Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 840-841

 GGS:บทที่ 840 ผลลัพธ์ที่ได้จากการวาดภาพ (2)


 


หลังจากที่เชิงชิเหยาได้เห็นสีหน้าของเหล่าสาวๆเพื่อนร่วมงานของเธอที่กำลังล้อมรอบตัวเธออยู่ในตอนนี้ที่ท่าทางจริงจัง เธอเองก็เริ่มลังเลที่จะบอกทุกคนว่าใครเป็นคนวาดเหมือนของเธอกันแน่


แล้วสมมติถ้าเธอบอกไปจริงๆแทบไม่มีทางเลยที่เพื่อนๆของเธอจะคิดกันไปไกลอย่างแน่นอน


“เข้าใจล่ะ ฉันขอเดาว่าคนที่วาดต้องเป็นฮวงจิงฮงแน่ๆเลยใช่รึเปล่า” โฉวเสวี่ยไม่รอฟังคำตอบของเชิงชิเหยาแต่อย่างใด เธอนั้นได้พูดออกมาในทันทีราวกับพึ่งจะนึกได้ว่าคนที่จีบชิเหยาในตอนนี้ก็มีแต่หมอนี่คนเดียวเท่านั้น


“ฮวงจิงฮง งั้นหรอ ใช่พ่อหนุ่มหล่อๆที่คอยมาเทียวรับเทียวส่งชิเหยาอยู่บ่ายๆนั่นรึเปล่า ได้ข่าวว่าเขาเรียนวาดรูปกับเธอด้วยนี่นา


ฉันเองก็ได้ยินมาว่าระดับการวาดภาพของเขาค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่าจะสูงขนาดนี้” หญิงสาวผมสั้นคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ


“โฮ่… นอกจากยังหนุ่มยังแน่นแล้วยังมีฝีมือดีอีกแหะ” หวังซือหยาพูดออกมาอย่างประหลาดใจ


“ไม่ใช่ฮวงจิงฮงนะ พวกเธอเข้าใจผิดแล้ว” เชิงชิเหยาส่ายหัวเป็นละวิง


ทันทีที่หวังซือหยาและโฉวเสวี่ยได้ยินทั้งสองหันควับไปยังเชิงชิเหยาในทันที ชิเหยานั้นยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาว่า “คนที่วาดภาพนี้เป็นคนที่พี่ซือหยาและเสวี่ยน้อยเองก็รู้จักดีนะ”


 


“ห้ะ พวกเราก็รู้จักดีอย่างนั้นหรอ” ทั้งหวังซือหยาและโฉวเสวี่ยต่างก็อึ้งไปพร้อมกันทั้งสองคน


ทั้งสองได้พยายามนึกถึงคนที่มีความสามารถด้านการวาดภาพพู่กันจีนที่ทั้งสองน่าจะรู้จักในทันที แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก


เต็มที่ที่ทั้งคู่พอจะรู้จักก็เป็นเพียงอาร์ตติสดีไซน์ทั้งนั้น ไม่มีใครที่มีฝีมือดีพอที่จะสร้างงานศิลป์ชั้นเลิศขนาดนี้ได้เลยซักคน


“ชิเหยา ไม่ต้องมาทำให้ไขว้เขวเลยนะ บอกมาตรงๆเลยดีกว่านี่ใช่ภาพเขียนของฮวงจิงฮงรึเปล่า” หวังซือหยาพูดออกมา


“ไม่ใช่จริงๆนะ” เชิงชิเหยาได้แต่หัวเราะและส่ายหัวอีกครั้ง ตอนแรกเธอได้ถูกทุกคนแกล้ง คราวนี้ตาเธอแกล้งกลับบ้างแล้ว ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ยอมบอกหรอก


“บนโลกนี้จะมีใครอีกเนี่ย”


“บอกมาเลยนะ ไม่ต้องมาทำเป็นมีความลับเลย”


 


เหล่าสาวๆที่อยู่รอบๆเธอในตอนนี้ต่างก็หมั่นเขี้ยวเธอ พวกเธอรีบตรงมาแกล้งจั๊กจี๋เธอเป็นการใหญ่


“ก็ได้ก็ได้ หยุดได้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า บอกแล้ว บอกแล้ว” เชิงชิเหยาในตอนนี้ไม่อาจต้านทานมวลหมู่เหล่านิ้วมือที่ยื่นจากเพื่อนของเธอที่ตรงเข้ามาจั๊กจี๋เธอเพราะทุกคนต่างก็รู้อยู่แล้วว่าเธอนั้นบาจี้ขนาดไหน ทำให้เธอยอมพร้อมอย่างรวดเร็ว เธอพักหายใจหายคอก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ภาพนี้คุณซูเป็นคนวาดน่ะ”


“ห้ะ อาจิ้งเหรอ” หวังซือหยาและโฉวเสวี่ยได้อุทานออกมาพร้อมกัน


“อาจิ้ง เธอหมายถึงพี่น้องนอกไส้ของพี่ซือหยานั่นน่ะเหรอ” สาวๆทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างก็คิดว่าได้ยินผิดไป


“ใช่แล้ว” เชิงชิเหยาพยักหน้ารับ


“เป็นไปไม่ได้น่า ฝีมือการวาดภาพของอาจิ้งนั้นอยู่แค่ในระดับคนธรรมดาสามัญเท่านั้นเองนะ


ก็จริงที่ก่อนหน้านี้เขาเพิ่งจะออกแบบเสื้อผ้าให้ฉันหลังจากเริ่มหัดออกแบบเสื้อผ้าได้ไม่นานเท่าไหร่


แต่กับภาพเขียนพู่กันจีนแบบนี้ ต่อให้เรียนรู้เร็วยังไงก็ไม่น่าที่จะถึงระดับนี้ได้หรอก” หวังซือหยาพูดออกมา


“ใช่แล้วล่ะ ฉันเองก็เห็นตอนอาจิ้งวาดเหมือนกัน ฝีมือของเขาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลยนะ” โฉวเสวี่ยเองก็สำทับออกมาว่าไม่เชื่อเหมือนกัน


 


“เขาเป็นคนวาดจริงๆนะ เมื่อประมาณอาทิตย์ก่อน ฉันได้ไปทำท่าทีว่าจะวาดรูปแล้วเขาเห็นก็เลยสนใจ


พอคุยไปคุยมาฉันก็ได้รู้ว่าเขาให้ความใจในงานศิลป์แขนงนี้มากๆ ฉันก็เลยแนะนำให้เขาไปเรียนด้วยกัน


ตอนแรกๆเขานั้นก็ดูเหมือนจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ เอาจริงๆเขาก็แค่เป็นคนที่เริ่มหัดวาดเท่านั้นแหละ


แต่หลังจากเรียนได้แค่วันเดียว ความสามารถประดุจดั่งร่างอวตาลของปีศาจของเขาก็ได้ซึมซับเทคนิคของพ่อฉันที่สอนเขาไปในวันนั้นจนหมด


หลังจากวันนั้นพ่อของฉันเองก็คอยชี้แนะเขาอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเมื่อวานนี้เองที่เขาเริ่มวาดภาพเขียนพู่กันจีนที่งามเลิศขนาดนี้ออกมาได้เป็นชิ้นแรก”


เชิงชิเหยาเล่าเรียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นออกมาได้อย่างชัดเจนและไม่ติดขัดทำให้ดูน่าเชื่อถืออย่างมาก


“หมายความว่าเขาเรียนเพียงอาทิตย์เดียวก็มีฝีมือมาถึงระดับนี้แล้วเนี่ยนะ จะเป็นไปได้ยังไงกัน”


“ไม่ใช่ว่าการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นยากมากไม่ใช่เหรอ แล้วเขาจะไปเรียนรู้ได้เร็วขนาดนั้นได้ยังไงกัน ชิเหยาเธอไม่ต้องมาหลอกพวกเราเลยนะ”


 


หวังซือหยา โฉวเสวี่ย และคนอื่นๆต่างก็ไม่เชื่อเรื่องที่ชิเหยาเล่า พวกเธอเองก็รู้จักปีศาจร้ายที่กล่าวถึงมานี้ดีพอสมควรแล้ว ทำให้ไม่มีทางที่พวกเธอจะเชื่อคำพูดของชิเหยาได้ลง


นั่นก็เพราะตั้งแต่รู้จักปีศาจร้ายตนว่ามา เขานั้นแทบจะไม่เคยแสดงฝีมือในงานศิลป์ขั้นเทพขนาดนี้เลยสักครั้ง เรื่องนี้มันเกินสามัญสำนึกของคนทั่วไปเกินไปแล้ว


“จริงๆนะ นอกจากฉันแล้วเขายังวาดรูปเหมือนสาวงามไว้อีกหลายคนเลย พี่ซือหยาเองก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ หากพี่ไม่เชื่อพี่ลองโทรหาแล้วให้เขาส่งรูปมาให้พี่ดูก็ได้นะ” เชิงชิเหยารีบพูดออกมาเพราะเธอเองก็เริ่มเห็นว่าท่าจะไม่ดีแล้ว


 


หวังซือหยานั้นต้องการที่จะรู้คำตอบเรื่องนี้จริงๆจนเธอเองต้องหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อจะถามซูจิ้งเรื่องนี้ให้ได้


แต่ในทันที่เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมานั้น เธอก็ได้เห็นในทันทีว่าซูจิ้งได้โพสต์อะไรในไมโครบลอคของเขาได้ซักพักหนึ่งแล้ว


เธอได้กดเข้าไปเพื่อดูว่าซูจิ้งได้โพสต์อะไรลงไปกัน แม้แต่โฉวเสวี่ยและคนอื่นๆเมื่อเห็นสิ่งที่ซูจิ้งโพสต์จากที่ไกลๆ ทั้งหมดต่างเดินเข้าไปเดินดูใกล้ๆในทันที


เมื่อเห็นสิ่งที่ซูจิ้งโพสต์ชัดๆแล้ว ทุกคนก็ได้แต่ทำหน้ามึนๆกันไปหมด


 


ซูจิ้งได้ลงข้อความในไมโครบลอคของเขาไว้ว่า


“หลังจากได้เรียนรู้ภาพวาดพู่กันจีนเป็นเวลาเจ็ด…ไม่ก็แปดวันนี่แหล่ะ ในที่สุดฉันก็ทำได้สักที ฉันวาดภาพสำเร็จจนได้


ภาพเหล่านี้คือภาพวาดพู่กันจีนที่ฉันได้วาดเสร็จแล้ว ถึงมันจะน้อยไปหน่อยต่อก็ขอความเห็นจากทุกคนด้วยนะ” ตามมาด้วยรูปภาพของภาพวาดพู่กันจีนอีกจำนวนหนึ่ง


ภาพแรกเป็นภาพเหมือนของเชิงชิเหยา


ภาพที่สองเป็นภาพของเฉินรั่วหลิน


ภาพที่สามเป็นภาพของเฉิงหนาน


ภาพที่สี่เป็นภาพของเหว่ยเสี่ยวหยวน


ภาพที่ห้าเป็นภาพของหวังซือหยา


ภาพที่หกเป็นภาพของมู่หรงเซียนเอ๋อ


และภาพที่เจ็ดเป็นภาพของฉือชิง


หลังจากได้เห็นภาพสาวทั้งเจ็ดภาพนี้ ทุกภาพต่างงดงามราวกับดอกไม้ ไม่สิราวกับเทพธิดาเลยก็ว่าได้


 


หวังซือหยา โฉวเสวี่ย และคนอื่นๆเองเมื่อเห็นภาพนี้แล้วต่างก็อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก


นี่คือผลงานของซูจิ้งจริงๆอย่างนั้นหรอ ยิ่งไปกว่านั้น หากเทียบกับภาพวาดอีกหกภาพแล้ว ภาพเหมือนของเชิงชิเหยานั้นยังถือได้ว่าขี้เหร่ที่สุดในหมู่สาวงามพวกนี้แล้ว


และภาพสาวงามในแต่ละลำดับถัดมา จะเห็นว่าความสวยงามของสาวงามในภาพจะทวีความสวยยิ่งขึ้นเป็นลำดับไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพสุดท้ายที่สวยงามราวกับเทพธิดาที่กำลังนั่งอยู่ในหมู่เมฆาเลยก็ว่าได้


 


หวังซือหยาได้รีบโทรไปหาซูจิ้งในทันทีที่ตั้งสติได้ ทันทีที่เขารับสายเธอได้พูดออกไปในทันทีว่า


“อาจิ้ง นี่นายวาดรูปเหมือนพวกนั้นจริงๆหรอ”


“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพูดตอบออกมาอย่างสบายอารมณ์


“แล้วภาพของฉันยังอยู่กับนายรึเปล่า” หวังซือหยาถามต่อ


“แน่นอนสิ ไม่อยู่นี่แล้วจะให้ไปอยู่ที่ไหนกัน ก็ไม่รู้ว่าเธอจะชอบรึเปล่านะแต่ถ้าเธออยากได้ล่ะก็ยินดีมอบให้แต่โดยดีจ้ะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“แหงสิ รีบเอามาเลย” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


โฉวเสวี่ยและคนอื่นๆเมื่อได้ยินดังนั้นก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมา


แต่เรื่องนี้พวกเธอเองก็ทำอะไรไม่ได้จริงๆกับการที่พวกเธอไม่สามารถมีรูปเหมือนชั้นเลิศแบบนี้ได้


หากจะโทษก็ต้องโทษพวกเธอเองที่ไม่สวยเท่าเชิงชิเหยาและหวังซือหยาจนทำให้สามารถต้องตาต้องใจของซูจิ้งได้แบบนี้


 


“พี่ชิง พี่ลองดูไมโครบลอคของพี่จิ้งสิ” ณ ร้านขายเสื้อผ้าหลงเต็งได้มีเสียงของสาวน้อยคนหนึ่งตะโกนดังลั่นร้าน


“มันก็แค่ไมโครบลอคน่า จะตื่นเต้นอะไรขนาดนั้นเนี่ย” ฉือชิงยิ้มออกมา


“ถ้าพี่เห็นเองพี่ก็จะรู้แหล่ะว่าฉันตื่นเต้นเรื่องอะไร” สาวน้อยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์


เมื่อได้ยินดังนั้น ฉือชิงก็รู้สึกทะแม่งๆเล็กน้อย เธอได้หยิบโทรศัพท์ของเธอออกมาเพื่อจะได้ดูว่าซูจิ้งก่อเรื่องอะไรอีกกันแน่


เธอได้เปิดไมโครบลอคของซูจิ้งซึ่งในตอนนี้ทั้งดงเจี๋ยและคนอื่นๆเองก็รายรอบรุมดูอย่างตั้งใจ


เมื่อพวกเธอได้เห็นภาพเจ็ดสาวงามก็ต้องถึงกับอึ้งจนทำอะไรไม่ถูกกันเลยซักคน


“ว้าวววววว สวยชะมัดเลย”


“พี่ชิง พี่จิ้งเขาวาดรูปอย่างนี้ได้ด้วยเหรอ”


“ก็จริงที่หมดนี่วาดรูปได้ดี แต่การที่วาดสาวงามมากมายขนาดนี้นี่มันหมายความว่ายังไงกัน”


“ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นอะไรนี่นา ยังไงซะที่สวยที่สุดก็เป็นภาพวาดของพี่ชิงของพวกเราอยู่แล้ว ลองดูดีๆสิ ภาพวาดของคนอื่นนั้นสวยสู้พี่ชิงไม่ได้เลยสักคน”


 


ฉือชิงในตอนนี้ทำได้แต่กะพริบตาปริบเท่านั้น ถ้าจะให้พูดจริงๆก็คือในทันที่เธอได้เห็นภาพเจ็ดสาวงาม


เธอเองก็รู้สึกหึงหวงเล็กน้อยเหมือนกัน แต่ทันทีที่เห็นภาพของเธอที่อยู่หลังสุดแล้วเธอรู้สึกโล่งใจอย่างมาก


เอาจริงๆถ้าเกิดว่าไม่ใช่คนที่เมามายหรือจิตใจหยาบช้าต่ำทรามจริงๆล่ะก็ พวกเขาจะเห็นได้ด้วยตาตัวเองเลยว่าภาพวาดแต่ละรูปนั้นมีระดับสวยงามที่ไม่เท่ากัน


และภาพวาดของเธอเองก็ถือได้ว่าสวยที่สุดแล้ว แล้วหากสังเกตดีๆก็จะพบอีกว่าภาพของเธอนั้นดูละมุนพิถีพิถันกว่ารูปวาดของคนอื่นอย่างมาก


ฉือชิงได้โพสต์ถามไว้ในช่องโต้ตอบของซูจิ้งในไมโครบลอคว่า “อาจิ้ง นี่นายเป็นพวกเก็บสะสมสาวงามรึไงกัน แต่เห็นแก่ว่าวาดภาพฉันได้งามหรอกนะ ฉันจะยกโทษตายนี้ไว้ให้ เก็บรูปของฉันไว้ให้ด้วยล่ะ”


 


“เซียนเอ๋อ ซูจิ้งโพสต์ไมโครบลอคเกี่ยวกับเธอด้วยล่ะ” ผู้ช่วยแสนสวยของมู่หรงเซียนเอ๋อได้ตะโกนลั่นบ้านของเธอ


“ว่าไงนะ” มู่หรงเซียนเอ๋อเมื่อได้ยินดังนั้นเธอก็ได้หยุดทำทุกอย่างและได้รีบเปิดมือถือของเธอดูในทันที


เมื่อเธอได้รูปเหมือนของเธอที่ซูจิ้งวาดนั้น เธอได้ทำตาปริบๆในทันที เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะเอารูปของตัวเองไปเปรียบเทียบกับรูปของฉือชิง ถึงแม้จะไม่สวยเท่าแต่ยังไงซะเธอนั้นก็ยังชอบรูปเหมือนของเธอที่ซูจิ้งวาดอยู่ดี


มู่หรงเซียนเอ๋อได้โพสต์ข้อความในไมโครบลอคของซูจิ้งว่า “อาจิ้ง ฉันขอรูปของฉันได้รึเปล่า”


ทั้งเฉินรั่วหลิน เฉิงหนาน และเหว่ยเสี่ยวหยวน ทั้งสามคนต่างก็ได้เห็นภาพเหมือนของตัวเองที่ซูจิ้งวาดแล้ว และพวกเธอต่างก็ต้องการภาพเหมือนของตัวเองไปเก็บเอาไว้ในทันที


ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้คนที่ติดตามเรื่องราวในอินเตอร์เน็ตนั้น ทันทีที่ทุกคนได้เห็นข่าว “ภาพวาดเจ็ดเทพธิดา” จากเว็บเว่ยป๋อแล้ว ต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด


ตอนนี้ช่องข้อความที่เกี่ยวกับเรื่องนี้แทบจะลุกเป็นไฟเนื่องจากมีคนหลั่งไหลเข้าไปให้ความเห็นอย่างต่อเนื่อง


GGS:บทที่ 841 แพงกว่าทอง


 


เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งในตอนนี้ได้เห็นภาพที่ซูจิ้งโพสต์ไว้ในไมโครบลอก ตอนนี้พวกเขาได้ออกมาเคลื่อนไหวแล้ว


“ไม่ใช่ว่าพี่จิ้งเขาศึกษาแค่ศิลปะการแต่สู้และพุทธศิลป์หรอกหรอ แล้วนี่ทำไมเขายังไปเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนเพิ่มอีกล่ะ”


“ลองดูใกล้ๆนี่ก็สวยเหมือนกันนะรูปพวกนี้”


“ใช่ สวยมากจนเหมือนกับเทพธิดาในสรวงสวรรค์เลย”


“พี่จิ้งต้องโกหกแน่ๆ เขาไม่น่าจะเพิ่งเรียนได้แค่เจ็ดแปดวันหรอกนะ หากว่าเขาเพิ่งเริ่มเรียนจริงๆแล้วเขาจะวาดภาพอันวิจิตรแบบนี้ได้ยังไงกัน


“เขาน่าจะแค่คุยโวเฉยๆมั้ง ฉันว่าน่าจะเจ็ดแปดปีมากกว่า””


“สาวงามพวกนี้เป็นใครกัน”


“คนที่ห้าคือหวังซือหยา ประธานบริษัทซือหยา คนที่หกคือมู่หรงเซียนเอ๋อ”


“คนที่เจ็ดนี่ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้กันนะ คุณพี่สะใภ้ฉือชิง ถึงจะยังไม่ใช่แต่ก็ใกล้แล้วแน่ๆ ลองดูความวิจิตรของภาพเธอสิ พี่จิ้งวาดได้สวยที่สุดในหมู่สาวงามเลย”


มู่หรงเซียนเอ๋อได้ทำการติดป้ายชื่อของเธอไว้ใต้ไมโครบลอกของซูจิ้งทันที นั่นก็เพราะว่ามีแฟนคลับของเธอหลายๆคนที่รู้ข่าวแต่ว่าไม่สามารถเข้ามาดูได้เนื่องจากคนเต็ม


ในตอนที่มู่หรงเซียนเอ๋อโดนข่าวป้ายสีเล่นงานนั้น ไม่มีใครเลยในวงการบันเทิงที่จะกล้าออกมายืนอยู่เคียงข้างเธอ


มีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่รีบช่วยเหลือเธอในทันทีจนพ้นวิกฤตในครั้งนั้นมาได้ นั่นทำให้แฟนคลับของมู่หลงเซียนเอ๋อชื่นชมในตัวซูจิ้งอย่างมากและได้กลายเป็นแฟนคลับของซูจิ้งไปด้วยเช่นกัน


จึงเป็นธรรมดาที่พอเมื่อเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทั้งคู่พร้อมๆกันพวกเขาก็ต้องสนใจเป็นพิเศษอยุ่แล้ว แต่ด้วยการที่พวกเขาไม่ได้ติดตามเหนียวแน่นขนาดนั้นจึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะตกตะลึงในความสามารถของซูจิ้งมากกว่าแฟนคลับของซูจิ้งที่พอจะคุ้นชินกันบ้างแล้ว


“ช่างสวยงามราวกับนางฟ้าในสรวงสวรรค์ยิ่งนัก”


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่ฉันได้เห็นภาพวาดพู่กันจีนที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้”


“”ซูจิ้งนี่เก่งสารพัดอย่างจริงๆแหะ ถ้าไม่ใช่ว่าเขานั้นมีแฟนอยู่แล้วล่ะก็ เขาคงเป็นคู่ที่เหมาะสมกับเทพธิดาของเราเป็นแน่”


“ลองดูที่รูปของแฟนเขาสิ รูปแฟนของซูจิ้งที่เขาวาดช่างดูสวยงาม มีชีวิตชีวา และน่าหลงใหลจริงๆ”


“แหงซิ ถ้าเป็นนายนายจะกล้าวาดผู้หญิงคนอื่นได้สวยกว่าแฟนตัวเองรึเปล่าล่ะ ก็รู้ๆกันดีอยู่แล้วนี่”


 


ในส่วนไมโครบลอคของฉือชิงในตอนนี้เองก็ตกตะลึงไปกับภาพวาดหญิงงามของซูจิ้งไม่น้อยไปกว่ากัน


และด้วยเหตุนี้ทำให้ไมโครบลอกของหวังซือหยา เชิงชิเหยา เฉินรั่วหลิน เหว่ยเสี่ยวหยวน และเฉิงหนาน ทั้งหมดได้ถูกชาวเน็ตขุดคุ้ยซะยับเยินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


แทบจะบอกได้เลยว่าพวกเขาไม่ปล่อยให้หลุดรอดสายตาแม้แต่น้อย แม้แต่ข้อความในช่องคอมเม็นต์พวกเขาก็อ่านหมดทุกตัวอักษร


 


นั่นก็เพราะว่าหญิงสาวเหล่านี้นั้นแต่เดิมพวกเธอก็มีความสวยและงามสง่าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว


ยิ่งได้ภาพเขียนอันแสนวิจิตรพิศดารของซูจิ้งหนุนนำเข้าไปอีกยิ่งทำให้พวกเธอตกเป็นเป้าสายตาและกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว


ซึ่งในตอนนี้ ชาวเน็ตได้ตั้งสมญานามให้พวกเธอไว้แล้วว่า “เจ็ดเทพธิดา”


และแน่นอนว่าอะไรที่ชาวเน็ตสนใจ เหล่าบรรดาดาราทั้งหลายก็จะต้องรีบตามชาวเน็ตให้ทัน


 


เลาชงก็ได้เห็นข่าวนี้ในอินเตอร์เน็ตแล้วเหมือนกัน ทำให้เขาได้มีโอกาสได้เข้าไปดูภาพเขียนเจ็ดเทพธิดา


เมื่อได้เห็นแล้วก็ทำได้เพียงแค่ถอนหายใจออกมา ก่อนจะพูดออกมาลอยๆว่า “ฉือชิงนี่ช่างสวย สวยมากจริงๆ แถมยังโชคดีอีกด้วย”


 


นาลันเฟยก็เห็นภาพเช่นกัน หลังจากที่เธอกลับไปมองภาพของฉือชิงอีกครั้ง เธอเองก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมายาวๆ ตอนนี้ในใจของเธอมีเพียงความรู้สึกพ่ายแพ้ออกมาเท่านั้น


การที่เธอจะพ่ายแพ้ต่อฉือชิงและมู่หลงเซียนเอ๋อนั้นเรื่องนี้เธอเองก็รับได้อย่างไม่มีข้อสงสัยอยู่แล้ว


แต่ที่เธอน้อยใจมากที่สุดก็คือตัวเธอนั้นไม่ติดอยู่ในหมู่เจ็ดเทพธิดาของซูจิ้งมากกว่า


อีกเหตุผลหนึ่งก็คือเธออิจฉาที่ภาพวาดที่ออกมานั้นดูสวยงามเสียยิ่งกว่ารูปถ่ายสวยๆที่เธอถูกถ่ายมาตลอดชีวิตนี้จนทำให้เธอเองก็อยากได้ไว้สักรูปหนึ่งเหมือนกัน


 


ยิ่งเธอเห็นฉือชิงและมู่หรงเซียนเอ๋อถ่ายรูปภาพวาดของพวกเธอขึ้นเป็นรูปแทนตัวตนในไมโครบลอคแล้วยิ่งท้อใจเข้าไปใหญ่ เธออยากได้บ้างจนอดรนทนไม่ไหวต้องโทรไปหาซูจิ้งเพื่อวาดรูปให้เธอ


หลังจากหวังหยานได้เห็นชุดภาพเจ็ดเทพธิดาของซูจิ้งแล้วเธอเองก็นิ่งไปนานเหมือนกัน เธอไม่เคยคิดเลยว่า


ภาพวาดเจ็ดเทพธิดาจีนนี้จะขาดเธอไปได้เช่นกัน


เหล่าดาราฝ่ายหญิง แฟนคลับของซูจิ้ง และชาวเน็ต ต่างพูดถึงเรื่องนี้กันไปทั่วพร้อมกับพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเธออยากได้ภาพวาดแบบนี้ไว้เหมือนกัน


มีผู้หญิงบางคนได้ไปขอให้ซูจิ้งวาดรูปให้แต่ราคาที่เขาบอกมานั้นก็ถือได้ว่าสูงมาก แม้แต่ผู้ชายบางคนเองที่ขอให้ซูจิ้งวาดรูปให้ เขานั้นก็บอกปัดแบบเรียบง่ายด้วยการบอกว่าต้องจ่ายเงินห้าแสนหยวนเป็นข้อแรกเปลี่ยน


เหตุผลก็คือตอนนี้ภาพเขียนของซูจิ้งเป็นที่นิยมอย่างมากในอินเตอร์เน็ต


 


เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนที่อยู่ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนต้องตกตะลึง


นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นไม่เพียงแต่เปิดตัวในวงการนี้ในระดับปรมาจารย์ตั้งแต่ต้น


ต้องไม่ลืมว่าเขาเองก็ยังมีฝีมือด้านการเล่นกู่จิ้งอีกด้วย พูดได้เลยว่าต่อให้ซูจิ้งเลิกเล่นกู่จิ้งไป


เขาเองก็ยังโดดเด่นอยู่ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนได้อย่างสบายๆ


เชินกู่ยี่และคนอื่นๆที่รู้เกี่ยวกับความสามารถด้านนี้ของซูจิ้งก่อนใครนั้น พวกเขาเองก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าภาพวาดของซูจิ้งจะมีราคาพุ่งขึ้นไปที่ห้าแสนหยวนเข้าไปแล้ว


พวกเขานั้นประเมินราคาภาพเจ็ดสาวงามของซูจิ้งต่ำเกินไป


แม้แต่ศิลปินที่วาดภาพเหมือนอยู่เป็นนิจก็ยังออกมาโดยพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าภาพเหมือนของเขาไม่มีทางที่จะเทียบได้กับภาพเหมือนของฉือชิงของซูจิ้งได้เลย


ไม่สิ แม้แต่ภาพอื่นในชุดเจ็ดเทพธิดาก็ไม่สามารถเทียบได้เช่นเดียวกัน


อย่างไรก็ตามพวกเขาได้กล่าวเพิ่มเติมเอาไว้ว่างานของพวกเขานั้นสามารถสื่อออกมาได้เต็มที่ก็แค่ความเหมือน พวกเขานั้นวาดภาพเหมือนได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น


พวกเขาสามารถวาดภาพให้สวยได้แต่ไม่สามารถวาดให้สวยโดยยังดูเป็นคนๆนั้นอยู่ได้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ภาพวาดเหมือนของพวกเขาไม่สามารถเทียบได้กับซูจิ้งได้


นี่จึงถือได้ว่าภาพเขียนของซูจิ้งได้สร้างบรรทัดฐานใหม่ของวงการไปแล้ว


 


ในตอนนี้คนที่เคยมีเรื่องกับซูจิ้ง แม้แต่คนที่ไม่ชอบซูจิ้งอยู่แล้วอย่าง ฉิวหยุนจิน เว่ยหยิน โอฉิงซง และซุนหยูเฮง ต่างก็อิจฉาจนอยู่กันไม่สุขและโอดครวญออกมากันว่า ทำไมซูจิ้งถึงได้เก่งไปซะรอบด้านขนาดนี้ ช่างไม่ยุติธรรมเอาซะเลย


โดยเฉพาะกับซุนหยูเฮงที่มีท่าทางจิตตกกว่าใครเพื่อน นั่นก็เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องในงานผู้ว่าการหู่มา หวังซือหยาไม่เคยให้ความสนใจเขาอีกเลย


อีกทั้งเรื่องธุรกิจการเกษตรที่เขามุ่งหวังเอาไว้ในตอนนี้ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดอีกต่อไป


ก่อนหน้านี้ที่เขานั้นใช้ทุกวิธีทางกดดันให้เตียนจงยี่จนเกือบจะยอมแพ้ไปได้แล้วนั้น


มาตอนนี้เตียนจงยี่สามารถแข่งกับเขาได้ชนิดที่เขานั้นปรับตัวไม่ทัน แถมยังเร็วกว่าตอนที่เขาเล่นงานเตียนจงยี่ซะอีก


เหตุผลนั้นจากการที่เขาประเมินดูแล้ว ดูเหมือนว่าองค์กรสำคัญที่อยู่ในจังหวัดจะอยู่ข้างซูจิ้งเสียเกือบหมด


เขานั้นถึงกับขอให้ทางตระกูลอาศัยเส้นสายของตระกูลกดดันผู้ว่าการหู่ ยอมแม้แต่การเสนอให้เป็นหุ้นส่วนของตระกูล แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผล


แต่พวกเขาก็ไม่ได้สงสัยอะไรนั่นก็เพราะว่าขนาดซูจิ้งเสนอสมบัติระดับสูงมากมายหลายชิ้น ผู้ว่าการหู่ยังปฏิเสธเขาออกไปหมด


แถมจากการตรวจสอบของพวกเขาก็ยังไม่พบว่าผู้ว่าการหู่มีสายสัมพันธ์กับกลุ่มไหนมากเป็นพิเศษ ขนาดองค์กรภาครัฐอื่นๆเองเขาก็แทบจะไม่เคยเข้าไปยุ่งย่ามหากไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับประชาชนในจังหวัด


นั่นทำให้พวกเขานั้นเชื่อได้ว่าอย่างน้อยๆที่ทิศทางของการพัฒนาจังหวัดเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ไม่น่าจะมาจากอิทธิพลของผู้ว่าการหู่แต่อย่างใด


ด้วยเหตุผลเหล่านี้เขานั้นจึงเชื่อว่าที่ทิศทางการพัฒนาเมืองได้เปลี่ยนไปขนาดนี้นั้น


เป็นเพราะเหล่าองค์กรเอกชนในเมืองได้ร่วมมือกันช่วยผลักดันให้เกิดแนวทางการพัฒนาที่น่าเชื่อถือพอที่จะทำให้หน่วยงานภาครัฐในเมืองคล้อยตามได้


แต่แนวทางที่คนอื่นๆเห็นด้วยนี้กับบริษัทของเขาแล้วเปรียบได้กับยาพิษของบริษัทเขาดีๆนี่เอง เพราะมันเป็นการทำให้ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่เขาวางแผนในการผลิตเอาไว้ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้


ในตอนนี้เขาได้ให้คนคอยสังเกตซูจิ้งแทบจะทุกฝีก้าวเท่าที่เป็นไปได้เพื่อหาข้อมูลที่พอจะนำไปใช้เล่นงานซูจิ้งได้บ้าง


อย่างไรก็ตามนอกจากการติดตามซูจิ้งนั้นจะไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ตอนที่คนที่ติดตามซูจิ้งบอกเขามาว่าซูจิ้งนั้นได้ไปเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นเขาถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก


ขนาดเขาเองก็ยังสงสัยเลยว่านี่ซูจิ้งทำตัวสบายๆไปรึเปล่า นั่นก็เพราะคนที่มีชื่อเสียงแบบนี้สมควรจะเคลื่อนไหวแบบระมัดระวังตัวไม่ใช่มาทำตัวเหมือนกำลังเรียนรู้สิ่งต่างๆฆ่าเวลาแบบนี้


 


แต่ก็อีกนั่นล่ะการที่ซูจิ้งเคลื่อนไหวแบบนี้เขาเองก็ยิ่งทำอะไรซูจิ้งไม่ได้เลย นี่ทำให้เขานั้นรับเรื่องนี้ไม่ได้เข้าไปใหญ่


เอาจริงๆแล้วที่ซูจิ้งสามารถทำตัวสบายอารมณ์โดยที่ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจแบบนี้นั้นเป็นเพราะว่าในทุกๆธุรกิจของซูจิ้งนั้น


เขาจะมอบอำนาจสิทธิขาดให้กับหุ้นส่วนไปเลย ซึ่งในกรณีนี้ก็คือเตียนจงยี่และผู้ว่าการหู่


และเขานั้นไม่เคยกลับเข้ายุ่มย่ามกับเรื่องพวกนั้น นอกจากจะเป็นการเพิ่มเติมผลผลิตใหม่ หรือเป็นการยกระดับการผลิตให้ดีขึ้นเท่านั้นเอง ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนกันที่ซุนหยูเฮงจะรู้เรื่องนี้สักที


“เฮอะ…แกจงทำตัวสบายๆจนน่าหมั่นไส้แบบนี้ไปให้ตลอดรอดฝั่งก็แล้วกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันหาทางเล่นงานแกได้ล่ะก็ ฉันจะเล่นงานแกทันที คราวนี้ฉันจะไม่ให้โอกาสแกตั้งตัวแม้แต่น้อยเลย คอยดู”


ซุนหยูเฮงตะโกนลั่นอยู่ภายในใจของตัวเอง


 


ณ วัดหลานเล่อ วัดของศาสนาพุทธ


เจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน และพระภิกษุที่จำวัดอยู่ที่นี่รูปอื่นๆกำลังอ่านหนังสือ และติดตามข้อมูลข่าวสารในโลกอินเตอร์เนต


พวกเขาในตอนนี้ได้เข้าไปดูรูปเจ็ดเทพธิดาที่โพสต์เอาไว้โดยซูจิ้งในไมโครบลอค


พวกเขาจ้องมองเจ็ดเทพธิดาจนทำให้จิตในสั่นไหวจนทำให้โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ และพระรูปอื่นๆเองต่างก็เริ่มสงสัยว่าถ้าเจ้าอาวาสและเหล่าปรมาจารย์ได้เห็นภาพเจ็ดเทพธิดานี้เข้าจะเป็นเช่นไรกันบ้าง


เจ้าอาวาสและเหล่าปรมาจารย์เองเมื่อได้เห็นภาพเจ็ดเทพธิดาของซูจิ้งแล้วต่างก็นิ่งเงียบกันไปพักใหญ่


เมื่อผ่านไปซักพัก เจ้าอาวาสจึงได้เอ่ยถามแบบพูดลอยๆว่า “พวกท่านรู้สึกอะไรกันบ้าง”


ปรมาจารย์เชิงหยานเองก็นิ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ก่อนจะพูดออกมาว่า “ท่านเจ้าอาวาส ท่านลองถามซูจิ้งหน่อยได้รึเปล่าว่าเขานั้นฝึกจิตใจแบบไหนกันแน่


 


ถึงตอนนั้นเขาจะบอกว่าเขาใช้การฝึกที่ได้มาจากการศึกษาทั้งทางพุทธ เต๋า และเซนและนำมาปรับใช้เป็นของตัวเองก็ตาม ในตอนนั้นอาตมาเองก็หาได้เชื่อมากนัก แต่หลังจากเห็นภาพพวกนี้แล้วทำให้อาตมาเชื่อได้แล้ว”


เมื่อพูดเสร็จ ปรมาจารย์เชิงหยานได้ชี้ไปยังรูปของฉือชิงและกล่าวออกมาต่อว่า “ตอนที่เขาวาดภาพนี้เขานั้นใช้แนวคิดแห่งพุทธในการวาด แต่เป็นแนวคิดแห่งเต๋า”


เหล่าพระชั้นผู้ใหญ่ต่างพยักหน้าเห็นด้วยเช่นเดียวกัน


โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ และพระรูปอื่นเองก็เข้าใจในทันที่ว่าที่พวกเจ้าอาวาสและพระผู้ใหญ่รูปอื่นๆนั้นที่นิ่งไปนานไม่ใช่เพราะว่ารู้สึกหลงใหลแบบพวกเขา แต่เป็นการมองเห็นความจริงแท้นี่เอง


ปรมาจารย์เชิงหยานอยู่ก็หันไปหาเจ้าอาวาสด้วยสายตาที่กระจ่างใสและพูดออกมาว่า


 


“ถึงแม้ว่าคุณซูจะบอกว่าเขานั้นศึกษาวิถีพุทธแบบผิวเผินแต่กลับวาดรูปออกมาได้ลึกซึ้งขนาดนี้(หมายถึงรูปเทพธิดานางอื่นที่ไม่ใช่รูปของฉือชิง) แล้วหากคุณซูวาดรูปพระพุทธขึ้นมาล่ะ รูปนั้นก็น่าจะเหนือกว่ารูปพระพุทธทั่วไปใช่รึเปล่า”


เจ้าอาวาส โจวฮงหยวน และเสี่ยวไจ๋ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ สายตาของพวกเขาเป็นประกายวิบวับในทันที


ขอให้ซูจิ้งวาดรูปพระพุทธให้อย่างนั้นหรอมันช่างน่าสนใจมากเลยทีเดียว แต่ยังซะเรื่องนี้ก็ต้องมาว่ากันทีหลังอีกที


เพราะยังไงซะพวกเขานั้นรู้ดีว่าถึงซูจิ้งจะทำตัวดูสบายๆทำนู่นทำนี่เรื่อยเปื่อย แต่จริงๆแล้วเขานั้นยุ่งมาก


การที่เขามาเรียนเขียนภาพแบบนี้ก็สมควรเป็นวิธีการฝึกฝนทางจิตใจแบบหนึ่งของเขาก็เท่านั้นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)