Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 846-847

 GGS:บทที่ 846 ฉลองครบรอบ


 


ซูหยาได้พาแขกมาพร้อมกับถังเสี่ยวหยู แขกคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง


เมื่อเขาได้เห็นซูจิ้ง คนๆนั้นได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยและพูดออกมาอย่างสุภาพว่า “สวัสดีครับคุณซู ขอโทษจริงๆที่อยู่ๆผมก็มาหาคุณแบบนี้”


“พี่คะ คนนี้คือคุณหลิว เป็นอาจารย์ของเราสองคน” ซูหยาพูดออกมา


“สวัสดีคุณหลิว เชิญนั่งก่อนครับ เชิญนั่งก่อน” ซูจิ้งเองก็ได้เชิญเขาเข้ามาด้วยความสุภาพและพาเขามานั่ง ก่อนที่จะรินชาให้เขาถ้วยหนึ่ง


เขาเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นั่นก็เพราะการน้องสาวของเขาจะกลับมาบ้านพร้อมเพื่อนสนิทอย่างถังเสี่ยวหยูก็ไม่ได้แปลกอะไร แต่การที่ครูของพวกเธอมาด้วยนี่ซิ มันน่าแปลกพิกล


“คุณซูครับ นี่คือบัตรเชิญ ผมมาที่นี่เพื่อที่จะมาเชิญคุณเพื่อเข้าร่วมงานฉลองครบร้อยปีของโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุน


ในฐานะที่คุณคือยอดคนและเป็นที่นิยมชมชอบอย่างล้นหลาม ผมจึงมาเชิญคุณเพื่อเป็นเกียรติให้แก่โรงเรียนของเรา


เหล่าครูและนักเรียนของที่เราเองต่างก็ชื่นชอบคนอย่างมาก ถ้าคุณยอมไปร่วมงามทุกคนย่อมมีความสุขมากแน่ๆครับ” ครูหลิวพูดพลางได้ยื่นบัตรเชิญที่อยู่ในซองสีแดงมาให้


“โอ้ เข้าใจหล่ะ” ซูจิ้งก็ได้พลันไปนึกถึงตอนที่ซูหยาได้เห็นเขากำลังฝึกสมาธิด้วยวิถีแห่งใต้หล้าอยู่จนตัวนิ่งกลายเป็นหินตอนนั้น


เขาเองก็อธิบายเพียงว่ามันเป็นทริกมายากลเล็กน้อย นั่นทำให้ซูหยาอยากจะเรียนดูบ้างเพื่อที่จะนำไปแสดงใจองานเฉลิมฉลองครบรอบร้อยปีของโรงเรียน แต่เขาวุ่นๆจนลืมไปแล้ว


 


ซูจิ้งได้หันหน้าไปมองทุกคนในตอนนี้ เขาเห็นทุกคนจ้องมองมายังเขาราวกับกำลังคาดหวังคำตอบดีๆอยู่


เขาเห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า “ตกลง ฉันเข้าร่วมก็ได้”


“เยี่ยม” ซูหยาและเสี่ยวหยูร้องออกมาพร้อมกันอย่างดังลั่น


“ช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์จริงๆ” ครูหลิวเองก็ได้ยิ้มออกมาอย่างดีใจ เขาเองก็ไม่คิดว่าการมาพูดคุยครั้งนี้จะจบลงด้วยดีขนาดนี้


ถ้าให้พูดตรงๆ ความจริงแล้วเขานั้นก็ไม่ได้อยากไปแม้แต่น้อยนั่นก็เพราะขยะห้วงเวลาฯพึ่งจะเทลงมา เขาเองก็อยากจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด


อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับโรงเรียนมัธยมต้นที่หนึ่งแห่งเมืองจงหยุนซึ่งเขาเองก็มีความหลังดีๆกับที่นี่ไม่น้อยเหมือนกัน


แถมพ่อกับแม่ของเขาก็ยังสอนอยู่ที่นั่นอยู่ในตอนนี้ แม้แต่น้องสาวของเขาเองก็ยังเรียนอยู่ที่นั่น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะปฏิเสธได้ลง


 


เขาเองก็ได้คิดที่จะบริจาคเงินให้โรงเรียนเหมือนกัน เพื่อให้ทางโรงเรียนนำไปสร้างอาคารหรือไม่ก็หอพักอาจารย์ ไม่ก็ห้องสมุด หรืออะไรก็ได้ตามที่ทางโรงเรียนต้องการ


ด้วยวิธีนี้นอกจากจะป็นกอบตอบแทนโรงเรียนของเขาได้แล้ว อย่างน้อยๆก็ยังช่วยให้ครอบครัวของเขาได้รับการนับหน้าถือตาในโรงเรียนบ้าง


แต่ด้วยการที่เขานั้นเหลือเงินจากการผลิตปฏิสสารไม่เท่าไหร่นัก เงินที่ใช้ราวกับว่าเขาต้องเอาไปถมมหาสมุทรที่ได้แต่เททิ้งไปเรื่อยๆเท่านั้นเอง


 


“เอ่อ…คุณซูครับ งานเลี้ยงจะถูกจัดขึ้นในตอนเย็นวันที่ครบรอบร้อยปี ถ้าเป็นไปได้คุณพอจะช่วยแสดงความสามารถหรือก็ได้อะไรสักอย่างสองอย่างได้รึเปล่าครับ”


คุณหลิวเองได้มีท่าทีลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะถามออกมา เขารู้ดีว่าการพูดเรื่องแบบนี้มันออกจะน่าเกลียดไปหน่อยที่จะถามออกมา


นั่นก็เพราะด้วยชื่อเสียงของซูจิ้งในตอนนี้เขานั้นได้รับความนิยมจนขึ้นไปอยู่รายการดาราระดับสองไปแล้ว ไหนจะเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังด้วยอีก


แค่เขายอมเข้าร่วมงานเลี้ยงครบรอบร้อยปีนี่ก็ที่ว่าดีอย่างที่สุดแล้ว แต่ยังไงซะนี่ก็เป็นความหวังสุดยอดของโรงเรียนในตอนนี้ เขาที่เหมือนแบกความหวังของโรงเรียนเอาไว้จึงต้องพูดออกมา


“เอ่อ…เรื่องนี้” ซูจิ้งเองก็ลังเลไม่ต่างกัน


“โถ่…พี่ พี่เก่งออกขนาดนี้ ไหนจะมีสัตว์เลี้ยงที่เก่งไม่แพ้กัน ไหนจะเรื่องศิลปะการต่อสู้ เล่นกู่จิ้ง และทำได้อีกตั้งหลายอย่างนี่”


ซูหยาเองก็ได้เข้ามาออเซาะซูจิ้งด้วยการใช้มือขวาเขย่าตัวของเขา เธอเองก็ถูกขอร้องมาโดยเหล่าเพื่อนๆของเธอเช่นเดียวกัน


“ก็ใช่ว่าจะไม่อยากแสดงอะไรให้ดูหรอกนะ แต่มันกระทันหันจนพี่เองก็ยังนึกอะไรดีๆไม่ออกเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


“ถ้างั้นผมจะจองเวลาการแสดงของคุณซูไว้ก็แล้วกันนะครับ หากคุณซูต้องการแสดงอะไรก็แล้วแต่คุณซูเลย”


คุณหลิวตอบออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกายและพูดออกมาอย่างรวดเร็วราวกับกลัวซูจิ้งเปลี่ยนใจ ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นเป็นคนดังในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรทุกคนย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว


ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ้งเองก็มีฉายาอันแสนสุดลือเลื่อง มีหรือที่คนอย่างซูจิ้งจะแสดงอะไรที่ธรรมดาออกมาได้


เขาคิดอยู่ว่าเวลาแสดงที่เขาว่าจะเตรียมให้ไว้นี่ควรจะให้ไปครึ่งหนึ่งของเวลาแสดงทั้งหมดดีรึเปล่า


“ได้ครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ นี่ทำให้ทั้งซูหยาและเสี่ยวหยุนร้องวี๊ดว้ายกันอีกรอบ


“คุณซู ผมจะคอยรอดูนะครับ” คุณหลิวเองก็ถึงกับยิ้มล่าออกมา


สำหรับคนที่รับหน้าที่รับผิดชอบงานเลี้ยงครบรอบร้อยปีอย่างเขาแล้ว การที่เขาสามารถชวนซูจิ้งไปได้แบบนี้ต้องทำให้ทุกคนจดจำความดีของเขาในครั้งนี้ไว้ได้อย่างอน่นอน


 


“คุณหลิวก็กล่าวเกินไปแล้วครับ ยังไงซะโรงเรียนมัธยมจงหยุนก็เป็นสถานที่ที่บ่มเพาะความรู้ให้ผมมาอย่างดี จนถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จในชีวิตของผม


เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่ผมต้องกลับเยี่ยมชมและตอบแทนอะไรบางอย่างบ้าง” ซูจิ้งได้กล่าวออกมาด้วยท่าทางสบายๆ


 


หลังจากคุยธุระเสร็จแล้วคุณหลิวก็ไม่ได้รั้งรออยู่นานแต่อย่างใด เขารีบจากไปเพราะไม่อยากรบกวนซูจิ้งต่อ


ทั้งซูหยาและถึงเสี่ยวหยูต่างก็อาเซาะถามซูจิ้งว่าเขาจะไปแสดงอะไรให้พวกเธอดูกัน


ซูจิ้งเองก็มีความสามารถที่หลากหลาย แถมน้องสาวของเขาและเพื่อนๆของเธอต่างก็คาดหวังเขามากซะขนาดนี้ ตัวเขานั้นย่อมไม่ทำให้พวกเธอผิดหวังอย่างแน่นอน


แต่เอาจริงๆเขาเองก็ยังคิดไม่ออกอยู่ดีว่าการแสดงอะไรที่เหมาะดี ถึงแม้เขานั้นจะมีการแสดงมากมายอยู่ในใจของเขาแล้วก็ตาม


แต่เขาก็ไม่อยากจะไปเพียงเพื่อแสดงเฉยๆ เพราะยังไงซะที่นั่นก็มีนักเรียนอยู่เยอะแยะ เขาเลยอยากจะลองเจาะกลุ่มตลาดนักเรียนดูซักหน่อย เขาอยากรู้ว่าเขาจะได้ค่าการใช้ประโยชน์มาเท่าไหร่ในครั้งนี้เหมือนกัน


 


“พี่ นี่อะไรอ่ะ….” ซูหยาพยายามจะถามจนกว่าจะรู้ แต่ดูๆไปแล้วซูจิ้งยังไงก็ไม่ยอมบอกเธอจึงเลิกถามแล้วหันไปดูนู่นดูนี่ไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอตุ๊กตากระดาษระเบิดควันที่ซูจิ้งหยิบติดมือออกมาด้วยและโยนทิ้งไว้ที่มุมห้องก่อนหน้านี้


ด้วยรูปทรงที่ดูแปลกผิดหูผิดตา ตรงส่วนหัวสีแดงราวกับเป็นเห็ด ที่ซูจิ้งหยิบเจ้านี่ติดมาด้วยนั่นก็เพราะว่าชิ้นนี้มีขนาดที่เล็กที่สุด


ความจริงนั้นเขาได้ตุ๊กตากระดาษระเบิดควันนี้มาทั้งหมดห้าแบบ ชิ้นหนึ่งลองจุดไปแล้วจึงเหลืออีกสี่ชิ้นที่เขายังไม่ได้ลอง


“ของเล่นกระดาษหรอ” ถังเสี่ยวหยูเองได้จ้องมันสักพักและอดหัวเราะออกมาไม่ได้ หลังจากนั้นจึงหันไปมองซูจิ้งด้วยสายตาแปลกๆ เธอเองไม่คิดว่าซูจิ้งจะยังทำตัวเป็นเด็ก และยังคงเล่นของเล่นพวกนี้อยู่


“อย่าไปแตะมันน่า นั่นมันพลุไฟนะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“ว่าไงนะ” ซูหยานั้นพูดออกมาเพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่ซูจิ้งพูด


“ไหนลองดูหน่อยสิ” ถังเสี่ยวหยูได้หยิบไปทำท่าที่จะลองจุดดู


“ไม่มีอะไรให้ลองทั้งนั้น” ซูจิ้งได้แย่งตุ๊กตากระดาษระเบิดควันออกมาทันทีเพราะกลัวเสี่ยวหยูจะมาจุดเล่นในบ้าน


 


ตอนแรกนั้นทั้งซูหยาและถังเสี่ยวหยูเองก็แค่อยากรู้อยากเห็นเฉยๆ แต่หลังจากเห็นท่าทางจริงจังของซูจิ้งแล้ว พวกเธอยิ่งอยากรู้อยากเห็นเข้าไปใหญ่


ทั้งสองได้ทำท่าเว้าวอนต่อซูจิ้งจนเขานั้นยากที่จะปฏิเสธได้ เพราะยังไงซะเขาก็รู้นิสัยของน้องสาวของเขาดีว่าเป็นคนที่ฉลาด อ่อนไหว และหัวดื้อมาตั้งแต่เด็กแล้ว หากเขาปฏิเสธแล้วแอบไปทำกันเองเขาจะทำยังไงล่ะ


เขานั้นได้พลางนึกไปว่า “ตอนที่ตรวจสอบด้วยพลังจิตดูก่อนหน้านี้ เจ้าตัวนี้มันก็แค่ดินปืนอยู่นิดหน่อยกับส่วนประกอบอื่นๆอีกเล็กน้อยน่าจะไม่เป็นไรมั้ง ยังไงซะถ้าใช้กระแสจิตป้องกันไว้ต่อให้ผิดพลาดยังไงก็ไม่น่ามีปัญหาล่ะนะ เอาวะยอมก็ได้”


“ก็ได้ ก็ได้ ออกไปที่หาดแล้วลองจุดดูก็ได้” ซูจิ้งทำได้เพียงหัวเราะและพอทั้งสองตรงไปยังชายหาด นี่ยิ่งทำให้ทั้งสองคนสนใจมากกว่าเดิมอีก


เมื่อไปถึง ซูจิ้งให้ทั้งสองคนไปรออยู่ที่สันหาด หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปยืนบนปะการังก้อนหนึ่งสึ่งอยู่ไกลจากพวกเขากว่าสิบเมตร


หลังจากนั้นก็ได้สอดตุ๊กตากระดาษระเบิดควันรูปเห็ดนี่เอาไว้ในช่องแยกและทำการจุดไฟก่อนที่รีบวิ่งกลับไปยังที่ที่ทั้งสองคนยืนอยู่


 


“ชี่ชี่ชี่ชี่ชี่ชี่” เสียงชนวนกำลังถูกเผาไหม้ดังขึ้นอย่างช้าๆ ดูเหมือนมันต้องใช้เวลาหลายวิก่อนที่จะไหม้ถึงดินระเบิด ทันใดนั้นส่วนหัวของกระดาษก็ได้ระเบิดดังปัง


อย่างไรก็ตามฉากที่ทั้งหมดคาดเอาไว้ว่ามันจะพุ่งทยานลอยไประเบิดบนท้องฟ้าไม่ได้เกิดขึ้น กลับกลายเป็นว่าทั้งสามคนยืนอึ้งนื่งเงียบไปแทน ไหนระเบิดล่ะ สัญญาณควัน? ไม่เห็นจะเกิดอะไรขึ้นเลยสักนิด


GGS:บทที่ 847 อะไรกัน


 


หลังจากที่ซูจิ้ง ซูหยา และถังเสี่ยวหยู ได้เห็นว่าส่วนหัวของตุ๊กตากระดาษรูปเห็ดระเบิดออกจนเป็นประกายไฟกระจายไปทั่ว ซักพักใหญ่ก็ได้มีภาพสะเก็ดไฟรูปดอกไม้ที่อยู่เป็นฉากปรากฎขึ้นมา


พวกมันกำลังเต้นระบำ และระยิบระยับ ตัดกับผืนท้องทะเลที่เป็นฉากหลัง ราวกับว่ากลายเป็นดินแดนแห่งเทพนิยายก็ว่าได้


ในตอนนี้ทั้งสามกำลังนิ่งอึ้งกันไปอยู่ พวกเขาเองก็ได้จ้องมองไปทั้งที่อึ้งๆอย่างนั้นไปจนกระทั่งฉากสุดท้าย


เป็นภาพผีเสื้อกำลังโบยบินออกจากดอกไม้และลอยไปท่ามกลางอากาศ และในตอนนั้นฉากทั้งหมดก็ได้ค่อยๆหายไปราวกับสะเก็ดไฟได้มอดดับลง จึงได้สติกลับมากัน


 


ซูหยาประหลาดใจจนต้องพูดออกมาว่า “ช่างสวยเหลือเกิน ไหนพี่บอกว่าเป็นแค่พลุไฟล่ะ นี่มันระดับเทศกาลดอกไม้ไฟชัดๆ ห้ะ”


ถังเสี่ยวหยูเองก็พูดออกมาเหมือนกันว่า “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นดอกไม้ไฟชุดที่สวยงามแบบนี้ นี่ขนาดยังมีแสงอยู่นะยังเห็นได้ชัดขนาดนี้ ถ้าได้เห็นตอนกลางคืนล่ะก็ต้องสวยมากแน่ๆ”


ซูหยาได้ถามต่อว่า “พี่ใหญ่ ดอกไม้ไฟนี่มาจากไหนกันน่ะ หนูไม่เห็นเคยได้ยินดอกไม้ไฟที่ทำได้ขนาดนี้เลยนะ”


“ถังเสี่ยวหยูเองก็พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า “นี่เทคนิคการทำดอกไม้ไฟของชาดติเรานี่ไปถึงระดับไหนกันเนี่ย”


ทั้งสองต่างก็ประหลาดใจและแปลกใจไปพร้อมๆกัน ดอกไม้ไฟที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ในระดับที่ว่าสวยงามและน่าจะจับจ้องขนาดนี้พวกเธอไม่เคยได้ยินมาก่อน


อย่าว่าแต่ได้ยินเลย เท่าที่พวกเธอรู้ดอกไม้ไฟที่ดีที่สุดยังไม่ทำได้ขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ


“นี่…” ซูจิ้งอ้ำอึ้งไม่รู้ว่าจะตอบยังไงดี เขาเองก็มึนงงไม่ต่างกับอีกสองคน เขาคิดเพียงว่ามันเป็นเพียงระเบิดสัญญาณควัน แต่เขานั้นไม่คิดว่ามันจะกลายเป็นดอกไม้ไฟแบบนี้


ยิ่งไปกว่านั้น มันยังกลายดอกไม้ไฟที่ฉายภาพผีเสื้อบินกลางอากาศที่แสนสวยงามได้นานสองนานแบบนี้ ทำไมไม่แค่ระเบิดตูมเดียวไปเลยฟะ


ซูจิ้งพยายามสงบอารมณ์ตัวเองก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อืมมม เอาจริงๆเจ้านี่มันตัวต้นแบบที่พวกพี่กำลังพัฒนามันอยู่น่ะ จริงๆนะ”


“สุดยอดไปเลยพี่ พี่นี่เก่งที่สุดเลย” สายตาของซูหยาและถังเสี่ยวหยูในตอนนี้เห็นซูจิ้งราวกับพระเจ้าเลยก็ว่าได้ โดยไม่รู้สึกแปลกๆในเหตุผลของซูจิ้งเลยสักนิด


พวกเธอเชื่อคำพูดของเขาอย่างหมดใจและได้บอกเขาว่าให้จุดอีกทีในตอนกลางคืน แต่ซูจิ้งก็เลือกที่จะโกหกไปว่าไม่มีอีกแล้ว ยังไงซะดอกไม้ไฟแบบนี้ไม่มีทางที่เขาจะยอมให้ใครได้เห็นง่ายๆอีก


นอกจากเรื่องที่ดอกไม้ไฟนี่ฉายภาพอันแสนวิเศษแบบนี้ออกมาได้แล้ว ต้องไม่ลืมว่าดอกไม้ไฟนี่มีรูปร่างทรงเห็ดแต่ภาพที่ฉายออกมากลับเป็นผีเสื้อ ไม่มีทางเลยที่ดอกไม้ไฟอันอื่นจะฉายภาพออกมาเป็นรูปผีเสื้อเหมือนกัน พวกมันเองก็น่าจะเป็นดอกไม้ไฟที่ไม่สมควรมีอยู่ในโลกนี้ด้วยเหมือนกัน


“สุดยอดดอกไม้ไฟพันธุ์นี้อยากรู้จริงๆว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่ ช่างน่าสนใจจริงๆ” ซูจิ้งนึกออกมาในใจ หลังจากนั้นจึงได้โทรหาเฉิงหนานให้ตามหานักทำดอกไม้ไฟเก่งให้เขาสักคน


 


หลังจากนั้นสักพัก เฉิงหนานได้โทรกลับมาและพูดออกมาว่า “หัวหน้าคะ ในประเทศมีหลายบริษัทที่ถือได้ว่าเป็นสุดยอดในการผลิดดอกไม้ไฟ  ถ้าหากดูจากประสบการณ์และความเก่งกาจแล้วถือได้ว่าบริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยางที่ตั้งอยู่ในเมืองหลิวหยางเป็นบริษัทที่เก่งที่สุดค่ะ  พวกเขานั้นยังมีใบอนุญาตและได้รู้จักกันดีในประเทศนี้ หลายปีก่อนเมืองหลิวหยางได้ทำการปฏิรูปเมืองใหม่โดยมุ่งเน้นไปในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวของกับดอกไม้ไฟ จนทำให้ตอนนี้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เกี่ยวกับดอกไม้ไฟออกมามากมาย อีกทั้งพวกเขายังพัฒนาด้วยเทคโนโลยีและวัตถุดิบที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย แน่นอนว่าที่บริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยางเองก็มีนักวิจัยชั้นยอดที่วิจัยด้านดอกไม้ไฟโดยเฉพาะ และถือได้ว่านำหน้าบริษัทอื่นไปคนละระดับกัน ว่าแต่หัวหน้าถามเรื่องนี้ทำไมหรือคะ”


“ไม่มีอะไรหรอกน่า ว่าแต่ผลประกอบการของบริษัทดอกไม้ไฟหลิวหยางนี่เป็นยังไงมั่งน่ะ” ซูจิ้งเลี่ยงตอบโดยใช้การถามคำถามแทน


“เอาจริงๆเรื่องนี้ข้อมูลไม่ชัดเจนค่ะ ถ้าดูจากรายงานล่ะก็ปีนี้ทางบริษัทควรจะได้รายได้จากส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 20 หมื่นล้านหยวน และคาดการณ์ได้ว่าในปี 2020 ผลกำไรของพวกเขาน่าจะได้ 35 หมื่นล้านหยวน” เฉิงหนานพูดออมา


เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งถึงกับตื่นเต้นจนเห็นได้ชัดเมื่อได้ยินจำนวนเงินที่หมุนเวียนในธุรกิจดอกไม้ไฟสูงขนาดไหน


แต่เมื่อเขาลองได้คิดดูแล้วก็ดูสมเหตุสมผลดีนั่นก็เพราะว่าหลายๆคนในประเทศนี้ต่างก็ต้องการใช้ดอกไม้ไฟในงานเฉลิมฉลองของพวกเขา


แทบจะบอกได้ว่ามีการซื้อขายในทุกวันที่เป็นงานเลี้ยงสังสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นงานปีใหม่ งานครบรอบต่างๆ แม้แต่วันหยุดธรรมดาก็ยังจุดเล่นเพื่อการผ่อนคลาย


ถ้าทำการตลาดดีๆล่ะก็บอกได้เลยว่าในช่วงวันหยุดเทศกาลและงานปีใหม่จะทำผลกำไรได้สูงทะยานฟ้าอย่างแน่นอน


แน่นอนว่าหากเขาต้องการมีส่วนแบ่งในผลิตภัณฑ์ดอกไม้ไฟล่ะก็ ต้องทำให้แม้แต่กลุ่มธุรกิจดอกไม้ไฟในหลิวหยางก็จำเป็นที่จะต้องซื้อดอกไม้ไฟจากเขาให้ได้


“ยังไงก็ต้องศึกษาตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟพวกนี้ก่อนล่ะนะว่าสามารถทำเลียนแบบอีกได้รึเปล่า ถ้าเลียนแบบได้ล่ะก็เรื่องการได้ส่วนแบ่งทางการตลาดนี่ก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว” ซูจิ้งคิดในใจจนรู้สึกตื่นเต้นจนทนไม่ไหวและได้พูดออกมาว่า “ช่วยฉันอะไรฉันหน่อยสิ ฉันอยากให้เธอลองชวนนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟมาสักหน่อย เอาเป็นจัดตั้งทีมวิจัยสักกลุ่มหนึ่งเลยละกัน”


 


ในเรื่องธุรกิจของซูจิ้งนั้น ธุรกิจที่เขาได้ผลกำไรมากที่สุดอย่างยิ่งก็คือแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ตามมาด้วยผงเสริมความงาม(แป้งเม่ยหยาน) ผงเสริมทรวงอก และไวน์จิ้งจอกแดง


นอกจากธุรกิจทั้งสามอย่างนี้ยังอยู่ช่วงการพัฒนาแล้วก็ยังถือได้ว่ายังมีอนาคตได้อีกไกลเพระได้รับความนิยมอย่างมาก นั่นก็เพราะว่าผลิตภัณฑ์ทั้งสามนี้สำหรับเขาแล้วถือได้ว่าไม่มีคู่แข่งทางการตลาด


ส่วนธุรกิจอย่างอื่นของเขาอย่างธุรกิจม้าแข่ง สถาบันวิจัยฯ ธุรกิจท่องเที่ยว และอย่างอื่นๆนั้นถือได้ว่าเป็นไปได้ด้วยดีก็จริงแต่ก็ถือได้ว่าอยู่ในจุดอิ่มตัวแล้ว ซิ่งเขาเองก็เข้าใจในเรื่องนี้ดี


หากเขาสามารถวิจัยพัฒนาตุ๊กตากระดาษดอกไม้ไฟจนสามารถผลิตได้ล่ะก็ อย่าว่าแต่ในประเทศเลย ต่อให้ส่งขายไปทั่วทั้งโลกก็ยังได้


 


“ตั้งทีมนักวิจัยด้านดอกไม้ไฟเหรอคะ?” เฉิงหนานถึงกับรู้สึกงงจนหาคำตอบไม่ถูกในทันทีถึงกับคิดว่าซูจิ้งพูดเล่นซะด้วยซ้ำ


พลางคิดสงสัยไปว่าตอนแรกก็เห็นวุ่นๆอยู่กับศิลปะการป้องกันตัวและภาพเขียนพู่กันจีน อยู่ๆทำไมถึงมาสนเรื่องดอกไม้ไฟขึ้นมาได้ แถมยังสนใจขนาดที่ว่าตั้งทีมวิจัยเลยงั้นหรอ


“ช่ายยยย และต้องเป็นทีมระดับสุดยอดด้วยนะ ทุ่มไม่อั้นไปเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริง


“หัวหน้า เอาจริงหรอ” เฉิงหนานเองก็สงสัยจนต้องถามออกมายืนยันอีกครั้ง


“นี่ฉันเคยไม่จริงจังด้วยหรอ” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ค่ะ” เฉิงหนานรับคำทันทีเพราะยังไงซะซูจิ้งก็ถือได้ว่าเป็นหัวหน้าของเธอ


 


หลังจากซูจิ้งคุยเสร็จแล้ว เขาก็ได้อยู่เล่นเป็นเพื่อนกับสองสาวซักพัก หลังจากนั้นก็ได้ทำข้าวกลางวันให้พวกเธอกิน หลังจากลูกแมวน้อยทั้งสอง กิน ดื่ม และเล่นจนหนาใจแล้ว จึงปล่อยให้พวกเธอไปเล่นกับสัตว์เลี้ยงของเขา และเขาเองก็กลับเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯต่อ


“ขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่นะ” ซูจิ้งเมื่อเข้ามาแล้วเขาได้พยายามประเมินที่มาของขยะห้วงเวลาฯกองนี้ในขณะที่มองขยะทั้งหมดอย่างพินิจพิเคราะห์


ห้วงเวลาฯที่มีบรรยากาศโลกแฟนตาซีแบบตะวันตก และดอกไม้ไฟสุดวิเศษ ในขณะที่คิดไปนั้นซูจิ้งก็ปล่อยกระแสจิตตรวจสอบไปด้วย จนกระทั่งเขาพบอะไรบางอย่างที่น่าสนใจ


 


ในกองขยะผ้า ผ้าส่วนใหญ่นั้นดูๆไปแล้วมันสั้นๆเล็กๆจนดูเหมือนเสื้อผ้าเด็ก แต่ดูจากสไตล์แล้วมันก็ไม่ใช่ซะทีเดียว ซูจิ้งพลันนึกถึงคนแคระขึ้นมาพลางคิดไปว่าถ้าเสื้อผ้านี้เป็นเสื้อผ้าของคนแคระล่ะ


มีชิ้นหนึ่งเป็นหมวกทรงประหลาดที่แหลมสูงเหมือนหมวกจอมเวทย์


อีกชิ้นหนึ่งเป็นเกราะหนังที่มีลวดลายและขนาดใหญ่มาก


ตอนนี้กระบวนการความคิดของซูจิ้งกำลังวิ่งพล่าน แต่ด้วยข้อมูลที่ไม่เพียงพอเขานั้นจึงยังคิดไม่ออกว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากที่ใดกันแน่


 


เขาเดินกลับไปที่ขยะกองกระดาษอีกครั้ง ตอนนี้เขาพบว่าเสี่ยวไป๋ได้ซ่อมแซมกระดาษไว้ได้หลายชินแล้ว แต่การที่มันนิสัยขี้เกียจ เมื่อมันเห็นซูจิ้งหายไปได้พักใหญ่มันเลยเผลอหลับไป


เมื่อมันได้ยินเสียงของซูจิ้งกำลังมามันก็ได้เด้งตัวผึงและทำงานต่อและแกล้งทำงานด้วยความเหนื่อยล้า ซูจิ้งก็ไม่ได้ว่าอะไรได้เพียงแต่นึกเอ็นดูก่อนที่จะบอกมันว่าให้นอนต่อไปนั่นแหล่ะ แล้วค่อยทำงานต่ออีกทีตอนขี้เกียจจะนอนแล้ว


เพียงสิ้นเสียงซูจิ้งเสี่ยวไป๋กระโจนลงไปบนกองผ้าและสลบไปในทันทีจนดังออกมา ความจริงมันทำงานจนเหนื่อยจริงๆต่อฝืนไม่ให้หลับเพราะกลัวซูจิ้งมองไม่ดีเท่านั้นเอง


ซูจิ้งได้หยิบกระดาษที่ซ่อมแซมเสร็จออกมาดูทีละชิ้นทีละชิ้น ยิ่งเขาอ่านไปเรื่อยๆเขาก็ยิ่งได้ข้อมูลมากเท่านั้น


คำที่เขาเจอจากกระดาษมีมากมายอย่าง เอียซินเกอร์ ออร์ค ก็อบบลิน เอลฟ์ หอคอย ฮอบบิ อารากอน มอร์ดอร์ อีกทั้งภาพวาดแหวนอีก


ตอนนี้ซูจิ้งมีสายตาเป็นประกายจนราวกับลุกไหม้ เพียงเท่านี้ก็เพียงพอต่อเขาแล้วที่จะรู้ว่าขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯใดกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)