Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 856-857
GGS:บทที่ 856 บอดสนิท
“อาจิ้งเตรียมการแสดงอะไรมากันแน่เนี่ย” จูเจียนฮัวสงสัยจะต้องถามลอยๆออกมา
“ไม่รู้เหมือนกัน” เป็งหมิงได้แต่ส่ายหัวตอบออกไป
“ทำไมซูจิ้งยังนั่งอยู่ที่นั่งแขกพิเศษอยู่ล่ะ เขาไม่ได้ร่วมแสดงด้วยหรอกหรอ” ลู่ชิงหยาเอ่ยถามออกมาในขณะที่สายตาจ้องมองไปยังซูจิ้งที่กำลังนั่งแทนที่เธอ ที่ออกมาถ่ายรูปบรรยากาศการแสดง
“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนควบคุมมากว่านะ” หยางเว่ยพูดออกมา
ทุกคนที่อยู่ใกล้ๆในตอนนี้ต่างก็แสดงท่าทางกังวลออกมา ถ้าซูจิ้งไม่ได้ขึ้นแสดงเองก็เท่ากับว่าการแสดงนี้เขาจะไม่ได้เป็นจุดสนใจแต่อย่างใด
แต่หลายๆคนที่อยู่ไกลๆก็ยังคงจับตาดูไปที่เวทีโดยไม่รู้ว่าซูจิ้งจะไม่ได้ขึ้นร่วมการแสดงนี้พร้อมด้วยความคาดหวังการแสดงดีๆอยู่
เมื่อม่านเปิดออก กลุ่มคนชายและหญิงได้ยืนเรียงกันจำนวนหกแถว แถวหนึ่งห่างกันประมาณครึ่งเมตร แถวหน้าประกอบด้วย ฮูเฟยหยุน ไชหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง หวู่หลง และคนอื่นๆที่ความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้มากที่สุด
“หืม! เหมือนซูจิ้งจะไม่ได้ร่วมด้วยนะ”
“ถ้าเขาไม่ร่วมแสดงฉันไปดีกว่า”
“ก็ดีนะ”
“อย่าทำตัวเสียมารยาทน่า นี่คือการแสดงที่พี่จิ้งจัดเตรียมมาเองเลยนะ จะออกมาไม่ดีได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวนะ นั่นเฟยหยุนไม่ใช่หรอ คนที่อยู่ตรงกลางน่ะ”
“เฟยหยุนนี่ใครอ่ะ”
“ฮูเฟยหยุนไง คนที่เป็นนักแสดง ฉันเองก็ได้ติดตามเขานานๆทีเหมือนกัน ฉันได้ยินมาว่าเขานั้นเป็นนักแสดงแทนนักแสดงหลักในเรื่อง “กระบี่เทพธิดา” ด้วยนะ”
“ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆเขานั่นดูไม่เลวเลยนะ”
“ขนาดฉันที่มั่นใจในร่างกายตัวเอง พอเห็นเธอแล้วยังรู้สึกด้อยกว่าเลย”
“คนที่อยู่ข้างขวาของฮูเฟยหยุนนี่มันหวู่หลงไม่ใช่หรอนั่น”
“บ้าเอ๊ย ลูกพี่ใหญ่แห่งวงการใต้ดินมาร่วมการแสดงให้พวกเราดูเนี่ยนะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
“เอ่อออ เหมือนฉันได้ยินมาว่าลูกพี่เขาเหมือนจะถูกศิษย์พี่จิ้งหลอกให้มาแสดงนะ”
“ว่าแต่นี่มันการแสดงอะไรกันเนี่ย ทำมันถึงได้ดูเรียบร้อยแปลกแบบนี้กัน”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันถึงเรื่องคนที่รับหน้าที่แสดงอยู่นั้น อยู่ก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ในตอนนี้พวกเขานั้นเริ่มเต็มไปด้วยความหวังว่าจะได้ดูการแสดงดีๆอยู่ในใจ
แต่เมื่อเพลงเล่นไปได้สักพัก เพลงที่เล่นช่างเป็นเพลงที่พวกเขาคุ้นหูกันจนทำให้พวกเขาต่างก็ทำหน้ามึนงงและฉงนกันไปหมด บางคนถึงกับเอ่ยถามออกมาว่า “นี่เขาเปิดเพลงผิดรึเปล่าเนี่ย”
เพลงที่เล่นออกมานั่นก็คือเพลงวิทยุที่เปิดเล่นกันเพื่อให้เด็กนักเรียนออกกำลังกายและประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะทั้งหลาย
หรือก็คือเป็นเพลงที่นักเรียนทุกคนต้องได้ยินกันทุกเช้าจนบางคนฮัมเพลงจนจบได้ทั้งๆที่ไม่อยากจะจำเสียด้วยซ้ำ
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็คิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างที่ผิดพลาดอย่างแรงแน่ๆ การแสดงของซูจิ้งนั้นไม่น่าจะต้องใช้เพลงสัญญาณเสียงที่พวกเขาใช้ประกอบทำกิจกรรมการเข้าจังหวะทุกเช้าแน่ๆ
แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะทักท้วงก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาว่า “สัญญาณเสียงเข้าจังหวะ เริ่ม ท่าแรกยืดตัว 12345678 1 12345678 2 12345678 3 ….”
ในตอนนี้ สายตาทุกคนที่จ้องขึ้นไปบนเวที แทบจะหลุดออกมายืดเส้นยืดสายตามเสียงสัญญาณที่ได้ยินไปแทบทั่วทุกตัวคน
มันก็จริงที่ถ้าที่ทุกคนบนเวทีใช้อยู่ตอนนี้ เป็นท่วงท่าที่พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ด้วยการที่การแสดงดังกล่าวช่างราบเรียบ และเป็นจังหวะ ประกอบกับเสียงเพลงประกอบจังหวะแล้ว พวกเขานั้นกำลังสับสนอยู่ในตอนนี้ว่าตกลงการแสดงนี้คือการแสดงอะไรกันแน่
“ฉันไปล่ะ นี่มันเป็นกิจกรรมออกกำลังกายยามเช้าชัดๆ”
“นี่มันการแสดงอะไรกันเนี่ย”
“อา… ตาของฉันต้องบอดแล้วแหงๆ ไม่ได้มีอะไรน่าดูเลยสักนิด เสียสายตาเปล่าๆ”
“รุ่นพี่จิ้งจะแกล้งพวกเรากันสินะ”
“ฉันบอกได้เลยนะว่าตอนแรกฉันได้คิดไปไกลเลยว่าพี่จิ้งจะเอาการแสดงชั้นยอดอะไรมาแสดงให้พวกเราดู แต่ฉันไม่น่าไปคาดหวังเลยจริงๆพับผ่าเถอะ”
“โอ๊ยยยยย จินตนาการของงฉ้านนนน”
ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ว่ากล่าวสาดเสียเทเสียการแสดงของซูจิ้งจนดังระงมไปทั่วทั้งงาน จนแม้แต่พิธีกรในตอนนี้เองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะทำตัวยังไงดี
ในขณะเดียวกัน แฟนคลับของซูจิ้งที่ทำได้เพียงเห็นการแสดงอยู่ไกลลิบลิ่วผ่านวีดิโอถ่ายทอดสดจากที่ไกลๆเนื่องจากไม่สามารถเข้าไปถ่ายในงานได้ก็ทำได้เพียงแค่นิ่งๆอึ้งๆกันไป พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน
“พี่จิ้งจะทำอะไรกันแน่เนี่ย”
“นี่เป็นการแสดงที่ห่วยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมาเลยนะ”
“พระเจ้า ช่วยบอกพี่จิ้งให้เปลี่ยนการแสดงทีเถ้ออออออะ”
จูเจียนฮัว เป็งหมิง ลู่ชิงหยา หยางเว่ย และคนอื่นๆเองก็ทำได้เพียงมองไปทื่อๆจนแทบอยากจะสิ้นสติไปเสียตรงนั้น
แม้แต่พ่อ แม่ และน้องสาวของเขาเองที่กำลังจ้องมองอยู่ก็ถึงกับทำหน้าโง่งมทำอะไรไม่ถูกเช่นเดียวกัน จนในตอนนี้แม้แต่ครูใหญ่ ตลอดจนครูหลิวผู้ซึ่งได้รับหน้าที่ให้ดำเนินการงานเลี้ยงถึงกับต้องเบือนหน้าหนี
“เฮ้เฮ้เฮ้ ไอ้หมอนี่ช่างกล้าจริง” เจียเจิ้งหนิง หยางตง หลิวหยง ทั้งสามคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์การแสดงกิจกรรมเข้าจังหวะของซูจิ้งกันอย่างมันส์ปาก ถึงกับหัวเราะออกมาดังลั่น ในที่สุด พวกเขาก็ได้เห็นซูจิ้งทำตัวโง่งมต่อหน้าสาธารณชนจนได้
อย่างก็ตาม มีเพียงบางส่วนที่จับจ้องมองตาไม่กระพริบราวกับพบขุมสมบัติ ถึงกระนั้นคนส่วนใหญ่ภายในงานตอนนี้ต่างก็พูดคุยว่าร้ายการแสดงนี้มากมาย
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะว่าร้ายมากมายขนาดไหนพวกเขาก็ทำได้เพียงไม่นานนัก เพราะว่าเพียงไม่นาน ความเร็วของเสียงเพลงประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะก็ได้เปลี่ยนไป
เมื่อทุกคนเริ่มสังเกตได้ว่าเสียงเพลงประกอบจังหวะเริ่มยากขึ้น แต่เหล่าคนที่แสดงท่าทางประกอบจังหวะเหล่านั้นยังคงทำตามได้อย่างลื่นไหลและไม่มีสะดุดแต่อย่างดัง
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เพลงประกอบดังกล่าวยิ่งเร็วขึ้นกว่าเดิม แต่นั้น ก็ไม่ได้เป็นการหยุดยั้งให้เหล่านักแสดงท่าทางประกอบจังหวะผิดพลาดเลยแม้เพียงท่าเดียว
โดยทั่วไปแล้วเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะจะต้องเป็นไปอย่างเนิบๆ จะว่าเชื่องช้าก็ว่าได้ แต่อย่างน้อยๆเพลงพวกนั้นมีต้องมีจังหวะที่สม่ำเสมอ เพื่อให้คนที่ทำท่าสามารถตามได้ทัน
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเพลงพวกนี้ถึงได้ฟังดูน่าเบื่ออย่างมาก ซึ่งในตอนแรกเพลงประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะที่คนบนเวทีแสดงท่าทางประกอบนั้นเป็นจังหวะแบบนั้นเลยก็ว่าได้
แต่นอกจากคนที่เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แล้ว น้อยคนนักที่จะรู้สึกถึงความต่างตั้งแต่ต้นเพลง ด้วยการที่ท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะนี้ตั้งแต่ต้นนั้น หาใช่เพียงท่าเต้นออกกำลังกายทั่วๆไป
แต่มันคือท่าทางของศิลปะการต่อสู้ ใครก็ตามที่ร่ำเรียนศิลปะการต่อสู้มาต่างก็รู้สึกได้ว่าท่าทางเหล่านี้ ยิ่งทำไปนานเท่าไหร่ อานุภาพของมันก็ยิ่งจะค่อยๆแสดงออกมาให้เห็น ประดุจดั่งเสือที่นานวันไปยิ่งดุร้ายมากขึ้น
เพียงเข้าสู่ท่วงท่าที่สอง ตอนนี้บรรยากาศในงานได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ความจริงร้อนระอุยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
ทุกคนที่อยู่ข้างล่างเวทีในตอนนี้ต่างจ้องมองกันอย่างตาไม่กระพริบ บางคนถึงกับพยายามทำตามเลยด้วยซ้ำ และหลายๆคนก็เริ่มรู้ตัวแล้วว่า ท่าของกิจกรรมเข้าจังหวะนี้คือท่าบางส่วนของเพลงหมัดวัวคลั่ง
พอถึงท่วงท่าที่สาม สี่ และห้า ตามลำดับ ทุกคนในตอนนี้ต่างก็ออกมาทำตามกันจนถึงกับเลื่อนเก้าอี้นั่งออกไปบริเวณข้างงาน
ทุกคนในงานตอนนี้ได้ประจักษ์กับตัวเองแล้วว่า ท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะเหล่านี้นั้นคือสุดยอดท่วงท่าประกอบเพลงเข้าจังหวะอย่างแท้จริง
“เดี๋ยวนะ นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า ทำไมฉันถึงคิดว่าท่วงท่าประกอบเพลงพวกนี้ช่างดูดีเสียจนอยากทำตามเลยล่ะ”
“ไม่หรอก มันดูดีจริงๆ มันน่าทำตามยิ่งกว่าท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะที่พวกเราทำกันอยู่ทุกเช้าอีกนะ ฉันว่ามันน่าจะมาจากพวกกระบวนท่าการต่อสู้อะไรพวกนั้น”
“จริงด้วย ฉันนึกออกแล้ว ท่วงท่าพวกนี้ฉันเหมือนจะเคยเห็นมาจากกระบวนท่าพื้นฐานของเพลงหมัดวัวคลั่งนะ”
“จริงดิ สุดยอดท่าทางประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะชุดนี้สุดยอดจริงๆ”
“ฉันผิดเองที่ได้ปรามาศศิษย์พี่จิ้งไป การแสดงท่าทางประกอบเพลงนี่สุดยอดจริงๆ ไม่ธรรมดาเลย”
ตอนนี้เสียงวิพากษ์วิจารณ์เสียๆหายๆที่เคยมีได้ยินแว่วๆก่อนหน้านี้ได้หายไปหมด ในตอนนี้เหลือเพียงแค่เสียงเยินยอและสรรเสริญซูจิ้งและการแสดงของเขาเท่านั้นเอง
ซูจิ้งเองหลังจากได้ยินเสียงคนที่เอ่ยชมการแสดงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา การแสดงนี้ถือได้ว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว ช่างเป็นชัยชนะที่ยากจะได้รับจริงๆ
ใช่แล้ว นี่คือกระบวนท่าที่เขาได้สอน ฮูเฟยหยุนและผองเพื่อนเมื่อสองวันก่อน
เขาเองได้เรียนเพลงหมัดชุดนี้ว่า ออกกำลังกายยามเช้า ซึ่งมันเป็นกระบวนท่าพื้นฐานของเพลงหมัดวัวคลั่ง รวมกับตำรายุทธ์อื่นๆที่เขาได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมเอาไว้
ความจริงแล้วตำราที่ไม่สมบูรณ์เหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเนื้อหาส่วนต้นซึ่งไม่ได้มีปัญหาในตอนเริ่มฝึกสักเท่าไหร่
และพวกมันล้วนแล้วแต่เป็นตำรายุทธ์สายพุทธ นั่นก็เท่ากันว่าพวกมันล้วนแล้วแต่มาจากที่มาเดียวกันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอามารวมเข้าด้วยกัน
เขาจึงได้คัดสรรท่วงท่าที่เหมาะสมกับการเสริมสร้างร่างกายของเหล่านักเรียนในทุกๆวัน มาผนวกรวมกันจนได้มาเป็นวิชายุทธ์นี้ขึ้นมา
นี่จึงกล่าวได้ว่าเพลงหมัดนี้ไม่เพียงเป็นการผนวกรวมสุดยอดเคล็ดวิชายุทธ์เบื้องต้นเอาไว้ด้วยกันเท่านั้น แต่มันถือได้ว่าเป็นการผนวกรวมอย่างมีคุณภาพ
ไม่เพียงกระบวนท่าเหล่านี้จะช่วยเสริมสร้างร่างกายแล้ว ถึงแม้ว่าอานุภาพของมันจะไม่เท่าหมัดวัวคลั่งก็ตาม
แต่ก็บอกได้ว่ากระบวนท่าเหล่านี้เสริมสร้างร่างกายได้ดีกว่าท่าทางประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะทั่วๆไปที่ทำกันในตอนเช้า
แถมยังดีกว่าการทำกายภาพบำบัดด้วยการร่ายรำ(การรำไท้เก๊กเลียนแบบท่าทางจากสัตว์)เสียอีก
นั่นก็เพราะว่ากระบวนท่าเหล่านั้นสามารถทำตามได้ยาก แถมยังไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นัก
แน่นอนว่าใครก็ตามที่มีอาการเกี่ยวกับระบบประสาท สามารถทำเพลงหมัดชุดนี้เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกายได้อย่างดีเลยทีเดียว
จริงๆแล้วตามความคิดของซูจิ้งนั้นสำหรับเขาแล้วเพลงหมัดเมาของเขานั้นถือได้ว่าเป็นสุดยอดแห่งเพลงหมัดในใต้หล้านี่แล้ว
เพียงแต่ว่าเพลงหมัดนั้นยากเกินกว่าที่จะสอนให้กับคนทั่วไปได้ เอาจริงๆแม้แต่นักศิลปะการต่อสู้เองถ้าไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้จริงๆก็ยากที่จะฝึกได้สำเร็จ
ดังนั้นแล้วยิ่งเป็นเด็กนักเรียนล่ะก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปใหญ่ พวกเขานั้นเป็นพวกที่นั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่โดยไม่มีเวลาได้ออกกำลังกายอยู่แล้ว
ดังนั้นสำหรับเด็กนักเรียนเหล่านี้แล้ว กระบวนท่าที่ใช้ออกกำลังกายควรเป็นท่าทางที่ง่ายแต่ว่าได้ผลดี และพวกเขาเองก็ต้องออกกำลังกายในตอนเช้าเป็นกิจวัตรประจำวันอยู่แล้ว
การที่ซูจิ้งจะสร้างเพลงหมัดแบบนี้มาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
ด้วยการที่เพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้าของซูจิ้งนั้นเป็นการผนวกรวมกันของวิชายุทธ์เบื้องต้นของหลายๆตำราเข้ากับเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะ
จึงทำให้ท่าทางที่ใช้ประกอบเพลงเมื่อทำตามแล้วจะดูดีกว่าปกติ นี่จึงช่วยให้มีความรู้สึกน่าทำตาม สนุก และน่าเพลิดเพลิน จนแม้แต่ตอนนี้เหล่านักเรียนเองจึงอดไม่ได้ที่จะทำตาม
แน่นอนว่าฮูเฟยหยุน ไชหวู่เฟิง จี้เสี่ยวติง และคนอื่นๆเองที่แสดงท่าทางประกอบเพลงในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวพวกเขาเองนั้นสง่างาม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยิ่งพวกเขาฝึกมากเท่าไหร่ ร่างกายของพวกเขาก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นเท่านั้น
เอาจริงๆแล้วเหตุผลที่เขานั้นให้พวกของฮูเฟยหยุนเป็นผู้แสดงแทนเขานั้น นั่นก็เพราะว่าการจะชนะใจนักเรียนให้ทำตามได้นั้น หากให้เขาเป็นคนแสดงน้อยคนนักที่เชื่อใจจนทำตามได้ มันก็เหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์ไปซื้อของตัวเองให้ลูกค้าที่รู้จักกันดีดู
ความน่าเชื่อถือย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว
GGS:บทที่ 857 ตบท้าย
หลังจากที่ฮูเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆแสดงเสร็จแล้ว ทุกคนก็ได้ก้าวเดินออกไปอย่างเป็นระเบียบ การแสดงของพวกเขานั้นความจริงแล้วพวกเขาเองก็อายไม่ใช่น้อยเลยเหมือนกัน
ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งให้มาร่วมแสดงเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ใครจะไปคิดว่าสุดท้ายพวกเขานั้นจะต้องมาทำกิจกรรมเข้าจังหวะให้นักเรียนในโรงเรียนดูแทน
ต่ออย่างน้อยๆท้ายที่สุดแล้วผลตอบรับก็ออกมาดีจนพวกเขาเองก็ยังแปลกใจเหมือนกัน เหนือสิ่งอื่นใดแล้วที่พวกกลัวอย่างที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลาที่พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับเหล่านักศิลปะการต่อสู้จากสำนักอื่น หากมีคนถามถึงพวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเหมือนกัน
เมื่อสิ้นสุดการแสดง พิธีการได้ออกมาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นยังไงบ้างครับกับการแสดงแรกที่คุณซูได้เตรียมเอาไว้ให้ พวกคุณพอใจกันรึเปล่า
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับผมเลยนะที่มีความรู้สึกว่าการทำท่าทางประกอบเพลงกิจกรรมเข้าจังหวะนั้นช่างเท่ห์มากมายขนาดนี้
เพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านี้ถูกสร้างคิดโดยคุณซูที่นำเอากระบวนท่าในศิลปะการต่อสู้เข้าประยุกต์ใช้ ส่วนชื่อของมันนั้น เขาเองก็ตั้งเอาไว้ให้เข้าใจง่ายเฉยๆ ถ้าเป็นผมนะผมจะตั้งชื่อให้กับเพลงหมัดนี้ศิลปะการต่อสู้พละ…”
“ที่แท้ท่วงท่าทั้งหมดนั่นมาจากกระบวนท่าในศิลปะการต่อสู้นี่เอง ถึงว่าทำไมถึงดูดีและเท่ห์นัก”
“ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจะได้ฝึกศิลปะการต่อสู้แล้วยังช่วยเสริมสร้างร่างกายแบบง่ายๆอีก”
“พวกท่าทางพละที่ฉันใช้มาก่อนหน้านี้เทียบไม่ติดเลย ฉันเองก็อยากจะลองทำตามดูสักหนหนึ่งเหมือนกัน”
ตอนนี้เหล่านักเรียนของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนแห่งนี้ ได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเพลงหมัดชุดนี้กันอย่างไม่หยุดปาก แม้แต่อาจารย์ใหญ่เองก็แสดงความตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
ตอนที่มีการแสดงเพลงหมัดนี้ นักเรียนหลายๆคนเองก็ได้ลองทำตามเพลงหมัดนี้ในทันทีเหมือนกัน
โดยส่วนใหญ่ท่วงท่าที่ใช้ประกอบเพลงในโรงเรียนนั้นเป็นออกแนวเต้นกันเสียเป็นส่วนมาก
มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะมีการใช้ท่วงท่าของศิลปะการต่อสู้มาประกอบ แถมยังนำมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งไม่ใช่ทั้งหมดแบบของซูจิ้ง
แน่นอนว่าเพลงหมัดนี้จะเป็นที่นิยมของนักเรียนในไม่ช้าอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นโดยพื้นแล้วกระบวนท่าที่ซูจิ้งนำมาใช้ก็สมควรจะมาจากเพลงหมัดวัวคลั่งที่เป็นเพลงหมัดที่วิเศษอย่างยิ่ง
มีหลายๆคนพูดกันว่าเพลงหมัดนี้มีผลต่อการรักษาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในระบบประสาท
แถมยังเสริมสร้างสมรรถภาพของร่างกาย เพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านี้เองก็สมควรจะมีความสามารถคล้ายคลึงกันอย่างแน่นอน
“เพลงหมัดศิลปะการต่อสู้พละนี้ช่างดีจริงๆ” อาจารย์ใหญ่พยักหน้าพูดออกมาแล้วหัวเราะจนดังลั่น
“ผมว่าเราควรเสนอ ผอ. ให้บรรจุเพลงหมัดนี้ในช่วงกิจกรรมเข้าจังหวะยามเช้าของพวกเรานะครับ”
“ฉันเองก็คิดอย่างนั้นนะ แต่ก่อนหน้านั้นเราคงต้องให้อาจารย์พละศึกษาไปเรียนมาก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยเสนอในที่ประชุมอีกที” อาจารย์ใหญ่พูดออกมา
“เหอะเหอะ สงสัยไอ้เจ้าเพลงหมัดศิลปะ… อะไรนี่จะต้องได้รับความนิยมแหงๆ” จูเจียนฮัวที่เห็นบรรยากาศรอบข้างในตอนนี้ได้แต่ทำท่าโง่งมออกมาเล็กน้อย
“ตอนแรกฉันก็คิดว่าซูจิ้งนั้นอับจนหนทางจนต้องเอากิจกรรมเข้าจังหวะมาแสดงแทน ไม่คิดเลยว่าหมอนั่นจะปรับปรุงจนเป็นที่ลือเลื่องขนาดนี้ในเพียงพริบตา
ช่างหาใครเปรียบได้จริงๆหมอนี่” เป็งหมิงได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แม้แต่ลู่ชิงหยาและหยางเว่ยเองก็ทำได้เพียงยิ้มโดยไม่พูดอะไรออกมา
ในตอนนี้เจียเจิ้งหนิง หยางตง และหลิวหยง ที่นินทาว่าร้ายซูจิ้งจนเสียงดังลั่นในตอนแรกนั้น ครานี้พวกเขาได้แต่จ้องไปยังซูจิ้งในตอนนี้มีท่าทางอยากจะขุดหลุมหายไปซะตอนนี้เลยทีเดียว
การแสดงยังคงดำเนินต่อไปโดยโปรแกรมถัดๆมาเองก็ยังเป็นการแสดงของเหล่านักเรียนของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุน
หลายๆคนเองก็เริ่มรู้สึกภายในใจแล้วว่า ไม่ว่าการแสดงต่างๆตั้งแต่ต้นจนมาถึงบัดนี้ ไม่ว่าจะเป็นร้องเพลง เต้นรำ ดวลเต้น
บรรยากาศช่างต่างกับตอนที่คนของซูจิ้งขึ้นมาแสดงเพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านั่นเป็นไหนๆ
จนในที่สุดก็มีการแสดงหนึ่งที่ช่วยดึงบรรยากาศของงานขึ้นมาได้ นั่นคือการท้าดวลร้องเพลงฮิบฮอบระหว่างนักเรียนชายและนักเรียนหญิง
ถึงแม้จะมีความผิดพลาดระหว่างการดวลเพลงกันมากบ้าง น้อยบ้าง แต่การแสดงก็ยังคงไหลลื่นจนถือได้ว่าใช้ได้ดีเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามหลังจากที่การดวลร้องเพลงนี้จบลง บรรยากาศในงานก็รู้สึกตกลงอีกครั้ง แต่การแสดงก็ยังคงดำเนินต่อไปอีกเล็กน้อย
ในที่สุดก็มาถึงการแสดงสุดท้ายแล้ว นั่นทำให้นักเรียนบางคนยังรู้สึกไม่เต็มอิ่มจึงหันมาคุยกันว่า
“รุ่นพี่จิ้งเขาจะแค่มาคุมการแสดงเพลงหมัดออกกำลังกายยามเช้านั่นอย่างเดียวจริงๆหรอ การแสดงที่พี่จิ้งเตรียมมามีแค่อันนั้นอย่างเดียวจริงๆอ่ะ”
“ฉันก็ว่าการแสดงของพี่จิ้งที่จัดในงานนี้แค่อันเดียวน้อยเกินไปจริงๆ ฉันว่าต่อให้เขาต้องหาการแสดงมาแสดงทั้งงานเลยก็ยังสบายๆนะนั่น”
“เดี๋ยวนะ รุ่นพี่ซูจิ้งไม่ได้นั่งอยู่ตรงเก้าอี้แขกพิเศษนี่นา”
“ทำไมเขาถึงไม่อยู่ล่ะ หรือว่าเขากลับไปก่อนแล้ว”
“ฉันว่าไม่นะ ฉันเองก็แอบจ้องไปที่เขาบ่อยๆก็ไม่เห็นว่าเขาจะได้ออกไปไหนเลย อีกอย่าง แฟนของรุ่นพี่เขายังนั่งอยู่นี่เลยนะ”
“งั้นก็เป็นไปได้ว่า รุ่นพี่ไปหลังเวทีรึเปล่า”
เมื่อนักเรียนคนนั้นเห็นว่าซูจิ้งได้เดินไปยังหลังเวทีและทำการพูดคุยกับเพื่อนนักเรียนของเขาที่มีหน้าที่ดูแลเวที เธอได้แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาในทันที
ทันใดนั้น พิธีการได้พูดออกมาว่า “รายการต่อไป ในที่สุดก็มาถึงกันแล้วนะครับ รายการนี้จะเป็นรายการสุดท้ายของค่ำคืนนี้ และผมขอรับประกันได้เลยว่ามันต้องเป็นรายการที่สุดพิเศษอย่างแน่นอน
ผมเองก็รู้และหวังเหมือนๆกับใครหลายๆคน ที่อยากจะได้เห็นการแสดงของคุณซูจิ้ง
ถ้าถามผมนะ ผมเองหวังที่สุดว่าการแสดงสุดท้ายนี้อยากให้คุณซูได้เล่นเพลงกู่จิ้งสักเพลง
ซึ่งนั้นก็ได้กลายเป็นจริงแล้ว วันนี้คุณซูจิ้งจะมาเล่นเพลงกู่จิ้งที่เขาตั้งชื่อเอาไว้ว่า “หลงลืมบึงน้อยในแอ่งน้ำใหญ่” เชิญรับชมและรับฟังกันได้แล้วครับ ”
เพียงสิ้นเสียงพิธีกร เหล่านักเรียนและคุณครูบางคนที่เป็นแฟนคลับของซูจิ้งถึงกับโห่ร้องออกมาด้วยความยินดี
“เพราะเจ้า ในที่สุด แถมยังเป็นเพลงใหม่อีกด้วย”
“ฉันรู้จักและจำเพลงของพี่จิ้งได้ทุกเพลงเลยนะ และไม่มีทางลืมโดยเด็ดขาดถ้ามันเคยมีอยู่บนอินเตอร์เน็ต เพลงนี้เองก็สมควรเป็นเพลงใหม่อย่างแน่นอน”
“วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ”
ทันใดนั้นเองม่านบนเวทีก็ได้เปิดออก ซูจิ้งในตอนนี้ นั่งอยู่เพียงคนเดียวอยู่กลางเวทีโดยมีกู่จิ้งตัวหนึ่งวางอยู่ตรงหน้าของเขา
รอบตัวเขาในตอนนี้หาได้มีแดนเซอร์มายืนอยู่ข้างๆ ถ้าจะพูดตรงก็คือเขานั้นเพียงแค่นั่งเฉยๆเพื่อรอเวลาอันเหมาะสม แต่นั่นก็ยังคงรียกเสียงเชียร์อย่างล้นหลาม
จนผ่านไปสักพัก บรรยากาศโดยรอบถึงได้ค่อยๆเงียบสงบ และนั่นเองก็เป็นสัญชาตญาณโดยธรรมชาติของทุกคนที่จะนิ่งเงียบสนิทและฟังอย่างตั้งใจ
ซูจิ้งไม่ได้แสดงกริยาท่าทางอะไรออกมา เขาเพียงแต่ยกมือขึ้นอย่างนุ่มนวล และค่อยๆกดลง บรรจงจับไปยังสายของกู่จิ้งสายหนึ่ง
ก่อนที่จะดึงขึ้นเล็กน้อยและปล่อยให้สายกระทบกับแอ่งไม้จนเกิดเสียงก้องกังวานออกมา ดังตริ๊งงงง
เสียงที่เกิดขึ้นเพียงเสียงเดียว ทุกคนที่ฝังต่างก็รู้สึกได้ถึงความนุ่มนวลและแผ่วเบาของน้ำที่ถูกขังเอาไว้ในแอ่งน้ำที่ไหนสักแอ่ง
ท่วงทำนองที่สัมผัสช่างให้ความรู้สึกสง่างาม ประณีต และทรงพลัง
สาวๆในตอนนี้ต่างก็เห็นซูจิ้งแล้วพลางนึกไปว่าตรงหน้าของพวกเธอคือบุรุษที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแรมปี
ผู้ซึ่งกำลังหยิบหนังสือกวีโบราณมาเปิดอ่านอย่างสบายอารมณ์
ต่อให้โลกภายนอกเกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้ตรงหน้าคือสาวสวยปานเทพธิดาฟ้าประธาน ต่อให้มีชื่อเสียง เงินทอง หรือเพชรพลอยมาอยู่ตรงหน้า เขาก็หาได้ใส่ใจไม่
เสียงเพลงยังคงบรรเลงต่อไปท่ามกลางแนวทางการเล่นที่สื่อถึงการไม่สนใจสิ่งใดในโลกา มีเพียงสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
สำหรับเหล่าชายหนุ่มในตอนนี้นั้น พวกเขาต่างก็รู้สึกอย่างเดียวกันนั่นก็คือตรงหน้าของพวกเขาคือหญิงสาวอันงามสง่า สวยงาม และสนิทสนมจนสามารถอยู่เคียงข้างได้
แต่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม เธอคนนั้นก็ยังมัวแต่อ่านหนังสืออยู่ดี
ภาพที่ทั้งชายและหญิงเห็นนั้นที่เหมือนกันที่สุดก็คือ คนๆหนึ่งที่งามสง่า ประดุจฟ้าประทาน และหน้าหลงใหล หาได้ใส่ใจสิ่งใดๆในโลกา มีเพียงหนังสือคู่ใจที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้นที่คู่ควร
เหล่านักเรียน คุณครู และศิษย์เก่า ตลอดจนนักข่าว และแฟนคลับ ที่กำลังดูการสตรีมอยู่ตอนนี้ ต่างก็เคลิบเคลิ้ม
ดื่มด่ำไปกับเสียงเพลง จนลืมปัญหาต่างๆที่รอคอยพวกเขาอยู่บนโลกแห่งความจริง สนใจเพียงบทกวีที่ปรากฎอยู่ในหนังสือ ช่างเป็นความรู้สึกที่ดีจนไม่รู้จะดียังไงแล้ว
เพลงได้บรรเลงไปอยู่นานจนกระทั่งสิ้นสุดลง
มีเพียงความเงียบเพียงชั่วครู่เท่านั้นที่ได้เข้ามาครอบคลุมในพื้นที่ ในทันทีที่ทุกคนรู้สึกตัวก็ต่างโห่ร้องออกมาด้วยความยินดีและอบอุ่นจนรับรู้ได้ไปทั่วห้องประชุม
“สุดยอด ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก”
“ช่างเป็นแนวการเล่นที่แปลกพิศดารจริงๆ พอได้ฟังอย่างนี้แล้วฉันรู้สึกว่าอยากจะชิงทุนการศึกษาซะแล้วสิ”
“เห็นด้วย ฉันเองนั้นตอนนี้แล้วก็ยังไม่เคยทำอะไรที่มันเป็นชิ้นเป็นอันเลยในชีวิต ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนความกังวลที่ไหลผ่านไปราวกับสาวน้ำและทะเลสาบ จนเหมือนกับว่าทุกสิ่งทุกอ่ย่างในชีวิตช่างสงบสุขเสียจริงๆ”
“พี่จิ้ง สุดยอดดดดด”
“พี่จิ้ง ฉันรักพี่นะ….”
และคนที่ตื่นเต้นเหนือกว่าใครๆในตอนนี้นั่นก็คืออาจารย์ใหญ่ ประธานนักเรียน และเหล่าคุณครูทั้งหลาย
ทันทีที่พวกเขาได้ยินเพลงบรรเลงนั้นต่างก็ตกใจจนต้องลุกขึ้นยืนฟังกันทุกคน
ไม่ใช่ว่าพวกเขาฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไรแต่เป็นท่วงทำนองที่ลึกซึ้งกินใจ
และแนวทางเพลงที่ช่วยปัดเป่าปัญหาต่างๆในชีวิตการทำงานทั้งหลายแหล่
ไม่ว่าจะเป็นการหาวิธีให้เด็กนักเรียนของตัวเองตั้งใจเรียน เรียนรู้เรื่องจนได้เกรดดีๆ
ไหนจะเรื่องการวางแผนการสอน ไหนจะเรื่องการหาทุนมาสนับสนุนเด็กๆ ไหนจะต้องผลักดันให้เด็กประสบความสำเร็จในชีวิต
ท่ามกลางความมุ่งหวังเหล่านั้นในสภาพที่จำกัดจำเขี่ยของคุณครูแต่ละคน
ในตอนแรกก่อนที่พวกเขาจะลุกขึ้นยืนฟังนั้น แวบแรกที่ได้ยินพวกเขาเพียงแค่คิดว่าเพลงนี้เป็นเพียงเพลงที่ดีเพลงหนึ่งเท่านั้นเอง
แต่ยิ่งฟังไปก็ยิ่งรู้สึกดี ยิ่งฟังไปจิตใจก็ปลอดโปล่ง ยิ่งฟังก็ยิ่งทำให้จิตใจสงบสุข เมื่อพวกเขาได้ฟังการจนจบแล้วต่างก็คิดไปว่าเพลงแบบนี้สามารถเล่นได้บนโลกนี้ได้ยังไงกัน
ถ้าพวกเขารู้ว่ามีเพลงที่กล่อมเกลาจิตใจได้ขนาดนี้ล่ะก็คงจะหาฟังตั้งนานแล้ว ไม่มัวแต่ไปหาทางให้จิตใจสงบสุขแบบเป็นหน้าเป็นหลังแล้วก็ไม่ได้ผลอะไรเลยสักนิด
ตราบใดที่มีเพลงนี้ พวกเขาจะเปิดนั่งฟังให้จิตใจสงบสุขพร้อมเผชิญปัญหาทึกวันได้อย่างแน่นอน
และเช่นเคย เพลงหลงลืมบึงน้ำน้อยในแอ่งน้ำใหญ่นี้ หาได้เป็นเพลงที่มาจากโลกนี้แต่อย่างใด เพลงๆนี้มาจากห้วงเวลาฯเทพจากฝั่งตะวันตก
บทเพลงนี้เป็นบทเพลงที่พ่อของภูตน้อยเทียนไหล เขานั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลทางได้บทกวีและเสียงเพลง
เขาเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งท่วงทำนองของบทเพลง บทกวี ดนตรี และเข้าใจถึงแก่นแท้ของแต่ละแนวเพลงอย่างลึกซึ้งจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าคนทั่วไปเทียบไม่ติด
ถึงแม้ซูจิ้งจะสามารถเข้าถึงเพลงนี้ได้แค่เพียงเศษก็ตาม แต่ยังแล้วกับคนธรรมดาเพลงนี้คือเพลงที่ช่วยชำระล้างจิตใจได้อย่างหมดจดเลยทีเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น