Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 848-853

 GGS:บทที่ 848 มีอะไรผิดพลาดกัน


 


“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ขยะห้วงเวลาฯนี้สมควรจะมาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริง(ราชันย์แหวนครองพิภพ)แน่ๆ”


ซูจิ้งได้คำตอบในทันทีจากข้อมูลที่เขาได้พบเจอ


ห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงเป็นเรื่องราวของนิยายจากฝั่งตะวันตก หากดูจากขยะห้วงเวลาฯที่ได้มาก่อนหน้านี้แล้ว


สถานที่ขยะกองนี้จากมาสมควรจะมีมังกรไฟตัวเคื่อง มนุษย์ต้นไม้ตัวสูงใหญ่ และออร์คตัวยักษ์ถือสูงกว่าสามเมตร นอกจากนั้นที่นั่นยังมีเผ่าพันธุ์ที่หลากหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นแม่มด คนแคระ ออร์ค เอลฟ์ และแน่นอนที่สุดคือฮอบบิท


สิ่งที่ยืนยันซูจิ้งได้ดีที่สุดคือภาพแหวนที่มีตัวอักษรไฟประทับอยู่ที่ถูกวาดเอาไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่ง


แหวนที่กระดาษนั้นบันทึกเอาไว้สมควรจะเป็นแหวนแห่งอำนาจ มันเป็นแหวนปีศาจที่ถูกสร้างโดยเซารอน


จะบอกว่าเป็นแหวนแห่งตัวร้ายเลยก็ว่าได้ เพราะว่าแหวนนี้ที่ได้ว่าเป็นตัวจุดชนวนปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นมาในห้วงเวลาฯแห่งนั้น


 


“ขยะห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงอย่างนั้นหรอ หรือว่าเจ้าตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟนั่นจะเป็นดอกไม้ไฟของแกนดรอฟกันนะ”


ซูจิ้งได้พูดออกมาด้วยดวงตาที่สุดสว่าง พลางคิดไปว่าดอกไม้ไฟแสนวิเศษที่เขาได้จุดไปก่อนหน้านี้ หากพูดถึงในห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงแล้ว ที่นั่นมีสุดยอดพ่อมดคนหนึ่งที่มีนามว่าแกนดรอฟ เขานั้นเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญที่มีส่วนในการกวาดล้างกองทัพปีศาจของเซารอนลงได้


แต่กับเด็กชายชาวฮอบบิทนั้นรู้จักเขาในนามผู้นำพาซึ่งแสงสว่าง แกนดรอฟเป็นเพียงชายแก่ธรรมดาที่มีความสามารถด้านดอกไม้ไฟที่สุดแสนจะมหัศจรรย์


ดอกไม้ไฟของเขานั้นล้วนแล้วแต่แปลกประหลาดและมีสีสันอันวิจิตร มันสวยงามจนทำให้พวกเขาสับสนจนคิดว่ามันเป็นเวทมนต์อย่างแน่นอน


บนโลกใบนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำดอกไม้ไฟได้เหมือนกับดอกไม้ไฟผีเสื้ออันนั้น แต่ไม่ว่าจะน่าตื่นตะลึงสักแค่ไหนก็ตาม สำหรับแกรนดรอฟแล้วดอกไม้ไฟนี้ก็เป็นเพียงดอกไม้ไฟธรรมดาเท่านั้นเอง


 


“ดีนะเนี่ยที่เอาอันเล็กที่สุดหยิบติดมีไป ถ้าฉันเผลอไปหยิบอันใหญ่ที่สุดติดมีไปล่ะก็ ไม่วายที่จะต้องเสร็จสองสาวน้อยพวกนั้นเป็นแน่” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เขานั้นต้องทำให้การลอกเลียนแบบดอกไม้ไฟของแกรนดรอฟนี้เกิดขึ้นให้จงได้


 


เมื่อถึงตอนนั้นรับรองเลยว่าวงการดอกไม้ไฟต้องสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นแน่ ดีไม่ดีนี่ปิดทางทำมาหากินได้เลยนะนั่น


ตอนนี้เขานั้นกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟบนโลกนี้จะเก่งพอที่ศึกษาและเลียนแบบพวกมันได้รึเปล่า


ถึงแม้ว่ามันจะดูเรียบง่ายก็จริง แต่ก็มีแต่พระเจ้าที่รู้เท่านั้นว่าแกรนดรอฟได้ใช้วิธีไหนในการทำให้ดอกไม้ไฟที่ออกมาถึงได้วิจิตรพิศดารขนาดนั้น หากว่าใช้สสารที่ไม่ได้มีอยู่บนโลกนี้ล่ะก็ ต่อให้วิจัยออกมาได้ก็เท่านั้นเอง


 


ซูจิ้งได้ทำการปรับอารมณ์ของเขาก่อนที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป เขายังจัดการต่อไปเรื่อยๆด้วยความหวังที่ว่าจะเจอของดีๆเหลืออยู่บ้าง


เขานั้นไม่ได้อยากได้ของอย่างแหวนนรกแตกวงนั้น เขาเพียงต้องการบรรดาอาวุธของเอลฟ์ สมบัติมังกร ตำราเวทมนต์ นี่เป็นเพียงของเล็กๆน้อยที่เขาพอจะคาดหวังได้บ้าง


แต่ก็อย่างที่เขาว่ากันว่ายิ่งหวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งผิดหวังมากขึ้นเท่านั้น จนถึงช่วงเย็นซูจิ้งก็ยังไม่พบของดีๆที่เขาหวังไว้แต่ประการใด


 


เขานั้นถอดใจไปเล็กน้อยเลยว่าจะออกจากที่นี่ไปผ่อนคลายของนอก เมื่อเขาออกมาก็พบว่าซือหยาและถังเสี่ยวหยูได้กลับไปโรงเรียนแล้ว โดยทั้งสองทิ้งเขียนข้อความบอกเขาเอาไว้อย่างนั้น


หลังจากซูจิ้งออกไปผ่อนคลายแล้ว เขาก็ได้กลับเข้าไปจัดการขยะของเขาต่อ แต่ยังจะไม่ทันจะกลับเข้าไปได้ซักเท่าไหร่ หวังจ้าวก็ได้โทรเข้ามา เขารีบรับสายทันที


เขาได้ยินเสียงของหวังจ้าวถามเขาอย่างสงสัยใคร่รู้ออกมาว่า “อาจิ้ง อะไรที่ทำให้นายสนใจนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟกันเนี่ย”


“ฮ่าฮ่า เพื่อนรัก โดนนายรู้เข้าจนได้” ซูจิ้งยิ้มออกมา


“ถ้าไม่รู้ก็แปลกล่ะ ก็เฉิงหนานเล่นไปซื้อตัวสุดยอดนักวิจัยมาต้องสามคนในวันเดียว แถมยังเสนอค่าตัวสูงลิบลิ่วมาอีก ถ้าเธอไม่ได้รับคำอนุญาตจากนายแล้วเธอจะซื้อตัวพวกเขามาทำบ้าอะไรกัน


ถ้านายไม่ได้ดึงตัวคนพวกนั้นมาเพราะสนใจเรื่องดอกไม้ไฟล่ะก็ ฉันก็คงต้องถามแล้วล่ะว่านายเอาคนพวกนั้นมาทำบ้าอะไรกันแน่


ต่อให้พวกเราซื้อตัวพวกเขามาได้ แต่ก็ใช่ว่าเราจะไปแข่งขันกับบริษัทอื่นได้หรอกนะ เพราะถ้าเราคิดจะทำธุรกิจนี้จริง ไม่เพียงเราต้องไปแข่งกับบริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยาง เราต้องไปแข่งกับบริษัทอื่นอีกเยอะมาก”


หวังจ้าวพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสุขุม


 


“เพื่อนเอ๋ย เชื่อใจฉันเถอะน่า ฉันเองก็มีเหตุผลดีๆอยู่ นายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ไปหรอก” ซูจิ้งยิ้มออกมา เขารู้ดีว่าหวังจ้าวนั้นต้องการเตือนเขาจริงๆ เขาเงียบและคิดอะไรสักอย่างเล็กน้อยก่อนนที่จะพูดออกมาว่า “แล้วนี่เฉิงหนานชวนนักวิจัยมาได้สามคนแล้วงั้นหรอ”


“ก็ยังไม่ได้ซะทีเดียว เฉิงหนานในตอนนี้กำลังลองจัดหาห้องวิจัยชั่วคราวที่ตรงกับเงื่อนไขของทั้งสามคนนั้น” หวังจ้าวพูดออกมา


“งั้นบอกพวกนั้นไปว่าไม่ต้องรีบแล้วก็อย่าพึ่งรีบไปไหน เดี๋ยวฉันจะไปหาด้วยตัวเอง แล้วนายจะได้รู้ว่าทำไมฉันถึงสนใจที่จะวิจัยดอกไม้ไฟนัก ฉันไม่ได้ทำไปเล่นๆหรอกนะ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มออกมา


“เยี่ยม ฉันก็อยากเห็นจริงๆว่าอะไรที่ทำให้นายสนใจได้ขนาดนี้ เดี๋ยวฉันส่งที่อยู่ไปให้นะ”


หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พลางคิดไปว่า นี่ซูจิ้งไปเจอช่องทางธุรกิจในธุรกิจดอกไม้ไฟมางั้นหรอ ไม่น่าเป็นไปได้


เพราะไม่ว่าซูจิ้งจะเก่งกาจยอดคนขนาดไหนแล้วแต่สำหรับด้านธุรกิจนั้นเขาเองก็ไม่ได้เก่งอะไรมากมายขนาดนั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรู้ด้านดอกไม้ไฟเลยยิ่งสมควรจะไม่เก่งเข้าไปใหญ่


ต่อให้เป็นเขาเป็นคนที่เก่งในเทคโนโลยีหรือเก่งด้านออกแบบดีไซน์ดีขนาดไหนก็ตามแต่สำหรับธุรกิจด้านนี้ไม่น่าจะใช้ความรู้ทั้งสองอย่างนี้มาช่วยพัฒนาจนเป็นช่องทางทางธุรกิจได้


มันไม่เหมือนกับแผงพลังงานแสงอาทิตย์ของเขาที่มันเป็นเรื่องที่ผู้คนสนใจอยู่แล้ว เขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นจะตระหนักในเรื่องนี้รึเปล่า


หวังจ้าวเองก็รู้สึกว่าเรื่องนี้แปลกๆเหมือนกัน เขาจึงรีบไปหาเฉิงหนานและนักวิจัยสามคนที่เฉิงหนานหามาได้ให้รอซูจิ้งมาอธิบายรายละเอียด


 


ซูจิ้งได้ครับรถปอร์ชของเขาครงไปยังห้องวิจัยชั่วคราว เมื่อไปถึงเขาก็พบว่าห้องวิจัยชั่วคราวนั้นถูกจัดการโดยเฉิงหนานเป็นอย่างดี


มันเป็นโรงงานผลิตดอกไม้ไฟที่พึ่งจะปิดกิจการไปเมื่อปีก่อน และที่ตั้งของมันเองก็อยู่บริเวณชานเมืองของเมืองจงหยุนซึ่งมีประชากรอยู่น้อยมาก


แต่การเดินทางกลับสะดวกและไม่ไกลจากที่ตั้งของโรงงานผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์สักเท่าไหร่นัก


อีกทั้งพื้นที่โดยรอบส่วนใหญ่จะเป็นโรงงานรกร้าง หากว่างานด้านนี้ของเขาทำได้จริงล่ะก็สามารถขยายงานได้อย่างง่ายดายถือได้ว่าเป็นทำเลที่ดีทีเดียว


 


เมื่อซูจิ้งไปถึง หวังจ้าวและเฉิงหนานก็ได้เดินออกมาจากห้อง ตามมาด้วยนักวิจัยวัยกลางคนทั้งสามคน ชายทั้งสามอยู่ในชุดลำลองบ้านๆทั่วไป เหมือนจะเป็นคนในพื้นที่ก็ว่าได้


หวังจ้าวตอนนี้อยู่ในชุดสูทสุดหรู ส่วนเฉิงหนานสวมชุดสูทสั่งตัดรัดรูปสีน้ำเงินและสวมร้องเท้าสนสูง เหมือนกับทั้งสองมาจากอีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้เมื่อเทียบกับบรรยากาศรอบข้าง


“ซูจิ้งไหนลองหาเหตุผลดีๆหน่อยสิว่าทำไมนายถึงหันมาสนใจงานด้านนี้กัน” หวังจ้าวได้พูดกับซูจิ้งแบบตรงประเด็นในทันที


เฉิงหนานเองถึงแม้จะไม่พูดอะไรออกมาแต่เมื่อเธอได้เห็นรอยยิ้มของซูจิ้งก็แทบจะอดใจรอของเล่นที่ซูจิ้งนำมาไม่ไหวแล้วเหมือนกัน


“ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่มืดพอที่จะจุดดอกไม้ไฟก็เถอะแต่ก็คงไม่เป็นไรล่ะมั้ง” ซูจิ้งมองไปยังท้องฟ้าแล้วพูดออกมาก่อนที่เขาจะเปิดประตูและหยิบเอาตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟตัวใหญ่ออกมา


หวังจ้าว เฉิงหนาน และชายอีกสามคนต่างมองด้วยสายตามึนงง


“อาจิ้ง นายหมายความว่าพวกนี้คือดอกไม้ไฟ?” หวังจ้าวได้ถามตรงประเด็นในสิ่งที่เขาเห็นในทันที เขาเองก็ตกใจไม่น้อยและประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดเลยทีเดียว


ที่พวกเขาเห็นคือตุ๊กตากระดาษในรูปทรงแปลกๆอย่างรูปเห็ด มังกรไฟ และปราสาท


“ใช่ครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับอย่างแข็งขันและใบหน้ากวนเล็กน้อย


“ถ้านายยังทำเป็นเล่นแบบนี้ฉันไปแล้วนะ” หวังจ้าวจ้องมองด้วยสายตาเซ็งๆ ส่วนเฉิงหนานและชายนักวิจัยอีกสามคนเองถึงกับต้องยิ้มออกมาจากมุมปาก


พอคิดว่าหัวหน้าใหม่ของพวกเขาสติปัญญาอาจมีปัญหา ชายทั้งสามคนนี้ก็อยากจะเหลือกตามองซูจิ้งเสียตรงนี้ซะด้วยซ้ำ


นั่นก็เพราะว่าพวกเขานั้นไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟชนิดไหนที่มีรูปทรงแบบนี้มาก่อน อย่าว่าแต่เป็นแบบจุดขึ้นฟ้าเลย แบบจุดอยู่กับพื้นก็ไม่เคยมีปรากฎมาก่อน


นี่ซูจิ้งจ้างพวกเขาด้วยเงินเดือนที่สูงลิบลิ่วจนเหมือนกับต้องการตีตลาดด้านนี้ให้ได้อย่างรวดเร็ว นี่เขามั่นใจขนาดไหนกันว่าดอกไม้ไฟที่มีรูปร่างประหลาดแบบนี้จะตีตลาดวงการดอกไม้ไฟได้กัน


GGS:บทที่ 849 นี่ฝันไปรึเปล่า


 


“อย่าเพิ่งมาดูถูกรูปลักษณ์ของมันนา… เดี๋ยวจะประหลาดใจเมื่อได้เห็น” ซูจิ้งอดไม่ได้จนต้องหัวเราะออกมาเหมือนเห็นท่าทางของทุกคน


“เหอะ สำหรับนายน่ะรูปร่างของมันอาจจะแค่แปลกๆ แต่สำหรับฉันน่ะ ดูยังไงก็มองไม่ออกว่าเป็นดอกไม้ไฟด้วยซ้ำ”


หวังจ้าวพูดออกมาแบบไม่ไว้หน้าซูจิ้งเลยสักนิด แต่เขาก็พูดออกมาจากใจจริงว่าดูยังไงก็ไม่ใช่ดอกไม้ไฟ


ชายวัยกลางคนอีกสามคนเองเมื่อได้ยินแล้วพวกเขาเองก็ยิ่งพูดไม่ออกเข้าไปใหญ่


ด้วยประสบการณ์ในวงการดอกไม้ไฟของพวกเขาที่เห็นดอกไม้ไฟมานักต่อนักแล้ว จากที่เห็นอย่าว่าจะเป็นดอกไม้ไฟแบบจุดขึ้นฟ้าเลย เป็นดอกไม้ไฟจุดเล่นแบบเด็กๆยังเป็นไม่ได้ด้วยซ้ำ


“มีตรงไหนบ้างที่พอจะจุดดอกไม้ไฟได้มั่งเนี่ย” ซูจิ้งถามออกมา


 


“มีที่ว่างๆอยู่ข้างในแถวๆข้างตึกวิจัยค่ะ มันเป็นพื้นที่สวนหย่อมที่อยู่ระหว่างตึกวิจัยและอาคารฝ่ายผลิต”


ซูจิ้งได้หันไปมองยังตึกวิจัยที่เฉิงหนานว่า สิ่งที่ว่างดังกล่าวมันก็กว้างเพียงสองชั่วตึกเท่านั้นเอง


หากเขาจะต้องลองจุดดอกไม้ไฟที่มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงจริงๆล่ะก็ที่ว่างแค่นี้น่าจะไม่เพียงพอที่จะปล่อยให้ดอกไม้ไฟนี้เล่าเรื่องราวของมันไปได้


“เอาเป็นที่ว่างตรงนู้นก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดพลางเดินไปพร้อมกับดอกไม้ไฟของเขา หวังจ้าว เฉิงหนาน และชายอีกสามคนเองก็ได้เดินตามเขาไปด้วย


พวกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ซูจิ้งยอมแกล้งโง่และอยากจะโชว์ให้พวกเขาเห็นถึงขนาดนั้น เพราะยังไงในตอนนี้เขาก็คือหัวหน้าของพวกเขาที่เงินหนาโคตร


 


เมื่อทุกคนเดินไปลานว่างๆ ซูจิ้งได้นำตุ๊กตากระดาษรูปทรงเห็ดสอดเข้าไปในรอยแตกที่อยู่ตรงพื้น เมื่อเห็นดังนั้น หวังจ้าวและเฉิงหนานก็อดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมา “ถอยไป ถอยอีก ถอยไปห่างๆเลย ”


พูดเสร็จทั้งสองก็ได้รีบถอยร่นออกมาในทันที ชายอีกสามคนเองต่างก็มองหน้ากันเล็กน้อยก่อนที่จะถอยตามออกมาอย่างไม่ห่าง


ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้สงสัยในตัวซูจิ้งแล้วว่าของที่เขานำมาเป็นดอกไม้ไฟรึเปล่า แต่พวกเขาในตอนนี้กลัวซูจิ้งบาดเจ็บมากกว่าเนื่องจากว่าซูจิ้งนั้นไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับดอกไม้ไฟมากนัก


แต่ทางด้านซูจิ้งนั้น เขาไม่ได้มีท่าทีแตกตื่นอะไร หลังจากที่เห็นคนอื่นๆรนรานถอยร่นออกไปแล้ว เขาก็แค่หยิบดอกไม้ไฟมาจุด และค่อยเดินออกมาอย่างช้าๆ และมายืนอยู่ข้างๆหวังจ้าวและเฉิงหนาน


“ปัง” ในสายตาของทุกคนในตอนนี้ พวกเขาเห็นเพียงแต่ส่วนหัวของตุ๊กตากระดาษทรงเห็ดระเบิดดังและเปิดออก โดยไม่มีเส้นประกายแสงพุ่งขึ้นฟ้าอย่างที่ทุกคนคิดแต่อย่างใด


ในชั่วขณะหนึ่งที่คนทั้งห้าคิดว่าดอกไม้ไฟน่าจะด้านรึเปล่า ทันใดนั้นก็ได้มีประกายแสงพุ่งออกมาจากกระดาษนั่นและรวมตัวกันออกมาเป็นรูปผีเสื้อ


มันบินเริงระบำอยู่กลางอากาศ โดยมันได้โบยบินไปทั่วแทบจะทุกทิศทางราวกับว่ามันมีชีวิตอยู่จริงๆ หลังจากบินไปได้หลายนาที ผีเสื้อตัวนั้นค่อยจางหายไปในอากาศ ในตอนนั้นพวกเขาก็จริงได้สติกลับคืนมา


“พระเจ้า นี่ฉันได้เห็นอะไรไปกันแน่เนี่ย” เฉิงหนานยังมองไปตรงหน้าด้วยสายตาส่องประกาย


“นี่ฉันเพิ่งจะเห็นดอกไม้ไฟกลายเป็นผีเสื้อโบยบินอย่างนั้นหรอ” ชายหนึ่งในสามถึงกับขยี้ตาเป็นการใหญ่


“ฉันเองก็เห็นแบบนั้นนะ” ชายอีกคนเองก็พูดยืนยันออกมา


“ไม่ใช่ว่าตาของพวกเราฝาดไปหรอกหรอ ต้องเป็นความฝันแน่ๆ” ชายทั้งสามคนพูดออกมาในขณะที่ยังยืนอึ้งกันอยู่


 


พวกเขาในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งต้องการพื้นที่กว้างๆ ถึงในตอนนี้พวกเขาจะเข้าใจเหตุผลแล้วแต่ก็ยังยากจะยอมรับได้ สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือดอกไม้ไฟที่กลายไปเป็นผีเสื้อ และพวกเขาจะเห็นได้ก็ต่อเมื่อถอยไปห่างๆแล้วเท่านั้น


“เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๊ยว มีใครก็ได้บอกฉันหน่อยสิว่า ปกติดอกไม้ไฟทำอย่างนี้ด้วยหรอ” หวังจ้าวที่ตอนนี้กำลังงุนงงและต้องการหาคำตอบได้ส่งเสียงออกมา ทุกคนต่งมองไปยังเขาด้วยสายตาของเขาที่เหมือนกับกำลังมองตัวประหลาด ปกติมันจะไปมีของแบบนั้นได้ยังไงกัน


“อย่าเพิ่งรีบประหลาดใจกันนักสิ ค่อบประหลาดใจหลังจากเห็นสองอันนั้นก่อนก็ยังทัน” ซูจิ้งหัวเราะพลางใส่ดอกไม้ไฟอีกแบบหนึ่งเข้าไป ตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟอันนี้ถูกทำให้เป็นรูปทรงจรวด


หลังจากที่ซูจิ้งจุดไฟ กระดาษก็ได้พุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากน้ำก็ได้มีประกายแสงพุ่งออกมา เมื่อประกายแสงหายไปมันก็พุ่งต่อ เมื่อมันหยุดก็มีประกายแสงสวยงามอีกครั้ง


เป็นอย่างนี้ไปสักพักจนท้องฟ้าเต็มไปด้วยประกายแสงจากระยิบระยับจากสะเก็ดดอกไม้ไฟหลากหลายสี ก่อนที่ผ่านไปสักพัก ทั้งหมดจะพุ่งลงมาเป็นสายราวกับดาวตกก็ว่าได้


“พระผู้เป็นเจ้า!” ทั้งห้าคนได้อุทานออกมาแทบจะในพร้อมๆกัน


หลังจากดอกไม้ไฟหมดลง ซูจิ้งได้จุดดอกไม้ไฟรูปแบบที่สามขึ้นมา คราวนี้เป็นรูปทรงปราสาทที่มีทั้งหมดห้าหอคอยและมีหอคอยตรงกลางที่สูงที่สุด เอาจริงทั้งหมดเหมือนตุ๊กตากระดาษรูปเห็ดเท่านั้น มองยังไงก็ไม่ใช่ดอกไม้ไฟ


หลังจากที่ซูจิ้งจุดไฟที่ชนวนไปแล้ว ทันใดนั้นก็ได้มีตัวเลขปรากฏที่ฐานของปราสาทซึ่งมันเป็นดอกไม้ไฟอีกเช่นกัน


หลังจากนั้นปราสาทได้ลอยขึ้นไปและบินอยู่นิ่งๆอยู่บนท้องฟ้า แทบจะเรียกได้ว่าสูงกว่าดอกไม้ไฟทั่วไปก็ว่าได้


เมื่อมันขึ้นไปถึงสุดฟ้ามันก็ได้ระเบิดจนเกิดประกายแสงไปทั่วท้องฟ้าโดยพุ่งออกไปเป็นวงกลมสมบูรณ์และค่อยร่วงลงมาเป็นสายพร้อมกันๆราวกับน้ำตกก็ว่าได้


และเมื่อต้นแสงล่วงลงมียังพื้น มันก็ได้เด้งขึ้นและกระดอนออกไปราวกับเป็นร่มขนาดใหญ่ตกอยู่ที่พื้น


พวกมันสวยงามจนเฉิงหนานพูดอะไรไม่ออก


“ช่างสวยจับใจจริงๆ” หวังจ้าวพูดออกมา


“ต้องฝันไปแน่ๆ ในโลกนี้จะมีดอกไม้ไฟแบบนี้ได้ยังไงกัน” นักวิจัยทั้งสามเองก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก


“ขนาดนี้แล้วยังมีคนดูถูกดอกไม้ไฟของฉันอยู่อีกอย่างนั้นหรือเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“อาจิ้ง ฉันผิดไปแล้วน่า… คนทั่วไปแบบฉันไม่ควรจะไปดูถูกนอกเลยนะ นายนี่มันสุดยอดจริงๆ ว่าแต่นายไปทำอีท่าไหนดอกไม้ไฟถึงออกมาได้มหัศจรรย์พันลึกขนาดนี้ได้กัน


นายควรจะผลิตดอกไม้ไฟพวกนี้เองนะ ไม่รู้จะหานักวิจัยทั้งพวกนี้มาทำไมกัน” หวังจ้าวดีใจจนเผลอพูดออกมา เมื่อได้ยินดังนั้นนักวิจัยทั้งสามก็ถึงกับพูดไม่ออก


ถึงแม้คำพูดของหวังจ้าวจะเฉือดเฉือนจิตใจของพวกเขาแค่ไหนก็ตามแต่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ


พวกเขานั้นไม่เคยเห็นดอกไม้ไฟพวกนี้มาก่อน ทักษะของผู้ทำดอกไม้ไฟพวกนี้เหนือล้ำกว่าพวกเขาจนพวกเขานั้นอยากกราบกรานเป็นลูกศิษย์ในทันทีที่รู้ว่าใครทำ


พวกเขานั้นรู้ตัวในทันทีว่าไม่มีคุณสมบัติพอที่จะถูกเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญด้านดอกไม้ไฟอีกต่อไป


ในขณะเดียวกันพวกเขาเองก็รู้สึกอับอายไปพร้อมๆกัน พวกเขาเองก็แค่อยากจะตามมาดูซูจิ้งทำตัวเองขายหน้าเท่านั้นเอง เพราะว่าพวกเขานั้นได้ดูถูกซูจิ้งเรื่องดอกไม้ไฟไป เพียงเพราะพวกเขาคุ้นเคยกับดอกไม้ไฟที่เขารู้จักแค่นั้นเอง


เป็นพวกเขาเองที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง หวังจ้าวนั้นพูดถูกแล้ว พวกเขานั้นได้สบประมาทพระเจ้าในร่างมนุษย์


หลังจากเฉิงหนานคืนสติ ดวงตาของเธอดูมีชีวิตชีวาในทันที ในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงสนใจจะเข้าวงการดอกไม้ไฟนัก


หากว่าผลิตภัณฑ์แบบนี้ออกสู่ตลาดจริงๆล่ะก็ พวกเธอเองจะถือได้ว่าเป็นเจ้าตลาดในทันทีเพราะไม่มีใครที่จะมาแข่งดอกไม้ไฟแบบนี้กับพวกเขาได้แน่นอน


ในขณะเดียวกันเหล่าคนงานในเขตนิคมอุตสาหกรรมใกล้ๆก็ได้เห็นดอกไม้ไฟของซูจิ้งและตกใจกันไปหมด


“พระเจ้า นี่ฉันเพิ่งจะเห็นอะไรไปเนี่ย ดาวตกหรอว่าดอกไม้ไฟกันแน่”


“จะเป็นดาวตกไปได้ยังไงกัน มีดาวตกแบบนี้บนโลกด้วยหรอ”


“แต่มันก็ไม่ใช่ดอกไม้ไฟนี่ ไม่มีทางที่ดอกไม้ไฟแบบนี้จะมีบนโลกได้หรอก ฉันเองก็จะได้ว่าโรงงานดอกไม้ไฟตรงนั้นปิดไปได้พักใหญ่แล้วนะ”


“หรือว่าจะเป็นดอกไม้ไฟแบบใหม่กัน”


“มันอยากที่จะเชื่อว่ามีจริงเลยแหะถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง”


“ฉันถ่ายรูปและโพสต์ขึ้นเน็ตไว้แล้ว ถ้านายอยากจะเห็นนะ”


มีบางคนที่โชคดีได้เห็น บางคนก็ถ่ายวิดีโอส่งขึ้นอินเตอร์เน็ต ถึงแม้จะไกลไปหน่อยและโฟกัสได้ไม่ชัด แต่ยังไงซะมันก็ช่างดูสวยจนเป็นที่ฮือฮาบนโลกอินเตอร์เน็ตจนได้


GGS:บทที่ 850 ของปลอม


 


ในโลกอินเตอร์เน็ตนั้น ชาวเน็ตได้เห็นวิดีโอดอกไม้ไฟที่ซูจิ้งจุดไปแล้วหลายคน และทุกคนต่างก็ถึงกับพูดอะไรกันไม่ออก


“พระเจ้า มันช่างสวยงามจริงๆ นี่คือดอกไม้ไฟงั้นหรอ”


“มันสวยดีก็จริงแต่ก็ไม่น่าใช่ดอกไม้ไฟนะ ดอกไม้ไฟไม่น่าจะสวยขนาดนี้ได้”


“มันต้องเป็นดอกไม้ไฟสิ ถ้าไม่ใช่ดอกไม้ไฟแล้วจะเป็นอะไรได้กัน”


“บรรทัดบนนี่ช่วยใช้หัวคิดหน่อยได้รึเปล่า ในโลกนี้จะไปมีดอกไม้ไฟพรรค์นี้ได้ยังไงกันน่ะ”


“ฉันคิดว่าน่าจะเป็นพวกเทคนิคพิเศษทีใช้ในการถ่ายทำหนังนะ นี่อาจเอาไว้โปรโมตหนังของพวกเขา”


“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ รายละเอียดมันเยอะมากขนาดที่ว่าถ่ายรูปยังไงก็ชัด”


ความสวยงามของดอกไม้ไฟในวิดีโอนี้ถือได้ว่าเป็นที่ประจักษ์โดยทั่วกันอยู่แล้ว แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือมันสามารถควบคุมรูปร่างได้จนทำให้หลายๆคนคิดว่ามันเป็นเทคนิคพิเศษในการถ่ายหนัง ไม่มีทางที่จะเป็นดอกไม้ไฟได้


บางคนก็คิดว่าเป็นดอกไม้ไฟแบบใหม่ที่สามารถควบคุมรูปร่างได้


 


ด้วยการที่มีผู้เห็นต่างทั้งสองกลุ่มจนทำให้เกิดข้อขัดแย้งกันในอินเตอร์เน็ต


ในตอนนี้ไมโครบลอกที่ใช้ชื่อว่า big V stood up ของชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าเผิงเหวินซู เขาเป็นหัวหน้าของกลุ่มธุรกิจดอกไม้ไฟ และยังเป็นประธานสมาคมดอกไม้ไฟอีกด้วย


เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้ใช้ไมโครบลอกในการประชาสัมพันธ์ดอกไม้ไฟของเขาบ่อยๆ และแน่นอนว่าเขานั้นถูกยกย่องจากชาวเน็ตว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญดอกไม้ไฟคนหนึ่งเลยก็ว่าได้


เผิงเหวินซูได้โพสต์ในไมโครบลอกของเขาว่า “ทันทีฉันเห็นวิดีโอนี้ฉันรู้ในทันทีเลยว่ามันเป็นของปลอม


ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าใช้เทคนิคพิเศษแบบไหนแต่เท่าที่ฉันรู้ ยังไม่มีโรงงานที่ไหนบนโลกที่สามารถทำดอกไม้ไฟแบบนี้ขึ้นมาได้


คนที่ทำวีดิโอนี้ขึ้นมาอาจจะจงใจลดคุณภาพของวีดิโอจนทำให้มองไม่ชัด แล้วทำการสร้างภาพนี้ขึ้นมาแล้วค่อยถ่ายวีดิโอจากที่ไกลๆ อย่าไปหลงเชื่อเข้าล่ะ”


มีความเห็นในบรรทัดถัดมาถามไว้ว่า “มีความเป็นไปได้รึเปล่าว่าจะเป็นดอกไม้ไฟแบบใหม่”


เผิงเหวินซูได้ตอบกลับไปว่า “เป็นไปไม่ได้ ถ้ามีจริงกลุ่มอุตสาหกรรมดอกไม้ไฟของพวกผมต้องรู้ข่าวแล้ว อย่าว่าแต่เทคโนโลยี เอาจริงๆเป็นของจริงยังยากเลย


ผมแน่ใจซะยิ่งกว่าแน่ที่จะบอกได้เลยว่าดอกไม้ไฟแบบนี้ไม่มีทางที่จะออกมาปรากฎบนโลกใบนี้ได้แน่นอน”


“บอกแล้วว่ามันของปลอม ทำไมยังมีคนเชื่ออีกกันนะ”


“ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าใครเบื่อจนทำวีดิโอแบบนี้ออกมากัน”


“ช่างเป็นเทคนิคที่อลังการงานสร้างจริงๆ อาจเป็นการโปรโมตหนังก็ได้นะ เมื่อไหร่ก็ตามที่คลิปนี้เผยแพร่ไปทั่วล่ะก็จะต้องมีใครสักคนออกมาแสดงตัวแน่ๆว่าเป็นของหนังเรื่องอะไร”


“ฉันก็หลงคิดไปว่าเป็นของจริงสักอีก อยากให้มีออกมาจริงๆจัง”


“น่าจะอีกสักสิบปีก็นะกว่าจะมี”


 


เพียงข้อความของเผิงเหวินซูที่พิมตอบมาก็ได้เปลี่ยนกระแสผู้คนบนโลกอินเตอร์เน็ตในทันที ความจริงแล้วเรื่องนี้ก็มีหลายคนที่ไม่เชื่ออยู่แล้ว แล้วการที่มีผู้เชี่ยวชาญออกมาพูดแบบนี้ชาวเน็ตต่างก็เห็นด้วยในทันที


ถึงแม้ว่าคนที่อัพโหลดวีดิโอขึ้นในอินเตอร์เน็ตนั้นจะไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไรเลย


และตัวเขาเองก็ได้โพสต์ข้อความไว้ว่าเขานั้นไม่ได้ใช้เพราะใช้ไม่เป็น แต่ก็แทบไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดี คนที่เชื่อเขานั้นมีเพียงคนที่เห็นกับตาตัวเองแล้วเท่านั้นเอง


ตอนนี้พวกเขาเปรียบได้ดั่งทหารเรือที่กำลังสอนทหารบกที่ว่ายน้ำกลางทะเล ที่สอนยังไงก็ไม่ยอมฟังซักที


คนอัพโหลดวีดิโอนี้เองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงต่อไป


 


ในขณะเดียวกัน ในห้องวิจัยชั่วคราวของซูจิ้ง ซูจิ้งได้นำตุ๊กตาดอกไม้ไฟจำนวนมากนำมากองไว้บนพื้นและได้พูดออกมาว่า


“ดอกไม้ไฟพวกนี้ทำขึ้นด้วยเพื่อนของฉันเอง แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ดี พวกนายจงศึกษาและพยายามลอกเลียนแบบดอกไม้ไฟพวกนี้ให้ได้ จะให้ดีก็มุ่งเน้นให้มันผลิตขึ้นโดยใช้วัสดุที่หาง่าย ราคาไม่แพง และปลอดภัย”


“ได้ ได้” นักวิจัยสามคนจ้องมองไปยังตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟด้วยสายตาเป็นประกาย พวกเขาแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วที่จะชำแหละตุ๊กตาดอกไม้ไฟที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาในตอนนี้


“ตอนนี้เพื่อนของฉันป่วยหนักจนภรรยาของเขานั้นไม่ยอมให้ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องดอกไม้ไฟอีก ซึ่งนั่นทำให้ตุ๊กตาดอกไม้ไฟพวกนี้เปรียบได้ดั่งสมบัติเลยก็ว่าได้ พวกนายต้องคิดว่ามันเป็นสมบัติอย่างหนึ่ง และต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้ทุกขั้นตอนในการแยกชิ้นส่วน เพื่อป้องกันไม่ให้การทำลายอย่างเปล่าประโยชน์โดยไม่ได้อะไรกลับมา” ซูจิ้งพูดออกมา


“หัวหน้า พวกเราเข้าใจแล้วครับ” ชายทั้งสามคนพยักหน้ารับด้วยความตื่นเต้น ยินดี และกระเหี้ยนกระหือรือ แต่พวกเขาเองก็มีความรู้สึกกดดันนิดหน่อยหนึ่งในนั้นจึงได้ถามออกมาว่า


“เจ้ากองตุ๊กตาดอกไม้ไฟพวกนี้ถ้าดูจากกับสามชิ้นก่อนหน้านี้ ตัวที่เหลือนี่ก็สมควรจะมีผลลัพธ์หลังจากที่จุดแล้วแตกต่างกันใช่รึเปล่าครับ”


“ก็ควรจะเป็นอย่างนั้นนะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ ทำให้พวกเขานั้นถึงกับใจเต้นกันขึ้นมาอีกครั้ง


“อาจิ้ง เพื่อนนายเป็นคนที่ไหนกันเนี่ย เขาสร้างดอกไม้ไฟสุดแสนมหัศจรรย์พันลึกแบบนี้ได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆหรอ” หวังจ้าวต้องการยืนยันความเชื่อของเขาอีกที


“เรื่องนี้ฉันรับรองได้เลยว่าจริง เขานั้นถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเลยล่ะ” เขาไม่ได้พูดเกินเลยแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าแกนดรอฟคือสุดยอดอัจฉริยะในหมู่จอมเวทจริงๆ


“หัวหน้าพอจะแนะนำให้พวกเรารู้จักหน่อยได้รึเปล่าครับ พวกเราเองยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครทำเรื่องแบบนี้ได้มาก่อนเลย แม้แต่ในหมู่วงการพวกผมเองก็ตาม” ชายนักวิจัยหนึ่งในสามคนอดไม่ได้ที่จะถามออกมาเช่นกัน


“เรื่องนี้ต้องขอโทษด้วยจริงๆ เขานั้นรังเกียจความวุ่นวายอย่างที่สุด แค่เจอฉันเขายังไม่ค่อยอยากเลย”


ซูจิ้งส่ายหัวพลางหัวเราะออกมา ถ้าจะต้องแนะนำให้พวกนายรู้จักจริงๆ เขาคงต้องส่งไปยังห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ไม่มีทางเป็นแน่


ซูจิ้งนั้นได้ให้ตัวอย่างดอกไม้ไฟแก่พวกเขาและบอกไปว่ามันจำเป็นต้องรีบร้อนเพราะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะเข้าใจอัจฉริยะ


แต่พวกเขานั้นกลับเริ่มงานในทันทีโดยไม่ฟังอะไรอีก เพราะในตอนนี้พวกเขานั้นมีความสนใจดอกไม้ไฟนี้แบบสุดๆ


ซูจิ้ง เฉิงหนาน และหวังจ้าวเห็นดังนั้นก็ได้แต่ถอนตัวออกมา


“อาจิ้ง ฉันเชื่อนายเลยจริงๆ ดูเหมือนว่าสิ่งต่างๆดีบนโลกใบนี้อยู่รอบนายตลอดเวลาเลยนะ” หวังจ้าวถอนหายใจและยิ้มออกมา


“อ่ะนะ ก็แค่โชคดีน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“มันไม่ใช่แค่โชคดีแล้ว ฉันว่าน่าจะเป็นโชคชะตาเลยล่ะ”


หวังจ้าวและเฉิงหนานต่างก็หัวเราะออกมา นับตั้งแต่เรื่องไวน์จิ้งจอกแดง แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ผงกระชับทรวงอก ผงเสริมความงาม ผงลดน้ำหนัก และของอื่นๆอีก


ไม่ว่าอะไรก็ตามที่กล่าวมานี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างแรงสะเทือนให้กับวงการธุรกิจไปจนทั่วโลก แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วซูจิ้งผู้นี้คือคนที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด ถ้าไม่ใช่ชะตาจะเรียกว่าอะไรได้


“มาพูดถึงเรื่องดอกไม้ไฟกันดีกว่า มีใครบางคนได้ถ่ายวีดิโอดอกไม้ไฟชุดสุดท้ายนั่นเอาไว้และอัพโหลดไปบนอินเตอร์เน็ต ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ” เฉิงหนานมือควงโทรศัพท์มือถือของเธอพลางบ่นให้ซูจิ้งฟัง


ที่เธออารมณ์เสียไม่ใช่เพราะมีคนถ่ายได้แต่กลับเป็นเรื่องที่มีแต่คนที่ไม่เชื่อวีดิโอนี้ทั้งนั้น


“โอ้… ก็ไม่แปลกหรอกน่าที่พวกเขาจะไม่เชื่อ เพราะขนาดพวกเราเองเห็นแล้วยังไม่อยากจะเชื่อเลย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ก็ดีนะ ถือว่านี่เป็นการโหมโรงการที่จะเริ่มทำเป็นผลิตภัณฑ์ของเราอย่างเป็นทางการ” ซูจิ้งพูดออกมา


หลังจากนั้นทั้งสามได้คุยกันต่ออีกสักพักก่อนที่ซูจิ้งและหวังจ้าวจะขับรถออกไป ส่วนเฉิงหนานอยู่จัดการธุระต่ออีกพักหนึ่ง


 


หนึ่งวันผ่านไป ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์จากเฉิงหนาน เขาเองก็ไม่คิดว่าเขาจะได้ข่าวดีเกี่ยวกับห้องแล็บวิจัยดอกไม้ไฟเร็วขนาดนี้


นักวิจัยทั้งสามในที่สุดก็สามารถลอกเลียนแบบตุ๊กตาดอกไม้ไฟได้ แถมยังทำได้ถึงขนาดที่ว่าสามารถสอนซูจิ้งทำได้เลยซะด้วยซ้ำ พวกเขาฝากคำกล่าวมาบอกซูจิ้งว่าดอกไม้ไฟนั้นช่างยอดเยี่ยมและแยบยลสุดๆ


ซูจิ้งเองก็ถึงกับอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน พร้อมทั้งประหลาดใจ และชื่นชมไปพร้อมกัน เดิมทีแล้วเขานั้นกังวลอยู่ว่าแกนดรอฟจะใช้เทคนิคพิเศษบางอย่างที่ไม่สามารถหาได้จากโลกใบนี้


ไม่คิดเลยว่าเคล็ดลับจะอยู่ที่ตัวจุดชนวนที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษ หากแค่เป็นเรื่องของการออกแบบไม่ใช่ส่วนผสมพิเศษล่ะก็


แน่นอนว่าย่อมไม่รอดพ้นจากสายตาของนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟชั้นเลิศที่เขาหามาอย่างแน่นอน


ซูจิ้งคิดสักพักก่อนที่จะถามเฉิงหนานเกี่ยวกับการเตรียมการผลิตและให้เฉิงหนานรีบหาคนมาดำเนินการทันที


หลังจากวางสายแล้วเขาได้โทรหาคุณหลิวคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการดำเนินงานเลี้ยงครบรอบร้อยปีของโรงเรียนมัธยมต้นที่ 1 แห่งเมืองจงหยุนในทันที



GGS:บทที่ 851 งานแสดงดอกไม้ไฟ


 


“สวัสดีครับคุณซู” คุณหลิวได้รีบรับโทรศัพท์ในทันทีที่เห็นซูจิ้งโทรไปหา


“สวัสดีครับคุณหลิว ผมขอถามหน่อยสิว่าในคืนงานเลี้ยงฉลองครบรอบร้อยปีนี่ คุณมีการเตรียมที่จะจุดดอกไม้ไฟเป็นชุดๆไว้อะไรแบบนั้นรึเปล่าครับ”


“มีครับ ทางผมได้คิดต่อกับบริษัทผู้จัดงานไว้ว่าให้มีการแสดงดอกไม้ไฟไว้ในโปรแกรมด้วย ผมเองก็เตรียมที่จะไปคุยกับบริษัทดอกไม้ไฟเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”


“โอ้ พอดีเลยสินะ คืองี้ ผมน่ะเพิ่งจะเปิดโรงงานผลิตดอกไม้ไฟแบบสดๆร้อนๆหมาดๆเลยครับ


คุณคิดว่ายังไงถ้าผมจะให้ดอกไม้ไฟคุณไปใช้ในคืนวันครบรอบร้อยปีนั่น ผมรับประกันได้เลยว่าดอกไม้ไฟของผมนั้นไม่ด้อยไปกว่าใครเลยอย่างแน่นอน”


“จริงหรอครับ ถ้าคุณจิ้งว่าอย่างนั้นก็ไม่มีปัญหาครับ ว่าแต่เรื่องค่าใช้จ่ายนี่…” เอาจริงๆเรื่องนี้สำหรับคุณหลิวแล้วการที่ซูจิ้งเสนอตัวมาแบบนี้สามารถช่วยเขาได้อย่างมาก นอกจากนี้ซูจิ้งนั้นยังถือได้ว่าเป็นแขกรับเชิญสุดแสนจะพิเศษสุดแล้ว หัวหน้ายังบอกเขาว่าให้คอยดูแล พร้อมทั้งใส่ใจเขา และเชื่อใจเขาอย่างเต็มที่


“เรื่องนั้นคุณไม่ต้องห่วงครับ ผมยอมให้คุณฟรีๆเลย”


“นั่นมัน…สุดยอดมาก คุณซูช่างประเสริฐยิ่งนัก” คุณหลิวพูดออกมาด้วยความยินดียิ่ง ไม่มีอะไรดีไปกว่าของฟรีอีกแล้ว ต่อให้ซูจิ้งไม่ยอมให้พวกเขาฟรีๆแต่ตราบใดที่ค่าใช้จ่ายยังอยู่ในงบที่มีอยู่ล่ะก็เขาไม่มีปัญหา แต่เมื่อได้มาฟรีแล้วก็ถือได้ว่าดีที่สุดแล้ว เหนือสิ่งอื่นใดนั้นเขารู้ดีว่าซูจิ้งรวยโคตร แค่นี้ขนหน้าแข้งเขาไม่ร่วงอยู่แล้ว


“แล้วก็ยังมีอีกเรื่อง ผมเองอยากจะขอบริจาคเงินให้ทางโรงเรียนด้วย คุณพอจะมีเบอร์โทรของครูใหญ่รึเปล่าครับ” ซูจิ้งถามออกมา


“มีครับมี” คุณหลิวรีบบอกเบอร์โทรของครูใหญ่ไปในทันที เขานั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้เลยสักนิดว่าสิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไปนี้ได้โยนให้ทั้ง ผอ.โรงเรียน ครูใหญ่ และตัวเขาเอง ต้องมีชีวิตยากลำบากมากยิ่งขึ้น


 


ซูจิ้งได้โทรไปหาครูใหญ่ ครูใหญ่เองก็ยังเป็นคนเดิมกับตอนที่ซูจิ้งเรียนอยู่ แต่เมื่อเขารับโทรศัพท์ซูจิ้ง เขาก็มีท่าทีนอบน้อม และเมื่อ่ซูจิ้งพูดถึงเงินบริจาค นำเสียงเขาแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด


สำหรับเขาแล้ว การที่ได้ครูใหญ่คนที่เขาคุ้นเคยเป็นคนจัดการนั้นถือได้ว่าเป็ฯเรื่องที่ดีอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่ถูกนับหน้าถือตาจากนักเรียนและอาจารย์ในโรงเรียน


ต่อให้เขานั้นไม่ใช่คนดีเด่อะไรนัก แต่อย่างน้อยๆเขาก็เชื่อได้ว่าอาจารย์ใหญ่คนนี้จะไม่มีทางโกงเงินเขาไปอย่างแน่นอน


นั่นก็เพราะว่าต่อให้คนมีสมองน้อยก็ยังรู้เลยว่าหากเขากล้าโกงเงินซูจิ้งแม้เพียงน้อยนิด เขานั้นจะโดนลดขั้นในทันที


 


เรื่องที่ซูจิ้งบริจาคเงินนั้นเป็นที่รู้กันเฉพาะเขาและอาจารย์ใหญ่เท่านั้นในตอนนี้ แต่เรื่องที่ซูจิ้งเป็นเจ้าภาพในการจัดแสดงดอกไม้ไฟนี่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหลุดไปได้ยังไง จนตอนนี้กลายเป็นหัวข้อที่คุยกันไปทั่ว


“งานร้อยปี ครบรอบจงหยุน ไม่”


“ช่างหัวไอ้บรรทัดก่อนหน้านี้ไปซะ โรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนเป็นโรงเรียนที่พี่จิ้งเคยเรียนมาก่อน”


“ฮ่าฮ่า ไม่จริงใช่รึเปล่า ไม่อยากจะบอกเลยว่าฉันเองก็เรียนโรงเรียนกับเขามา บอกได้เลยว่าพี่จิ้งเป็นรุ่นพี่ของฉันเอง ดูเหมือนว่าพี่จิ้งนั้นจะเข้าร่วมงานเลี้ยง นอกจากนี้เขายังมีการแสดงดีๆอีกด้วยนะ”


“โคตรน่าอิจฉาอ่ะ ฉันอยากเป็นหนึ่งในศิษย์เก่าบ้างจัง”


“ฉันเองก็อยู่แถวๆนั้นนะ ฉันจะเข้าไปร่วมงานแน่ๆ”


“ถ่ายวีดิโอมาด้วยล่ะ ฉันเข้าร่วมงานไม่ได้เพราะอยู่ไกลมาก ไม่ได้เห็นพี่จิ้งด้วยตาก็ขอเห็นในวีดิโอก็ยังดี”


“แต่ฉันก็ยังงงอยู่นะ พี่จิ้งเองก็มีธุรกิจมากมายอยู่แล้ว แล้วนี้เขายังจะเข้าไปเป็นคนจัดการแสดงดอกไม้ไฟอีกอย่างนั้นหรอ”


“แล้วดอกไม้ไฟนี่มันเจ๋งยังไงอ่ะ”


“เฮ้เฮ้ งานแสดงดอกไม้ไฟของพี่จิ้งย่อมสุดยอดกว่างานแสดงดอกไม้ไฟของคนอื่นอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว”


“แล้วยังไงล่ะ มันก็แค่ดอกไม้ไฟนี่นา ขนาดงานเทศกาลดอกไม้ไฟนานาชาติที่จัดที่เซี่ยงไฮ้ที่ผ่านมาฉันยังไม่เห็นว่าน่าสนใจเลยสักนิด”


“ยิ่งไปกว่านั้นนะ ฉันว่างานแสดงดอกไม้ไฟเป็นอะไรที่จัดการง่ายที่สุดแล้ว และถือได้ว่าเป็นงานที่ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลยด้วย นั่นก็เพราะว่ามันสามารถพางานให้กร่อยได้เหมือนกัน ฉันเองว่างานแสดงดอกไม้ไฟของซูจิ้งนั้นก็ไม่น่าต่างกันนักหรอก”


 


ภายใต้ไมโครบลอคของซูจิ้งในตอนนี้ เหล่าแฟนคลับของเขาต่างก็บอกให้ซูจิ้งนั้นอย่าไปเสียเวลาทำเลย และหลายๆคนเองก็ถึงกับขู่ว่าจะเลิกติดตามเลยก็มี แต่ก็มีอีกหลายคนที่ให้คำแนะนำของซูจิ้งโดยมีหนึ่งในนั้นเองที่เป็นระดับผู้เชี่ยวชาญ และเขาเองก็มีแผนที่จะเตรียมการแสดงดอกไม้ไฟชุดใหญ่เพื่อช่วยซูจิ้งแบบฟรีๆเหมือนกัน


เหมือนเห็นดังนั้นซูจิ้งก็ทำได้แต่ขอบคุณอย่างหมดหัวใจ แต่ก็ขอปฏิเสธพวกเขาไปอย่างมีมารยาทแบบสุดๆ เขาเองก็ได้เตรียมดอกไม้ไฟของเขาไว้แล้วและไม่มีทางเลยที่คนทั่วไปจะช่วยเขาได้ เขานั้นไม่จำเป็นต้องเสียเวลาวางแผนการใดๆ เพราะตัวของดอกไม้ไฟของเขานั้นถือได้ว่าวิเศษสุดอยู่แล้ว ไม่ต้องหาอะไรเพิ่มเติม


ที่เขาทุ่มเท และออกหน้ามากมายขนาดนี้ นั่นก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเขานั้นอยากจะใช้โอกาสนี้ในการโฆษณาดอกไม้ไฟของแกนดรอฟและเพื่อต้องการท่าทางของคนที่เห็น


เขาได้คุยกับเฉิงหนานและหวังจ้าวเกี่ยวกับชื่อของผลิตภัณฑ์ดอกไม้ไฟที่เขาจะใช้ในการออกจำหน่าย จนสุดท้ายจึงสรุปกันได้ว่าชื่อของมันคือ ดอกไม้ไฟเวทมนต์


โทรศัพท์ของเหว่ยเสี่ยวหยวนได้ดังขึ้น มันเป็นเบอร์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เธอก็ยังยอมรับมันเพราะอย่างน้อยๆเธอก็มีหน้าที่ในฐานะของตัวแทนของซูจิ้ง


ปกติเธอเองก็ได้รับเบอร์แปลกๆพวกนี้อยู่บ่อยๆอยู่แล้ว จึงถือได้ว่านี้เป็นหน้าที่หนึ่งของเธอในการคัดกรองผู้คนให้กับซูจิ้ง


“สวัสดีครับคุณเหว่ย ผมชื่อเผิงเหวินซู เป็นผู้จัดการของกลุ่มอุตสาหกรรมดอกไม้ไฟ ผมมีเรื่องต้องการคุยกับคุณซู” เสียงของชายคนหนึ่งที่เหมือนจะอยู่กับหมาฮัสกี้ดังมาจากอีกฝั่ง


“สวัสดีค่ะคุณเผิง ให้ฉันช่วยอะไรหรือคะ” เหว่ยเสี่ยวหยวนเองก็พอจะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการคุยเรื่องอะไร แต่เธอเองอยากจะถามให้แน่ในก่อน


“เอ่อออคืออย่างนี้ครับ ผมได้ยินมาว่าคุณซูนั้นจะเข้าร่วมงานครบรอบร้อยปีของโรงเรียนในฐานะศิษย์เก่าและจะนำดอกไม้ไฟไปจัดแสดงในงานด้วย ผมคิดว่าผมพอจะช่วยคุณซูเรื่องนี้ได้ครับ พวกเรากลุ่มอุตสาหกรรมดอกไม้ไฟนั้นมีการเตรียมพร้อมกับงานประเภทนี้ไว้แล้ว” เผิงเหวิ่นซูได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ต้องขอบคุณคุณเผิงจริงๆค่ะสำหรับความใจดีของคุณ แต่คุณซูเองก็ได้วางแผนเอาไว้แล้วเช่นเดียวกันค่ะ”


เหว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมาในทันทีเพราะเธอเองก็ได้รับข้อความจากซูจิ้งมาแล้วว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่เสนอตัวเข้าช่วยเกี่ยวกับดอกไม้ไฟให้ปฏิเสธให้หมด


“ฟังผมก่อนนะครับ ตราบใดที่คุณซูช่วยประชาสัมพันธ์พวกเราล่ะก็ ผมสามารถออกแบบการแสดงให้ฟรีๆเลย แถมผมยังจะมอบดอกไม้ไฟตามที่ออกแบบการแสดงไว้ให้ฟรีๆเช่นเดียวกัน


งานแสดงดอกไม้ไฟนั้นถึงมันจะดูง่ายๆเพราะว่ามันแค่เป็นการจัดเตรียมดอกไม้ไฟจุดไปตามลำดับก็จริง


แต่จริงๆแล้วมันไม่ง่ายเลยนะครับ รูปร่างของดอกไม้ไฟเองก็สำคัญ และการควบคุมไฟเองก็มีผลต่อความสวยงามไม่แพ้กันเลย แต่สำหรับพวกผมแล้วงานนี้ถือได้ว่าง่ายเสียยิ่งกว่าง่ายซะอีก” เผิงเหวิ่นซูพูดออกมา


“เรื่องนี้ไม่เป็นไรจริงๆค่ะ ขอบคุณมากนะคะ”  เว่ยเสี่ยวหยวนพูดจบก็ได้วางสายไป


ที่ต้นสาย เผิงเหวิ่นซูที่ถูกตัดสายไปก็โกรธขึ้นในทันทีจนสบถออกมาว่า


“อยากทำอะไรก็ทำไป ถ้าคิดว่าแผนของตัวเองดีนักล่ะก็ คอยดูเถอะพอถึงเวลาจริงๆอย่ามาได้อ้อนวอนละกัน ฉันเองก็จะคอยหัวเราะใส่หน้าพวกแกเอาไว้”


 


หลังจากนั้นก็ได้มีเหล่าบริษัทที่เกี่ยวกับดอกไม้ไฟอีกหลายบริษัทได้โทรหาเหว่ยเสี่ยวหยวน โดยหัวข้อการสนทนาก็คือเรื่องเดียวกับที่เผิงเหวินซูพูดก่อนหน้านี้ นั่นก็คือหวังว่าซูจิ้งจะช่วยโฆษณาให้พวกเขาแรกกับการจัดงานแสดงให้


แน่นอนว่าเขานั้นไม่สนใจที่จะเป็นมาสคอตโฆษณาสินค้าให้ใครอยู่แล้ว เหว่ยเสี่ยวหยวนเองก็ได้ปฏิเสธไปหมดทุกบริษัท


พวกเขานั้นไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าทั้งซูจิ้งและเหว่ยเสี่ยวหยวนนั้นได้ตั้งป้อมรอปฏิเสธพวกเขาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว


นี่ทำให้ทุกบริษัทที่โทรไปหาต่างกร่นด่าและสาปแช่งให้งานล่มไม่เป็นท่าไปตามๆกันไปหมด


ก็ไม่แปลกที่ทุกคนต่างก็สาปแช่งไปในทางเดียวกันนั่นก็เพราะว่าเอาจริงๆแล้วงานแสดงดอกไม้ไฟนั้นยากกว่าที่คนทั่วไปคิด และซูจิ้งก็ไม่ใช่นักจัดงานมืออาชีพแต่อย่างใด รวมไปถึงการที่ซูจิ้งนั้นเป็นคนที่มีชื่อเสียง หากงานล่มเพราะเขา ย่อมเป็นธรรมดาที่จะเสียชื่อเสียงและถูกหัวเราะเยาะมากกว่าคนทั่วไป


 


ถ้าจะให้พูดกันแล้ว งานแสดงดอกไม้ไฟของซูจิ้งนั้นถือได้ว่าไม่ได้รับการสนับสนุนมากนัก คนส่วนใหญ่ที่สนับสนุนซูจิ้งคือแฟนคลับพันธุ์แท้ของซูจิ้งเท่านั้น


ไม่ใครคาดคิดเลยสักนิดว่าวิดีโอดอกไม้ไฟสุดแสนวิเศษก่อนหน้านี้จะกลายมาเป็นงานแสดงดอกไม้ไฟสุดอลังการของซูจิ้งในครั้งนี้ได้


GGS:บทที่ 852 แผนการแสดงของซูจิ้ง


 


ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจที่ในอินเตอร์เน็ตพูดคุยถึงเขาแม้แต่น้อย เขานั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจ ด้วยดอกไฟของแกนดรอฟจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริงแล้ว หากเขาไม่มั่นใจนี่สิแปลก


ทางด้านเฉิงหนานเองในตอนนี้ก็ดำเนินการได้ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โรงงานดอกไม้ไฟในตอนนี้นั้นถือได้ว่าลุล่วงอย่างรวดเร็วจนตอนนี้สามารถเตรียมความพร้อมที่จะผลิตดอกไม้ไฟชุดแรกได้ในทันที


ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ดอกไม้ไฟชุดแรกของซูจิ้งจะแล้วเสร็จในอีกสองวัน ซึ่งตรงกับวันที่มีการจัดงานเลี้ยงครบรอบร้อยปีของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งของเมืองจงหยุน


“หลังจากที่จัดการเรื่องดอกไม้ไฟเสร็จแล้ว ฉันเองก็คงจะต้องเตรียมตัวการแสดงในช่วงเย็นไว้ด้วยสินะ


มันต้องไม่เป็นเพียงการแสดงธรรมดา แต่มันต้องเป็นการแสดงที่ช่วยส่งเสริมนักเรียกพวกนั้นด้วย”


ซูจิ้งเองได้ขับเคลื่อนวิถีแห่งใต้หล้าภายในจิตสำนึกของเขาและดำดิ่งอยู่ในห้วงความคิดอยู่อีกพักใหญ่ ทันใดนั้นเขาเองก็ได้ดีดผึงขึ้นมา และได้ตรงไปยังโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์


 


เมื่อเขาถึงที่นั่น ฮูฮงหยาง ฮูเฟยหยุน ไชหวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง ได้อยู่ที่นั่นอยู่แล้ว โดยมีหวู่หลงเพิ่มเข้ามา


ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นมีความสุขจริงๆที่ได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์แห่งนี้


พวกเขาทั้งหมดในตอนนี้กำลังฝึกมวยกันอยู่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพลงมวยใดอื่นนอกจากเพลงหมัดวัวคลั่งแน่นอนอยู่แล้ว


“ศิษย์พี่ วันนี้ลมอะไรได้พัดศิษย์พี่ให้มาที่นี่ได้กัน” ฮูเฟยหยุนได้พูดออกมาด้วยเสียงดังลั่นในทันทีที่เห็นซูจิ้ง


“สวัสดีครับศิษย์พี่” เหล่าสมาชิกของโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวได้กล่าวทักทายพร้อมโค้งคำนับให้แก่ซูจิ้ง


ถึงแม้ว่าหลายๆคนนั้นจะได้รับการฝึกฝนมาจากฮูฮงหยางและบางคนก็ยังแก่กว่าซูจิ้งด้วยซ้ำ แต่พวกเขานั้นต่างก็เต็มในที่จะเรียกซูจิ้งว่าศิษย์พี่ และไม่รังเกียจที่จะยอมรับว่าเป็นศิษย์น้องของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย


นั่นก็เพราะว่าในด้านศิลปะป้องกันตัวนั้น ซูจิ้งเหนือกว่าใครๆในวงการเลยก็ว่าได้ในตอนนี้ แน่นอนว่ายังสูงล้ำยิ่งกว่าฮูฮงหยางซะอีก


เขาเก่งถึงขนาดคิดค้นเพลงหมัดวัวคลั่งได้ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะยอมซูฮกให้แก่ซูจิ้ง แค่คำว่าศิษย์พี่นี่สำหรับพวกเขานั้นยังถือว่าน้อยไปเลย พวกเขาอยากเรียกว่าปรมาจารย์เลยด้วยซ้ำไป


“พวกแกนี่น้า…ตอนอยู่กับฉันไม่เห็นสรรเสริญฉันขนาดนี้เลยสักนิด” ฮูฮงหยางเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเฉียดเฉียน


“อาจิ้ง วันนี้นายมาทำอะไรล่ะนั่น จะให้พวกเราทำอะไรหรอ” ไชหวู่เฟิงถามออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ทำไมล่ะ ฉันจะมาบ้างไม่ได้รึไงเนี่ย” ซูจิ้งถามด้วยรอยยิ้ม


“ได้สิ แหม่… ทุกคนที่นี่อยากจะให้นายอยู่กับพวกเราทุกวันเลยด้วยซ้ำ แต่นายเองก็ยุ่งซะจนหาเวลามาไม่ค่อยได้ น้อยครั้งที่นายจะสามารถมาที่นี่ได้โดยไม่มีธุระอะไร


ยิ่งตอนนี้นายเองก็เพิ่งจะสำเร็จวิชาหลายๆด้านอย่างการเข้าสมาธิ การวาดภาพ ไหนจะต้องเตรียมงานแสดงดอกไม้ไฟอีก


ฉันเองก็รู้เลยว่านายน่าจะยุ่งจนไม่น่าจะมาได้ ถ้ามาก็ต้องมีอะไรให้เราช่วยอยู่แล้ว” ไชหวู่เฟิงพูดออกมาด้วย


รอยยิ้ม


“โอ้…ว่ามาอย่างนี้ก็ดีเลย ความจริงฉันก็มีอะไรมาให้นายจริงๆนั่นแหล่ะ ฉันมีเพลงมวยใหม่มาสอนน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“จริงอ่ะ” ฮูฮงหยาง ฮูเฟยหยุน ไชหวู่เฟิง จี้เสี่ยวถิง หวู่หลง และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างหูผึ่งและตาเป็นประกายในทันที


“ใช่ แต่มีข้อแม้นะ พวกนายจะต้องทำตามที่ฉันขอหนึ่งอย่างหลังจากเรียนเสร็จแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา


“ศิษย์พี่ ต่อให้พี่ไม่สอน แค่เอ่ยปากออกมาพวกเราก็พร้อมที่จะบุกน้ำลุยไฟเพื่อพี่อยู่แล้วล่ะ” ฮูเฟยหยุนใช้กำปั้นเคาะไปที่หน้าอกของตัวเองเป็นสัญลักษณ์ว่าเขานั้นพร้อมทำงานหนักเอาเบาสู้เพื่อซูจิ้งตลอดเวลา


เขาเองก็ได้รู้ซึ้งถึงอาณุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งอยู่แล้ว และรู้ได้ในทันทีเลยว่าเพลงหมัดชุดใหม่ของซูจิ้งต้องวิเศษไม่แพ้กันอย่างแน่นอน


 


“ศิษย์พี่ พี่อยากให้พวกเราทำอะไรเหรอ” จี้เสี่ยวถิงเองก็รู้สึกตื่นเต้นแปลกๆเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าด้วยความเก่งกาจของซูจิ้งแล้ว ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องขอให้พวกเขาช่วยได้อีก


เขาและหวู่หลงเองก็ได้มองไปยังซูจิ้งด้วยสายตาแปลกๆ ทั้งสองกลัวเพียงว่าเรื่องที่ซูจิ้งขอให้ช่วยจะเหนือบ่ากว่าแรงของพวกเขาจนเผลอทำพลาดไปจนเสียการใหญ่มากกว่า


“เอาน่า นายไปต้องไปบุกป่าฝ่าดงขึ้นเขาเผากระท่อมบุกน้ำลุยไฟอะไรพวกนั้นหรอก ก็แค่เรื่องเล็กน้อยอย่างอีกสองสามวันนับจากนี้ ในงานครบรอบร้อยปีโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งที่ฉันเป็นศิษย์เก่านั้น พอดีฉันมีแผนว่าจะร่วมการแสดงด้วย โดยจะให้พวกนายช่วยฉันแสดงเทคนิคหมัดมวยก็เท่านั้นเอง” ซูจิ้งได้พูดพร้อมรอยยิ้มแบบใสๆออกมาบนใบหน้า


“แค่นั้น” มันฟังดูง่ายจนจี้เสี่ยวถิงหลุดปากถามซ้ำออกมา


“แค่การแสดงเดียวหรอ” ฮูเฟ่ยหยุน ไชหวูเฟิง และหวู่หลง นั้นทำท่าไม่อยากจะเชื่อออกมาพร้อมๆกัน มันฟังดูง่ายเกินกว่าที่จะใช้แลกกับการสอนเพลงหมัดหนึ่งเพลงมากมายนัก


“ใช่ แค่นั้นแล…” ซูจิ้งพยักหน้า ก่อนจะพูดออกมาว่า “เพลงหมัดของฉันชุดนี้เป็นต้นตำรับโดยฉันเอง


ฉันจะสอนแบบตัวต่อตัว และแน่นนอนว่าจะไม่ขอให้นายทำอย่างอื่นเพิ่มเติมนอกจากการช่วยฉันแสดงแค่นั้นเอง


และอีกอย่างฉันก็ได้แต่หวังเพียงว่าพวกนายไม่ใช่ว่าเรียนแล้วจะไม่ยอมเข้าร่วมการแสดงของฉันนะ อ้อแน่นอนครับว่าปรมาจารย์ฮูไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการแสดงอย่างแน่นอน นอกจากว่าคุณจะอยากล่ะนะ”


“โถ่ ศิษย์พี่ ศิษย์พี่คิดว่าพวกเราเป็นคนแบบไหนกันเนี่ย พี่เป็นคนสอนเพลงหมัดกับพวกเรานะ พวกเราจะไปปฏิเสธเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ได้ยังไงกัน” ฮูเฟยหยุนเองได้พูดออกมา


“ใช่แล้วล่ะ อย่าว่าแต่การแสดงเดียวเลย ให้แสดงทั้งคืนก็ยังได้ สอนเราเถอะน่าศิษย์พี่” จี้เสี่ยวถิงได้พูดออกมา


“ศิษย์พี่ พวกเราสัญญาเลยว่าจะช่วยศิษย์พี่ในการแสดงอย่างสุดความสามารถ” เหล่าศิษย์คนอื่นของโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์และหวู่หลงและไชหวู่เฟิงเองก็แสดงท่าทางดีใจกันออกมาอย่างเห็นได้ชัด


แค่เพียงร่วมการแสดงเพียงครั้งเดียวก็ได้เรียนเพลงหมัดใหม่ได้แล้ว ไม่มีอะไรคุ้มค่าไปมากกว่านี้แล้วจริงๆ


 


ฮูฮงหยางเองที่ตอนนี้อยู่ในท่าทีที่สุขุมมากที่สุดนั้น เขาได้เดินเข้าไปหาซูจิ้งและลากซูจิ้งเข้าไปที่ซอกกำแพงห่างจากทุกคนในทันที เขาเองก็ถามออกมาอย่างจริงจังว่า “อาจิ้ง เอาจริงๆกับลูกศิษย์ในตอนนี้นั้น


ฉันไม่สามารถมั่นใจได้ว่าทุกคนจะยอมเก็บความลับไว้ได้นะ การที่นายมาสอนเพลงหมัดให้ทั้งโรงเรียนแลกกับการให้พวกเขาช่วยเรื่องงานแสดงแบบนี้ไม่กลัวจะถูกขโมยความรู้ไปรึไงกัน”


ซูจิ้งนั้นได้เคยเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่งของเขาไปก่อนหน้านี้แบบต่อหน้าประชาชนมาแล้ว ถึงแม้จะแค่ส่วนหนึ่ง และมีเพียงไม่กี่คนอย่างเสี่ยวไจ๋ ฮูฮงหยาง ฮูเฟยหยุน ไชหวู่เฟิง และจี้เสี่ยวถิงเท่านั้นที่เขาเชื่อใจสอนเพลงหมัดทั้งหมดก็ตาม


ในความคิดของซูจิ้งนั้น วิธีการของเขานั้นถือได้ว่าเป็นการเผยแพร่เพลงมวยของเขาออกไปในระดับโลกเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันก็ตรงตามเป้าประสงค์ของเขาอยู่แล้ว


ซูจิ้งได้เตรียมการเรื่องการนำไปใช้งานผิดๆโดยมอบหมายให้เขา(อาจารย์ฮู)เป็นผู้คัดกรองอีกที


เขา(อาจารย์ฮู)เองตอนนี้ก็ยังสอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้กับลูกศิษย์ถึงแค่รูปแบบที่สองเท่านั้น ยังไม่ได้เผยแพร่รูปแบบที่สามแต่ประการใด


มาในตอนนี้หลังจากที่เขาได้ยินซูจิ้งพูดแล้วฟังๆดูเหมือนซูจิ้งเองก็ให้ความสำคัญกับความลับของเพลงมวยชุดนี้อย่างมาก


แต่เขากลับเลือกที่จะสอนให้ทุกคนเพียงแลกกับการช่วยเขาแสดงในงานโรงเรียนเท่านั้น มันช่างน่าแปลกใจจนต้องลากซูจิ้งมาคุยข้างๆแบบนี้


“ผมไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้นหรอกครับ สิ่งที่ผมจะสอนให้นี่ก็เป็นเพียงแค่รูปแบบแรกเท่านั้นเอง” ซูจิ้งยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าไม่จำเป็นต้องกังวล


“อ้อออ งั้นก็ไม่มีปัญหา” ฮูฮงหยางพยักหน้ารับในทันที ถึงแม้เขาจะยังรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ในใจ


แต่ยังไงซะถ้าเป็นเพียงแค่รูปแบบแรกก็คงไม่ต้องกังวลอะไรมากนะ แต่เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมคำพูดของซูจิ้งนั้นช่างให้ความรู้สึกว่าเรื่องที่เขาสอนเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและมีอะไรที่มันลึกซึ้งซ่อนอยู่


 


“อาจารย์กับศิษย์พี่อย่ามัวแต่กระซิบกระซาบกันสองคนสิ  รีบสอนพวกเราเร็วเข้า” จี้เสี่ยวถิงทนไม่ไหวจนต้องตะโกนร้องขอออกมา


“ได้ๆ ดูให้ดีนะ” ทันทีที่ซูจิ้งพูดจบ เขาได้สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากนั้นเขาแยกมือและเท้าออกจากกันและเข้าท่าทางการฝึกในทันที


ฮูเฟยหยุน จี้เสี่ยงถิง ไชหวู่เฟิง หวู่หลง และคนอื่นๆจ้องมองอย่างตั้งใจจนดวงตาเบิกโตในตอนแรก แต่หลังจากมองผ่านไปสองสามวินาที พวกเขาเริ่มสังเกตว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติ จนบางคนเริ่มมองหน้ากันเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่พวกเขาก็พูดไม่ออก มันเหมือนกับว่ามีอะไรผิดปกติแต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรผิดปกติกันแน่


“เพลงหมัดนี้มัน… ว่ายังไงดีล่ะ… มันเหมือนจะช้าไปหน่อยรึเปล่า” จี้เสี่ยงถิงบ่นพึมพำออกมา


“ศิษย์พี่คงอยากให้พวกเราเห็นได้ชัดๆเฉยๆรึเปล่า” ฮูเฟยหยุนเองก็ลองอธิบายออกมา แต่เขาเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน


“ไม่ใช่แค่ช้านะ ฉันว่าน่าจะเรียกว่าเชื่องช้าเลยมากกว่า มันเทียบไม่ได้กับเพลงหมัดวัวคลั่งเลยนะ” หวู่หลงเองก็กระซิบบ่นมาเบาๆ


“ถึงจะบอกว่าอย่างนั้นก็เถอะแต่ทำไมฉันรู้สึกได้ว่าท่วงท่าของเพลงหมัดนี้มันดูลื่นไหลจนราวกับว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติเหลือเกิน หรือว่าตาของฉันฝาดไป” ไชหวู่เฟิงเองก็สังเกตเรื่องนี้เหมือนกัน


แม้แต่ฮูฮงหยางเองก็ถึงกับสับสนในทันที พอดูๆแล้วเขาเองก็คิดเหมือนกันว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆกับเพลงหมัดที่แสนธรรมดาชุดนี้แต่เขานั้นมองยังไงก็มองไม่ออก


ทันทีที่ซูจิ้งสังเกตเห็นว่ารอบข้างมองเขาด้วยความสับสน เขานั้นได้หยุดลงในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ดูท่าเพลงหมัดนี้จะยากเกินกว่าที่ทุกคนจะเข้าใจในความหมายของมันได้แหะ ฉันว่าถ้าฉันเล่นเพลงเพลงหนึ่งไปด้วยคิดว่าทุกคนคงจะเข้าจะเพลงหมัดนี้มากขึ้นนะ”


 


หลังจากซูจิ้งพูดจบ เขาได้หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา เขาได้เรียกเพลงเพลงหนึ่งและวางมันทิ้งไว้บนโต๊ะ


ทันทีที่เพลงดังขึ้น ซูจิ้งก็ได้เริ่มแสดงเพลงหมัดของเขาต่อไปในทันที หลังจากทุกคนได้ยินเสียงและได้มองซูจิ้งแสดงเพลงหมัดออกมา ต่างก็รู้สึกสนเท่ห์กันไปหมด


นี่มันเพลงหมัดอะไรกันแน่ อะไรคือแก่นของเพลงหมัดกัน ไหนจะความหมายของเพลงที่เปิดประกอบการร่ายรำนี่อีก นี่พวกเขาตกมาในหลุมพลางของศิษย์พี่ของเขาแล้วอย่างนั้นหรอเนี่ย


GGS:บทที่ 853 ใบไม้วิเศษ


 


ฮูเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าตัวเองได้ตกหลุมพลางของศิษย์ผู้พี่ของพวกเขาเข้าให้แล้ว


แต่ยังไงซะคำพูดของพวกเขาเองที่พูดออกไปก่อนหน้านี้ก็ไม่สามารถคืนคำได้แล้วเช่นเดียวกัน เฉกเช่นสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ


พวกเขาเองในตอนนี้เหลือเพียงตัวเลือกเดียวเท่านั้นก็คือต้องเรียนเพลงหมัดนี้ของซูจิ้ง ไม่อย่างนั้นคงต้องโดนอัดหมอบกระแตอยู่ตรงนี้เป็นแน่


ซูจิ้งเองก็ไม่ได้ใส่ใจว่าเหล่าศิษย์น้องของเขาจะมองเขาเป็นตัวอะไรไปแล้วก็ตาม หลังจากสอนเพลงหมัดไปแล้ว


ซูจิ้งก็ได้บอกให้พวกเขาทบทวนเพลงหมัดอย่างดี และบอกให้พวกเขารอดูผลลัพธ์จากการฝึกที่จะปรากฎให้เห็นในช่วงสองวันนี้อย่างไม่คาดฝัน


พอพูดเสร็จซูจิ้งก็ได้ชิ่งออกมาในทันที


 


หลังจากกลับไปถึงบ้าน ซูจิ้งได้กลับเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศและจัดการขยะของเขาต่อในทันที


หลังจากแน่ใจแล้วว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากไหนแล้วก็ตาม แต่เขาก็ไม่ได้เจออะไรน่าสนใจเพิ่มเติมจึงทำได้เพียงท้อใจไปเล็กน้อยเท่านั้น


กองกระดาษที่เอาไว้เหลืออีกเพียงนิดหน่อยเท่านั้น นั่นก็เพราะเสี่ยวไป๋ยังคงทำงานของตัวเองต่อไป


เห็นดังนั้น ซูจิ้งจึงได้หันไปจัดการกับขยะกองไม้แทน เมื่อจัดการเสร็จสิ้น เขาได้พบไม้ที่ดูน่าสนใจเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยแต่ก็ยังไม่เจออะไรดีๆเพิ่มเติม เพราะส่วนใหญ่แล้วพวกมันเป็นเพียงเศษไม้ธรรมดาเท่านั้น


หลังจากนั้นสักพัก ซูจิ้งก็ได้เห็นกองเศษไม้แห้งที่มวนรวมกันเป็นแท่งอยู่ ตอนแรกเขาเองก็ไม่เห็นอะไรที่มันน่าจะพิเศษกว่าไม้ทั่วไปแม้แต่น้อย


แต่ไม่นานนัก เขาเองก็เริ่มรู้สึกถึงอะไรบางอย่าง เขาได้กลิ่น กลิ่นอะไรบางอย่างรอยโชยออกมา มันเป็นกลิ่นที่หอมเตะจมูกเขาอย่างมาก


“นี่มันอะไรกันหว่า” ซูจิ้งได้หยิบใบไม้นั้นขึ้นมา พลิกซ้ายพลิกขวาดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน และยิ่งเขาพลิกดูมากเท่าไหร่ เขาก็ได้กลิ่นโชยออกมาจากมันมากขึ้นเท่านั้น และกลิ่นมันหอมยั่วยวนจนใจของเขาเต้นไม่เป็นส่ำ เขาจึงตัดสินใจจุดไฟที่ปลายนิ้วด้วยเวทไฟและเผาใบไม้แห้งนั้นในทันที


ใบไม้แห้งค่อยๆลุกไหม้อย่างช้าๆ และไม่เหลือไว้แม้เพียงเท่าถ่าน แต่กลิ่นหอมของมันกลับตลบอบอวลไปทั่ว ซูจิ้งเองเมื่อได้กลิ่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสูดเข้าไปอย่างเต็มปอด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที


“ไม่ใช่ว่านี่มันใบยาสูบแห่งไชร์ไม่ใช่หรอ” ซูจิ้งสายตาเป็นประกายในทันที ไชร์นั้นคือที่อยู่ของเหล่าฮอบบิท


 


ฮอบบิทคือชนเผ่าหนึ่งที่อยู่กันเป็นกลุ่ม เป็นชนเผ่าที่มีขนาดร่างกายเล็กจนรู้จักกันดีในนามฮาล์ฟลิ่ง(ครึ่งลำตัว)


ถึงแม้พวกเขาจะตัวเล็กแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเป็นเหมือนเผ่าคนแคระ พวกเขาเหมือนมนุษย์ปกติที่ถูกย่อส่วนมากกว่าคนแคระที่เหมือนมนุษย์โดนอัดให้บึกบึนออกข้างแทน


ส่วนใหญ่พวกเขาจะอาศัยโดยสร้างบ้านอยู่ตีนหน้าผา พวกเขานั้นไม่ใช่ทหารที่หาญกล้ามากมายอะไรนัก แต่พวกเขาก็มีความฉลาดอยู่กับตัว


นอกจากนั้นพวกเขายังชอบหาเวลาว่างในการดื่มเบียร์และสูบยา พวกเขาหลงใหลการสูบยาจนถึงขั้นปลูกเป็นของตัวเองไว้ประจำบ้านเลยทีเดียว


แม้แต่แกนดรอฟ สุดยอดจอมเวทที่สร้างดอกไม้ไฟที่ซูจิ้งกำลังลอกเลียนแบบผลิตขายอยู่นั้น เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นนักสูบตัวยง แม้แต่ซาลูมานจอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายเองก็เป็นนักสูบเช่นเดียวกัน


ซูจิ้งในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะดมใบยาสูบอีกสักชิ้นหนึ่ง ยิ่งเขาสูดไปมากเท่าไหร่ เขาเองก็ยิ่งรู้สึกสดชื่นมากเท่านั้น รวมถึงสมาธิของเขาเองก็มีสูงมากขึ้นเช่นเดียวกัน


แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าใบยาสูบพวกนี้มีผลในการฟื้นฟูความสดชื่นของร่างกายอย่างแน่นอน


“ยาสูบนี้เมื่อเทียบกับใบไม้ของโลกเซียนแล้วมีความสามารถเทียบเท่ากันได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ


ใบไม้จากโลกเซียนนั้น เอาจริงๆแล้วเขานั้นก็ไม่ได้อยากใช้สักเท่าไหร่เพราะว่ามันเหลือไม่มากแล้ว หากเอามาสูบแบบใบยาสูบธรรมดาบนโลกมนุษย์ก็ถือได้ว่าน่าเสียดายของอย่างมาก แถมใบไม้นั้นก็เหมาะกับการนำไปชงชาเสียมากกว่า เพราะเมื่อนำไปทำเป็นชงชาแล้วมันให้ผลในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งและความมั่นคงของจิตใจ รวมถึงการฟื้นฟูจิตวิญญาณอีกด้วย


ส่วนใบยาสูบแห่งไชร์นี่ซึ่งถือได้ว่ามันคือใบยาสูบจริงๆที่ต้องใช้ไปป์หรือไม่ก็มวนใบในการสูบ ยาสูบพวกนี้นอกจากจะเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังช่วยให้รู้สึกกระชุ่มกระชวย และมีกำลังวังชา แม้แต่แกนดรอฟเองก็ยังใช้ช่วยเวลาที่เขาต้องใช้สมองในการทำอะไรสักอย่าง


ผลของใบยาสูบนี้ต่างจากใบไม้แห่งโลกเซียนที่สามารถฟื้นฟูพลังวิญญาณอย่างเดียว ใบยาสูบแห่งไซร์นี้สามารถฟื้นฟูได้ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ


 


เอาจริงๆแล้วใบยาสูบบนโลกมนุษย์เองก็มีผลในการฟื้นฟูเช่นเดียวกัน แต่เมื่อเทียบกับใบยาสูบแห่งไชร์แล้วถือได้ว่าระดับการฟื้นฟูห่างกันราวกับเหวและฟ้าก็ว่าได้ ยิ่งไปกว่านั้น ใบยาสูบแห่งไชร์ถือได้ว่าเป็นสมุนไพรอย่างแท้จริง ยิ่งสูบยิ่งดีต่อร่างกาย ไม่เหมือนใบยาสูบบนโลกที่ยิ่งสูบร่างกายยิ่งแย่ลง


“ใบยาสูบชั้นยอดอย่างนี้สมควรจะเก็บเอาไว้ให้ดีจริงๆ น่าเสียดายก็เพียงเรื่องดีที่ต่อให้ใบยาสูบนี้จะดียังไงแต่ว่าร่างกายของเราเองก็สมควรใช้มันได้อย่างจำกัด


เอาเถอะยังไงซะร่างกายนี้ก็มีวิธีอื่นในการสร้างความแข็งแกร่งอยู่แล้ว ใบยาสูบนี่ก็น่าจะไม่จำเป็นสักเท่าไหร่นัก


แต่บุหรี่ที่ไม่มีผลเสียต่อร่างกายแบบนี้นี่ ถ้าเกิดพวกนักสูบรู้จักมันล่ะก็ บอกได้เลยว่าต้องคลั่งกันไปเป็นแทบแหงๆ” ซูจิ้งรีบหาใบยาสูบนี้ต่อในทันที แต่เขาเองก็เจอมันเพียงแค่ส่วนเดียวเท่านั้น และไม่เจออีกเลย


ยิ่งไปกว่านั้น ใบยาสูบกว่าครึ่งเปียกน้ำและบางส่วนก็ขึ้นราแล้ว ต่อให้ส่งให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมยังไงก็สมควรจะได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น ช่างเหลือน้อยนิดเสียจริงๆ


“เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันเคยเห็นใบไม้นี้มาก่อนนะ” ซูจิ้งที่เหมือนเอะใจอะไรขึ้นมาได้ หัวใจของเขาได้เต้นระรัวในทันที


เขาได้หยิบใบยาสูบแห้งที่สมบูรณ์มาหนึ่งใบและจัดการค่อยๆคลี่มันออกจากการเป็นมวนเพื่อดูเส้นลายไม้และทำการค้นหาข้อมูลจากในหัวสมองของเขาในทันที


ผ่านไปสักพัก สายตาของเขาก็เป็นประกายในทันที เขาได้รีบตรงลิ่วไปยังกองขยะห้วงเวลาฯจำพวกสิ่งมีชีวิตที่ฉิงหยุนได้แยกเอาไว้ก่อนหน้านี้


หลังจากไล่ดูเมล็ดพันธุ์ที่เขาสั่งให้แยกเก็บเอาไว้นั้น เขาก็พบกับเมล็ดพันธุ์ที่เริ่มจะงอกออกมาแล้ว และเมื่อเขาลองเปรียบเทียบเส้นใบดูแล้วเขาเองค่อนข้างมั่นใจว่าเมล็ดพันธุ์พวกนี้คือเมล็ดพันธุ์ใบยาสูบ


ตอนนี้มุมปากของซูจิ้งปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาในทันที หลังจากนั้นเขาค่อยๆหยิบเมล็ดที่มีใบสีเขียวงอกออกมานี้วางเอาไว้ในอุ้งมือ ก่อนที่จะเอาจมูกไปไว้ใกล้ๆ และทำการสูดลมหายใจเข้าไปอย่างช้าๆแต่เต็มปาก และสุดท้าย ซูจิ้งก็หัวเราะออกมาอย่างกับคนบ้าเลยทีเดียว


“ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะเจ้าช่างช่วยเหลือฉันซะเหลือเกิน ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ นี่ เจ้าต้นอ่อนนี้คือต้นยาสูบที่ยังมีชีวิตอยู่ แถมยังงอกแล้วอีกด้วย ช่างดีจริงๆ กลิ่นจริงๆของมันหอมยิ่งกว่าใบยาสูบจากชาร์นานซะอีก”


ซูจิ้งในตอนนี้ดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้นเลยทีเดียว นั่นก็เพราะว่าตอนนี้เขาได้เจอช่องทางธุรกิจขั้นสุดยอดเพียงเพราะความบังเอิญเท่านั้น


และเมื่อเทียบกับดอกไม้ไฟของแกนดรอฟแล้ว ใบยาสูบนี่มีค่ามากกว่าดอกไม้ไฟนั่นหลายเท่านัก


 


ลองจินตนาการดูก็ได้ว่าในประเทศจีน ไม่สิในโลกนี้มีนักสูบอยู่มากมายขนาดไหน


พวกเขานั้นยินดีที่จะสูบบุหรี่ทั้งที่ก็รู้ดีว่าบุหรี่เหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีโทษต่อร่างกาย และพวกเขาก็ยากที่จะหยุดการสูบได้


ถึงแม้จะรู้ว่าบุหรี่จะมีโทษแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังคงสูบอย่างน้อยก็หนึ่งซองต่อวัน


สมมติว่าพวกเขานั้นพบว่ามียาสูบที่มีกลิ่นที่ดี รสชาติชั้นเลิศหาใดเปรียบ แต่ไม่ว่าสูบไปเท่าไหร่ก็ไม่มีผลเสียต่อร่างกาย คิดว่าคนพวกนั้นจะทำยังไงกัน


นอกจากนั้นยังพูดได้อีกว่ายาสูบแห่งไชร์นี้สามารถสูบได้ง่ายกว่ายาสูบทั่วไปอย่างมาก ถ้าค่าใช้จ่ายในการปลูกไม่ได้สูงมากและเขาสามารถขยายพันธุ์จนปลูกได้ในระดับที่เยอะมากๆได้ล่ะก็ บอกได้เลยว่าธุรกิจยาสูบยี่ห้อต่างๆบนโลกไม่มีทางอยู่รอดได้อย่างแน่นอน ผลกำไรที่ได้บอกได้เลยว่ามหาศาลจนน่าสะพรึงกลัวอย่างแน่นอน


 


แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ดีว่ายังมีปัญหาใหญ่ที่สุดรอคอยเขาอยู่ที่เขาจะปลูกใบยาสูบจริงๆ นั่นก็คือภาษีบุหรี่


ด้วยการที่อุตสาหกรรมใบยาสูบนั้นได้ผลกำไรมหาศาลก็จริง แต่ภาษีที่ต้องจ่ายเองก็เทียบได้ว่าสูงไปตามๆผลกำไรเช่นเดียวกัน


ผลกำไรที่ได้จากการขายใบยาสูบเองส่วนใหญ่ก็จะตกเป็นของภาครัฐ ทั่วทั้งโลกนี้บอกได้เลยว่ารัฐคือผู้ที่ได้ผลกำไรสูงสุดจากการขายบุหรี่ และเป็นแบบนี้กันทั่วทั้งโลก มันก็เปรียบได้ดั่งพ่อครัวฝีมือดีที่ทำอาหารหรูหราให้ภัตตาคาร แต่ได้กินเพียงแค่โจ๊กก็บุญโขแล้ว


 


ในปี 2014 นั้น ภาษีจากอุตสาหกรรมและธุรกิจซื้อขายใบยาสูบนั้นสูงถึง 1,051.76 หมื่นล้านหยวน แค่ปีเดียวก็เพิ่มขึ้น 95.77 หมื่นล้านหยวน หรือคิดเป็น 10.02 % ของปีก่อนที่ได้ภาษี 911.03 หมื่นล้านหยวน ละนี่ได้ภาษีเพิ่มจากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 94.41 หมื่นล้านหยวน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้นมา 11.63 % โดยผลกำไรสุทธิที่ได้รับอยู่ที่ 13%


ในปี 2015 ภาษีและผลกำไรที่ได้จากธุรกิจใบยาสูบนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 1,143.6 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 91.9 หมื่นล้านหยวน เมื่อเทียบเป็น%แล้วเพิ่มขึ้น 8.73% โดยมีเงินหมุนเวียนอยู่ในธุรกิจนี้อยู่ที่ 1,095 หมื่นล้านหยวน และเพิ่มจากปีก่อนหน้าปีที่แล้ว 184 หมื่นล้านหยวน คิดเป็น%ที่ 20.2 % และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.3 %


 


จากข้อมูลทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่าธุรกิจยาสูบช่างหน้าลงทุนอย่างมาก และจากแนวโน้มแล้ว ธุรกิจดังกล่าวยังมีโอกาสขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับธุรกิจดอกไม้ไฟแล้ว ธุรกิจยาสูบยังมีผลกำไรเกิดขึ้นมากกว่า 230 หมื่นล้านหยวน


“เจ้าใบยาสูบแห่งไชร์นี่น่าจะลองขยายพันธุ์ปลูกในระดับใหญ่ให้ได้แหะ ถ้าทำได้ล่ะก็บอกเลยว่าโอกาสธุรกิจที่ได้ในครั้งนี้ช่างใหญ่หลวงนัก


ถึงแม้ว่าการจะทำให้เป็นธุรกิจระนานาชาติอาจจะยากไปหน่อยแต่ก็ยังถือได้ว่ามีโอกาสสูง เพราะยังไงซะฉันเองก็มีทั้งความนิยม ความสามารถ และเส้นสายอยู่กับตัว


แต่เหนือสิ่งอื่นใดแล้วกว่าจะถึงเวลานั้นก็ต้องใช้เวลาอีกพักใหญ่เลยทีเดียวกว่าจะเพาะพันธุ์ได้ ระหว่างนั้นคงต้องค่อยๆหาเส้นสายไปก่อน


ฉันเองก็ไม่ได้รีบอยู่แล้วด้วย ตอนนี้เอาเป็นค่อยๆเป็นค่อยๆไปดีกว่า อย่างแรกต้องเริ่มจากธุรกิจดอกไม้ไฟนี่ซะก่อน”


 


เมื่อนึกได้ดังนั้น ซูจิ้งก็ได้ค่อยบรรจงขุดดินและฝังต้นอ่อนของใบยาสูบแห่งไชร์ด้วยสายตาที่คาดหวังมันเอาไว้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)