Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 862-867
GGS:บทที่ 862 เป้าหมายถัดไป
หลังจากได้ยินคำพูดของหวังจ้าวที่พูดออกมาผ่านโทรศัพท์ ซุจิ้งเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ในวันนั้นตอนที่หวังจ้าวได้เห็นดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ที่ซูจิ้งจุดให้ดูเป็นการเรียกน้ำย่อย
วันนั้นเองหวังจ้าวได้เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนในทันที เข้าได้ร่วมลงทุนด้วยเงินจำนวนมหาศาลและเข้าช่วยเหลือในการจัดการงานทั้งหมดโดยขอส่วนแบ่งเพียงสิบเปอร์เซนต์ของผลกำไรเท่านั้น
เหตุผลหลักๆก็เพราะว่าธุรกิจทั้งหมดที่ซูจิ้งได้สร้างขึ้นมานั้นถูกเฉิงหนานเหมาเรียบไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งเองในตอนนี้เขาก็ไม่ใช่แค่เด็กน้อยที่รู้จักแต่สร้างธุรกิจดีๆโดยไม่สนใจรายละเอียดการดำเนินงานอีกต่อไป เขาเองก็เข้าไปร่วมด้วยเช่นกัน มีหรือที่เขาจะปล่อยพี่ชายนอกสายเลือดคนนี้ได้ประโยชน์ไปคนเดียว
แน่นอนว่าหวังจ้าวเองในตอนนี้ได้ผลตอบแทนคืนไปแล้วไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จนทำให้ตอนนี้ แม้แต่ซูจิ้งก็ยังไม่แน่ใจเลยว่า ธุรกิจดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ของเขาในตอนนี้มีใครบ้างที่จ้องจะหยิบชิ้นปลามันตัวนี้อยู่
แต่เขาก็บอกได้คำเดียวว่าคนพวกนั้นไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ได้รับความนิยมจนเริ่มจะออกไปยังนอกประเทศแล้ว เรื่องนี้สามารถคาดการณ์ได้เลยว่าในอนาคต ดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ต้องทำเงินได้อย่างมหาศาลอย่างแน่นอน
หรือสามารถบอกได้อีกทางหนึ่งว่าการลงทุนกับดอกไม้ไฟเวทย์มนต์นี้นอกจากจะไม่มีความเสี่ยงใดๆแล้ว ยังการันดีผลกำไรสูงไปอีกนาน
ซึ่งหากเป็นดอกไม้ไฟทั่วไปแล้ว ธุรกิจพวกนั้นต้องมากังวลทั้งเรื่องการตลาด และเหตุการณ์ที่จะทำให้ผลิตภัณฑ์ต้องเสียชื่อเสียง แต่กับผลิตภัณฑ์ดอกไม้ไฟของซูจิ้งนั้นสามารถตัดข้อกังวลเหล่านี้ทิ้งไปได้ในทันที
“จะรีบตื่นเต้นไปไหนเนี่ย นี่แค่พึ่งจะเริ่มต้นเองนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เออ เอ็งน่ะเก่งสามารถสุขุมได้ทุกสถานการณ์” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่พุดออกมาด้วยรอยยิ้ม และเขาได้พูดต่อว่า
“ในที่สุดฉันก็เข้าใจได้แล้วล่ะว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยแถมยังเสียแรงเปล่าอีกที่จะไปสืบเสาะ และค้นหาว่านายนั้นไปได้ของพวกนี้มาจากไหน หรือต้องการทำอะไรต่อ สู้ฉันถามนายเลยดีกว่า
ว่าไปแล้วนายวางแผนไว้แล้วสินะว่าต่อไปนายจะทำอะไร”
“ใช่ ตอนนี้ฉันได้เตรียมตัวจะลงเล่นครั้งใหญ่เลย” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์
“โอ้ พระเจ้าช่วย นี่นายมีจริงๆหรอ ว่าแต่นายจะทำอะไรต่อล่ะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ความจริงนั้นเขาแค่จะถามไปเล่นๆ ไม่คิดว่าซูจิ้งจะมีจริงๆ
“คิดว่าจะเป็นธุรกิจยาสูบน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ยาสูบ?” หวังจ้าวเองเมื่อได้ยินเขาก็ถึงกับนิ่งไปในทันที แต่เมื่อเขาคิดเรื่องดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ก่อนหน้านี้แล้วเขาเองก็รู้สึกได้ทันทีว่าธุรกิจยาสูบของซูจิ้งต้องไม่ใช่ยาสูบธรรมดาเป็นแน่ แต่ด้วยกระบวนการอันแสนกว้างใหญ่ของธุรกิจนี้ ทำให้หวังจ้าวเกิดความสงสัยจนต้องถามออกมาต่อว่า
“เฉพาะปลูกหรอ”
“ไม่ใช่แค่เฉพาะปลูกสิ ฉันเล็งไว้ไปทั้งกระบวนการจนถึงการซื้อขายเลย” ซูจิ้งพูดออกมาราวกับมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
หากพูดถึงการปลูกยาสูบโดยทั่วไปแล้ว เกษตรกรแค่ต้องปลูกใบยาสุบและส่งขายเข้าโรงงานเพื่อนำไปผลิตเป็นบุหรี่ ซึ่งกระบวนการนี้ถือได้ว่าเกษตรกรนั้นสูญเสียรายได้โดยที่ไม่จำเป็น
เหตุผลนั่นก็เพราะว่าโรงงานนั้นไม่ว่าจะยังไงพวกเขาก็ได้กำไรจากการผลิตบุหรี่ขายอยุ่แล้ว
แถมราคาที่ขายได้สูงกว่าราคาที่ขายเป็นยาเส้นมากกว่าหลายเท่าตัว ถึงจะไม่สามารถกำหนดได้ว่าสูงกว่าแค่ไหนก็ตามแต่ยังไงซะก็ยังถือว่าได้กำไรอยู่ดี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาสูบที่เขาต้องการจะปลูกในครั้งนี้คือยาสูบแห่งไชร์ แน่นอนว่าเขาต้องได้กำไรอย่างแน่นอนเพียงแต่ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะได้มากขนาดไหน
“ท่านพี่น้องผู้ยิ่งใหญ่ครับ พี่น้องเองก็น่าจะรู้ไม่ใช่หรอว่าบริษัทนี้เนี่ย ต้องเป็นภาพรัฐเท่านั้นถึงจะถือครองหรือก็คือจะต้องเป็นรัฐวิสาหกิจเท่านั้น อย่างเราๆไม่สามารถถือครองได้กันหรอกนะ”
“ไม่มีทางเลยรึ”
“จะว่าไม่มีทางก็ไม่เชิงนะ อย่างน้อยๆถ้าอยากจะถือครองจริงๆ เส้นสายของพ่อฉันคนเดียวไม่พอน่ะ”
ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้เงียบไปพักใหญ่ หวังจ้าวเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนี้
ความจริงแล้วซูจิ้งนั้นอยากจะขายใบยาสูบไม่เพียงในฐานะใบยาเท่านั้น แต่ในฐานะบุหรี่หรืออะไรก็ตามที่ส่งขายไปได้ทั่วโลกอย่างสะดวก
หากการที่จะทำอย่างนั้นเองก็จะต้องทำให้มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากบุหรี่ทั่วไป แต่หากว่าต้องสูบมันอย่างเดียวล่ะก็ ใครจะไปเชื่อว่ามันไม่ใช่บุหรี่
ดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเขาซะแล้วที่จะเจาะธุรกิจกลุ่มนี้ และที่สำคัญที่สุดก็คือเขานั้นไม่อยากให้ใครมาชุบมือเปิบผลกำไรที่เขาควรจะได้นี้ไปเฉยๆ
หากเขาจะยอมให้มีคนได้ไปจริงๆอย่างน้อยๆเขาก็ได้ชิ้นใหญ่ที่สุด นั่นก็เพราะว่าเค้กก้อนนี้ถือได้ว่าใหญ่มากๆ เขาเองก็อยากแบ่งให้ใครซักคนที่ช่วยเขาได้เหมือนกัน
เขาต้องหาทางตีตลาดใบยาสูบนี้ให้ได้
นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงยาสูบแห่งไชร์ของเขานั้นนอกจากรสชาติจะดีกว่าใบยาสูบทั่วไปมากมายแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือมันไม่มีผลเสียกับร่างกายแม้แต่น้อย
หากทำดีๆจนสามารถตีตลาดและทดแทนบุหรี่ที่วางขายอยู่บนโลกนี้ได้ทั้งหมดล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะได้เงินมากมายมหาศาลแล้ว
ร่างกายของชนชาติจีนจะพัฒนาเหนือล้ำกว่าชาติไหนๆในโลกเป็นแน่ ถ้าหากว่าองค์การยาสูบรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ต้องออกมาแย่งชิ้นปลามันกับเขาอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าซูจิ้งเองก็รู้เรื่องนี้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะจัดการ แต่เขาเองก็ได้เตรียมตัวไว้พร้อมแล้วเหมือนกัน
เอาจริงเขาเองก็เล็งไปถึงการเข้าไปสร้างอิทธิพลในเมืองหลวงด้วยความสามารถของเขาเอง
แต่นั้นก็เท่ากับว่าเขานั้นต้องเปิดศึกกับอีกหลายตะกูลและนั่นจะกลายสงครามในระยะยาว เอาจริงๆตอนนี้เขาเองยังถือได้ว่าพึ่งจะเริ่มเตรียมตัวเท่านั้นเอง และแถมยังต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวเมล็ดพันธุ์อีกพอสมควร
“อาจิ้ง ใบยาสูบของนายนี่จะทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ได้ยังไงหรอ ฉันขอพูดไว้ก่อนแล้วกันว่าถ้านายต้องการจะทำบริษัทใบยาสูบหรืออะไรพวกนั้นล่ะก็ควรจะล้มเลิกไปดีกว่านะ เพราะยังก็เป็นไม่ได้อยู่แล้ว” หวังจ้าวเองก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเสียดายพอสมควร
“น่าๆ ถ้ายังไม่ลองดูเราก็ยังไม่รู้ผลนี่แน ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฉันเองที่เป็นคิดว่าจะทำได้ยินแล้วยังไม่รู้สึกอะไรเลย อีกอย่างยังฉันก็ไม่ทำเรื่องผิดมโนธรรมหรือขัดต่อกฎหมายอย่างแน่นอน
เอ้อขอถามเพิ่มอีกหน่อยสิ นายพอจะรู้จักผุ้มีอำนาจสูงสุดขององค์การยาสูบแห่งชาตินี่รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“แหงสิ แถมนายเองก็สมควรจะรู้จักอยู่นะ นายจะผุ้อาวุโสหลี่ได้อยู่ใช่ไหมล่ะ ลูกชายคนโตของเขาที่ชื่อหลี่เฉิงเป็นผุ้อำนายการองค์การยาสูบแห่งรัฐอยู่
อีกทั้งเขายังดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทยาสูบของรัฐด้วย” หวังจ้าวพูดออกมา
“เข้าใจล่ะ แล้วนายพอจะหาโอกาสให้ฉันได้เจอเขาได้บ้างรึเปล่า” สิ่งที่ซูจิ้งขอนั้นเป็นสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เขาคิดว่าตระกูลหวังพอจะช่วยเขาได้
เอาจริงๆเขาก็รู้เพียงแค่ว่าตระกูลหลี่นั้นมีอำนาจมากกว่าตระกูลหวัง และพวกเขานั้นถือได้ว่าเป็นตระกูลที่เต็มไปด้วยเหล่าอัจริยะบุคคลทั้งในด้านการปกครอง การทหาร และธุรกิจ
เขาเองก็ไม่ได้คาดหวังเลยสักนิดว่าคนของตระกูลหลี่จะเป็นผอ.องค์การยาสูบแห่งรัฐแบบนี้
“จะให้หาเพื่อ? นายลืมไปแล้วรึไงว่าอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดพ่อฉัน ซือหยาเองก็บอกนายไปแล้วนี่
เมื่อถึงวันงาน ยังไงซะหลี่เฉิงฮุยเองก็ต้องมาเพื่อเยี่ยมเยือนพ่อฉันอยู่แล้ว แต่ยังก็บอกไว้ก่อนแล้วกันว่าถึงเขาอาจจะมาก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะเข้าหาเขาได้ง่ายๆ ยังซะหากนายอยากเจอเขาจริงๆล่ะก็เตรียมใจไว้ได้เลย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เข้าใจแล้ว” ซูจิ้งพูดออกไปพลางพยักหน้ารับ
หลังจากวางสายไปซูจิ้งก็ได้หวนนึกถึงสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับหวังซวนจี้ ถึงแม้ว่าหวังซือหยาจะบอกเขามาว่าไม่ต้องใส่ใจก็ได้
แต่หวังซวนจี้เองก็ดูแลเขาอย่างดีในช่วงหนึ่งจนถึงขั้นให้เขาเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลด้วยซ้ำ
อีกอย่างทั้งหวังจ้าวและซือหยานั้นได้ไปเจอเขาบ่อยเป็นปกติ แต่กับเขาแล้ว เขาเองก็ไม่ได้เจอหน้าหวังซวนจี้มาพักใหญ่แล้ว
การที่จะมาบอกว่าไม่ต้องสนใจเรื่องงานวันเกิดแบบนี้มันก็ดูไร้เหตุผลเกินไปนิด ถึงแม้ว่าเหตุผลหลักที่เขาอยากจะไปในตอนนี้คือการพบหลี่เฉิงก็ตาม แต่ยังไงซะเขาก็ควรจะไปต่อให้ไม่มีเรื่องนี้อยู่ดี
เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นแล้ว เขาก็หันมาจัดการขยะของเขาต่อไป ถึงแม้ว่าเขานั้นจะเจอแค่ดอกไม้ไฟของแกนดรอฟและใบยาสูบแห่งไชร์แค่สองอย่างก็ตาม แต่เพียงแค่สองอย่างนี้ก็ถือได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้คุ้มค่าแล้ว
แต่ในเมื่อยังเหลือขยะห้วงเวลาฯที่เขาต้องจัดการอยู่อีกตั้งเยอะ มีหรือที่เขาจะพลาดโอกาสในการเจอของดีๆที่มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงไปได้กัน
ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะประเภทผ้าต่อ ขยะผ้ากองนี้ส่วนใหญ่เท่าที่ดูๆแล้วเป็นขยะจำพวกชุดชนเผ่าอะไรพวกนั้น แถมดูๆไปแล้วยังไม่ได้ดูแย่ซะทั้งหมด มีบางชิ้นที่มีลวดลายผ้าที่ออกแบบได้สวยงามและดูหรุหรา
ซูจิ้งในตอนนี้ได้คิดไปก่อนแล้วว่าผ้าพวกนี้สมควรจะมาจากเผ่าเอลฟ์ โดยทั่วไปแล้วเผ่าเอลฟ์จากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้นเป็นพวกหลงตัวเอง
ในเผ่าเองก็มีหลายๆคนที่เป็นศิลปิน พวกเขานั้นถึงขนาดตกแต่งของใช้ทั่วไปด้วยงานศิลปะแทบจะทั้งสิ้น แม้แต่เสื้อผ้าเองก็ถือได้เลยว่ามีคุณภาพที่เหนือล้ำกว่าเผ่ามนุษย์ไปหลายเท่าตัว
ซูจิ้งได้ทำการเก็บผ้าพวกนี้เพื่อนำไปให้ฉือชิงและหวังซือหยาศึกษาเพื่อเอาไปทำผลิตภัณฑ์ใหม่แน่นอนอยู่แล้ว
นอกจากนั้นเขายังคงควานหาผ้าที่ยังคงดูสภาพดีและน่าจะมีราคาสูงหลงเหลืออยู่บ้าง
ทันใดนั้นซูจิ้งก็สังเกตเห็นสิ่งที่น่าจะเป็นผมทองคำที่ติดอยู่บนสร้อยคอของชุดๆหนึ่ง มันดูสวยงามมากๆ
เมื่อเขาลองหยิบมันขึ้นมาดูก็พบว่ามันดูสวยงามราวกับเส้นไหม หากเปรียบเทียบกับเส้นไหมแล้วมันก็ถือได้ว่าเป็นเส้นไหมที่ดีที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา มันสวยงามจนทำให้หัวใจของเขาเต้นขึ้นมาเลยทีเดียว
ซูจิ้งได้หยิบเส้นไหมด้วยมือทั้งสองข้างและหยายามดึงมันออกมาเพื่อไม่ให้ขาดลงกลางคัน เขาออกแรงดึงอยู่นานสองนานแต่เส้นไหมนั้นก็ยังไม่หลุดออกมาสักที เขาใช้แรงดึงไปกว่า 20 ชั่ง…50ชั่ง…จนไปถึง100ชั่งก็แล้วแต่มันยังไม่ยอมหลุดออกมา
“แ..เอ๊ย โคตรเหนียว นี่น่าจะเป็นผมของเอลฟ์แหงๆ” ซูจิ้งสบถออกมาแต่ตาของเขากลับเป็นประกาย
หากนี่เป็นผมของคนทั่วไปแล้วล่ะก็ไม่มีทางที่จะเหนียวได้ถึงขนาดนี้อย่างแน่นอน แต่สำหรับผมของเผ่าเอลฟ์แล้วก็ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้น มีตัวละครหลักคนหนึ่งที่มีชื่อว่าเจ้าชายเลโกลาส เขานั้นมีธนูที่ขึ้นสายด้วยเส้นผมที่ได้มาจากภูตตนหนึ่งที่บอกเขาว่าเส้นผมที่เอามาให้นั้นมาจากผมของภูตศักดิ์สิทธิ์
“กลายเป็นว่าพวกเอลฟ์เองก็ผมร่วงได้เหมือนกันแหะ แต่ดูๆไปแล้วก็ไม่น่าเป็นผมของราชินีเอลฟ์นะ เพราะผมของเธอน่าจะยาวกว่านี้
ผมนี้สมควรจะเป็นแค่ของเผ่าเอลฟ์ทั่วไปเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็น่าจะยังมีค่าอยู่ดี” เมื่อซูจิ้งสามารถดึงผมเส้นนี้ออกมาได้ เขาก็เก็บไว้ในกระเป๋ามิติในทันที
หลังจากจัดการขยะห้วเวลาฯกองผ้าเสร็จแล้ว ซูจิ้งก้ได้หันไปจัดการขยะห้วงเวลาฯกองหินที่อยู่ข้างๆต่อ หลังจากจัดการไปได้สักพัก เขานั้นได้หยิบเครื่องมือหินแตกๆขึ้นมาอันหนึ่ง แต่หลังจากที่เขานั้นสำรวจมันอย่างดีแล้ว อยู่สายตาของซูจิ้งก็เปล่งประกายขึ้นมาในทันที
GGS:บทที่ 863 ของดีจากเผ่าเอลฟ์
สิ่งที่ซูจิ้งดึงออกมาจากขยะห้วงเวลาฯกองหินนั่นก็คือหัวของรูปแกะสลักที่แตกไปครึ่งหนึ่ง
หัวรูปปั้นนี้ถึงจะแตกหายไปครึ่งหนึ่งแล้วแต่ส่วนที่เหลือก็ยังดูมีคุณค่าทางงานศิลป์มากมายยิ่ง
นั่นก็เพราะว่าทั้งรูปลักษณ์และระดับของงานแกะสลักนี้ต่อให้ส่วนสำคัญหายไปแล้วแต่ก็ยังทำให้จินตนาการออกได้ว่าเป็นภาพด้านของสาวงาม
ซูจิ้งได้เคยเห็นงานแกะสลักหิน(ร่างที่ถูกคำสาปของเมดูซ่า)ดีๆมาแล้วหนหนึ่งจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
เหตุผลที่รูปสลักนั่นดูดีและสมจริงประดุจดั่งมีชีวิตนั่นก็เพราะว่ามันคือคนจริงๆที่ถูกทำให้กลายเป็นหิน
แต่เมื่อเทียบกับงานแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว เขาสัมผัสถึงความรู้สึกของศิลปะอย่างแท้จริงที่แฝงมากับงานแกะนี้ซึ่งให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามาก
งานแกะสลักหิน(ร่างที่ถูกคำสาปของเมดูซ่า)อันนั้น ถึงมาจะไม่ได้สมบูรณ์แต่ก็ได้รับความนิยมไม่น้อยเลย ราคาที่เขาขายได้นั้นถือได้ว่าสูงสุดฟ้า
แต่เมื่อนำไปเทียบกับรูปปั้นวีนัสไร้แขนที่โด่งดังแล้ว ราคาที่นักสะสมเสนอไว้ยังสูงกว่าของเขามากพอควรอยู่ดี
แต่ก่อนที่ซูจิ้งจะเลิกสนใจหัวรูปปั้นครึ่งซีกนี้ เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ออกมาจัดการซ่อมแซมไว้ก่อน
เสี่ยวไป๋ที่ในตอนนี้กำลังง่วนอยู่กับการซ่อมแซมกระดาษทั้งหลายนั้นได้รีบมาหาซูจิ้งทันทีที่เขาเรียก
มันได้เริ่มซ่อมแซมหัวรูปแกะสลักหินครึ่งซีกนี้ในทันที ด้วยการที่มันเห็นว่าซูจิ้งกำลังเฝ้ามองอยู่ทำให้มันเองรู้สึกว่าต้องทำงานให้หนักเอาหน้าซะหน่อยเลยออกแรงไปเต็มที่
ไม่นานเศษชิ้นส่วนของรูปแกะสลักนี้ได้ลอยออกจากกองขยะหิน และได้ลอยเข้ามาต่อเขากับรูปแกะสลักหินครึ่งซีกนี้และเชื่อมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ด้วยเวลาเพียงไม่ถึงนาที ใบหน้าของหญิงสาวที่สมบูรณ์ ผมยาว และมีหูเรียวยาวสองข้าง
ตอนแรกซูจิ้งเองก็นึกว่าการซ่อมแซมเสร็จสิ้นแล้ว แต่กลายเป็นว่าไม่นานนักชิ้นส่วนอื่นก็ค่อยดันตัวเองออกมาจากกองหิน
ชิ้นส่วนเหล่านั้นค่อยๆลอยมาเชื่อมต่อก็ร่างกาย ด้วยการที่ชิ้นส่วนเหล่านี้ไม่ได้แตกละเอียดมากมาย
แต่ก็หนักเกินกว่าที่จะเคลื่อนย้ายมาเชื่อมต่อได้อย่างรวดเร็วทำให้กระบวนการซ่อมแซมนี้ใช้เวลาไปประมาณสิบนาที
จนในที่สุดรูปปั้นแกะสลักหินก็ได้เสร็จสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และเมื่อแน่ใจว่าไม่ชิ้นส่วนใดลอยออกมาอีกแล้ว เสี่ยวไป๋ก็หงายหลังลงไปนอนหลับด้วยความเหนื่อยล้าในทันที
ซูจิ้งได้มองไปยังรูปแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัยอยู่ในใจ พลางนึกไปถึงงานแกะสลักหินที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
รูปปั้นนั้นมันดูสมจริงและดูมีชีวิตเพราะว่าพวกรูปปั้นเหล่านั้นคือคนจริงๆที่ถูกสาปให้เป็นหิน
แต่กับงานแกะสลักหินที่อยู่ตรงหน้าเขานั้น เมื่อนำไปเทียบกันแล้วเขาก็มีความรู้สึกว่าดูดี ไม่สิต้องเรียกว่าสวยงามอย่างสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้
สมบูรณ์แบบจนไม่อยากเบือนหน้าไปมองอย่างอื่นเลยก็ว่าได้ นี่เองคงเป็นสิ่งที่เรียกว่าความแตกต่างกันระหว่างงานศิลป์ที่ดูสมจริง และงานศิลป์ของนางในฝัน ถือว่าเอามาเปรียบกันไม่ได้จริงๆ
“สูงสง่า สง่างาม และขนาดเท่าตัวจริง นี่มันงานแกะสลักภูตรึเปล่านะ” ซูจิ้งนั้นรู้สึกประหลาดในพอสมควร
ชนเผ่าเอลฟ์ในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนนั้นไม่เหมือนเอลฟ์ในห้วงเวลาฯอื่นๆ พวกเขานั้นเป็นชนเผ่าที่มีสัดส่วนดี สวยงาม และชาญฉลาด
พวกเขานั้นมีดีในด้านงานกวี ร้องเพลง แกะสลัก เล่นดนตรี สร้างสิ่งของ ฯลฯ หรือจะกล่าวโดยรวมก็คือทำได้ดีในทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นงานศิลป์เลยก็ว่าได้
พวกเขานั้นมีสติปัญญาที่สูงล้ำกว่าชนเผ่ามนุษย์ ไม่แก่ ไม่ป่วย และมีอายุยืนนานราวกับเป็นอมตะ มีเพียงไฟ เหล็กแหลมคม และความโศกเศร้าเท่านั้นที่สามารถพรากชีวิตของพวกเขาไปได้
จึงไม่แน่แปลกอะไรที่ทุกๆคนในเผ่าเอลฟ์นั้นจะมีความเป็นศิลปินอยู่ในตัว ถ้ามนุษย์มีอายุยืนนานจนสามารถมีเวลาพอจะฝึกฝนบางสิ่งได้ด้วยเวลาร้อยปี ความสามารถของมนุษย์เองคงไม่ต่างกัน
แล้วก็สามารถเป็นคนที่มีความรู้มากมายได้โดยการเรียนรู้นับพันปีก็เป็นไปได้ไม่ยากอะไรนัก
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเอลฟ์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นสุดยอดในงานฝีมือต่างๆได้ แม้แต่งานแกะสลักหินเองก็ไม่ต่างกัน
หากเป็นพวกเขาล่ะก็ งานแกะสลักหินอย่างวีนัสไร้แขนนั่นสามารถสร้างได้หลายร้อยตัวอย่างแน่นอน
เขานั้นรู้สึกหลงใหลในรูปแกะสาวงามที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างมาก หากว่างานพวกนี้มาจากเผ่าเอลฟ์จริงล่ะก็
งานแกะสลักหินนี้ก็สมควรจะไม่ใช่งานศิลป์อย่างแน่นอน รูปแกะสลักนี้สมควรเป็นของรูปปั้นตกแต่งธรรมดาเหมือนดังรูปปั้นต่างๆที่อยู่ตามสวนสาธารณะหรือข้างถนนบนโลกใบนี้
ซูจิ้งยังคงรื้อขยะห้วงเวลาฯกองหินนี้ต่อไป สักพักเขาพบงานแกะสลักหินที่น่าจะเป็นงานของช่างแกะสลักหินชั้นยอดชิ้นหนึ่ง
ถึงแม้มันจะแตกไปแล้วก็ตามแต่มันก็แสดงให้เห็นว่ายังมีโอกาสที่จะเจองานแกะสลักสาวงามนี้อยู่อีกในขยะฯกองหินกองนี้
ซูจิ้งได้ทำการคัดแยกขยะกองหินทั้งหมดจนสามารถคัดแยกเป็นกองๆตามประเภทที่เขาพอจะแยกได้เพื่อที่จะรอให้เสี่ยวไป๋ซ่อมให้เขา
น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่มีชิ้นส่วนอื่นลอยออกมา เป็นไปได้ว่าพวกมันอาจจะยังถูกแกะไม่เสร็จดีแล้วโยนทิ้งมา เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้กับเรื่องนี้ทำได้เพียงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมเท่าที่จะเป็นไปได้ ดีกว่าปล่อยทิ้งไปเฉยๆ
ความจริงแล้วเขานั้นอยากจะซ่อมแซมพวกมันให้เสร็จในทันทีที่เจอด้วยซ้ำ น่าเสียดายที่พลังของเสี่ยวไป๋นั้นอ่อนแอไปหน่อย ไม่สามารถซ่อมแซมได้ต่อเนื่องมากนัก
เขาเองได้แต่คิดว่าอยากจะหาวิธีเพิ่มพลังให้เสี่ยวไป๋อยู่เหมือนกัน ไม่ก็จัดต้องทีมซ่อมแซมแบบเสี่ยวไป๋ขึ้นมาสักทีม สำหรับเขาแล้วการที่ได้เสี่ยวไป๋มานี่ถือได้ว่าโชคดีและได้ประโยชน์อย่างแท้จริงเลยทีเดียว
ซูจิ้งได้จัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป โดยครั้งนี้เขาได้จัดการขยะกองไม้ หลังจากเขาได้ทำการรื้อจนกระจุยกระจายไปแล้ว
เขาได้พบกับไม้ชิ้นใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว่าสามเมตรและมีความยาวกว่าห้าไม่ก็หกเมตรเห็นจะได้ ไม้นี้ยังมีกิ่งก้านสาขาอยู่ แต่ที่แปลกตาที่สุดนั่นก็คือมีใบไม้สีทอง
ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้แต่นิ่งอึ้งไป เขาเองได้ทำการตรวจสอบท่อนไม้ใหญ่ท่อนนี้อย่างระมัดระวัง ยิ่งเขาตรวจสอบมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเท่านั้น
เขาได้ทดลองเลือกกิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากมันมาก้านหนึ่งโดยได้ลองพยายามที่จะหักมันออกมาดู โดยกิ่งที่เขาเลือกนี้มีขนาดเพียง2เซนติเมตรเท่านั้น
เขาได้ลองใช้แรงที่สามารถหักกิ่งไม้ขนาด10เซนติเมตรได้สบายๆ แต่เจ้ากิ่งนี้กับเพียงแค่โค้งงอเท่านั้น พอเขาปล่อยกิ่งนี้มันก็ดีดตัวเองเข้าที่มันเหมือนเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซูจิ้งนั้นรู้สึกประหลาดใจจนต้องพูดออกมาว่า “เจ้านี่มันต้นเมรอนไม่ใช่เหรอเนี่ย”
ต้นเมรอนสำหรับในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงนั้น เป็นต้นไม้พื้นถิ่นของเกาะอิริเซีย ดินแดนแห่งนิรันด์ ต่อมาได้ถูกนำออกไปจากเกาะโดยนูมานอล
ต้นไม้ที่ถูกนำออกไปนั้นได้รับการดูแลโดยราชินีเอลฟ์คาลันเดีย และต่อมาได้ถูกขนามนามป่าที่เต็มไปด้วยต้นเมรอนนี้ว่าป่าทองคำ
ใบไม้ของต้นเมรอนนี้จะกลายเป็นสีเหลืองในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และผลัดใบในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ในช่วงใบไม้ผลินี้ใบไม้สีทองของต้นเมรอนจะปลุกคลุมผิวดินจนเหลืองอร่าม และในระหว่างนั้นต้นเมรอนก็จะค่อยๆผลิใบใหม่เริ่มตั้งแต่สีเขียว เงิน จนกลายเป็นสีทองในที่สุด
ต้นเมรอนนี้สุดท้ายก็ได้กระจายไปอยู่แทบทุกทวีปในมิดเดิ้ลเอิร์ธ ยกเว้นที่หุบเขาแห่งเชร์เท่านั้นที่ไม่มีต้นไม้นี้เนื่องจากราชินีเอลฟ์ดันไปมอบเมล็ดพันธุ์ให้แซมวิสการ์ดเนอร์เป็นของขวัญแล้วเขานั้นดันเก็บดีไปนิดนึง
ซูจิ้งในตอนนี้รู้สึกดีใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด นั่นก็เพราะว่าเขานั้นได้นึกถึงธนูขององค์ชายเอลฟ์ที่สายธนูทำมาจากเส้นผมของสาวชาวเอลฟ์ แต่ตัวคันศรนั้นทำมาจากแก่นของต้นเมรอนนี่เอง
นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเจ้าชายองค์นั้นยิงเป้าร้อยครั้งเข้าเป้าร้อยครั้ง ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัว และยิงธนูนัดเดียวทะลุกะโหลกหัวช้างแมมม็อธตัวยักษ์ได้อย่างง่ายดาย
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้อ่านตัวอักษรบางอย่างจากเสื้อผ้าของเอลฟ์ที่เขาเจอ หลังจากนั้นเขาได้เส้นผมของภูต ตามมาด้วยไม้เมรอนนี่อีก ตอนนี้เขามีความมั่นใจแล้วว่าสามารถที่จะสร้างธนูภูตได้อย่างแน่นอน
ตอนนี้ที่เขาต้องการขาดไปเพียงอย่างเดียวก็คือวิธีการทำลูกธนู หากเขารู้วิธีและสามารถทำได้ล่ะก็ เมื่อเขาใช้ธนูภูตนี่เมื่อไหร่ แน่นอนว่าอานุภาพของมันต้องมหาศาลด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์อันเปี่ยมล้นอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าในตอนนี้กำแพงมิติของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้นั้นจะแข็งแกร่งพอที่จะเผชิญต่อภยันตรายทั้งหลายได้อย่างไม่ต้องกังวลก็ตาม
แต่ซูจิ้งก็รู้ดีว่าในอนาคตนั้นเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน และอะไรก็อาจจะเกิดขึ้นทั้งนั้น ใครจะไปรู้อยู่อาจจะมีสัตว์ร้ายที่ทรงพลังพอขนาดที่แตะแล้วกำแพงมิติพังเลยก็ได้
ยิ่งไปกว่านั้นเนื่องจากในตอนนี้ธุรกิจทั้งหลายของเขาในตอนนี้ได้เด่นสะดุดตาจนอาจทำให้คนหลายๆคนต้องสูญเสียธุรกิจของตัวเองไป แล้วจะมีอะไรรับกันว่าคนเหล่านั้นจะไม่หาทางเล่นงานเขากันล่ะ
เขาแน่ใจในตอนนี้ต้องมีหลายกลุ่มที่กำลังเฝ้ารอโอกาสเล่นงานเขาอย่างแน่นอน ต่อให้ยังดูสงบนิ่งอยู่ แต่นั่นเป็นเพราะพวกเขานั้นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะกล้าเล่นงานเขาก็เท่านั้นเอง
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขานั้นยังคงพัฒนาต่อไปได้เรื่อยๆอย่างนี้ล่ะก็ เรื่องอาจลุกลามไปถึงระดับประเทศเลยก็ได้ หากเรื่องเลยเถิดไปถึงขั้นนั้นแล้วก็คงยากที่จะบอกว่าปลอดภัยได้อีกต่อไป
ถึงแม้ว่าในตอนนี้เขานั้นจะดูทรงพลัง แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นไร้เทียมทาน ต่อให้คนทั่วไปเล่นงานเขาไม่ได้ อาวุธทั่วไปเล่นงานเขาไม่ได้
แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีทั้งกองทัพ จรวด ระเบิด ปืนกล รถถัง หรือแม้แต่อาวุธจำพวกคลื่นความร้อนล่ะ
แน่นอนว่าหากเขาต้องเผชิญหน้ากับของพวกนั้นแล้ว ตัวเขาเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้ไหวอย่างแน่นอน
และหากเขามีเพียงตัวคนเดียวจริงก็คงแค่หนีหายไป แต่นี้เขานั้นมีทั้งครอบครัว เพื่อน และคนที่รักอยู่ จะให้หนีโดยทิ้งคนพวกนี้ไว้น่ะรึ ไม่มีทาง
ในตอนนี้นั้นการกลายเป็นขุมพลังอันแข็งแกร่งให้ได้นั้นถือว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวนัก เขาเองก็พยายามไม่ไปก่อกวนใครก่อนและสั่งสมความแข็งแกร่งนี้ไปเรื่อยๆ
เขาเองก็ได้แต่หวังว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัวเรื่องเขานั้น ก็ขอให้เป็นตอนที่ไม่มีใครสักคนบนโลกใบนี้ต่อกรเขาได้แล้วก็พอ
GGS:บทที่ 864 เหตุฉุกเฉิน
“เสื้อผ้าเผ่าเอลฟ์ ผมของภูต รูปปั้นแกะสลัก ต้นเมรอน และของอื่นๆนี่อีก เอลฟ์นี่มีแต่ของดีๆทั้งนั้นเลยแหะ อยากได้อีกจังเลยน้า” ซูจิ้งบ่นออกมาอย่างสบายอารมณ์ในขณะที่ยังคงหาของต่อไป
แต่ไม่คาดคิด หลังจากนั้นสักพักเขาเองก็ได้พบของดีจากเผ่าเอลฟ์อีกจริงๆ คราวนี้ถึงกับทำให้เขานั้นยิ้มหน้าบานจนอดไม่ได้ที่จะพูดสรรเสริญเผ่าเอลฟ์ออกมาดังๆ
ตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกแล้วว่าตัวเขานั้นได้ผูกพันกับเผ่าเอลฟ์ไปแล้วเรียบร้อย
เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปสองวัน ในช่วงตอนเย็นซูจิ้งที่กินมื้อค่ำเสร็จแล้วและกำลังเดินลงมาจากชั้นสองเพื่อที่จะไปจัดการขยะของเขาต่อนั้น
อยู่ๆก็ได้มีเสียงโทรศัพท์โทรเข้ามา เมื่อเขาเห็นว่าเป็นใครโทรมาหาถึงกับขมวดคิ้วในทันที
คนที่โทรมาหาเขานั้นคือจ้าวหยวน คนที่เคยเกือบจะได้เป็นคู่หมั้นของเฉิงหนานแต่ถูกเธอตัดสัมพันธ์กลับตระกูลเฉิงเพื่อหนีการแต่งงานออกมา
ก่อนหน้านี้เขานั้นได้จัดการสะกดจิตจ้าวหยวนถึงขั้นสมบูรณ์จนทำให้จ้าวหยวนการเป็นบริวารของเขาไปเรียบร้อยแล้ว
และเขาเองก็ได้ให้จ้าวหยวนคอยสังเกตพฤติกรรมตระกูลจ้าวเอาไว้เท่านั้นเอง เขานั้นได้สั่งเอาไว้เฉยๆว่าอย่าได้โทรมาเป็นการส่วนตัวเป็นอันขาดเพื่อหลีกเลี่ยงข้อสงสัยจากคนในตระกูล
แต่ตอนนี้จ้าวหยวนกลับโทรหา แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ซูฉือโดนเจอตัวแล้ว” จ้าวหยวนพูดออกมา
หนังตาของซูจิ้งกระตุกทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ เขารีบถามกลับไปว่า “ตระกูลจ้าวน่าจะคิดว่าซูฉือตายไปแล้วไม่ใช่รึ และเธอเองก็ซ่อนตัวอย่างดีในที่ห่างไกล ทำไมถึงเจอตัวได้กัน”
ซูฉือนั้นได้มีเรื่องบาดหมางกับจ้าวซือหลงหรือก็คือนายน้อยตระกูลจ้าว แม้ว่าในสายตาคนนอกแล้วจ้าวซือหลงนั้นจะฆ่าตัวตายเพราะซูฉือก็ตามที แต่เรื่องนี้ก็ไม่ควรจะเป็นเหตุอะไรได้เพราะซูฉือนั้นได้ถือว่าตายไปแล้ว
ในครานั้นซูจิ้งด้วยการที่เขาในตอนนั้นยังไม่แข็งแกร่งพอ และยังไม่อยากให้ตระกูลหวังต้องมีปัญหาร้ายแรงกับตระกูลใหญ่อย่างตระกูลจ้าว
เขาจึงได้ให้เธอแกล้งตายและช่วยเธอปลอมแปลงตัวตนและส่งไปอยู่ที่อเมริกา ในเมื่อตอนนี้เธอถูกพบตัวแล้ว แน่นอนว่ามีอันตรายใหญ่หลวงรออยู่แน่นอน
“เรื่องนี้ตอนแรกเลยมันก็เงียบไปแล้วล่ะ แต่ดันมีคนแอบถ่ายรูปเธอตอนไปซื้อของแล้วเอารูปถ่ายไปโพสต์ลงฟอรั่ม แล้วเอาไปสร้างรายการสาวงามชาวจีนขึ้นในหมวดหมู่รูปภาพและดันได้รับความนิยมสูง
ทีนี้มีไอ้บ้าคนหนึ่งที่มันเคยอ่านข่าวของซูฉือและจ้าวซือหลง แล้วเห็นว่าทั้งคู่คล้ายกันมากเลยส่งข่าวไปให้ตระกูลจ้าวดู
เมื่อตระกูลจ้าวได้เห็นจึงรีบส่งคนไปสืบหาความจริงในทันที พวกเขาจริงจังมากถึงขนาดใช้เส้นสายในอเมริกาเพื่อสืบหาข้อมูลเลย” จ้าวหยวนพูดออกมาพร้อมทั้งส่งฟอรั่มที่ว่าให้ซูจิ้งดู
ซูจิ้งเข้าใจเรื่องราวในทันที เขาได้เข้าไปดู เขาพบว่าฟอรั่มที่ว่านั้นเล็กมากๆ นั่นก็เพราะว่าอเมริกาไม่นิยมเว็บนี้สักเท่าไหร่
เมื่อเห็นโพสต์ที่ว่านั่นแล้วตลอดจนเนื้อของฟอรั่มที่มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีอะไรน่าดู หรือน่าติดตามเลยสักนิด คงจริงอย่างที่เขาว่าไว้ว่าคนมันจะซวย แต่สำลักก็ยังตายได้
อย่างไรก็ตามยังดีที่คนถ่ายรูปแค่ไปแอบถ่ายเธอตอนที่กำลังเดินซื้อของไม่ได้ตามไปยันบ้านจนลงรายละเอียดไว้ครบ
อีกทั้งถนนที่เธอโดนแอบถ่ายยังถือว่าไกลจากที่อยู่จริงของเธออยู่มาก ตอนนี้เธอน่าจะยังไม่ถูกพบตัวเร็วมากนัก
หลังจากคุยกับหวังจ้าวเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้โทรหาซูฉือในทันที
ถึงแม้เธอจะรีบรับสายอย่างรวดเร็ว แต่น้ำเสียงของเธอยังฟังดูงัวเงียอยู่เมื่อกับโดนปลุกให้ตื่นกลางคัน ซูจิ้งรู้สึกฉุนนิดๆกับความขี้เกียจของเธอจึงได้พูดไปว่า “นี่มันตอนเย็นไม่ใช่หรอ นี่ยังกล้านอนอยู่อีกหรอ ตอนนี้โดนตระกูลจ้าวเจอตัวแล้วนะ”
“ห้ะ! ไม่จริงน่า!” ซูฉือร้องลั่นห้อง
“อันนี้เรื่องจริง ดูเองก็แล้วกัน” ซูจิ้งได้ส่งเว็บลิ้งค์ของฟอรั่มที่เขาได้รับมา หลังจากซูฉือได้เห็นแล้วเธอรู้สึกโกรธพร้อมด่าทอสาปแช่ง
เธอเองก็ไม่เคยติดมาก่อนเลยว่าจะโดนใครที่ไหนไม่รู้มาแอบถ่ายแล้วแอบเอาไปตั้งกระทู้แบบนี้
ถ้าเธอรู้ล่ะก็เธอจะบล็อกเว็บนี้แบบถาวรยันตัวตนของคนที่ถ่ายรูปเอาให้ไปไม่เป็นเลย
“ทำไงดี ทำไงดี ตอนนี้ฉันควรจะทำยังไงดีล่ะ” ซูฉือถามออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆเล็กน้อย เธอกลัวมาก เธอกลัวชนิดที่ว่าไม่กล้าข้องแวะกลับใครเลยก่อนหน้านี้ไม่ว่ากับผู้ชายหรือผู้หญิง
หากว่าเธอโดนตระกูลจ้าวจับตัวได้ล่ะก็ ถ้าจบด้วยดีก็แปลกแล้ว
“ตอนนี้เธอไปเตรียมตัวย้ายที่อยู่ก่อนแล้วกัน ฉันเองก็จะส่งคนไปช่วยดูแลเธอ ตอนนี้พยายามสงบสติอารมณ์ไว้ก่อน อย่างเพิ่งลนลานไป อีกซักพักหนึ่งคนของฉันน่าจะไปถึง ตอนนี้ตระกูลจ้าวน่าจะยังเข้าไม่ถึงตัวหรอก เมื่อถึงตอนนั้นฉันรับรองว่าเธอปลอดภัยอย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมา
“นี่นายเชื่อใจคนของนายขนาดนั้นเลยเหรอ” ซูฉือสงสัยจนต้องถามออกมา
“ฉันก็จะส่งคนที่เคยส่งไปหาเธอก่อนหน้านี้นั่นแหล่ะ คนๆนั้นไม่มีใครทำอะไรเขาได้นักหรอก อีกอย่างเขานั้นเชื่อถือได้แน่นอน” ซูจิ้งพยายามปลอมซูฉือให้ใจเย็นลง ก่อนที่จะอธิบายรายละเอียดทั้งหมด แล้วทำการโทรหาไป๋ฮิตูในทันที
ไป๋ฮิตูคือคนที่ซูจิ้งคิดไว้แล้วว่าเหมาะกับงานนี้มากที่สุด เขานั้นมีสแตนด์ชั้นเลิศ และความแข็งแกร่งของเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าซูจิ้งสักเท่าไหร่นักชนิดที่ว่าพอๆกันได้เลยถ้าไม่นับเรื่องความแข็งแกร่งทางจิตใจ
หลังจากเขาสั่งไป๋ฮิตูเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้โทรกลับไปหาจ้าวหยวนและพูดขึ้นว่า “จ้าวหยวน ตอนนี้นายกลับไปสนใจเรื่องธุรกิจของตระกูลได้แล้ว แต่หากมีเหตุการณ์อะไรแบบนี้อีกขอให้รีบบอกฉัน หากซูฉือถูกจับได้นายต้องยอมตายถวายชีวิตเพื่อช่วยเธอให้ได้”
“ได้” จ้าวหยวนตอบรับอย่างภักดี
ถึงแม้ว่าซูฉือนั้นจะระแวดระวังขนาดไหนก็ตามแต่เขาก็กลัวเหตุการณ์แบบเช่นในวันนี้ที่จะทำให้เธอถูกจับได้เข้าสักวัน ดูเหมือนว่าวิธีการที่ดีที่สุดที่จะช่วยซูฉือได้ก็คือการกวาดล้างตระกูลจ้าวจริงๆสินะ
“ถ้าตระกูลจ้าวคิดจะกัดไม่ปล่อยกันขนาดนี้ล่ะก็ สงสัยว่าวันพรุ่งนี้ฉันคงต้องไปเมืองหลวงเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหวังซวนจี้จริงแล้วสินะ อืมมมม หลังจากนั้นค่อยไปเยี่ยมเยือนตระกูลจ้าวสักหน่อย”
ซูจิ้งได้ยืนนื่งๆอยู่พักใหญ่โดยเปิดใช้วิธีแห่งใต้หล้าอยู่ในจิตสำนึกของเขา ตอนนี้มีวิธีการมากมายหลากหลายในการจัดการกับตระกูลจ้าวผุดขึ้นมาในความคิดของเขามากมายโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่วิ
เขาพบแม้แต่วิธีที่จะกวาดล้างตระกูลจ้าวแบบถาวรเลยด้วยซ้ำ เขาเองก็ไม่ได้อยากจะทำอะไรที่มากเกินจำเป็นนักเพราะไม่อยากจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์
แต่ใครก็ตามที่ทำเพื่อนของเขาเจ็บล่ะก็ เขาเองก็พร้อมที่จะเป็นยักษ์มารในทันที
ซูจิ้งนั้นไม่ได้อยู่จัดการขยะห้วงเวลาฯต่อแต่อย่างใด เขาเตรียมตัวที่จะเป็นเข้าร่วมงานเลี้ยงอวยพรวันเกิดอยู่พักใหญ่เพื่อให้แน่ใจว่าเรื่องในคราวนี้จะไม่พลาดอีก เพราะซูฉือนั้นในตอนนี้อยู่ไม่สุขอีกต่อไปแล้ว
ในขณะเดียวกันที่แมนชั่นตระกูลจ้าวที่ตอนนี้บรรยากาศภายในนั้นอึมครึม เต็มไปด้วยความเกลียดชังและโกรธแค้น
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งในชุดหรูราคาแพงท่าทางร้ายกาจได้พูดจาออกมาด้วยน้ำเสียงโหดร้ายขณะที่ใช้นิ้วชี้ไปยังรูปถ่ายที่ปรากฏอยู่ในคอมพิวเตอร์แล้วพูดออกมาว่า
“ยัยสำส่อนนี่ต้องเป็นซูฉือแน่ๆ ฉันจำเธอได้ต่อให้เธอตายไปแล้วก็ตาม แต่นี่เธอยังไม่ตายใช่รึเปล่า ทำไมยัยนี่ยังมีชีวิตอยู่ล่ะ เห็นไหมฉันบอกไปแล้วเห็นไหม ฉันบอกแล้วว่าต่อให้ฉันไม่โกรธจนเกือบทำลายศพนั้นไปแล้วแต่ยังไงซะศพนั้นก็ไม่ใช่ร่างของยัยนี่ เห็นแล้วรึยังว่ามันไม่ใช่จริงๆ ฉันบอกแกไปแล้วแกก็ไม่ฟัง ที่นี้เชื่อกันรึยังล่ะ”
หญิงวัยกลางคนคนนี้ก็คือแม่ของจ้าวซือหลง ตอนที่จ้าวซือหลงยืนยันว่าซูฉือตายไปแล้ว เธอเองยังโกรธซูฉือจนต้องการทำลายแม้แต่ศพของซูฉือแต่ถูกหยุดเอาไว้โดยหยางเซียวซะก่อน
นั่นก็เพราะว่าหลังจากเหตุการณ์ที่จ้าวซือหลงกระโดดออกมาจากตึกตอนนั้น ได้มีภาพวีดิโอบันทึกเหตุการณ์เอาไว้ ว่ามีตระกูลเกาเข้ามาเกี่ยวข้อง
เธอจึงได้ตรงไปที่ตระกูลเกาและทำการเตะเกาจุนเต็งจนตายด้วยส้นสูงอาบยาพิษของเธอ
เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังจนแม้แต่คนธรรมดาก็ยังเรียกร้องให้มีการดำเนินคดีเพราะหากเป็นคนทั่วไปป่านนี้ต้องโดนจำคุกตลอดชีวิตไม่ก็ประหารชีวิตไปแล้ว
แต่ตระกูลจ้าวก็ได้เล่นบทโศกโดยการอ้างเหตุผลว่าลูกชายของเธอตายจนทำให้ฟิวส์ขาดไป
ถึงแม้การตายของเกาจุนเต็งในตอนนี้จะดูประหลาดไปสักหน่อย แต่เรื่องก็เกิดไปแล้วพวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้
ยังดีที่พวกเขานั้นมีสายสัมพันธ์อันเหนียวนั่นกับกองทัพทำให้อีกไม่ได้เดือนดีแม่ของจ้าวซือหลงก็ออกมาจากคุกอย่างสบายอารมณ์
ความจริงเรื่องนี้เองก็สมควรจะจบลงไปแล้วแต่ดันมีคนส่งรูปของซูฉือมายั่วอารมณ์โกรธแม่ของจ้าวซือหลงมาถึงหน้าประตูบ้านแบบนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่เธอจะกระฟัดกระเฟียดออกมา
“อย่าพึ่งวู่วามไปน่าเธอ รูปนี้อาจจะถ่ายก่อนที่เธอตายไปแล้วก็ได้” พ่อของจ้าวซือหลงเองก็ได้พยายามพูดเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น
“รูปเก่าหรอ คุณดูยังว่ารูปเก่า ก็เห็นอยู่ว่าไอ้คนถ่ายมันบอกไว้ว่าพึ่งจะถ่ายยังไม่ถึงเดือนดี แล้วมันจะไปถ่ายก่อนเธอตายได้ยังไง
นังนี้ต้องยังไม่ตายแน่ๆ มันต้องหนีไปกบดานอยู่นอกประเทศ ฉันจับมันกลับมาได้เมื่อไหร่ ฉันจะทำให้มันต้องตายทั้งเป็น” แม่ของจ้าวซือหลงร้องไห้ออกมา
“ผมส่งคนไปสืบแล้วครับ ถ้าเธอยังไม่ตายจริงๆล่ะก็ คราวนี้ผมจะไม่มีทางปล่อยให้นังนี่หนีจากมือไปได้อีกเป็นอันขาด แต่เรื่องนี้มันก็น่าแปลกจริงๆ”
พ่อของจ้าวซือหลงได้นิ่งเงียบไปสักพักก่อนที่จะหันไปถามจ้าวซือเฟิงว่า “ซือเฟิง ตอนที่ลูกไปพบร่างของซูฉือในวันนั้นมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นรึเปล่า”
“…วันนั้นผมก็ไม่พบอะไรแปลกๆเลยนะ ผมทั้งเช็คชีพจร ลมหายใจ แม้แต่การเต้นของหัวใจ ผมลงมือตรวจสอบเองด้วยซ้ำจนแน่ใจว่าเธอตายแล้วแน่ๆ
แต่ถ้าหากเธอยังไม่ตายจริงๆล่ะก็ บอกได้เลยว่าฝั่งตรงข้ามจะต้องมีสุดยอดวิธีการที่ใช้ซ่อนตัวเธออกจากโลกนี้ได้ เอาจริงๆผมก็ไม่อยากให้รีบตัดสินใจไปนะ
เรามารอดูก่อนว่าคนของเราที่ส่งไปสืบสวนว่าได้ผลมายังไง” จ้าวฉิเฟิงพูดออกมา
GGS:บทที่ 865 จับตามอง
เช้าวันถัดมา ซูจิ้ง หวังซือหยา และหวังจ้าวได้นัดพบกันในเมือง หวังจ้าวได้นำภรรยาและลูกชายของเขาที่ชื่อว่าหวังรุ่ยมาด้วย
เมื่อหวังรุ่ยได้เห็นซูจิ้งแล้วเขานั้นได้แสดงท่าทางมีความสุขออกมาพลางเรียกเขาว่าลุงแทบทุกคำเรียกจนทำให้ซูจิ้งอยากจะแช่งชักหักกระดูกอยู่ในใจ เขานั้นโตและสูงขึ้นมากพร้อมมีลักษณะนิสัยที่ร่าเริงและดูดีมีชีวิตชีวา
ทุกคนได้ขึ้นไปนั่งบนรถลินคอร์นยาวพิเศษที่เตรียมเอาไว้ เมื่อขึ้นไปบนรถ หวังซือหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“อาจิ้ง ช่วงนี้นายเด่นดังเลยนะเนี่ย ทั้งเพลงหมัดศิลปะการป้องกันตัว และเพลงหลงลืมแอ่งน้ำน้อยในบึงใหญ่ได้รับความนิยมไปทั่วแม้แต่พวกเด็กมหาลัยก็ยังเอาไปใช้กันเลย
ไหนจะเรื่องดอกไม้ไฟเวทย์มนต์ที่ได้รับความนิยมแบบสุดจนตอนนี้นายการเป็นคนมีชื่อเสียงในระดับสองไปแล้วนะ ดูเหมือนว่าชื่อของนายจะได้ขึ้นไปอยู่ในระดับหนึ่งในไม่ช้านี้แล้ว”
หวังรุ่ยเองเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับตกใจจนเบิกตากว้าง
เขานั้นอยู่โรงเรียนประจำและโรงเรียนของเขาเองอยู่ๆก็มีการเปลี่ยนแปลงเพลงและท่าทางประกอบตอนออกกำลังกายด้วยเพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้าจริงๆ
และอย่างน้อยๆเด็กเก้าในสิบก็ชอบเพลงหมัดนี้มาก แต่เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้มีสาเหตุมาจากลุงซูของเขา ตอนนี้เขานั้นได้นับถือลุงซูของเขา ตอนแรกเขาก็นึกว่าลุงซูคนนี้เป็นเพียงแค่คนดังธรรมดาซะอีก
เจียงซิวหยิงหรือก็คือภรรยาของหวังจ้าวเอง ก็ได้จ้องมองไปยังซูจิ้งด้วยสายตาตกตะลึงไม่ต่างกัน
นั่นก็เพราะว่าในตอนแรกเธอเพียงคิดว่าซูจิ้งนั้นใช้อำนาจของสามีเธอในการพัฒนาธุรกิจจนโดดเด่นขึ้นมาได้ ด้วยการที่เขาสามารถรักษาโรคเบื่ออากหารของลูกเธอได้ เธอเลยมีความพอใจในตัวน้องชายนอกสายเลือดของสามีเขาคนนี้อยู่พอสมควรจึงไม่ได้คิดอะไรเรื่องนี้มากมาย
แต่จากการที่ได้ฟังๆบทสนทนาดูเมื่อครู่ เธอเองก็เริ่มเอะใจแล้วว่าไอ้คนที่คอยเกาะคนอื่นจนร่ำรวยเด่นดังนี่ไม่น่าจะใช่ซูจิ้งแล้วล่ะ
น่าจะเป็นสามีของเธอมากกว่าที่มองเห็นในความสามารถของซูจิ้ง และช่องทางหาเงินมากมายจากเขาจึงหาทางเกาะหนึบไม่ยอมไปไหน
นี่ยังไม่รวมถึงการเขานั้นมีอินทรีย์ทอง หมาป่าสงคราม ช่วยพ่อตาของเธอ ช่วยคนจากกองเพลิง ช่วยคนจากเครื่องบินที่โดนจี้ ไหนจะเรื่องอื่นๆอีก
เรื่องเหล่านี้ยิ่งทำให้เธอรู้สึกแปลกกับซูจิ้งมากขึ้นเรื่อยๆและเธอเองที่เป็นคนอ่านคนได้อย่างแม่นยำแต่กลับอ่านซูจิ้งไม่ออกเลยสักนิด
เธอเองก็เคยถามหวังจ้าวเรื่องของซูจิ้งเหมือนกันแต่เขานั้นไม่ได้คิดมากเรื่องพวกนั้น เขาบอกเธอเพียงว่าซูจิ้งนั้นคือเด็กผู้วิเศษสำหรับตระกูลหวังอย่างแท้จริง คนแบบนี้อ่านให้ตายก็เหนื่อยแรงเปล่า
“ก็ตามนั้นล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉันได้ฟังจากพี่สามแล้วนะว่านายอยากจะทำธุรกิจด้านยาสุบใช่รึเปล่า” หวังซือหยาถามออกมา
“ใช่แล้วล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“นายก็น่าจะรู้นะว่าธุรกิจยาสูบนั้นเป็นธุรกิจที่ถูกรัฐดูแลเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น” หวังซือหยาพูดออกมา
“เรื่องนั้นฉันบอกเขาไปแล้วล่ะ แต่เขาเองก็บอกว่าอยากจะลองดูสักตั้ง” หวังจ้าวพูดออกมา
“ฮ่าฮ่า ของมันยังไม่แน่นอนนี่นา หากยังไม่เริ่มแล้วถูกบอกว่าทำไม่ได้แล้วล้มเลิกไปเลยมันก็ไม่ใช่แนวทางของฉันน่ะสิ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“พี่หลี่เจิ้งนั้นคืนนี้เขาน่ะมาแน่นอน นายเองก็เข้าไปคุยกับเขาได้เลย แต่ว่าฉันเองก็อยากบอกอะไรนายเพิ่มอีกสักอย่าง ตระกูลจ้าวกับตระกูลซุนนั้นถือได้ว่าเป็นผู้ทรงอิทธิพลในองค์การยาสูบของรัฐ
ตอนนี้พวกเรานั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตระกูลจ้าว หากนายต้องการจะขอแบ่งเค้กชิ้นนี้ล่ะก็ฉันว่าอย่าดีกว่า
ถึงแม้ว่าพวกเรานั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลซุนก็ตาม แต่ถ้าเป็นเรื่องนี้ล่ะก็มันก็เหมือนนายเข้าไปท้าสู้กับซุนหยูเฮงซึ่งแน่นอนว่าตระกูลซุนย่อมไม่เห็นด้วย ดีไม่ดีไม่เพียงไม่ช่วยแต่อาจจะเตะตัดขานายซะด้วยซ้ำ” หวังซือหยาพูดออกมาอย่างจริงจัง
“เอาน่า ฉันก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว อย่ากังวลไปเลย หากฉันจะทำล่ะก็ฉันก็จะทำเท่าที่ฉันทำได้โดยไม่นำพาให้เกิดความเสี่ยงใดๆอย่างแน่นอน” ซุจิ้งพูดออกมา
นี่แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งตั้งใจแน่วแน่แล้วว่ายังไงเขาก็จะลองดู ซึ่งหวังซือหยาและหวังจ้าวเองก็ไม่รู้จะโน้มน้าวซูจิ้งยังไงอีก ได้แต่มองซูจิ้งเงียบๆเท่านั้น
สำหรับทั้งสองคนที่พยายามกันปัญหาออกจากซูจิ้งตามคำสั่งของพ่อพวกเขา แต่ซูจิ้งเองนั้นแม้ปากจะบอกว่าระวังแต่เขาเองก็ยังอยากจะลอง เขานั้นเปรียบได้ดั่งลูกวัวพึ่งคลอดที่ไม่รู้จักเสือสิงห์กระทิงแรดเลยจริงๆ
ทั้งหมดได้ตรงไปยังสนามบินและได้นั่งเครื่องบินไปด้วยกัน พวกเขาได้พูดคุยกันอย่างสนุกสนานตลอดทางที่ไปทำให้ไม่ได้เป็นการเดินทางที่น่าเบื่อเลยสักนิด
มีเพียงเรื่องเดียวที่ทำให้ซูจิ้งรู้สึกเซ็งๆนิดหน่อย นั่นก็เพราะมีใครหลายๆคนที่เจอเขาแล้วอยากจะมาขอถ่ายรูป บางคนก็ต้องการขอลายเซ็นของเขา นี่ทำให้เขานั้นรู้สึกรำคาญอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
หลังจากมาถึงยังเหมืองหลวง พวกเขาได้ออกมาจากสนามบิน ที่นั่นพวกเขาได้เห็นชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งกำลังถือป้ายที่เขียนไว้ด้วยตัวอักษรอันใหญ่โตว่า หวังจ้าว หวังซือหยา และซูจิ้ง
ชายคนนี้ซูจิ้งก็เคยเจอมาแล้วหนหนึ่ง เขาก็คือหวังลี่ ลูกชายของหวังจุ่น และเขาก็ถือได้ว่าเป็นคนหนุ่มที่สุดของตระกูลหวัง เขานั้นเหมือนจะอาสามารับพวกเขาเองเลย
เมื่อซูจิ้งและหวังหลี่ได้หันมาสบสายตากัน เขาได้วิ่งเข้ามาหาแล้วพูดออกมาว่า
“สวัสดีครับลุงสาม สวัสดีครับคุณป้า สวัสดีครับลุง…” เมื่อได้เห็นสายตาอันเชือดเฉือนของซูจิ้ง เขานั้นได้กระตุกคำพูดตัวเองไปเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อ่า…สวัสดีครับพี่จิ้ง”
“พี่ไปเรียกลุงซูจิ้งว่าพี่ได้ยังไงอ่ะ ตามศักดิ์แล้วพี่ต้องเรียกเขาว่าลุงจิ้งสิไม่ใช่เรียกพี่จิ้งอย่างนั้น” หวังรุ่ยแสดงท่าทีคัดค้านหัวชนฝา
“เอ็งจะบ้าหรอ ถ้านับตามศักดิ์นี่ฉันสิต้องเรียกนายว่าลุงไม่ใช่นายเรียกฉันว่าพี่” หวังหลี่เองก็จ้องไปยังหวังรุ่ยแบบเคืองๆ ลนหาที่จริงๆไอ้เด็กนี่
“ไม่จริงอ่ะ พวกเราควรเรียกเขาว่าลุง” หวังรุ่ยพูดออกมาอย่างจริงจัง
“หลี่น้อยเห็นไหมว่าขนาดรุ่ยน้อยยังฟังดูมีเหตุผลกว่าเธออีก” หวังซือหยาหัวเราะออกมา
“ป้าไม่ต้องมาหัวเราะใส่ผมเลยนะ พี่จิ้งอายุมากกว่าผมแค่สี่ไม่ก็ห้าปีเอง แล้วผมจะไปหาญกล้าเรียกเขาว่าลุงเนี่ยนะ” หวังหลี่พูดออกมาด้วยท่าทางพูดไม่เข้าคายไม่ออก
“ต่อให้เราไม่พูดถึงเรื่องนี้ แต่ถ้าพ่อนายได้ยินล่ะก็เขาก็ต้องบอกนายแบบนี้เหมือนกัน” หวังจ้าวพูดออกมาในขณะหันไปชำเลืองมองซูจิ้งพลางส่งยิ้มให้
“ก็ได้ก็ได้ ลุงสี่” หวังหลี่นั้นขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับหวังจ้าวเพราะดูๆไปแล้วพูดยังไงเขาก็ไม่ฟัง
เอาจริงๆถึงแม้ว่าเขาอาจจะถูกซูจิ้งจ้องแบบกินเลือดกินเนื้อขนาดไหน แต่เมื่อนึกถึงความน่ากลัวของพ่อของเขาแล้วเลยต้องเรียกออกมา
ลุงสี่ของเขาเองในตอนนี้ทำหน้าแบบเซ็งเป็ดแบบสุดๆ
ในขณะที่กำลังเกิดเหตุการณ์เกี่ยงศักดิ์ลำดับนับญาตกันอยู่นี้ได้มีเสียงที่ไม่ไกลจากตรงนี้สักเท่าไหร่ดังลั่นออกมาว่า “ซูจิ้ง!!!”
“ห้ะ ซูจิ้ง ไหน ไหน เขาอยู่ที่ไหน”
“นั่นไง อยู่ตรงนั้น”
“พระจ้าวช่วย นั่นพี่จิ้งจริงๆนี่”
หลายๆคนในตอนนี้เริ่มสังเกตเห็นซูจิ้งแล้ว และเริ่มมาออกันอยู่โดยรอบ ถึงแม้เขานั้นจะไม่เคยก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงแต่อย่างใด
แต่เขาเองในตอนนี้กลับขึ้นอยู่ในอันดับของรายการดาราระดับสองไปแล้วซึ่งถือได้ว่าเขามีชื่อเสียงมากๆ ชนิดที่ดาราระดับสองคนอื่นๆเองก็เทียบไม่ได้
ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ้งเองก็เปรียบได้ดั่งตำนาน นั่นก็เพราะเขามีแฟนคลับที่ศรัทธาในตัวเขามากกว่าดาราทั่วไปมากนัก นั่นก็เพราะเหล่าแฟนคลับของเขาต่างก็เห็นซูจิ้งเป็นพระเจ้าประจำใจของพวกเขาไปแล้ว
“รีบๆเลย เดี๋ยวจะไม่ได้ไปไหนกันพอดี” หวังจ้าวรีบพูดออกมา
“รถอยู่ที่ประตูครับ” หวังหลี่รีบพูดออกมา
ทุกคนในตอนนี้รีบฝ่าฝูงชนออกไปในทันที และรีบออกจากสนามบินกันอย่างไว
ข่าวที่ซูจิ้งมาที่เมืองหลวงนี้ได้กระจายออกไปไวประดุจความเร็วแสงในโลกอินเตอร์เน็ตจนเป็นที่รู้กันทั่วแทบจะทั้งเมืองหลวงแล้ว
จนกลายเป็นว่ามีคนตั้งข้อสันนิฐานได้ในที่สุดว่าเขานั้นมาทำอะไรที่นี่ งานเลี้ยงวันเกิดของหวังซวนจี้ผู้ที่เป็นผู้นำตระกูลหวังนั้นถูกจัดขึ้นในวันนี้
ซูจิ้งเองก็มีศักดิ์เป็นถึงคุณชายสี่ของตระกูลหวัง แน่นอนว่าเขาเองต้องมาเข้าร่วมอยู่แล้ว
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ไม่เพียงจะสร้างความตกตะลึงให้แฟนคลับของเขาในเมืองหลวงแล้ว ข่าวนี้ยังไปกระตุ้นให้เหล่าตระกูลต่างๆในเมืองหลวงให้อยู่กันไม่สุข
โดยเฉพาะเหล่าตระกูลใหญ่แล้ว การมาของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องเล็กๆสำหรับพวกเขา
“อาจิ้งมาที่เมืองหลวงงั้นหรอ” เฉียนหยินหนิงที่กำลังเดินอยู่ข้างกับคนในตระกูลอีกคนหนึ่งไปพลางเล่นโทรศัพท์ไปพลางก็ตกใจจนเผลอพูดออกมา
ถึงแม้ว่าบ้านหลักตระกูลเฉียนนั้นไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวงก็จริง แต่สำหรับตระกูลเฉียนนั้นถือได้ว่าเมืองหลวงเป็นฐานที่มันของตระกูล
แถมพวกเขายังเป็นตระกูลใหญ่ที่ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลหวังเลยสักนิด นอกจากนี้ยังมีคนในตระกูลอีกหลายคนลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่
“ถ้าอย่างนั้นเขาเองก็ควรจะเข้าร่วมงานวันเกิดผู้นำตระกูลหวังด้วยสินะ” ผู้อาวุโสเฉียนที่อยู่ข้างๆพูดออกมาด้วยสายตาเรืองรอง
“ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นค่ะ” เฉียนหยินหนิงพยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้นหลานลองโทรไปหาเขาแล้วชวนมาที่บ้านเราหน่อยสิ” ผู้อาวุโสเฉียนพูดออกมา
“ได้ค่า… หนูจะลากเขามาบ้านเราให้ได้เลย” เฉียนหยินหนิงหัวเราะล่าก่อนที่จะโทรไปหาซูจิ้งในทันที
…
“ซูจิ้งมาที่เมืองหลวงจริงๆด้วย” ซุนหยูเฮงทันทีที่เห็นข่าวนี้ก็ได้สบถออกมา เขานั้นได้ไปทำธุรกิจในที่ต่างๆจึงไม่ค่อยได้กลับมาที่เป่ยจิง(ปักกิ่ง)นี่สักเท่าไหร่นัก
การที่เขาอยู่ที่นี่ในวันนี้เป็นเพราะจะมาอวยพรวันเกิดหวังซวนจี้เช่นเดียวกัน นั่นก็เพราะว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกุลซุนและตระกูลหวังนั้นยงคงดีอยู่
อีกอย่างหากเขายากจะเข้าหาหวังซือหยาได้อีกครั้งนั้น งานเลี้ยงวันเกิดของหวังซวนจี้นี้ถือเป็นที่ที่ดีที่สุดแล้ว
แต่เมื่อเขานึกถึงเรื่องของซูจิ้งทีไรแล้ว เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกัดฟันด้วยความโกรธ
ในขณะเดียวกัน จ้าวซือเฟิงแห่งตระกูลจ้าวเองก็ได้เห็นข่าวนี้ ถึงกับคิ้วขมวดและคิดอะไรอยู่พักใหญ่ เขารีบปิดประตูล็อคในทันทีก่อนที่จะทำการโทรศัพท์ออกไป
ความจริงแล้วตระกูลจ้าวไม่ได้มีเรื่องอะไรที่ต้องจัดการซูจิ้งเลย แต่กับจ้าวซือเฟิงแล้วเขานั้นยังไม่เคยลดละความสงสัยและคอยสืบสวนเรื่องเกี่ยวกับซูจิ้งอยู่บ่อยครั้ง
ตระกูลต่างๆในเมืองหลวงในตอนนี้ต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับการมาถึงของซูจิ้งในครั้งนี้ หลายๆคนเองก็อยากไปเห็นกับตาว่าชายคนนี้วิเศษวิโสมาจากไหนกันแน่
นั่นก็เพราะไม่เพียงเขาจะสามารถช่วยหวังซวนจี้ได้แล้ว เขายังช่วยกิจการของตระกูลหวังจนได้ผลประโยชน์แบบที่จะเรียกได้ว่าไม่สิ้นสุดเลยก็ว่าได้
นอกจากว่าเขาจะเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังแล้ว เขายังถูกนับถือให้เป็นปรมาจารย์ได้ต่างๆอย่าง เทพฝึกสัตว์ เทพโรงครัว จ้าวแห่งโกะ จ้าวแห่งยุทธ เทพกู่เจิ้ง และเทพนักเขียนภาพพู่กันจีน อีก
พวกเขาเองจึงอยากเห็นสักครั้งกับตาตัวเอง
GGS:บทที่ 866 ของขวัญธรรมดา
ในช่วงเย็น ณ แมนชั่นตระกูลหวัง
รถหรูคันหนึ่งได้เข้ามาจอดอยู่ลานจอดรถของตระกูลหวัง ในนี้มีรถหรูอยู่หลายคัน บางคันเองก็ดูเก่าเล็กน้อย
แต่หากเป็นคนที่คอยติดตามข่าวสารบ้านเมืองซักหน่อยล่ะก็ เมื่อพวกเขาเห็นป้ายทะเบียนจะต้องถึงกับต้องตกใจจนตัวสั่นอย่างแน่นอน เพราะเจ้าของรถแต่ละคันล้วนแล้วแต่เป็นคนใหญ่คนโตกันทั้งนั้น
ซุนหยูเฮงที่พึ่งจะมาถึงนั้น เมื่อเขาได้เห็นซูจิ้งกำลังยืนรับแขกอยู่กับหวังซือหยา หวังจ้าว หวังจุ่น และหวังเจิ้งอยู่ในงานถึงกับต้องขมวดคิ้ว
นี่หมายความว่าในสายตาของตระกูลหวังอันสูงส่งแล้วซูจิ้งนั้นไม่ได้เป็นแขกคนหนึ่ง แต่เห็นเขาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลจริงๆในฐานะคุณชายสี่
เรื่องนี้ทำให้ซุนหยูเองนั้นถึงกับไม่พอใจอย่างที่สุด เขาไม่คิดว่าซูจิ้งนั้นจะสามารถได้รับการยอมรับเร็วขนาดนี้มาก่อน
หากว่าเขานั้นสามารถเข้าหาหวังซือหยาจนเป็นลูกเขยตระกูลหวังได้ล่ะก็ เขาต้องระวังซูจิ้งเป็นพิเศษอย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยๆเขาก็ยังมีอำนาจของตระกูลคอยหนุนหลังอยู่ ยังไงซะซูจิ้งก็ไม่มีทางเทียบเขาได้
หลี่เทียนเฮอและหลี่เจิ้งเองก็ได้มาถึงงานแล้ว ซูจิ้งและหวังจ้าวได้รีบเข้าไปต้อนรับทั้งคู่ในทันที แม้แต่หวังซวนจี้เองก็ยังมารับหลี่เทียนเฮอด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะว่าทั้งคู่เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
ในระหว่างนี้หวังจ้าวก็ได้แนะนำซูจิ้งให้กับหลี่เจิ้งได้รู้จักกัน แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้ใช้โอกาสนี้ในการพูดเรื่องเกี่ยวกับธุรกิจยาสูบแต่อย่างใด
เพราะยังไงซะงานเลี้ยงก็ยังไม่ทันเริ่มตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่ดีนักในการพูดคุยเรื่องแบบนี้
หวังจุ่นและหวังเจิ้งเองก็ได้พาแนะนำซูจิ้งไปแนะนำให้คนใหญ่คนโตบางคนที่สนใจในความเก่งกาจของซูจิ้งจนต้องขอให้ทั้งสองพาไปแนะนำให้รู้จักให้จงได้
พวกเขานั้นตั้งการรู้จักนายน้อยคนที่สี่ของตระกูลว่าเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่มีสามเศียรหกกรอย่างที่เขาลือกันจริงรึเปล่า
ในขณะนี้เป็นเวลาสองทุ่มแล้ว แขกก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย และงานเลี้ยงเองก็ได้เริ่มขึ้นแล้วเหมือนกัน
ในงานนี้มีกำหนดการอยู่ตามธรรมเนียมของตระกูลอยู่อย่างชัดเจน พวกเขามีลำดับการให้ของขวัญโดยจะให้เหล่าลูกชายและลูกสาวของหวังซวนจี้ได้มอบของขวัญและอวยพรวันเกิดก่อน
ลำดับดังกล่าวประกอบด้วยหวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังจ้าว หวังซือหยา ซูจิ้งเองก็ถูกให้เข้ามาร่วมตรงนี้ แล้วตามด้วยซุนจื่อ และหลานๆบางคนเข้ามามอบของขวัญและอวยพรวันเกิดได้แก่ หวังหลี่ หวังยี่ หวังรุ่ย และคนอื่นๆ
ตอนนี้บรรยากาศในงานช่างดูอบอุ่นอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าบรรดาหลานๆของเขานั้นเมื่อได้รู้ลำดับพิธีการแล้วต่างก็โวยวายและต่างแย่งให้ของขวัญก่อนใครเพื่อน ซึ่งหนึ่งนั้นก็มีหวังรุ่ยซึ่งหนุ่มที่สุดในบรรดาหลานๆอยู่ด้วย
ภาพนี้ช่างน่ารักจนทำให้หวังซวนจี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและยิ้มให้กับหลานๆอย่างมีความสุข
หลังจากนั้นก็ตามงานฉลองวันเกิดทั่วๆไปก็คือการเป่าเค้กวันเกิดและมีนักดนตรีเล่นเพลงวันเกิดในระหว่างงาน
พร้อมทั้งเริ่มมีการให้ของขวัญ ถึงแม้จะมีการประกาศธรรมเนียมของตระกูลไปแล้วแต่ก็ยังมีแขกอีกหลายคนที่ต้องการมอบของขวัญก่อนคนอื่น
ถึงแม้จะมูลค่าไม่สูงมากนักเพราะหลายๆคนเองก็เป็นคนใหญ่คนโตในราชการจึงไม่สามารถให้ของขวัญมูลค่าสูงได้เนื่องจากจะกลายเป็นข้อครหาทีหลัง
ซึ่งบรรดาลูกๆอย่างหวังจุ่น หวังเจิ้ง หวังจ้าว หวังซือหยา และคนอื่นๆเองก็ไม่ได้ว่าอะไรและยอมให้พวกเขามอบของขวัญวันเกิดไปก่อน ใครจะไปกล้าว่าได้กัน
อีกอย่างของแต่ละอย่างนั้นไม่ได้ตรงตามรสนิยมของหวังซวนจี้แม้แต่น้อยแต่ยังไงซะคนเหล่านี้ก็ยังเป็นคนใหญ่คนโตทั้งนั้น อีกอย่างเหล่าลูกๆไม่ได้สนใจอะไรมากเพราเชื่อว่าของขวัญของตัวเองดีกว่าอย่างแน่นอน ตัวอย่างเช่น
หวังจุ่นมอบไปป์หยกดำให้ ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ รูปทรง ลายละเอียด ดีไซน์ และรายละเอียดทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นงานชั้นเลิศที่มีมูลค่าอย่างน้อยๆก็หนึ่งแสนหยวนทีเดียว
หวังจ้าวมอบเป็นงานภาพวาดของฉิไป๋ชี่อัจฉริยะบุคคลด้านภาพวาดสีน้ำของจีน โดยภาพนี้ถูกประเมินไว้ว่ามีมูลค่าเกือบๆหนึ่งล้านหยวน
หวังซือหยาได้มอบเครื่องลายครามสมัยราชวงศ์ฉิงให้ ซึ่งมีราคาหลายล้านหยวนเลยทีเดียว
หลังจากที่บรรดาลูกแท้ๆมอบของขวัญไปแล้ว ถัดมาก็คือคิวของคุณชายสี่ให้ตระกูลหวังอย่างซูจิ้ง
แต่ทันทีที่ซูจิ้งขยับตัวเพื่อเตรียมจะมอบของขวัญ ทำให้หลายๆคนถึงกับอยู่ไม่สุข ส่วนใหญ่คนที่อยู่ไม่สุขนี้จะเป็นคนใหญ่คนโตและคนที่รู้จักชื่อเสียงของซูจิ้งเป็นอย่างดี จะเรียกว่าเกือบโกลาหลเลยก็ว่าได้
สามารถบอกได้เลยว่าบรรยากาศในตอนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเลยเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ ยกตัวอย่างเช่นตอนหวังจ้าวและหวังซือหยา ของขวัญของทั้งสองคนนั้นแม้จะทำให้คนในงานลายๆคนตกตะลึงไปพักใหญ่
มีคนรวยหลายๆคนเองก็ให้ความสนใจอยู่เหมือนกันแต่พวกเขาก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกันมาก
แต่กับซูจิ้งนั้นทุกคนต่างก็มั่นใจว่าของขวัญของเขานั้นล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา ของทุกอย่างของซูจิ้งล้วนแล้วแต่เกินจากความรู้และประสบการณ์ของพวกเขาที่จะเคยเห็นมาก่อน
“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าฉายาเจ้าแห่งของขวัญของอาจิ้งจะดังมาไกลถึงเมืองหลวงเลยนะเนี่ย” หวังซวนจี้เองก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แม้แต่หวังจุ่นและหวังเจิ้งเองก็ยังต้องเฝ้ามองอย่างสนใจ แต่กับหวังซือหยาและหวังจ้าวนั้นเกิดความรู้สึกอยู่ลางๆว่าทั้งสองจะต้องพ่ายแพ้ในเรื่องของขวัญนี้เป็นแน่
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองนั้นจะบอกซูจิ้งไปแล้วว่าไม่ต้องมอบสุดยอดของขวัญให้พ่อของพวกเขา
แต่ทั้งสองก็ยังรู้นิสัยซูจิ้งดีอีกเช่นกันว่าซูจิ้งนั้นไม่มีทางฟังทั้งสองอย่างแน่นอนเพราะไม่ใช่แนวของเขา ถ้าเขายอมทำตามง่ายๆเขาก็ไม่ควรได้ฉายาเจ้าแห่งของขวัญแล้วล่ะ
เมื่อเห็นซูจิ้งเดินขึ้นไปด้วยมือเปล่าแล้ว ทั้งสองได้มีความคิดแวบเข้ามาในหัวทันทีว่าของๆซูจิ้งนั้นควรจะเป็นของที่เสื่อมค่าเมื่อเขานั้นแตะต้องมันด้วยมือตัวเอง
“อย่างที่เขาพูดว่าได้ยินไม่สู้ได้เห็นจริงๆ ฉันเองขนาดมีประสบการณ์แบบนี้จากในงานวันเกิดของตัวเองมาแล้วก็ตาม แต่ฉายาของเด็กหนุ่มคนนี้ช่างสุดยอดจริงๆ” หลี่เทียนเฮอได้ถอนหายใจออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“เจ้าแห่งของขวัญ?” เด็กน้อยหวังยี่หลุดขำออกมาจนต้องเอามือปิดปากของเธอในทันทีเมื่อได้ยินฉายาของซูจิ้งก่อนจะพูดออกมาอีกครั้งว่าฟังผิดไปรึเปล่า
“เหอเหอเหอ ทำเป็นขำไปเถอะ เธอเห็นหน้าลุงสามกับป้ารึเปล่าล่ะ ฉันกลัวว่าของขวัญของพวกเขาจะกร่อยไปเลยเมื่อเทียบกับของที่ลุงสี่เอามา ฉันเคยเห็นวีดิโอที่เขามอบของขวัญออกมาแล้วนะ เรียกได้เลยว่ายังกับเห็นผีแน่ะ ทันทีที่ลุงสี่เอาของขวัญออกมา ของขวัญต่างๆภายในงานล้วนแล้วแต่ไร้ค่าไปเลย แล้วนี่หลังจากนี้เราจะกล้าให้ของได้ไงเนี่ย” หวังหลี่กระซิบบอกหวังยี่
“ขนาดนั้นจริงดิ” หวังยี่ถามออกมาด้วยสายตาเบิกกว้าง
“ไม่เชื่อเดี๋ยวก็รอดูได้เลย ฉันรู้สึกแบบนั้นได้จริงๆ” หวังหลี่เองเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเองแบบสุดๆ
หลังจากที่ได้ยินทั้งสองพูดกันซูจิ้งก็ถึงกับพูดไม่ออกพลางคิดไปว่า นี่ฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญเลยนะ จะรีบกระวีกระวาดออกมาทำไมกันเนี่ย เขาเองก็รู้สึกคันปากจนต้องพูดออกมาว่า “เดี๋ยวสิ อย่าพึ่งรีบพูดแบบนั้นออกมา ครั้งนี้ฉันเอาของธรรมดามาจริงๆนะ”
หวังซือหยาและหวังจ้าวเมื่อได้ยินทั้งสองได้เหลือกตามองบนมองในทันที พร้อมกับรู้ในทันทีว่าพวกเขาทั้งสองจบสิ้นแล้ว
นั่นก็เพราะยิ่งซูจิ้งพูดออกมาแนวนี้มากเท่าไหร่ ของขวัญที่เขานำออกมานั้นไม่เคยจะธรรมดาเลยสักครั้ง ครั้งนี้เองก็สมควรทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในวงการนี้อีกครั้งแน่นอนแล้ว
“จริงๆนา ของขวัญที่ฉันเตรียมมาในครั้งนี้ก็แค่การแสดงมายากลเล็กน้อยๆแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มายากล” ทุกคนในที่นี้ต่างก็อึ้งและประหลาดใจออกมาพร้อมกันในทันทีที่ได้ยิน
เมื่อซูจิ้งพูดจบเขาได้หันหลังและเดินออกมา ไม่ได้ให้ของขวัญจนสร้างแรงกระเพื่อมให้โลกนี้ดั่งตามฉายาของเขาแต่อย่างใด ว่าแต่เขานั้นเล่นมายากลได้ด้วยเหรอ
“มายากลอะไรล่ะนั่น รีบแสดงให้ดูสิ” หวังซวนจี้ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างสนใจใคร่รุ้
“มายากลของผมนี้เล่นได้เฉพาะที่สวนหน้าบ้านเท่านั้นครับ หากอยากเห็นจริงล่ะก็ขอให้ตามผมมาก็แล้วกัน”
ซูจิ้งพูดออกมา
หลังจากนั้นภายใต้การเดินนำของหวังซวนจี้ ทุกคนได้เดินออกไปจากบ้านไปยังสวนหน้าบ้าน ซึ่งตอนนี้สวนหน้าบ้านได้เปิดไฟสว่างไปทั่ว
ซูจิ้งได้เดินไปยังพื้นหญ้าหน้าบ้าน เขานั้นได้อยู่ข้างๆหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ซูจิ้งได้หยิบผ้าบางๆสีดำออกมาจากในกระเป๋า ก่อนที่จะโยนขึ้นไปคลุมก้อนหินนั้นจนมิดในทีเดียว
“เดี๋ยวนะ ทำไมสวนบ้านเราถึงได้มีก้อนหินอันเป้งแบบนี้กันล่ะ” หวังซือหยาถามออกมา
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ ฉันเองก็อยากจะถามเหมือนกัน ฉันก็นึกว่ามีใครสั่งให้คนส่งหินมาประดับสวนซะอีก”
หวังจุ่นถามออกมา
ทั้งหวังจ้าว หวังเจิ้ง และคนอื่นๆในตระกูลหวัง ต่างก็ส่ายหัวไม่รู้ไม่เห็นกันไปหมด
ทุกๆคนในงานต่างก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าซูจิ้งนั้นน่าจะแอบแวบออกมาเตรียมไว้โดยไม่ให้ใครสังเกตเห็นได้ หินก้อนนี้น่าจะเป็นหนึ่งในอุปกรณ์มายากลที่เขาว่ามาเมื่อกี้
“เอาล่ะนะทุกคน จับตาดูไว้ให้ดีๆนะครับ” ซูจิ้งพูดจบเขาก็ค่อยๆยกมือขึ้นไปจับผ้าสีดำนั้นอย่างนุ่มนวลแล้วค่อยๆดึงผ้าออกมาและจัดการโยนทิ้งไป ทุกคนที่ได้เห็นว่าอะไรอยู่ใต้ผ้าต่างก็ตกตะลึงใจเต้นระรัวในทันที
โดยทั่วไปแล้ว หากคนทั่วไปได้ยินคำว่ามายากลต่างก็ต้องนึกถึงชุดของการแสดงหรือไม่ก็เกริ่นพูดเว่นเว้อเพื่อดึงดูดสายตาก่อนที่จะทำอะไรออกมาแบบฉับพลันนั่นสิถึงเรียกว่ามายากล
แต่สิ่งที่ซูจิ้งทำนั้นเป็นเพียงแค่นำผ้าสีดำมาคลุมและดึงออกจนทำให้เห็นว่าอะไรอยู่ข้างในนั้นเองจริงๆ แต่ทุกคนที่อยู่ในตอนนี้ถึงกับต้องมองหน้ากัน หวังยี่ หวังลี่ และอีกหลายๆคนที่ได้เห็นต่างก็อุทานออกมาดังลั่น และก็มีอีกหลายๆคนที่ตกใจจนหายใจดังเฮือกออกมา
GGS:บทที่ 867 ดินแดนแห่งภูต
ในสายตาประชาชีตอนนี้ ทันทีที่ผ้าผืนสีดำถูกซูจิ้งดึงออกไป แม้แต่ก้อนหินก้อนยักษ์ก้อนนั้นก็ได้หายไปเช่นเดียวกัน แต่กลับปรากฎออกมาเป็นงานแกะสลักไม้สุดแสนจะใหญ่ยักษ์ที่มีขนาดสูงกว่าสองเมตรและกว้างกว่าห้าเมตร ซึ่งมันมีขนาดพอๆกับหินก้อนยักษ์ก่อนหน้านี้เลยทีเดียว
ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็นิ่งอึ้งไปกันเป็นแทบ
“พระเจ้า หินก้อนนั้นไปไหนแล้วน่ะ” หวังยี่ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“แล้วงานแกะสลักนี้มาได้ยังไงกัน” หวังหลี่เองพูดในขณะที่เดินสำรวจไปรอบๆรากไม้อันใหญ่ยักษ์
“ของใหญ่และหนักขนาดนั้นถูกเปลี่ยนในทันที เป็นไปได้ยังไงกัน” หวังจุ่นเองก็ได้พูดขณะที่มองซ้ายบ่ายขวาแต่ก็ไม่เห็นว่ามีร่องรอยบ่งบอกว่าใช้วิธีการไหนกันแน่
“ช่างเป็นมายากลที่วิเศษนัก” หลี่เทียนเฮอพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นว่าทำยังไงก็เถอะ แต่ก้อนหินก้อนนี้ถูกส่งมาโดยรถเมื่อช่วงเย็นเอง น่าจะเป็นอาจิ้งที่ให้พวกเขามาส่ง แต่ฉันดูเองเมื่อตอนนั้นก็ว่าเป็นหินธรรมดาเองนา” หวังซวนจี้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ซุนหยูเฮงเองถึงแม้ว่าเขานั้นจะรังเกียจที่เห็นซูจิ้งนั้นโดดเด่น เขาเองก็อยากจะหักหน้าของซูจิ้งจนเดินมาสำรวจรอบๆรากไม้นี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่จนแล้วจนรอดเขาก็ไม่เจออะไร
ถ้าจะเจอก็เพียงรอยหญ้าที่บ่งบอกว่าก่อนหน้านี้มีหินก้อนใหญ่วางเอาไว้จริงๆก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นงานแกะสลักไม้แบบนี้
เขาถึงขนาดเอาผ้าที่ซูจิ้งโยนออกไปกองก่อนหน้านี้ออกมากางและพยายามวิ่งให้ผ้าลู่ลมดูเพื่อดูว่าในผ้ามีกลไกอะไรซ่อนเอาไว้รึเปล่า
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่สุดยอดนักมายากลมาดูเองก็ต้องงงเป็นไก่ตาแตก เอาจริงๆเขาไม่ได้ใช้ทริคมายากลหรือเวทมนต์อะไรเลย เขาเพียงแค่ใช้กระเป๋ามิติเก็บเก็บหินเข้าไป แล้วนำรากไม้นี้ออกมา
เขานั้นแค่ใช้ผ้าเพื่อดึงดูดสายตาคนอื่นและทำให้มันดูเป็นมายากลจริงๆก็เท่านั้นเอง
แต่ด้วยการที่ว่าไม่มีร่องรอยที่จะบอกได้ว่าสิ่งที่เขาทำนั้นคือมายากล แถมที่นี่เองก็ไม่ได้มีห้องอะไร นี่จึงทำให้ทุกๆคนในที่นี้ถึงกับพิศวงกันเลยทีเดียว
มันเหมือนกับในรายการมายากล(สุดยอดพิศวง)ที่มีใครหลายๆคนพยายามจะผลักก้อนหินใหญ่ยักษ์ แต่อยู่ๆซูจิ้งแค่เข้ามาในห้องแล้วให้ทุกคนปิดตาพอลืมตามันก็หายไปแล้ว
นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทุกคนก็ยังคิดว่ามันต้องมีทริคอะไรบางอย่างซ่อนอยู่แน่ๆ
เอาจริงๆที่พวกเขานั้นคิดว่าเป็นมายากลจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
นั่นก็เพราะว่ารายการโชว์สุดยอดพิศวง(รายการมายากล)นั้น ได้รับความนิยมจนมีผู้ติดตามอย่างล้นหลามและพวกเขานั้นก็เอาทริคพวกนี้มาแสดงและเฉลยอยู่บ่อยๆ
เอาจริงๆที่ซูจิ้งต้องมาทำเป็นเล่นมายากลอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าเขานั้นอยากจะลองมาแสดงมายากลอะไรไร้สาระนี่หรอก
แต่เขานั้นอยากจะให้ของขวัญจริงๆ แต่ด้วยงานแกะสลักไม้ชิ้นใหญ่ขนาดนี้จะให้ขนส่งมาทางอากาศยังไงก็ไม่ทัน
ต่อให้เขานั้นแกล้งปลีกตัวแล้วให้บริษัทขนส่งในเมืองหลวงขนมาให้ แต่กับของสำคัญขนาดนี้เขาจะไปไว้ใจใครได้กัน หากไม่ถูกขโมยแต่ก็อาจจะเสียหายระหว่างขนส่งได้
เขาจึงคิดว่ามายากลนี่แหล่ะดีที่สุด แถมยังทำให้คนประหลาดใจได้จริงๆซะอีก
“เดี๋ยวนะ งานแกะสลักนี่….” ระหว่างที่คนอื่นๆต่างก็ฉงนสงสัยเกี่ยวกับมายาแห่งมายากลของซูจิ้งอยู่นั้น
ชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น เขานั้นรีบแหวกฝูงชนเข้ามาดูงานแกะสลักไม้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
หลังจากนั้นเขาก็ทำท่าตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า ราวกับนักสเก็ตรูปได้เจอสาวงามก็ไม่ปาน
คนอื่นๆเองที่เห็นดังนั้นก็ได้หยุดชะงัก แล้วหันไปมองงานไม้แกะสลักอันใหญ่โตนี่ดีๆ และเมื่อสังเกตเห็นแล้วต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน
ทุกๆคนต่างก็จ้องมองไปยังร่างๆหนึ่งอย่างฉงนสงสัย ในตอนแรกนั้นด้วยการที่ไฟบริเวณนี้ไม่ได้สว่างสักเท่าไหร่จึงเห็นไม่ได้ชัดนนัก เห็นแต่เพียงว่านี่เป็นงานแกะสลักไม้ชิ้นใหญ่ยักษ์แค่นั้นเอง
แต่ในตอนนี้เมื่อทุกคนเข้ามาดูใกล้ๆแล้วทำได้เห็นรายละเอียดต่างๆได้อย่างชัดเจน
สิ่งที่เห็นอยู่ตอนนี้คืองานแกะสลักไม้ที่มีพื้นหลังเหมือนกับเกาะที่อยู่กลางท้องฟ้า ล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอก ราวกับดินแดนแห่งภูตตามเรื่องเล่าของมนุษย์
ยิ่งมองใกล้เท่าไหร่พวกเขาก็ได้เห็นป่าที่อยู่บนเกาะ บนเกาะมีผีเสื้อมากมายหลากหลายตัวโบยบินอย่างร่าเริงอยู่ในป่า มีกวางกำลังยืนกินน้ำอยู่ในแม่น้ำ มองไกลๆก็มียูนิคอร์นอยู่ไม่ห่างนัก มีอินทรีย์ตัวยักษ์ลอยอยู่บนฟ้า
บ่งบอกได้ว่าป่าแห่งนี้ไม่เต็มไปด้วยไม้หายาก ก็มีแต่สัตว์ในตำนานทั้งนั้น แถมทั้งหมดยังดูราวกับมีชีวิตอยู่จริงๆ
“พระเจ้า ทำไมงานไม้ชิ้นนี้ช่างสวยจริงๆ” หวังยี่พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นงานแกะไม้ที่ใหญ่และสวยงามขนาดนี้” หวังหลี่เองก็รู้สึกมหัศจรรย์ใจจนพูดออกมา
“อย่าว่าแต่หลานเลย ปู่เองก็ไม่เคยเหมือนกัน” หวังซวนจี้ได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่หวังซือหยา หวังจ้าว หวังจุ่น หวังเจิ้ง และคนอื่นๆเองนั้นยังไม่คืนสติเลยด้วยซ้ำ
งานแกะสลักไม้นี้ทำให้เกิดบรรทัดฐานใหม่ของความสวยงามในงานแกะสลักไม้จริงๆ
“งานแกะสลักไม้นี้ช่างเป็นงานที่มหัศจรย์พันลึกยิ่งนัก” หลี่เทียนเฮอพูดออกมาด้วยสายตาระยิบระยับ
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้อยู่แล้วว่าซูจิ้งนั้นด้วยฉายาเจ้าแห่งของขวัญแล้วยังเขาก็ต้องเตรียมอะไรดีๆมาแน่นอน แต่ขนาดเตรียมใจไว้แล้วเขาเองก็ยังอดที่จะตกตะลึงไม่ได้อยู่ดี
ตอนนี้ใจใจของเขานั้นยากที่จะเก็บงานแกะสลักไม้นี้ยัดลงกระเป๋าแล้วเอากลับบ้านไปเลยทีเดียว
“นี่สมควรจะเป็นผลงานสร้างสรรค์ของสุดยอดนักออกแบบรวมกับสุดยอดนักแกะสลักงานไม้เป็นแน่ พระเจ้าเถอะ โชคดีจริงๆที่ได้มางานในวันนี้” ชายวัยกลางคนคนนั้นได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นสุดๆ
“ผู้อาวุโสฉู แม้แต่ผู้อาวุโสเองก็ไม่เคยเห็นงานแกะสลักไม้แบบนี้อย่างนั้นหรือครับ” หวังจุ่นถามออกมา
“อย่าว่าแต่ฉันเลย ฉันว่าต่อให้ทั้งวงการนักเก็บสะสมงานแกะสลักไม้แบบเดียวกับฉันก็ไม่น่าจะมีใครได้เคยเห็นงานแบบนี้มาก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงตัวงานแกะสลักแค่ไม้ขนาดเท่านี้ยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไป” ชายวัยกลางคนได้ทำท่าเหมือนกำลังประเมินอะไรบางอย่างก่อนจะพูดออกมาว่า “โดยทั่วไปแล้วงานศิลปะบนลากไม้แบบนี้จะประกอบไปด้วยสามส่วนประดิษฐ์และเจ็ดส่วนธรรมชาติ
งานไม้แกะสลักชิ้นนี้ได้แกะสลักออกมาเป็นรูปเมฆ ป่า กวางผา และอื่นๆ ซึ่งถือได้ว่าเป็นทั้งธรรมชาติและงานประดิษฐ์ นี่บ่งบอกถึงความวิเศษของคนออกแบบ
แน่นอนว่าช่างแกะสลักเองก็มหัศจรรย์ไม่แพ้กัน ช่างแกะสลักนั้นไม่ใช่ว่าจะเพียงแกะสลักก็ถือว่าเป็นได้แล้ว แต่ช่างแกะสลักนั้นจำเป็นต้องจบงานให้เป็นด้วย
การที่คนคนนั้นจะเปลี่ยนวัสดุที่มาจากธรรมชาติที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนอยู่แล้วให้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีธรรมชาติของตัวมันเองได้อย่างมีชีวิตชีวานั่นคือสุดยอดช่างฝีมือ
งานนี้เองก็ได้แกะสลักสิ่งมีชีวิตได้ราวกับมีชีวิตจริงๆไม่ว่าจะเป็นผีเสื้อ กวางผา ยูนิคอร์น ฯลฯ ช่างฝีมือคนนี้แกะสลักออกมาอย่างประณีตจนราวกับว่าไม่ใช่คนของโลกนี้เลยทีเดียว ฉันสามารถบอกได้เลยว่างานนี้คือสุดยอดผลงานที่หามีงานไหนเทียบได้เลยเท่าที่ฉันเคยเห็นมา”
“แล้วท่านผุ้อาวุโสคิดว่าไม้นี้มีค่าเท่าไหร่กัน” มีคนๆหนึ่งถามออกมา
“ต่อให้งานแกะสลักไม้นี้เลิศเลอขนาดไหนก็ไม่สมควรจะมีค่ามากมายอะไรไม่ใช่หรอ” ซุนหยูเฮงพูดออกมา
“ห้ะ ใครบอกแกกันว่างานแกะสลักไม้ไม่มีค่า นี่แกดูถูกงานแกะสลักไม้มากเกินไปแล้ว
เดือนเมษายนปี 2004 งานแกะสลักไม้ขนาดยักษ์ที่ชื่อว่าทางช้างเผือกได้ถูกประมูลไปในราคาหกแสนหยวน
เดือนเมษายนปี 2011 งานแกะสลักไม้ยักษ์รูปสิงโตที่มีชื่อว่าเจ้าแห่งป่าที่ถูกแกะสลักจากไม้การบูรสีทองถูกขายไปที่สิบแปดล้านหยวน และถูกนำไปจัดแสดงไว้ในจังหวัดชางซี
เดือนพฤษภาคมปี 2007 มีงานแกะสลักจากไม้โบราณออกมาชิ้นหนึ่งและได้มีรายการซื้อขายงานชิ้นนั้นไปกว่าเก้าสิบล้านหยวน
ส่วนงานแกะสลักที่อยู่ตรงหน้าพวกเราในตอนนี้ ขนาดของมันพอกับงานไม้โบราณชิ้นนั้น แต่คุณค่าทางศิลปะของมันนั้นสูงล้ำกว่าอย่างเทียบกันไม่ติด
ราคาของไม้นี้เองก็สมควรจะมากกว่าสองเท่าไม่ก็สามเท่าเป็นอย่างน้อย ฟังอยู่นี้แล้วแกยังคิดว่างานแกะสลักไม้นั้นไม่มีค่าอยู่อีกรึเปล่า” ชายวัยกลางคนคนนั้นพูดออกมาอย่างของขึ้น
ต่อให้คนในงานจะเป็นคนที่รวยอยู่แล้วก็ตาม แต่พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะต้องสูดหายใจเข้าอย่างหนักหน่วง
แม้แต่ซุนหยูเฮงเองก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกันพลางคิดไปว่านี่ซูจิ้งไปขโมยงานชิ้นนี้มาจากสวรรค์รึยังไง
สองสามเท่าของเก้าสิบล้านหยวน ไม่บอกไปว่าสองสามเท่าของพันหล้านหยวนไปเลยล่ะ นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ ยิ่งไปกว่านั้นสมบัติชิ้นนี้มันซื้อด้วยเงินได้ที่ไหนกัน
ทุกคนในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะหันไปมองซูจิ้งแบบเห็นตัวประหลาด ก่อนหน้านี้เขานั้นบอกว่าเป็นของขวัญธรรมดา เป็นเพียงแค่การแสดงมายากลทั่วไป เชื่อกับนรกน่ะสิ
ของแบบนี้เนี่ยนะของธรรมดาสามัญทั่วๆไป หมอนี่แค่เอามายากลเป็นแค่ข้ออ้างชัดๆ
หมอนี่สมแล้วที่ได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งของขวัญ ว่าแต่แล้วอย่างนี้ไอ้คนที่ให้ของขวัญหลังจากนี้จะทำหน้าอีท่าไหนกันล่ะ
หวังจ้าวและหวังซือหยาที่ตอนนี้ที่กำลังพลัดกันนวดขมับของอีกฝ่ายอยู่นั้น ต่างที่คิดออกมาว่า “…ว่าแล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น