงเงินที่ได้จากขยะห้วงเวลาฯที่จะเทลงมาในทุกเดือน


หากไม่มีทั้งสามอย่างนี้ล่ะก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถรองรับค่าใช้จ่ายที่มีมากกว่าหนึ่งหมื่นแปดพันล้านหยวนได้อย่างแน่นอน ซึ่งแน่นอนว่าเขานั้นไม่มีทางยอมให้กำลังการผลิตปฏิสสารตกลงแม้แต่เสี้ยวเดียวเป็นอันขาด


 


หลังจากหนึ่งวันผ่านไป ซูจิ้งได้โทรศัพท์ออกไปยังเบอร์หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ซูฉือ เธอกลับบ้านมาพร้อมกับไป๋ฮิตูได้แล้วล่ะ”


ซูฉือนิ่งอึ้งพักใหญ่ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ตอนนี้ตระกูลจ้าวยังควานหาตัวอยู่นะ ไม่มีทางที่ฉันจะกลับไปรนหาที่ตายถึงบ้านแน่นอน”


“ไม่เป็นไรน่า ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนแล้ว พวกนั้นสมควรไม่กล้าทำอะไรเธอแล้วล่ะ หลังจากกลับมาแล้วฉันจะเป็นคนเดินเรื่องฟื้นคืนสถานะของเธอให้เอง หรือเธอติดใจที่นู่นจนไม่อยากจะกลับแล้วกัน”


“อยากสิ ฉันรู้สึกอ้างว้างมากๆเลยเวลาฉันต้องอยู่ที่นี่ แต่นายแน่ๆใจจริงๆนะว่าตระกูลจ้าวจะไม่ทำอะไรถ้าฉันกลับไปบ้านแล้ว”


ซูฉือยังคงกังวลอย่างมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเธอจะรู้สึกโดดเดี่ยวและอ้างว้างมากมายขนาดไหน แต่เธอก็ยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ดีกว่าจะให้ตระกูลจ้าวตามล้างแค้นซึ่งแน่นอนว่าไม่จบอยู่ที่เธออย่างแน่นอน


“อืมมม นั่นเมื่อเธอว่ามาอย่างนั้น เอาเป็นว่าเดี๋ยวพอกลับมาแล้วเราไปหาพี่ใหญ่หยางและพี่สาวหวันเอ๋อเป็นพวกแรกเลยแล้วกัน”


ซูฉือนั้นเธอเชื่อใจซูจิ้งอย่างหมดใจอยู่แล้วเพราะซูจิ้งนั้นเป็นคนที่ช่วยเหลือเธอในทุกๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเรื่องให้เธอแกล้งตายได้สำเร็จ ไหนจะเรื่องการพาเธอออกนอกประเทศนี่อีก


นี่ยังไม่รวมถึงเรื่องที่เมื่อเขารู้ว่าตระกูลจ้าวเจอร่องรอยของเธอ เขายังรีบส่งคนมาคุ้มกันเธออีก เธอในตอนนี้นั้นเชื่อในตัวซูจิ้งเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่มีทางที่จะเชื่อใจคนอื่นมากกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน


 


ซูฉือและไป๋ฮิตูกลับมายังเมืองจีนโดยไม่หลบซ่อนแต่อย่างใด รวมถึงยังฟื้นคืนสถานะให้ซูฉือเป็นที่เรียบร้อย ข่าวของเธอที่ว่าตายแล้วฟิ้นก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วอินเตอร์เน็ตเช่นเดียวกัน


“พี่หยาง พี่เห็นข่าวรึยัง” เถาหวันพี่งเข้ามาในสำนักงานด้วยท่าทีกระหืดกระหอบ


“เรื่องอะไรกันล่ะนั่น” หยางเซียวถามออกมา


“เธอยังไม่ตาย เธอยังคงมีชีวิตอยู่” เถาหวันพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


“พูดอะไรไร้สาระ รูปของเธอหลุดออกมาอีกแล้วรึไงกัน” หยางเซียวพูดออกมาด้วยท่าทางหน้านิ่วคิ้วขมวดปนหดหู่ ซูฉือนั้นเป็นคนที่อยู่ในการปกครองของเขาแต่เขากลับปกป้องเธอเอาไว้ไม่ได้


เขาเองก็ไม่อยากรื้อฟื้นความจริงอันหดหู่ที่ฝังใจเขาอย่างนี้เช่นเดียวกันและเขาเองก็หวังให้ซูฉือนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ตามข่าวลือก่อนหน้าที่เขาได้มาเช่นเดียวกัน


แต่ตอนนั้นเขาได้รีบพาเธอไปโรงพยาบาลเพราะว่าเธอกินยาฆ่าตัวตาย


แม้แต่หมอเองก็ยังวินิจฉัยว่าเธอตายแล้ว เธอไม่มีทั้งลมหายใจ สัญญาณเต้นของหัวใจ และแม้แต่ชีพจรเลยสักนิดเมื่อพาเธอไปถึง ไม่มีทางที่คนที่ตายไปล้วว่าจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างแน่นอน


 


ตอนแรกที่มีข่าวการมีชีวิตอยู่ของเธอในต่างประเทศนั้น รวมถึงรูปถ่ายของเธอนั้นด้วย เขาเองก็ได้เห็นแต่ก็ไม่เชื่อเรื่องนี้ เขาคิดว่าน่าจะเป็นรูปถ่ายตอนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็คนที่หน้าเหมือนมากๆเท่านั้นเอง


อีกอย่างไอ้พวกชาวเน็ตพวกนั้นมันไม่เคยยับยั้งช่างใจอยู่แล้ว แน่นอนว่ารูปคนตายพวกนั้นก็ไม่เคยจะเว้น


“มันเป็นเรื่องจริงนะ ถึงแม้ว่าฉันเองตอนแรกก็ไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ฉือน้อยได้กลับไปบ้านและฟื้นคืนสถานะจากคนที่ตายเป็นมีชีวิตอยู่เรียบร้อยแล้วด้วย” พูดจบ เถาหวันก็หยิบโทรศัพท์ที่กำลังเปิดข่าวๆหนึ่งออกมา


มันเป็นภาพของซูฉือที่ปรากฎตัวอยู่ที่ที่ว่าการของเมืองเพื่อเดินรื้อฟิ้นสถานะจากคนที่ตายไปแล้วท่ามกลางนักข่าวที่ติดตามอย่างใกล้ชิด


“ปะ..ปะ..เป็นไปได้ยังไง” ลูกพี่หยางนั่งนิ่งพูดออกมาด้วยสายตาที่ตกตะลึงจนเบิกกว้าง ในฐานะหัวหน้าหน่วยเคลื่อนที่พิเศษ คนอย่างเขาลูกพี่หยางได้เห็นเรื่องเหลือเชื่อมามากมายด้วยสายตาตัวเอง


แต่กับเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน เขาเองรู้สึกตื่นเต้นปนดีใจจนแทบอยากจะจัดงานเลี้ยงฉลองซะตอนนี้เลยจริงๆ เขาพยายามสงบสติอารมณ์แต่ก็ยังอดยิ้มออกมาไม่ได้ก่อนที่จะพูดว่า “ไปหาเธอกัน”


 


เถาหวันและหยางเซียวได้รีบออกจากห้องเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ้านของซูฉือในทันที


ระหว่างทางพวกเขาผ่านผู้คนมากมายที่คอยถามทั้งสองคน


“หัวหน้า เธอยังไม่ตายจริงๆเหรอ”


“ฉันไม่อยากเชื่อเลย มันคงดีมากๆหากเธอยังไม่ตาย”


“หากว่าเป็นซูฉือ ไม่ดีกว่าเหรอถ้าเธอจะซ่อนตัวอยู่นอกประเทศน่ะ ทำไมเธอถึงกลับมาล่ะ ที่นี่ยังอันตรายอยู่นะ”


“ในช่วงนี้พวกเรายังมั่นใจสถานการณ์ไม่ได้หรอก พวกเราควรที่จะจับตามองตระกูลจ้าวไว้ว่พวกมันมีความเคลื่อนไหวอะไรรึเปล่า ถ้านี่เป็นซูฉือจริงๆล่ะก็ ไม่มีทางที่ครั้งนี้เราจะปล่อยให้พวกมันทำร้ายเธอได้อีก”


หยางเซียวได้พูดออกมาเพียงเท่านั้นแต่ทุกคนกลับเคลื่อนไหวในทันที นั่นก็เพราะนั้นสำหรับพวกเขาแล้วซูฉือคือพวกพ้องคนสำคัญ


 


ในขณะเดียวกัน ชายหนุ่มคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาทุกคนและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดๆว่า “ฉือน้อยกลับมาแล้ว ฉือน้อยกลับมาแล้ว ฉือน้อยกลับมาแล้ว”


“พวกเรารู้แล้วว่าฉือน้อยจากในข่าวแล้ว แต่เรายังแน่ใจไม่ได้ว่าเป็นเธอจริงๆน่ะ” คนๆหนึ่งได้พูดออกมาด้วยท่าทางกึ่งดีใจกึ่งไม่แน่ใจ


“ไม่ใช่อย่างนั้น ผมหมายถึงว่าฉือน้อยมาอยู่ที่หน้าประตูแล้วต่างหาก” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง


“ประตู” หยางเซียว เถาหวัน และคนอื่นๆต่างก็หนังตากระตุกในทันทีและรีบวิ่งไปที่ประตูกันหมดทุกคน


หลังจากพวกเขาได้เห็นสาวน้อยคนหนึ่งที่หน้าประตู พวกเขามั่นใจได้ในทันทีว่าคนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาคือซูฉือจริงๆ ทันทีที่เห็นซูฉือ หยางเซียวและเถาหวันนั้นดวงตาทั้งสองเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานในทันที


“เด็กน้อย เป็นเธอจริงๆเหรอ” หยางเซียวเองที่กำลังตะลึงก็ได้พูดออกมาด้วยน้ำตาที่เริ่มจะไหลด้วยความดีใจ


“แหงสิ ถ้าไม่ใช่ฉือน้อยของเราแล้วจะเป็นใครอีกล่ะ” เถาหวันที่มองไปยังซูฉือก็ได้ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน


“พี่หยาง พี่หวัน นี่ฉือน้อยจริงๆค่ะ” ซูฉือเองก็ร้องไห้ออกมาไม่ต่างกัน เธอเองก็รู้สึกยินดีอย่างมากที่ได้กลับมายังที่ๆเธอเรียกได้ว่าบ้านอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่ต้องลาจากไปไกลและเนิ่นนานหลังจากภารกิจในครั้งนั้น


“เป็นฉือน้อยจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า..” หยางเซียวนั้นนั่งลงอย่างหมดแรงด้วยความดีใจและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง


“เกิดอะไรขึ้นกันแน่สาวน้อย ทำไมเธอตายแล้วถึงกลับมามีชีวิตอยู่ได้อีกครั้งกัน ยิ่งไปกว่านั้นการที่เธอกลับมาแบบนี้จะไม่เป็นอะไรหรอกรึ นี่สมควรจะเป็นอันตรายแบบสุดๆถ้าไอ้พวกเวรตะไลตระกูลจ้าวนั่นรู้เข้าน่ะ”


เถาหวันในตอนนี้แสดงความโกรธต่อตระกูลจ้าวออกมาอย่างสุดใจและกังวลสุดเช่นเดียวกัน


“เรื่องที่ฉันตายแล้วฟื้นได้ยังไงนั้นเดี๋ยวขอฉันเล่าให้ฟังทีหลังก็แล้วกัน ส่วนเรื่องไอ้พวกสารเลวตระกูลจ้าวนั้นไม่ต้องกังวลหรอก พวกมันไม่กล้าทำอะไรฉันอีกแล้วล่ะ” ซูฉือพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ทำหน้างุนงงกันไปหมด พวกตระกูลจ้าวไปวางใจขนาดนั้นได้ยังไงกัน พวกนั้นอีกไม่นานก็น่าจะรู้เรื่องนี้แล้ว ทำไมซูฉือถึงมั่นใจตัวเธอเองได้ขนาดนั้นกัน นี่เธอไม่กลัวตระกูลจ้าวแล้วอย่างนั้นรึ


ต่อให้ตระกูลจ้าวจะไม่ได้เห็นกับแต่ไม่มีทางที่พวกนั้นจะปล่อยเธอไปได้อย่างแน่นอนเพราะยังไงซะเธอเองก็มีส่วนในการตายของจ้าวซือหลง


GGS:บทที่ 877 ต้องการอะไรกันแน่


 


หลังจากที่ดอกไม้ไฟเวทย์มนต์และใบยาสูบแห่งไชร์ได้เข้าสู่ตลาดอย่างเป็นทางการนั้น แน่นอนว่าเพียงเวลาอันสั้น ซูจิ้งก็ได้เงินมาอย่างมากมามหาศาล มหาศาลชนิดที่ว่ามหาเศรษฐีคนอื่นก็ยากที่จะตามเขาทันได้


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นสาระสำคัญของชีวิตเขาแต่อย่างใด ซูจิ้งยังคงจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป แต่อย่างน้อยเขาได้คิดไว้แล้วว่าเขาจะทำอะไรต่อดี


 


ตอนกลางวันในขณะที่เขานั้นออกมาจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศเพื่อพักผ่อนนั้น ในช่วงที่กำลังกินอาหารกลางวันอยู่ เขาก็ได้ข่าวมาว่าฉือหยุนกำลังปฏิรูปเมืองขึ้นใหม่จนได้ชื่อว่าเมืองของเขาเป็นเมืองแห่งชาติของปีนี้


ความจริงนั้นนี่ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นข่าวที่แปลกใหม่อะไร นั่นก็เพราะในหลายๆเมือง แม้แต่เมืองจงหยุนนี้เองก็พยายามพัฒนาให้ได้ฉายานี้มาครอง


องค์การก่อสร้างของบางเมืองถึงกับพยายามสร้างสโลแกนและประกาศออกมาในทุกปีเพื่อให้เห็นความเอาจริงของพวกเขาในเรื่องนี้เลยทีเดียว


 


แน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงเรื่องนี้ที่จะทำให้พวกเขาได้ฉายานี้มาครองมันต้องมีปัจจัยอย่างอื่นประกอบด้วย


ปีนี้ที่เมืองจงหยุนเองก็ได้มีการตั้งโครงการก่อสร้างต่างๆที่แสดงให้เห็นว่าพวกเขานั้นพยายามอย่างหนักและตั้งใจมากกว่าปีก่อนมาก นอกจากนั้นยังได้รับการสนับสนุนและช่วยเหลือจากคนในเมืองแบบสุดๆ


การที่จะเป็นเมืองแห่งชาติของจีนได้นั้นต้องประกอบด้วยสโลแกนเมืองชั้นยอดและโดดเด่นชนิดที่ว่าเมืองอื่นๆนั้นไม่สามารถเทียบได้


นั่นหมายความว่าการได้มาซึ่งฉายานี้ถือได้ว่าเป็นเกียรติยศของชาวเมืองอย่างมาก มันเปรียบได้กับทุกคนอยู่ในเมืองอันทรงเกียรติและมีคุณค่าราวกับว่าได้เป็นเมืองที่เป็นตัวแทนของประเทศจีนเลยก็ว่าได้


ต่อให้ปีถัดไปไม่ได้มาก็ยังช่วยให้เมืองพัฒนาไปได้อย่างดีเยี่ยมอยู่ดี จึงถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อเมือง


หลังจากได้อ่านข่าวแล้วซูจิ้งได้มีความคิดดีๆบางอย่างออกมาในหัว เขาได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหากงหลิงหมิงในทันที


เอาจริงๆเขาก็อย่างจะติดต่อไปยังชิหยินฮ่าวเลยมากกว่า แต่ด้วยเหตุที่ว่าเขาเป็นผู้แทนพรรคซึ่งแน่นอนว่าการแสดงว่ามีสายสัมพันธ์กับใครสักคนเป็นพิเศษถือเป็นเรื่องไม่ควร


 


“อาจิ้ง วันนี้คนใหญ่คนโตโทรหาฉันได้ยังไงกันเนี่ย ว่าแต่วันนี้มีเรื่องอะไรหรอถึงโทรมาได้” กงหลิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยน่ะครับ ว่าแต่ผมได้เห็นข่าวแล้วว่าปีนี้เมืองจงหยุนของเราเองก็พลาดโอกาสการชนะใจฐานะเมืองแห่งชาติอีกแล้วหรอ”


“ใช่แล้วล่ะ นี่นายสนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ” กงหลิงหมิงพลางคิดไปว่าถ้าซูจิ้งต้องการสร้างโครงการอะไรสักอย่างรึเปล่า


ถึงแม้ว่าการจะถูกประเมินว่าเป็นเมืองแห่งชาติได้นั้นจะต้องดูจากปัจจัยหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสวยงามของถนน อาคารสาธารณะ การตกแต่งเมือง พื้นที่สีเขียว จำนวนประชากร และอย่างอื่นอีกหลายอย่างก็ตาม


ซึ่งแน่นอนว่าเมืองจงหยุนแห่งนี้มีอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้ตามเกณฑ์แต่การสร้างใหม่นั้นก็เหมือนเป็นการตั้งโครงการมาเพื่อพัฒนาเมือง และนั่นก็เป็นการสร้างรายได้อย่างมหาศาลให้กับผู้คนเลยทีเดียว


แต่เรื่องแบบนี้สำหรับเขานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเอ่ยออกไป ถึงแม้โครงการพวกนี้จะสร้างเงินและงานได้อย่างมหาศาลก็ตาม แต่กับซูจิ้งนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยสักนิด


 


นั่นก็เพราะเขาในตอนนี้นั้นมีธุรกิจไม่สิต้องเรียกว่าอุตสาหกรรมของตัวเองที่สร้างรายได้มหาศาล เพียงแค่ของขวัญของเขาเพียงชิ้นเดียวก็มีค่าเกินกว่าร้อยล้านหยวนเข้าไปแล้ว


นี่ยังไม่พูดถึงอุตสาหกรรมยาสูบที่เขานั้นเป็นผุ้ถือหุ้นอีก มันเป็นเรื่องแปลกจริงๆที่เขานั้นจะมาสนใจลงทุนในโครงการต่างๆที่อยู่ในเมืองบ้านนอกแบบนี้


เอาจริงๆเรื่องการเป็นผู้ถือหุ้นในอุตสาหกรรมยาสูบนี้ยังไม่มีใครรู้กัน แต่ตัวเขาที่เป็นคนของตระกูลหวังจึงไม่แปลกที่จะรู้เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน


“ผมก็แค่สนใจนิดหน่อยน่ะครับ ตัวผมเองก็คิดได้ว่าเป็นคนของเมืองจงหยุนแห่งนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าย่อมต้องการเห็นเมืองถูกพัฒนา” ซูจิ้งหัวเราะออกมาก่อนจะพูดออกมาต่อว่า “ถ้าผมจำไม่ไม่ผิดนั้นคุณน่าจะกำลังปรับปรุงลานกิจกรรมอยู่นี่นา คุณพอจะยกหน้าที่ในการปรับปรุงพื้นที่สวนฟางหลินให้ผมได้รึเปล่าล่ะ”


“ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าการปรับปรุงลานนั่นจะต้องไปคุยกับสำนักก่อสร้างของเมืองก่อนก็ตาม แต่มันแค่เรื่องจิปาถะเล็กๆน้อยๆไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ แถมที่นั่นยังใช้ทุนปรับปรุงไม่เยอะด้วย” กงหลิงหมิงพูดออกมา


ลานกิจกรรมนี้ถือได้ว่าเป็นหน้าเป็นตาของเมืองจงหยุนแห่งนี้เลยก็ว่าได้ และยังถือได้ว่าได้รับความนิยมในระดับประเทศเลยทีเดียว


 


ภายในลานกิจกรรมประกอบด้วย สวนฟาลหลิน หอเกียรติยศ สวนต้นแอปริคอต หาแสดงผลงานไม้ และอื่นๆ


ซึ่งในตอนนี้ห้ามชาวเมืองเข้าใช้งานเพราะกำลังปิดปรับปรุงอยู่ซึ่งพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ที่เป็นหน้าเป็นตาของชาวเมือง แน่นอนว่าไม่สามารถผิดพลาดได้แม้แต่น้อย


ถึงแม้ว่าโครงการนี้ไม่ใช่โครงการใหญ่ และเงินที่ต้องใช้เองก็ไม่ได้สูงอะไร แต่การที่สามารถตัดบริเวณที่ต้องปรับปรุงในพื้นที่สวนฟางหลินออก ก็สามารถนำเงินไปใช้ส่วนอื่นแทนถือว่าเขาต้องยินดีอย่างแน่นอน


“ถ้าไม่ว่าอะไรล่ะก็ผมจะขอปรับปรุงตามแบบของผมเอง และกับการที่ผมออกค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เองไม่คิดแม้แต่แดงเดียวเลย” ซูจิ้งพูดออกมา


“ไม่มีปัญหาครับ” คงหลิงหมิงเข้าใจในทันที ซูจิ้งนั้นไม่ได้สนใจที่ต้องการจะทำเงินจากโปรเจกแบบนี้ เขาเพียงแค่สนใจเพียงแค่การปรับปรุงเมืองนี้ให้ดีขึ้นก็เท่านั้นเอง


 


กงหลิงหมิงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรไปยังสำนักงานโยธาของเมือง โดยเมื่อผอ.ของสำนักงานโยธาเมืองได้ยินแบบนั้นเองก็ได้นิ่งอึ้งไปพักใหญ่


แน่นอนว่าเขานั้นย่อมเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะคนอย่างซูจิ้งไม่มีทางต้องการเงินจากโครงการเล็กๆแบบนี้ แต่นี่เขาก็คิดไม่ถึงว่าตัวเขานั้นถึงขนาดยอมออกเงินเองเพื่อแลกกับการเป็นผู้ดูแลมีหรือที่เขาจะขัด


ตอนนี้ในใจของเขาเพียงแค่สงสัยซูจิ้งเท่านั้น นักธุรกิจใหญ่กลับมาสนใจในการปรับปรุงสวนเล็กๆอย่างสวนฟางหลินที่อยู่ในลานกิจกกรรมของเมือง แถมเป็นเพียงการปรับปรุงเท่านั้น เขาอยากจะทำอะไรกันแน่


“ถ้าแค่สวนตรงนั้นล่ะก็ เขาอยากจะทำอะไรก็ได้ครับตามสะดวก” ตอนนี้ผอ.สำนักงานโยธาได้มอบหมายสวนฟางหลินให้ซูจิ้งเป็นผู้ดูแลเรียบร้อยแล้ว


สำหรับกงหลิงหมิงและผอ.สำนักงานโยธานั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก


แต่กับซูจิ้งนั้นดูเหมือนว่าเขาค่อนข้างจะสนใจอย่างมาก เขาได้ตรงไปยังสวนฟางหลินด้วนตนเองและทำการเดินไปดูรอบๆ


 


หลังจากนั้นเขาทำการวาดรูปสวนเพิ่อออกแบบสวนพร้อมทั้งสภาพแวดล้อมของสวย เขายังได้ชวนทีมวิศวกรที่ค่าตัวแพงมาดูและทำการประเมินราคา ก่อนจะดำเนินการทำตามแบบและซ่อมแซมในทันที


กระบวนการก่อสร้างนี้บอกได้เลยว่ารวดเร็วมาก


 


ณ สำนักงานกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ หวังจ้าวและเฉิงหนานกำลังพยักหน้าให้กันพลางยิ้มทักทายให้กันเล็กน้อยโดยมีสาวน้อยคนหนึ่งที่สวมสูทสั่งตัดอยู่ข้างๆ


เมื่อหวังจ้าวได้เห็นสาวน้อยคนนี้จึงได้อึ้งไปพักนึงก่อนจะถามออกมาว่า “เอ่อออ นี่ไม่ใช่…”


“คนนี้เป็นพนักงานคนใหม่ของเราค่ะชื่อซูฉือ” เฉิงหนานพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม


“อาใช่จริงๆด้วย” หวังจ้าวขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะไปกระซิบที่ข้างหูของเฉิงหนานว่า “นี่เธอไม่ได้ดูข่าวรึไงช่วงนี้ถึงได้ไม่รู้จักเธอกัน ปูมหลังของเธอนั้นละเอียดอ่อนจนไม่น่าจะจ้างเธอมาเลยนะ”


หวังจ้าวนั้นได้เห็นข่าวของเธอแม้แล้วทำให้เขานั้นรู้จักซูฉือมาพอสมควร ซูฉือเคยเป็นสมาชิกของหน่วยพิเศษและได้รับสมยาว่าเป็นอัจฉริยะด้านคอมพิวเตอร์


อย่างไรก็ตามเธอยังปูมหลังอีกเรื่องหนึ่งที่วพิเศษกว่าใครนั่นก็คือเธอเป็นศัตรูกับตระกูลจ้าว ถึงแม้ตระกูลหวังจะไม่เคยกลัวตระกูลจ้าวแต่ก็ไม่ได้อยากท้าไฝว้เพียงเพราะคนนอกด้วยเช่นกัน


“เรื่องนี้ขัดไม่ได้ค่า อาจิ้งเป็นคนเสนอเองเลย” เฉิงหนานพูดออกมา


“ห้ะ อาจิ้งอ่ะนะ หมอนี่จะทำอะไรอีกล่ะเนี่ย” หวังจ้าวถามอออกมาแบบมึนๆ


“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่นี่คือเขาบอกออกมาเลยว่าต้องการตัวเธอ” เฉิงหนานพูดออกมา


หวังจ้าวตอนนี้ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ ทังสองคนมีความสัมพันธ์อะไรกันแน่ ต่อให้นามสกุลจะเหมือนกันแต่ก็เท่านั้น มีคนจีนมากมายที่นามสกุลเหมือนกันบนโลกใบนี้ และซูฉือเองก็ไม่ได้มาจากหมู่บ้านตระกูลซูในเมืองฉิงหยุนอีกด้วย


 


หวังจ้าวได้จ้องไปยังซูฉือสักพักจนเริ่มรู้สึกใจเต้นในทันทีที่เขานึกอะไรออกมาได้บางอย่าง


ตอนที่เขากลับไปเมืองหลวงในครั้งก่อนนั้น เจียงถิงหยวนได้มาที่บ้านตระกูลหวังเพื่อคุยกับซูจิ้งหลังจากนั้นก็ตรงไปบ้านข้างตระกูลจ้าวในทันที เรื่องนี้สมควรจะมีความเกี่ยวข้องกันอยู่


หลังจากนั้นยิ่งน่าแปลกกันไปใหญ่เพราะแทนที่ซูฉือจะซ่อนตัวอยู่ในต่างประเทศ แต่เธอกลับกลับมาบ้านอย่างเปิดเผยและถูกต้องตามกฎหมายโดยไม่เกรงกลัวตระกูลจ้าวเลยสักนิด


และแม้แต่ซูฉือจะกลับมาได้สองสามวันแล้วตระกูลจ้าวก็ยังไม่เคลื่อนไหวแต่ประการใด ยิ่งไปกว่านั้นนี่ยังไม่รวมถึงการที่เธอที่ควรตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่แบบนี้ได้อีก


 


“ถึงอย่างในตอนนี้อยู่ในเงื้อมมือของอาจิ้งแล้วรึเนี่ย หมอนี่ช่างเป็นคนที่ยื่นมือชี้ฝนท้าทายฟ้าจริงๆ” หวังจ้าวในตอนนี้รู้ดีว่าหากซูจิ้งตัดสินใจแล้วยากจะทัดทานได้


“เห้อ เอาเป็นในเมื่ออาจิ้งเป็นคนแนะนำมาก็รอฟังเขาว่าอีกทีก็แล้วกัน” หวังจ้าวพูดออกมา


ถึงแม้ว่าซูฉือคนนี้เป็นคนที่ไม่ควรจะยุ่งด้วย แต่ในเมื่อซูจิ้งนั้นมีขุมอำนาจและเข้มแข็งพอ เขาเองก็สมควรจะไม่เพียงแค่ทำเพื่อช่วยสาวน้อยคนนี้เฉยๆอย่างแน่นอน


เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังจ้าวจึงถามออกไปว่า “วันนี้อาจิ้งไม่เข้ามาเหรอ”


“ไม่เข้านะ เขาไปดูแลการก่อสร้างและปรับปรุงสวนฟางหลินที่ลานกิจกรรมเมืองน่ะ” เฉิงหนานพูดออกมา


“ห้ะ” หวังจ้าวเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับผงะก่อนจะถามออกมาว่า “เพื่อ?”


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาแค่บอกว่าอยากมีส่วนช่วยพัฒนาเมืองน่ะ” เฉิงหนานพูดจบก็ได้หัวเราะออกมา


เธอเองก็นึกสนุกเหมือนกันที่จะได้ดูว่าซูจิ้งนั้นจะออกแบบและปรับปรุงสวนออกมาอีท่าไหนกัน ถึงจะรู้ว่าการปรับปรุงสวนเล็กๆแบบนั้นกับซูจิ้งแล้วไม่ต่างจากการฆ่าไก่ด้วยมีดเชือดวัวก็ตาม


หวังจ้าวที่ได้ยินถึงกับกุมขมับ พลางคิดไปว่าตัวเองนั้นไม่มีทางเข้าใจซูจิ้งได้เลยจริงๆ


ทั้งๆที่คนทั้งเมือง ไม่สิคนทั้งประเทศกำลังจับจ้องมาที่เขา แต่เขานั้นกับทำเพียงแค่ทำงาน กิน ดื่มไปตามปกติราวกับไม่ได้มีอะไรพิเศษ


แถมตอนที่ทุกคนรู้ว่าซูจิ้งนั้นเสนอตัวไปปรับปรุงสวนนั้น ทุกคนต่างก็ทำหน้าโง่งมกันไปหมด


GGS:บทที่ 878 สวนฟางหลินหลังการปรับปรุง


 


การปรับปรุงและบูรณะสวนฟางหลินเป็นไปด้วยความรวดเร็วและแล้วเสร็จในสามวัน ในส่วนหินประดับ ต้นไม้ และรูปปั้นนั้น ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม พวกเขาเพียงแค่ซ่อมแซมส่วนที่เจอและเปลี่ยนแปลงพื้นทางเดินในบางส่วนก็เท่านั้นเอง แต่ถึงจะยังนั้นพวกมันก็ยังดูสดใสและสวยงามกว่าเดิมอยู่ดี


หลังงจากการปรับปรุงสวนและทำการเปิดใหม่แล้ว ในตอนเช้าตรู่ได้มีหลายๆคนที่เดินทางมายังสวนฟางหลินแห่งนี้ บางส่วนนั้นเป็นนักท่องเที่ยว และบางส่วนเองก็เป็นคนที่อาศัยอยู่ในระแวกนี้ คนที่อยู่ใกล้ๆนั้นสามารถซื้อตั๋วรายเดือนและสามารถเข้าได้ฟรีตลอดและทุกเมื่อได้


“ฉันได้ยินมาว่าสวนฟางหลินแห่งนี้ใช้เวลาปรับปรุงเพียงสองวันเองนะ ไม่รู้ว่าจะปรับปรุงอะไรบ้าง”


“ได้ยินมาว่าทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมนะ เหมือนจะแค่ซ่อมแซมเฉยๆเท่านั้นเอง ไม่น่ามีอะไรเปลี่ยนไปมากมายนัก”


 


หลังจากที่นักท่องเที่ยวสองสามคนเดินคุยกันไประหว่างเดินเข้าไปดูในสวนนั้นทันทีที่เห็นสวนข้างในทั้งสามคนก็ยืนนิ่งสนิท ถึงแม้ทุกๆอย่างยังคงดูเหมือนเดิม แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมมันดูสวยนิดหน่อย แต่ตอนนี้นอกจากความสวยงามที่ดูสวยมากกว่าเดิมแล้ว มันยังดูงามสง่า หรูหรา และสบายตาเมื่อได้เห็น


“พระเจ้า มันสวยมากเลย เพียงไม่กี่วันสามารถทำได้ขนาดนี้เลยหรอ”


“นายลองดูดีๆสิ มันแทบไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไปเลยนะ แต่ทำไมมันดูต่างจากเดิมมากมายขนาดนี้”


“ใช่ นอกจากนั้นมันช่วยทำให้รู้สึกสบายอารมณ์น่าพักผ่อนมากกว่าเดิมอีก”


ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวที่ได้มีโอกาสมานั้นต่างก็ประหลาดใจไม่ต่างกัน พวกเขาใช้เวลาอยู่ในสวนนี้นานอย่างไม่คาดคิดก็ว่าได้ จากเดิมนั้นนักท่องเที่ยวที่มาเพียงแค่เดินๆมองๆก็ผ่านไปเท่านั้น แต่มาตอนนี้สวนฟางหลินเป็นสวนที่ดูดีมีชีวิตชีวาดูสดชื่นหัวใจ


“โอ้… ตรงนี้มีรูปปั้นด้วยแหะ ช่างสวยจริงๆ”


“มันดูเหมือนของดีเลยนะ…อืม…ผลงานที่ดีนำพาบรรยากาศดีๆสินะ”


บางคนก็ได้สังเกตุว่าตรงกลางน้ำพุที่อยู่กลางสวนนั้นได้มีรูปปั้นหินอ่อนที่รายล้อมไปด้วยหินประดับตกแต่ง เป็นรูปปั้นหญิงสาวในชุดกระโปรงยาว ดูสวยงาม งามสง่า สวยและงามจนทำให้รู้สึกถึงความหรูหราราวกับของชั้นสูงเลยทีเดียว


ใบหน้าของเธอนั้นบิดเอียงเล็กน้อย มีใบหน้าเรียวยาวและผมที่ยาวสลวย ผมของเธอนั้นโดนน้ำที่รินออกมาจากหินประดับอยู่ตลอดเวลาราวกับว่าเธอกำลังทำความสะอาดผมของตน ด้วยการยื่นคอออกไปจนทำให้ได้เห็นคอที่งามประดุจหงษ์ของเธอ มันช่างดูเย้ายวน ทรงเสน่ น่าหลงใหล และน่าจับตามอง


 


ถึงจะเป็นเพียงงานแกะสลักหินแต่กลับทำให้หลายๆคนสามารถจับจ้องจนตาไม่กระพริบได้อยู่นาน ยิ่งเวลานานไปเท่าไหร่ คนที่มาหยุดอยู่ส่วนนี้ก็ยิ่งล้อมรอบมามากขึ้นและไม่มีท่าทีจะจากไปไหน และแน่นอนว่าไม่ใช่แค่เพียงผู้ชาย เอาจริงๆส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงด้วยซ้ำ


“เป็นนางฟ้าที่ดูสวยงามซะเหลือเกิน”


“เห็นด้วย เป็นเพียงงานแกะสลักแต่ก็ทำให้หัวใจของฉันสั่นระรัวได้เลย”


“ทำไมฉันถึงรู้สึกว่างานแกะสลักนี้มันดูสวยยิ่งกว่างานปั้นวีนัสไร้แขนนั่นอีกนะ”


“อย่าพูดโง่ๆน่า นี่เป็นเพียงงานตกแต่งสวนเองนะ มันจะนำไปเทียบกับงานวีนัสไร้แขนนั่นได้ยังไงกัน”


“แต่ว่ามันงามจริงๆนะ มันงามเกินกว่าที่จะมาเป็นงานประดับสวนแบบนี้ได้”


“ฉันก็ไม่รู้หรอกในว่าใครปั้น ฉันไม่รู้ว่ามันมาอยู่นี่ได้ยังไง ฉันรู้แต่ว่างานแกะสลักหินนี้สวยจริงๆ”


“ฉันเองก็ไม่เคยเห็นรูปปั้นนี้เหมือนกันแหะ”


ในตอนนี้เหล่าคนที่เข้ามาดูนานจนเริ่มหายตกตะลึงแล้วก็ได้เดินจากไป มีเพียงบางคนที่ยังคงอยู่ จำนวนผู้ที่เข้าชมสวนฟางหลินมากกว่าแต่ก่อนหลายเท่านัก


และส่วนใหญ่แล้วพวกเขาก็จะวนเวียนอยู่กับน้ำพุหินประดับที่อยู่ตรงกลางสวนนี้นับสิบครั้งได้ ต่อให้คนจะมากมายขนาดไหน พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะมาและในที่สุดก็ได้มีคนถ่ายรูปงานแกะสลักหินนี้ส่งขึ้นไปบนโลกอินเตอร์เนตจนได้ และนี่เองก็ทำให้เหล่าชาวเน็ตนั้นได้รับความพิศวงไปตามๆกัน


“แอนนา ฉันรู้สึกว่าสวนสไตล์จีนนี่มันให้ความรู้สึกดีจริงๆ มันดูคลาสสิกพร้อมกับทำให้รู้สึกหรูหรายังไงก็ไม่รู้”


ชายชาวต่างประเทศวัยกลางคนตัวสูงคนหนึ่ง ได้พูดความรู้สึกออกมาระหว่างดื่มด่ำกับธรรมชาติภายในสวนฟางหลินแห่งนี้


“มันสวยจริงๆอย่างที่ว่ามันนั่นแหล่ะ ช่างเป็นสวนที่ผ่อนคลายสายตาได้จริงๆ” หญิงชาวต่างชาติวัยกลางคนเองก็ได้ตอบรับมาด้วยรอยยิ้มหวาน


“ทำไมตรงนั้นถึงได้มีคนอยู่เยอะขนาดนั้นกันล่ะ” ชายชาวต่างชาติได้ชี้ไปที่ทางฝั่งน้ำพุ


“ไม่รู้เหมือนกันแหะ เราไปดูกันดีกว่า” หญิงต่างชาติพูดตอบ


 


คู่ชายหญิงต่างชาติได้รีบเดินไปยังจุดที่มีคนออกันอยู่ด้วยความรวดเร็ว ชายคนนั้นสูง 1.9 เมตร ส่วนผู้หญิงสูง 1.7 เมตร พวกเขานั้นใส่รองเท้ากีฬาที่มีส้นสูงอยู่แล้วทำให้ดูเด่นกว่าคนจีนทั่วไปมากนัก


พวกเขาสามารถมองผ่านทุกคนจนได้เห็นกับงานแกะสลักหินที่อยู่ท่ามกลางน้ำพุโดยมีหินประดับโดยรอบ นั่นทำให้ทั้งสองตกตะลึงทันที


“เพราะเจ้า งานสลักหินนั่นสวยจริงๆ” แอนนาพูดออกมาด้วยท่าทีตกตะลึง


แต่กับชายหนุ่มตัวสูง เขามีชื่อวว่าอลัน เขาในตอนนี้ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก


แต่เขานั้นกลับแหวกฝูงชนเข้าไปเพื่อไปอยู่ให้ใกล้ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เขานั้นจ้องไปยังรูปแกะสลักที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาที่เป็นประกาย


“เฮ้ยมาก่อนถึงก่อนสิ นี่แกไม่รู้รึไงกัน” ชายวัยกลางคนบ่นอุบออกมาพร้อมพูดด่าทอกับความไร้มารยาทของชายต่างชาติ


“เราชาวจีนต่างก็ถูกบ่นมาเสมอว่าเป็นพวกไม่มีมารยาท ลองดูนี่สิว่าใครกันที่ไม่มีมารยาท เหอะ” ชายวัยกลางคนอีกคนพูดออกมา


“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ” แอนนารีบทำการขอโทษเป็นระวิง ด้วยภาษาจีนแย่ๆ อลันที่พึ่งจะรู้สึกตัวเมื่อได้เห็นดังนั้นเขาก็รีบไปขอโทษด้วยเช่นเดียวกัน


เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พอจะเลาๆได้ว่าสองคนนี้คงแค่ตกตะลึงมากเกินไปจนทำให้ไม่สนใจเท่านั้นจึงได้เลิกลากันไป


“งานแกะสลักชิ้นนี้ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ” อลันได้หันกลับมาและทำการจ้องมองงานชิ้นนี้ด้วยความตกตะลึง


“ใช่แล้ว ฉันก็คิดว่างานชิ้นนี้ช่างสวยงามและดูมีอารมณ์ศิลป์มากๆเลย” แอนนาพยักหน้ารับ


“มันส่วนกว่าและดูมีความเป็นศิลปะมากกว่างานแกะสลักทั้งหลายที่ฉันเคยเห็นมาเลยนะ ดีไม่ดีมันสวยกว่างานวีนัสไร้แขนนั่นซะอีก ช่างเป็นงานศิลป์ชั้นเลิศและประเมินค่าไม่ได้จริงๆ” อลันพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


แอนนาเองเมื่อได้ยินแบบนั้นก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน เธอนั้นเป็นนักเรียนศิลปะการวาดภาพและมีเซ้นส์ทางด้านศิลปะดีพอสมควร


การได้มาพบงานแกะสลักหินที่สวยงามแบบนี้เธอจะรู้คุณค่าของมันได้ยังไง เพียงแต่กับอลันนั้นเขานั้นทำงานอยู่ในพิพิธภัณฑ์ และมีความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับงานปั้นแกะสลักหินแบบนี้


หากว่าเป็นเขาที่ได้พูดคำนี้ออกมาล่ะก็ แน่นอนว่าต้องไม่ผิดตามที่เธอคิดไว้อย่างแน่นอน


“ว่าแต่ ทำงานศิลป์ระดับนี้ถึงได้มาอยู่ในสวนแบบนี้ได้กัน” แอนนาได้พูดออกมาอย่างสงสัย


“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน จะบอกว่ามีศิลปินในจีนที่สามารถแกะสลักงานแบบนี้ได้ด้วยงั้นรึ” อลันได้พยายามนึกถึงอะไรบางอย่าง ถึงแม้ชาวจีนที่อยู่รอบๆนั้นจะไม่เข้าใจว่าทั้งสองจะพูดอะไรกัน แต่เมื่อดูท่าทางและน้ำเสียงก็พอจะบอกได้ว่า ทั้งสองคงจะปลาบปลื้มในผลงานชิ้นนี้ นั่นทำให้คนที่อยู่รอบๆรูสึกภูมิใจขึ้นมา และต่างก็คิดไปว่าศิลปินในจีนนี่ไม่ใช่แค่เล่นๆเลย


“ไม่มีทาง งานศิลปะชั้นสูงแบบนี้ไม่ควรจะมาจมจ่อมอยู่ที่นี่ มันอยู่ที่นี่ก็จะมีค่าแค่เพียงของประดับสวนที่ไม่มีใครรู้คุณค่าเท่านั้นเอง ฉันต้องนำมันกลับไปยังพิพิธภัณฑ์ที่อเมริกาให้ได้”


คิดได้ดังนั้น อลันได้เข้าไปพูดที่ข้างหูของแอนนาด้วยน้ำเสียงเบาๆ เขานั้นพยายามควบคุมอารมณ์แล้วแต่ทำไม่ไหวจริงๆ เขาได้บอกแอนนาด้วยใบหน้าที่แดงชานด้วยความตื่นเต้นว่าเขานั้นจะนำงานศิลป์ชิ้นนี้กลับไปยังอเมริกา


GGS:บทที่ 879 ซื้อ?


 


“จะซื้อต่อหรอ พวกเขาจะยอมขายหรอ” แอนนาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ


“ในเมื่อพวกเขากล้าที่จะเอาของมีค่าขนาดนี้มาตั้ง พวกเขาสมควรจะไม่รู้คุณค่าของงานศิลป์อันล้ำค่าชิ้นนี้ พวกเขานั้นน่าจะยอมขายด้วยเงินที่เล็กน้อยเท่านั้น”


หลังจากที่ทั้งสองกลัวว่าจะมีคนมาแย่งงานสลักนี้ตัดหน้าพวกเขาไป พวกเขารีบตรงไปยังศูนย์จัดการของลานกิจกรรมแห่งนี้ในทันที


เขานั้นพยายามอธิบายสถานะของตัวเองและเสนอซื้องานแกะสลักหินอ่อนที่อยู่กลางสวนฟางหลิน ด้วยเงินสองหมื่นหยวน


แน่นอนว่าคุณค่าของงานศิลป์มากกว่าสองหมื่นหยวนนับสิบไม่สินับร้อยเท่าและเขาเองก็ยินยอมจ่ายอย่างแน่นอน แต่ในเมื่อต้องซื้อจากคนที่ไม่เห็นคุณค่าทางศิลป์แบบนี้เขาจะยอมทุ่มทุนไปทำไม


คุณหวังที่ดำรงตำแหน่งผอ.ของส่วนจัดการกลางของสวนแห่งนี้เองถึงกับสงสัย ทำไมสองคนนี้ถึงอยากจะมาซื้องานสลักหินในสวนของเขาได้กัน


ราคาของพวกมันโดยเฉลี่ยแล้วอย่างมากสุดก็ควรจะอยู่ที่ห้าพันหยวนอีกด้วย แต่ต่างชาติสองคนนี้ต้องการซื้อด้วยเงินถึงสองหมื่นหยวน ตกลงว่าสองคนนี้จะซื้อไปทำอะไรกันแน่


“พวกเรานั้นมีความสนใจในงานแกะสลักหินของจีนมากๆ และต้องการซื้อหนึ่งในนั้นเป็นของที่ระลึกน่ะ” แอนนาพยายามสื่อสารออกมาด้วยน้ำเสียงจีนแปลกๆ


“ผมขอแนะนำว่าให้พวกคุณไปซื้ออะไรที่มันขนง่ายๆดีกว่านะ” ผอ.หวังเองก็แนะนำด้วยความหวังดี


“พวกเรานั้นชอบงานแกะสลักหินนั้นมากจริงๆ เราไม่ต้องการชิ้นอื่นนอกจากชิ้นนี้เลย” แอนนาพูดออกมา


“งานแกะสลักหินชิ้นไหนกันที่คุณต้องการจะซื้อ” ผอ.หวังถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้


เขานั้นคิดแต่ว่างานแกะสลักหินที่สองคนนี้ต้องการนั้นเป็นเพียงงานทั่วไปๆ ถ้าซื้อในราคานี้ตัวเขาก็สามารถหามาแทนได้ถึงสองสามชิ้นแน่นอน จึงไม่ได้เสียหายอะไร


“พวกเราต้องการอันนี้” อลันนำโทรศัพท์มือถือออกมาให้ มันเป็นรูปของงานแกะสลักหินของสาวงามที่อยู่ท่ามกลางหินประดับ เมื่อได้เห็นแล้ว ผอ.หวังเองก็ไม่ได้แปลกใจอะไรว่าทำไมทั้งสองถึงอยากได้มันนัก


“นี่มัน… สมควรจะเป็นคุณซูเป็นคนที่เพิ่มเข้ามาตอนปรับปรุงเมื่อสองวันก่อนแน่ๆ” แน่นอนว่า ผอ.เองก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นเสนอตัวในการปรับปรุงสวนฟางหลินแห่งนี้


ด้วยการที่สำนักงานโยธาอนุญาตและการที่ไปคัดค้านคนใหญ่คนโตแบบซูจิ้งด้วยเรื่องแค่นี้ช่างไร้สาระเขาจริงไม่ได้ใส่ใจอะไร


เอาจริงๆหลังจากสวนปรับปรุงเสร็จแล้วเขาเองก็ได้ไปเยี่ยมชมจนตกตะลึงมาแล้วเหมือนกัน


เขานั้นทึ่งกับซูจิ้งมากนั่นก็เพราะว่าเขาไม่เหมือนคนรวยคนอื่นที่สักแต่จัดสวน


แต่ซูจิ้งนั้นนอกจากจะทำให้เปล่าๆแล้ว เขานั้นยังจัดแบบมีอารมณ์ศิลป์อย่างมาก แต่เขาเองก็แค่มองรูปแกะสลักนี้เท่านั้นไม่ได้เข้าถึงอารมณ์ศิลป์มากนัก


“งานแกะสลักนี้เป็นงานแกะสลักที่คุณซูนำมา ผมไม่สามารถเป็นคนตัดสินใจขายได้หรอกนะ”


ผอ.หวังบอกออกไปแบบนั้นแต่ชาวต่างชาติทั้งสองก็ยังไม่ไปไหน เขาจึงให้ทั้งสองรอและได้โทรไปหาผอ.ของสำนักงานโยธาและเล่าสถานการณ์ให้ฟัง “ผอ.โจวครับ งานแกะสลักหินกลางสวนฟางหลินที่คุณซูเพิ่มเข้ามานั้นมีชาวต่างชาติต้องการจะขอซื้อในราคาสองหมื่นหยวนครับ”


หลังจากได้ยินดังนั้นปลายสายได้ตอบกลับมาว่า


“คุณซูไม่ได้รับเงินจากพวกเราสักแดงเดียว แถมเขานั้นยังยอมนำงานแกะสลักของเขามาวางไว้ในสวนแบบนี้อีก บอกเขาไปตรงๆเลยว่าพวกเรานั้นไม่มีสิทธิ์ขาย ถ้าอยากซื้อต้องไปคุยกับคุณซู”


ผอ.ของสำนักงานโยธาเองก็บอกออกมาแบบนั้น และเขาก็นึกสงสัยว่ารูปปั้นอะไรทำไมต่างชาติสองคนถึงสนใจขนาดต้องการซื้อด้วยเงินถึงสองหมื่นหยวน ผอ.หวังจึงได้ส่งรูปให้ดูในทันที


หลังจากผอ.สำนักงานโยธาได้เห็นรูปที่ส่งผ่านมาทางอีเมลล์แล้วสายตาของเขานั้นเป็นประกายในทันที เขาเองก็เคยเห็นสวนฟางหลินมาก่อนและจำได้ดี โดยทุกอย่างนั้นยังดูเหมือนเดิม


 


แต่เพิ่มเติมก็คือมีการปรับเปลี่ยนทางเดิน พื้นหญ้า จนทำให้ดูสดใสราวกับเป็นการยกระดับเลยทีเดียว


“คุณซูนี่ช่างมีฝีมือจริงๆ” ผอ.สำนักโยธาผู้นี้แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าทุกอย่างที่เปลี่ยนไปนั้นไม่ได้ใช้เงินในการปรับปรุงเยอะ เท่าที่ดูแล้วงบที่ใช้น่าจะน้อยกว่าโครงการที่พวกเขาตั้งไว้ซะด้วยซ้ำ


เพียงแค่เห็นนี่เขาอดจะคิดไม่ได้เลยว่าคงเป็นการดีหากซูจิ้งยินดีที่จะเป็นผู้ปรับปรุงลานกิจกรรมทั้งหมดของเมืองจงหยุนแห่งนี้ อย่างไรก็ตามเขาเองก็รู้ดีว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน


การที่ซูจิ้งลงมือเองในครั้งนี้นั้นหากเขาไม่ต้องการพื้นที่พักผ่อนดีๆไม่ก็สมควรจะมีความประทับใจบางอย่างในสวนฟางหลินแห่งนี้เท่านั้น


การที่จะปรับปรุงทั้งเมืองจงหยุนแบบที่เขาหวังไว้นั้นแน่นอนว่าต้องกินทั้งแรงงานและเสียเวลามาก คนแบบเขาจะยินยอมได้ยังไงกัน


เมื่อผอ.จ้าวได้เลื่อนมาดูถึงรูปสุดท้ายที่เป็นภาพรูปแกะสลักหินนั้น ผอ.ของสำนักงานโยธาผู้นี้ถึงกับตกตะลึงไปไม่น้อย เขานั้นนิ่งดูรูปถ่ายนี้อยู่นานสองนาน ยิ่งดูมากเท่าไหร่ก็ยิ่งตกตะลึงมากเท่านั้น


ตอนนี้เขาไม่แปลกในแล้วว่าทำไมชาวต่างชาติสองคนนั่นถึงอยากได้งานแกะสลักหินถึงกับยอมจ่ายสองหมื่นหยวน


“เฮ้อออ ขนาดฉัที่ไม่รู้เรื่องงานศิลป์ก็ยังดูออกเลยว่างานแกะสลักนี้นั้นไม่ธรรมดาเลยสักนิด เพียงแค่ตั้งงานแกะสลักนี้ไว้ก็ทำให้สวนฟางหลินนั้นยกระดับได้แล้ว ราคาของสิ่งนี้ย่อมมากกว่าสองหมื่นหยวนอย่างแน่นอน”


ผอ.สำนักงานโยธาได้โทรหาซูจิ้งในทันทีและได้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องการจะยอมขายอะไรอย่างนี้เขานั้นย่อมต้องให้ซูจิ้งเป็นคนตัดสินใจอยู่แล้ว เขาก็แค่ต้องรายงานซูจิ้งเฉยๆเท่านั้นเอง


ซูจิ้งที่รับสายนั้นเมื่อเขาได้ยินมาว่ามีคนต้องการจะซื้องานแกะสลักหินของเขา เขาก็ไม่ได้ดีกระตือรือล้นอะไรนั่นก็เพราะเขาได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้อยู่แล้ว


เขาได้ถามสถานะของอีกฝั่งและได้ให้ซูฉือสืบค้นข้อมูลในทันที หลังจากอ่านข้อมูลและเขาได้ขับรถปอร์เช่ของเขาตรงไปยังสวนฟางหลินในทันที


“ผอ.หวัง คุณพอจะยืดหยุ่นธรรมเนียมและขายงานแกะสลักหินนี้ให้พวกเราหน่อยได้รึเปล่าคะ มันสามารถใช้ยกระดับชื่อเสียงให้กับที่นี่ได้เลยนะว่าเป็นพื้นที่แรกเปลี่ยนระหว่างสองประเทศได้เลย มีแต่เรื่องดีๆทั้งนั้น” เมื่อเห็นผอ.หวังวางสาย แอนนาจึงรีบพูดเสนอดูอีกครั้ง


“งานแกะสลักหินชิ้นนั้นเป็นของคุณซู การจะขายหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเขา หากคุณอยากได้จริงๆก็รอหน่อยแล้วกันเพราะเขานั้นกำลังมาที่นี่ คุณก็ลองคุยกับเขาเองก็แล้วกัน” ผอ.หวังพูดออกมาแบบงงๆ


“งั้นพวกเราขอไปรอที่บริเวณที่ตั้งงานแกะสลักหินนั่นแล้วกัน” อลันนั้นกลัวว่าหากปล่อยให้งานแกะสลักหินนี้คลาดสายตาเป็นเวลานานอาจจะมีใครมือดีไปทำลายหรือไม่ก็มีคนขโมยมันไปก็ได้


“ก็ได้ เมื่อเขามาถึงผมจะพาเขาไปหาก็แล้วกัน” ผอ.หวังพยกหน้ารับ


 


หลังจากออกมาจากสำนักงานกลางของลานกิจกรรมแล้ว แอนนาได้คุยกับอลันด้วยน้ำเสียงเบาๆว่า “อลัน สงสัยว่าเราจะไม่สามารถซื้อได้ในราคาต่ำๆอย่างที่คิดซะแล้วล่ะ ดูเหมือนจะมีคนรู้คุณค่าของงานแกะสลักชิ้นนี้อยู่เหมือนกัน ไม่น่าจะยอมขายง่ายๆ” แอนนาพูดออกมา


“ฉันก็กลัวเหมือนกันว่าต่อให้เป็นเงินแสนหยวนก็ยังซื้อไม่ได้ แต่ในเมื่อพวกเขานั้นนำมาไว้ในสวนอย่างนี้ก็สมควรจะคิดเพียงว่ามันเป็นรูปปั้นที่ดูดีเท่านั้น


และดูจากท่าทีแล้วคนพวกนี้ไม่มีทางเข้าใจงานศิลป์ไปได้หรอก ราคาของมันไม่มีทางสูงอย่างแน่นอน


ฉันจะลองโทรหาภัณฑารักษ์ไว้ก่อน ดูสิว่าเขาจะยอมให้วงเงินเท่าไหร่” อลันพูดออกมาและได้ทำการโทรกลับไปยังอเมริการในทันที


เมื่อภัณฑารักษ์ของพิพิธภัณฑ์ที่อลันทำงานอยู่ได้เห็นรูปของงานแกะสลักหินนี้เขาเองก็อยากจะบินมาที่ประเทศจีนซะเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว แน่นอนว่าเขานั้นต้องการให้นำรูปสลักนี้กลับไปและจะให้การสนับสนุนเงินที่ต้องใช้อย่างแน่นอน


 


หลังจากอลันได้ไปถึงน้ำพุเรียบร้อยและกำลังจ้องมองไปยังงานแกะสลักหินอย่างสบายอารมณ์ได้พักใหญ่


ผอ.หวังและซูจิ้งได้เดินเข้ามาด้วยกัน โดยประชาชนชาวนึโดยรอบต่างกู่ร้องและส่งเสียกรี๊ดวี๊ดว้ายไปทั่ว ภาพนี้ทำให้ทั้งอลันและแอนนาตกตะลึงจนพูดไม่ออก หรือว่าคุณซูคนนี้จะเป็นคนดัง


GGS:บทที่ 880 อย่ามาทำให้ฉันเสียเวลา


 


“ดูสินั่นซูจิ้งนี่”


“นี่เขามาทำอะไรที่นี่กัน”


“ฉันได้ยินมาว่าสวนแห่งนี้ถูกปรับปรุงโดยเขา แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริงเลยแหะ”


“พี่จิ้งถ่ายรูปกับฉันหน่อยค่า”


“พี่จิ้งช่วยเซ็นชื่อให้ผมด้วยครับ”


ในสถานการณ์ที่โกลาหลแบบนี้ ซูจิ้งและผอ.หวังโดยล้อมรอบไปด้วยผู้คน แม้จะมีงานแกะสลักหินนางฟ้าที่แสนงามตาอยู่ตรงหน้าก็ไม่อาจสู้ได้กับดาราบนดินแบบซูจิ้งไปได้


และดูเหมือนว่าคนที่อยู่ที่นี่จะเป็นแฟนคลับของซูจิ้งทั้งนั้นเลยทีเดียว ซูจิ้งก็ทำได้แต่ยิ้มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น


เขาหาช่องว่างออกจากตรงนี้ไม่ได้เลยทีเดียว เขาทำได้เพียงยอมถ่ายรูปและเซ็นลายเซ็นให้กับบรรดาแฟนคลับของเขาอย่างช้าๆ


นี่ทำให้อลันและแอนนารอไม่ไหวจนต้องฝ่าฝูงชนเจ้ามาหาซูจิ้งกันเลย


“ให้ผมแนะนำให้ก่อนก็แล้วกัน สองคนนี้คือคนที่ต้องการซื้องานแกะสลักหินนี้ครับคุณซู” ผอ.หวังพูดออกมา


“สวัสดีคุณซู ฉันชื่อแอนนา ส่วนนี่สามีของฉัน อลัน” แอนนาพูดออกมาด้วยภาษาจีนแย่ๆ


“สวัสดี” ซูจิ้งจับมือทักทายทั้งคู่


“คุณซู พวกเราชอบวัฒนธรรมจีนมาก พวกเราอยากจะของซื้อรูปปั้นชิ้นหนึ่งกลับไปเป็นที่ระลึก


คุณพอจะยอมขายให้เราได้หรือไม่” อลันนั้นพยายามพูดออกมาโดยเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้และชี้ไปยังงานแกะสลักหินที่อยู่กลางน้ำพุด้วยท่าทางที่สุขุมที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


“งานแกะสลักหินชิ้นนี้ที่นำมานี่ก็เป็นเพราะต้องการประดับตกแต่งสวนนี้เท่านั้น ไม่ได้มีไว้ขายหรอกนะ


แต่ในเมื่อเพื่อนชาวต่างชาติทั้งสองต้องการจริงๆล่ะก็ ฉันจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ทางการฑูตอันดีของเราทั้งสองประเทศจะยอมคิดดูก็แล้วกัน ว่าแต่คุณจะเสนอราคาเท่าไหร่ล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“สองหมื่นหยวน” อลันพูดออกมาด้วยเสียงดังฟังชัด


“ต่ำไป” ซูจิ้งส่ายหน้าออกมา


“สามหมื่นหยวน” อลันพยายามทำเป็นคิดหนักก่อนที่จะพูดออกมา


“ถ้าต้องการเสนอเพียงแค่นั้นก็อย่ามาทำให้เสียเวลากันเลย” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะแหวกฝูงชนเดินออกไป


“คุณซู หยุดก่อน” อลันรีบเข้าไปจับมือซูจิ้งไว้ทันที ก่อนจะพูดออกมาว่า “หนึ่งแสน”


ซูจิ้งส่ายหัวและสะบัดมือของอลันก่อนที่จะเร่งเดินออกไป ทั้งอลันและแอนนาพยายามที่จะจับตัวซูจิ้งเอาไว้แต่ก็ต้องถูกขวางโดยฝูงชนที่ล้อมรอบทำให้ไม่สามารถจับไว้ได้


เมื่อเห็นว่าซูจิ้งนั้นรีบออกไปอย่างรวดเร็ว อลันจึงรีบพูดราคาออกไป “สามแสน,ห้าแสน,หนึ่งล้าน,สามล้าน…”


เมื่อเห็นว่าซูจิ้งนั้นยังก้าวเดินห่างออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง เขาก็ทำได้เพียงกัดฟันก่อนที่จะพูดราคาที่สูงที่สุดที่พันธรักษ์ยอมให้เขาได้ “ห้าล้าน”


ในที่สุดซูจิ้งก็ได้หยุดเท้าลง ส่วนคนที่ออกันอยู่รอบๆในตอนนี้ต่างก็หยุดลงและหันมาคุยกัน


“พระเจ้า นี่มันเรื่องอะไรกัน ชาวต่างชาติสองคนนี้ยอมจ่ายห้าล้านหยวนเพียงเพื่องานแกะสลักหินกลางสระนั่นน่ะนะ”


ผอ.หวังในตอนนี้เองถึงกับด่าทอตัวเองในทันที ชาวต่างชาติสองคนนี้ก่อนหน้านี้พยายามที่จะซื้อของดีด้วยราคาสองหมื่นหยวนเนี่ยนะ โชคยังดีที่เขานั้นไม่โง่พอที่จะขายออกไป


แต่แค่งานแกะสลักหินนั่นราคาถึงห้าล้านหยวนนี่ไม่เกินไปหน่อยรึ


“ผมว่าด้วยราคาแค่นั้นพวกคุณไปซื้องานแกะสลักหินของเขตหวู่ถิงเอาดีกว่านะ เงินแค่นั้นคุณสามารถได้รูปปั้นเยอะแยะเลย  ตอนแรกผมก็คิดว่าคุณนั้นต้องการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่แหะ ดูท่าพวกคุณจะดูถูกศิลปินของประเทศผมมากเกินไป  ผอ.หวัง คราวหน้าหากราคายังต่ำแบบนี้อีก อย่าโทรมาบอกผมล่ะ เสียเวลาจริงๆ”


หลังจากพูดจบ ซูจิ้งได้ออกไปจากที่นี่ในทันที


ผอ.หวังเองก็ถึงกับตะลึง กับแค่รูปปั้นแต่ราคาถึงห้าล้านหยวน เขากลับบอกว่าราคาของมันยังต่ำได้ นี่ราคาของงานแกะสลักหินนี้สูงเท่าไหร่กันแน่


ในขณะเดียวกันเหล่าประชาชนที่ได้เห็นซูจิ้งในครั้งนี้ต่างตกตะลึงกันไปหมด พวกเขานั้นรู้สึกได้เลยว่าในครั้งนี้ซูจิ้งนั้นโกรธจริงๆจนทุกคนรู้สึกได้ในทันทีว่าราคาห้าล้านหยวนที่ชาวต่างชาติเสนอมาไม่ต่างจากการผายลม


และทุกคนต่างรู้กันแล้วว่างานชิ้นนี้ซูจิ้งนั้นนำมาไว้ในสวนแห่งนี้เพื่อเปิดโอกาสให้ชาวจีนทั่วไปได้เชยชมไม่ใช่สำหรับขายให้คนแบบนี้


อลันและแอนนาต่างก็แสดงท่าทีโง่งมออกมาและต่างมาหน้ากันแบบเลิกลั่ก พวกเขาไม่คิดว่าการเสนอเงินห้าล้านจะกลายเป็นเรื่องแบบนี้ไปได้


หากหมอนี่รู้มูลค่าที่แท้จริงล่ะก็แล้วเขายังนำมาวางทิ้งไว้ในสวนเล่นๆให้คนดาดๆมาดูแบบนี้อีกเนี่ยนะ


ผอ.หวังได้ทำการถูกงานแกะสลักหินอันต้นเหตุในทันทีก่อนจะพูดออกมาว่า “งานแกะสลักหินชิ้นนี้มีมูลค่าอย่างน้อยก็ห้าล้านหยวน


พวกเราควรจะเสริมการป้องกันให้ดูกว่านี้แล้วล่ะ พวกเขาจะทำยังไงหากอยู่ๆงานชิ้นนี้ได้รับความเสียหายหรือถูกขโมยไป” นึกได้ดังนั้นเขาก็โทรศัพท์ออกไปอยู่หลายครั้ง


ขณะเดียวกันคนหลายๆคนเองในตอนนี้ได้ถ่ายรูปและรีบอัพโหลดเข้าสู่อินเตอร์เน็ตในทันทีและเป็นที่สนใจในทันใด


“งานแกะสลักหินห้าล้านหยวนในสวนสาธารณะ”


“ชาวต่างชาติเสนอเงินห้าล้านหยวนเพื่อขอซื้อรูปปั้นในสวนเมืองจีน”


“สุดยอดรูปปั้น ณ ลานกิจกรรรมเมืองจงหยุน”


หัวข้อข่าวมากมายเกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตจนทำให้ชาวเน็ตตะลึงกันไปเลยทีเดียว


“โว้ว เรื่องจริงรึเปล่าเนี่ย ที่เขาว่ามีรูปปั้นราคาห้าล้านหยวนอยู่ในสวนสาธารณะน่ะ”


“ช่างสวยงามจริงๆ”


“ใช่ สวยมากๆ นี่สิงานศิลป์ของจริง”


“พูดได้อย่างเดียวว่าสุดยอดแห่งฝีมือ”


“ฉันได้ไปสวนฟางหลินเมื่อเช้าแล้วนะ และฉันเองก็ชอบรูปปั้นนี้มากเลย ฉันว่ามันสวยยิ่งกว่ารูปปั้นวีนัสแขนขาดนั่นซะอีก


แต่ที่ไม่น่าเชื่อที่สุดก็คือการที่งานศิลป์ล้ำค่าขนาดนั้นยังนำมาจัดแสดงกลางสวนในน้ำพุแบบนี้โดยไม่ยอมคุ้มกัน”


“ถ้างั้นคำถามก็คืองานศิลป์อันล้ำค่าแบบนี้ไปอยู่ในสวนสาธารณะเล็กๆแบบนี้ได้ยังไง”


“อืมมม ฉันว่าชื่อที่ตั้งมันคุ้นๆนะ”


ทันใดนั้น ชาวเน็ตก็ได้เห็นรูปภาพและวิดีโอของซูจิ้งที่กำลังยืนคุยอยู่กับชาวต่างชาติทุกคนก็ถึงกับหน้ามึนไปในทันที เป็นซูจิ้งอีกแล้วงั้นหรือเนี่ย


ถึงชายคนนี้จะถูกกล่าวขาญว่าเป็นเจ้าแห่งของขวัญ แต่การที่เขาจะนำของล้ำค่ามาประดับสวนสาธารณะแบบนี้ไม่เกินไปหน่อยรึไงกัน


แต่กับแฟนคลับของซูจิ้งนั้นกลับมีความสุขในทันทีที่รู้เรื่องนี้


“ฮ่าฮ่า เป็นพี่จิ้งเองสินะ”


“”ใช้รูปปั้นราคาห้าล้านหยวนมาประดับสวนสาธารณะ พี่จิ้งจะน่ากลัวไปไหนเนี่ย


“ฮ่าฮ่า ไอ้ชาวต่างชาติสองคนนั่นต้องการใช้เงินสองหมื่นหยวนมาซื้อสมบัติของพี่จิ้งเนี่ยนะ งี่เง่าชะมัด”


“พี่จิ้งนี่ก็สุดยอดจริงๆ จัดสวนเพื่อให้ประชาชนคนสามัญได้มีโอกาสดูของดีๆและเมินเฉยต่อคนต่างชาติที่เอะอะก็เอาเงินฟาดหัว”


แน่นอนว่าในเมื่อมีคนยินดีก็ต้องมีคนยินร้าย


“ถ้าเป็นฉันขายไปแล้วนะนั่น”


“ก็อีแค่รูปปั้น ต่อให้เป็นงานศิลป์ก็ราคาสูงไปแล้ว”


“ก็แค่อยากจะปั่นราคาล่ะน่า เดี๋ยวก็ขายไม่ได้เองน่ะแหล่ะ”


“ฉันก็ว่าอย่างนั้นนะ ก็แค่การปั่นราคา”


“อย่าคิดว่าคนอื่นโง่เง่านะ บางทีทำอย่างนี้มันก็น่ารำคาญเกินไป”


 


“ผอ.ส่วนอำนวยการกลางของลานกิจกรรมและสวนฟางหลินออกข่าวอยู่แน่ะ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้วิ่งเข้าไปในสำนักงานแห่งหนึ่งพร้อมตะโกนออกมา


“เกิดอะไรขึ้น” ผอ.สำนักงานโยธาได้ถามออกมาด้วยความงุนงงในทันที ก็อีแค่ชาวต่างชาติสองคนขอซื้อรูปปั้นด้วยเงินสองหมื่นหยวนนี่ถึงกับเป็นข่าวเลยหรอ


อย่างไรก็ตาม ผอ.จ้าวก็ถึงกับตกตะลึงในทันทีเมื่อทราบว่าราคาของงานแกะสลักหินนั้นพุ่งขึ้นไปอยู่ที่ห้าล้านหยวน


เขาได้รูปโทรหาผอ.หวังเพื่อที่จะให้เขาจัดเตรียมแผนป้องกันในทันที แต่ก็ช้าเกินไปเพราะผอ.หวังได้เตรียมการไปแล้ว


 


ณ สำนักงานของที่ว่าการเมือง กงหลิงหมิงได้เห็นข่าวและได้นิ่งไปนานสองนานเหมือนกัน


ณ สำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ หวังจ้าวที่เห็นข่าวก็ได้แต่มองด้วยสายตาโง่งม


โลกภายนอกในตอนนี้ต่างให้ความสนใจซูจิ้งอย่างมาก พวกเขาต่างก็งงใจกันจริงๆว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ไปปรับปรุงสวนสาธารณะแบบนั้นได้กัน


ใครจะไปคาดคิดว่าอยู่ๆก็จะกลายเป็นเรื่องทำเงินได้ขนาดนี้ นี่คือเขาหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมดเลยงั้นหรือเนี่ย


GGS:บทที่ 881 ลือลั่น


 


ในห้องห้องหนึ่ง ได้มีงานแกะสลักไม้ไผ่วางกองอยู่ที่มุมห้อง มีชายแก่คนหนึ่งกำลังถืองานแกะสลักไม้ไผ่ขึ้นมาดูอย่างดื่มด่ำและสบายอารมณ์


ทันใดนั้นประตูห้องได้ถูกเปิดออกในทันทีพร้อมเด็กสาวที่มีกระอยู่บนใบหน้าได้พุ่งเข้ามาและพูดด้วยเสียงดังก้องว่า “ครูคะ มีบางอย่างเกิดขึ้นค่ะ”


“ตกใจหมดเลยไอ้เด็กนี่” ชายแก่ถึงกับดุด่าออกมาเพราะเขานั้นตกใจจนหัวใจเกือบหยุดเต้นจริงๆ


“ขอโทษค่ะ” เด็กสาวหน้ากระได้แลบลิ้นออกมาอย่างน่าตบหัวสักทีก่อนจะพูดออกมาว่า “แต่มีเรื่องเกิดขึ้นจริงๆนะคะ”


“เกิดอะไรขึ้น” ชายแก่ถามออกมา


“หนูไม่แน่ใจค่ะ ครูดูด้วยตัวเองดีกว่า” สาวหน้ากระได้ส่งโทรศัพท์มือถือของเธอให้ชายแก่ดู มันเป็นข่าวที่ว่างานแกะสลักหินในสวนฟางหลินในลานกิจกรรมเมืองจงหยุนนั้นถูกเสนอซื้อด้วยราคาสูงริบลิ่ว


ชายแก่ได้เลื่อนข่าวเพื่อดูเนื้อหาดู ทันทีที่เขาได้เห็นรูปปั้น สายตาของเขานั้นเบิกกว้างในทันที นั่นก็เพราะว่ารูปมันชัดมากจนเห็นได้ยันรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเลยทีเดียว


“พระเจ้า” ชายแก่ลุกขึ้นยืนพร้อมทั้งอุทานออกมา มือของเขากำโทรศัพท์แน่น สายตาของเขาจับจ้องไปยังรูปราวกับว่ากำลังคัดลอกรายละเอียดไว้ในหัวสมองก็ไม่ปาน


และเขาทำท่าตื่นเต้นก่อนจะพูดออกมาว่า “สมบูรณ์แบบ ช่างเป็นงานที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ทำไมงานดีๆแบบนี้ถึงได้ไปอยู่ในสวนได้กัน” พูดจบทันใดนั้นเขาก็ได้เหลือบไปเห็นซื่อของซูจื้งแวบหนึ่งทำให้ชายแก่คนนั้นมึนตึงในทันที ก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “เป็นซูจิ้งอีกแล้วรึ”


 


ชายแก่คนนี้คือเต๋าฉินซูคนที่เคยช่วยซูจิ้งซ่อมแซมเก้าอี้นั่งไฮ่หนานเอาไว้ครั้งหนึ่ง โดยแลกกับการที่ซูจิ้งต้องมอบไม้ไผ่ดำให้ ต่อให้ทั้งสองได้มีโอกาสเจอหน้ากันอีกครั้งในงานเปิดตัวพิพิธภัณฑ์ของผู้อาวุโสซี่


ในวันนั้นเขาได้ตกตะลึงกับงานแกะสลักหินมีชีวิตมาแล้ว เขาเองก็ไม่คิดว่าซูจิ้งนั้นยังจะสร้างเรื่องโดยการนำงานแกะสลักหินมาไว้ในสวนสาธารณะแบบนี้อีก


หากว่านี่เป็นความจริงล่ะก็ งานชิ้นที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณธ์นั้นย่อมดูดีกว่า แต่งานชิ้นนี้เองก็สวยงามจนทำให้สวนฟางหลินสมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ หาเทียบกันแล้ว


เต๋าฉินซูเองก็ได้คิดว่างานที่สวนนี้ต่อให้งานแกะสลักหินชิ้นที่สวนฟางหลินแม้จะไม่ได้ดูมีชีวิตชีวา แต่กลับรู้สึกงามตากว่าจนงานแกะสลักที่มีชีวิตชิ้นนั้นก็ยังเทียบไม่ได้เลย


“ไปที่สวนฟางหลินกัน” เต๋าฉินซู่วางงานแกะไม้ไผ่ของเขาลงในทันทีและพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ได้ค่ะ หนูจะลองไปคุยกับศิษย์พี่ให้ขับรถให้นะ” สาวหน้ากระได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


เธอเองนั้นก็เริ่มคิดว่างานแกะสลักเหล่านี้เริ่มหน้าเบื่อแล้วเหมือนกัน หากเธอได้เห็นงานแกะสลักที่ราคาทะยานฟ้าชิ้นนั้นก็คงไม่เลวเลย


 


ในสตูดิโอแห่งหนึ่ง มีชายคนหนึ่งอายุประมาณ 40-50 ปีกำลังแกะสลักหินอ่อนอยู่ ถึงแม้ว่าจะพึ่งแกะสลักไปได้เพียงครึ่งเดียวแต่ก็สามารถมองออกได้ว่างานแกะสลักหินอ่อนชิ้นนี้คือม้าที่มีลายเส้นที่นุ่มมือ และผิวพรรณอันสวยงามกำลังทำท่าวิ่งอยู่


“ครูครับ มีข่าวใหญ่ครับ” ชายหนุ่มคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยที่ทีกระหืดกระหอม


“เกิดอะไรขึ้น” ชายวัยกลางคนที่กำลังแกะสลักอยู่นั้นไม่ได้หันหลังกลับไปดูแต่อย่างใด เขายังคงจับจ้องไปที่ผลงานของตัวเองที่อยู่ตรงหน้า


“ดูนี่สิครับ” ชายหนุ่มได้ส่งโทรศัพท์มือถือให้ชายแก่ แน่นอนว่านั่นคือข่าวที่มีภาพของรูปปั้นในสวนฟางหลิน


ในตอนแรกชายวัยกลางคนแค่เหลือบมองเท่านั้น แต่ทันทีที่หางตาเห็นภาพ เขาต้องหันควับไปดูพร้อมหนังตาที่กระตุกจนร้อนผ่าว เพียงไม่นานนัก ใบหน้าของเขาก็แสดงสีหน้าตกตะลึงจนหน้าเปลี่ยนสีเลยทีเดียว


ชายคนนี้คือเจียงซีเซีย หนึ่งในช่างแกะสลักหินที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งของจีน เขานั้นมีชื่อเสียงยิ่งกว่าเต๋าฉินซู่เสียอีก


ยิ่งไปกว่านั้นเขานั้นยังมีฝีมือในงานแกะสลักหินอ่อนเป็นพิเศษ แน่นอนว่ากับเรื่องนี้แล้วย่อมไม่มีใครเทียบเคียบเขาได้ นี่คือสิ่งที่เขาเชื่อมาตลอดจนมาได้เห็นรูปถ่ายนี้


เขายิ่งดูด้วยความใจจดใจจ่อ ยิ่งจ้องมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น


“รูปนี่ถ่ายจากที่ไหนกัน” เจียงจิเซียพูดออกมาอย่างตื่นเต้น


“สวนฟางหลินที่อยู่ในลานกิจกรรมเมืองจงหยุนครับ” ชายหนุ่มพูดออกมา


“เราไปที่นั่นกัน” เจียงจิเซียรูปโยนเครื่องมือในมือทิ้งและรีบตรงไปยังสวนฟางหลินในทันที


 


ในขณะเดียวกันชาวเน็ตทั้งหลายที่เห็นข่าวและภาพนี้ต่างก็ต้องการไปเห็นกับตาตัวเองทั้งนั้น ด้วยงานสลักสาวงามที่สุดแสนจะงดงามแบบนี้ ไม่มีใครที่ไม่อยากจะเห็นด้วยตาตัวเองอยู่แล้ว


ในตอนนี้ที่สวนฟางหลินเต็มไปด้วยผู้คน แน่นอนว่ารวมถึงเต๋าฉินซู่และเจียงซิเซียด้วยเช่นเดียวกัน


นอกจากนั้นยังมีเหล่าศิลปินอีกมากหน้าหลายตาที่พยายามดันตัวเองไปจนอยู่แถวหน้า แน่นอนว่าสถานการณ์นี้ช่างโกลาหลจนชวนตกตะลึง


มีศิลปินบางคนทำท่าจะลงน้ำข้ามไปหางานแกะสลักนางฟ้าเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่ติดว่ามี รปภ. ที่ผอ.หวังให้มาคอยดูล่ะก็คงจะข้ามไปเรียบร้อยแล้ว


“พระเจ้า ใครเป็นคนแกะสลักงานนี้กัน” เจียงซิเซียได้ตกตะลึงทันทีที่เห็นงานแกะสลักนี้กับตา


“เยี่ยม คุณเจียงมานี่ก็ดีแล้ว งานชิ้นนี้ใช่งานของคุณรึเปล่า ครั้งล่าสุดที่ได้ยินเรื่องของคุณได้ข่าวว่าใกล้บรรลุขั้นได้แล้วนี่” เต๋าฉินซูพูดทักออกมาโดยอยู่ไม่ไกลจากเจียงซิเซียนัก


“คุณเต๋าเองก็มาที่นี่ด้วยหรือเนี่ย ผลงานชั้นเลิศเช่นนี้จะเป็นของผมได้เช่นไรกันเล่า งานชิ้นนี้เลิศเลอระดับที่แม้แต่ผมเองก็ย่างเข้าไม่ถึงแม้แต่ปลายก้อยเลยด้วยซ้ำ ” เจียงซิเซียส่ายหัวและพูดออกมา


“งั้นเป็นงานของใครกัน” ชายแก่อีกคนที่อยู่ใกล้ๆได้เอ่ยถามออกมา


“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน คงมีเพียงซูจิ้งเท่านั้นแหล่ะที่รู้” เต๋าฉินจูหยุดคิดสักพักก่อนที่จะอธิบายต่อว่า “คุณเองก็น่าจะพอจำได้อยู่มั้ง


 


เมื่อไม่นานมานี้ที่โรงประมูลห้วงเวลาและกาลอวกาศได้ทำการประมูลรูปปั้นเหมือนมีชีวิต ครั้งนั้นเองก็มีซูจิ้งเป็นคนหามา และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมคิดว่าซูจิ้งน่าจะเป็นปรมาจารย์คนหนึ่งที่อยากจะเก็บงำฝีมือเอาไว้”


“เป็นไปได้” เหล่าศิลปินพยักหน้ายอมรับแนวคิดนี้กันหมดทุกคน


ในตอนนี้เหล่านักเก็บสะสมเองก็ได้เข้ามา และเมื่อหันไปเห็นงานแกะสลักหินตัวที่เป็นประเด็นพวกเขาก็แทบจะตะโกนถามราคาในทันใด


ในขณะนั้นเมื่อทุกคนเหลือบไปเห็นเหล่าศิลปินชั้นยอดทุกคนต่างก็นิ่งสงบในทันทีพวกเขากำลังคิดอยู่ว่าต้องรีบเคลื่อนไหวก่อนที่จะถูกตัดหน้า


แต่พวกเขาไม่มีวิธีติดต่อซูจิ้งจึงได้ เมื่อทุกคนได้เห็นผอ.หวังจึงรีบเสนอราคาเพื่อให้เขาติดต่อซูจิ้งแทน ผอ.หวังตอนนี้กลายเป็นช่องทางเพียงหนึ่งเดียวที่ทุกคนจะหวังพึ่งได้ในครั้งนี้


“ในอ้อมแขนของฉันนนนน ในสายตาของเธออออออ เมื่อลมหายใจแห่งฤดูใบไม้ผลิอันบริสุทธิ์ ที่ใดกันเล่าที่มีหญ้าเขียวววววว….”


ซูจิ้งที่อยู่บ้านในตอนนี้ได้ยินเสียงโทรศัพท์ของตัวเองดังขึ้น เมื่อเขาหยิบโทรศัพท์มาดูก็พบว่าเป็นผอ.หวัง เขาอดยิ้มออกมาไม่ได้และรีบรับโทรศัพท์มาในทันที


“คุณซูครับ มีคนเสนอราคามาที่แปดล้านหยวน คุณจะมารึเปล่าครับ” ผอ.หวังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“ผมบอกแล้วนี่ครับว่าถ้าเสนอราคาต่ำๆมาอย่าได้มากวนผม มันเสียเวลา” ซูจิ้งแสร้งทำเป็นบ่นออกมา


“แปดล้านยังน้อยไปหรือครับ” สายตาของผอ.หวังแข็งค้างในทันที


“ต่ำไปมากเลยครับ” ซูจิ้งพูดออกมา


ผอ.หวังทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่วางสายไป หลังจากนั้นสักพัก ผอ.หวังได้โทรมาอีกครั้งหนึ่ง


“คุณซู มีคนเสนอมาที่สิบล้านหยวน หลังจากนั้นก็มีคนเสนอมาที่สิบสามล้านหยวน แล้วก่อนที่ผมจะตัดสินใจโทรมามีคนหนึ่งตะโกนมาที่ยี่สิบล้านหยวนครับ”


“ต่ำไปครับ”


“เอ่ออออ คุณซูคุณอาจได้ยินผมไม่ชัดนะ เขาเสนอมาที่ยี่สิบล้านหยวนครับ”


“ผมได้ยินชัดดีครับ และราคานี้ก็ยังต่ำไป”


“…..” ผอ.หวังได้แต่นิ่งอึ้งไป หากราคายี่สิบล้านยังถือว่าต่ำเกินไปแล้วล่ะก็ ทำไมเขาช่างมั่นใจในเรื่องราคาได้มากขนาดนี้กัน


หากคิดถึงราคาแรกที่ถูกเสนอมาที่สองหมื่นหยวนนั้น ช่างเป็นช่องว่างที่ห่างกันมากนัก นี่ทำให้เขาต้องถามออกมาว่า “ราคาเท่าไหร่ที่คุณต้องการขายหรือครับคุณซู”


“อย่างที่ผมบอกไว้กับชาวต่างชาตินั่นแหล่ะครับ รูปปั้นชิ้นนี้ผมวางไว้ในสวนฟางหลินนั้นเพียงให้ทุกคนได้มีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกดื่มด่ำของอารมณ์ศิลป์อย่างแท้จริง ผมนั้นไม่ได้คิดจะขายแต่อย่างใด


หากมีใครสักคนมาเสนอราคาที่มากกว่าสองร้อยล้านหยวนล่ะก็ ผอ.หวังค่อยโทรมาบอกผมแล้วกัน หากเสนอน้อยกว่าสองร้อยล้านหยวนล่ะก็คุณไม่ต้องไปสนใจคนพวกนั้นหรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมา


ผอ.หวังเมื่อได้ยินดังนั้นก็หน้ามึนในทันที พลางคิดออกมาว่า สองร้อยล้านหยวนเนี่ยนะ


 


ข่าวของรูปปั้นประดับสวนที่มีการเสนอราคาไปแล้วกว่ายี่สิบล้านหยวนก็ยังไม่ขายออกไปนี้สร้างชื่อเสียงเลื่องลือไปอย่างมาก


แม้แต่อลันและแอนนา สองชาวต่างชาติที่เข้ามาเสนอราคาเป็นคนแรกเองที่กำลังหาวิธีได้รูปปั้นนี้มาก็ยังต้องประหลาดใจเมื่อเห็นราคาที่สูงขนาดนี้


แม้แต่ทางฝั่งอเมริการเองก็ยังกังวลเรื่องนี้เหมือนกันว่าราคาจะเกินกว่าที่พวกเขาจะรับได้ ไม่ทันไรก็มีข่าวว่าราคาสูงขึ้นไปอยู่ที่ห้าสิบล้านหยวนเรียบร้อยแล้ว


เรื่องนี้ยิ่งทำให้เป็นที่ลือลั่นในอินเตอร์เน็ตอย่างบ้าคลั่งราวกับน้ำที่กำลังเดือดดาล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)