Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 870-875
GGS:บทที่ 870 ตกตะลึง
“ห้ะ ผลออกมาแล้วเหรอ” หลี่เจิ้งที่ได้รับทราบผลที่คนขับรถรายงานเขามาผ่านทางโทรศัพท์แบบไม่น่าเชื่อจนต้องถามออกมาอีกครั้งเพื่อยืนยัน
“ใช่ครับ ตอนนี้พวกเขาน่าจะกำลังทดสอบซ้ำอีกสองครั้งด้วยกัน เพราะตอนแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ พวกเขาให้ผมรายงานให้ผอ.ทราบผลรอบแรกก่อนเพราะว่ากลัวผอ.จะรอไม่ไหว”
“แล้วผลทดสอบเป็นยังไง” หลี่เจิ้งถามออกมา
“ผลที่ทดสอบครั้งแรกที่ออกมาคือหลังจากเผาไหม้ใบยาสูบที่คุณให้มาทดสอบแล้ว ผลของสารพิษทั้งหมดเป็น 0 ถ้าจะมีก็มีสารพิษเพียงอย่างเดียวที่พอจะเป็นพิษต่อร่างกายได้ก็คือคาร์บอนมอนนอกไซด์
ในขณะเดียวกันใบยาสูบนี้กลับมีผลต่อการฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจ แถมผลดังกล่าวยังดีกว่าพวกสมุนไพรตำรับยาจีนอีกด้วย
คนที่ทดสอบเองก็ได้ยืนยันด้วยตัวเอง นี่หมายความว่ายาสูบชนิดนี้นอกจากไม่มีผลเสียต่อร่างกายแล้วยังเสริมสร้างร่างกายอีกด้วยครับ” คนขับรถได้พูดออกมา
“เป็นไปได้ยังไงกัน แล้วผลทดสอบซ้ำที่ว่าล่ะ” หลี่เจิ้งพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“สักครู่นะครับ อืมมม เขาผลทดสอบซ้ำอีกสองครั้งออกมาแล้ว ผลทดสอบยังคงเหมือนเดิมครับ” คนขับพูดออกมา
“ไม่จริงน่า น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” หลี่เจิ้งในตอนนี้ตื่นเต้นจนปากของเขาสั่นระรัวจนเห็นได้ชัด
ในขณะที่กำลังคุยอยู่นั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งแทรกเข้ามาจากฝั่งคนขับรถที่กำลังคุยกับเขาอยู่ เสียงนั้นดังมากจนจะเป็นการตะโกนเลยก็ว่าได้ว่า “ผอ.ครับ ใบยาสูบนี่สุดยอดเลยจริงๆ ผอ.ไปได้สมบัติแบบนี้มาจากไหนครับ มันไม่น่าใช่ของทางเราแน่นอนเพราะไอ้เจ้าพวกนั้นยังมัวงกๆทำอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอันอยู่เลย”
“จากเพื่อนน่ะ” หลี่เจิ้งพูดออกมา
“เพื่อนของผอ.สุดยอดจริงๆ ผมไม่รู้ว่าค่าใช้จ่ายในการปลูกนี้จะสูงรึเปล่า ถ้าไม่สูงล่ะก็ คราวนี้อุตสาหกรรมยาสูบของประเทศเรา ไม่สิ ของทั้งโลกต้องกลับตาลปัตรอย่างแน่นอน”
“ขอฉันคุยกับเขาก่อนแล้วกัน ตอนนี้ฉันยังไม่ได้คุยกับเขาเลย” หลี่เจิ้งวางสายก่อนที่จะรีบตรงไปหาซูจิ้งที่กำลังอยู่ท่ามกลางฝูงชนในทันที ก่อนที่เขาจะได้ถามอะไรออกมา หวังซวนจี้ได้ชิงตัดหน้าถามเขาก่อนว่า “ผลทดสอบเรียบร้อยแล้วรึ”
ซุนหยูเฮงที่ได้ยินดังนั้นถึงกับลุกขึ้นยืนในทันที แม้แต่หลี่เทียนเฮอ หวังซือหยา หวังจ้าว หวังจุ่น หวังเจิ้ง และคนอื่นๆเองก็หยุดพูดคุยกันเพื่อที่จะได้ยินผลการทดสอบได้ชัดๆ
ทุกคนต่างก็เชื่อกันว่าเรื่องอย่างการสารพิษที่เป็นของเสียต่อร่างกายนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ใบยาสูบแบบนั้นไม่ควรจะมีออกมา เต็มที่ก็ควรจะทำให้ผลเสียดังกล่าวลดลงไปเล็กน้อย เป็นซูจิ้งเองที่พูดเกินจริงไป
“หลังจากทดสอบแล้วก็เป็นไปอย่างที่คุณซูพูดออกมาจริงๆ ใบยาสูบนั้นไม่มีผลเสียต่อร่างกายแต่อย่างใด อีกทั้งมันยังมีผลช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจ
แถมผลดังกล่าวยังดีกว่าสมุนไพรยาจีนแบบเทียบกันไม่ได้อีก” หลี่เจิ้งพูดออกมา
ทุกคนที่ได้ยินต่างหันกันไปมองหน้ากันแบบเลิกลักพยายามถามคนอื่นว่าตัวเองฟังผิดไปรึเปล่า หวังเจิ้งเองก็ได้ถามออกมาว่า “ไม่มีผลเสียอะไรเลยหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน นิโคติน น้ำมันดิน ฟอร์มอลดิไฮด์อะไรพวกนั้นล่ะ”
“หากว่ามีสารอันตรายแบบบุหรี่ทั่วไป คุณซูคงไม่นำมามอบให้เป็นของขวัญจริงๆอย่างที่ว่า”
หลี่เจิ้งเว้นวรรคไว้ก่อนที่พูดต่อว่า “บุหรี่นี้ไม่ใช่เพียงบุหรี่ธรรมดาที่ลดสารพิษพวกนั้นเพียงเล็กน้อย แต่บุหรี่นี้ไม่มีสารพิษพวกนั้นเลยสักนิด”
เมื่อได้ยินดังนั้นผุ้คนโดยรอบต่างก็ตกใจจนสะดุ้งเฮีอก พวกเขาไม่มีทางเชื่อสิ่งที่พึ่งจะได้ยินเป็นอันขาด
หลังจากที่ ทุกคนหายตกใจแล้ว หลี่เจิ้งได้หันไปพูดกับซูจิ้งว่า “คุณซู ค่าใช้จ่ายในการปลูกใบยาสูบนี้สูงรึเปล่าครับ”
“ไม่สูงครับ อย่างน้อยๆก็ไม่เกินสองเท่าของต้นยาสูบทั่วไป” ซูจิ้งพูดออกมา
ซูจิ้งได้ปลูกต้นยาสูบเอาไว้จำนวนหนึ่งในสิ่งแวดล้อมเสมือนของสถานีห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขา และได้ลองเอาต้นหนึ่งมาปลูกในสภาพแวดล้อมปกติ
ปรากฏว่าเจ้าต้นนั้นโตได้เร็วมาก ตามคาดการณ์ของเขาแล้วอีกไม่นานคงสามารถปลูกเพื่อการขายได้จริงๆ ขนาดใบที่ไม่ได้ผ่านการบ่มก็ยังเหมาะกับการนำมาทำเป็นยาสูบเลย
“พระเจ้า” หลี่เจิ้งอุทานออกมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ซุนหยูเฮง หลี่เทียนเฮอ และคนอื่นๆเองที่ได้ยินต่างก็ตกใจจนลืมหายในไปแล้ว
ถ้าเป็นคนมีสมองสักนิดล่ะก็ คนๆนั้นก็สมควรจะรู้ว่าคำพูดนี้หมายถึงอะไร ใบยาสูบที่ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แถมยังฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจได้
ราคาโดยทั่วไปย่อมต้องสูงกว่าบุหรี่ทั่วไปอย่างน้อยๆก็สองเท่า ของราคาท้องตลาดอย่างไม่มีใครกล้าทัดทาน
ลองนึกดูว่าการที่ใบยาสูบยี่ห้ออื่นจะสู้ได้นั้น พวกเขาจะเป็นต้องสู้ด้วยการลดสารพิษ ลดราคา ลดคุณภาพการผลิต ไม่ว่าวิธีการไหนก็ตามก็ไม่สามารถสูดได้อย่างแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ทำให้คนหลายๆคนที่รู้เรื่องเกี่ยวกับอุตสาหกรรมและธุรกิจยาสูบดี ต่างก็หันไปมองซูจิ้งด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไป
ในตอนนี้หวังจ้าวและหวังซือหยาเข้าใจในที่สุดว่าทำไมซูจิ้งถึงได้มั่นใจนักมั่นใจหนา
ตั้งแต่แรกที่พวกเขาได้ฟังซูจิ้งว่าจะจัดตั้งบริษัทยาสูบแต่ถูกพวกเขาทัดทานไว้ทำให้เขานั้นเลือกที่จะไม่บอกว่ายาสูบของเขานั้นมีความพิเศษยังไง บอกเพียงแค่ว่ายังไม่ลองดูก็ไม่รู้ผลว่าจะเป็นยังไง
เอาจริงๆตั้งแต่แรกที่พวกเขาได้ยินความต้องการของซูจิ้ง พวกเขาก็ได้แต่คิดว่าซูจิ้งนั้นฝันกลางวันอยู่เลย ไม่มีทางที่พวกภาครัฐจะยอมผ่อนปลนกฎหมายของตัวเองเพียงเพื่อใบยาสูบของซูจิ้งอย่างแน่นอน
ถ้าซูจิ้งยอมขายใบยาสูบพวกนี้ให้กับองค์การยาสูบ ราคาที่ได้ก็สมควรจะได้มหาศาล คำพูดที่ว่าขอหมื่นล้านของซูจิ้งนั้นไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยสักนิด
เอาจริงๆบอกได้เลยว่าเป็นข้อเสนอที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินเลยทีเดียวเมื่อคิดว่าในระยะยาวแล้วใบยาสูบนี้จะสร้างเม็ดเงินให้กับคนที่ถือครองอยู่มากมายมหาศาลแค่ไหน
เพราะบุหรี่ที่ไม่ทำร้ายร่างกายแถมยังฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจแบบนี้คงไม่มีอยู่ในโลกนี้อีกแล้ว ไม่มีทางเลยที่ภาครัฐจะไม่สนใจใบยาสูบของซูจิ้งอย่างแน่นอน
“คุณซู คุณไม่ต้องการขายพันธุ์ยาสูบนี่จริงๆหรือครับ” หลี่เจิ้งถามออกมาอย่าจริงๆจัง
“ให้ผมบอกคุณตรงๆเลยก็แล้วกัน เอาจริงๆพันธุ์ยาสูบที่ผมได้มานี้มันก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับผมแม้แต่น้อย แต่กับคนอื่นไม่สิ อย่างน้อยก็กับคุณ คุณเองก็น่าจะเห็นแล้วว่ามันมีค่ามากแค่ไหน
หากผมไม่ได้สิ่งจูงใจมากพอผมก็แค่ปลูกมันไว้ที่บ้านแค่นั้นคุณก็ทำอะไรผมเรื่องนี้ไม่ได้อยู่แล้ว
คุณสามารถนำยาสูบนี้ไปเสนอให้คนในองค์การยาสูบและบริษัทของคุณไปลอง แล้วก็คิดดูก็ได้นะ เพราะข้อเสนอของผมนั้นช่างต่ำเตี้ยเรี่ยดินซะเหลือเกิน
เสร็จแล้วหากพวกคุณต้องการจะร่วมมือกันจริงๆเราค่อยมาคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะมอบใบยาสูบอีกชุดหนึ่งยื่นให้กับหลี่เจิ้ง
“ตกลง” เอาจริงๆหลี่เจิ้งนั้นอยากจะตบปากรับคำเสียตอนนี้เลยจริงๆ แต่ก็อย่างที่ซูจิ้งว่า เขานั้นไม่มีอำนาจพอในการตัดสินใจเรื่องนี้ได้จริงๆ
เขาจริงรีบรับสมบัติชิ้นนี้มาอย่างรวดเร็วและตั้งใจว่าจะรีบประชุมเหล่าผู้บริหารในทันทีที่เป็นไปได้
เขาเองอยากจะรีบคุยเรื่องนี้ก่อนที่งานเลี้ยงจะจบเลยด้วยซ้ำ คิดได้ดังนั้นเขารีบกล่าวลาหวังซวนจี้และหลี่เทียนเฮอแล้วออกไปจัดการเรื่องนี้ในทันที
ตอนที่ออกไปนั้นหลี่เจิ้งนั้นต้องการรีบจะรายงานเรื่องนี้ต่อพ่อของเขาให้ทราบโดยทันที เขาจึงรีบควักโทรศัพท์ออกมา แต่ด้วยการที่ตื่นเต้นมาก กว่าจะโทรไปหาพ่อของเขาได้ก็ตอนที่เกือบจะเดินถึงรถแล้ว
หลังจากที่ได้ยินการสนทนานี้ คนตระกูลซุนที่มาร่วมงานเลี้ยงต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด พวกเขานั้นพยายามยืนยันว่าตัวเองฟังไม่ผิดอยู่หลายหนจนพวกเขานั้นเชื่อได้ว่าเป็นเรื่องจริงทุกคนจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อรายงานเรื่องนี้ในทันที
“อาจิ้ง ไม่แปลกใจเลยที่นายต้องการเข้าสู่ธุรกิจยาสูบให้ได้ คราวนี้นายได้เจอช่องทางธุรกิจที่สุดจะมหัศจรรย์จริงๆ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อาจิ้ง นายไม่ลองคิดใหม่เกี่ยวกับการตั้งบริษัทยาสูบจริงๆเหรอ ถึงแม้ว่าการผลิตและขายยาสูบพวกนี้จะง่ายและได้กำไรเยอะก็จริง แถมดูถ้าแล้วจะขายได้ในราคาที่สูงด้วยก็ตาม
แต่ยังไงซะการก่อตั้งบริษัทยาสูบนี่ก็ยากพอดู ดีไม่ดีฉันกลัวว่ามันจะยากจนเกิดปัญหาด้วยซ้ำ และปัญหาเหล่านั้นอาจจะยากที่จะแก้ได้โดยง่ายด้วย” หวังซือหยาพูดออกมา
“เอาน่า ก็รอดูท่าทีของฝั่งนู้นไปก่อน ยังไงซะพี่หลี่เจิ้งเขาก็ไม่ได้เอากลับไปสูบเองอยู่แล้วนี่ เราก็แค่รอดูว่าองค์การยาสูบจะว่ายังไงบ้าง เสร็จแล้วค่อยว่ากันอีกที” ซูจิ้งพูดออกมา
“อาจิ้งเอ้ย เดี๋ยวเสร็จงานเลี้ยงแล้วมาคุยกันหน่อยนะ” หวังซวนจี้พูดออกมาในขณะที่ยังคงสูบยาสูบที่ซูจิ้งให้มาอย่างสบายอุรา
นี่ทำให้หวังจ้าวและหวังซือหยาที่เห็นนั้นถึงกับพูดไม่ออกแต่อย่างใด แต่กับหวังจุ่นและหวังเจิ้งนั้นกลับดูเคร่งขรึมกว่าปกติ ซูจิ้งเองก็สังเกตอะไรบางอย่างได้แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับแต่โดยดี
GGS:บทที่ 871 เตรียมการไว้หมดแล้ว
คืนนั้น กว่างานเลี้ยงจะเลิกก็ล่วงเลยไปจนถึงตอนสี่ทุ่มเข้าไปแล้ว แขกเหรื่อที่มาก็ค่อยๆทยอยกลับไปทีละคนสองคน
ซูจิ้งเองก็ไม่ได้กลับไปแต่อย่างใด เขาได้เดินตามหวังซวนจี้ หวังเจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา ไปยังที่ไหนสักที่ หวังจุ่นเองก็ได้เดินไปยังห้องหนึ่ง และมีบอดี้การ์ดสองคนคอยยืนเฝ้าระวังอยู่ข้างประตู
หวังซวนจี้พูดออกมาว่า “อาจิ้ง นายรู้รึเปล่าว่าฉันเรียกนายมาคุยเรื่องอะไร”
“น่าจะเป็นปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นจากใบยาสูบนี่ใช่รึเปล่าครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“ดูเหมือนว่านายเองก็เตรียมรับมือไว้แล้วเหมือนกันสินะ” หวังซวนจี้พยักหน้ารับก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า
“นายเองก็อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด ใบยาสูบของนายได้ถือได้ว่าดีสูงเทียมฟ้าเลยก็ว่าได้ นายเองก็สร้างช่องทางธุรกิจมากมายก่อนหน้านี้มาก็เยอะ
แต่ไม่มีอันไหนเลยที่เทียบได้กับช่องทางธุรกิจชิ้นนี้ได้เลยสักอย่าง เดียว ตราบใดที่นายถือครองสายพันธุ์ใบยาสูบนี้อยู่ล่ะก็อันตรายจะถาโถมเข้ามาอย่างแน่นอน
และหากนายไม่ยอมที่จะปล่อยมือจากสายพันธุ์จากใบยาสูบนี้ ฉันกลัวว่าจะมีแต่คนกดดันนายในทุกทาง จนต้องยอมปล่อยมือไป
แต่ไม่ว่านายนั้นจะตัดสินใจแบบไหน พวกเราตระกูลหวังนั้นจะสนับสนุนนายอย่างเต็มที่
แต่หากให้ฉันเสนอล่ะก็ ฉันขอเสนอเป็นให้นายยอมขายเมล็ดพันธุ์ให้กับประเทศ ซึ่งนอกจากจะหลีกเลี่ยงเรื่องอันตรายทั้งหลายแล้ว
เหตุนี้จะทำให้นายมีอนาคตไม่สิ้นสุด และอาจถึงขั้นกลายเป็นผู้กอบกู้ประเทศของเราเลยก็ได้”
ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าหวังซวนจี้นั้นรู้ดีว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง หากว่าเขานั้นไม่แข็งแกร่งพอก็อาจจะยื้อเรื่องนี้ไว้ไม่ได้นานนัก แถมยังถือได้ว่ามีความสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดเรื่องขึ้นได้สูงมาก
ซูจิ้งเองก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ถ้าไม่เข้าถ้ำเสือก็ไม่มีทางได้ลูกเสือหรอกครับ ผมก็รู้ดีว่าเรื่องนี้อันตรายอย่างที่สุด และยากเย็นเทียมฟ้า
แต่ผมเองก็อยากจะลองดูสักหน อย่างน้อยๆก็รอจนกว่าทางองค์การยาสูบจะตัดสินใจได้แล้วถึงตอนนั้นค่อยว่ากันอีกที”
แน่นอนว่าเขานั้นไม่เคยคิดอยู่แล้วว่าผอ.องค์การยาสูบอย่างหลี่เจิ้งนั้นจะมีอำนาจพอที่จะเปิดประตูหลังบ้านเพื่อให้เขาเข้าไปได้อย่างง่ายดาย
อย่างไรก็ตามหลี่เจิ้งก็เลือกที่จะนำเรื่องนี้ไปคุยตรงๆกับผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ เมื่อทั้งองค์การยาสูบและผู้บริหารบริษัทยาสูบรับรู้ถึงความสุดยอดของใบยาสูบนี้ แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมต้องเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน
ยิ่งพวกเขารู้ว่าใบยาสูบนี้สุดยอดแค่ไหน เขาเองก็จะสามารถคุยได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
“ในเมื่อนายนั้นตัดสินใจว่าจะลองดูทั้งๆที่มีความเสี่ยง ฉันเองก็คงจะไม่ห้ามนาย แต่หลังจากที่องค์การใบยาสูบตัดสินใจแล้วนั้น นายเองก็ต้องคิดดีๆก่อนทำอะไรล่ะ”
หวังซวนจี้พูดออกมาตามประสาคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานานนับแรมปี เขารู้อย่างกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะเกิดขึ้นดี
แต่จากการคำนวณด้วยวิถีแห่งใต้หล้าของซูจิ้งนั้น ใบยาสูบนี้จะไม่มีทางตกไปอยู่ในเมืองขององค์การใบยาสูบของรัฐอย่างแน่นอน แต่ยังไงซะเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
นั่นก็เพราะว่าต่อให้รวมพลังทั้งตระกูลหวังก็ไม่มีทางทัดทานอำนาจขององค์การยาสูบของรัฐและบริษัทยาสูบได้อยู่ดี
นั่นก็เพราะว่าเค้กชิ้นนี้ใหญ่เกินกว่าที่ภาครัฐจะยอมปล่อยให้ตระกูลใดสักตระกูลถือครองไว้ได้ หากถูกจับตาจากประเทศ ใครจะไปต่อกรไหวกัน
ถึงจะรู้ดีขนาดนั้นแต่ซูจิ้งนั้นก็ยังอยากลองดูสักตั้ง สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้มันยากเกินกว่าที่จะปล่อยวางออกไปได้โดยที่ยังไม่ได้ลองดูสักหน
บางทีในที่สุดแล้วเขาอาจจะได้รับประสบการณ์ที่เขานั้นอยากลองเจอมานานอย่างการเป็นลูกวัวเพิ่งคลอดแล้ววิ่งเข้าหาปากเสืออย่างไม่กลัวตายก็เป็นได้
“ผมเข้าใจแล้วครับ ผมเองก็ได้คาดการณ์เรื่องนี้ไว้แล้วเหมือนกัน” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ดี อ้อแล้วก็คืนนี้นายค้างที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน ฉันได้ให้แม่บ้านเตรียมห้องไว้ให้นายแล้ว” หวังซวนจี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ครับ” ซูจิ้งไม่เคยทัดทานความปรารถนาดีอยู่แล้ว นี่เองก็ถือเป็นการดีที่จะเชื่อมสายสัมพันธ์กับตระกูลหวัง
อีกอย่าง เขาเองก็ยังไม่เสร็จเรื่องที่เมืองหลวง หากตระกูลหวังไม่ชวนเขาค้างคืนเขาก็คงต้องไปหาโรงแรมนอนอยู่ดี
หลังจากที่ซูจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา เดินออกจากห้องหนังสือ หวังซวนจี้ได้หันไปพูดกับหวังจุ่นว่า “เจ้าส่งคนไปคุ้มกันครอบครัวและคนสนิทของเขาทั้งหมด”
หวังจุ่นพยักหน้ารับและได้รีบทำการยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรออกไปในทันที พวกเขารู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขานั่นก็หารู้ไม่ว่าพวกเขานั้นก็เป็นเพียงน้ำตาลไอซ์ซิ่งที่โรยด้วยหน้าเค้กอีกทีหนึ่ง
นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งได้เตรียมการก่อนมาที่นี่ไว้หมดแล้ว เทียบกับการเตรียมการของซูจิ้งแล้ว การสิ่งคนจำนวนเล็กน้อย ไม่สิต่อให้ส่งกองกำลังพิเศษไปก็ตาม เมื่อเทียบกับวิธีการของเขาแล้ว ไม่ต่างจากน้ำหยดลงหิน
หวังซวนจี้ยังพูดออกมาอีกว่า “จับตาดูความเคลื่อนไหวของทางองค์การยาสูบและบริษัทยาสูบเอาไว้ให้ดี หากมีอะไรไม่ชอบามาพากลให้รีบหยุดซูจิ้งไว้ทันที”
หวังเจิ้งได้พยักหน้ารับอย่าแข็งขัน เขานั้นคาดผลเอาไว้แล้วว่าอีกไม่กี่วันต่อให้ไม่จับตาดูพวกนั้นไว้ล่ะก็ ยังไงซะต้องมีใครสักคนหาทางติดต่อเข้ามาทางเขาอยู่แล้ว
สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือการที่ผู้มีอำนาจสูงสุดขององค์การยาสูบอย่างรัฐบาลจะลงมือด้วยตัวเอง
ภายใต้การนำของหวังจ้าว ซูจิ้งได้มาถึงห้องของเขาซึ่งอยู่ข้างๆห้องของหวังจ้าว หลังจากวุ่นมาทั้งวัน หวังจ้าวได้เดินกลับเข้าห้องเพื่ออาบน้ำและพักผ่อน
หลังจากซูจิ้งได้ปิดประตูไปแล้ว เขาได้หยิบโทรศัพท์เพื่อโทรไปคนจำนวนสี่คน
นะปลายสายในตอนนี้ ทั้งสี่คนล้วนแล้วแต่เป็นคนที่สามารถสั่นคลอนเมืองหลวงและประเทศนี้ได้อย่างง่ายดาย แม้แต่หวังซวนจี้เองหากรู้ว่าซูจิ้งโทรหาใครแล้ว เขาเองอาจจะตั้งถึงกับหน้าซีดและเกรงกลัวซูจิ้งเลยก็ได้
เมื่อซูจิ้งโทรคุยกับทั้งสี่คนเสร็จแล้ว เขาได้โทรหาซูฉือเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อย ไป๋ฮิตูได้ไปถึงตัวเธอเรียบร้อยแล้ว ตราบใดที่ไป๋ฮิตูอยู่เคียงข้าง ซูฉือจะไม่วันตกอยู่ในอันตรายใดๆอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม วิธีการนี้หาได้ยั่งยืนไม่ วิธีการนี้ก็เหมือนการบ่งหนองไม่เอาหนามออก การที่จะให้คนอย่างไป๋ฮิตูนั้นไปเสียเวลาคอยอารักขาเป็นบอดิการ์ดส่วนตัวแบบนี้ เขานั้นไม่มีทางยินยอมอยู่แล้ว มันน่าเสียดายเกินไป
เขาเองนั้นความจริงก็อยากจะช่วยเธอแปลงโฉมใบหน้าซะใหม่ให้รู้แล้วรู้รอดไป เอาชนิดที่เธอก็ยังจำตัวเองไม่ได้เลยก็ยังได้
แต่ว่ายังไงซะซูฉือนั้นไม่ได้ผิดอะไรเลยสักนิด แต่เป็นเจ้าซือหลงที่เป็นคนเริ่ม แล้วทำไมเธอจะต้องเป็นคนหนีราวกับเป็นคนผิดแบบนี้ไปได้ แล้วกลายเป็นคนผิดเชิดฉายอยู่ในสังคม เฉพาะเรื่องนี้เท่านั้นที่เขาไม่ยินยอม
ก่อนหน้านี้เขานั้นยังไม่พร้อมที่จะจัดการตระกูลจ้าวจึงจำเป็นที่จะต้องให้ซูฉือนั้นคอยวิ่งวุ่นหลบอย่างหวาดระแวง แต่ตอนนี้สถานการณ์ทุกอย่างนั้นเปลี่ยนไปแล้ว
หลังจากซูจิ้งเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าคำนวณทุกอย่างอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็ได้เข้าไปอาบน้ำและเอนกายนอนหลับอย่างสบายอารมณ์
เช้าวันถัดมา มีรถปอร์เช่คันหนึ่งได้มาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านตระกูลหวัง โดยชายร่างเพรียวบางก้าวลงมาจากรถ เขานั้นได้บอกชื่อของตัวเองต่อบอดี้การ์ดตรงหน้าประตู สักพักหวังหลี่ที่รู้เรื่องได้รีบมาก่อนใครเพื่อน
“พี่เจียง พี่มาที่นี่ทำไมกันล่ะ” หวังหลี่นั้นค่อนข้างเคารพคนตรงหน้าพอสมควร ถึงแม้ว่าตระกูลหวังไม่ใช่ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่ตระกูลเล็กกิ๊กก๊อกแต่อย่างใด
หวังหลี่เองก็ถือได้ว่ามีศักดิ์เป็นคุณชายคนหนึ่งเช่นเดียวกันและมีน้อยคนนักที่เขานั้นจะมองเห็นอยู่ในสายตา อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับสถานะของเจียงถิงหยวนที่อยู่ตรงหน้าแล้วยังถือได้ว่าห่างไกลนัก
นั่นก็เพราะว่าพ่อของชายหนุ่มร่างเพรียวคนนี้มีทั้งยศถาและบรรดาศักดิ์สูงอย่างมาก
และตัวเขาเองนั้นก็ยังมาความสามารถไม่น้อยไปกว่าผู้เป็นพ่อเลย สำหรับคนในอายุรุ่นราวคราวเดียวกันก็ถือได้ว่าเป็นยอดคนของรุ่นเลยก็ว่าได้
“ฉันมาหาพี่จิ้งน่ะ” เจียงถิงหยวนพูดออกมา
“พี่จิ้ง หมายถึงลุงสี่ของผมซูจิ้งน่ะหรอ” หวังลี่ถามออกไปด้วยความมึนงง
“ใช่” เจียงถิงหยวนพยักหน้ารับ
หวังหลี่ในตอนนี้แสดงสีหน้าออกมาด้วยความโง่งม เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไม่ใช่ว่าลุงสี่พึ่งเคยมาที่เมืองหลวงนี่ไม่ใช่หรอ แล้วทำไมเขาถึงได้รู้จักเจียงถิงหยวนได้กัน
ยิ่งไปกว่านั้นเจียงถิงหยวนเองก็แก่กว่าลุงสี่ของเขาอีกนี่นา สำหรับซูจิ้งแล้วสถานะของเขาในเมืองหลวงไม่น่าจะถือว่ามีอะไรเลยสักนิด
แล้วทำไมเจียงถิงหยวนถึงได้มาหาพร้อมแสดงความนอบน้อมถึงขนาดนี้กันได้ หวังหลี่ในตอนนี้ไม่เข้าใจจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เขาเองก็ทำได้แค่เพียงพูดออกไปด้วยความนอบน้อมว่า “เชิญเข้ามาก่อนครับ ผมขอไปเชิญลุงสี่ให้ออกมาหาอีกที” พูดเสร็จหวังหลี่ก็ได้เดินนำทางมายังห้องรับแขกแล้วให้เจียงถิงหยวนนั่งรอ
เสร็จแล้วหวังหลี่ ได้รีบไปตามซูจิ้งมาในทันที ระหว่างทางเขาได้พบหวังจ้าวที่พึ่งจะตื่นนอน เมื่อหวังจ้าวได้เห็นสภาพลุกลี้ลุกลนของหวังหลี่จึงได้ถามออกมาว่า “หลี่น้อยเกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมีท่าทีเร่งร้อนขนาดนี้เนี่ย”
“เจียงถิงหยวนมาหาลุงสี่ครับ แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาคุยเรื่องอะไรนะ” หวังหลี่รีบตอบออกมาในทันที
“นี่ปัญหาถึงกับมาเยือนถึงในบ้านเลยหรอเนี่ย” หวังจ้าวได้ขมวดคิ้วขึ้นมาในทันที พลางคิดว่านี่น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับพันธุ์ใบยาสูบของซูจิ้งแน่ๆ
แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดได้ว่ามีบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง นั่นก็เพราะว่าพ่อของเจียงถิงหนวนนั้นไม่น่าจะมีเอี่ยวในเรื่องนี้ได้
“เท่าที่ดูผมว่าเขาน่าจะมาหาเป็นการส่วนตัวนะ เพราะว่าเจียงถิงหยวนนั้นดูเหมือนว่าจะนอบน้อมต่อลุงสี่ไม่น้อยเลยทีเดียวตอนที่เขาถามหาลุงสี่เมื่อกี้นี้ เขายังเรียกลุงสี่ว่าพี่จิ้งด้วยนะ” หวังลี่พูดออกมา
“พี่จิ้ง? ไม่ใช่ว่าเขานั้นแก่กว่าอาจิ้งไม่ใช่รึ” หวังจ้าวยิ่งฟังยิ่งรู้สึกแปลกใจพิกล เขานั้นเงียบไปนานก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“น่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เข้าไปลากลุงสี่ของแกให้ลุกขึ้นแล้วให้เขารีบไปพบเจียงถิงหยวนซะ ฉันเองจะไปรับหน้าไว้ก่อน”
GGS:บทที่ 872 แค่เป็นธุระให้น่ะ
“ไม่ต้อง ฉันตื่นแล้ว” ทันทีที่หวังหลี่เตรียมจะพุ่งไปยังห้องซูจิ้งเพื่อปลุกเขาออกมาตามที่หวังจ้าวบอกเขาไว้เพื่อให้ซูจิ้งรีบไปพบกับเจียงถิงหยวนนั้น
เสียงของซูจิ้งได้ดังออกมาจากมุมทางเดินเชื่อม ไม่นานนักทั้งสองคนก็ได้เห็นซูจิ้งที่กำลังเดินออกมาโดยไม่มีท่าทีแยแสต่อสิ่งใด
“อาจิ้ง มาพอดีเลย นายไปรู้จักเจียงถิงหยวนได้ยังไงกัน” หวังจ้าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เรื่องมันยาวน่ะ เอาไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้ทีหลังก็แล้วกัน ตอนนี้ขอฉันออกไปรับแขกก่อนนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสามจึงได้เดินไปยังห้องโถงด้วยกัน เมื่อไปถึง เจียงถิงหยวนเองเมื่อเห็นซูจิ้งก็ได้รีบลุกขึ้นยืนตัวตรงในทันทีที่เห็นเขา แล้วกล่าวทักทายด้วยเสียดังฟังชัดว่า “สวัสดีครับพี่จิ้ง”
หวังจ้าวถึงกับหันควับไปมองหน้าซูจิ้งในทันทีที่เห็นแบบนั้น เขานั้นรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างระหว่างสองคนนี้อย่างแน่นอน
จากน้ำเสียงที่ฟังเองก็เป็นความเคารพมากกว่านอบน้อมซะอีก ถึงแม้จะเห็นด้วยตาตัวเองแล้วแต่ก็ยากที่จะยอมรับไว้ได้
“นั่งลงได้ ไม่ต้องพิธีรีตรองหรอก” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้ครับ” เจียงถิงหยวนเองถึงแม้จะรับปากแต่ก็ยังดูฝืนๆอยู่ดี
“คุณเจียงมาที่นี่ด้วยเหตุผลอะไรหรือครับ” หวังจ้าวถามออกมา เขานั้นอยากจะฟังด้วยหูตัวเองจริงๆว่าเขามาด้วยเรื่องของพันธุ์ยาสูบรึเปล่า มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าต่อหน้าเจียงถิงหยวนผู้นี้ที่เคารพ แต่ลับหลังไม่รู้ว่าเขานั้นคิดอะไรอยุ่กันแน่
“พี่จิ้งเรียกฉันให้มาหาน่ะ ฉันก็แค่ทำตามแค่นั้นเอง” เจียงถิงหยวนได้พูดออกมา
“………………………” หลังจากเห็นท่าทางและฟังคำพูดของเจียงถิงหยวนแล้วว่าเขานั้นมาเพียงเพราะซูจิ้งบอกให้มา หวังจ้าวและหวังหลี่ถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีก
เจียงถิงหยวนนั้นเป็นที่นิยมอย่างมากกับสาวๆในเมืองหลวง แทบจะบอกได้ว่าไม่มีใครไม่รู้จักเขาเลยก็ว่าได้ แล้วทำไมเขากลับทำท่าเหมือนเป็นน้องชายของซูจิ้งได้กัน
“พี่จ้าวและหลี่น้อย ปล่อยให้ฉันคุยธุระเป็นการส่วนตัวกับคุณเจียงได้รึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมา
“งั้น…มีอะไรก็บอกฉันแล้วกัน” หวังจ้าวพยักหน้ารับก่อนที่จะออกไปพร้อมหวังหลี่ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ไปไกลพอแล้ว เจียงถิงหยวนได้หันหน้ามามองซูจิ้งก่อนที่จะคุกเข่าลงมานั่งชันเข่าหนึ่งค้างในทันทีก่อนจะพูดออกมาว่า “นายท่าน”
ซูจิ้งนั้นเคยได้พบเหล่าผู้ที่ถูกลูกศรทั้งห้าของสแตนด์ของเจียงจือหลงควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ ไป๋ฮิตู หลัวซือหลิน ตงเซีย ชิหยินฮ่าว ผู้ว่าการหู่ซิงหมิง และผู้แทนพรรคฯชิหยินเฮา
อย่างไรก็ตามตอนแรกนั้นเจียงจือหลงไม่ได้อยากจะยิงลูกศรไปยังเขาแต่เป็นเพื่อควบคุมพ่อของเขา
แต่เจียงถิงหยวนนั้นได้เผอิญมาเห็นเหตุการณ์จึงได้กระโดดเข้ามาขวางวิถีธนูอย่างกล้าหาญ ซึ่งเมื่อลูกธนูของเจียงจือหลงนั้นถูกยิงออกไปแล้วก็ไม่มีทางจะยั้งมือเอาไว้ได้
ยิ่งไปกว่านั้นผลจากลูกศรของสแตนด์ของเขานั้นคงทนถาวรไม่สามารถถอนผลของสแตนด์ไปได้จนกว่าจะตายจากกันไป
และด้วยเหตุที่ว่าเจียงถิงหยวนเป็ฯคนมีความสามารถดีเลิศ และมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุด ถ้ามองในระยะยาวแล้วก็ถือได้ว่าธนูที่เผลอใช้ออกไปนี้ก็ไม่ได้ไร้ค่าแต่อย่างใด
เพียงแต่ว่าเมื่อเกิดเหตุนี้แล้วเขาก็ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้นแค่นั้นเอง
“ยืนขึ้นได้ ต่อจากนี้อย่าได้ทำท่านอบน้อมหรือเคารพต่อฉันแบบนี้อีกในอนาคต” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” เจียงถิงหยวนรับคำและกลับมานั่งที่ของตัวเอง
“ผมจะให้คุณส่งข้อความต่อไปนี้ชนิดคำต่อคำให้หน่อย ฟังให้ดีก่อนก็ได้” ซูจิ้งสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นคำสั่งจริง นั่นทำให้เจียงถิงหยวนนั้นรับฟังอย่างตั้งใจและไม่ตกหล่นแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าประโยคพวกนี้หาใช่คำพูดแต่อย่างใด แต่เป็นคำสั่งที่ต้องการสั่งใครบางคน
เจียงถิงหยวนนั้นได้จำคำพูดของซูจิ้งอย่างขึ้นใจก่อนที่จะรีบออกไปในทันที หวังจ้าวเองเห็นดังนั้นก็ได้ถามออกมาว่า “คุยเสร็จแล้วหรอ”
“อืม ก็แค่เรื่องเล็กน้อยน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ลุงสี่ครับ ลุงโคตรเจ๋งไปเลย ลุงไปรู้จักเจียงถิงหยวนได้ยังกันครับ แถมเขายังเคารพคุณซะขนาดนั้นอีก”
หวังหลี่ได้ถามออกมาอย่างเลื่อมใส ต่อให้เขานั้นสามารถเดินไปมาได้อย่างเฉิดฉายในเมืองหลวงได้ง่ายดายแค่ไหนแต่ก็ไม่สามารถเทียบเจียงถิงหยวนได้อย่างแน่นอน
แต่กลับกัน ซูจิ้งเพียงมาถึงก็ได้รับความเคารพจากเจียงถิงหยวนจนต้องมากหาราวกับเป็นน้องชายที่เถิดทูนลูกพี่อย่างหมดหัวใจแบบนี้ หากเทียบกันแล้วสำหรับเขานั้นยังห่างชั้นนัก
ความรู้สึกของเขาที่มีต่อซูจิ้งในตอนนี้ก็คือซูจิ้งจะต้องเป็นคุณชายลับของตระกูลใหญ่ตระกูลไหนสักตระกูลที่เคยอยู่เมืองหลวงในตอนเด็กๆแล้วต้องระเห็ดไปอยู่เมืองจงหยุนอย่างแน่นอน
“ก็แค่เขานั้นติดหนี้ชีวิตฉันนิดหน่อยน่ะ เขาก็เลยค่อนข้างจะเคารพและนอบน้อมฉันแต่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มบางๆ
คำพูดของซูจิ้งที่ต้องการฝากเจียงถิงหยวนไปบอกนั้นมีเป้าหมายอยู่สองที่
ที่แรก เจียงถิงหยวนได้ขับรถตรงไปยังบ้านตระกูลจ้าวและจอดรถหน้าประตูแบบกระชากเครื่อง เมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ประตูเห็นเขาก็ได้รีบแจ้งให้คนในบ้านทราบในทันที
หลังจากนั้นไม่นานจ้าวซือเฟิงได้ออกมาพบด้วยตัวเอง ทั้งจ้าวซือเฟิงและเจียงถิงหยวนนั้นต่างก็เป็นคุณชายแห่งเมืองหลวงรุ่นเดียวกัน พวกเขานั้นก็เคยพบกันเมื่อนานมาแล้ว
เอาจริงๆหากจะบอกว่าจ้าวซือเฟิงเป็นคุณชายรุ่นเดียวกันล่ะก็ ตัวเขานั้นคงเทียบอะไรกับเจียงถิงหยวนเลยสักน้อยนิด
“พี่เจียง เชิญเข้ามาก่อนสิครับ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ด้วยความยินดีครับ พี่จ้าว” เจียงถิงหยวนเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเดินตามจ้าวซือเฟิงเข้าไปในบ้าน
“พี่เจียงนี่ช่างเป็นคนหนุ่มที่เฉิดฉายจริงๆ” จ้าวซือเฟิงกล่าวยกยอออกมในขณะที่พาเจียงถิงหยวนเข้าไปในบ้านพร้อมรอยยิ้มประจบประแจง
“ไหนไหนก็ไหนไหนแล้ว ฉันขอพูดออกมาเลยดีกว่านะ” เจียงถิงหยวนนั้นได้หยุดก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“พี่จ้าว อย่าว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ พอดีฉันรับฝากข้อความจากใครบางคนมา แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่าฉันแค่รับฝากมาจริงๆ ไม่ได้คิดร้ายกับพี่เลยแม้แต่น้อย”
“จากใครกัน” จ้าวซือเฟิงขมวดคิ้วและหรี่ตาลงไปเล็กน้อย การที่คนระดับเจียงถิงหยวนต้องมาด้วยตัวเองแบบนี้แสดงว่าคนๆนั้นสมควรจะไม่ธรรมดา
“ซูจิ้ง” เจียงถิงหยวนพูดออกมา
“ซูจิ้งงั้นเหรอ ซูจิ้งจากเมืองจงหยุนน่ะนะ” เมื่อได้นินชื่อนี้จ้าวซือเฟิงตกใจมากจนต้องถามย้ำออกมา
“ใช่” เจียงถิงหยวนพยักหน้ารับ
“พี่เจียงมีความสัมพันธ์แบบไหนกับซูจิ้งกัน” จ้าวซือเฟิงรู้สึกทำใจอยากจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า ทำไมซูจิ้งถึงรู้จักเจียงถิงหยวนได้กัน
ต่อให้รู้จักกันจริงก็สมควรเป็นเจียงเถิงหยวนช่วยซูจิ้งไว้ไม่ใช่ความรู้สึกที่ว่าเจียงถิงหยวนเป็นหนี้บุญคุณซิ้งแบบนี้
“ในครั้งนี้ฉันมาเป็นคนส่งข่าวให้พี่จิ้งเขาเฉยๆน่ะ งั้นก็เอาให้รีบจบแล้วกันฉันจะได้ไปต่อ”
หลังจากได้ให้สภาพจริงจังของเจียงถิงหยวนแล้ว จ้าวซือเฟิงรู้สึกได้เลยว่ามืดแปดด้านในทันที ทำไมซูจิ้งถึงได้มีแบ็คใหญ่ขนาดนี้ได้กัน
จ้าวซือเฟิงเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ซูจิ้งฝากบอกอะไรมากัน”
“เรื่องอะไรผ่านไปแล้วก็ขอให้เลยผ่านไป คนจะเป็นหรือตายก็ช่าง อย่าได้ตามกัดไม่ปล่อยแบบนี้อีก
ยังไงซะตัวนายเองก็รู้ดีว่าใครถูกใครผิด ถ้าอยากจะจบเรื่องนี้จริงๆล่ะก็สำหรับฝั่งนายนั้นน่าจะจบไม่สวยล่ะนะ” เจียงถิงหยวนถ่ายทอดคำพูดของซูจิ้งออกมาทุกประโยค ทุกตัวอักษร
เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวซือเฟิงถึงกับตัวแข็งทื่อในทันที และใบหน้าของเขาเองก็เปลี่ยนไปอย่างหน้ากลัว
เขาเข้าใจความหมายของคำพูดของซูจิ้งที่ฝากมาในทันทีว่าต้องการจะสื่ออะไร ซูฉือ ต้องเป็นซูฉืออย่างแน่นอน
นอกจากนั้นแค่ข้อความนี้เพียงไม่กี่ประโยคแต่เต็มไปด้วยข้อมูลมหาศาล
อย่างแรกซูจิ้งรู้อยู่แล้วว่าซูฉือนั้นยังไม่ตาย ดีไม่ดีเขาเองเป็นคนจัดฉากให้เธอเสียดายซ้ำ
อย่างที่สอง ซูจิ้งที่ถือได้ว่าอยู่นอกสายตาของตระกูลจ้าวได้กระโดดเข้ามาร่วมลงด้วยตัวเอง
พร้อมทั้งประกาศเป็นศัตรุกับตระกูลจ้าวโดยไม่สนหน้าอินหน้าพรหมแต่อย่างใด นี่หมายความว่าเขานั้นไม่เคยเห็นตระกูลจ้าวอยู่ในสายตา
อย่างที่สาม ตระกูลจ้าวของเขานั้นตอนนี้กำลังตกเป็นข่าวอยู่
แต่เจียงถิงหยวนกับพูดออกมาได้ด้วยเหมือนรู้รายละเอียดแทบจะทั้งหมด ต่อให้เขานั้นเป็นแค่คนส่งข้อความ แต่การที่ทำให้เขาต้องมาส่งข้อความแบบนี้แสดงว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่เรื่องเล่นสำหรับตระกูลจ้าวอีกต่อไป
จ้าวซือเฟิงในตอนนี้แทบอยากจะกระอักเลือดออกมาจากมุมปาก เขานั้นไม่สามารถเก็บความแค้นเคืองเอาไว้ในใจได้อีกต่อไป
เขานั้นที่ให้คนคอยติดตามซูจิ้งแต่ต้นนั้นเพียงแค่ต้องการสืบความลับทางธุรกิจของเขา แต่เขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้เขากลับต้องโดนขู่เข็ญและยอมรับไว้แต่โดยดีอย่างนี้น่ะเหรอ
“จ้าวซือเฟิง นายจะทำอะไรก็คิดดีๆก่อนนะ” เจียงถิงหยวนนั้นเมื่อเห็นสภาพจ้าวซือเฟิงในตอนนี้เขาเองก็ทำการเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชาสุดหยั่ง
“ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่านาย..เจียงถิงหยวน จะยอมลดตัวมารับใช้คนอื่นแบบนี้ ช่างเป็นผุ้รับใช้ที่แข็งแกร่งจริงๆ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
อย่างไรก็ตามถึงแม้มันจะฟังดูน่าขันหรือประชดประชันก็ยากที่จะรู้ได้ แต่ที่แน่ๆในตอนนี้เขานั้นต้องเพ่งเล็งไปยังซูจิ้ง คุณชายสี่แห่งตระกูลหวัง คนที่ทำให้เจียงถิงหยวนกลายเป็นคนส่งข้อความแบบนี้ได้
พ่อของเจียงถิงหยวนนั้นเป็นถึงประธานศาลสูงสุดเลยนะ เขานั้นจะกล้าเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ได้ยังไงกัน
“ไม่ต้องไปส่งนะ ฉันออกไปเองได้” พูดจบ เจียงถิงหยวนก็ได้หันกลับไปและเดินออกไปอย่างช้าๆโดยมีจ้าวซือเฟิงมองตามหลังไปติดๆโดยมีใบหน้าที่แสดงออกมาด้วยสีหน้าน่ารังเกียจ
GGS:บทที่ 873 เกินไป
จ้าวซือเฟิงนั่งหน้านิ้วคิ้วขมวดทำสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัวอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง จนพ่อของเขาจ้าวฮ่าวกลับมาบ้าน จ้าวซือเฟิงจึงได้บอกเกี่ยวกับข้อความที่ซูจิ้งฝากเจียงเถิงหยวนมาบอก
จ้าวฮ่าวได้ยินดังนั้นก็ทำหน้านิ่วน่าเกลียดน่ากลัวไม่ต่างกัน
“พ่อ เอาไงดี” จ้าวซือเฟิงถามออกมา
“จากข่าวที่ได้มาล่าสุดนั้น ซูจิ้งกำลังหาทางเข้าไปมีส่วนในธุรกิจยาสูบด้วนสายพันธุ์ยาสูบที่มีกลิ่นหอมชวนหลงใหลชนิดที่ไม่สายพันธุ์ในเทียบได้มาก่อนในโลก
อีกทั้งยังไม่มีผลเสียต่อร่างกายและยังช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิดใจ ตอนนี้องค์การยาสูบและผู้บริหารบริษัทยาสูบถึงกับอยู่กันไม่สุขเลยทีเดียว” จ้าวฮ่าวพูดออกมา
“เป็นซูจิ้งอีกแล้วงั้นเหรอ มันจะไปมีพันธุ์ยาสูบที่ดีขนาดนั้นในโลกนี้ได้ยังไงกัน” จ้าวซือเฟิงเองถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินในเรื่องนี้
“ตอนแรกพ่อเองก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้เหมือนแกนั่นแหละ แม้แต่คนในองค์การยาสูบและผู้บริหารของบริษัทยาสูบก็ไม่เชื่อเหมือนกัน
แต่หลังจากพวกนั้นทดสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าผลที่ได้ออกมาจนพวกนั้นมั่นใจจริงๆ ตอนนี้ทั้งสองฝั่งกำลังพูดคุยกันเรื่องที่ว่าจะทำยังไงถึงจะได้เมล็ดพันธุ์มาจากซูจิ้งให้ได้ ไอ้พวกนั้นนี่มัน…” จ้าวฮ่าวสบถออกมา
“ไอ้เด็กนี่มันจะเกินไปแล้ว” จ้าวซือเฟิงเองก็สบถออกมาเช่นเดียวกัน
“พ่อได้ไปคุยกับลุงสามของแกแล้ว หากเขาสามารถนำเมล็ดพันธุ์ใบยาสูบนี้มาได้แบบสูญเสียน้อยที่สุดล่ะก็ ตำแหน่งของเขาในองค์การยาสูบนั้นจะสูงขึ้นอย่างแน่นอน
แม้แต่ตระกูลจ้าวของเราเองนั้นก็จะได้ผลพลอยได้นี้ไปด้วย” จ้าวฮ่าวพูดออกมา
เขาเองก็ได้นำเรื่องที่จ้าวซือเฟิงพูดก่อนหน้านี้มาคิดและพูดออกไปว่า “ว่าแต่ เมื่อกี้แกบอกว่าอีกครั้งนี่หมายความว่ายังไงกัน ทำไมถึงเป็นอีกครั้ง แกกับมันมีเรื่องอะไรกันแน่”
พอถึงตอนนี้ จ้าวซือเฟิงทำสีหน้าไม่สู้ดีในทันที หลังจากที่จ้าวฮ่าวได้ยินเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแต่ต้นแล้วเขาทำหน้าน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นมาในทันที ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ซูจิ้งคนนี้ ถึงกลับกล้าข่มขู่พวกเราผ่านเจียงถิงหยวนได้เลยงั้นรึ ไอ้เด็กนี่จะมั่นใจตัวเองเกินไปแล้ว”
“เอาจริงๆนะผมว่าเรื่องนี้มันแปลก ตามความรู้สึกของผมนั้นเป็นเจียงถิงหยวนที่อยู่ภายใต้ซูจิ้งมากกว่า” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
“แต่สำหรับพ่อคิดว่าไอ้เด็กเจียงถิงหยวนนั่นต่างหากที่ผยองจนอยากจะเอาหน้ามากกว่า เด็กคนนี้ขนาดหวังจุ่นยังเอาไม่อยู่เลยนับประสาอะไรกับซูจิ้ง
ทั้งสองน่าจะเจอกันโดยบังเอิญแต่ไอ้เจ้าเจียงถิงหยวนนี่ที่อยากจะเอาหน้า ประเด็นคือไอ้เด็กแซ่เจียงนี่แหล่ะที่เป็นปัญหา
การที่มันพูดมาอย่างนี้แสดงว่าอย่างน้อยๆอาจมีหลักฐานสิ่งน่าจะสร้างปัญหาให้เราได้อย่างแน่นอน พวกมันอาจบอกออกมาว่าซือหลงเป็นคนพยายามข่มขืนและซูฉือนั้นเป็นฝ่ายป้องกันตัวเองจนพลั้งมือไป
แถมยังมีเรื่องที่แม่ของแกเตะเกาจุนเต็งจนตายห่าไปอีก ถึงแม้ตอนนี้พวกมันจะถูกบังคับไม่ให้ตอบโต้อะไร แต่ถ้าไอ้เด็กเจียงนี่ออกโรงเอง พวกมันต้องออกมาผสมโรงอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้พวกเราสมควรพักเรื่องซูฉือเอาไว้ก่อน แล้วลองสืบดูว่าทำไมเจียงถิงหยวนกล้ามาออกหน้าแทนซูจิ้งขนาดนี้ หากเรารู้เราก็จะแก้สถานการณ์นี้ได้สินะครับ”
จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยใบหน้าสงบนิ่งราวกับตอนนี้เขาถูกซูจิ้งกระซวกแทงจนตายไปแล้วหนึ่งรอบแต่เขากลับยังไม่รู้ตัวเท่านั้นเอง
ตอนนี้สิ่งที่เขาควรทำคือการระวังตัวและยอมๆทำตามไปก่อน นั่นก็เพราะว่าสำหรับตอนนี้แล้วเรื่องของซูฉือนั้นถือได้ว่าเล็กมากๆเมื่อเทียบกับสถานการณ์ในตอนนี้
ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงปล่อยเธอไปก่อน ต่อให้เธอพูดความจริงออกมาแล้วจะยังไง ในเมื่อฝั่งเขานั้นมีอำนาจคอยหนุนหลัง แต่ให้บอกความจริงจนตายก็ไม่มีใครได้ยินอยู่ดี
“เหอะ ซูจิ้งงั้นหรอ ตอนนี้มันเปรียบได้ดั่งราชสีห์ที่หิวโซที่กล้าพอจะขอส่วนแบ่งในธุรกิจใบยาสูบ
ในขณะเดียวกันมันยังกล้าที่จะมาหาเรื่องเราแบบนี้ ไอ้เด็กนี่มันช่างกล้าซะเหลือเกิน ฉันจะรอดูว่าแกจะมีจุดจบยังไง” จ้าวฮ่าวสบถออกมา
“มันก็เปรียบได้กับงูที่ไม่ดูตัวเองกล้าที่จะกินช้างเข้าไปทั้งตัว ผมเองคิดว่าไม่จบไม่สวยอย่างแน่นอน” จ้าวซือเฟิงเองก็ได้สบถออกมา
ในขณะเดียวกันตระกูลซุนเองก็กำลังพูดคุยกันเรื่องพันธุ์ยาสูบของซูจิ้งเช่นเดียวกัน เป็นเพราะว่าซุนหยูเฮงได้ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหวังซวนจี้เมื่อคืนทำให้เขาได้ข่าวสำคัญเรื่องนี้มาเช่นเดียวกัน
หลังจากเหตุการณ์เมื่อคืนเขายังคงเกาะติดสถานการณ์แบบไม่ว่างเว้น และพยายามวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในทุกง่ามุมฃ
“ไม่ว่าจะมองยังไง ซูจิ้งก็ไม่มีทางที่จะจัดตั้งบริษัทการค้าใบยาสูบเป็นของตัวเองได้อย่างแน่นอน
เพราะยังไงซ้ำกฎหมายในส่วนนี้ก็ไม่ได้มีช่องโหว่ หรือมีข้อยกเว้นเป็นกรณีพิเศษแต่ประการใด ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องนี้ไม่มีทางโน้มน้าวฝั่งรัฐบาลได้อยู่แล้ว
ยังไงซะสุดท้ายแล้วซูจิ้งก็ต้องยอมขายเมล็ดพันธุ์ให้กับบริษัทยาสูบของรัฐอยู่ดี ถ้าเขาข้าใจคุณค่าของเมล็ดพันธุ์ยาสูบนี้ดีจริงๆล่ะก็นะ แต่ถ้าเกิดไม่ล่ะก็เขานั้นไม่สามารถรับมือเรื่องนี้ได้อย่างแน่นอน” ชายแก่คนหนึ่งได้พูดออกมา เขานั้นมีหนวดรุงรังและผมที่สีขาวไปแล้วกว่าครึ่งหัว
“ที่พ่อว่ามาผมเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน แต่คำถามในตอนนี้ก็คือใครจะไปนำเมล็ดพันธุ์จากซูจิ้งออกมาได้กัน” ซุนหยูเฮงพูดออกมา
“เจ้ากับซือหยาตอนนี้เป็นยังไงกันบ้าง” ชายแก่ได้ถามบ้าง
“อ่ะแห่ม ไม่คืบหน้าครับ” ซุนหยูเฮงได้พูดออกมาเสียงอ่อยๆ ความจริงนั้นยิ่งกว่าไม่คืบหน้าซะอีก คือตอนนี้เขาไม่สามารถเข้าหาหวังซือหยาได้เลยสักนิด
เธอได้เพิกเฉยต่อเขาอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ยิ่งคิด เขาก็ยิ่งเกลียดซูจิ้งเข้าไปใหญ่
“ไหนเจ้าบอกว่าตัวเจ้ารู้จักผู้หญิงดีไง ยังไงซะองค์การยาสูบก็ต้องปฏิเสธข้อเสนอของซูจิ้งอยู่แล้ว เมื่อผลการพูดคุยออกมา เจ้าต้องรีบติดต่อหวังซือหยาและเริ่มสายสัมพันธ์กับเธอให้ได้
ใครๆก็รู้กันดีว่าหวังซือหยานั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้ง หากเราให้หวังซือหยาเป็นคนขอแน่นอนว่าเรื่องย่อมง่ายขึ้น ข้าจะป็นคนจัดการเรื่องการปลูกเอง ข้าจะหาที่ที่ดีที่สุดเพื่อเตรียมการนี้ไว้
ใบยาสูบนี้สมควรจะทำเงินให้พวกเราอย่างมหาศาลอย่างแน่นอนเพียงแค่ได้พันธุ์มาปลูกเท่านั้นก็พอ”
“…ก็ได้ครับ ผมจะพยายามสุดความสามารถ” ซุนหยูเฮงได้พยักหน้ารับ
ขณะเดียวกันที่ตระกูลเฉียนนั้น ที่นั่นก็ได้ยินข่าวนี้แล้วเหมือนกันจนพวกเขานั้นตกตะลึงกันไปหมด
“อาจิ้งนี่น้า ไม่เคยกลัวใครเลยจริงๆ” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนกล่าวรำพึงออกมา
“หนูคิดว่าเขานั้นไปเบ่ยจิง(ปักกิ่ง)เพียงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดเท่านั้น ไม่คิดเลยว่าจะไปก่อให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ได้ขนาดนี้”เฉียนไจ่บิ๋งพูดออกมาพลางส่ายหัวไปด้วย
“ตอนนี้คงไม่ใช่โอกาสเหมาะที่เราจะชวนเขามาที่บ้านซะแล้วสิ หยินหนิง ตอนที่หลานเรียนอยู่มหาวิทยาลัยนั้น ซูจิ้งไม่ได้เป็นที่นิยมหรือแสดงความสามารถพิเศษเหมือนตอนนี้มาเลยหรอ”
ผู้อาวุโสเฉียนถามออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นรู้สึกว่าซูจิ้งเองสมควรจะมีนิสัยแบบนี้มานานแล้วตั้งแต่เด็กๆ
“ตอนเขาอยู่มหาวิทยาลัยเขานั้นก็เป็นคนเงียบๆทั่วๆไปนะ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขานั้นถูกแฟนหักอกไปล่ะก็หนูเองก็คงไม่รู้จักเขาหรอก
เพราะในตอนนั้นเขาเป็นที่รู้จักเพราะว่าเป็นตัวอย่างของมหาวิทยาลัยในเรื่องผู้หญิงรวยไม่มีทางไปชอบหนุ่มบ้านนอกอย่างแน่นอน หากไม่เกิดเรื่องนี้หนูเองก็คงจะไม่รู้จักเขาเหมือนกัน” เฉียนหยินหนิงพูดออกมา
“ถ้างั้นนี่ก็คงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขานั้นกลายเป็นพวกหัวขบถแบบนี้สินะ” ผู้อาวุโสถามออกมา
“เอ่อออ..ถ้าปู่ถามหนูมาอย่างนี้แล้วหนูจะไปถามใครได้กันล่ะคะ” เฉียนหยินหนิงยกมือขึ้นมาสองข้างเชิงไม่รู้ไม่เห็น
“แต่กับเรื่องนี้ดูเหมือนว่าซูจิ้งนั้นออกจะโลภไปสักหน่อยนะ ปู่เองก็กลัวว่าสิ่งที่เขาหวังในครั้งนี้จะไม่สมหวังล่ะนะ” ผู้อาวุโสเฉียนส่ายหน้าออกมา
ตระกูลเฉียนนั้นถือได้ว่าเป็นตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงแห่งนี้
แต่เอาจริงๆอำนาจของพวกเขานั้นมาจากสถาบันความมั่นคงแห่งรัฐ และองค์การยาสูบแห่งรัฐ นอกจากนี้พวกเขาเองก็ยังมีอำนาจในระดับจังหวัดด้วยเช่นเดียวกัน
เมื่อข่าวเรื่องใบยาสูบนี้แพร่กระจายออกไปทำให้เกิดแรงกระเพื่อมอย่างมหาศาลแก่เหล่าตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง แน่นอนว่าเรื่องนี้เหล่าปถุชนคนธรรมดาไม่ไดรับรู้แต่อย่างใด
เที่ยงวันนั้น ด้วยการที่เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากทำให้ผู้แทนขององค์การยาสูบแห่งรัฐและบริษัทยาสูบขอจัดประชุมร่วมกันเพื่อพิจารณาเรื่องที่ซูจิ้งร้องขอมา
ผลที่ออกมาแน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่ซูจิ้งร้องขอนั้นถูกปัดตกไป
ตระกูลจ้าว ตระกูลซุน ตระกูลเฉียน และตระกูลอื่นๆในตอนนี้ต่างก็รีบเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็ว แม้แต่ตระกูลหวังก็ยังคุยกับซูจิ้งให้ยอมถอยหลังออกมาจากเรื่องนี้สักก้าวหนึ่งก็ยังดี
แต่ก่อนที่ตระกูลทั้งหลายจะได้ทำอะไรไปนั้นกลับมีข่าวออกมาว่าซูจิ้งได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมในสภาสูงด้วย นี่ทำให้ทุกตระกูลนั้นถึงกับทำอะไรกันไม่เป็นกันเลยทีเดียว
พวกเขานั้นก็รู้ดีว่าต่อให้เป็นพวกเขาทำยังไง ซูจิ้งก็ไม่มีทางยอมให้ง่ายๆอย่างแน่นอน
แต่นี่รัฐบาลออกโรงมาเองขนาดนี้ ซูจิ้งสมควรจะตื่นกลัวทำอะไรไม่ถูกจนตายเลยก็เป็นได้
GGS:บทที่ 874 ตกตะลึงทั้งพระนคร
เช้าวันต่อมาซูจิ้งนั้นตื่นนอนและทำการบิดขี้เกียจไปเล็กน้อย
หวังซือหยาเห็นดังนั้นจึงได้บ่นออกมาว่า “อาจิ้ง นายยังอยู่ในชุดนอนอยู่อีกหรอ นี่นายไม่ได้สนงานประชุมรัฐสภาเลยรึไงกัน”
หวังจ้าวพูดออกมาว่า “ไอ้เด็กนี่ โลกข้างนอกต่างก็คิดว่านายต้องกลัวจนขี้หดตดหายไปหมดแล้ว แม้แต่ฉันเองยังเผลอไปคิดเลยว่านายสงบใจเรื่องนี้ไว้ไม่ได้จนทำเป็นไม่สนใจแทนแล้วเนี่ย”
หวังซวนจี้ที่เห็นสภาพซูจิ้งในตอนนี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา ตอนนี้หวังจุ่นและหวังเจิ้งนั้นไม่ได้อยู่บ้าน ทั้งคู่นั้นไม่สามารถทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้อีกต่อไป
นั่นก็เพราะว่าอย่างแรกพวกเขาไม่คิดว่ารัฐบาลจะออกมาเร็วขนาดนี้ อย่างที่สองการที่รัฐบาลชวนซูจิ้งเขาไปประชุมด้วย ต่อให้ซูจิ้งนั้นมีพันธุ์ใบยาสูบสุดแสนวิเศษนั้นอยู่ในมือก็จริง
แต่ถ้าไม่นับเรื่องนั้นแล้วก็ถือได้ว่าซูจิ้งไม่มีอะไรอีกเลย การเรียกให้เขาเข้าไปประชุมในครั้งไม่ต่างกับการเรียกเขาเข้าไปประหารต่อหน้าสาธารณชน
ซูจิ้งเห็นท่าทางของทุกคนจึงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “นี่มันยังเช้าอยู่เลย จะรีบร้อนไปไหนกันล่ะ ต่อให้ฉันถูกเชิญให้เข้าประชุมแล้วคิดว่าฉันจะไปมีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรได้กันรึไงเนี่ย
อย่างมากพวกเขาก็แค่จะบอกฉันเรื่องผลการหารือเรื่องใบยาสูบนั่นก็แค่นั้นเอง การที่เขาเรียกฉันไปก็น่าจะเรียกว่ารักษาหน้ากันเฉยๆ”
หวังจ้าวพูดออกมาต่อว่า “ถึงจะแค่นั้นแต่ก็สุดยอดแล้วนะ อย่างน้อยนายก็ถูกเชิญเลยนะวุ้ย อย่าได้สายเป็นอันขาด”
ซูจิ้งพยักหน้ารับก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ก็ได้ก็ได้ ฉันจะไปให้ทันก็แล้วกัน”
หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความไม่เชื่อใจว่า “ดี เดี๋ยวฉันจะไปส่ง”
ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะบอกว่าไม่ต้องก็ตาม แต่หวังจ้าวเองก็ยังยืนยันว่าจะไปส่งอยู่ดี เข้านั้นกลัวว่าซูจิ้งจะเอ้อระเหยลอยชาย มัวแต่แวะกินสุกี้หม้อรวมจนไปสายเพราะท่าทางเขานั้นไม่ได้อยากไปเลยสักนิด
ซูจิ้งเองเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ดึงดันอีกต่อไป เขายอมให้หวังจ้าวไปส่งเขาจนได้ หลังจากส่งเสร็จจนเห็นซูจิ้งไปลงทะเบียนประชุมแล้วหวังจ้าวก็ได้ขับออกมา
“นี่พี่ไปส่งอาจิ้งแล้วหรอ” ทันทีที่หวังจ้าวกลับถึงบ้าน หวังซือหยาก็ได้มาเจอเขาพอดีจึงถามออกมา
“ใช่ แต่การประชุมน่าจะนานฉันเลยเอาเขาไปหย่อนไว้ แล้วก็กลับมา พอใกล้ๆจะเลิกค่อยไปรับกลับก็แล้วกัน และหมอนั่นเองก็สัญญาไว้กับฉันแล้วว่าเขาจะเข้าร่วมประชุมดีๆไม่ก่อเรื่องอะไรล่ะนะ” หวังจ้าวถอนหายใจออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ก็ดี ไม่รู้ว่าคำขอของซูจิ้งจะผ่านรึเปล่านะ”
“อาจิ้งพูดออกมาว่าต่อให้เขาต้องขายให้กับบริษัทยาสูบของรัฐจริงๆเขาก็ยังแผนอื่นอยู่อีก”
“แผนอะไรล่ะนั่น”
“เขาไม่ยอมบอกออกมาน่ะ แต่ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าแผนแรกกับแผนสองของเขานี้จะออกมาเป็นยังไงก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาน่าจะได้ตามที่เขาหวังเอาไว้นะ ก็แค่หวังแค่ว่าเขาจะไม่เอามาคุยโวให้น่ารำคาญทีหลังก็พอ”
เรื่องนี้แม้แต่จ้าวซือเฟิงและจ้าวฮ่าวเองก็รอคอยอยู่เช่นเดียวกัน
“ไม่คิดมาก่อนเลยว่ารัฐบาลจะออกมาเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ น่ากลัวว่าครั้งนี้เราจะไม่มีส่วนอย่างแน่นอนแล้ว” จ้าวฮ่าวพูดออกมา
“ยังไม่แน่หรอกครับ หากผลที่ออกมานั้นไม่เป็นไปตามที่ซูจิ้งต้องการล่ะก็ก็ยังไม่แน่นอน ซูจิ้งนั้นมันละโมบโลภมากอยู่แล้ว ไม่มีทางที่คนอย่างมันจะยอมยกเมล็ดพันธุ์ให้ง่ายๆอย่างแน่นอน
เมื่อวานนี้ผมเองก็ได้ส่งคนไปลองสืบหาดูว่าซูจิ้งน่าจะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ที่ไหนได้บ้างแต่ก็ไม่ได้อะไรกลับมาเลย” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
“เป็นไปได้รึเปล่าว่ามันจะเอาไว้ที่บ้าน” จ้าวฮ่าวถามออกมา
“ผมไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ เขาจะทำการปรับปรุงสายพันธุ์ที่บ้านของตัวเองได้ยังไง อีกอย่างถ้าเป็นที่นั่นจริงล่ะก็เราแทบจะหมดหวังที่จะปล้นมาได้เลย
สัตว์เลี้ยงแต่ละตัวของเขานั้นล้วนแล้วแต่น่าสะพรึงกลัวทั้งนั้น ไม่มีทางที่เราจะเข้าไปได้โดยง่าย
อีกอย่างหวังซวนจี้เองก็สมควรจะส่งคนไปคุ้มครองครอบครัวของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากเราบุกเข้าไปไม่ว่าจะทางไหนก็ล้วนแต่สร้างปัญหาอย่างแน่นอน” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
“งั้นเราก็คงทำได้เพียงคุยกับเขาตรงๆหลังประชุมเสร็จสินะ” จ้าวฮ่าวพูดออกมา
ในตอนนี้แม้แต่ตระกูลซุน ตระกูลเฉียน และตระกูลใหญ่อื่นๆต่างก็คุยกันเรื่องนี้แทบจะทั้งนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่หวังว่าจะได้ส่วนแบ่งจากเรื่องนี้เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำเงินได้เห็นๆอยู่แล้ว
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆจนถึงตอนเย็น ในที่สุดการประชุมรัฐสภาก็เสร็จสิ้นลง
“เป็นยังไงบ้าง” เมื่อหวังจ้าวเห็นหน้าซูจิ้งแล้ว หวังจ้าวได้รีบโพล่งถามออกมาในทันที
“ยิ้มอย่างนั้นนี่ คงไม่ใช่ว่าสภายอมให้นายตั้งบริษัทยาสูบของตัวเองหรอกนะ” หวังซือหยาถามออกมาเชิงเย้าแหย่
“เปล่า” ซูจิ้งส่ายหัวของเขาและตอบออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ทั้งการขายใบยาสูบให้บริษัทยาสูบแห่งรัฐ หรือการตั้งบริษัทยาสูบของตัวเองด้วย แต่ทางสภาแห่งรัฐ องค์การยาสูบ และบริษัทยาสูบ เห็นพ้องต้องกันว่าเสนอทางเลือกที่สามให้ฉัน
นั่นคือการจ่ายเงินห้าหมื่นล้านหยวนเพื่อให้ฉันมอบเมล็ดพันธุ์ให้ ส่วนค่าใช้จ่ายที่เหลือเสนอเป็นส่วนแบ่งในบริษัทยาสูบ
นอกจากนี้พวกเขายังเสนอการเป็นหุ้นส่วนในทุกกระบวนการตลอดจนการไม่เรียกเก็บภาษีสูงเกินกว่าการเปิดบริษัทที่ทำธุรกิจทั่วไปให้น่ะ”
“จริงดิ” หวังจ้าวพูดยืนยันอีกครั้งว่าตัวเองไม่ได้ฟังอะไรผิดไปพร้อมทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“นายต้องล้อเล่นแหงๆ ห้าหมื่นล้านหยวนเนี่ยนะ แถมยังหุ้นส่วนอีก” หวังซือหยาเองก็ถามออกมาเพราะไม่ยากเชื่อเหมือนกัน
แต่พอนึกถึงว่าหากภาครัฐได้พันธุ์บุหรี่นี้ไปจริงแน่นอนว่าผลกำไรที่ได้ย่อมเทียมเคียงฟ้า แถมยังมีโอกาสได้ผลกำไรแบบไม่มีสิ้นสุดอีกด้วย
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนจีนต่อจากนี้ไปจะตัดปัญหาเรื่องสุขภาพที่เกิดจากการสูบบุหรี่ไปได้เลยแบบนี้ อย่าว่าแต่หมื่นล้านหยวนเลย ห้าหมื่นล้านที่เสนอมานี่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นสภาแห่งรัฐยังยอมเปลี่ยนแปลงกฎหมายพร้อมทั้งเสนอการลดภาษีและการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจให้กับเขา นี่มันเรื่องอะไรกันแน่
หากลองคิดดูดีๆแล้วนั้น เหตุผลหลักที่ภาครัฐจำเป็นต้องคุมให้ภาษีบุหรี่อยู่ในเพดานที่สูงลิบลิ่วแถมยังถือครองกรรมสิทธิ์การซื้อขายไว้แต่เพียงผู้เดียวนั้น
เหตุผลก็เป็นเพราะเรื่องของการควบคุมปริมาณการสูบและนำเงินไปลองรับกับคนที่ป่วยเพราะบุหรี่ในอนาคต
แต่ตอนนี้บุหรี่ที่เป็นสิ่งที่เขาต้องควบคุมนั้นกลับไร้พิษภัยไปแล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ไม่จำเป็นต้องควบคุมอีกต่อไป ตราบใดที่ภาครัฐยังถือหุ้นส่วนใหญ่อยู่ล่ะก็ ต่อให้นานหน่อยกว่าจะคืนทุนแต่ยังไงก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
แต่ที่ควรจะสนใจที่สุดในตอนนี้คือหุ้น การที่พวกเขาเสนอเงินห้าหมื่นล้านหยวนนั้นเรื่องนี้พวกเขาพอจะเข้าใจได้ แต่การเสนอหุ้นส่วนด้วยนี่สิ ไม่เกินไปหน่อยหรือ
“สภายอมให้หุ้นนายเท่าไหร่กัน” หวังจ้าวถามออกมา
“10 % น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เท่าไหร่นะ” หวังจ้าวถามออกมาอีกครั้งแบบไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพึ่งจะได้ยิน
“10% ของยอดขายเลยน่ะนะ” หวังซือหยาถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ใช่” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว จะเป็นไปได้ยังไงกัน” หวังจ้าวและหวังซือหยาต่างก็ตกตะลึงและบ่นพึมพำแทบจะพร้อมๆกันไปยาวๆ
ตอนแรกที่เขานั้นได้ยินว่าทางสภาอนุมัติเงินในการแลกกับการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ยาสูบห้าหมื่นล้านหยวนนั้นพวกเขาก็จะคลั่งตายกันอยู่แล้ว
แต่พอได้ยินว่าซูจิ้งได้หุ้นมา10%ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่ เหตุผลก็เพราะว่าปีก่อนหน้า อุตสาหกรรมยาสูบนั้นมีผลกำไรอยู่ที่หนึ่งล้านล้านหยวน
ถ้าพวกเขานั้นได้รับการลดภาษีจะเท่ากับภาษีของบริษัททั่วไปจริงๆล่ะก็ กำไรสุทธิที่พวกเขาสมควรจะได้ต่อปีนั้นควรจะอยู่หนึ่งแสนล้านหยวนโดยประมาณ จะไม่ให้พวกเขาคลั่งกันได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือข้อมูลการที่จะมีบุหรี่สายพันธุ์นี้ปรากฏออกมา แน่นอนว่าหลังจากนี้ผลกำไรที่ได้ต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาลอย่างมาก
“โอ้…ดูเหมือนว่าผลการประชุมสภาจะออกมาแล้วสินะ” ตระกูลจ้าว จ้าวฮ่าวในตอนนี้กำลังรับโทรศัพท์เพื่อรับฟังผลการประชุมรัฐสภาในวันนี้โดยจ้าวซือเฟิงคอยฟังอยู่ใกล้ๆ
“ใช่ครับ แต่ผลการประชุมนั้นออกมาจนผมเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน” ปลายสายในตอนนี้พูดออกมาด้วยน้นำเสียงตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้น อย่าบอกนะว่าพวกนั้นอนุมัติให้ไอ้เวรนั่นเปิดบริษัทยาสูบของตัวเองได้” จ้าวฮ่าวพูดออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“ไม่ใช่ครับแต่เป็นยิ่งกว่านั้น สภาได้มีมติมอบเงินให้แก่ซูจิ้งจำนวนห้าหมื่นล้านหยวนสำหรับเป็นค่าเมล็ดพันธุ์ ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังมอบหุ้นที่เกี่ยวข้องในทุกกระบวนการจำนวน10%แถมยังคิดอัตราภาษีเทียบเท่ากับบริษัททั่วๆไปอีก”
ทันทีที่ได้ยินจ้าวฮ่าวได้เขวี้ยงโทรศัพท์ลงกับพื้นจนกระจายกระเด็นกระดอนไปทั่วในทันที จ้าวซือเฟิงที่ได้ยินเรื่องนี้เองถึงกับทำหน้าโง่งมในทันที
หลังจากได้ยินข่าวนี้ ซุนหยูเฮงและคนอื่นๆในตระกูลต่างหน้าชากันไปหมด
ผู้อาวุโสเฉียน เฉียนหยินหนิง เฉียนไจ่บิ๋ง และสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลเองก็พูดอะไรไม่ออกเมื่อได้ยินข่าว
แม้กระทั่งหวังซวนจี้เองเมื่อได้ยินข่าวนี้ก็ถึงกับตกตะลึงนิ่งอึ้งไปนาน
ตอนนี้ทั่วทั้งนครหลวงนั้นกำลังลุกเป็นไฟ
GGS:บทที่ 875 มาจากไหนกัน
หลังจากเสร็จสิ้นการประชุมรัฐสภาและผลการประชุมได้เผยแพร่ออกมานั้น ข่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ถูกส่งต่อและแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่มีใครที่ไหนในเมืองหลวงไม่รู้เรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นเหล่าชนชั้นสูงที่ก่อนหน้านี้ต่างจับจ้องมายังเมล็ดพันธุ์ยาสูบของซูจิ้งนั้นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน ก็เป็นเรื่องที่ซูจิ้งนี้มีไพ่ใบใหญ่อย่างพันธุ์ยาสูบที่ไม่เพียงมีกลิ่นหอมและรสชาติดีแล้ว
ยาสูบของซูจิ้งยังไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพแม้แต่น้อย กลับกันใบยาสูบของเขานั้นยังช่วยฟื้นฟูความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจได้ดียิ่ง
ต่อให้ราคาเพิ่มเป็นสองเท่ายังไงซะก็ต้องมีคนต้องการมากเทียบฟ้าอยู่ดี นี่คือเหตุผลที่ทำไมพวกเขานั้นถึงตั้งจัดประชุมรัฐสภากันทันทีเมื่อได้ทราบข่าว
อย่างไรก็ตาม การมอบค่าตอบแทนในการส่งมอบเมล็ดพันธุ์ยาสอบให้กับรัฐด้วยเงินกว่าห้าหมื่นล้านหยวนและหุ้นในกระบวนการยาสูบ10%นี้ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติแม้แต่น้อย มันไม่เหมือนกับนิทานสุภาษิตอย่างเรื่องสิงโตปากใหญ่ หรืออย่างเรื่องงูกลืนช้าง ที่เมื่อได้อะไรมาก็ต้องเสียอะไรไป แต่กับกรณีของซูจิ้งนั้นเขานั้นกลับได้อยู่ฝ่ายเดียว
“เป็นไปได้ยังไงกัน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ด้วยอย่างนั้นเหรอ” จ้าวฮ่าวนั้นตะโกนออกมาด้วยโง่งม ตกตะลึง และไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“นี่หมายความว่าแผนการที่เราเตรียมกันไว้ก่อนหน้านี้นั้นไร้ค่าไปเลยสินะ ทั้งเรื่องเจียงถิงหยวนยอมเป็นม้าส่งข่าว ทั้งเรื่องที่รัฐสภาชวนเขาเข้าไปประชุมหารือ แค่สองเรื่องนี้ฉันก็ประหลาดใจเกินพอแล้ว แต่กับเรื่องนี้นี่มันช่าง….” จ้าวซือเฟิงพูดออกมา
เขานั้นพยายามคิดว่าเหตุการณ์เหล่านี้นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงกันแน่ แต่พอคิดได้แล้วเขานั้นถึงกับหน้าซีดในทันที
พวกเขานั้นไม่ใช่คนโง่เลอะเลือนแต่อย่างใด พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าหากพวกเขาได้เมล็ดพันธุ์ยาสูบสุดวิเศษนี้ไปนั้นพวกเขาย่อมไม่ทางได้อะไรกลับมามากมายมหาศาลเหมือนซูจิ้งได้อย่างแน่นอน
อย่างมากเมื่อพวกเขาส่งลาภก้อนโตแบบนี้ไปให้ก็คงได้มาเพียงเศษเงินเล็กๆน้อยกลับคืนมา
หากพวกเขามุ่งหวังไปว่าจะได้ส่วนแบ่งในระดับหุ่นส่วนล่ะก็ ไม่เพียงจะไม่ได้อะไรกลับมาเลยแม้แต่น้อย แม้แต่ชีวิตก็อาจจะไม่รอดกลับมา
ต่อให้ซูจิ้งนั้นมีตระกูลหวังหนุนหลังอยู่ เขาเองก็ไม่ควรจะได้มากกว่าคนทั่วไปซักเท่าไหร่นัก แต่เรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดขึ้นได้นั้นเหลือความเป็นไปได้เพียงเรื่องเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือซูจิ้งในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่รัฐจะทำอะไรได้ และยินดีที่จะทำตามโดยไม่อาจจะขัดอะไรเขาได้อีกต่อไป
หากเป็นเพราะเรื่องนี้จริงๆล่ะก็ การที่เจียงถิงหยวนถูกใช้เป็นม้าส่งข่าว และการที่รัฐสภาให้ซูจิ้งเข้าร่วมประชุมหารือเรื่องเมล็ดพันธุ์ใบยาสูบนี้ก็สมเหตุสมผลแล้ว
หากเป็นแบบนี้ล่ะก็การที่ตระกูลของเขานั้นอยากจะหาเรื่องซูจิ้งเพียงเพราะต้องการเมล็ดพันธุ์ยาสูบนี้จริงก็ไม่ต่างจากรนหาที่แน่นอนแล้ว
“พ่อ ผมเกรงว่าเราต้องคิดเรื่องข้อความของซูจิ้งกันใหม่แล้วล่ะ” จ้าวซือเฟิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงขอร้อง
“พวกเราไม่เพียงจะต้องคิดเรื่องข้อความของใหม่เพียงอย่างเดียว แต่พวกเรานั้นต้องเชื่อคำพูดของมันทุกประการด้วยซ้ำ
ไม่แปลกใจเลยที่มันจะไม่แยแสพวกเราเลยแม้แต่น้อย คำขู่ของมันไม่ใช่เรื่องผยองเลยสักนิด มันแข็งแกร่งพอที่จะล้างตระกูลเราได้จริงๆ” จ้าวฮ่าวพูดออกมาพลางถอนหายใจแบบหมดอาลัยตายอยาก
“แล้วเรื่องแม่…” จ้าวซือเฟิงถามออกมาอย่างพูดไม่เข้าคายไม่ออก
“เรื่องนั้นเดี๋ยวพ่อจัดการเอง แม่แกเกือบจะสร้างหายนะให้ตระกูลเราจนได้ ครั้งนี้หากแม่ของแกไม่ยอมฟังอีกล่ะก็ ฉันเกรงว่าถึงคราวที่ตระกูลจ้าวของเราต้องสิ้นชื่อแล้ว” จ้าวฮ่าวพูดออกมา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเรื่องมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้กัน” ณ ตระกูลซุน ชายแก่ที่หัวหงอกไปครึ่งหัวได้ตะโกนออกมาอย่างดังลั่น
ซุนหยูเฮงและบุคคลสำคัญในตระกูลเองที่ได้ยินข่าวของซูจิ้งนั้นก็ถึงกับพูดไม่ออก พวกเขานั้นไม่เพียงแต่ตกตะลึงผลที่ออกมา พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะตอบกลับไปได้ยังไง
สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้ยากเกินกว่าที่จะยอมรับได้จริงๆ ตอนแรกตามแผนการเดิมของพวกเขานั้นวางแผนไว้ว่าไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการไหนก็ต้องขุดเอาเมล็ดพันธุ์ใบยาสูบจากซูจิ้งให้ได้
แต่ตอนนี้ไม่เพียงซูจิ้งจะได้ค่าเมล็ดพันธุ์จำนวนห้าหมื่นล้านหยวนแล้ว ภาครัฐยังเสนอมอบหุ้น10%จากอุตสาหกรรมใบยาสูบอีก
นี่เท่ากับว่าแผนการที่พวกเขาวางเอาไว้อย่างดีนั้นถูกล้มพับหายไปในพริบตา
“ผมทึ่งจริงๆว่าทำไมรัฐบาลถึงได้ยอมรับข้อเสนอของซูจิ้งได้” ซุนหยูเฮงบ่นออกมาราวกับหมีกินผึ้ง
“ไอ้เด็กนี่แข็งแกร่งมากขนาดนี้เลยรึเนี่ย” ชายแก่ผมขาวครึ่งหัวพูดออกมาพลางขมวดคิ้ว
ความจริงนั้นในใจของพวกเขานั้นตอนที่ได้ยินข้อเสนอของซูจิ้งในตอนงานเลี้ยงต่างก็ตีค่าเขาไว้ว่าเป็นเพียงคนธรรมดาที่อยากจะขึ้นสวรรค์ชั้นดาวดึง
นั่นก็เพราะว่าหากไม่มีเรื่องยาสูบสายพันธ์สุดวิเศษนี้ ไม่มีทางที่เขานั้นจะมองเห็นเส้นทางขึ้นชั้นฟ้าได้อย่างแน่นอน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนทุกเหล่าทุกฝ่ายต่างก็คิดว่าข้อเสนอของซูจิ้งนั้นก็แค่เรื่องเพ้อเจ้อเท่านั้น
แต่จากการสืบสวนเชิงลึกของพวกเขานั้นพบว่า ซูจิ้งเป็นเพียงเด็กบ้านนอกธรรมดาที่ได้มีโอกาสพบเจอตระกูลหวังและกลายเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวัง เรื่องราวที่เปรียบได้ดั่งนิยายแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ไม่มีทาง
“ซูจิ้งมีความสามรถถึงขนาดนี้เลยหรือเนี่ย น่าแปลกใจจริงๆ” เฉียนไจ่ไล สมาชิคคนหนึ่งของตระกูลเฉียนนั้นรู้สึกตกใจจนเผลอพูดออกมาลอยๆ
“ช่างเป็นผลลัพธ์ที่เกินคาดคิดนัก ฉันคิดว่าต่อแต่นี้คงไม่มีใครหยุดเขาไว้ได้อีกแล้ว” เฉียนไจ่บิ๋งเองก็ได้พูดออกมาทั้งที่ยังงงๆอยู่
“น่าจะเป็นพวกเราเองที่ดูถูกความสามารถของหนุ่มน้อยคนนี้มากเกินไป” ผู้อาวุโสเฉียนได้พูดออกมา
เฉียนหยินหนิงที่ตอนนี้กำลังเปิดปากอ้ากว้างเพราะความตกตะลึง เธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่ย้อนกลับไปตอนที่เรียนมหาวิทยาลัย
ตอนนั้น เธอเองก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของเขา และในชั้นเรียนนั้นเขาก็เป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่ได้มาอยู่ห้องเดียวกันก็เท่านั้นเอง
ส่วนเรื่องความสามารถนั้น เขานั้นสมควรที่จะคอยเกาะแข้งเกาะขาตระกูลหวังอยู่ไม่ใช่เหรอ แต่ถ้าเป็นสถานการณ์ตอนนี้นี่มันหมายความว่าตระกูลหวังนั้นเป็นฝ่ายคอยเกาะแข้งเกาะขาซูจิ้งอยู่เลยนะ สรุปความจริงเป็นแบบนี้งั้นหรือเนี่ย
ซูจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยา ได้เดินทางกลับไปยังเมืองหลวง ที่นั่นมีหวังซวนจี้ หวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังหลี่ หวังยี่ และคนอื่นๆที่รอการกลับมาของสัตว์ประหลาดแห่งยุคสมัยนี้
ก่อนหน้านี้ทุกคนในตระกูลต่างก็เชื่อกันว่าการคงอยู่ของซูจิ้งต่อตระกูลหวังนั้นเป็นเพียงการหาประโยชน์ของซูจิ้งเพียงฝ่ายเดียว สิ่งเรื่องนี้เป็นที่เข้าใจกันทั่วของคนเกือบทั้งตระกูล
แต่ตอนนี้ทุกคนต่างก็รู้ตัวแล้วว่าการคงอยู่ของซูจิ้งในตระกูลหวังนั้นเปรียบได้ดั่งกับว่าพวกเขานั้นมีขุนเขาคอยหนุนตระกูลหวังเอาไว้
ตระการหวังในตอนนี้กลายเป็นตระกูลที่ทรงพลังแม้แต่ในเมืองหลวงตอนนี้พวกเขาคือตระกูลใหญ่ที่สุด ถ้าจะพูดให้ถูกจริงก็คือทั้งประเทศในตอนนี้ตระกูลหวังคือที่สุด
พวกเขาในตอนนี้เป็นที่นับหน้าถือตาของตระกูลใหญ่ที่เคยดูแคลนพวกเขามาโดยตลอด แม้แต่ประชาชนทั่วไปก็ยังรู้จักและชื่นชมในตระกูลหวัง
แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วตระกูลหวังเองก็ยังถือว่าห่างไกลนัก นั่นก็เพราะว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เพียงรวมตัวกันก็สามารถทำได้ แม้แต่หวังซวนจี้เองก็ไม่เคยขึ้นมาถึงระดับนี้ได้มาก่อน
พวกเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าซูจิ้งนั้นมีความแข็งแกร่งมากมายขนาดนี้ กว่าจะรู้อีกทีก็ห่างไกลพวกเขามากแล้ว
“อาจิ้งจำตอนที่นายบอกว่นายนั้นเป็นใคร มาถึงตอนนี้หลังจากเห็นสถานการณ์แล้ว ฉันก็ยังสงสัยจนต้องถามนายอีกครั้งหนึ่งว่านายน่ะเป็นใครกันแน่”
หวังซวนจี้ได้จ้องมองไปยังซูจิ้งที่อยู่ตรงหน้า และพยายามอ่านเขาให้ออก
“คุณลุงครับ คุณลุงนั้นได้ปกป้องผมจริงๆ เรื่องนี้ลุงเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจ ผมเองนั้นเป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เชื่อนายก็แปลกล่ะ” หวังซือหยาพูดออกมาในขณะที่จ้องมองไปยังซูจิ้ง เธอนั้นเชื่อใจซูจิ้งแบบสุดๆ แต่เธอเองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องต่างๆที่ซูจิ้งเล่ามาสักเท่าไหร่
ต่อให้เธอนั้นไม่ใช่พวกที่เข้าสังคมมากสักเท่าไหร่นัก แต่เธอเองก็เป็นคนในเมืองหลวง และยังเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของตระกูลหวัง
เธอนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นก่อหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กบ้านนอกธรรมดาคนหนึ่ง มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่เธอมั่นใจได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริงของซูจิ้ง
“น่าน่า ยังไงซะฉันก็ยังเป็นซูจิ้งอยู่ดีแหล่ะน่า ฉันจะมีความสุขและจะยิ่งดียิ่งหากว่าตระกูลหวังนั้นยังยอมเรียกฉันว่าเป็นคุณชายสี่เหมือนเดิมนะ”
ซูจิ้งเองพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นรู้สึกอึกอัดหรือยังไงก็ไม่ทราบได้ เขาก็เลยหาวิธีเปลี่ยนเรื่องคุย
“ฮ่าฮ่า แหงสิ นายน่ะเป็นที่ต้อนรับของตระกุลเราอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันแน่นอนอยู่แล้ว” หวังซวนจี้ได้หลุดขำออกมาและไม่ถามอะไรอีกต่อไป
แม้แต่หวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังจ้าว และหวังซือหยาเองต่างก็รับรู้ได้ในทันทีว่าพวกเขาต้องทำตัวยังไงและไม่ซักไซ้อะไรให้มากความอีก
แต่กับหวังหลี่และหวังยี่นั้นต่างออกไป ทั้งสองยังคงถามคำถามต่อไป แต่ด้วยการที่ทั้งสองยังเป็นเด็ก แน่นอนว่าต้องช่างสงสัยเป็นธรรมดานั่นคือเรื่องที่ดี และซูจิ้งเองก็ตั้งใจตอบทุกคำถามเท่าที่เขาจะสะดวกตอบได้
ซูจิ้งได้นอนค้างอยู่ที่ตระกูลหวังอีกคืนหนึ่ง ก่อนที่วันถัดมาเขา หวังซือหยา และหวังจ้าวจะบินกลับไปยังเมืองจงหยุน
ดูเหมือนว่าเพียงการไปเมืองหลวงของเขาในครั้งนี้จะทำให้คนในเมืองหลวงจะต้องจดจำเขาไว้ไปอีกนานแสนนาน
ทั้งเรื่องการปฏิรูปอุตสาหกรรมใบยาสูบที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะออกมาในทางนี้ไปได้ เอาจริงๆตัวเขาในตอนนี้น่าจะทำให้ทั้งประเทศตกตะลึงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น