Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 844-845

 GGS:บทที่ 844 บ้าไปแล้ว


 


อีกสองวันถัดมา ณ วัดหลานเล่อ ผู้คนในตอนนี้ก็ยังเนืองแน่นกันอย่างล้นหลาม


ในช่วงเช้า ทันทีที่วัดได้เปิดประตู มีผู้เข้าสักการะต่อแถวยาวออกไกลสุดลูกหูลูกตา


ในตอนสิบโมงเช้า ผู้คนต่างเนื่องแน่นอยู่เต็มวัดจนล้นออกไปถึงถนน แทบจะเรียกได้ว่าเดินเบียดกันจนไหล่ชนกันเลยก็ว่าได้


อย่างไรก็ตามไม่มีใครเลยสักคนที่จะบ่นกันเรื่องนี้เลยสักนิด มีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะบ่นเรื่องคนที่แออัดยัดเยียด และอีกบางส่วนที่ตื่นตะลึงในภาพที่เห็น


“เดี๋ยวก่อนสิ พวกเราไม่ควรจะใส่ราคาที่ภาพพระวิทยาราชาทุกภาพนะ เราควรที่จะใส่ราคาที่ภาพภาพเดียวในราคาที่สูงก็พอ ยังไงก็ต้องนำมาครองให้ได้สักภาพก็ยังดี”


เสี่ยวไจ๋ผู้ได้รับมอบอำนาจในการจัดการเรื่องภาพพระวิทยาราชาได้พูดออกมาด้วยเสียงอันกังวานว่า “ประสกทั้งหลายไม่ต้องรีบร้อนแต่อย่างใด ยังไงซะภาพพระวิทยาราชาเหล่านี้กว่าจะปิดการเสนอราคาก็ยังเหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน มาวันหลังก็ได้”


“ตอนนี้คนมากเกินจนแทบจะไม่เป็นแถวอยู่แล้ว อย่าบอกว่าวันหลังเลย วันนี้จะได้เข้าไปเขียนราคารึเปล่าก็ยังไม่รู้ หากวันนี้พลาดโอกาสไปวันหลังที่ว่าอาจจะไม่มีโอกาสแบบนี้อีกแล้วก็ได้”


 


“เรื่องนี้จริงมากๆ ยังไงซะตอนนี้ก็ขอเขียนราคาที่สุดทิ้งเอาไว้ก่อนก็ยังดี”


ตอนนี้เหล่าผู้คนที่เข้ามาสักการะต่างก็ถึงกับทำหน้ามึนงงในทันที เขาได้ยินคำพูดแบบนี้เกือบจะทั้งวันแล้ว มีหลายคนที่ต้องการที่จะซื้อภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้


ทำให้คนที่มาที่วัดในตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่เหล่าผู้ที่ต้องการมาสักการะเท่านั้น แต่ยังมีเหล่านักสะสมที่มาเพื่อเสนอราคาเอาไว้


คนพวกนี้ส่วนใหญ่คือคนรวยที่เลื่อมใสในพุทธศาสนาและต้องการที่จะอัญเชิญภาพเขียนที่เต็มไปด้วยมนต์ขลังเหล่านี้ไปไว้ที่บ้าน และคิดว่าจะช่วยสร้างเสริมบุญบารมีให้กับครอบครัว ตลอดจนการปกป้องคุ้มครองตระกูลของตัวเองให้พ้นภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวงได้


“มีคนมากเกินไปแล้วเฟ้ย” ผู้อาวุโสซี่ผู้ที่อยู่ในกลุ่มหลังนี้เผลอพูดออกมาด้วยความตกตะลึง


“คุณปู่ ผมว่าคุณปู่ถอดใจดีกว่าครับ นี่ก็แค่ภาพเขียนพระพุทธรูปเท่านั้นเอง” ชายหนุ่มคนหนึ่งร้องห้ามปราม


“ไม่! ฉันต้องอัญเชิญภาพพระวิทยาราชาเหล่านี้ไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์ให้ได้” ผู้อาวุโสซี่ปฏิเสธที่จะยอมแพ้เรื่องนี้


“ผู้อาวุโส ผมว่าคุณกลับไปก่อนดีกว่าครับ ทางนี้ให้ผมเป็นคนจัดการเองดีกว่า” ชายหนุ่มในชุดบอดี้การ์ดคนหนึ่งให้ไปคุยกับชายวัยกลางคนคนหนึ่งด้วยท่าทีกังวลกับภาพที่เห็น


“ไม่ล่ะ อย่างน้อยๆฉันก็ขอเห็นภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าตัวเองก่อนสักครั้งเพื่อประเมิน” ผู้อาวุโสหวู่ปฏิเสธในทันทีพร้อมส่ายหัวออกมา


เขาเองก็ได้เห็นรูปภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าผ่านอินเตอร์เน็ตแล้วก็จริง และเขาก็ได้รับรู้ถึงมนต์ขลังของภาพวาดทั้งเก้าแล้ว แต่ยังไงซะ ระหว่างการเห็นผ่านรูปถ่ายกับการเห็นด้วยตาตัวเอง การเห็นด้วยตาตัวเองย่อมดีกว่าอยู่แล้ว


ในตอนแรกนั้นเขาเองก็อยากได้หัวใจพระสูตรและพระพุทธฉบับของจริงมาไว้ แต่ซูจิ้งก็ได้ปฏิเสธที่จะขาย


ตอนนี้ซูจิ้งกลับยอมขายภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขานั้นจะนิ่งเฉยได้ เขาเองก็ได้แต่สงสัยว่าซูจิ้งนั้นมีสมบัติไว้ในครอบครองกี่อย่างกันแน่


เขานั้นตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงซะก็ต้องนำภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้มาครอบครองให้จงได้ แต่จากสถานการณ์ที่เห็นนี้บอกได้เลยว่าช่างยากยิ่ง ในตอนนี้เขาจึงจำยอมต้องเปลี่ยนใจเป็นนำมาครอบครองไว้สักชิ้นก็ยังดี


 


ในช่วงเวลาเดียวกันนะก็ได้มีเหล่านักสะสมที่แอบแฝงเข้ามาในฝูงชน บางคนก็ดูเหมือนคนทั่วไป ไม่โดดเด่นหรือสำคัญแต่อย่างใด แต่ความจริงคนเหล่านี้มีบางคนเป็นสุดยอดคนรวยอันดับต้นๆของประเทศ


ใจของเขาในตอนนี้มาที่นี่เพียงเพื่อประเมินมูลค่าของภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้ก็เท่านั้นเอง


จนในที่สุดก็ถึงคิวของพวกเขาที่จะได้เข้าไป


ทันทีที่พวกเขาได้เห็นราคาของภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าถึงกับต้องประหลาดใจไปแทบจะทุกคน


นั่นก็เพราะว่าราคาในตอนนี้สูงกว่าที่พวกเขาคาดไว้อย่างมาก พวกเขาในตอนนี้ทำได้เพียงประเมินราคาใหม่และเขียนลงไปเท่านั้น


ทันทีที่พวกเขาได้ลงราคาเสร็จ พวกเขาก็ได้เห็นชายท่าทางสง่างามคนหนึ่งและชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งที่อยู่ในแถวที่ยังยื่นออกไปยาวมากนัก


“นี่จะเย็นแล้วก็ยังไม่ได้เข้าไปเลย ทำไมคนถึงได้เยอะแยะขนาดนี้เนี่ย” ชายหนุ่มบ่นอุบขึ้นมาในทันที


“ไม่น่าเลยจริงๆ พวกเขาจะปิดประตูตอนหกโมงครึ่งซะด้วยสิ ถ้าวันนี้เราเข้าไม่ทันล่ะก็คงต้องมาพรุ่งนี้แทนแล้วล่ะ” ชายวัยกลางคนท่าทางสง่างามได้แต่ส่ายหัวยอมรับอย่างช่วยไม่ได้


อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะทำท่าเสียดายยังไง แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดที่จะเอาเปรียบคนอื่นแต่อย่างใด


พวกเขานั้นยอมรับเหตุการณ์และมีท่าทีสงบไม่รีบร้อนหรือโวยวายแต่อย่างใด ชายหนุ่มคนนี้คือเบ่ยเจียฮ่าวและอีกคนคือพ่อของเขา


พ่อของเขานั้นได้นับถือในศาสนาพุทธมานานหลายปีแล้ว ตัวเขาเองก็ได้ซึมซับและเรียนรู้พระธรรมคำสอนมาตั้งแต่เด็กเช่นเดียวกัน และเหนือสิ่งอื่นใดนั้น ตัวเขาเองก็มีจิตใจแกร่งกล้าเหนือกว่าคนทั่วไป


นี่ทำให้เพลงบรรเลงกู่จิ้งของเบ่ยเจียฮ่าวนั้นแฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งพระธรรมคำสอน นี่ถือได้ว่าเป็นจุดขายของเขาและทำให้ผู้คนทั่วไปต่างการหลงใหลและยากที่จะไม่ฟังได้


เมื่อตอนที่หัวใจพระสูตรและพระพุทธได้ถูกเผยแพร่ออกไปนั้น พวกเขาต่างก็รู้สึกตกใจและแน่นอนว่าพวกเขาเองก็อยากจะได้ไว้ในครอบครองเช่นเดียวกัน


 


ถึงแม้จะเป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่ราคาในตอนนั้นพุ่งสูงมากจนพวกเขาเองก็ทำได้เพียงถอดใจเท่านั้น


มาตอนนี้เมื่อพวกเขาได้ยินว่าซูจิ้งยอมขายภาพพระวิทยาราชานั้นจึงได้รีบตรงมาที่นี่ในทันทีด้วยความหวังที่จะได้กลับไปเพียงสักภาพก็ยังดี


“ผมได้ยินมาว่าภาพพระวิทยาราชาตอนนี้พุ่งทะลุไปเกินสามล้านแล้วนะพ่อ นี่ก็สักพักใหญ่แล้วไม่รู้ว่าตอนนี้ราคาจะขึ้นไปที่เท่าไหร่แล้ว” เบ่ยเจียฮ่าวพูดออกมาอย่างท้อใจ


“ถ้าพวกเราอยากอัญเชิญท่านไปไว้ที่บ้านจริง อย่างน้อยๆเราก็สมควรจะไปสักการะท่านเสียก่อน ยังไงซะอย่างน้อยๆถ้าเราได้เข้าไปแล้วเดี๋ยวก็รู้เองล่ะว่าราคาจะอยู่ที่เท่าไหร่” พ่อของเบ่ยเจียฮ่าวพูดออกมา เขาเองก็ได้แต่พยักหน้ารับตาม


 


จนในที่สุดพวกเข้าก็ได้เข้าไปยังหอโลกาบาลทั้งสิบจนได้ กว่าจะได้เข้ามาก็เกือบจะเป็นตอนหกโมงครึ่งเข้าไปแล้ว ถือได้ว่าเกือบจะเสียโอกาสไป


หลังจากสักการะพระโลกาบาลทั้งสิบเสร็จสิ้นพวกเขาจึงได้เข้าไปดูราคาที่คนอื่นเสนอ แวบแรกที่เห็นทั้งคู่ถึงกับทำตาเบิกโพลงออกมา


“ผมเห็นไม่ผิดใช่รึเปล่าครับพ่อ ทำไมราคาสูงจัง” เบ่ยเจียฮ่าวได้แต่นิ่งอึ้งไป


“ไปกันเถอะ ราคาที่เราคิดช่างน้อยนิดเทียบไม่ได้ดังการผายลมเลย” เบ่ยฟู่ คนที่ศึกษาในหลักธรรมคำสอนมานานนับสิบปีเมื่อเห็นราคาแล้วยังเกือบจะตั้งสบถออกมา


 


เหตุที่เขาเห็นจนต้องอารมณ์เสียและเดินจากไปนั้นก็คือรายการตัวเลขกว่าพันรายการซึ่งเป็นราคาที่มีคนได้เสนอซื้อภาพพระวิทยาราชาภาพที่พวกเขาต้องการเอาไว้ และราคาที่มีคนให้มากที่สุดในตอนนี้อยู่ที่ 13.25 ล้านหยวน


สำหรับราคาของภาพพระวิทยาราชาที่มีคนเสนอราคามากที่สุดก็คือภาพพระวิทยาราชาใบหน้าโกรธเกรี้ยวมีคนเสนอไว้สูงสุดอยู่ที่ 18 ล้านหยวน ซึ่งเรียกได้ว่าสูงกว่าห้าเท่าของราคาที่พวกเขาได้ยินมา


“พ่อ กลับกันเถอะ พวกเราคงได้แต่เก็บภาพพระวิทยาราชานี้เอาไว้ในใจของเราเท่านั้น คงไม่มีทางอัญเชิญไปยังบ้านของพวกเราได้แล้วล่ะ” เบ่ยเจียฮ่าวพูดออกมา


“ก็คงได้แต่ยึกถือตามคำกล่าวที่ว่า ไม่ว่าจะยึดมั่นแค่นั่นก็คงได้เพียงความรู้สึกสินะ” เบ่ยฟูพูดออกมา


ถึงแม้พวกเขาจะดูไม่ทุกไม่ร้อนและไม่แสดงท่าทีอะไร ทำเพียงแค่เดินหันหลังจากออกไปนั้น แต่เอาจริงๆแล้วใจของพวกเขาตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดอย่างมากราวกับมีมีดมากรีดแทงจนเลือดไหลซิบ


 


ในขณะเดียวกัน ซุนหยูเฮง ที่เพิ่งประชุมเสร็จและได้เดินออกมาจากห้องประชุมก็ได้มีหญิงสาวคนหนึ่งที่น่าจะเป็นเลขาของเขาได้ตรงเข้ามาทันทีพร้อมกับพูดออกมาว่า “หัวหน้าคะ หัวหน้าหม่าโทรมาแต่เพิ่งจะวางสายไปค่ะ”


“แล้วเขาว่าไงบ้าง” ทันทีที่ได้ยิน ซุนหยูเฮงได้แต่ทำตากระตุกก่อนที่จะหยิบมือถือออกมาเพื่อเตรียมโทรหาคนชื่อหม่าคนนี้


“เขาบอกว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธของหัวหน้าราคาแพงเกินไป แถมยังไม่ใช่ของแท้ซะอีก


เป็นเพียงฉบับคัดลอกที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น เขาว่าเขาไม่ต้องการจะซื้อค่ะ” เลขาสาวเองก็ได้พูดด้วยเสียงที่ค่อยๆแผ่วลงตามลำดับ เพราะเธอรู้ดีว่าเมื่อหัวหน้าเธอได้ยินข่าวนี้ย่อมจะไม่มีความสุขอย่างแน่นอน


“ห้ะ” อย่างที่เธอคาดเอาไว้ ซุนหยูเฮงในตอนนี้หน้านิ่วคิ้วขมวดและได้เพียงออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจออกมาว่า


“แต่ให้มันเป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่อย่างน้อยๆเมื่อขายมันก็น่าจะได้หกล้านหยวนเลยนะ หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ นี่ฉันขายด้วยเงินเพียงห้าล้านหยวนเท่านั้น นี่เขายังว่าแพงไปอีกงั้นหรอ”


ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยอารมณ์คุ่นเคืองอย่างมาก เขานั้นยอมขายแบบลดราคาสะบั้นหั่นแหลกขนาดนี้แต่ยังไม่ยอมซื้อ ช่างไม่มีเหตุผลเลยสักนิด


ในตอนนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันทำให้ธุรกิจด้านการเกษตรของเขาในตอนนี้ประสบปัญหาอย่างหนัก


ธุรกิจของเขาในตอนนี้ต้องการช่องทางในการขายผลิตภัณฑ์ หัวหน้าหม่าคนนี้มีช่องทางการขายผลิตภัณฑ์อยู่มากมาย


หากเขาสามารถเชื่อมสัมพันธ์ได้ล่ะก็จะช่วยกู้วิกฤตของเขาได้อย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่ซูจิ้งกับเตียนจงยี่ก็เทียบกับเขาได้ไม่ติดอย่างแน่นอน


อีกเพียงไม่กี่ก้าวเขาก็สามารถเอาคืนซูจิ้งได้แล้ว แถมยังเป็นการเอาคืนชนิดที่หาทางตอบโต้เขาไม่ได้อย่างแน่นอน


สำหรับเรื่องหัวใจพระสูตรและพระพุทธเองเขาก็ได้เข้าไปคุยกับหัวหน้าหม่าจนเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว การที่อยู่หัวหน้าหม่าไม่ยอมซื้อหัวใจพระสูตรของเขานี่ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยจริงๆ


 


“หัวหน้าคะ ฉันคิดว่าที่เขาเปลี่ยนใจอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ได้ค่ะ” เลขาสาวได้ส่งมือถือของเธอให้ซุนหยูเฮงดู มันเป็นข่าวที่ว่ามีการขายภาพวาดพระวิทยาราชาที่จัดไว้ให้สักการะในวัดหลานเล่อ ที่หาโลกาบาลทั้งสิบนั่นเอง


ซุนหยูเฮงเองได้หยิบไปดูพร้อมกับคิ้วที่ขมวดมากกว่าเดิม ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ หน้าของเขาก็ขมวดมากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดเขาก็สบถออกมาว่า


“ไอ้ลูกกระ…เอ๊ย ทำไมถึงได้มีรูปวาดพระพุทธคุณภาพดีมากมายขนาดนี้ห้ะ ทำไมมันถึงไม่ยอมเอาออกมาตั้งแต่วันนั้นกัน


แม่..เอ๊ย แล้วทำไมต้องเอาออกมาตอนนี้ด้วย นี่แกหมายความว่าภาพของฉันนี่ไม่ได้มีค่าอะไรเลยสินะ”


พูดตามตรงหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้สมควรจะมีหนึ่งไม่มีสองแต่อย่างใด ต่อให้เป็นฉบับคัดลอกก็สมควรจะหาได้ยากยิ่งไม่แพ้กัน ฉะนั้นแล้วฉบับคัดลอกเองก็สมควรที่จะได้ราคาสูงด้วยเช่นเดียวกัน


อย่างไรก็ตามในตอนนี้ได้รูปภาพพระพุทธปางอื่นออกมา แถมไม่ใช่แค่หนึ่งแต่มีนับสิบ ย่อมไม่แปลกที่ฉบับคัดลอกแบบไม่สมบูรณ์ของเขาจะไม่อาจตีค่าราคาสูงได้อย่างที่คาดหวังไว้


 


“ถึงคุณหม่าจะไม่อยากซื้อหัวใจพระสูตรนี้แล้วก็ช่างมันเถอะ ว่าแต่เขาได้พูดคุยเกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจของพวกเรามั่งรึเปล่า” ซุนหยูเฮงถามออกมาด้วยอาการที่กำลังข่มอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใน


“เท่าที่จับใจความได้ บอสหม่าบอกว่าเขานั้นไม่ต้องการที่จะเป็นหุ้นส่วนกับเราค่ะ เขาบอกว่าถ้าเขายอมเป็นหุ้นส่วนกับเราล่ะก็ เขากลัวว่าคุณซูจะไม่ยอมขายภาพพระพุทธภาพอื่นๆให้ ดังนั้นเขาเลย…”


ยังไม่ทันที่เลขาสาวจะพูดจบดี เสียงเธอค่อยเบาลงจนพูดอะไรไม่ออกอีกต่อไป นั่นก็เพราะว่าใบหน้าของซุนหยูเฮงนั้นหน้ากลัวและน่าเกลียดประดุจดั่งเมียวโอไปแล้ว


ซุนหยูเฮงยังไม่ยอมละความพยายาม เขานั้นได้กดโทรศัพท์ที่เขากำเอาไว้แน่นตั้งแต่ก่อนหน้านี้เพื่อโทรไปหาหัวหน้าหม่า


อย่างไรก็ตามบอสหม่าไม่ได้รับสายแต่อย่างใด เขาตัดสายทิ้ง ในตอนนี้ซุนหยูเฮงได้ยืนครุ่นคิดถึงสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


 


เขาคิดว่าการที่หัวหน้าหม่าไม่ยอมเป็นหุ้นส่วนของเขานั้นอาจไม่ใช่เพียงเพราะเล่องของภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้า แต่น่าจะเป็นเรื่องที่ตัวเขาเองต่างหากที่ไม่สามารถหารูปพระพุทธของจริงมาได้


ซุนหยูเฮงในตอนนี้โกรธจัดจนเขวี้ยงมือถือลงพื้นอย่างรุนแรง ถึงแม้ซูจิ้งจะยังไม่ทำอะไรเลยก็ตาม แต่ยังไงซะที่เขาเกิดปัญหาแบบนี้ก็ยังเป็นเพราะซูจิ้งอยู่ดี มันเหมือนกับว่าซูจิ้งได้วางกับดักดักกระต่าย แต่มีหมีลงไปติดบ่วงดักตายยังไงอย่างนั้น


เป็นเขาเองที่ตามืดบอดในตอนแรก หากเขาไปขอซูจิ้งตรงๆอีกในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเขานั้นสูญเสียศักดิ์ศรีของตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว


หากว่าเขาไม่ได้ภาพพวกนั้นมาเขาก็เหมือนโดนซูจิ้งเตะตัดขาอยู่ดี


หากเขาจะไปเสนอราคา ราคาตอนนี้ก็พุ่งสูงจนเกินกว่าปกติ แม้แต่ภาพหัวใจพระสูตรของเขาเองก็ยังเทียบไม่ติดเลยสักนิด ซูจิ้งเองในครั้งนี้ก็สมควรจะได้เงินไปจากภาพวาดพระพุทธทั้งเก้านั้นไปไม่น้อยเลย


แค่เรื่องเงินที่ได้จากการขายภาพนี่ก็ทำให้ซุนหยูเฮงทำอะไรไม่ถูกแล้ว


 


ขณะเดียวกันชาวเน็ตเองที่รู้ข่าวนี้ต่างก็มีสายตาโง่งมกันไปหมด


“ห้ะ ภาพวาดพระพุทธเก้าภาพ ราคารูปหนึ่งเกินสิบล้าน”


“นี่ยังไม่ถึงเดือนตามที่กำหนดไว้เลยด้วยซ้ำ ยังเหลืออีกตั้งหลายวัน ฉันว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปสูงกว่านี้อีกนะ”


“ตอนแรกฉันก็อยากได้เหมือนกันนะ แต่พอมาเห็นราคาแบบนี้แล้วขอถอนตัวดีกว่า หัวพวกคนรวยเล่นกันไปเถอะ ขอเพียงเป็นผู้ชม ไม่ขอเล่นด้วยอย่างแน่นอน”


“มันก็แค่ภาพวาดพระพุทธ ทำไมทุกคนถึงได้บ้ากันขนาดนี้เนี่ย”


“โลกแห่งคนรวยนี้ยากที่คนธรรมดาจะเข้าถึงได้จริงๆ”


สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือเหล่าคนรวยที่เสนอราคาไปนั้น ราคาที่พวกเขาเสนอเปรียบได้เป็นการลองเชิงหยดน้ำจิ้มดูเท่านั้น


พวกเขายังรอคอยดูอยู่อย่างใกล้ชิดจนกว่าจะถึงวันสุดท้าย วันนั้นต่างหากที่ทุกคนจะได้รับรู้ถึงความบ้าของเหล่าคนรวยอย่างแท้จริง


 


ในขณะที่โลกภายนอกกำลังวุ่นวายกันอยู่นี้ ซูจิ้งผู้ตัดขาดจากโลกภายนอกกำลังนั่งขมักเขม้นในการวาดรูปตามสั่งกว่าสองร้อยรูปที่เขาได้รับมาจากอินเตอร์เนต


นอกจากนั้นเขายังหาจังหวะดีๆในการวาดภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้าไว้เพิ่มเติมเรียบร้อยแล้ว กว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยก็ได้เลยเวลานอนของเขา เขาจึงรีบเข้านอนในทันที


และในช่วงตีสาม อยู่ๆก็ได้มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาในหัวของเขาว่า “ท่านเจ้าของ ขยะมาแล้วค่ะ”


ได้ยินดังนั้น ซูจิ้งได้ดีดตัวผึงออกมาจากที่นอนและรีบวิ่งลงไปชั้นหนึ่งในทันที



GGS:บทที่ 845 ขยะชุดใหม่


 


ซูจิ้งได้รีบลงมาที่ชั้นหนึ่งและตรงเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศทันทีหลังจากได้ยินเสียงที่ฉิงหยุนบอกเขา


เหมือนกับทุกๆครั้งที่ผ่านมา มีวังวนมิติลอยอยู่เหนือลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ และก็ได้มีขยะห้วงเวลาฯจำนวนมากไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย


แต่ด้วยสนามพลังงานแม่เหล็กชนิดพิเศษของสถานีทำให้ขยะเหล่านั้นไม่ได้ร่วงลงมากองกับพื้นแต่อย่างใด


ขยะเหล่านั้นลอยค้างอยู่กลางอากาศและค่อยๆลอยแยกตามหมวดหมู่เท่าที่ฉิงหยุนจะจัดจำแนกได้


ไม่นานนักขยะห้วงเวลาฯก็ได้หยุดการไหลลงมา และวงวันมิติที่เห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นก็ค่อยๆจางหายไป


และครั้งนี้ ก็ไม่ได้มีเสียงอะไรหลุดรอดออกมาจากวังวนมิติแบบคราวก่อน


 


ซูจิ้งประเมินขยะห้วงเวลาฯชุดนี้ทันทีที่ขยะหยุดไหลลงมา จากการสังเกตเบื้องต้นเขาเห็นว่าส่วนใหญ่นั้นคราวนี้เป็นผ้ากองใหญ่ และเฟอร์นิเจอร์ไม้


ดูเหมือนว่าครั้งนี้ขยะห้วงเวลาก็น่าจะมาจากยุคที่ออกจะโบราณซักหน่อย


 


ซูจิ้งได้ตรงไปยังกองขยะห้วงเวลาฯที่ถูกจำแนกออกมากองเล็กที่สุดก่อน ในกองนั้นเขาพบเมล็ดพืช แมลงปีกแข็ง ไส้เดือน และสิ่งมีชีวิตต่างๆที่ถูกคัดแยกไว้ตามแต่ละสายพันธ์เบื้องต้นเอาไว้


ทันทีที่ซูจิ้งดูนั้นเขาสามารถแยกแยะได้ทันที่ว่าสิ่งมีชีวิตตัวไหนที่เป็นสายพันธุ์ธรรมดา ถึงแม้จะไม่รู้จักชื่อแต่ก็ไม่ได้รู้สึกถึงความพิเศษแต่อย่างใด


ซูจิ้งยังได้ทดลองโดยการให้หลี่น้อยไปจับหนูแถวนั้นมาเพื่อที่จะลองกินและรอดูผล แต่ดูๆไปแล้วเขาก็ยังไม่พบว่าพวกมันมีความพิเศษตรงไหน


 


ซูจิ้งนั้นเลิกสนใจพวกมันไปก่อนเพราะตอนนี้ยังไม่เห็นว่าจะมีอะไรพิเศษ ความจริงนั้นตัวเขาเองค่อนข้างจะกังวลเรื่องสิ่งมีชีวิตที่พัดหลงมามากๆ


นี่จึงทำให้เขานั้นเลือกที่จะรีบมาจัดการสิ่งมีชีวิตที่พัดหลงมากับกองขยะก่อนเป็นอันดับแรก


ก่อนหน้านี้ตัวเขานั้นมีเพียงหมาป่าสงครามเท่านั้นที่พอช่วยได้ แต่ตอนนี้สถานีฯของเขาได้ยกระดับและมีกำแพงกาลอวกาศกางอยู่แล้ว


นอกจากสิ่งมีชีวิตพวกนั้นจะมีความสามารถในการทำลายกำแพงออกมาได้แล้วซึ่งมันก็น่าจะยากพอดูเพราะกำแพงนี้แม้แต่หมาป่าสงครามและบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาก็ยังทำอะไรไม่ได้เลย


แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้ประมาทแต่อย่างใด เขานั้นได้สั่งฉิงหยุนเอาไว้ว่าหากมีตัวอันตรายให้ส่งไปพื้นที่กักกันในทันที


อีกอย่างเขานั้นยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับปัญหาใดๆในตอนนี้นั่นก็เพราะว่าถึงแม้ตอนนี้เขาจะได้ฝึกตำราวิถีมังกรที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกจนฝีมือพัฒนาแกร่งกล้ามากขึ้นแล้วก็จริง


 


แต่ในตอนนี้เขายังฝึกได้ไม่เท่าไหร่นั่นก็เพราะว่าตอนที่เขาฝึกนั้น เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ต้องใช้งานตราประทับมังกร


เขารู้สึกได้เลยว่าตัวเขาในตอนนี้ยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะใช้ตราประทับมังกรได้เต็มประสิทธิภาพ แถมยังส่งผลให้ร่างกายของเขาอ่อนแรงลงชั่วขณะ นี่เองจึงทำให้เขานั้นยากที่จะฝึกต่อไปได้


การที่เหล่าผู้บ่มเพาะที่อยู่ในห้วงเวลาฯเทพเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกไม่มีปัญหาเรื่องนี้นั่นก็เพราะว่าพวกเขามีอาหารที่ไม่ธรรมดาเลยสักอย่างเดียว


 


อาหารของพวกเขาอุดมไปด้วยสารอาหาร มียาที่ช่วยเสริมพลังร่างกาย ตลอดจนสมบัติและสภาพแวดล้อมต่างๆที่เหมาะสม


แน่นอนว่าอาหารธรรมดาของโลกนี้ไม่สามารถส่งเสริมร่างกายให้มีความพร้อมในการฝึกวิชาเหล่านั้นได้อย่างเพียงพอ


หรือจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ ร่างกายก็จำเป็นที่จะต้องแข็งแกร่งเพื่อรองรับพลังเหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้น


ในตอนแรกเขานั้นก็หวังพึ่งเนื้อสัตว์วิเศษ ต่อมาก็เป็นปลาเขี้ยวหยก หินจิตวิญญาณ และต้นโสม นี่คือสิ่งที่เขามีเพื่อช่วยเสริมสร้างร่างกายของเขาได้


อย่างไรก็ตามด้วยการที่ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้น ทำให้ในตอนนี้ทำให้ของที่กล่าวมาแล้วนั้นใช้กับเขาไม่ได้ผลเท่าที่ควร


ปลาเขี้ยวหยกในตอนนี้สำหรับเขาแล้วใช้ได้เพียงแต่รักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้นหาได้เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายแต่อย่างใด


 


สำหรับเนื้อสัตว์วิเศษนั้น ปกติที่เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายอย่างมาก แต่ในตอนนี้ก็ใช้ได้เพียงไม่กี่อย่าง ส่วนใหญ่เขาเองก็เอาไว้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงของเขาซะมากกว่า


 


ซูจิ้งได้ทำการเก็บเมล็ดและแมลงเหล่านี้และแยกพวกมันเอาไว้เผื่อว่าจะใช้ได้ทีหลัง


ต่อมาเขาได้ไปยังกองกระดาษที่อยู่ข้างๆและหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งชึ้นมา


ในนั้นมีภาพที่สะดุดตาเขาตั้งแต่แวบแรกที่เห็น มันคือภาพของสัตว์ประหลาดที่อ้วน และไม่ใช่อ้วนธรรมดาแต่มันอ้วนมาก ร่างกายของมันเท่าที่ซูจิ้งดูแล้วจากสรีระน่าจะสูงไม่ต่ำกว่าสามเมตรเป็นแน่ นอกจากนั้นยังมีรูปวาดของมังกรกำลังคลอไฟไว้ในปาก และมนุษย์ต้นไม้


ซูจิ้งคิดว่านี่ไม่น่าเป็นเพียงแต่ภาพงานศิลป์ทั่วไป แต่อย่างน้อยเขาก็พอรู้แล้วว่าขยะห้วงเวลาฯชุดนี้น่ามาจากห้วงเวลาฯที่มันมีกลิ่นอายของโลกแฟนตาซีแบบตะวันตกอยู่


อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ซูจิ้งคุ้ยกระดาษกองนั้นเพิ่มเติมก็เจอเพียงกระดาษไร้ประโยชน์อย่างพวกจดหมายโต้ตอบ จดหมายบอกรัก หนังสือฉบับคัดลากด้วยลายมือ และเศษหนังสือเก่าๆ ดูๆไปก็ไม่ได้ทำให้เขาได้อะไรเพิ่มเติม


 


“หืม อะไรล่ะเนี่ย” ซูจิ้งได้หยิบเศษกระดาษขึ้นมาชิ้นหนึ่ง มันเป็นเศษกระดาษที่เต็มไปด้วยตัวอักษร แต่พอดีๆก็ทำให้เขาตะลึงได้เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่ามันเหมือนกับเป็นขั้นตอนการทำอะไรบางอย่าง


มันเหมือนกับเป็นกระบวนการอะไรบางอย่างที่ต้องใช้มอลต์ เมื่อเขาลองดูดีๆก็พอจะคิดได้ว่านี่สมควรเป็นวีธีการทำเบียร์มอลต์แน่ๆ


แต่ก็มีปัญหาอยู่อย่างตรงที่กระดาษส่วนที่เหลือนี้เสียหายหนักจนเหลือเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น


“เข้าวิธีการทำเบียร์มอลต์นี่ก็ดูน่าสนใจดีนะ ดีไม่ดีฉันอาจจะได้สินค้าเพิ่มมาอีกอย่างเลยแหะ ยังไงก็เถอะ ดูๆไปแล้วฉันว่ามันไม่เหมือนวิธีการทำเบียร์ตามที่ฉันรู้มาเลยสักนิด ไม่รู้ว่าทำออกมาจะรสชาติดีรึเปล่า”


ซูจิ้งมองกระดาษแผ่นนั้นพลางนิ่งคิดไปสักพัก หลังจากนั้นซูจิ้งได้เรียกเสี่ยวไป๋ออกมาและได้ลองให้มันซ่อมดู


 


“ฉันคงได้แต่หวังว่าส่วนที่เหลือของกระดาษแผ่นนี้จะยังคงอยู่ที่นี่ล่ะนะ” ซูจิ้งภาวนาขึ้นมาอยู่ในใจของเขา ถ้าส่วนที่เหลือของกระดาษยังคงอยู่ในห้วงเวลาฯที่มันจากมาล่ะก็ แต่ให้ความสามารถของเสี่ยวไป๋จะดียังไงก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี


หลังจากได้เห็นสแตนด์ของเสี่ยวไป๋ข่วนเข้าไปที่เศษกระดาษแผ่นนั้น ซักพัก ก็ได้มีเศษฝุ่นล่องลอยขึ้นมา พวกมันค่อยๆลอยไปต่อกับกระดาษแผ่นนั้นอย่างช้าๆทีละนิดทีละนิด


ในที่สุด สายตาของซูจิ้งก็ฉายแสงแห่งความดีใจ กระดาษแผ่นนั้นได้คืนสู่สภาพสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยโดยใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาที


ซูจิ้งลองค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำเบียร์จากข้าวมอลต์จากอินเตอร์เน็ตดู


แต่ไม่ว่าจะยังไงเขานั้นก็ไม่สามารถหาเคล็ดลับเกี่ยวกับการทำเบียร์ได้ มีเพียงวิธีการทำพื้นฐานธรรมดาเท่านั้น และวิธีการทำพวกนั้นก็แตกต่างไปจากวิธีการที่บันทึกไว้ในกระดาษแผ่นนี้แทบจะสิ้นเชิงเลยทีเดียว


“ช่างเป็นวิธีการที่แปลกตาที่คิดไว้จริงๆ อยากรู้แล้วสิว่าหลังจากบ่มแล้วรสชาติจะเป็นยังไง โชคดีจริงๆที่ในนี้มีเคล็ดลับเขียนเอาไว้ด้วย”


ซูจิ้งต้องการลองทำในทันทีเขาจึงได้โทรศัพท์ออกไปและสั่งคนให้ไปหามอลต์สำหรับใช้ทำเบียร์ที่คุณภาพดีที่สุดมา


หากเป็นไปตามที่กระดาษแผ่นนี้เขียนไว้ หลังจากเสร็จกระบวนการแรกที่ต้องใช้เวลาในการทำประมาณสามวันแล้ว หลังจากนั้นต้องทำการบ่มเบียร์ต่อไปอีกสองไม่ก็สามเดือนถึงจะเสร็จสิ้นกระบวนการ


 


นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเขานั้นไม่จำเป็นต้องรีบแต่อย่างใด ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อ เขายงคงยุ่งอยู่กับกระดาษกองนั้น


เขาได้เจอกระดาษที่เหมือนจะพับเป็นรูปร่างแปลกๆ บางอันก็เหมือนปีกมังกร บางอันก็เหมือนจรวด และทุกๆชิ้นนั้นเหมือนจะถูกทำให้เชื่อมต่อกันด้วยกิ่งไม้เอาไว้


โดยรวมแล้วมันก็ดูเหมือนกับตุ๊กตากระดาษ ถึงแม้มันจะดูธรรมดามากก็ตาม ต่อสำหรับซูจิ้งแล้วเขารู้สึกว่าพวกมันต้องเอาไว้ใช้ทำอะไรบางอย่างเป็นแน่


“ห้ะ” ซูจิ้งประหลาดใจเมื่อเห็นว่ามีอะไรยื่นออกมาจากตุ๊กตากระดาษนั่น มันเป็นเส้นๆเหมือนชนวนอะไรบางอย่างที่ทำจากลวดทองแดง


ซูจิ้งนิ่งไปได้สักครู่ เขาได้ลองตัดกระดาษส่วนที่เล็กที่สุดออก หลังจากนั้นเขาได้ใช้เวทไฟในทันที


ทันใดนั้นปลายนิ้วของซูจิ้งมีเปลวไฟเกิดขึ้น ราวกับว่าเป็นไฟที่จุดจากไฟแช็กก็ว่าได้


เมื่อเขานำไฟไปจ่อที่ลวดทองแดงนั่น ปรากฎว่าลวดนั่นได้ติดไฟในทันที เจ้านี้ต้องเป็นชนวนแน่ๆ


“อะไรวะเนี่ย” ซูจิ้งได้จ้องมองอย่างตาไม่กระพริบ เจ้ากระดาษของเล่นนี้มันถูกเชื่อมต่อด้วยกันด้วยชนวนจุดไฟ จนในที่สุดมันก็ปล่อยควันออกมา


“นี่มัน…สัญญาณควันงั้นหรอ หรือมันจะเป็นระเบิดควันกัน”


ซูจิ้งอยากจะลองอีกครั้งเหมือนกัน แต่ก็ดูเหมือนว่าตุ๊กตากระดาษนี้ได้ขาดหมดแล้ว ต่อให้มันเป็นตุ๊กตาสัญญาณควันจริงแต่มันก็เหมือนจะด้านไปเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งจึงได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมตุ๊กตากระดาษนี่ทันที


หลังจากซ่อมเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้เก็บตุ๊กตาสัญญาณควันไปก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้ลองดูกระดาษชิ้นอื่นๆต่อ


แต่ไม่ว่ายังไงกระดาษพวกนี้เองส่วนใหญ่กระเริ่มมีกลิ่นและยังเปียกน้ำอีก มันก็เหมือนที่ผ่านๆมาที่กระดาษในกองขยะห้วงเวลาฯมักเปียกน้ำและเละเทะจนทำอะไรไม่ได้


แต่สำหรับซูจิ้งในตอนนี้ เขานั้นไม่เหมือนก่อนแล้ว เพราะเขามีเสี่ยวไป๋ นักซ่อมแซม ตราบใดที่ชิ้นส่วนของพวกมันยังอยู่ที่นี่ เขานั้นก็ไม่มีอะไรต้องเสียดาย


หลังจากซูจิ้งให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมกระดาษกองนี้ เขาก็ได้หยิบเอาตุ๊กตาสัญญาณควันไว้ในมือ และได้เดินออกไปจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เพื่อที่จะลองเอาไปเล่นดูซักหน่อย


แต่ทันทีที่เขาออกมา เขาก็ได้พบกับหวังซือหยา ถังเสี่ยวหยู และแขกอีกคนรออยู่ก่อนแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)