Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 854-855
GGS:บทที่ 854 งานครบรอบร้อยปี
กาลเวลาผ่านไปสองวันไวเหมือนโกหก ในที่สุดงานเลี้ยงครบรอบร้อยปีโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งเมืองจงหยุนก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ในตอนเย็นวันนั้น ณ หอประชุมโรงเรียนที่แน่นขนัดไปด้วยนักเรียนจนเต็มหอประชุม
พวกเขาได้ช่วยกันย้ายเก้าอี้ที่ใช้ในห้องเรียนมาไว้กันที่นี่นั่นก็เพราะว่าไม่มีทางที่ทุกคนจะนั่งที่นั่งของหอประชุมกันได้หมด โดยแถวหน้าถูกจัดเอาไว้ให้สำหรับแขกพิเศษของโรงเรียน
“ช่างเป็นวันที่ดีจริงๆ ดูเหมือนว่างานสามารถเริ่มได้ทันทีที่อาทิตย์ลับฟ้านะ” หยางเว่ยค่อนข้างจะตื่นเต้นเล็กน้อยในขณะที่อยู่ในชุดสูท
“ฉันเห็นคนรู้จักหลายคนเลยนะ แต่พริบตาเดียวเองที่พวกเราได้จบออกไป เวลาก็ไหลผ่านไปหลายปีแล้วนะ” ลู่ชิงหยาพูดออกมาด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยความรู้สึก
“ใช่แล้วล่ะ แค่พริบตาเดียวเองพวกเราก็แก่กันไปหมดแล้ว นี่ยังดีนะที่ฉันคว้าสาวสวยกลับบ้านไว้ได้ตั้งคนนึงน่ะ” จูเจียนฮัวพูดออกมาในขณะที่กุมมือของหลิวหยินเอาไว้
“จ้าจ้า… นายและสาวสวยของนายนั้นเป็นคู่กันแต่ชาติปางก่อน มีแต่ฉันเท่านั้นแหล่ะที่มาเจอคู่ตอนแก่แล้ว” เป็งหมิงได้เหลือกตามองทั้งคู่พลางส่งสายตาอิจฉาแทนที่จะแสดงถึงความยินดี
ตอนนั้นเองพวกเขาก็ได้เห็นใบหน้าของคนที่คุ้นเคยไม่ไกลจากพวกเขามากนัก แต่เพียงแค่สบตาพวกเขาก็ทำเป็นเมินแล้วก็หายหน้าไปในบัดดล
คนพวกนั้นประกอบด้วยหยางตงคนที่เคยจีบฉือชิง อีกคนก็คือหลิวหยง อดีตแฟนของลู่ชิงหยา
เหตุผลที่ทั้งสองไม่ได้ลงเอยด้วยกันนั่นก็เพราะว่าในขณะที่ทั้งสองคบกันอยู่ หลิวหยงก็ได้ไปกอล้อกอติกกับฉือชิงด้วยเช่นกัน หลังจากเรื่องนี้แดงออกไปเขาจึงโดนเธอเทในทันที
ต่อมาสองคนนั้นได้ไปมีเรื่องกับซูจิ้งอีก เลยโดนซูจิ้งใส่ยับจนหน้าแหกกันไปข้าง
หลังจากนั้นแม้ทั้งสองคนจะคิดว่าตัวเองได้พัฒนาตัวเองล้ำหน้าไปกว่าใครแล้วจึงได้เล่นงานซูจิ้งในทางลับ
แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่ากว่าจะรู้ตัวก็พบความจริงที่ว่าซูจิ้งนั้นล้ำไปอยู่เหนือใครตั้งนานแล้ว
ตอนนี้อย่าว่าแต่เรื่องการเงินเลย แม้แต่เรื่องขุมอำนาจหรือชื่อเสียง พวกเขาก็เทียบไม่ติดเลยสักนิด
คำพูดของเขาที่เคยประกาศกร้าวออกมาก่อนหน้านี้ได้ตบหน้าของพวกเขาเองเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้ทั้งคู่ทำได้เพียงซ่อนตัวเองออกจากหมู่เพื่อนฝูงเท่านั้นเอง
ตอนนี้พวกเขานั้นได้เดินตามชายหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งมา เขานั้นทั้งดูอ่อนน้อมแต่ก็ดูมีเกียรติในเวลาเดียวกัน
ดูไปดูมาแล้วเขาเองก็คล้ายๆกับบริกรรับรถเหมือนกัน แต่หากเปรียบเทียบกับชายคนนั้นกับกลุ่มของพวกเขาแล้ว ชายคนนี้สมควรที่จะเป็นตัวละครหลักของงานนี้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าประธานนักเรียนเองก็คิดเหมือนพวกเขา เขาเองก็ได้ตรงไปยังชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมในทันที
เขานั้นได้ยิ้มต้อนรับและได้เชิญเขาไปนั่งยังที่แถวหน้า แยกออกจากคนอื่นๆอย่างหยางตง หลิวหยง เป็งหมิง จูเจียนฮัว และคนอื่นๆซึ่งไม่ได้อยู่ในชื่อแขกพิเศษ
“ถ้าฉันจำไม่ผิดนี่เขาน่าจะใช่เจียเจิ้งหนิงนะ” จูเจียนฮัวพูดออกมา
“ตอนม.ปลายนี่ถ้าจำไม่ผิดนี่เขาเหมือนจะโคตรทำตัวเห…สุดๆไปเลยนะเพราะว่าเขานั้นถือว่าตัวเป็นผู้สืบทอดรุ่นที่สองของตระกูล และรวยมาก ตอนแรกนั้นฉันเองก็คิดว่าเขาจะเอาแต่นั่งกินนอนกินไปวันๆซะอีก
ใครจะไปคิดว่าหลังจากเขานั่งตำแหน่งเต็มตัวแล้วจะกลายเป็นเศรษฐีในหมู่เศรษฐี ไม่เพียงแค่เขาจะบริหารธุรกิจของตระกูลให้ใหญ่โตแล้ว เขายังคิดค้นผลิตภัณฑ์อย่าง “สดชื่นหมายเลขหนึ่ง” ที่ได้รับความนิยมไปทั่วประเทศอยู่ในตอนนี้ ขายดีขนาดที่ว่าเป็นมหาเศรษฐีหมื่นล้านไปแล้ว” เป็งหมิงพูดออกมา
“เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงนักเรียนคุยกันนะว่าเจ้าหยางตงและหลิวหยงไปรวมกลุ่มกับเจียเจิ้งหนิงด้วยน่ะ ท่าจะจริงแหะ” หยางเว่ยพูดออกมา
“เหอะ รังงูรังหนูชัดๆ” ลู่ชิงหยาพูดโพล่งออกมาอย่างรังเกลียดเดียดฉันท์
“เฮ้ อาจิ้งไม่มาหรอกเหรอ เขาสิถึงจะเป็นสุดยอดของลูกศิษย์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนเลยก็ว่าได้ เขานั้นเป็นข่าวแทบจะทุกวัน น่าเสียดายจริงๆ” จูเจียนฮัวได้หัวเราะออกมาอย่างออกรสออกชาติราวกับเขาสะใจอย่างผู้ชนะยังไงก็ไม่รู้
“ถ้าซูจิ้งมาร่วมงานเลี้ยงนี้ด้วยก็ดีน่ะสิ ฉันไม่น่าหวังไปเองเลยน้า”
มีนักเรียนหลายคนที่ได้ยินดังนั้นก็อดถอนหายใจและบ่นออกมาไม่ได้ พลางคิดไปว่าโรงเรียนแห่งนี้คงต้องหวังพึ่งใบบุญจากเจียเจิ้งหนุนซะแล้วสินะ
ไม่คิดเลยว่าแม้แต่โรงเรียนที่ตัวเองเรียนจบมาก็ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา เอาจริงๆต่อให้มีสิบเจียเจิ้งหนิงก็ไม่อาจสู้กับซูจิ้งคนเดียวได้ แต่ในเมื่อเขานั้นไม่สนใจแล้วทางโรงเรียนก็คงทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ
ดังคำกล่าวที่ว่าเมื่อพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา ในตอนนี้ทุกคนในงานได้จับตามองไปยังทางหน้าประตูโรงเรียนเมื่อได้ยินเสียงๆหนึ่งดังมาแต่ไกล
ทันใดนั้นก็ได้มีรถปอร์เช่ขับมาจอดในโรงเรียน ซูจิ้งที่อยู่ในชุดสูทสีขาวดูสบายตา และฉือชิงที่อยู่ในชุดเดรสสีขาว คู่ชายหล่อหญิงสวยที่ดูสมกันราวกับกิ่งทองใบหยกได้ก้าวออกมาจากรถ
ฉากนี้ทำให้นักเรียนทั้งหลายที่เห็นถึงกับกรี๊ดกร๊าดออกมากันเกลียวไปหมด โดยนักเรียนหลายคนในที่นี้เองก็ถือได้ว่าเป็นแฟนคลับของซูจิ้งชนิดเหนียวหนับ และภูมิใจที่มีซูจิ้งเป็นรุ่นพี่ของตัวเลยด้วยซ้ำ
ประธานนักเรียนเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้รีบก้าวตรงเข้าไปหาอย่างด้วยรวดเร็ว แม้แต่ครูใหญ่เองก็ใหญ่รีบเข้าไปหาซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน
ฉากนี้ทำให้เจียเจิ้งหนิงรู้สึกริษยาอยู่ในใจ เพราะตอนที่เขาเข้ามาอาจารย์ใหญ่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเขาเลยสักนิด ส่วนหยางตงและหลิวหยงเองกลับรู้สึกอิจฉาจนเห็นได้ชัด
เหตุผลไม่ใช่แค่เรื่องที่ซูจิ้งได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากอาจารย์ใหญ่และนักเรียนทุกคน แต่เขายังพาสาวงามอย่างฉือชิงที่พวกเขาเคยหมายปองมาด้วย แต่ความอิจฉาริษยาเหล่านี้พวกเขาก็ทำได้แค่เพียงเก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่กล้าแสดงออกมาซักเท่าไหร่นักเพราะไม่อยากหาเรื่องใส่ตัว
“นั่นคือฉือชิงงั้นหรอ เธอนั้นสวยกว่าเดิมมากนักจนเปรียบได้ดั่งเทพธิดาเลยจริงๆ” ชายหนุ่มหลายคนเองก็ได้แต่ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเสียดาย
“ไม่คิดเลยว่าสองคนนี้จะลงเอยกันได้” ศิษย์เก่าชายคนหนึ่งได้พูดขึ้นมา
“ตอนม.ปลายนั้นเห็นซูจิ้งกับฉือชิงมีเรื่องกันบ่อยๆ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วทั้งคู่จะมาลงเอยกันซะอย่างนั้น
ตอนนั้นนะซูจิ้งไม่ได้มีอะไรดีเลยนอกจากผลการเรียน
ตอนที่ทั้งคู่เริ่มคบกันจริงๆก็มีต่อคนนินทาว่าทั้งคู่เปรียบได้ดั่งดอกไม้ไปงอกอยู่บนอึวัวเลยด้วยซ้ำ
ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้วนอกจากทั้งคู่จะลงเอยกันแล้ว ซูจิ้งยังเปลี่ยนแปลงตัวเองชนิดที่หน้ามีเป็นหลังเท้าเลย ทั้งสูงยาวเข่าดีและหล่อเหลาซะจนน่าหลงรัก
ก็ได้แต่บอกได้คำเดียวนะว่าฉือชิงนั้นตาถึงจริงๆ” ศิษย์เก่าหญิงคนหนึ่งได้แต่ส่ายหัวออกมาในขณะที่ถอนหายใจ
“ฉันว่ามันก็ขึ้นอยู่กับรูปร่างหน้าตาด้วยล่ะนะ ไม่ว่าจะตาถึงยังไงแต่ถ้าซูจิ้งไม่เลือกก็เท่านั้นเอง” ศิษย์เก่าหญิงคนหนึ่งพูดออกมา
“เสี่ยวหยาพี่ของเธอมาแล้วนะ”
“พี่จิ้งในที่สุดก็มาสักที”
ตอนนั้นเองสาวๆหลายๆคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นถึงกับดีดตัวผึงขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น จนทำให้ซูหยาบล็อคพวกเธอเอาไว้ด้วยร่างกายแล้วบอกให้เพื่อนของเธอให้ใจล่มๆไว้ก่อน
เธอเองตอนนี้พลางคิดในใจด่าทอเพื่อนของเธอว่าพี่ของเธอไม่ใช่ขนมหวานสักหน่อย จะกระวีกระวาดกันทำไม
ซูเซิ่นเชวี่ยและเย่ฉิงในตอนนี้ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงที่นั่งของคุณครู พวกเขามองซูจิ้งจากระยะไกลโดยไม่สามารถแอบซ่อนความรู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายของทั้งสองคนเอาไว้ได้
แม้แต่ครูที่นั่งอยู่ข้างๆก็ยังอดชมเชยและยกย่องจนทั้งคู่เกือบจะตัวลอยแทนซูจิ้งไปแล้ว
ด้วยการเชิญด้วยตัวเองของครูใหญ่ได้พาทั้งสองยังที่นั่งแถวหน้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้
ผ่านไปสักพักงานเลี้ยงจึงได้เริ่มขึ้น พิธีกรกล่าวเปิดงานและได้แนะนำรายชื่อแขกผู้มีเกียรติของโรงเรียนโดยเริ่มจากซูจิ้ง เจียเจิ้งหนิง และคนอื่นๆก่อนที่จะกลับเข้ามาแนะนำคณาจารย์ในปัจจุบันและสุดท้ายคือครูใหญ่ในตอนนี้
หลังจากนั้นพิธีกรจึงได้เริ่มกล่าวถึงประวัติของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งของเมืองจงหยุน พร้อมทั้งเกียรติประวัติต่างๆที่เคยได้รับมา
โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนนั้นเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงและได้รับการสนับสนุนจากคนทั่วไปจนทำให้สามารถอยู่รอดมากกว่าร้อยปี
หลังจากกล่าวถึงประวัติและเกียรติยศเสร็จแล้ว พิธีกรก็ได้กล่าวถึงผู้ร่วมบริจาคเงินในปีนี้
ด้วยการที่โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนอยู่มากว่าร้อยปีและมีลูกศิษย์ลูกหาที่จบไปมากมายนัก
เนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีทั้งทีก็ต้องมีหลายคนที่บริจาคเงินเพื่อเป็นการตอบแทนโรงเรียนเก่าของตัวเองก็เป็นเองธรรมดา บางคนบริจาคมากกว่าใครเขาเพื่อนแต่ไม่ได้มาก็มี
หลังจากได้ยินจำนวนเงินและรายชื่อคนที่บริจาค เจียเจิ้งหนิงเองได้ได้ดำดิ่งอยู่กับความชื่นใจน้อยๆที่อยู่ก็พุดขึ้นมาในจิตใจจนทำให้เขายืดอกภูมิใจขึ้นมาได้และทำการจัดปกเสื้อเพื่ออวดมาดนิดหน่อย
ในครั้งนี้เขาได้บริจาคด้วยจำนวนเงินหนึ่งล้านหยวนซึ่งถือว่าเป็นจำนวนเงินที่ไม่น้อยเลยทีเดียว เหตุผลที่เขาบริจาคเงินนั่นก็เป็นเพราะว่าเขานั้นมีแผนการที่เกี่ยวกับโรงเรียนเก่าของเขาแห่งนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างชื่อเสียงนิดหน่อยกับเหล่าศิษย์ คุณครู และคนที่ใกล้ชิดกับตัวเขา
อย่างไรก็ตาม ในขณะประกาศยอดเงินบริจาค อยู่ๆพิธีการก็ได้พูดด้วยเสียงอันก้องกังวาลออกมาว่า
“ตอนนี้ต่อหน้าเหล่าอาจารย์และคุณครูของโรงเรียนแห่งนี้ ผมขอเป็นตัวแทนเพื่อขอบคุณ สุดยอดศิษย์เก่าของโรงเรียน
ขอขอบคุณคุณซูที่บริจาคเงินกว่าสิบล้านหยวนให้แก่โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุน เพื่อสนับสนุนโรงเรียนในการสร้างอาคาร เป็นรางวัลแก่ครูผู้สอน และเป็นทุนการศึกษาให้แก่ผู้ที่จำเป็น
และที่พิเศษสุดเหนือสิ่งอื่นใดก็คือผมเองก็พึ่งจะรู้และก็เคยมีโอกาสได้เงินรางวัลสำหรับผู้ได้คะแนนสอบเข้าอันดับหนึ่งในการเรียนต่อระดับมหาลัยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา และเงินรางวัลเหล่านี้ก็ยังมีแผนบริจาคต่อไป…”
หลังจากได้ยินคำว่าสิบล้าน มีเสียงฮือฮาเกิดขึ้นดังกึกก้องไปทั่วหอประชุม ถึงแม้ว่าอาจารย์ใหญ่จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อได้ยินอีกครั้งเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีออกมาและสงบใจไม่ได้
ต่อให้โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนแห่งนี้จะได้รับความนิยมมากมายจนมีนักเรียนมาเรียนในแต่ละปีสามพันถึงสี่พันคนต่อปีก็ตาม แต่เอาจริงๆโรงเรียนนี้ถือได้ว่าเป็นโรงเรียนขนาดเล็กแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง
การที่อยู่ๆได้รับเงินบริจาคกว่าสิบล้านหยวนจึงเป็นถือได้ว่ามากมายเหนือกว่าที่เขาจะคาดฝันถึง
ตอนนี้นักข่าวที่เฝ้าคอยอยู่ไกลๆต่างก็ตื่นเต้นจนต้องแย่งกันถ่ายรูปซูจิ้งในทันที ข่าวที่เขาบริจาคเงินให้โรงเรียนเก่าของเขากว่าสิบล้านหยวนกลายเป็นข่าวใหญ่ในทันที
เจียเจิ้งหนิงในตอนนี้ก็ได้แต่นั่งนิ่งโง่งมกับเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หน้าตาของเขาในตอนนี้ได้ยิ้มค้างไว้จนแข็งทื่อไปเลย
เขาเองก็สงสัยอยู่แล้วว่าทำไมตอนประกาศยอดเงินบริจาคเมื่อกี้มีแต่รายชื่อและยอดบริจาครวมเท่านั้น ไม่มียอดบริจาครายคน
ตอนแรกเขาเองก็คิดเพียงว่าจะออกมาประกาศหลังจบงาน ไม่คิดว่าจะทำเพื่อรักษาหน้าคนที่ร่วมบริจาคเท่านั้นเอง
GGS:บทที่ 855 การแสดงชุดแรก
“พระเจ้า สิบล้าน ศิษย์พี่โคตรทรงพลังเลยแหะ ในที่สุดโรงเรียนของพวกเราก็มีเงินสนับสนุนแล้ว”
“ในช่วงที่ผ่านมานั้น โรงเรียนของเรามีทุนการศึกษาเพียงน้อยนิดเท่านั้น ตอนนี้ในที่สุดพวกเราก็มีทุนการศึกษาเพียงพอต่อความต้องการแล้ว”
“จากวันนี้เป็นต้นไปฉันจะตั้งจะเรียนเพื่อให้ได้ทุนการศึกษาให้จงได้”
นักเรียนทุกคนรวมทั้งคุณครูทั้งหลายต่างก็รู้สึกยินดีในทันที่ได้ยินจำนวนเงินที่ซูจิ้งบริจาคให้ ส่วนจูเจียนฮัว เป็งหมิง ลู่ชิงหยาและหยางเว่ยต่างก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเพราะพวกเขานั้นต่างก็บริจาคให้โรงเรียนเช่นเดียวกัน แต่พอได้ยินว่าซูจิ้งบริจาคเงินกว่าสิบล้านหยวน พวกเขาต่างก็รู้สึกยอมแพ้ในเรื่องนี้
หยางเว่ยได้หยิบกล้องถ่ายรูปขึ้นมาถ่ายรูปเพื่อเก็บข้อมูลเพิ่มเติม
เธอเองนั้นมางานเลี้ยงในฐานะศิษย์เก่าคนหนึ่ง แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เลือดนักข่าวในตัวเดือดพล่านออกมาจนต้องฉวยกล้องขึ้นมาจนได้
เอาจริงๆเธอแค่หยิบขึ้นมาถ่ายรูปแก้เขินเท่านั้นเอง
“เด็กของเธอนี่สุดยอดจริงๆเลยนะแม่จ๋า”ซูเซิ่นเชวี่ยและเย่ฉิงหรือก็คือพ่อแม่ของซูจิ้ง ที่นั่งอยู่ในที่นั่งของเหล่าคุณครูในตอนนี้ต่างรู้สึกปลื้มปลิ่มและยิ้มออกมาอย่างอบอุ่น
เอาจริงๆพวกเขาเองรู้สึกอยากจะถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ออกมา ไม่นานหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลับ ลูกชายของทั้งสองคนก็ได้ประสบความสำเร็จอย่างมากมายมหาศาลจนทั้งสองคิดว่าฝันไปเลยด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะเรื่องเงินที่ซูจิ้งหามาได้มากมายจนทั้งสองคิดว่าฝันเสียยิ่งกว่าฝันเสียอีก นี่ยังไม่รวมถึงผลิตภัณฑ์สุดพิเศษที่ซูจิ้งหามาให้ทั้งสองใช้อย่างต่อเนื่อง
ตัวอย่างเช่นชาที่พอทั้งสองดื่มแล้วทำให้จิตใจสงบสุข พอนั่งลงไปเรื่อยๆ กว่าทั้งสองจะรู้ตัวก็กลายเป็นว่าทั้งสองอ่อนเยาว์อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่นาทีก่อนทั้งสองยังมีผมหงอกขาวโพลนขึ้นอยู่เต็มหัวอยู่เลยด้วยซ้ำ ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะสีดำแต่ยังดกและเงางามราวกับหนุ่มสาวจริงๆก็ว่าได้
ตอนแรกที่ทั้งสองสังเกตเห็นยังแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลย ตอนนี้ทั้งสองหน้าตาดูๆไปแล้วอายุยังอยู่ในช่วงสามสิบกว่าๆเท่านั้นเอง
ความเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หลายๆคนแอบมาถามหาวิธีฟื้นฟูสภาพร่างกายและแม้แต่วิธีการปลูกผมด้วยก็ตาม
ความจริงทั้งสองก็คอยถามซูจิ้งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์พวกนี้เหมือนกันว่ามีที่มาจากไหนกันแน่ แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้บอกอะไรพวกเขามากนัก พวกเขาเลยขี้เกียจจะถามต่อ
แต่อย่างน้อยๆพวกเขาก็เชื่อได้อย่างแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นย่อมให้ของดีๆแก่พวกเขาทั้งสองอยู่แล้ว เอาจริงทั้งสองต่างก็รู้สึกว่าตัวเขามีเรื่องที่ปิดบังอยู่
อย่างเช่นการผจญภัยหรืออะไรพวกนั้นจนไปสืบเสาะค้นหาของพวกนี้มาจนได้ หรือไม่ก็เขาอาจได้เจอปรมาจารย์เก่งๆอย่างนิยายกำลังภายในพวกนั้นถึงได้กลายเป็นเขาอย่างในทุกวันนี้ได้
ถึงแม้มันจะฟังดูน่าเหลือเชื่อไปหน่อย แต่นี่ก็เป็นเพียงเหตุผลเดียวที่ทั้งสองพอจะนึกออกว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ประสบความสำเร็จได้มากมายขนาดนี้
“สิบล้าน…” เพื่อนเก่าที่ร่วมชั้นเรียนกับเขาทุกคนในตอนนี้ต่างก็รู้สึกอึดอัดไปตามๆกันจนหายใจได้ไม่ทั่วท้องเลยทีเดียว
พวกเขาต่างก็คิดว่าต่อให้เป็นศิษย์เก่าก็ตาม แต่การบริจาคเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ไม่รู้สึกเจ็บปวดมั่งรึไงกัน
เอาจริงๆทุกคนต่างก็คิดว่าเขานั้นไม่ควรจะบริจาคเงินให้โรงเรียน แต่ควรให้เงินพวกเขาแทนมากกว่า
“ซูจิ้งในตอนนี้อยู่คนละระดับกับเราไปแล้วแหะ” อดีตเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งพูดออกมา ในความคิดของเขาต่อให้เป็นศิษย์เก่าก็ตาม แต่การบริจาคเงินมากมายมหาศาลขนาดนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องงี่เง่าสำหรับเขา จะบอกว่าซูจิ้งโง่เลยก็ว่าได้
พอคิดถึงจำนวนเงินที่มากมายขนาดนี้จะมีสักกี่คนที่เคยได้แตะกัน อย่าว่าแต่แตะเลย หลายคนเองก็ยังแทบไม่เคยเห็นเงินแสนซะด้วยซ้ำ เงินหลักล้านนี่ภาพมายาชัดๆ
“ถ้าใจบุญขนาดให้ตั้งสิบล้านทำไมแกไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยฟะ” เจียเจิ้งหนิง หยางตง และหลิวหยงต่างก็กัดฟันด้วยความโกรธเคืองและสบถออกมาเบาๆ
เจียเจิ้งหนิงเองก็ยังรู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกันที่ได้ยินว่าซูจิ้งบริจาคเงินจำนวนนี้
สำหรับเขานั้นเขามีเงินหมุนเวียนอยู่ในธุรกิจแค่หลักร้อยล้านเท่านั้นเอง ถ้าพูดถึงเงินเก็บของเขาเองก็ยิ่งน้อยกว่านี้เข้าไปใหญ่
การที่เขาบริจาคเงินมาหนึ่งล้านนี้ เขาเองก็ต้องดึงมาจากเงินเก็บของตัวเอง อย่าว่าแต่สิบล้านหยวนเลย แม้แต่เขาจะซื้อรถใหม่สักคนในตอนนี้ยังรู้สึกปวดใจที่ต้องจ่ายเงินออกไปเลย
หยางเว่ยและนักข่าวคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็รีบส่งหัวข้อข่าวที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆให้แก่สำนักพิมพ์ของตัวเองอย่างเร็วที่สุด แม้แต่นักเรียนบางคนเองก็ยังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของพวกเขาเอาไว้
ทันทีที่เรื่องนี้ถูกเปิดประเด็นในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเรื่องที่โรงเรียนเล็กๆแห่งหนึ่งกลับได้เงินบริจาคกว่าสิบล้านจนดูน่าจะเป็นเรื่องหลอกลวงกันเลยทีเดียว ทุกคนต่างก็คิดว่าเรื่องนี้มันเกินไป
แต่เมื่อพวกเขารู้ว่าคนที่บริจาคคือซูจิ้ง แถมโรงเรียนนี้ก็เป็นโรงเรียนเก่าของซูจิ้งเสียอีก เหล่าแฟนคลับเองก็เข้าใจเหตุผลในทันที
พร้อมทั้งแพร่กระจายข่าวนี้ลงในไมโครบลอคและฟอรั่มต่างๆอย่างรวดเร็วจนเป็นจับตามองของชาวเน็ตอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเป็นฉันนะ หากฉันมีเงินสิบล้านล่ะก็ฉันจะไม่ยอมจ่ายแม้แต่แดงเดียวเพียงเพื่อเพิ่มชื่อเสียงแบบนี้หรอก”
“ถ้าเป็นฉันฉันก็คงไม่บริจาคมากขนาดนี้เหมือนกัน”
“พวกนายอย่าได้เอาตัวเองไปเปรียบกับพี่จิ้งเป็นอันขาด พี่จิ้งนั้นคือเจ้าแห่งการให้ของขวัญ ของทุกอย่างที่เขาเคยให้มาก่อนหน้านี้ล้วนแล้วแต่เกินสิบล้านทั้งนั้นล่ะ”
“ก็จริงแหะ ถึงแม้เงินสิบล้านสำหรับพวกเราแล้วมันจะฟังดูเยอะ แต่เมื่อเทียบกับของขวัญที่ซูจิ้งให้ชาวบ้านชาวเมืองมาก่อนหน้านี้แล้วช่างน้อยนิดมหาศาลจริงๆ อย่าว่าแต่สิบล้านเลย ฉันว่าอย่างต่ำน่าจะร้อยล้านทั้งนั้น”
“สิบล้านของพี่จิ้ง อาจจะแค่ทำให้ขนหน้าแข่งร่วงไปเส้นเดียวก็ได้นะ”
แฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้ต่างก็สรรเสริญออกมา แต่เรื่องดีๆแบบนี้ใครจะไปคิดว่ามันจะกลายเป็นเรื่องว่าร้ายได้กัน
“เหอะรวยยังไงกัน ให้ของขวัญเป็นร้อยล้าน แต่บริจาคแค่สิบล้านเนี่ยนะ”
“ต้องเป็นเรื่องสมคบคิดกันอยู่แล้วล่ะ แค่บริจาคเงินสิบล้านหยวนก็ต้องสรรเสริญขนาดนี้เลยทีเดียว”
“ถ้าฉันมีเงินเท่าเขาก็คงจะบริจาคเป็นร้อยล้านหยวนไปแล้ว”
เรื่องนี้สามารถบอกได้อย่างเดียวว่ายิ่งอยู่ที่แจ้งมากเท่าไหร่ ยิ่งโดนดักตีหัวได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตามก่อนที่แฟนคลับของซูจิ้งจะได้ออกมาตอบโต้อะไรกลับไปนั้น เหล่านักเรียนโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจองหยุนกว่าสามพันคนได้ออกมาเคลื่อนไหวในทันที
และพวกเขาได้เล่นงานข้อความป้ายสีซูจิ้งอย่างรวดเร็วปานไวแสง แม้แต่วิธีตอบกลับข้อความป้ายสีพวกนี้เองก็ทำกันอย่างพร้อมเพรียงจนคนพวกนี้ทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย
บวกกับพลังของแฟนคลับของซูจิ้งแล้ว คนที่ว่าร้ายซูจิ้งได้ปิดประตูแพ้ไปในทันที เปรียบได้ดั่งหัวหอมที่ถูกแสดงอาทิตย์เผาไหม้จนแห้งตายในทันที
กลับมาที่ฝั่งโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองของหยุนนั้น พิธีกรยังคงดำเนินการอ่านรายชื่อผู้ร่วมบริจาคเงินให้แก่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง
โดยคนที่บริจาคมากเป็นอันดับสองนั้นคือศิษย์เก่าที่จบจากที่โรงเรียนนี้ไปหลายปีมากแล้วจนตอนนี้อายุจะปาเข้าไปสี่สิบปีอยู่แล้ว เขานั้นบริจาคเงินให้กว่าสามล้านหยวนแต่เขาก็ไม่ได้มาร่วมงานแต่อย่างใด
ส่วนอันดับสามนั่นก็คือเจียเจิ้งหนาน เมื่อเขารู้เรื่องนี้ก็ถึงกับจิตตกในทันที เขาไม่คิดว่าตัวเองนอกจะไม่ได้อยู่ในอันดับหนึ่งของการบริจาคครั้งนี้ เขานั้นยังต้องพลาดที่สองไปอีก
หลังจากการกล่าวรายชื่อผู้เข้าร่วมบริจาคเสร็จสิ้น ในตอนนี้ท้องฟ้าก็ได้มืดลงแล้ว
ช่วงเวลาต่อไปเป็นการจัดแสดงต่างๆ ซึ่งบรรดาเด็กนักเรียนทั้งหลายในตอนนี้ต่างก็ตื่นเต้นอย่างมาก แม้แต่แฟนคลับของซูจิ้งที่รอดูฉากนี้อยู่นอกงานเองก็ยังตื่นเต้นตามไปด้วย
นั่นก็เพราะว่าการที่จะได้เห็นการแสดงสดของซูจิ้งนั้นถือได้ว่ายากเสียยิ่งกว่ายากเสียอีก
การแสดงแรกของงานคือการร้องเพลงของสาวน้อยม.ปลายคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะเทียบไม่ได้กับเสียงของเหล่านักร้องทั้งหลาย แต่คุณภาพเสียงและเพลงที่เธอร้องออกมาถือได้ว่าอยู่ในขั้นที่ดีเลยทีเดียว
เสียงของเธอสามารถจับใจผู้ฟังได้ และด้วยการที่เธอนั้นยังสาวและสวยด้วย ทำให้เหล่าเด็กหนุ่มถึงกับตื่นเต้นจนออกนอกหน้ากันไปหมด
การแสดงถัดมาเป็นการดวลเต้นกันทั้งในรูปแบบ ดวลแร็ปและการดวลเต้นฮิปฮอป ซึ่งการแสดงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการแสดงของเหล่านักเรียนซึ่งก็ย่อมดูเก้ๆกังๆกันบ้าง
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาไม่ได้เป็นมืออาชีพแต่อย่างใด เหล่านักเรียนเองก็ได้แต่ซ้อมตอนเวลาว่างหลังเลิกเรียนเท่านั้นเท่านี้ก็ถือได้ว่าเก่งมากแล้ว
แต่เอาจริงๆก็ถือได้ว่าดูเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวาดีไปอีกแบบ
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง หลังจากการแสดงของเหล่านักเรียนเหล่านี้ได้หมดลง พิธีกรได้ขึ้นไปยังสเตเดี้ยมก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เอาล่ะครับ ต่อไปก็คือการแสดงที่พวกเราต่างก็รอคอยมาตลอดทั้งงาน
นั่นก็คือการแสดงของคุณซูจิ้งที่ได้จัดเตรียมมาเพื่อแสดงให้เห็นที่นี่เป็นที่แรก และเขายืนยันออกมาเองเลยว่า ไม่เคยนำการแสดงชุดนี้ออกไปแสดงที่ไหนมาก่อน
คุณซูได้ฝากมาบอกว่าในระหว่างการแสดง ขอให้ทุกคนโปรดปล่อยตัวและเปิดใจ ให้ล่องลอยไปกับการแสดงที่เขาเตรียมมา
หากมีคำถามหรือข้อโต้แย้งใดๆ ค่อยเอาไว้พูดคุยกันหลังการแสดงนะครับ เพื่อไม่ให้เสียอรรถรสในการรับชม ถ้าพร้อมแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ”
หลังจากสิ้นเสียงของพิธีกร ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ส่งเสียงเชียร์ออกมาอย่างอบอุ่น จนบรรยากาศภายในงานรู้สึกได้ว่าทุกคนต่างคาดหวังกันอย่างมาก
หลังจากทุกเสียงสงบลง สักพักก็ได้มีคนกลุ่มหนึ่งค่อยๆออกมาจากหลังฉาก คนกลุ่มนั้นประกอบด้วย ฮูเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง ไชหวู่เฟิง และคนอื่นๆที่ซูจิ้งได้คัดตัวมา และแน่นอนว่าก็มีอีกหลายๆคนในโรงเรียนที่คุ้นหน้าคุ้นตาพวกเขาอยู่เหมือนกัน
“คนพวกนี้เป็นใครกันเนี่ย”
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ บางคนก็ดูคุ้นๆนะ ดูน่ากลัวพิกล ฉันว่าอยู่ห่างๆพวกเขาไว้ก็ดีนะ”
“นั่นมันหวู่หลงไม่ใช่เหรอ รู้สึกว่าเขานั้นจะเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลในเมืองนะ ทำไมเขามาที่นี่ได้ล่ะ หรือว่าเขาจะมาก่อเรื่องกัน”
“แต่ดูจากชุดที่พวกเขาใส่มากันแล้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขามาแสดงกันหรอกหรอ”
“นายจะบ้าเหรอ นายคิดว่าขาใหญ่แห่งแก๊งอันธพาลจะมาที่โรงเรียนเราเพื่อแสดงในงานโรงเรียนเนี่ยนะ ฉันกลัวแต่ว่าเขาจะมานั่งดูดีๆมากกว่าจะมาก่อเรื่องนะ”
“เริ่มได้” หลังจากสิ้นเสียงก็ได้มีใครบางคนให้สัญญาณ หลังจากนั้น ฮูเฟยหยุน หวู่หลง และคนอื่นๆได้รีบขึ้นไปบนเวที
ภาพนี้ได้ทำให้เหล่านักเรียนๆหลายๆคนถึงกับโง่งมในทันที พลางคิดในใจว่า นี่พวกเขามีการแสดงกันจริงๆอ่ะนะ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น