Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 842-843
GGS:บทที่ 842 รูปพระพุทธ
ซูจิ้งลองตรวจค่าการใช้ประโยชน์ของสถานีการจัดขยะห้วงเวลากาลอวกาศของเขาดู ทันทีที่เห็นเขาแสยะยิ้มออกมาอย่างมีความสุขจนต้องพูดลอยๆออกมาว่า
“จริงๆด้วย แม้แต่ภาพวาดของฉันก็ยังเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ได้” ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะเรียนรู้การวาดภาพพู่กันจีนมาจากเชิงกูยี่ก็จริง
แต่ซูจิ้ง ได้ใช้หลักการวาดภาพสาวงามที่เขาเรียนรู้มาจากตำรารวมภาพสาวงามที่เขาได้จากห้วงเวลาฯDesolate Era
ถึงแม้ว่าด้วยฝีมือของเขานั้นจะดูขี้ริ้วขี้เหร่กว่าบรรดาสาวงามที่ถูกวาดเอาไว้ในตำราก็ตาม ซึ่งโดยปกติแล้วต่อให้วาดตามจริงๆก็สมควรจะได้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมามากมายอะไรนัก
ซูจิ้งเล็งเห็นปัญหานี้ดีเขาจึงผนวกเขากับสิ่งที่พบสมุดบันทึกที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯเทพตะวันตกเข้าไปด้วย
เอาจริงๆถ้าเขานำแค่ความรู้ที่เขาเรียนมาจากเชิงกูยี่อย่างเดียว ไม่มีทางที่จะวาดรูปออกมาได้ระดับสูงขนาดนี้แน่นอน
แต่ที่สุดแล้วยังไงซะความรู้ที่เขาได้จากสมุดบันทึกเล่มนั้นเองเขาก็ทำความเข้าใจได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาคาดหวังในตอนแรกจึงคิดว่าไม่ได้มามากนัก
“การวาดรูปนี่ดีจริงๆ นอกจากฉันจะได้เข้าใจแนวคิดในสิ่งต่างๆแล้ว ฉันยังได้เงิน และค่าการใช้ประโยชน์อีกด้วย
ถือว่าเป็นเรื่องดีจริงๆที่ตัดสินใจเรียนเอาไว้ ยังไงก็เถอะ ระดับการวาดภาพของฉันยังต่ำโคตร ถ้าหากอยากจะพัฒนาด้านนี้จริงสงสัยต้องเรียนรู้และวาดอย่างอื่นดูบ้างแหะ”
พอซูจิ้งพูดเสร็จเขาก็หันไปสนใจข้อความความเห็นที่ขึ้นอยู่ใต้โพสต์ที่เขาลงรูปสาวงามเอาไว้ทันที
มีบางข้อความขอให้เขาวาดรูปให้และยินดีที่จะยอมจ่ายค่าตอบแทนให้ในราคาสูงแล้วแต่ซูจิ้งจะเสนอ
ซูจิ้งเองเมื่อเห็นข้อความทั้งหลายแล้วเขาจึงได้โพสไว้ใต้โพสภาพวาดสาวงามไปว่า “หากต้องการจะให้ผมวาดรูปให้จริงๆ
ผมก็ขอคิดที่ห้าแสนหยวนต่อรูปแล้วกัน เพียงส่งรูปถ่ายหรือวีดิโอของคุณมา และต้องไม่ใช่รูปและวีดิโอที่ตกแต่งมาแล้วแต่อย่างใด ใครส่งมาให้ก่อนผมก็วาดให้คนนั้นก่อน”
เพียงสิ้นสุดข้อความนี้ ชาวเน็ตก็พูดคุยเรื่องนี้ต่อไปอย่างรวดเร็ว
“แพงมากอ่ะ รูปๆเดียวตั้งห้าแสนหยวนแน่ะ”
“ภาพดีก็จริงแต่ไม่แพงไปหน่อยหรอ ตั้งครึ่งล้านเลยนะ”
“แพงเหรอ นายก็เห็นนี่ว่าก่อนหน้านี้มีคนเสนอค่าตอบแทนให้ซูจิ้งเริ่มต้นที่ห้าแสนหยวนเลย
ฉันกลัวแต่ว่าเวลาผ่านไปเขาจะไม่ยอมวาดต่อให้เสนอค่าตอบแทนห้าแสนหยวนนี่ด้วยซ้ำ พวกเรามันจนล่ะนะก็คงได้แค่ดูได้อยู่ห่างๆอย่างเดียว”
“เอาจริงๆนะ ฉันว่าพี่จิ้งจะเริ่มที่ห้าสิบล้านหยวนก็ยังได้ ไม่ต้องเหนื่อยมากด้วยวาดแค่คนสองคนก็พอแล้ว
แต่นี่พี่จิ้งเขายอมวาดด้วยเงินแค่ห้าแสนหยวนเองนะ ฉันว่านี่ก็ถูกมากแล้วล่ะ”
“จริงด้วย ฉันก็อยากได้มั่งจัง”
ถึงแม้ชาวเน็ตจะเพิ่งพูดถึงไปเพียงไม่เกินสิบนาที ก็มีคำขอให้ซูจิ้งไปกว่าสิบคำขอแล้ว หลังจากผ่านไปชั่วโมงเดียวซูจิ้งมีคำขอมากกว่าหนึ่งร้อยคำขอ และหนึ่งในนั้นต้องการสิบรูป
เหตุการณ์นี้ทำให้หลายๆคนค้นพบว่า ในสังคมของเขานั้นมีคนรวยแฝงตัวอยู่มากกว่าที่ทุกคนคิด
หลายๆคนเองก็ได้เริ่มจินตนาการเกี่ยวกับเรื่องนี้ดูเหมือนกัน สมมติว่าวาดภาพๆหนึ่งด้วยราคาห้าแสนหยวน หากต้องวาดหนึ่งร้อยรูปก็จะได้เงินกว่าห้าสิบล้านหยวน
เพียงนึกตามนี้หลายๆคนก็แทบอยากจะออกไปเรียนรู้การวาดภาพเขียนพู่กันจีนแบบซูจิ้งบ้างในทันทีเพราะหาเงินได้เยอะมาก
แต่ก็อีกนั่นแหละ ผู้คนส่วนใหญ่เองก็รับรู้แต่สิ่งที่อยากจะเห็นเท่านั้น ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยสักนิด
ในการก้าวเดินไปบนเส้นทางที่เรียกกันว่าวิถีชีวิตนั้น ผู้คนต่างก็มุ่งหวังไปที่จะไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดเหนือกว่าใครๆในสังคมทั้งในด้านชื่อเสียงและเงินทอง
แน่นอนว่าการจะขึ้นไปอยู่เหนือผู้ใดได้ก็จำเป็นที่จะต้องมีคนที่กินได้เพียงแค่เศษขนมปังและน้ำซุปไปวันๆแค่นั้นเอง
ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนเองก็ไม่ต่างกัน หลายๆคนทำได้เพียงวาดภายเขียนเหล่านี้เป็นงานอดิเรกเท่านั้น บางคนที่ใจรักแต่ก็ไม่มีปัญญาแม้แต่จะซื้ออุปกรณ์เลยก็มีอยู่มากมาย
การที่ภาพเขียนของซูจิ้งขายได้ราคาแพงนั้น นั่นไม่ได้มาเพียงเพราะเขานั้นสามารถวาดภาพได้สวยวิจิตรพิศดารเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ราคาที่สูงกว่าปกตินี้ยังมาจากชื่อเสียงที่เขาสั่งสมมาช่วยเสริมหนุนให้ราคาพุ่งเกินไป
หลังจากที่ซูจิ้งได้รับคำขอมาแล้ว เขานั้นยังไม่ได้เริ่มวาดในทันทีแต่อย่างใด
เขาได้ทำการทบทวนบทเรียนทั้งหมดที่เขาได้ซึมซับเอาไว้ในช่วงหนึ่งอาทิตย์ที่ได้เรียนรู้
นอกจากนั้นเขายังได้นำสมุดบันทึกที่ได้มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกมาเปิดดูอย่างช้าๆ อ่านตั้งใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ หลังจากนั้นเขาจึงได้เปิดดูรูปและวีดิโอของคำขอแรก
คำขอแรกนี้ต้องการให้วาดภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่อายุประมาณ 30 ปี น่าตาพอใช้ได้ ที่น่าจะกำลังใส่ชุดกระโปรงยาวอยู่
หลังจากสังเกตทุกอย่างแล้ว ซูจิ้งได้ทำการวาดภาพโดยไม่ได้หันกลับไปมองรูปภาพของเธออีก
เพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีดี ภาพวาดของเธอก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว
ความเร็วของซูจิ้งในตอนนี้ยังเร็วกว่าตอนที่แสดงให้เชิงกูยี่และเชิงชิเหยาดูมากมายนัก
ถ้าพวกเขามาเห็นล่ะก็ต้องอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกไปพักใหญ่อย่างแน่นอน
หลังจากวาดภาพแรกเสร็จไปแล้ว ซูจิ้งได้วาดภาพอื่นต่อในทันที โดยภาพที่สองเร็วกว่าภาพแรก ภาพที่สามเร็วกว่าภาพที่สอง หรือจะกล่าวได้ว่ายิ่งซูจิ้งวาดภาพเหมือนเหล่านี้มากเท่าไหร่ เขาก็จะยิ่งวาดได้เร็วขึ้นเท่านั้น
และถึงแม้ว่าเขาจะวาดได้เร็วขนาดนี้ แต่คุณภาพงานของเขานั้นไม่ได้ลดทอนลงไปเลยซักนิด
ที่เขารับวาดภาพแบบนี้ไม่ใช่เพียงเพราะต้องการได้รับเงินอย่างเดียวเท่านั้น
เขาต้องการใช้วิธีการนี้ในการฝึกฝนฝีมือของตัวเองไปด้วย
ถึงแม้ว่ารูปเหล่านี้จะไม่ได้งดงามเท่ากับรูปของฉือชิงก็ตาม
ยังไงซะเมื่อเทียบกับภาพวาดของเชิงชิเหยาแล้ว คุณภาพของภาพพวกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย
หลังจากวาดไปได้ยี่สิบภาพวาด ซูจิ้งก็ได้หยุดมือลง เขาเมื่อจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
เขายังคงนั่งลงอยู่อย่างนั้นโดยไม่ได้ขยับไปไหน หลังจากนั้นซูจิ้งจึงได้วาดภาพต่อไป
คราวนี้เขานั้นไม่ได้วาดภาพตามคำสั่งที่เขาได้รับมา ซูจิ้งได้วาดภาพของรูปปั้นที่เขาเก็บมาได้จากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ เขาได้คร่ำเคร่งในการวาดรูปนี้ไปกว่าสองชั่วโมงจึงได้เสร็จสิ้นลง
หลังจากเปรียบเทียบคุณภาพกับภาพวาดของฉือชิงแล้วกลายเป็นว่าภาพนี้กลับสวยงามยิ่งกว่าภาพของฉือชิง ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งความรู้สึกและแก่นแท้ของภาพยังให้ความรู้สึกดีกว่ามาก
ถึงแม้ว่าคนทั่วไปหากมองผ่านๆอาจจะไม่ได้สังเกต แต่เมื่อเทียบกันแล้วจะพบว่าภาพนี้กับภาพวาดเหมือนฉือชิงนั้นอยู่คนละระดับกันเลย
ซูจิ้งไม่ได้วาดสาวงามต่อ ตอนนี้เขาได้นำหัวใจพระสูตรและพระพุทธฉบับต้นตำหรับออกมา เขาจ้องมองอย่างตั้งใจไปซักพักก่อนที่จะเริ่มการคัดลอก
ฉบับแรกซูจิ้งล้มเหลวกลางทาง
ฉบับที่สองล้มเหลว
ฉบับที่สามล้มเหลว
จนกระทั่งในฉบับที่สี่ ในที่สุดซูจิ้งก็เข้าใจแนวคิดที่แฝงเอาไว้ในหัวใจพระสูตรและพระพุทธจนได้ และเขาก็ได้ทำการคัดลอกออกมาได้ในที่สุด
ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับต้นฉบับเลยก็ตาม แต่ฉบับที่ซูจิ้งคัดลอกออกมาสำเร็จนี้ยังดีกว่าฉบับที่ขายให้ซุนหยูเฮงมากมายนัก
ขนาดฉบับคุณภาพต่ำขนาดนั้นยังขายได้เป็นล้านเลย
แน่นอนว่าฉบับนี้ เขาจะต้องขายได้มากกว่าหลายเท่าอย่างแน่นอน แต่เขาก็ตั้งใจว่าจะไม่วาดออกมามากเกินไปนัก ไม่งั้นราคาคงจะตกลงตามกลไกราคา
แต่ก็ยังมีอีกวิธีทีจะวาดออกมาได้หลายรูปเพียงขายทำเงินนั่นก็คือการวาดพระพุทธในรูปปางต่างๆ
เช่นเดียวกับรูปเหมือนที่เขาได้วาดเอาไว้ แต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป ทั้งรูปร่าง ท่าทาง นั่นทำให้แต่ละภาพถือได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียว และนั่นไม่ได้ทำให้ราคาค่าวาดภาพของเขานั้นลดลงรวดเร็วนัก
ในตอนที่ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋(หนูขาวหนึ่งเดียวผู้มีสแตนด์)ซ่อมแซมตำราทางพทุธทั้งหลายนั้น
เมื่อเขามาดูทีหลังก็พบว่า มีบางแผ่นที่มีรูปพระพุทธที่อยู่ในรูปปางต่างๆกันไปหลายปาง ต่อให้ไม่มีประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของเขา แต่อย่างน้อยๆก็น่าจะนำมาเป็นแบบในการวาดภาพของเขาได้เป็นอย่างดี
รูปพระพุทธปางแรกมีใบหน้าสามหน้าหกมือสองมือบนกำลังยกภูเขา สองมือล่างหยิบแผ่นหนังขึ้นมาอ่าน และสองมือกลางได้จับกระบี่เอาไว้ทั้งสองมือ มีผ้าปิดตาหนึ่งข้าง มีทรงผมตั้งตรงราวกับกองเพลิง หน้าผากสะท้อนแสงท้าทายสวรค์ ราวกับว่าเป็นโรโรโนอาโซโลเวอร์ชั่นแดนมิคสัญญีก็ว่าได้
แม้ดูเผินๆแล้วจะคล้ายกับองค์พระอจละก็ตามแต่ก็ไม่ได้เหมือนซะทีเดียว แต่ภาพนี้ให้ความรู้สึกในการเยียวยาจิตใจมากกว่าพระอจละที่ปัดเป่าความคิดเลวร้ายที่อยู่ในจิตใจ
รูปพระพุทธปางที่สองนั้นมีกายที่เต็มไปด้วยสีน้ำเงินและเข้มไล่ไปจนเกือบดำ
มีใบที่โกรธเกรี้ยวราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ทั้งหมดหกใบหน้า หกมือ และหกเท้า
องค์พระนั่งอยู่บนอาสนะอย่าขมึงขึงขัง พร้อมทั้งแบกเปลวไฟอยู่กลางหลัง
มือแต่ละข้างถืออาวุธที่แตกต่างกันไปได้แก่ หอก ง้าว ธนู ดาบ ไม้เท้า ลูกศร แส้เหล็ก และอาวุธอื่นๆ ดูดุดันราวกับผู้รักษากฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ โลก และนรกภูมิ
นี่สมควรเป็นองค์พระวิทยาราชา(พระวิทยาราช,เมียวโอ,ราชาแห่งความหวาดกลัว)
พระวิทยาราชาเป็นองค์พระที่สั่งสอนเกี่ยวเรื่องของกงกรรมกงเกวียนและจิดวิญญาณไร้สิ้นสุด
ใครก็ตามที่ปฏิเสธการรู้แจ้งจะถูกบังคับด้วยความน่าเกรงขามจนต้องหวาดกลัวจนกว่าจะรู้แจ้งได้ ด้วยการแสดงใบหน้าที่โกรธจนผู้นั้นเกรงกลัวจึงต้องรีบรู้แจ้งให้จงได้
ใช้ความโกรธข่มขู่จนทำให้ผู้คนหวาดกลัวไม่กล้าหลงผิดไปกับอำนาจมัวเมาของภูติผีปีศาจและวิญญาณร้ายไปในทางที่ผิดออกไปจากวิธีแห่งพุทธ
ในราชวงศ์หมิงนั้นพระวิทยาราชาได้ชื่อว่าเป็นองค์พระที่คอยต่อกรกับกิเลศและตัณหาทั้งปวง สามารถต่อกรกับปีศาจทั้งในโลกมนุษย์และยมโลก
องค์พระวิทยาราชานี้เป็นองค์พระที่มีศักดิ์รองลงมาจากพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์เป็นลำดับที่สาม
ความจริงนั้นทางพระพุทธศาสนาได้มีการสั่งห้ามไม่ให้ทำการจัดทำรูปหล่อและซื้อขายองค์พระพุทธอย่างเด็ดขาด
แต่ด้วยการที่พระโพธิสัตว์นั้นไม่เห็นด้วยเนื่องจากถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการเผยแพร่พุทธศาสนา
จึงทำให้เหล่าดวงวิญญาณผู้หลงงมงายในเรื่องเหล่านี้เมื่อรับทราบความจริงจึงรวมตัวกันก่อให้เกิดปีศาจร้ายที่ไม่มีใครสามารถปราบได้ลง
และนี่ทำให้เกิดพระวิทยาราชาปางแห่งปัญญานี้ขึ้นมาเพื่อกำราบวิญญาณร้ายและไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก
นอกจากนี้ซูจิ้งยังพบพระปางรูปต่างๆได้แก่ พระวิทยาราชาขี่ม้า พระวิทยาราชาเศียรไฟใหญ่ พระวิยาราชาใบหน้ายิ้มแย้ม พระวิทยาราชาใบหน้าดีใจ พระวิทยาราชาใบหน้าหัวเราะ พระวิทยาราชาใบหน้าเกือบรู้แจ้ง พระวิทยาราชาใบหน้าเคร่งขรึม และพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งเฉย
เมื่อนำไปรวมกับพระอจละที่วัดหลานเล่อก่อนหน้านี้แล้ว จึงถือได้ว่ามีปางปงค์พระทั้งหมดสิบรูปด้วยกัน
ซูจิ้งได้ทำการโทรหาเสี่ยวไจ๋เพื่อให้เตรียมที่เอาไว้สำหรับรูปปั้นพระวิทยาราชาทั้งเก้าปาง
เขาได้ตรงที่วัดหลานเล่อ และได้แขวนภาพวาดขององค์เพราะทั้งเก้าไว้โดยรอบองค์พระอจละเพื่อที่จะให้เหล่าผู้มาศรัทธาได้สักการะบูชากันได้ง่ายขึ้น
พร้อมทั้งบอกเสี่ยวไจ๋ไปว่ารูปขององค์พระวิทยาราชาทั้งเก้านี้เขายินยอมให้ซื้อได้
เมื่อข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่ววัด เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยาน และพระรูปอื่นๆตรงเข้าไปยังหอขององค์พระอจละเพื่อดูรูปวาดองค์พระวิทยาราชาทั้งเก้า
ทันทีที่เห็นทุกคนต่างตกตะลึงไปตามๆกัน
GGS:บทที่ 843 ลือเลื่องอีกครั้ง
“พระเจ้า ภาพวาดพระพุทธพวกนี้ช่าง…” เจ้าอาวาสซูหยุนที่กำลังตะลึงอยู่กับภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้าที่อยู่รอบองค์พระอจละ
“นี่มัน…สีหมึกยังดีสดใหม่อยู่เลย นี่คุณซูวาดเองอย่างนั้นหรอ” ปรมาจารย์เชิงหยานพูดพลันหันหน้าไปหาเสี่ยวไจ๋ พระรูปอื่นเองก็หันไปมองเสี่ยวไจ๋เช่นเดียวกัน
“ใช่แล้วครับ อาจารย์ซูจิ้งเป็นผู้วาดภาพพวกนี้” เสี่ยวไจ๋พยักหน้ารับ พอคิดแล้วทำให้พระทุกรูปที่ได้ยินมีความรู้สึกบางอย่างขึ้นในใจ พวกเขาเผลอหายใจสั้นๆออกมาในทันที ถึงแม้ว่ารูปวาดพระวิทยาราชาเหล่านี้จะมีความขลังไม่เทียบเท่าองค์พระอจละและตำราหัวใจพระสูตรและพระพุทธแม้แต่น้อย แต่ยังไงซะภาพเหล่านี้ก็ยังถือได้ว่ามีมนต์ขลังกว่าศาสนวัตถุที่พวกเขาเคยเห็นผ่านตามา
อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ต่อให้คนธรรมดามาเห็นก็ยังรับรู้ความรู้สึกนี้ได้
พวกเขาเองก็ได้ศึกษาอยู่ในวิถีแห่งพุทธมาหลายพรรษาแล้วแต่ก็ยังไม่เคยได้เห็นภาพวาดปางระพุทธที่ลักษณะเช่นนี้มาก่อน
ก่อนหน้านี้ซูจิ้งเพียงนำองค์พระพุทธที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อนนั่นก็สร้างตื่นตะลึงได้มากพอแล้ว แต่นี่เขาสามารถวาดภาพพระพุทธที่ไม่เคยมีการบันทึกไว้อีก
นี่หมายความว่ายังไงกันแน่ พวกเขาถูกเรียกว่าปรมาจารย์ในศาสนาพุทธแห่งนี้ แต่เมื่อเทียบกับพระพุทธทั้งสิบที่ซูจิ้งอัญเชิญมานั้น พวกเขาบอกได้เลยว่าเมื่อเทียบกันแล้วถือได้ว่าพวกเขายังอ่อนด้อยนัก
ตอนที่พวกเขาได้เห็นภาพวาดของซูจิ้งก็แค่คุยกันไปลอยๆว่าถ้าหากซูจิ้งวาดรูปพระพุทธให้ก็คงดี ไม่คิดว่าซูจิ้งจะวาดมาให้จริงๆแถมเป็นองค์พระที่ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนอีก
“ในตอนนี้ที่นี่มีพระโลกบาลทั้งสิบองค์แล้ว ในตอนแรกที่ซูจิ้งขอหอเพื่อให้อัญเชิญองค์พระอจละมาที่นี่และบอกว่าห้ามย้ายไปไหน
อาตมาก็คิดเพียงว่าเขานั้นต้องการเพียงสร้างมนต์ขลังและต้องการให้ดูอลังการเฉยๆ ไม่คิดว่าเขาจะวาดภาพพระวิทยาราชาอีกเก้าองค์และอัญเชิญมาที่นี่อีก” เจ้าอาวาสบ่นพึมพำออกมาราวกับคุยกับตัวเองอยู่
พอคิดว่าซูจิ้งนั้นนำภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้มาแขวนเอาไว้โดยที่พวกเขานั้นไม่ได้ร้องขอแต่อย่างใดแบบนี้ เจ้าอาวาสและเพราะลูกวัดเองก็ไม่ได้มีข้อโต้แย้งแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะ อย่างแรก หลังจากที่ทางวัดเป็นหุ้นส่วนของซูจิ้ง พวกเขาก็ได้ถือว่ายกให้หอแห่งนี้เป็นซูจิ้งที่เป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจ
อย่างที่สองพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้สมควรจะสร้างชื่อเสียงและแรงศรัทธาต่อวัดหลานเล่อได้เป็นอย่างดี ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้
“เสี่ยวไจ๋ ปกป้องดูแลพระทั้งสิบองค์นี้ให้ดี อย่าได้เผลอไผลเป็นอันขาด” ปรมาจารย์เชิงหยานพูดออกมา
“ทราบแล้วครับ เอ่อ… แต่ว่าอาจารย์ซูจิ้งบอกว่าไว้ว่า ภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้หากมีผู้สนใจต้องการนำกลับไปสักการบูชา อาจารย์ซูยินยอมที่จะขายครับ” เสี่ยไจ๋พูดออกมา
“ว่าไงนะ” พระทุกรูปที่ได้ยินต่างตกตะลึง เป็นปกติสำหรับพวกเขาอยู่แล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการซื้อขายศาสนวัตถุอย่างแน่นอน
“อาจารย์ซูได้กล่าวเอาไว้ก่อนกลับไปว่า หากภาพวาดพระรูปไหนถูกขายไป เขาก็จะวาดขึ้นมาแทนที่ เขาจะไม่ยอมให้สถานที่แห่งนี้ขาดองค์พระทั้งสิบไปอย่างแน่นอน”
คำพูดของเสี่ยวไจ๋ที่ได้พูดออกมานี้ได้ทำให้ปรมาจารย์เชิงหยานและเจ้าอาวาสนั้นยอมรับได้ในทันที ก็จริงที่ภาพวาดองค์พระวิทยาราชาทั้งเก้านี้ไม่เคยปรากฎที่ไหนมาก่อนบนโลกใบนี้
แต่ในเมื่อผู้วาดภาพเหล่านี้คือซูจิ้ง หากเขาต้องการจะขายก็สมควรแล้วเพราะนั่นเป็นเรื่องของเขา
และที่สำคัญยิ่งกว่าเขายังรับปากว่าจะว่ามาทดแทนทันทีที่ถูกขายออกไป ถือว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อหอองค์พระอจละแห่งนี้แม้แต่น้อย
เช้าวันถัดมา ทันทีที่วัดหลานเล่อเปิด ผู้เข้าสักการะได้มุ่งไปยังหอองค์พระอจละเป็นแห่งแรก
ตอนนี้หอแห่งนี้ถือว่าเป็นจุดเด่นของวัดแห่งนี้เลยก็ว่าได้ ผู้คนมากมายต่างก็เข้าที่นี่เพียงเพื่อต้องการได้สักการะองค์พระอจละเท่านั้น
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้เข้าสักการะเจ้าได้เห็นพระโลกบาลทั้งสิบ ทันทีที่ผู้เข้าสักการะได้เห็นต่างก็ประหลาดใจ ดวงตาส่องสว่างในทันทีเมื่อเห็นภาพวาดพระราชวิทยาทั้งเก้า
เปรียบได้ดั่งนักวาดภาพที่ได้เห็นสาวงามในร่างเปลือยเปล่าอยู่ตรงหน้า
“ทำไมถึงได้มีภาพวาดอีกเก้าภาพด้วยหล่ะ คนที่แนะนำมาไม่เห็นบอกไว้เลย”
“น่าจะยังไม่รู้นะเพราะเมื่อวานฉันเองก็ได้มาสักการะเหมือนกันยังไม่เห็นมีอยู่เลย”
“ภาพวาดพระพุทธทั้งเก้านี่ช่างดูมีมนต์ขลังจริงๆ วันนี้ถือได้ว่าคุ้มค่าแล้วที่ได้มาสักการะองค์พระทั้งสิบในคราวเดียว”
“ฮ่าฮ๋า นี่ต้องเป็นโชคชะตาแน่ๆ”
“หมดเวลาแล้วท่านผู้เจริญ โปรดรีบจุดธูปสักการบูชาด้วย” พระที่ดูแลได้กล่าวเตือนออกมา
“ช่างรวดเร็วจริง พวกเราพึ่งจะเข้ามาเองนะ”
“ได้พบองค์พระโลกบาลทั้งสิบในคราวเดียวนี่ช่าง…”
“ท่านอาจารย์ ท่านช่วยเพิ่มเวลาให้หน่อยไม่ได้หรือ”
เหล่าผู้เข้าสักการะในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลาย พวกเขานั้นรู้สึกสุขใจที่ได้เห็นองค์พระโลกาบาลทั้งสิบในคราเดียวแบบนี้จริงๆ
แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียดายที่เวลาช่างผ่านไปไวเหลือคณานัก นั่นก็เพราะผู้เข้าสักการะมัวแต่ตกตะลึงจนแทบจะลืมทำการสักการบูชาในทันทีที่เห็นจนเวลาล่วงเลยผ่านไปก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามในที่สุดแล้ว ผู้เข้าสักการะกลุ่มแรกก็จำต้องออกไปแต่โดยดีทันทีที่เห็นพระผู้ดูแลหอไม่อนุญาต
เห็นดังนั้นพวกเขาเองก็ไม่อยากทำให้พระผู้ดูแลมีปัญหาจึงทำได้เพียงรีบจุดธูปสักการะและออกไปด้วยใจที่ไม่อยาก และแน่นอนว่าพวกเขาตั้งปณิธานเอาไว้ว่าต้องกลับมาอีกครั้งให้จงได้
ผู้เข้าสักการะกลุ่มถัดไป ทันทีที่เข้ามาก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน
ไม่นานข่าวเรื่องที่วัดหลานเล่อในตอนนี้มีการอัญเชิญภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้ามาแขวนไว้ในหอองค์พระอจละจนกลายเป็นหอโลกาบาลทั้งสิบได้กระจายออกไปอย่างรวดเร็วทั้งในโลกอินเตอร์เนตหรือแม้แต่ทีวี
วัดหลานเล่อในตอนนี้ได้เป็นที่นิยมอย่างมาก แม้แต่ช่องทางสื่อสารของวัดทางโลกอินเตอร์เน็ตอย่าง บาร์ และไมโครบลอค นั้น ในตอนนี้มีผู้คนติดตามจนยอดผู้ติดตามเต็มไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่เข้าสักการะและเยี่ยมชมวัดหลานเล่อในแต่ละวันตอนนี้แน่นขนัดทุกวันจนต้องจองคิวกันล่วงหน้าไปหลายวัน
ชายวัยกลางคนที่ร่างท้วมที่ฉีดน้ำหอมจนฟุ้งในที่สุดก็ได้มีโอกาสเข้ามาไปยังหอโลกาบาลทั้งสิบ
เขานั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงออกถึงความเลื่อมใสจนเห็นได้ชัด
เมื่อได้เห็นพระวิทยาราชาทั้งเก้าแล้วใบหน้าของเขาแสดงออกถึงความสุขออกมาในทันที เขาเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงภาพวาดพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งและทำการคุกเข่าสักการะบูชา
ความจริงเขานั้นเคยมาที่นี่ก่อนหน้านี้แล้วหนหนึ่ง เขาในตอนนั้นมีความคิดที่จะฆ่าตัวตายอยู่
แต่ด้วยการที่เขานั้นได้มีโอกาสเข้ามาสักการะภาพวาดพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งนี้ทำให้เขานั้นมีความกล้าพอที่จะเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายอีกครั้ง
ทำให้เขาในตอนนี้ประสบความสำเร็จในธุรกิจของตัวเองจนได้ ในตอนนี้เขานั้นได้จ่ายหนี้สินของตัวเองจนเกือบหมดแล้ว แถมความสัมพันธ์กับภรรยาที่ก่อนหน้านี้เกือบจะหย่าร้างกันก็ดีขึ้นตามลำดับ
ในตอนนี้เขาเองก็เห็นแต่อนาคตที่สดใสรออยู่ข้างหน้า นี่จึงทำให้ตัวเขานั้นดูมีความเลื่อมใสศรัทธามากกว่าผู้เข้าร่วมสักการบูชาคนอื่นๆ
ถัดออกไปอีกสองเบาะรองคุกเข่านั้นก็ได้มีชายค่อนข้างอ้วนวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ เขานั้นดูตัวรูปร่างเตี้ยแต่สันทัดและมีผิวที่เข้มคล้ำ
คนๆนี้ก็คือเตียนจงยี่คนที่เป็นหุ้นส่วนของซูจิ้งในการดำเนินงานด้านการเกษตร
ในเกือบจะทุกๆวัน เขานั้นจะเข้ามาสักการะบูชายังหอพระแห่งนี้เป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงพร้อมครอบครัวตามข้อตกลงที่เขาเคยได้ทำไว้กับซูจิ้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเขาได้ยินมาว่ามีการอัญเชิญภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้ามาไว้ยังหอแห่งนี้ และเขาเองก็ต้องมาทูระแถวนี้พอดี จึงอดใจไม่ได้ที่จะรีบมาเพื่อให้เห็นเป็นบุญตาสักหน่อย ยังไงซะเขาก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่แล้ว
เสี่ยวไจ๋ที่กำลังเช็ดพื้นอยู่ในหานั้น เขาเองก็ได้เห็นผู้เข้าสักการะที่มีจำนวนมากแบบนี้ในทุกๆวัน ส่วนใหญ่เขาเห็นผู้เข้าสักการะมาทำการสักการะภาพวิทยาราชาใบหน้านิ่งมากที่สุด
เขาจึงตัดสินใจพูดออกมาด้วยเสียงอันกังวานว่า “ขอโทษที่ส่งเสียงดังนะประสก อาตมามีเรื่องจะแจ้งให้ทราบเอาไว้ อาจารย์ของอาตมาได้แจ้งเอาไว้ว่าสำหรับภาพวาดพระวิทยาราชาทั้งเก้านี้หากมีผู้ต้องการจริงๆก็สามารถขอซื้อไปบูชาได้ หากต้องการก็ได้โปรดเขียนชื่อและราคาและลงนามกำกับไว้ ในหนึ่งเดือนใครก็ตามที่ให้ราคาสูงที่สุดจำได้พระวิทยาราชาภาพที่ต้องการไป”
เสี่ยวไจ๋พูดออกมาเสร็จก็ได้ทำความสะอาดพื้นต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กับผู้เข้าสักการะนั้นบังเกิดบรรยากาศที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความรู้สึกตอนนี้เหมือนกับเสี่ยวไจ๋ได้หย่อนระเบิดเวลต่อหน้าทุกคนแล้วไปนั่งกินข้าวรอดูอยู่ข้างๆ
“ว่าไงนะ ปล่อยให้ซื้อจริงหรอ”
“นี่ท่านจะบอกว่ายินดีที่จะขายจริงๆหรอ”
“ท่านอาจารย์โปรดอย่าล้อเล่นเลย” ชายอ้วนวัยกลางคนยืนขึ้นและพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้นยินดี
“ใช่แล้ว ท่านต้องพูดเล่นแน่ๆ คุณซูยินดีที่จะขายภาพวาดเหล่านี้จริงๆหรอ” แม้แต่เตียนจงยี่ก็ยืนขึ้นทันทีที่ได้ยิน
“พระไม่พูดปดหรอกนะ ท่านอาจารย์ซูจิ้งได้บอกอาตมาไว้ว่าใครที่ให้ราคาสูงที่สุดท่านก็พร้อมที่จะขาย” เสี่ยวไจ๋เองก็ได้พยักหน้าและพูดย้ำออกมาอีกครั้ง ทำให้มีการเสนอราคากันจนเสียงดังออกไปยังข้างนอกเลยทีเดียว
ผู้เข้าสักการคนอื่นเองที่ได้ยินแทบจะอยากแซงแถวเข้ามาในทันที
“ถ้ายอมขายจริงๆผมขอซื้อภาพนี้”
“ผมต้องการภาพนี้ ผมต้องการภาพใบหน้าโกรธนี้ ห้ามแย่งผมนะ”
“ฉันต้องการภาพขี่ม้านี้”
ทุกๆคนในตอนนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นจนแห่กันแย่งเข้าไปเสนอราคากันอย่างรวดเร็ว บางคนเขียนเริ่มที่หนึ่งหมื่นหยวน คนถัดมาเขียนราคาที่สามหมื่นหยวน
ชายร่างอ้วนก็ได้เข้ามาในทันที เขาทำการประเมินราคาอยู่ในใจ เขาคิดว่าภาพวาดพระวิทยาราชาเหล่านี้สมควรมีมูลค่าสูง หากเขาจะจ่ายก็ควรจะจ่ายก็ต่อเมื่อเขาพร้อมแล้วเท่านั้น แต่ด้วยในตอนนี้เขายังมีหนี้สินอยู่จึงยังไม่อาจที่จะทุ่มได้เต็มที่ในตอนนี้
“เอานะ อีกนิดเดียวหนี้ก็จะหมดแล้ว ยังไงซะการลงทุนครั้งนี้คิดยังไงก็คุ้มค่า อย่างมากก็กินแกลบอีกซักหน่อยไม่ก็ขายรถไปซักคันก็แค่นั้นเอง”
คิดได้ดังนั้นชายอ้วนวัยกลางคนจึงได้ตรงไปเขียนชื่อและจำนวนเงินลงบนกระดาษที่วางอยู่ค้างรูปภาพวิทยาราชาที่เขาชอบที่สุดด้วยจำนวนเงินห้าแสนหยวน
แต่ทันทีที่เขาออกมา เตียนจงยี่ได้ตรงไปที่ภาพพระวิทยาราชาใบหน้านิ่งต่อจากชายอ้วน แล้วลงเงินไว้ที่สามล้านหยวนในทันที เอาจริงๆเขาได้ลงราคานี้กับภาพพระวิทยาราชาทั้งเก้าภาพไปเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่ชายอ้วนเห็นตัวเลขสุดท้ายเขารีบหันควับไปมองเตียนจงยี่ในทันที พร้อมทั้งค่อยเหลือบไปมองตัวเลขบนกระดาษเสนอราคาแผ่นอื่นทำให้เขาในตอนนี้ยืนนิ่งไป
ด้วยราคาขนาดนี้ทำให้เขานั้นถึงกับพูดไม่ออกนั่นก็เพราะว่าตอนแรกเขาก็คิดว่าห้าแสนหยวนที่เขาเสนอนั้นถือว่าราคาสูงแล้ว แต่นี้เตียนจงยี่เพียงคนเดียวกับใส่ราคาทุกภาพอยู่ที่สามล้านหยวน
ไม่เพียงแค่ชายอ้วนคนเดียวเท่านั้นที่พูดไม่ออก แม้แต่คนอื่นเองก็ไม่ต่างกัน มีคนหนึ่งนิ่งอยู่นานก่อนจะใส่ราคาเสนอไว้ที่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวนแต่ก็ถูกเตียนจงยี่เขียนราคาสามล้านหยวนไปแทบจะในทันทีเช่นเดียวกัน
ตอนนี้พวกเขาได้แต่ทำใจยอมรับแล้วว่าต่อให้ยอมขายจริงแต่ก็ยังยากที่จะได้มาครอบครองได้ คงมีแต่ต้องรวยพอเท่านั้นที่จะได้ครอบครองภาพวาดเหล่านี้ได้
ข่าวการขายภาพวาดพระวิทยาราชาได้เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วบนอินเตอร์เน็ต นี่ทำให้ผู้อาวุโสหวู่รีบมาที่วัดหลานเล่อในทันทีที่ได้ยินข่าวนี้ ไม่ใช่แค่นั้น แม้แต่ถังฮ่าว อาวุโสซี่ และนักสะสมคนอื่นๆเองกว่าครึ่งเมือง ไม่สิต้องบอกว่านักสะสมทั้งประเทศต้องเคลื่อนไหวในทันที
พวกเขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งผึ้งงานที่กำลังถูกนางพญาเรียกหา พวกเขารีบขับรถมาจากทั่วทุกสารทิศเพียงเพื่อตรงมายังวัดเล็กๆที่ตั้งอยู่ชายขอบประเทศอย่างวัดหลานเล่อ
นี่ทำให้ราคาของภาพวิทยาราชาทั้งเก้าที่ถูกเขียนไว้โดยเตียนจงยี่ในราคาสามล้านหยวนนั้นถูกเกทับภายในวันเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น