Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 828-839

 GGS:บทที่ 828 อุปการะ


 


“นี่พี่สาวของฉันของฉันกลายเป็นลูกบุญธรรมของผู้ว่าการหู่จริงๆงั้นหรอ” เฉิงเสี่ยวหยุนเองตกใจไม่น้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้น


“น่าสนใจจริงๆ” เฉิงเสี่ยวฮงเองหัวเราะออกมาอย่างหนักก่อนที่จะหันไปมองพ่อของตัวเองด้วยรอยยิ้ม


“………” ผู้นำตระกูลเฉิงในตอนนี้ถึงกับพูดไม่ออก หากมองจากสีหน้าแล้วก็ดูเหมือนว่าตัวเขาเองนั้นจะรับไม่ได้ขึ้นมาจนต้องนิ่งไป


เขาเองในตอนนี้ได้หวนนึกถึงคำพูดของตัวเองที่เคยพูดเอาไว้ว่า จ้าวหยวนสิถึงจะเรียกว่าตระกูลจ้าวที่แท้จริง


มันมีความต่างกันอย่างมากระหว่างจ้าวหยวนกับจ้าวฉือหลงและจ้าวฉือเฟิง ดูก็รู้ว่าใครคือผู้มีอำนาจในตระกูลจ้าวอย่างแท้จริง


หากแกได้แต่งงานกับจ้าวหยวนก็ไม่ต่างจากได้กลายเป็นนายหญิงแห่งตระกูลจ้าวไปโดยปริยายแล้ว ยังไงซะการแต่งกับจ้าวหยวนย่อมดีกว่าการคอยติดตามซูจิ้งต้อยๆเป็นไหนๆ นี่สิถึงจะเรียกว่าตัวเลือกที่ดี


 


แต่ในตอนนี้เฉิงหนานได้กลายเป็นลูกบุญธรรมของหู่ซิงหมิงไปแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่แม้แต่การได้แต่งกับจ้าวหยวนก็ยังนำมาเทียบไม่ได้


เขานั้นย่อมรู้ดีว่าตระกูลหู่นั้นมีอิทธิพลในจังหวัดนี้ขนาดไหน ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังรู้ดีว่าซูจิ้งที่คอยยืนอยู่เคียงข้างเฉิงหนานในตอนนี้


ผู้ซึ่งพวกเขานั้นคิดมาตตลอดว่าเขานั้นเพียงแค่คนที่คอยเกาะขาตระกูลหวังเอาไว้ แต่ตัวซูจิ้งเองนั้นก็มีปูมหลังที่หาใครเทียบได้ยากยิ่ง เพียงสองอย่างนี้จ้าวหยวนไม่มีทางเทียบได้เลยแม้แต่น้อย


ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเรื่องที่ทำให้พวกเขาต้องขายหน้าอยู่อีก หู่ซิงหมิงเองได้พูดออกมาเฉิงหนานถูกขับไล่ออกจากตระกูลอย่างไม่ยุติธรรม นั่นก็หมายถึงว่าตระกูลเฉิงได้กลายเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลหู่เรียบร้อยแล้ว


 


หัวหน้าตระกูลเฉิงในตอนนี้เองนั้นเขาก็ได้อยู่ในอารมณ์ที่ยากจะบรรยาย เขานั้นไม่ได้รู้สึกผิดต่อเฉิงหนานเลยแม้แต่น้อย


เขาเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองได้ตัดสินใจพลาดไป เขานั้นไม่ควรบังคับเฉิงหนาน


เขาในตอนนี้กำลังครุ่นคิดอยู่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเฉิงหนานแล้วเขาต้องทำตัวยังไง


ไหนจะตระกูลเฉิงอีก เขานึกไม่ออกเลยว่าด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เขาควรจะคลี่คลายปัญหานี้แบบไหนที่ดีที่สุด


 


“ไอ้เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้ยังไงกัน ออกไปวิ่งออกกำลังกายแล้วหมดสติจนมีคนมาพบแล้วช่วยไว้


พอคุยถูกชะตาแล้วตอบแทนด้วยการรับเป็นลูกบุญธรรมแบบนี้อ่ะนะ มีแต่ในนิยายน้ำเน่าเท่านั้นแหล่ะ”


ซุนหยูเฮงในตอนนี้ถึงแม้ภายนอกยังดูสงบ แต่ภายในใจของเขานั้นพยายามวิเคราะห์เรื่องราว


เฉิงหนานคือคนของซูจิ้งแต่เธอก็ได้ถูกรับให้เป็นลูกบุญธรรมไปแล้ว


กับเขาที่เพียงเชิญหลินฉีหยูมาอวยพรวันเกิดได้ ต่อให้เป็นคนโง่ก็รู้ได้เลยว่าใครจะมีโอกาสสร้างสัมพันธ์กับผู้ว่าการหู่มากกว่ากัน


 


เรื่องนี้นอกจากจะทำให้ตระกูลหลิว ตระกูลเกา และคนอื่นๆต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยาไปเรียบร้อยแล้ว มีเพียงหวังซือหยาและเตียนจงยี่เท่านั้นที่ยิ้มร่าออกมา ช่างเป็นเรื่องประหลาดใจที่พวกเขาไม่มีทางคาดฝันเลยแม้แต่น้อย


พวกเขาในที่สุดก็เข้าใจซักทีว่าทำไมซูจิ้งถึงกล้วที่จะเอาสมบัติของเขามาโชว์ในงานนี้โดยไม่เกรงกลัวอำนาจของหู่ซิงหมิงเลยแม้แต่น้อย ไม่กลัวแม้แต่เป็นการบั่นทอนสายสัมพันธ์ที่ยังไม่เกิดเสียด้วยซ้ำ


นั่นก็เพราะว่าเทียบกับเรื่องของเฉิงหนานแล้ว จำเป็นต้องมีของขวัญอื่นใดด้วยอย่างนั้นหรอ


“อาจิ้ง ทำไมนายไม่บอกอะไรพวกฉันไว้เลยเนี่ย ทำเอาซะกังวลอยู่ตั้งนาน” หวังซือหยาได้หยิกซูจิ้งไปหนึ่งที


 


“ฮี่ฮี่ บอกก็ไม่แปลกใจกันน่ะสิ” ซูจิ้งยิ้มออกมา


“ไม่มีทางที่จะมีทหารอ่อนแอภายใต้ผู้นำที่เข้มแข็งจริงๆ ผมเองก็คิดไม่ออกเลยว่าผู้นำอย่างคุณซูจะไปได้ไกลถึงขนาดไหนในอนาคต”


เตียนจงยี่อดไม่ได้ที่จะพูดคำนี้ออกมา ในที่สุดความกังวลในใจของเขาก็ได้หายไปจนหมดสักที


“ผมเองก็อยากได้ผู้จัดการดีๆแบบนั้นเหมือนกันน้า…” ถังฮ่าวได้พูดความในใจของเขาออกมาด้วยรอยยิ้ม


ชายอ้วนวัยกลางคนที่อยู่ถัดจากเตียนจงยี่เองก็ได้พูดออกมาว่า


“ผมเองก็อิจฉาคุณซูเช่นกัน ก่อนหน้านี้ผมเองก็ยังกังวลเกี่ยวกับความร่วมมือระหว่างเตียนจงยี่และคุณซูไม่น้อยเลย แต่พอรู้ว่าคุณซูเองก็มีไพ่ลับอย่างนี้อยู่ในมือ ผมเองก็ได้รู้แล้วว่ากังวลจนเกินไปตอนนี้ผมวางใจได้แล้วล่ะ”


 


ไม่นานนัก ณ บริเวณพื้นที่ตระกูลหู่ ซูจิ้ง หวังซือหยา และเตียนจองยี่ได้นั่งพูดคุยอยู่กับหู่ซิงหมิงและเฉิงหนานอย่างสนุกสนาน อย่างที่คาดไว้เรื่องการรับบุตรบุญธรรมนี้ไม่ว่าของขวัญชิ้นไหนก็ไม่มีสิ่งใดเทียบได้


แต่ในวงสนทนานี้เฉิงหนานนั้นรู้สึกอารมณ์เสียมากกว่าใครๆ ต่อให้จะมีใครเสียดาย เสียใจ อิจฉา และริษยาแค่ไหน แต่กับเธอแล้วด้วยสถานการณ์ในตอนนี้เอาจริงๆเธอเองก็ยังทำตัวไม่ถูกแม้แต่น้อย


กับไอ้สถานการณ์การไปเผอิญได้ช่วยหู่ซิงหมิงเอาไว้โดยบังเอิญจนได้กลายเป็นเพื่อคู่คิดตั้งแต่แรกเห็น เรื่องแบบนี้จะไปมีบนโลกแห่งความจริงได้ยังไงกัน หากไม่ได้เจอกับตัวเองล่ะก็ไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเป็นยังไง


 


เวลาผ่านไปจนงานเลี้ยงสิ้นสุดลง หลายคนเองก็ยังคงพูดคุยกันอยู่


ซูจิ้ง เฉิงหนาน หวังซือหยา และเตียนจงยี่ได้เดินออกไปจากงาน ในระหว่างนี้มีแขกในงานมากมายได้พยายามแนะนำตัวพร้อมกับยื่นนามบัตรให้ แน่นอนว่ารวมถึงตระกูลลู่และตระกูลเกาด้วย


สำหรับตระกูลเฉิงและตระกูลหวู่นั้นในตอนนี้ไม่มีหน้าจะมาเสนอต่อเฉิงหนานแม้แต่น้อย พวกเขาต่างก็รู้สึกอึดอัดอย่างมากจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกเลยทีเดียว


“แป๊บนึงนะ เดี๋ยวฉันขอไปห้องน้ำหน่อย” ซูจิ้งพูดพร้อมกับวิ่งแยกออกมาจากหวังซือหยาและเฉิงหนาน


อย่างไรก็ตามแทนที่เขาจะวิ่งไปทางห้องน้ำเขากลับเดินเข้าไปในห้องๆหนึ่ง ที่นั่นมีชายแก่คนหนึ่งรอคอยเขาอยู่ คนๆนั้นก็คือหู่ซิงหมิง


“นายท่าน” หู่ซิงหมิงคุกเข่าลงเมื่อเขาได้เห็นซูจิ้ง


“ดี แต่ไม่ต้องมากพิธีไปแบบนี้อีก ในอนาคตเรียกฉันแค่คุณซูหรือไม่ก็หนุ่มน้อยก็พอ และต่อหน้าธารกำนัลอย่างคืนนี้พวกเรานั้นจะไม่รู้จักกันดีขนาดนี้” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ครับ” หู่ซิงหมิงพยักหน้ารับแต่โดยดี


หากมีใครมาเห็นฉากนี้เข้าอย่างเช่นซุนหยูเฮง หวู่ฉิงติง เฉิงเสี่ยวฮง หรือไม่ว่าใครก็ตาม


คนพวกนั้นสมควรจะอ้าปากกว้างจนแตะยอดอกได้อย่างแน่นอน เพราะเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าการรับเฉิงหนานเป็นบุตรธรรมเป็นไหนๆ


ใช่แล้ว หู่ซิงหมิงคนนี้คือหนึ่งในสิบคนที่ถูกยิงโดยสแตนด์ของเจียฉือหลง


 


ไม่ว่าจะเป็นการให้ของขวัญ หรือใช้เฉิงหนานในการผูกสัมพันธ์ ทุกอย่างล้วนแล้วไม่มีความจะเป็นแต่อย่างใด


นั่นก็เพราะโดยไม่มีใครรู้หู่ซิงหมิงได้กลายเป็นทาสของซูจิ้งตั้งนานแล้ว เขามีความจำเป็นอะไรที่ต้องไปผูกสัมพันธ์อีกกัน


การที่วันนี้หู่ซิงหมิงนั้นไม่ยอมรับของขวัญจากซูจิ้งนั้น มันก็แค่เรื่องที่เขาสร้างขึ้นเพื่อเป็นการเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของหู่ซิงหมิงและเพื่อโฆษณาสินค้าของเขาแค่นั้นเอง


แต่สิ่งที่อาจจะคอยกวนใจเขาในตอนนี้มากที่สุดก็คือเรื่องของเฉิงหนาน เขานั้นไม่ได้กลัวว่าคนตระกูลหู่จะไม่ยอมรับเฉิงหนานแต่อย่างใด แต่เขากลัวว่าตระกูลเฉิงจะเล่นตุกติกซะมากกว่า


นั่นก็เพราะว่าการที่มีตระกูลอื่นมารับคนที่ถูกขับไล่ออกจากตระกูลของพวกเขาไปแบบนี้จะทำให้พวกคนที่มีแนวคิดเรื่องตระกูลแบบหัวโบราณจะถือว่าเสียหน้าอย่างมาก


อาจจะถึงขั้นออกมาคัดค้านการรับเฉิงหนานเข้าตระกูลหู่เลยก็ได้


ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องแบบนี้ยังถือได้ว่าทำให้ประวัติตระกูลต้องเสื่อมเสียเพราะเรื่องนี้ยังไงซะก็ได้ประกาศออกไปแล้ว


อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก เพราะด้วยความสามารถของเขา บวกกับผู้มีอำนาจที่ถูกควบคุมเอาไว้ทั้งสิบคน มีอะไรที่เขาต้องกลัวอีกกัน


ดีไม่ดีเพราะเรื่องที่คนพวกนั้นก่อเอาไว้มันน่ารังเกียจมากซะจนบางทีเขาเองอาจจะไม่ต้องทำอะไรก็มีคนออกตัวแทนเขาเองไปก่อนเสียด้วยซ้ำ


 


ซูจิ้งได้สั่งการหู่ซิงหมิงไปอีกสองสามอย่างก่อนที่จะจากมา เพราะตอนนี้เขายังไม่มีเรื่องอะไรที่ให้หู่ซิงหมิงต้องทำมากนัก


เมื่อเขากับมาก็ได้เห็นเฉิงหนาน หวังซือหยา ยืนคุยกันอยู่กับเตียนจงยี่เพื่อรอเขาเพราะพวกเขานั้นคิดว่าซูจิ้งไปแค่ห้องน้ำจริงๆ


หลังจากพูดคุยกันแล้วหวังซือหยาและเตียนจงยี่นั้นได้แยกกันไปเพราะขับรถของตัวเองมากัน เหลือเพียงเฉิงหนานและซูจิ้งเท่านั้นที่ยังอยู่คุยต่อ


เฉิงหนานได้แสดงท่าทางที่ยากจะอธิบายออกมา ซูจิ้งเห็นดังนั้นจึงได้พูดกับเฉิงหนานออกมาว่า “ถ้ามีอะไรอยากจะถามก็ถามมาได้เลย”


“คุณกับผู้ว่าการหู่มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่” เฉิงหนานถามออกมาอย่างตรงประเด็น


“คนของฉัน” ซูจิ้งสามารถอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนนี้ได้โดยใช้คำอธิบายเพียงสามคำเท่านั้น


เฉิงหนานเองก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดได้ในทันทีและเธอก็ได้พยักหน้ารับ นั่นก็เพราะว่าการที่จะทำให้คนอย่างผู้ว่าการหู่ยอมเล่นละครใหญ่โตขนาดนี้ได้จำเป็นที่จะมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาเลย


แต่เธอเองก็นึกไม่ออกจริงว่าซูจิ้งกับผู้ว่าการหู่นั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกันแน่ เพราะต่อให้สนิทกันยังไงก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างแน่นอน


ความจริงนั้นเธอก็ได้คิดเรื่องแนวๆนี้ไว้เหมือนกันแต่ด้วยการที่มีกฎเข้มงวดเรื่องการคบค้าสมาคมระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐและตระกูลต่างๆ


และดูเหมือนผู้ว่าการหู่เองก็ไม่ได้รู้จักหวังซือหยาดีแต่อย่างใดนั่นทำให้เธอไม่คิดถึงเรื่องนี้


“ขอบคุณนะ” เฉิงหนานในตอนนี้ไม่รู้จะพูดคำไหนออกมาได้เพราะว่าในตอนนี้ใจเธอมีแต่คำนี้ๆ


“เรื่องง่ายๆน่า แล้วก็ถ้าคุณพี่สาวแสนสวยมีอะไรติดขัดแม้แต่น้อยก็บอกฉันได้เสมอเลยนะ” ซูจิ้งพูดเสร็จแล้วเขาก็ได้ขับรถออกมา เฉิงหนานเองก็ได้จ้องมองซูจิ้งจนลับสายตา ตอนนี้เธอได้ยิ้มหวานออกมาอย่างมากพร้อมพูดออกมาลอยๆว่า “ถึงจะยังหนุ่มแต่ก็เป็นที่พึ่งพาได้จริงๆสินะ”



GGS:บทที่ 829 คนนำทาง


 


หลังจากซูจิ้งกลับถึงบ้านแล้ว เขาได้ตรงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯทันที อย่างแรกที่เขาทำเมื่อถึงที่นี่นั่นก็คือดูค่าการใช้ประโยชน์


เขาได้เห็นแล้วว่าค่าการใช้ประโยชน์ในตอนนี้อยู่ที่ 3,800 หน่วย และยังคงเพิ่มต่อไปเรื่อยๆ


อัตราที่เพิ่มขึ้นนี้สูงกว่าตอนที่เขาถ่ายภาพหัวใจพระสูตรและพระพุทธปล่อยลงอินเตอร์เนต และตอนที่อัญเชิญพระอจละไปวัดยังวัดหลานเล่อเพื่อให้ผู้คนไปนมัสการซะอีก


นี่เป็นการบ่งบอกว่าวิธีการของเขาถูกต้องแล้ว หากเขายอมขายไปตรงๆล่ะก็ต้องกลับมานั่งเสียใจทีหลังอย่างแน่นอน


ก่อนหน้านี้ที่เขาได้เผยแพร่หัวใจพระสูตรและพระพุทธ พร้อมทั้งเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่งออกไปนั้น


ถึงแม้ค่าการใช้ประโยชน์ที่ได้จากส่วนนี้เริ่มลดลงแล้วก็ตาม


แต่เมื่อใดที่เขาถูกพูดถึงก็มักจะมีคนกล่าวถึงสมบัติและวิชายุทธ์นี้อยู่บ่อยครั้ง


เช่นเดียวกับครั้งนี้ที่วีดิโอของเขาและสมบัติถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เนต ทำให้เหมือนกับเป็นการกระตุ้นการสร้างค่าการใช้ประโยชน์ขึ้นมาอีกทางหนึ่ง


นอกจากนี้ทางสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯของเขาในตอนนี้ได้ขยายมากกว่าเดิมประมาณ 10 เท่าไปแล้ว


นั่นทำให้ความสามารถในการผลิตปฏิสสารของเขาตอนนี้อยู่ที่ 0.06 กรัมต่อเดือน โดยต้องผลาญเงินตกเดือนละ 1.8 พันล้านหยวน


 


เหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาสามารถขยายสถาบันวิจัยได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้นั้นมาจากผงเม่ยหยาน(ผงเสริมความงาม) ผงเสริมทรวงอก แผงพลังงานแสงอาทิตย์ ร้านเสื้อผ้าของฉือชิง และผลิตภัณฑ์ต่างๆของเขานั้นได้เป็นที่นิยมในตลาดอย่างล้นหลามจนทำให้เขามีรายรับต่อเดือนอยู่ที่ 1 พันล้านหยวน


ซึ่งถือได้ว่ามากกว่าเงินที่เขาได้มาจากการขายสมบัติจากกองขยะห้วงเวลาฯของเขาเมื่อปีก่อนซะอีก นี่ขนาดว่าเขาต้องจ่ายค่าดำเนินการของระบบในราคาสูงนะเนี่ย


เพียงไม่ถึงเดือนดี เขานั้นมีปฏิสสารเก็บสำรองไว้อยู่ที่ 0.052 กรัม นี่คือจำนวนที่เหลือจากการเผาและย่อยสลายขยะไปเรียบร้อยแล้ว เทียบกับก่อนหน้านี้ที่จำนวนที่เหลืออยู่นั้นแทบจะไม่เพียงพอเลย


ในตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่าหากเขาต้องการจริงๆล่ะก็ เขานั้นสามารถจะขยายสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาได้ทุกเมื่อที่เขาต้องการ


เพียงแต่ตอนนี้เขายังเลือกที่จะไม่ขยายออกไปต้องการเก็บสำรองปฏิสสารเอาไว้ก่อน


เขาเองก็ได้อธิบายกับฉิงหยุนไปแล้วว่าเขานั้นพร้อมจะขยายก็ต่อเมื่อสามารถหยุดการเทลงมากองของขยะห้วงเวลาฯก่อนเท่านั้นเอง เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว เขาพร้อมที่จะขยายสถานีฯแห่งนี้ในทันที


เหตุผลก็คือเมื่อเทียบกับค่าการใช้ประโยชน์ที่เขามีอยู่ในตอนนี้ถือได้ว่าจำนวนปฏิสสารที่เขาเก็บเอาไว้นั้นมันช่างต่างกันราวกับฟ้าและเหว


 


ตอนนี้ซูจิ้งพยายามเรียนรู้การทำงานของระบบคำนวนค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มเติม


เขานั้นกำลังหาวิธีที่ในการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์การสร้างความสมดุลในธรรมชาติด้วยขยะห้วงเวลาฯของเขา เพื่อที่จะได้รับค่าประโยชน์จากปัจจัยในวงกว้าง


เหตุผลที่เขามีความคิดนี้ขึ้นมานั่นก็เพราะตอนนี้ถึงแม้ว่าค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาได้นั้นจะค่อยเพิ่มสูงขึ้นก็จริง แต่มันก็สมควรจะเป็นแค่ในระยะสั้นๆเท่านั้น หากขาดการกระตุ้นก็ยากที่จะเพิ่มค่าเหล่านี้ได้ ซึ่งเขาเองก็ขี้เกียจจะคอยยุ่งยากทำเรื่องแบบนี้บ่อยๆ


กลับกันหากเขาใช้ขยะห้วงเวลาฯไปทำให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในระบบสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดี


ถึงแม้ในระยะสั้นค่าใช้ประโยชน์จะไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ยังไงซะมันถือว่าเป็นการลงทุนในระยะและเขาเองก็สมควรจะไม่จำเป็นที่จะต้องคอยออกสื่อบ่อยๆแบบนี้


และจะให้ดีที่สุดก็คือเขาจะต้องหาวิธีการในการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์และเพิ่มเงินที่ใช้ในการผลิตปฏิสสารไปพร้อมๆกัน


 


สองวันต่อมา ซูจิ้งและหวังซือหยาได้เซ็นสัญญากับเตียนจงยี่และได้กลายเป็นหุ้นส่วนกันอย่างเป็นทางการ


 


มีหลายคนที่โทรมาหาซูจิ้งเพื่อที่จะพยายามของซื้อสมบัติของซูจิ้ง แต่ซูจิ้งก็หาได้สนใจพวกเขาแต่อย่างใด เขานั้นได้ส่งมอบสมบัติทั้งหมดไปยังหอประมูลห้วงเวลาฯ นั่นคือที่ที่เหมาะที่สุดแล้วที่เขาจะได้ชื่อเสียงจากของเหล่านั้น


ต่อมานาหลันเฟยและเลาชงได้โทรหาซูจิ้งเพื่อกล่าวขอบคุณเขาที่เขาช่วยเหลือทั้งสองคนจากเรื่องของมนุษย์แมงมุมที่พวกเขาโดนตีตราจากสังคมอย่างหนักจากการที่ทั้งสองยืนหยัดอยู่ข้างมนุษย์แมงมุมจนสุดความสามารถ


ถึงแม้ว่าผอ.ของSARFTจะเป็นคนที่ช่วยทั้งสองในท้ายที่สุดก็ตาม


ตอนแรกทั้งสองก็คิดเพียงว่าเป็นเรื่องของโชคเข้าข้างเท่านั้น


แต่เมื่อสองวันการพวกเขาเองก็ได้ดูวีดิโอการถ่ายทอดงานเลี้ยงนั้นเหมือนกัน


และพอพวกเขาได้ยินมาว่าภรรยาของ ผอ.SARFTตั้งครรภ์เพราะได้ซูจิ้งช่วยรักษาภาวะมีบุตรยากให้


พวกเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าเป็นซูจิ้งที่อยู่เบื้องหลังการช่วยเหลือนี้


ถ้าหากมีคนรู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็ ซูจิ้งนี้น่าจะได้หน้าไม่น้อยเลย


 


ในระหว่างนี้ เหล่าสมบัติของซูจิ้งทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นหัวใจพระสูตรและพระพุทธ เพลงหมัดวัวคลั่ง องค์พระอจละ และสมบัติอย่างอื่น ต่างก็ช่วยทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ฯของฉิงหยุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อย


ตอนนี้ซูจิ้งหาได้ใส่ใจกับค่าการใช้ประโยชน์ฯที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด


ตอนนี้เขาได้เตรียมตัวจะก้าวไปยังขั้นตอนต่อไปของแผนการของเขา


เริ่มจากการส่งหอยลายเสือไปยังทะเลทรายของเกาะทะเลทราย และได้สะกดจิตให้ปลาเขี้ยวหยกจำนวนมากคอยพิทักษ์ปกป้องหอยลายเสือ และควบคุมไม่ให้ปลาเขี้ยวหยกรุ่นหลังมาโจมตีหอยลายเสือได้


นอกจากนั้นเขายังได้คุยกับซูเหลียงและซูเสี่ยวหลินให้พวกเขาเตรียมพื้นที่ในการเพาะพันธุ์หอยลายเสือ เพื่อให้เขามีสมบัติมากขึ้นยิ่งกว่าเดิม


แน่นอนว่า เขาเองก็ต้องสงวนสายพันธุ์หอยลายเสือของเขาเอาไว้อย่างดีเช่นเดียวกัน เพราะหอยที่มีความล้ำค่าขนาดนี้ต้องมีหลายคนละโมบอยากได้อยู่แล้ว


ต่อให้คนงานไม่ขโมย แต่ก็ยังมีโอกาสที่หอยพวกนี้จะว่ายหนีออกไปได้อยู่ดี


 


หลังจากซูจิ้งเสร็จงานส่วนนี้ไปแล้ว ซูจิ้งยังได้ให้เสี่ยวไป๋ดำเนินการฟื้นฟูเศษซากขยะห้วงเวลาฯต่อไป แต่เขาก็ไม่ได้พบอะไรที่มีค่าเพิ่มเติม


หลังจากที่เสร็จงานตามแผนของเขาแล้ว ซูจิ้งวางแผนที่จะศึกษาสมุดบันทึกที่เขาได้เจอมาก่อนหน้านี้


ซูจิ้งได้ประเมินคร่าวๆว่าสมุดบันทึกเล่มนี้สมควรจะทำขึ้นด้วยเหตุผลที่คล้ายๆกับหัวใจพระสูตรและพระพุทธ นั่นก็คือมีวัตถุประสงค์ในการใช้ฝึกฝน และดูจากลักษณะลายมือแล้วเขาเข้าใจว่ามาจากคนเดียวกัน และผู้ที่เป็นเจ้าของสมุดบันทึกเล่มนี้พอเขาดูๆไปแล้วค่อนข้างมีทักษะในการเขียนและเข้าใจหลักของวิชาได้อย่างถึงแก่น


แต่ก็ดูเหมือนว่ายังเป็นแค่การลอกเลียนแบบเสียมากกว่าจะเป็นการเข้าใจเองเช่นเดียวกัน


 


ซูจิ้งได้ลองพิจารณาสมุดบันทึกเล่มนี้อย่างถี่ถ้วนและเคร่งเครียดจนต้องขมวดคิ้วจนต้องพูดออกมาลอยๆว่า “สมุดบันทึกเล่มนี้เต็มไปด้วยรายละเอียดชนิดที่ถี่ยิบเลยแหะ แต่ก็อีกล่ะนะคนผู้นี้แต่ให้มีทักษะเพลงยุทธ์สูงยังไงแต่คนนี้เองก็ไม่ได้มีฝีมือในการใช้พู่กันและลายเส้นเลยแม้แต่น้อย”


สำหรับเรื่องฝีมือในการใช้พู่กันและลายเส้นนั้นซูจิ้งเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนมาจากที่ไหน แต่เขาฝึกฝนเองเสียมากกว่า


หรือต่อให้ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมเขาก็จะหาดูจากในอินเตอร์เน็ตมากกว่าการจะไปศึกษาโดยตรง


ถึงแม้มันจะดูกักขฬะไปบ้างแต่ว่ามันก็ได้ผลดีสำหรับเขาก็พอแล้ว


เอาจริงๆแม้ว่าเขาจะอยากเรียนขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ยังไม่เคยเจอปรมาจารย์คนไหนในโลกที่ดูมีแววพอสอนเขาได้เลย


“ในมือของฉัน…ในสายตาของเธอ… จะมีที่ไหนที่เหมาะสมกับเราสอง ที่ที่มีต้นหญ้าเขียว…. ”


เสียงเพลงจากโทรศัพท์ได้ดังขึ้นมา ซูจิ้งมองดูเมื่อเห็นเป็นหวังซือหยาเขาก็ได้รับสายในทันที


“อาจิ้งอยู่บ้านรึเปล่าเนี่ย” หวังซือหยาถามออกมา


“อยู่” ซูจิ้งตอบ


“นายจำเชิงชิเหยาได้รึเปล่า” หวังซือหยาถามออกมา


“นางแบบขาคนนั้นใช่รึเปล่า ถ้าใช่ก็คือฉันจำได้นะ มีอะไรหรอ” ซูจิ้งถามออกมา


“เห้อะ นี่นายจำได้แต่ขาของเธอใช่ไหมเนี่ย” หวังซือหยาหัวเราะออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนนี้ชิเหยากับเพื่อนกำลังจะไปที่ชายหาดของเมืองฉิงหยุนเพื่อวาดน้ำและวาดรูปน่ะ ถ้านายว่างก็ช่วยพาเธอเที่ยวหน่อยสิ”


“ว่างอยู่นะตอนนี้มาถึงกันรึยังล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบรับอย่างรวดเร็ว เขาเองก็มีความรู้สึกดีๆให้เชิงชิเหยาไม่น้อยเหมือนกันเพราะว่าเธอนั้นก็สวยไม่น้อย แต่ยังไงซะเขาเองก็ไม่ใช่คนที่ไร้คู่ครอง


เมื่ออยู่ต่อหน้าเธอเขาเองก็เป็นเพียงสุภาพบุรุษและคนที่ดูดีคนหนึ่งแค่นั้นเอง


อีกอย่างเขาเองก็สนิทกับซือหยาอยู่แล้ว หากมีคนของซือหยามาในถิ่นของเขา เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาต้องเป็นคนดูแล


อย่างน้อยเขาก็น่าจะพอเป็นคนพาเที่ยวประจำถิ่นนี้ได้อยู่แล้ว แถมช่วงนี้เขาเองก็ทำงานหนักจนอยากหาเวลาพักผ่อนเหมือนกัน


“พวกเธอน่าจะใกล้ถึงแล้วล่ะ งั้นเดี๋ยวฉันส่งเบอร์มือถือของชิเหยาไปให้ละกัน” หวังซือหยาพูดเสร็จก็ได้วางสายไป หลังจากนั้นเธอก็ได้ส่งข้อความมาเป็นเบอร์โทรของชิเหยาให้กับซูจิ้ง เพื่อจะได้โทรหากันได้โดยตรง


เมื่อเขาได้เบอร์มาแล้วเขาก็ได้รีบโทรไปทันทีเพื่อไม่ให้คลาดกัน แต่กลายเป็นว่าเมื่อโทรไปแล้วกับไม่มีสัญญาณ ไม่ว่าจะโทรซ้ำกี่ครั้งก็ไม่มีสัญญาณอยู่ดี


 


ซูจิ้งเริ่มรู้สึกแปลกใจขึ้นมา ต่อให้พวกเธอไปถึงที่ชายหาดแล้วที่นั่นยังไงก็มีสัญญาณแน่ๆ แถมเสาโทรศัพท์ก็ยังอยู่ตรงนั้นอีกด้วย


เขาได้รีบไปที่ชายหาดในทันที ที่นั่นถือได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่หนึ่งในเมืองฉิงหยุน


เขาได้ลองถามคนแถวนั้นดู ต้องขอบคุณความสวยของเชิงชิเหยาทำให้มีคนจำเธอได้อย่างฝังใจตั้งแต่แรกเห็น


จนในที่สุดเขาไปเจอร่องรอยว่าพวกเธอได้ไปเช่าเรือแล้วขับออกไปในทะเล ทำให้ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจมากนัก



GGS:บทที่ 830 ผีร้ายแห่งเกาะทะเลทราย


 


ในเรือยอร์ชลำหนึ่งได้มีบรรดาคนหนุ่มสาวอยู่เต็มเรือ โดยมีชายหนุ่มหน้าจีนแท้ๆอยู่คนหนึ่งและหญิงงามอีกสามคน


ชายหนุ่มคนนั้นเป็นคนขับเรือ และหญิงสาวสวยซะจนเหมือนกับหลุดมาจากอีกมิติหนึ่งนั้นเป็นผู้โดยสาร มีสาวสวยคนหนึ่งที่ย้อมผมสีเหลืองคล้องแขนของคนขับเรือด้วยท่าทางสนิทสนม


หญิงสาวอีกสองคนคนหนึ่งใส่ชุดว่ายนี้แบบเต็มตัว ที่มีรูปร่างสูงและหุ่นดีจนดูเซ็กซี่น่ามองตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรียวขาที่ตรงสวยและขาวนวลราวกับหิมะน่าหลงไหล เธอได้ใส่ชุดว่ายน้ำบิกินี่แบบผูกข้าง และได้ผูกผ้าลูกไม้คาดเอวไว้เพื่อไม่ให้ดูโป๊จนเกินไป แน่นอนว่าสาวงามผู้นี้ก็คือเชิงชิเหยา


 


“วู้…..” สาวหัวทองได้ร้องออกมาอีกครั้ง


“พี่ตง พี่จะเสียดังไปรึเปล่าเนี่ย” สาวน้อยคนหนึ่งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“จูน้อย เธอกล้ามากเลยนะที่มาหาว่าฉันเสียงดัง” สาวหัวทองได้เดินเขาไปหาสาวน้อยพร้อมทั้งทำการลูบไล้มือของเธอพร้อมทั้งจิกเล็บให้เกิดเป็นรอยแดงๆน้อยๆ


รอยแดงลากยาวจนมาถึงหน้าอกของเธอเล็กน้อยประหนึ่งดั่งสาวน้อยคนนี้กำลังถูกตาลุงหื่นกามลวนลามอยู่


สาวน้อยได้ร้องออกมาพร้อมรีบดันตัวเองไปอยู่หลังเชิงชิเหยา


ซึ่งสำหรับเธอแล้วเธอโดนจนชินเรียบร้อยไปแล้ว


“นี่อย่าเล่นกันแรงขนาดนี้สิ เดี๋ยวได้มีการตกเรือกันมั่งหรอก” เชิงชิเหยาได้หัวเราออกมาอย่างสบายอารมณ์ก่อนที่จะหันไปพูดกับคนขับเรื่อว่า “นี่อาฮู่ อย่าขับออกมาไกลนักจะได้ไหมเนี่ย นี่ไกลจนไม่มีสัญญาณมือถือแล้วนะ”


“จ้า จ้า ขอขับออกไปอีกหน่อยนะ กำลังเพลิน” สาวน้อยผมทองพูดออกมา


เมื่อเชิงชิเหยาได้เห็นว่าพวกเขากำลังเพลิดเพลินจนไม่สนอะไร ก็เลยทำได้แค่ปล่อยเลยตามเลยไป


“ชิเหยา ดื่มโค้กนี่สิ” ชายร่างสูงคนหนึ่งเปิดกระป๋องโค๊กแล้วยิ่นให้ชิเหยาอย่างนิ่มนวล


“ขอบใจ” เชิงชิเหยารับโค๊กมาดื่ม


“พี่จิง แค่ยื่นโค๊กให้ชิเหยานี่จะเก๊กไปทำไมกันเนี่ย” สาวน้อยอีกคนหนึ่งได้พูดออกมาด้วยท่าทางหมั่นเขี้ยว


“พี่จิงยี่สนแต่คนอื่นไม่สนน้องตัวเองเลยนะ” สาวผมทองพูดแซวขึ้นมา


“แค่ก นี่ของน้องเอาไปเลยไป๊” ชายร่างสูงเองก็ยิ้มเขินๆเล็กน้อย ก่อนที่จะเปิดโค้กอีกสามกระป๋องและยื่นให้สายน้อย สาวผมทอง และสาวอีกคนที่ดูน่ารักหน่อยๆ


 


หลังจากเรือได้แล่นไปได้ซักพัก พวกเขาก็ได้เห็นเกาะๆหนึ่งอยู่ไกลริบตา เหล่าสาวๆทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะร้องวี๊ดว้ายพลางชี้ไปทางเกาะที่ปรากฏออกมา


เมื่อเห็นท่าทางของสาวๆแล้ว เชิงชิเหยาและชายร่างสูงก็ได้แต่ยิ้ม พลางนึกถึงราวกับว่าได้ค้นพบประสบการณ์ใหม่ๆในชีวิต


 


“นี่นี่ไปที่เกาะนั่นกันเถอะ ฉันได้กลิ่นการผจญภัยล่ะ”


“นี่มันน่าตื่นเต้นดีจริงๆ”


“ไปที่ฝั่งกัน” สาวน้อยผมทองทำท่าราวกับกำลังจะได้เล่นอะไรแผลงๆซักที


“จะไม่เป็นอะไรหรอ” สาวน้อยอีกคนทำท่ากังวล


“พูดอยากนะ เพราะดูจะสภาพคร่าวๆนี่เกาะสมควรเป็นเกาะทะเลทราย ถ้ากังวลล่ะก็อย่าเข้าไปใกล้เลยดีกว่า ยังไงซะเกาะทะเลทรายแบบนี้น่าจะมีอันตรายอยู่จริงๆ พวกเราเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาด้วยสิ” เชิงชิเหยาพูดออกมา


“พี่จิง พี่คิดว่าไงล่ะ” ชายหนุ่มที่เป็นคนขับเรือถามขอความเห็น


“ฮ่าฮ่า ฉันเห็นด้วยกับชิเหยานะ” ชายร่างสูงพูดออกมา คนอื่นๆเองก็ทำได้แต่มองเขาแบบหน่ายๆ


เพราะทุกคนรู้ว่าจิงยี่นั้นชอบเชิงชิเหยาและเอาใจเธอทุกอย่าง ฉะนั้นอะไรก็ตามที่ชิเหยาต้องการ


ไม่มีทางที่พี่จิงจะไม่เห็นด้วย ก็ไม่แปลกทีเขาจะหลง นั่นก็เพราะชิเหยาสวยขนาดนี้


“จิงหง นายไม่ต้องมาทำเป็นเอาใจฉันก็ได้” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ไม่ได้เอาใจซะหน่อย ฉันคิดแบบนั้นจริงๆต่างหาก ถ้าเป็นเกาะอื่นๆล่ะก็ต่อให้พวกนี้ไม่อยากฉันก็จะถีบลงจากเรือเองล่ะ


แต่นี่ไม่ใช่ นี่คือเกาะทะเลทราย ฉันบอกได้ทันทีเลยว่ายังไงที่นี่ก็มีอันตราย


ฉันเป็นทหารนะ ถ้าเป็นเกาะธรรมดาต่อให้อันตรายยังไงฉันก็ช่วยพวกเธอไว้ได้แน่นอน โดยเฉพาะเธอ ชิเหยา”


ชายหนุ่มร่างสูงยิ้มออกด้วยความมั่นใจอย่างเต็มภาคภูมิ เขามั่นใจจริงๆว่าจะทำได้อย่างที่พูดแน่นอนเพราะว่าเขาเป็นถึงหน่วยรบพิเศษ


แต่เขาไม่อยากมาเสียเวลากับเรื่องเดิมๆที่ปกติเขาก็ต้องเจออยู่แล้ว สู้เอาเวลานี้ไปเข้าหาชิเหยายังดีกว่าเยอะ อีกอย่าง ถึงแม้เขานั้นจะมีประสบการณ์ก็จริง แต่ยังไงซะกับคนทั่วไปแล้วไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลยสักนิด


“ใช่แล้วล่ะ พี่จิงอยู่จะต้องไปกลัวอะไร” สาวน้อยผมทองพูดออกมา


“เฮ้อออ ก็ได้” เชิงชิเหยาไม่อยากจะต่อความยาวสาวความยืดอีกต่อไป ถึงแม้เธอจะรู้สึกไม่ดีที่จะทำกันแบบนี้


แต่เมื่อเทียบกับต้องมานั่งรบรากับบรรดาเด็กน้อยพวกนี้เธอเองก็ไม่ไหวเหมือนกัน เธอจึงเลือกที่จะยอมแพ้ไปและทำได้แค่ยินยอมแกมโดนบังคับทางอ้อม


 


พวกเขาได้ขับเรือยอร์ชไปรอบๆเกาะเพื่อหาทำเลที่เหมาะสม เมื่อพวกเขาเห็นชายหาดแห่งหนึ่งที่ดูพอใช้ได้


พวกเขาก็ได้ขับเรือแล่นเข้าไปและลงสมอจอดเรือไว้ที่แห่งนี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้ใช้เรือเล็กพายกันไปยังที่ชายหาด


ถึงแม้จะบอกว่าหาด แต่หาดนั้นก็แทบจะเรียกได้ว่าป่าอยู่ดี


ชายร่างสูงได้หยิบกิ่งไม้มากิ่งหนึ่งจากชายหาด แต่ก็ไม่ได้มีใครทำตามแต่อย่างใด เขาพูดออกมาว่า


“ขอให้ทุกคนคอยตามฉันเอาไว้นะ ก่อนที่พวกเธอจะก้าวไปบนหญ้า พวกเธอจะต้องใช้กิ่งไม้ตีเข้าไปซะก่อน


แล้วก็ตอนเดินก็ต้องเดินแบบกระทืบเท้าและคอยทำให้เกิดเสียงดังเอาไว้ เผื่อว่ามีอยู่พวกมันจะรับรู้ถึงพวกเราแล้วพวกมันจะได้หนีไป”


“แล้วงูจะ….” สาวน้อยได้กลัวจนตัวสั่นก่อนจะไปกอดเชิงชิเหยาไว้แน่น


“พี่จิงแค่พูดว่ามันอาจจะมีงูเฉยๆน่า ไม่ได้หมายความว่าจะงูกันได้ง่ายๆหรอกนะ ใช่รึเปล่าพี่จิง” สาวน้อยผมทองพูดออกมา เธอเองก็กลัวงูไม่น้อยไปกว่ากัน เพียงแต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ออกผจญภัยของเธอมากจนกลบความกลัวหมดแค่นั้นเอง


“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆการเจองูก็ใช่ว่าจะเจอกันง่ายๆหรอกน่า ก็อย่างที่เขาว่ากันล่ะว่าก็แค่งูใช่ว่าจะกล้ามากัดได้ทุกตัวซะหน่อย อย่ากังวลไปเลย” ชายร่างสูงหัวเราะออกมา เขาเดินนำหน้าเพื่อเปิดทางและมีคนอื่นเดินตามอยู่ข้างหลัง


 


หลังจากเดินเข้าไปได้ประมาณสิบเมตรจนทะลุพื้นที่ป่าออกมาได้แล้ว


ในตอนนั้นก็ได้มีนกตัวใหญ่ประมาณ 6 – 7 ฝูงได้บินกันกระจายไปทั่วท้องฟ้าบริเวณนั้น พวกมันบินวนกันไปมาบนท้องฟ้าจะได้ยินเสียงพรึบพรับไปทั่ว และพวกมันเองก็ได้มาบินวนหัวของพวกเขา


“อ๊า….” เหล่าสาวน้อยร้องออกมาด้วยความตกใจเป็นการใหญ่


“ตัวใหญ่โคตร” ชายคนที่ขับเรือเองก็ถึงทรุดลงไปนั่งจับเข่าด้วยความกลัว


อย่างไรก็ตามชายตัวสูงไม่ได้แสดงท่าทางหวาดกลัวแต่อย่างใด เขาทำเพียงใช้กิ่งไม้เหวี่ยงไปมาในอากาศเพื่อไล่พวกมันไปเท่านั้น


มีอยู่หนหนึ่งที่เขาเกือบจะตีพวกมันตัวหนึ่งโดนแต่ก็ทำได้เพียงถากๆจนทำให้ขนมันร่วงลงมาเส้นหนึ่งเท่านั้น


นกตัวนั้นเมื่อเกือบโดนตีไปหนึ่งทีแล้ว มันก็ดูเหมือนจะกลัวๆอยู่บ้างมันไม่ได้บินลงมาจากอากาศแต่อย่างใด มันบินหนีออกไปในทันที


 


“ไม่ต้องกลัวไปหรอกน่า มันก็แค่นกโจรสลัดแค่นั้นเอง เอาจริงถึงมันจะตัวใหญ่แต่ก็ไม่มีปัญญาทำอะไรใครได้หรอก อาจเป็นเพราะว่าพวกเราเข้ามาในเขตของมันเลยดุร้ายขึ้นมาเฉยๆเท่านั้นแหล่ะ”


ชายร่างสูงพูดออกมาพร้อมส่งรอยยิ้มสุดแสนจะมั่นใจไปยังเชิงชิเหยา คนอื่นๆที่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาพร้อมทั้งลองมองไปดีๆก็ไม่เห็นนกพวกนั้นบินลงมาอีกแต่อย่างใด


อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นไม่ได้สังเกตุว่ามีนกโจรสลัดตัวหนึ่งที่บินออกจากฝูงไปด้วยความเร็วสูงมุ่งตรงไปยังหมู่บ้านตระกูลซูในเมืองฉิงหยุน ส่วนนกตัวอื่นได้บินกันไปอีกฟากหนึ่งของเกาะ จนเกิดเป็นเสียงดังกระหึ่มไปทั่ว


เสียงที่เกิดขึ้นราวกับว่าทำให้ทุกๆพื้นที่ในเกาะได้ตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล


ค้างคาวฝูงหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนกบินกระหึ่มก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นจากในถ้ำ เสือตัวหนึ่งที่อยู่บนต้นไม้ลุกขึ้นมาจากการนอนเล่นทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น เหล่าเถาวัลย์ในป่าต่างก็สั่นไหวราวกับมีชีวิต


เชิงชิเหยาและคนอื่นๆรู้สึกตะลึงงันไปในทันทีที่พวกเขาได้ยินเสียงราวกับป่ามีชีวิตขึ้นมาเมื่อตั้งสติได้พวกเขาก็เริ่มกลัวที่จะไปต่อ


ชายตัวสูงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรหรอก นั่นก็น่าจะเป็นเสียงของป่าที่เกิดขึ้นเป็นปกติอยู่แล้ว เท่าที่ฟังๆดูก็น่าจะเป็นพวกสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยไม่ค่อยมีอันตราย อย่ากลัวไปเลยน่า”


 


เมื่อได้ยินแบบนั้นพวกเขาจึงทำการสำรวจเข้าไปในป่าต่อไป



GGS:บทที่ 831 ผีร้ายแห่งเกาะทะเลทราย(2)


 


“พั่บๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”


ในระหว่างการสำรวจ พวกเขาได้พบกับเงาดำกลุ่มหนึ่งอยู่ข้างหน้าขวางทางพวกเขาอยู่


มันคือฝูงค้างคาวที่บินตรงมาด้วยความเร็วสูง ประหนึ่งดังเหล่าทหารที่เร่งรีบออกมาขับไล่ศัตรู พวกมันได้ทำการบินโฉบผ่านพวกเขาไปมา บ้างก็แขวนตัวเองรอดูสถานการณ์อยู่บนกิ่งไม้ บ้างก็บนวนอยู่รอบๆ


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้พวกเขานั้นตกใจกันไปหมด แม้แต่ชายตัวสูงเองก็ไม่เว้น เขานั้นถึงกับทำหน้าอึ้งออกมา


เหตุก็เพราะอย่างแรก ตอนนี้เป็นตอนกลางวันมันจะมาโผล่มานี่ได้ไงกัน


อย่างที่สองไม่รู้ด้วยเหตุผลประการใดพวกมันทำการล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ราวกับว่ามีใครบางคนได้สั่งการพวกมันอยู่ ช่างเป็นสถานการณ์ที่แปลกประหลาดอย่างมาก


ชายตัวสูงเองก็รู้ตัวเองในทันทีว่าประสบการณ์ที่เขาเคยคุยโวเอาไว้ในตอนแรกนั้นดูท่าทางจะไม่เพียงพอซะแล้ว


“พี่จิง เอาไงต่อดี” ชายหน้าหวานคนขับเรือได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ


“เดินต่อไป ไปอย่างเงียบๆ ไม่ต้องสนใจพวกมัน” ชายตัวสูงได้ตัดสินใจในทันที ซึ่งโดยปกติแล้วถือได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดแล้ว


นั่นก็เพราะว่าโดยปกติแล้วสัตว์ตัวเล็กนั้นจะไม่เป็นฝ่ายโจมตีมนุษย์ก่อนโดยไม่มีสาเหตุ เหตุผลที่พวกมันจะโจมตีก่อนนั่นก็เพราะว่ามีการบุกรุกไปในถิ่นของพวกมัน หรือไม่ก็ไปทำร้ายพวกมันก่อน


ซึ่งทั้งสองกรณีถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวเอง ดังนั้นเมื่อพวกคุณรู้ตัวว่ากำลังก่อกวนพวกมัน แค่ค่อยๆถอยกลับออกมาก็พอ


 


อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าตรรกะนี้จะใช้ไม่ได้ผลกับค้างคาวฝูงนี้แต่อย่างใด เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปได้หนึ่งเมตร พวกมันก็ขยับตามมาหนึ่งเมตร เมื่อพวกเขาเดินหน้าไปได้ห้าเมตร พวกมันก็ขยับตามมาห้าเมตร


และตลอดเวลาพวกมันราวกับปิดล้อมพวกเขาเอาไว้จนไม่อยากให้คลาดสายตา ถึงพวกมันจะไม่ได้โจมตีพวกเขาแต่มันก็พยายามส่งเสียงร้องราวกับกำลังคอยเตือนว่าไม่ให้เข้าไปมากกว่านี้


ช่างเป็นสถานการณ์ที่น่าแปลกประหลาดมากขึ้นเรื่อยๆ


ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า แม้แต่ชายตัวสูงเองก็ไม่อาจสงบใจได้อีกต่อไป เชิงชิเหยาและคนอื่นๆเองก็เริ่มกลัวจนตัวสั่นแล้ว


ข่าวดีเดียวสำหรับพวกเขาในตอนนี้ก็คือค้างคาวฝูงนี้ยังไม่ได้โจมตีพวกเขาแต่อย่างใด


อยู่ๆ ค้างคาวที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาก็เหมือนกระจายตัวออก หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เห็นค้างคาวตัวใหญ่ประมาณ 2-3 ตัวบินเข้ามาอย่างช้าๆ เมื่อพวกเขาได้เห็นดังนั้นต่างก็ทำท่าทางโง่งมกันไปหมด


ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วค้างคาวนั้นจะมีหน้าตาที่ดูหน้าเกลียดอย่างมาก แต่พวกมันก็ยังให้ความรู้สึกสุขุมนุ่มลึกได้เหมือนกัน


บางคนถึงกับกล่าวไว้ว่าค้างคาวนั้นก็เปรียบได้ดั่งมังกรฝรั่งที่ตัวสีดำๆเล็กๆ และมีดวงตาที่สดใสสุกสกาว


 


เชิงชิเหยาและคนอื่นๆเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าค้างคาวนั้นมีจ่าฝูง ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเห็นจ่าฝูงค้างคาวตัวเป็นๆมาก่อน แต่ดูจากท่าทางและลักษณะภายนอกแล้ว


พวกเขาสามารถแน่ใจได้ในทันทีว่าค้างคาวที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาใจตอนนี้คือตัวจ่าฝูง


ก่อนที่เชิงชิเหยาและคนอื่นๆจะมั่นใจอะไรขึ้นมา จ่าฝูงค้างคาวที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาได้เปิดปากออก


พวกเขานั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยซักนิดแต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังหน้ามืด ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้หน้ามืดขึ้นมาจริงๆ สาวๆเองก็ถึงกับตัวสั่นละร่วงลงไปกองกับพื้นในสภาพหมดสติในทันที


“เกิดอะไรขึ้นวะ” ชายหน้าหวานคนขับเรือเริ่มสติแตก


“วิ่งหนี” ชายตัวสูงเองไม่สามารถแสดงท่าทีสุขุมได้อีกต่อไป เขารีบนำร่างของสาวน้อยพาดไว้บนหลังก่อนที่จะวิ่งเปิดทางออกมา


เชิงชิเหยาเองก็ช่วยเขาก่อนที่จะวิ่งตามไป ชายคนที่ขับเรือได้ลากสาวผมทองวิ่งตามไปชนิดที่เรียกได้ว่าวิ่งป่าราบ


จากที่วิ่งตามอีกสามคนจนกลายเป็นวิ่งนำลิ่วจนกว่าจะรู้ตัว หันมาอีกทีทั้งสองคนก็ไม่เห็นอีกสามคนที่เหลือแล้ว


สิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือ ป่าที่รกทึบ ความรู้สึกที่หนักอึ้ง พร้อมทั้งฝูงค้างคาวที่ยังคงบินไล่พวกเขาตามมาติดๆ


ตอนนี้ทั้งสองไม่ได้ห่วงชีวิตของอีกสามคนที่หายไปแต่อย่างใด ความคิดในหัวทั้งสองที่มีอยู่ในตอนนี้ก็คือต้องหนีรอดออกไปจากที่นี่ให้ได้


พวกเขาเองต่างหากที่ต้องกังวล พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปกังวลเรื่องพี่จิงแม้แต่น้อย


“ฟึบๆๆๆๆ” ทันใดนั้นพุ่มไม้ที่อยู่ด้านหน้าก็ได้มีสิ่งๆหนึ่งที่มีสีดำก้อนหนึ่งโผล่ออกมา


สิ่งนี้บินออกมาด้วยความเร็วสูง มันก็คือจ่าฝูงค้างคาวนั่นเอง แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าจ่าฝูงที่ควรจะวางตัวอยู่เบื้องหลังและวางท่าจะโผล่มาด้วยตัวเองแถมยังมาแบบรวดเร็วเสียด้วย


สาวผมทองในตอนนี้ได้รู้สึกมึนหัวจนทำให้ขาของเธอเริ่มสั่นแล้ว ตอนนี้เธอทนไม่ไหวอีกต่อไปและได้เป็นลมหมดสติหลังจากที่ก้าวต่อไปได้เพียงสองถึงสามก้าวเท่านั้น


ชายหนุ่มที่ขับเรือเองยังพอฝืนตัวเองไว้ได้ เมื่อเขาเห็นดังนั้นจึงได้รีบเข้าไปพยุงตัวสาวผมทองพร้อมกับพยายามรีบพาเธอหนีออกไป


แต่ต่อให้เร็วแค่ไหนก็ไม่มีทางหนีไปจากจ่าฝูงค้างคาวไปได้ จ่าฝูงค้างคาวได้เปิดปากออกราวกับจะโจมตีอีกครั้ง


ทันใดนั้นจ่าฝูงค้างคาวก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นเพียงครู่มันและค้างคาวตัวอื่นๆก็บินจากไปอีกทางหนึ่ง ปล่อยให้หนุ่มหน้าหวานคนขับเรือและสาวผมทองวิ่งตรงไปโดยไม่ได้ทำอะไรอีก


 


หลังจากที่ทั้งสองเริ่มรู้สึกว่าตัวเองรอดจากจ่าฝูงค้างคาวแล้ว ชายหนุ่มน่าหวานก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงฝีเท้าของอะไรบางอย่างจากที่ที่ไม่ไกลนัก ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเหมือนมีลมอะไรบางอย่างผ่านเขาไป


เมื่อเขารู้สึกตัว หางตาของเขาก็ได้เห็นร่างของสิ่งมีชีวิตบางอย่างตัวสีเหลืองยืนอยู่ข้างๆ


ชายหน้าหวานคนขับเรือค่อยๆหันไปดูอย่าช้าๆ ทันทีที่เขาเห็นตัวเขาเองก็แทบจะทรุดลงไปกองอยู่ตรงนั้นในทันที


เสือ สิ่งที่เขาเห็นอยู่ข้างๆเขาในตอนนี้คือเสือ ถึงแม้ตัวของมันจะดูแล้วไม่ใหญ่มาก


แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือมันดูสวยงาม งามสง่าและน่าหลงใหล  ดวงตาสดใสจนแวววาว ขนที่เงาสลวยสวยเก๋


หากนี่เป็นสวนสัตว์ เสือตัวนี้ก็สมควรจะกลายเป็นดาวเด่นของที่นั่น และเขาเองจะต้องหาทางเข้าไปคลอเคลียให้ได้หรือถ่ายรูปด้วยก็ยังดี


เขาหลงไหลในเสือตัวนี้ไปพักหนึ่ง แต่พอตั้งสติได้เขานั่นเริ่มรู้สึกอยากจะร้องไห้ขึ้นมาในทันใด


สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนซึดขาว เขาตัวแข็งค้างพร้อมทั้งจิตใจที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว


เมื่อเห็นว่าเสือตัวนี้ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโจมตีเขา มันเพียงแค่มองอย่างสงบและเดินวนไปรอบๆ


เขาเองก็ไม่กล้าที่จะขยับไปไหนเพราะต่อให้เขานั้นมั่นใจในฝีเท้าตัวเองขนาดไหน แต่การวิ่งโดยมีสาวน้อยอยู่ในอ้อมแขนยังก็หนีไม้พ้นแน่นอน


ชายหนุ่มหน้าหวานคนขับเรือนั้นยังพอมีสติอยู่บ้าง เขาได้ใช้มืออีกค้างหยิกไปที่สาวน้อยผมทอง หลังจากพยายามหยิกไปได้ซักพัก สาวน้อยผมทองก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมา แต่ทันทีที่เธอได้เห็นเสือตัวนี้ เธอก็ได้กรี๊ดลั่นจนหมดแรงและเกือบสลบไปอีกรอบหนึ่ง


“ฉันนับหนึ่งถึงสามแล้วเธอรีบหนีไปเลยนะ” ชายหน้าหวานตอบ


“หนี จะให้ฉันหนีไปไหนกัน แต่ให้หนีไปได้ยังไงซะก็หนีไม่รอดอยู่แล้ว ฉันว่าแกล้งตายดีกว่า” สาวน้อยผมเหลืองเม้มปากและสั่นด้วยความหวาดกลัว


“นี่ก็แค่เสือนะไม่ใช่หมีจะแกล้งตายไปให้มันมาขบหัวเล่นรึไงกัน ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว หนึ่ง สอง สาม วิ่งงงง…”


ทั้งสองประหนึ่งดังกลายเป็นคนรู้ใจในทันที เพราะทันทีที่สิ้นเสียงโดยไม่ได้นัดแนะกันว่าจะวิ่งไปไหน ต่อทั้งสองก็ยังวิ่งเคียงคู่กันไปได้อย่างรวดเร็ว


อย่างไรก็ตาม มีสายลมหนึ่งได้ผ่านตัวพวกเขาไป


เสือตัวนั้นได้ร้องคำรามออกมาและมันก็ได้ไปหยุดต่อหน้าพวกเขาไม่ให้วิ่งไปต่อ


พวกเขาเกือบหยุดไม่ทันจนแทบจะไปชนเสือตัวนี้


พวกเขาได้หันหลังและเตรียมตัวที่จะวิ่งไปอีกทาง แต่พอหันไปก็เห็นเสือตัวนั้นรออยู่แล้ว


พวกเขาได้แต่ตกตะลึงนั่นก็เพราะว่าต่อให้มันเป็นเสือก็จริง แต่ความเร็วขนาดนั้นย่อมไม่มีทางเป็นเสือธรรมดาไปได้


ในตอนนั้นเองทั้งคู่ก็รู้สึกเสียขวัญขึ้นมาในทันที แต่ก่อนที่พวกเขาจะคิดทำอะไรบ้าๆ เสือตัวนั้นก็ยังไม่ได้ทำอะไรพวกเขา และมันก็ยกขาหน้าและยืดตรงไปทิศทางหนึ่งประหนึ่งดังจะพยายามบอกให้พวกเขาไปทางที่มันชี้ไป


“มันทำอะไรน่ะ” หนุ่มสาวทั้งสองพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


“ด..ด..ดู..เหมือนว่ามันอยากให้เราไปทางนั้นนะ” สาวหัวทองพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ


“อย่า…อย่าพูดโง่ๆน่า เสือมันจะมาชี้เส้นทางให้พวกเราได้ยังไง” ชายหน้าหวานพูดออกมาด้วยเสียงต่ำพร้อมกับทำเสียงในลำคอเพื่อแสดงว่าไม่มีทาง


“แล้วนายคิดว่ามันต้องการอะไรหล่ะ” สาวหัวทองได้พูดพลางเริ่มโวยวายด้วยความหวาดกลัว


ทั้งสองยังพยายามหาทางวิ่งหนีต่อไปอีกครั้งแต่เสือก็ยังบล็อคทางของพวกเขา


จนในที่สุดทั้งสองก็ได้ตัดสินใจวิ่งไปทางที่เสือตัวนี้ชี้ คราวนี้มันไม่ได้มีท่าทางห้ามแต่อย่างใด มันทำเพียงแค่เดินตามอย่างช้าๆเท่านั้น


“เห็นไหม มันต้องการให้เรามาทางนี้จริงๆด้วย” สาวหัวทองพูดออกมาด้วยท่าทางงุนงง


“จริงแหะ นี่มันเสือประเภทไหนกันเนี่ย ดูๆไปแล้วนี่มันก็ไม่ใช่ทางที่จะออกไปจากเกาะเลยนะ ไม่ใช่ว่ามันอยากจะพาเรากลับไปยังถ้ำทั้งยังเป็นๆก่อนที่จะขุนให้อ้วนแล้วกินหรอกนะ”


ทั้งสองเมื่อนึกได้ดังนั้นก็ถึงกับขนหัวลุกก่อนที่จะหยุดเดิน ทันทีทั้งสองหยุด เสือตัวนั้นได้คำรามอีกครั้งด้วยเสียงที่ค่อนข้างกรรโชก


ทั้งสองกลัวมากจนแทบจะกลัวจนตายอยู่แล้ว


 


ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป ต่อให้ไม่อยากยังไงก็ตามในตอนนี้มีเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาจะทำได้นั่นก็คือเดินไปตามที่เสือชี้นำไป และมีเสือตัวนั้นคอยเดินควบคุมทิศทางเอาไว้


ตั้งแต่เจอเสือตัวนั้นจนบัดนี้ พวกเขาก็ได้แต่กลัวจนหน้าซีดไม่มีร่องรอยของเลือดที่ไปเลี้ยงบนใบหน้าแม้แต่น้อย



GGS:บทที่ 832 ผีร้ายแห่งเกาะทะเลทราย(3)


 


จากการที่ทั้ง 5 คนถูกแบ่งออกไปเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งคือชายหนุ่มหน้าหวานและสาวผมทองในตอนนี้กำลังโดนเสือบังคับขู่เข็ญไปยังที่อีกแห่งหนึ่ง อีกฟากหนึ่งเองก็สถานการณ์ไม่ได้ดีไปกว่ากันซักเท่าไหร่


ตอนแรกที่กลุ่มของเชิงชิเหยาวิ่งหนีออกมานั้นเป็นเพราะการที่ถูกจ่าฝูงค้างคาวโจมตี และหลังจากนั้นพวกเขาก็ได้รู้สึกโล่งใจไปได้พักหนึ่งเพราะว่าจ่าฝูงค้างคาวได้ตามกลุ่มของสาวผมทองไป


แต่พวกเขาวิ่งไปได้เพียง 30 เมตรเท่านั้น จ่าฝูงค้างคาวก็ได้ปรากฏต่อหน้าพวกเขาอีกครั้ง และพวกเขาก็ได้ถูกโจมตีด้วยคลื่นเสียงอีกครั้งหนึ่งทำให้ชิเหยาและชายตัวสูงถึงกับหัวหมุนจนเกือบหมดสติไปในระหว่างที่วิ่ง พวกเขาหัวหมุนจนขนาดที่ว่าหลงทิศหลงทางกันเลยทีเดียว


 


ในที่สุดกลุ่มของชิเหยาและชายร่างสูงก็ได้หลุดพ้นจากอณาเขตป่า พวกเขาได้ดีใจอย่างมาก ภาพที่พวกเขากำลังเห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้ก็คือที่ราบที่มีเถาวัลย์กองใหญ่คลอบคลุมเป็นบริเวณกว้าง และต้นหญ้าเป็นหย่อมๆ


ในตอนที่พวกเขากำลังพยายามแหวกเถาวัลย์ออกไปนั้น


อยู่ๆเถาวัลย์ก็เลื้อยเข้ามาพันขาเอาไว้ราวกับว่าจะเป็นงูตัวหนึ่งเลยก็ไม่ปาน บอกได้เลยว่าเหตุการณ์นี้น่าประหลาดเสียยิ่งกว่าการที่ได้เผชิญหน้ากับฝูงค้างคาวยางเทียบไม่ติด


 


“อ๊า…” เชิงชิเหยาร้องกรี๊ดออกมาดังลั่น ก็ไม่ใช่เรื่องหน้าแปลกที่เธอจะกรี๊ดออกมาเพราะว่าเหตุการณ์มันน่าสะพรึงกลัวเกินกว่าที่หญิงสาวคนหนึ่งจะรับไหว อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ต่อให้ผู้ชายมาเจอก็คงต้องแต๋วแตกกันบ้าง


ต่อให้เป็นคนที่ไม่กลัวงู แต่การที่ต้องมาเจอเถาวัลย์แบบนี้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรยินดีเลยซักนิด


“ปล่อยนะโว๊ย” ชายร่างสูงได้ตะโกนออกมา เขาพยายามที่จะดึงเชิงชิเหยาออกมา


แต่ด้วยการที่เถาวัลย์นั้นได้พันข้อเท้าของเธอเอาไว้แน่นจนเหมือนเชือกเส้นหนาๆ


ต่อให้ดึงยังไงก็ไม่ทางหลุดออกมาได้แน่นอน แถมเถาวัลย์เองก็ได้เร่งรีบเลื้อยเข้าไปพันแข้งพันขาและโอบล้อมลำตัวของทั้งคู่เอาไว้ ก่อนที่จะลากทั้งคู่ลงไปยังใต้ดิน


ในตอนนี้อย่าว่าแต่จะดิ้นให้หลุดเลย พวกเขาขยับตัวยังไม่ได้ด้วยซ้ำ


สาวน้อยได้ตื่นขึ้นมาในตอนนี้เพราะรู้สึกเจ็บแปลกๆทั่วลำตัว แต่พอเห็นสถานการณ์ตรงหน้า เธอร้องลั่นดิ้นไปดิ้นมาราวกับปลาที่ถูกโยนขึ้นมาเหนือน้ำ


“จิง…ฮง..เราจะทำ…ยังไงกันดี เถาวัลย์พวกนี้..ม..มันคืออะไรกันแน่” เชิงชิเหยาพูดออกมาอย่างยากลำบาก


“ฉ…ฉันก็ ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มร่างสูงในตอนนี้เอาจริงเขานั้นกลัวจนร้องไห้ออกมาแล้ว แต่เขาก็เหนื่อยจนเหงื่อกลบคราบน้ำตาของเขาไปหมด แค่พวกเขาเจอจ่าฝูงค้างคาวตัวเป็นๆก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว ตอนนี้พวกเขายังต้องเจอเถาวัลย์ที่รัดพันตัวพวกเขาอยู่อีก เกาะนี้มันอะไรกันแน่ พวกเขาไม่น่าเข้ามาเหยียบเกาะนี้เลย


“พี่…พี่ชิเหยา พวก…นี้…ฮึก…มันลากเราไปกิน…ฮึก…ใต้ดินใช่…ฮึก…รึเปล่าคะ” สาวน้อยสะอื้นออกมา


“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่มีทาง ไม่มีพืชที่ไหนที่จะกินคนหรอกนะ” เชิงชิเหยาพยายามทำตัวให้เป็นปกติเข้าไว้ ไม่ว่าเธอกลัวมากจนอยากกจะสลบไปซักแต่ไหนก็ตาม


เพราะว่าเธอเองก็ได้กลิ่นเนื้อเน่าๆออกจากเถาวัลย์จนตอนแรกเธอคิดว่าต้องโดนลากไปกินแน่ๆ แต่เธอมีความรู้สึกว่าทำอย่างนี้จะทำให้สถานการณ์ดีกว่า


“ทำไม…ฮึก…ทำไมจะไม่ล่ะ หนู…ฮึก…เคยได้ยินว่ามีต้นไม้กินคนอยู่ในโลกด้วยนะ ต้นนี้ต้องมันแน่ๆ ฮึก…พวกเราไม่น่ามาที่นี่เลย ฮือฮือ” สาวน้อยในตอนนี้เธอเริ่มร้องไห้ออกมาจนหยุดไม่ได้แล้ว


 


ชายร่างสูงและเชิงชิเหยาเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไงให้สาวน้อยหยุดร้องไห้ดี ดูท่าแล้วไม่ว่าเธอกับชายสูงจะพูดยังไงก็คงจะช่วยปลอบสาวน้อยได้อีกแล้ว เมื่อลงไปถึงจุดหนึ่ง เชิงชิเหยาได้ลอง


ไปรอบๆเพื่อหาอะไรบางอย่างมาแก้ไขสถานการณ์อย่างหินสักก้อน จนเธอเห็นก้อนเล็กๆก้อนหนึ่ง ชายร่างสูงเองก็ทำเช่นเดียวกันจนกระทั่งเจอกระดูกชิ้นหนึ่ง


ทั้งสองได้ใช้กระดูกและหินที่เจอพยายยามเฉือนเถาวัลย์เพื่อทำให้มันขาด แต่ดูเหมือนว่าผิวของเถาวัลย์แข็งแรงมากจนทำอะไรไม่ได้เลย


ชายร่างสูงเมื่อเห็นว่าไม่ได้ผลเขาจึงถอดเสื้อคลุมของเขาออก หลังจากนั้นนำไปผูกกับกระดูกแล้วพยายามยัดกระดูกที่พันเชือกไว้ตรงรอยแยกต่างตรงหน้าจนยัดเข้าไปได้


เขาพันมือของเขาและให้เชิงชิเหยาและสาวน้อยจับเขาเอาไว้ แต่ด้วยการที่เถาวัลย์นั้นแข็งแรงมากจนทำให้เสื้อตัวนั้นขาด


ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขาสายตาชินกับความมืดก็ได้เห็นจ่าฝูงค้างคาวบินลอยลงมาห่างๆ เขาเองก็ได้คิดแล้วว่าต่อให้หลุดจากเถาวัลย์นี้ไปได้ยังไงก็ไม่รอดจากจ่าฝูงค้างคาวอยู่ดี ตอนนี้เขาเองก็ได้ยอมถอดใจที่จะดิ้นรนแล้ว


 


เมื่อพวกเขาหลุดมาอยู่พื้นที่หนึ่งเมื่อสังเกตุแล้วเหมือนจะเป็นถ้ำว่างๆแห่งหนึ่ง เถาวัลย์นั้นได้หยุดเคลี่อนไหว ทันใดนั้นพวกเขาได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินใกล้เข้ามา พวกเขาพยายามดิ้นหันๆไปดู


เมื่อพวกเขาได้เห็นก็ทำได้เพียงตกใจจนนิ่งแข็งค้างไปจนไม่รู้สึกถึงเสียงหัวใจตัวเองเต้นจากความกลัวอีกแล้ว


ภาพที่พวกเขาได้เห็นในตอนนี้ก็คือชายหน้าหวานกับสาวผมทองกำลังค่อยๆเดินตรงมาทางเขา


แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจจนขีดสุดนั่นคือเสือ เสือที่ดูสวย งาม สง่า และดูทรงพลังที่กำลังเดินตามทั้งสองคนอยู่ห่างๆ มันช่างเป็นเสือที่ดูน่าดึงดูดยิ่งกว่าคนสวยๆหลายๆคนจนไม่อยากจะละสายตาไปไหน


เสือตัวนั้นดึงดูดสายตาจนพวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงความกลัวอีกต่อไป ถึงแม้ทั้งสามจะเริ่มตั้งสติได้แต่พอเห็นว่าสิ่งสวยงามที่เห็นนั่นคือเสือ พวกเขาก็กลับมาตกใจอีกครั้ง


เมื่อสาวผมทองและชายหน้าหวานเห็นคนรู้จักที่พัดพรากจากกันไปเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ยังมีชีวิตอยู่


ทั้งสองอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความดีใจ แต่เมื่อเข้าไปเห็นสถานการณ์ใกล้ๆ พวกเขาก็ถึงกับตกใจจนต้องยืนหายใจหนักๆอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ


นั่นก็เพราะสิ่งที่พวกเขาเพิ่งสังเกตเห็นนั้นก็คือเถาวัลย์ที่เลื้อยพันลำตัวเพื่อนของเขาประดุจงู นี่มันผีบ้าอะไรกันแน่


 


ในขณะที่สาวผมทองและชายหน้าหวานกำลังตะลึงจนนิ่งสนิทนั้น เมื่อเสือตัวนั้นเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นมันรีบพุ่งเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าเถาวัลย์กองนั้น และได้คำรามออกมาจนดังลั่น


เชิงชิเหยาและอีกสองคนเห็นดังนั้นถึงกับหน้าซีดด้วยความหวาดกลัว ทันทีที่ได้ยินเสียงทั้งสามคิดว่ากำลังจะโดนเสือกินจนหลับตาลงด้วยความกลัวตาย


แต่เมื่อพวกเขาหลับตาไปซักพักแล้วไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจึงได้หรี่ตาขึ้นมา สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือเถาวัลย์ส่วนหนึ่งที่กำลังสั่นอยู่เมื่ออยู่ต่อหน้าเสือตัวนั้น และเสือตัวนั้นก็ได้คำรามอีกครั้งราวกับมันกำลังสื่อสารกันอยู่


สักพัก เถาวัลย์ที่รัดพันทั้งสามที่หยุดนิ่งก่อนหน้านี้ อยู่ๆพวกมันก็สั่นและค่อยๆหย่อนทั้งสามลงพื้นอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ทั้งสามหลุดออกมา เมื่อเสือได้เห็นดังนั้นมันได้คำรามดังกว่าเดิม


คราวนี้เหมือนในอากาศมีรอยอะไรบางอย่างแหวกอากาศที่อยู่ตรงหน้าเสือแล้วพุ่งเข้าใส่เถาวัลย์ตรงหน้ามันจนฉีกขาดราวกับว่าเหมือนมีมีดคมกำลังหั่นผักอย่างง่ายดาย


เถาวัลย์เองก็เหมือนพยายามจะใช้เถาวัลย์พุ่งแทงไปที่เสือนั่น แต่พวกมันก็ได้ถูกตัดขาดอย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน


จนสุดท้ายเถาวัลย์กองนั้นก็ได้สั่นไปทั้งกองราวกับหวาดกลัว และมันก็ได้ปล่อยทั้งเชิงชิเหยา ชายร่างสูง และสาวน้อยออกจากพันธนาการทั้งหมด


ตอนนี้ทั้งสามคนพยายามทำความเข้าใจกับฉากที่เห็นเมื่อครู่ จนในที่สุดก็เริ่มเกิดคำถามในหัวว่าเสือตัวนี้ช่วยพวกเขาไว้งั้นเหรอ


ต่อให้สิ่งที่พวกเขาคิดเกิดเป็นอย่างนั้นจริงๆต่อพวกเขาก็อยากที่จะสงบใจขึ้นมาได้


ในตอนนี้พวกเขากลัวว่าทันทีที่ขยับตัวเสือตัวนั้นจะคำรามออกมาและตัดพวกเขาเป็นชิ้นๆในทันที


ต่อให้มันไม่ได้คำรามจนฉีกเถาวัลย์เป็นชิ้นๆแบบเมื่อกี้นี้


แต่ยังไงซะสิ่งมีชีวิตที่อยู่ตรงหน้าของเขาคือเสือ มันยังคงมือเขี้ยวอันใหญ่โตและกรงเล็บอันแหลมคมพร้อมที่จะทำร้ายพวกเขาทันทีที่ต้องการ


แถมตอนนี้มันยังคงจ้องพวกเขาตาเขม็งอีกด้วย


 


ผ่านไปซักพัก ทั้งห้าคนได้มานั่งรวมๆกัน นิ่งๆ ไม่กล้าขยับไปไหน อยู่กลางลานกว้างแห่งหนึ่ง


นั่นก็เพราะในตอนนี้พวกเขาได้โดนล้อมจากทั้งสามทิศทาง หนึ่งคือเถาวัลย์อันน่าสะพรึง หนึ่งคือค้างคาวตัวใหญ่โต และอีกหนึ่งคือเสือร้อยที่สุดแสนจะทรงพลัง


ตอนนี้พวกเขาตกอยู่สภาพราวกับว่าติดอยู่ในห้องโล่งๆต่อรายล้อมไปด้วยกับดักร้ายรอบด้าน


“ฮืออออ…. พวกเราไม่น่าเข้ามาที่นี่เลย” ชายหน้าหวานได้พูดโอดครวญออกมาในขณะร้องไห้


เชิงชิเหยาและสาวๆคนอื่นๆเองก็อยากร้องไห้ออกมาเหมือนกัน


ถึงตอนแรกดูเหมือนว่าทุกอย่างจะจบแล้ว จนสุดท้ายก็เหมือนมีความหวังขึ้นมา


แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นฉากต่อสู้น้อยๆแต่ทรงพลังอย่างมาก ในที่สุดดูเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาจะตกอยู่ภายใต้การตัดสินใจของเจ้าเสือตัวนี้เท่านั้น


“อย่าเพิ่งถอดใจกันไปซิ อย่างน้อยๆดูเหมือนว่าพวกมันจะยังไม่อยากฆ่าเรานะ” ชายร่างสูงที่พอจะเริ่มอ่านสถานการณ์ออกแล้วได้พยายามปลอบขวัญคนอื่นๆ ถึงแม้ว่าใบหน้าของเขาจะไม่ได้แสดงออกมาอย่างนั้นก็ตาม


“เกาะนี้มันอะไรกันเนี่ย ทำไมถึงมีทั้งค้างคาวที่ทำให้คนหมดสติ เถาวัลย์ที่มีชีวิตราวกับงู ไหนจะเสือที่ดูดีและราวกับเข้าใจภาษาคนนี่อีก ทำไมเกาะนี้มันถึงได้พิศดารพันลึกขนาดนี้” สาวหัวทองบ่นอุบอิบออกมานะขณะที่กำลังสะอื้นอยู่


“เดี๋ยวนะ สัตว์ที่มีท่าทางฉลาดเฉลียว ทรงพลัง และแปลกประหลาดกว่าสัตว์ทั่วไป ทำไมฉันรู้สึกคุ้นๆกันหล่ะ”


ตอนนี้หัวใจของเชิงชิเหยาเริ่มเต้นตึกตักขึ้นมา ถึงแม้เธอจะรู้สึกคุ้นเคยกับคำเหล่านี้แต่เธอก็ยังไม่กล้าพูดมันออกมาเพราะเธอเองก็ยังไม่แน่ใจ


 


ในตอนนั้นได้มีเสียงๆหนึ่งดังลั่นทั่วท้องฟ้า พวกเขาได้เงยหน้าขึ้นไปมองก็ได้เห็นสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มีสีทองอร่ามค่อยๆร่อนลงมา


มันมีปีกอันกว้างใหญ่จนทุกครั้งที่มันกระพือเพื่อลดความเร็วในขณะร่อนลง สายลมอันรุนแรงได้กระทบพื้นและพัดมายังพวกเขาแรงพอประมาณจนทำให้พวกเขาต้องเบือนหน้าหนี


สัตว์ปีกยักษ์ตัวนั้นได้ลงมาหยุดยังพื้นตรงหน้าพวกเขาด้วยความสง่างาม พอพวกเขาหันไปอีกทีก็เห็นเป็นคนๆหนึ่งยืนอยู่ข้างๆนกอินทรีสีทองตัวใหญ่ยักษ์


คนๆนั้นก็คือซูจิ้งนั่นเอง



GGS:บทที่ 833 จะทำยังไงกับพวกเธอดีล่ะ


 


ซูจิ้งที่ลงมาจากหลังอินทรีย์ทองคำในตอนนี้ต่อหน้าเชิงชิเหยานั้นช่างดูหล่อเหลาตราตรึงใจเธอ แต่กับคนอื่นๆที่เห็นนั้นโคตรจะน่าตกตะลึงจนตราตรึงใจเช่นกัน


ต่อให้เคยได้ยินว่าอินทรีย์ทองนั้นตัวใหญ่และแข็งแรงจนบินพาคนไปได้แถมยังเคยผ่านตาในอินเตอร์เน็ตมาบ้างแล้วก็ตาม


แต่ระหว่างเห็นผ่านวีดิโอกับเห็นกับตาตัวเองนี่ช่างดูน่าตื่นตาตื่นใจต่างกันมากจริงๆ


แถมพวกเขายังรู้สึกได้เลยว่าอินทรีย์ทองตัวนี้ใหญ่กว่าที่เห็นในอินเตอร์เน็ตมากนักจนเหมือนกับหลุดออกมาจากหนังเลยด้วยซ้ำ


 


เชิงชิเหยาที่คืนสติสตังกลับมานั้นก็ได้มองชนิดที่เรียกว่าไม่อยากจะกระพริบตาเลยด้วยซ้ำพลางคิดในใจว่า นี่เขาคงจะรอสร้างความประทับใจให้พวกเราอยู่สินะ


ไม่นานนักสาวน้อยที่ตั้งสติได้ก็ได้รีบร้องโวยวายออกมาว่า “คุณซู คุณคือคุณซูใช่รึเปล่าคะ รีบช่วยพวกเราเร็วเข้า”


“อย่ากังวลไปเลยน่า พวกเธอปลอดภัยดีนี่” ซูจิ้งยิ้มออกมา


พวกเขาตอนนี้อยากตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงจริงๆว่าปลอดภัยตรงไหนกัน ตรงนี้มีทั้งเถาวัลย์กินคน เสือร้าย และค้างคาวยักษ์ที่ทำให้คนสลบเหมือดได้


 


ในตอนนั้นเองเสือร้ายที่อยู่ไกลกว่าใครเพื่อนเมื่อเห็นซูจิ้งมาถึงมันรีบกระโจนไปหาทันที


ทุกคนที่เห็นต่างก็กลัวจนเกือบร้องออกมาเสียงดัง


แต่กลับกลายเป็นว่าภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ก็คือ เสือร้ายเขาไปคลอเคลียซูจิ้งโดยการเอาหัวไปดันมือ เอาหน้าไปถูขา และเอาตัวไปถูตัวพลางเดินวันไปรอบตัวซูจิ้งราวกับเป็นลูกแมวขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง


จ่าฝูงค้างคาวเองก็รีบบินตรงไปเกาะที่บ่าซูจิ้งและอยู่นิ่งๆ ราวกับเหนื่อยจากงานมาทั้งวันแล้วเจอบ้านที่นอนได้อย่างสบายใจ


แม้แต่เถาวัลย์เองก็สั่นระลึกไปมาราวกับเริงระบำอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกว่ามันกำลังมีความสุขมากต่างจากตอนที่เจอเสือร้ายขู่จนตัวสั่นอย่างสิ้นเชิง


 


ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นในตอนนี้ต่างก็หน้าตาโง่งมกันไปหมด เว้นเพียงเชิงชิเหยาที่เธอทำเพียงถอนหายใจออกมายาวๆก่อนที่จะพูดออกมาว่า


“คุณซู ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เกาะแห่งนี้สมควรเป็นเกาะของคุณซู ฉันเองก็ได้ยินว่าคุณได้เช่าเกาะร้างเอาไว้เกาะหนึ่ง แต่ฉันเองก็ไม่คิดว่าจะแจ็คพอตเจอกับตัวขนาดนี้ ขอโทษที่เข้ามายุ่มย่ามที่นี่ค่ะ”


“ห้ะ เกาะของเขา?” ชายร่างสูงและคนอื่นๆต่างก็ตกใจกันไปหมด


ตอนที่พวกเขาได้ยินตำนานต่างๆของซูจิ้งก็พอรู้ได้ว่าซูจิ้งนั้นสมควรเป็นสัตว์ประหลาดร่างมนุษย์


แต่เกาะของเขากลับประหลาดไปยิ่งกว่าที่เรื่องเล่าเหล่านั้นมากมายนัก


สำหรับเจ้าเสือร้ายตัวนั้นพวกเขาพอจะยอมรับได้ แต่ค้างคาวกับเถาวัลย์นี่สิหากมีคนรู้ต้องมึนงงจนล้มตึงแหงๆเพราะมันขัดกับสามัญสำนึกของคนทั่วไปจนเกินไป และพวกเขาเองก็เป็นหนึ่งในคนทั่วไปเหล่านั้น


หมอนี่กำลังวิจัยอะไรบางอย่างบนเกาะนี้รึเปล่านะ


 


“ใช่แล้วหล่ะ นี่คือเกาะของผม ผมเองก็ได้รับสายจากพี่ซือหยามาว่าเธอ(ชิเหยา)จะมาที่นี่ ให้ฉันคอยพาเธอเที่ยว


แต่ผมเองก็ไม่คิดเลยนะเนี่ยว่าคุณจะพาเพื่อนมาที่เกาะนี่


เป็นยังไงบ้าง สัตว์เลี้ยงที่ผมฝึกมาอย่างดีนี่ทำให้คุณเจ็บตัวบ้างรึเปล่า” ซูจิ้งยิ้มออกมาแสดงความเป็นมิตรอย่างที่สุด


“ไม่ไม่ไม่ พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรพวกเราเลย” ตอนนี้ทุกคนอยากจะตอบว่าใช่แถมอยากจะโวยวายเรียกหาความรับผิดชอบซะด้วยซ้ำ แต่สัญชาติญาณของพวกเขาที่เห็นรอยยิ้มละไมของซูจิ้งบอกพวกเขาว่าให้ตอบว่าไม่


 


“เฮ้ออออ ก่อนจะมาที่นี่พี่ซือหยาก็บอกฉันไว้แล้วให้มาหาคุณก่อน แต่ฉันก็คิดว่าคุณยุ่งมากจนไม่อยากรบกวนคุณ ถ้ารู้อย่างนี้ฉันน่าจะไปหาคุณตั้งแต่แรกแล้วล่ะ”


ตอนนี้เชิงชิเหยาเองก็อยากจะร้องไห้ออกมาใจจะขาด ใครจะไปคิดว่าแค่มาเที่ยวเล่นสบายๆท่ามกลางท้องทะเล อยู่ๆจะกลายเป็นทริปสุดแสนสยองขวัญขนาดนี้ เกาะนี้ทำให้เธอกลัวสุดๆ


 


“ฮี่ฮี่ ผมเองก็รู้ว่าพวกคุณหวาดกลัว แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวไปหรอกนะ สัตว์เลี้ยงของผมนั้นไม่ทำอันตรายใครหรอก ตราบใดที่ผมไม่อนุญาตพวกมัน


ดูเสือน้อยนี่สิน่ารักมากเลยเห็นไหม แถมเจ้าค้างคาวนี่ยังเชื่องมากเลยนะ อยากมาสัมผัสพวกมันหน่อยรึเปล่า”


พูดเสร็จซูจิ้งวางมือบนหัวทั้งสองตัว และทั้งสองตัวก็ได้เลียมือของซูจิ้งพร้อมทั้งทำท่าทางดี๊ด๊าออกมา แถมพวกมันยังแลบลิ้นออกมาเลียมือของซูจิ้งราวกับพวกมันเป็นลูกแมวลูกค้างคาวเมื่อเห็นแม่ก็ไม่ปาน


“ไม่ ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ” สาวน้อยหัวทองส่ายหัวปฏิเสธในทันที


 


เธอเองแทบอยากจะตะโกนออกมาว่า มันเชื่องเฉพาะกับนายเท่านั้นแหล่ะ พออยู่ต่อหน้าคนอื่นพวกมันโหดร้ายราวกับจะเอาชีวิตให้ได้


ก็ใช่พวกมันน่ารักในตอนนี้แต่ยังไงซะเธอจะไม่ยอมแตะมันแน่นอน แม้แต่เงาก็จะไม่แตะ


“งั้น…ผมจะพาพวกคุณออกจากที่นี่แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


“นั่นแหล่ะ” พวกเขาพยักหน้าและพูดออกมาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย


พวกเขาอยากจะออกจากนี่ใจจะขาดและจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีกเลย พวกเขาตั้งปณิธานไว้อย่างแน่วแน่แล้ว


 


ซูจิ้งได้เดินนำทั้งห้าคนกลับไปยังเรือยอร์ชที่จอดอยู่ เพื่อที่จะได้ขับเรือกลับไปยังชายหาดในเมืองฉิงหยุน


ระหว่างที่กำลังนั่งเรือเล็กเพื่อกลับไปที่เรือยอร์ชนั้น ซูจิ้งได้ไปนั่งที่หัวเรือและได้พูดประโยคอันชวนให้ทั้งห้าคนต้องรู้สึกหนึกอึ้งออกมาว่า “อืมมมมม เรื่องนี้ค่อนข้างหน้าปวดหัวหน่อยๆแหะ ฉันจะทำยังไงกับพวกคุณดีน้า……”


“ห้ะว่าไงนะ ทำไมล่ะ…” ชายหน้าหวานมึนงงกับคำพูดของซูจิ้งในทันที


“เอ่ออออ คุณซูหมายความว่ายังไงกันครับ” ชายร่างสูงเองถึงแม้จะงงกับคำถามไปพักหนึ่ง และอยู่เขาก็รู้สึกกังวลกับคำพูดของซูจิ้งขึ้นมาราวกับรู้ความหมาย


สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจได้เพียงยืนรอฟังการตัดสินใจของซูจิ้งอยู่นิ่งๆเท่านั้น หากเป็นคนอื่นเขาคงพุ่งเข้าไปเล่นงานตั้งนานแล้วอย่างหาวหาญ แต่กับซูจิ้งเขานั้นไม่มีความกล้าพอ


เขาเองก็เคยได้เห็นฉากที่ซูจิ้งไล่อัดนักคาราเต้สี่สิบคนมาแล้ว และรู้ได้ในทันทีโดยไม่ต้องคิดไตร่ตรองว่าเขานั้นสู้ไม่ได้เลยสักนิด


แถมตอนนั้นใครดูก็รู้ว่าซูจิ้งไม่ได้เอาจริงเลยแม้แต่น้อย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่เขานั้นมีเหล่าสรรพสัตว์อันสุดแสนจะน่าขนลุกบนเกาะนั้นอีก


แค่อินทรีย์ทองยักษ์นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขานั้นคิดหนักจนเมาหัวราน้ำไปตลาดชีวิตแน่นอนหากมีเหตุต้องสู้กัน


“คุณซูคะ พวกเราไม่มีทางจะพูดเรื่องบนเกาะนี้ออกไปให้ใครฟังแน่นอนค่ะ ด้วยความเคารพต่อพี่ซือหยาแล้วคุณซือสามารถคลายกังวลไปได้เลย” เชิงชิเหยาหัวเราะออกมาเล็กน้อยด้วยท่าทางน่ารักน่าทะนุถนอม


 


“คุณเชิงนั้นฉลาดจริงๆที่รู้ความคิดผมได้ ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้ผมนั้นไม่สามารถให้คนนอกล่วงรู้เรื่องบนเกาะนี้ได้


แต่ต่อให้คุณเอาชื่อของซือหยามาอ้าง ผมเองก็ไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของเรื่องบนเกาะได้จากพวกคุณทุกคน


แน่นอนว่าผมเองก็มีวิธีที่ทำให้ผมมั่นใจได้สุดๆแต่ก็ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ พวกคุณไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรหรอกแค่จะรู้สึกเพียงง่วงนอนจนผล็อยหลับไปกันเท่านั้นเอง”


 


สิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมานั้นทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกสับสนกับคำพูดเหล่านั้นกันไปหมด ทันใดนั้นทุกคนก็รู้สึกหัวหมุนจนล้มพับลงไปกองกับพื้น


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาและทำการสะกดจิตเพื่อลบความทรงจำบนเกาะนี้โดยตรง


หลังจากนั้นก็ได้มีก้อนหินก้อนใหญ่ลอยมาชนกาบเรือจนเรือโครงอย่างหนักและทำให้น้ำไหลเข้าเรือจนจมลงไประดับหนึ่ง ตอนนี้เรืออยู่ในสภาพอับปางไปครึ่งลำ


ทั้ง 5 คนกำลังนอนระเกะระกะอยู่บนชายฝั่งราวกับว่าเรือของพวกเขาเผชิญหน้ากับลมพายุลูกใหญ่จนเรืออับปางแต่โชคดียังรอดมาได้


ซูจิ้งได้ทำการปลุกทุกคนโดยการตบหน้าเบาๆ หยิกแก้ม แม้แต่การเอาน้ำทะเลมากรอกปาก จนทำให้ทั้งหมดสะลึมสะลือตื่นขึ้นมาจนได้ พวกเขาสำลักน้ำเล็กน้อยและสับสนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


“คุณซู คุณมาทำอะไรที่นี่ แล้วที่นี่เกิดอะไรขึ้น” เชิงชิเหยาทำท่าเหมือนเพิ่งได้เจอซูจิ้งเป็นครั้งแรกของวัน


“เจ๊ซือหยาโทรมาบอกฉันว่าให้พาเธอไปเที่ยวเล่นน่ะ ไม่คิดว่าตอนที่ตามหาจนเจอก็ไม่คิดว่าจะมาเจอบนเรืออับปางแบบนี้ ดีนะเนี่ยที่ผมลากพวกคุณขึ้นมาจากทะเลได้ทัน ไม่เช่นนั้นพวกคุณคงได้ตายแล้วแน่ๆ คราวหน้าขอแนะนำว่าอย่าได้ออกจากชายฝั่งไปไกลขนาดนั้นโดยไม่มีเซฟการ์ดตามไปด้วยนะ”


 


ทุกคนในตอนนี้ต่างก็สับสนกับเหตุการณ์ไปจนหมดกับคำพูดของซูจิ้ง


ถึงพวกเขาจะยังคงรู้สึกแปลกๆอยู่บ้าง เพราะภาพจำสุดท้ายของทุกคนในตอนนี้ก็คือตอนที่หนุ่มหน้าหวานกำลังซิ่งเรือด้วยความเร็วสูง


และพวกเขาเองก็ปะติดปะต่อเรื่องไม่ถูกว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เหมือนกับว่าความทรงจำส่วนหนึ่งจะหายไปก็ตาม


สุดท้ายแล้วชายหน้าหวาน สาวผมทอง และสาวน้อยไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนั้นอีกต่อไป ในเมื่อเห็นสภาพตอนนี้แค่รู้ว่ารอดมาได้ก็ถือว่าเกินพอสำหรับทั้งสามคนแล้ว


แต่กับเชิงชิเหยาและชายร่างสูงต่างก็ยังขมวดคิ้วและพยายามนึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดให้ออก แน่นอนว่าด้วยฝีมือระดับซูจิ้งนั้น นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก


 


“ขอบคุณค่ะคุณซู ถ้าไม่ได้คุณพวกเราคงตายกันไปแล้ว ว่าแต่ทำไมพวกเราถึงมีรอยมากมายบนร่างกายขนาดนี้กันล่ะ”


เชิงชิเหยาได้ถามออกมาทันทีที่เห็นร่องรอยความผิดปกติบนร่างกายของเธอ พวกมันเป็นเส้นๆแดงๆราวกับว่าโดนแมงกระพรุนไฟเลยก็ว่าได้


ซูจิ้งก็ได้ทำการชี้ไปยังอินทรีย์ทองที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ผมไปเจอพวกคุณตอนที่กำลังขี่อินทรีย์ทองอยู่ ต่อให้มันแข็งแรงขนาดไหนแต่มันก็ไม่สามารถที่จะแบกคนที่หมดสติพร้อมกันขนาดนี้ไหว ผมเลยจัดการหาเชือกมามัดพวกคุณไว้แล้วให้อินทรีย์ทองยกพวกคุณที่มัดรวมกันไว้มาน่ะ ไม่งั้นผมเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยชีวิตพวกคุณทั้งหมดได้ทันยังไงเหมือนกัน”


แม้ว่าเชิงชิเหยาและคนอื่นๆยังมีคำถามคาใจอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็เลิกคิดที่จะใส่ใจอีกต่อไป


เพราะยังไงซะพวกเขาก็รู้ด้วยจิตใจที่อยู่ลึกๆข้างในว่าพวกเขารอดตายมาได้เพราะซูจิ้ง


 


ซูจิ้งยังคงอยู่ต่อและได้ลองกระตุ้นอะไรหลายๆอย่างกับทุกคนจนแน่ใจว่าพวกเขานั้นลืมเรื่องเกาะทะเลทรายของเขาไปแล้วจริงๆ


ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อาจจะสร้างปัญหาอันใหญ่หลวงให้กับทุกคนในที่นี้ชนิดที่ว่าคนธรรมดาคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน



GGS:บทที่ 834 ฝึกวาดภาพเขียนจีน


 


หลังจากที่ซูจิ้งได้พาเชิงชิเหยาและคนอื่นๆกลับไปยังชายหาดอย่างปลอดภัยแล้ว เขาได้ไปยังอู่เจ้าของเรือยอร์ชเพื่อจ่ายค่าเสียหาย


แน่นอนว่าเงินส่วนนี้เป็นเชิงชิเหยาและคนอื่นๆรับผิดชอบ


หลังจากทั้ง 5 คนได้เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ซูจิ้งได้ชวนทุกคนไปที่บ้านและได้ทำซุปและโจ๊กมะละกอให้กิน


เพียงคำแรกที่พวกเขาได้กินเข้าไปทำให้ทุกคนมีความสุขมากๆราวกับว่าลืมเรื่องราวที่เคยเกือบตายไปแล้วเป็นปลิดทิ้ง บางคนถึงกับคิดว่าถ้าพวกเขาไม่ได้เจอเรื่องร้ายๆมา ซูจิ้งคงไม่เห็นใจจนยอมทำของอร่อยแบบนี้ให้พวกเขากินแน่ๆ


 


หลังจากทุกคนอิ่มหนำสำราญดีแล้ว ซูจิ้งได้เห็นเชิงชิเหยานำเอากระดานวาดรูป พู่กัน น้ำหมึก กระดาษ แท่นฝนหมีก และอุปกรณ์ต่างๆออกมา


นั่นทำให้ซูจิ้งนึกย้อนไปถึงตอนที่เคยเห็นหวังซือหยาสเก็ตรูปเสื้อผ้าและเขาเองก็ได้ครูลักพักจำเทคนิดเหล่านั้นมาได้พอสมควรเลยทีเดียว เมื่อเห็นโอกาสอยู่ตรงหน้าซูจิ้งจึงอดไม่ได้ที่จะถามชิเหยาออกมาว่า


“คุณเชิง นี่เธอสนใจในการวาดรูปด้วยหรอ?”


“ใช่แล้วค่ะ พ่อของฉันเองเป็นอาจารย์สอนการเขียนภาพวาดแบบจีนโบราณ และเขาเองก็พอมีชื่อเสียงด้านนี้บ้างนิดหน่อยทำให้ฉันเองก็หลงใหลการวาดภาพแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว


น่าเสียดายที่ตัวฉันไม่ได้มีทักษะอะไรมากมาย หากอารมณ์ไม่มีก็วาดไม่ออกเหมือนกัน หากวันนี้ไม่มีเรื่องราวอะไรฉันก็คงจะวาดไว้ซักภาพ แต่ด้วยเหตุการณ์ในวันนี้ฉันคงไม่วาดแล้วล่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่ทราบว่าพ่อของเธอคือออ…?”


“เชิงกูยี่ เชิงชิเหยาพูดออกมา”


“โอ้…กลายเป็นว่าคุณเชิงผู้นั้นเป็นพ่อของเธอ” ทันทีที่ได้ยินดังนั้นสายตาของซูจิ้งเป็นประกายในทันที


เขารู้จักชื่อเสียงของเชิงกูยี่ดีว่าเป็นหนึ่งในปรมาจารย์ด้านการวาดภาพเขียนจีนโบราณในประเทศจีนแห่งนี้


ทักษะการวาดภาพของเขาถือได้ว่าอยู่ในระดับสุดยอดแล้ว


อย่างไรก็ตามเขานั้นมักจะหาแรงบันดาลใจไม่ค่อยใจได้จึงไม่ค่อยมีผลงานดีๆออกมาโลดแล่นให้คนทั่วไปได้ประจักษ์ตามากนัก


นี่จึงเหตุผลที่ว่าถึงเขาจะมีฝึมือที่ดีมากแต่ก็มีชื่อเสียงไม่ติดอันท็อบของปรมาจารย์ภาพเขียนจีนซักที


“พี่จิงและฉันเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เชิง เขานั้นเป็นสุดยอดอาจารย์เลยก็ว่าได้ค่ะ หากคุณซูสนใจล่ะก็ไม่มาร่วมโปรแกรมการฝึกของเราในครั้งนี้หล่ะคะ”


“โปรแกรมการฝึก?” ซูจิ้งงงเล็กน้อย


“ใช่ค่ะ พ่อของฉันนั้นอยากมีเป้าหมายที่จะให้การวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน คุณพ่อเลยเปิดสอนการฝึกเขียนภาพเขียนพู่กันจีนขึ้นมา


หากคุณซูสนใจล่ะก็ฉันสามารถบอกคุณพ่อยอมสอนให้คุณฟรีๆได้เลยค่ะ” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ผมเองก็สนใจที่จะฝึกแน่นอนอยู่แล้วหล่ะ เพียงแต่ผมเองก็ไม่อาจให้เขานั้นยอมสอนผมแบบฟรีๆไปได้หรอกนะ มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เราควรจะมอบค่าธรรมเนียมให้แก่อาจารย์” ซูจิ้งพูดออกมา


 


เชิงชิหยาเมื่อได้ยินดังนั้นรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เธอแค่จะพูดชวนไปแค่พอเป็นพิธีเท่านั้นแต่เธอไม่คิดว่าคนเก่งๆอย่างซูจิ้งจะมีความสนใจงานศิลปะด้านนี้ แถมยังต้องการเข้าร่วมแทบจะในทันทีเลยด้วยซ้ำ


แน่นอนว่าเธอย่อมยินดียิ่งที่ซูจิ้งเข้าร่วมกลุ่มการเรียนของพ่อเธอ เธอได้พูดออกมาว่า “พ่อของฉันจะสอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ แต่สำหรับฉันแล้วจะฝึกเฉพาะวันเสาร์เท่านั้น


ในเมื่อวันพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ ถ้าคูณซูว่างสนใจจะเข้าร่วมวันพรุ่งนี้เลยรึเปล่า ฉันจะได้พาคุณไปแนะนำด้วยเลย”


“ว่าง ว่าง” ซูจิ้งพยักหน้ารับในทันที พอคิดถึงว่าจะได้เรียนรู้การเขียนภาพพู่กันจีนจากปรมาจารย์ที่เขานับถือ มีรึที่เขาจะปล่อยโอกาสนี้ไป


เขาได้แสดงท่าทางมีความสุขออกมาอย่างเห็นได้ชัด มีเพียงบรรดาสาวน้อยอีกสองคนเท่านั้นที่ไม่คิดอะไรมากและยินดีที่ซูจิ้งจะมาเรียนด้วยกัน


แต่กับชายร่างสูงแล้วเขานั้นรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาจนแสดงออกมาด้วยท่าทางอึกอักจนเห็นได้


เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ชอบที่เห็นผู้หญิงที่ตัวเองชอบไปทำตัวดีกับผู้ชายคนอื่นถ้าเป็นคนอื่นๆเขาคงไม่ใส่ใจ แต่นี่คือซูจิ้งที่มีดีกว่าเขาในทุกด้านเลยก็ว่าได้


 


เช้าวันต่อมา ซูจิ้งขับรถเข้าเมืองเพื่อไปพบกับเชิงชิเหยาตามที่ได้นัดแนะกันไว้ หลังจากนั้นทั้งคู่ได้ไปยังสถานที่ฝึกสอนการเขียนภาพพู่กันจีนของพ่อเธอ เมื่อพวกเขาไปถึงก็ได้พบกับชายร่างสูงอยู่กับหญิงสาวน้อยคนเมื่อวานรออยู่ก่อนแล้ว


เชิงชิเหยาจึงได้แนะนำตัวทั้งสองก่อนเนื่องจากไม่มีโอกาส ชายร่างสูงมีชื่อว่า ฮวงจิงฮง และสาวน้อยคนนี้มีชื่อว่า จูหยัน ชื่อเล่นว่าจูน้อย แต่เพื่อนชอบเรียกเธอว่าหมูน้อย


ภายในห้องเรียนนั้นมีนักเรียนอยู่ประมาณ 20-30 คน บางส่วนก็เป็นนักเรียนจริงๆ บางคนก็อายุล่วงเลยเข้าสู่วัยกลางคนแล้ว


เชิงกูยี่ หรือก็คือพ่อชองเชิงชิเหยาเองก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย เขาเองก็เป็นชายวัยกลางคนหนึ่งแต่ดูสง่างามและมีขายาวมาก สามารถบอกได้เลยว่าเชิงชิเหยานั้นได้เรียวขาและความสง่างามมาจากใคร


เมื่อชายหนุ่มทั้งหลายเห็นเชิงชิเหยาเข้ามาทุกคนก็ทำตาเป็นประกาย นี่ทำให้ซูจิ้งตั้งคำถามในใจขึ้นมาในทันทีเลยว่าพวกนี้เข้ามาเรียนจริงๆใช่รึเปล่าเนี่ย


 


แม้แต่ไอ้เจ้าฮวงจิงฮงที่อยู่ข้างๆเขาเองก็คงเป็นพวกเดียวกับพวกผู้ชายเหล่านี้สินะ


เมื่อบรรดาเหล่าชายหนุ่มผู้เห็นเชิงชิเหยาด้วยสายตาเป็นประกายเหลือบไปเห็นซูจิ้งเข้า ประกายที่ฉายมาเหล่านั้นแทบจะมอดดับไปในทันที กลับกลายเป็นเหล่าผู้หญิงที่กรี๊ดกันดังลั่น บางคนก็หันไปคุยกันจนเสียงดังเซงแซ่


ด้วยการที่ซูจิ้งในตอนนี้เป็นบุคคลที่ได้รับความนิยมชมชอบอยู่แล้ว ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตามย่อมเป็นที่จับตามองเป็นเรื่องปกติ เขานั้นโดดเด่นชนิดที่ว่ามองเห็นแวบเดียวก็รู้เลยว่าเขาคือใคร


“พ่อคะ หนูขอแนะนำเขาให้รู้จักค่ะ คนๆนี้คือซูจิ้ง” เชิงชิเหยาพูดออกมา


“สวัสดีครับ คุณเชิง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความเคารพ


“สวัสดีคุณซู เชิญนั่งได้” เชิงกูยี่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เอาจริงๆเขานั้นก็รู้จักซูจิ้งพอสมควรเหมือนกันแต่ว่าเขานั้นก็ไม่ได้ไว้หน้าซูจิ้งเพียงเพราะเขานั้นเป็นดารา เขาถือว่าซูจิ้งเขามาในฐานะนักเรียนคนหนึ่งของเขา


 


หลังจากนั้นได้และรอไปซักพัก เชิงกูยี่ก็ได้เริ่มการสอน ในตอนนี้ทุกคนในชั้นต่างก็นำสมุดโน๊ตและปากกาออกมา แน่นอนว่าซูจิ้งไม่ได้ใช้ของพวกนั้นแม้แต่น้อย เพราะเขาจำได้ทันทีแม้แต่จะไม่จะเป็นต้องตั้งใจฟังก็ตาม


เอาจริงๆเขานั้นก็ได้อ่านวิธีการวาดภาพเขียนจีนมาบ้างแล้วในอินเตอร์เนตและเขอเองก็พวกจำได้หมดเช่นเดียวกัน


เพียงแต่ข้อมูลบนอินเตอร์เนตนั้นค่อนข้างสะเปะสะปะและส่วนใหญ่ก็เป็นไปตามเทคนิคของแต่ละคนเสียมากกว่าชนิดที่ว่าเทคนิคแต่ละอย่างนั้นบอกไม่ได้เลยว่าถูกหรือผิด การที่เขามานั่งฟังถือได้ว่าเป็นการกรองข้อมูลเทคนิคการวาดพวกนั้นอีกที


แต่กลับเกิดเหตุที่ทำให้เขาต้องอึดอัดใจเล็กน้อยก็คือการสอนของเชิงกูยี่นั้นเป็นไปอย่างราบเรียบ


ไม่ได้เริ่มจากการสเก็ตรูปแต่อย่างใด เขาเริ่มบรรยายเทคนิคพื้นฐาน ซึ่งวิธีการนี้ถือได้ว่าดีต่อคนทั่วไปแต่กับซูจิ้งถือได้ว่าเสียเวลาอย่างมาก


 


หลังจากจบคาบการสอนแล้ว เชิงกูยี่ได้หยุดลงและลองให้ทุกคนลองวาดรูปด้วยวิธีการต่างๆที่เขาสอน


เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง จูหยันและคนอื่นๆต่างก็หยิบอุปกรณ์ของตัวเองขึ้นมาวาด แต่ซูจิ้งเลือกที่จะถามคำถามกับเชิงกูยี่แทน


เชิงกูยี่เห็นว่าอาจจะไปรบกวนสมาธิคนอื่นเขาจริงชวนซูจิ้งไปตอบคำถามหน้าห้องแทน


หลังเชิงกูยี่ตอบคำถามซูจิ้ง เขายังคงถามต่อไป ตอนแรกเชิงกูยี่นั้นก็อยากจะบอกซูจิ้งหลังจากจบคำถามแรกแล้วว่าซูจิ้งนั้นเพิ่งเริ่มเรียน ไม่ควรรีบร้อน เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะไม่เข้าใจ


แต่หลังจากเริ่มตอบคำถามไปได้ซักพักกลายเป็นว่าเขาเองกลับที่จะต้องกลายเป็นฝ่ายมึนตึ้บ นั่นก็เพราะว่าไม่เพียงซูจิ้งจะจำทุกอย่างที่เขาสอนได้ เขายังถามเจาะลึกจากคำถามของเขาได้จนพบแก่นของเทคนิคที่เขาสอนไป


ด้วยความทรงจำระดับนี้ และการเข้าใจสิ่งต่างๆขนาดนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่เชิงกูยี่อยากจะลองเชิงดูซักหน่อย


เขานั้นลองพูดให้เร็วขึ้น อธิบายให้ยากขึ้น แต่ซูจิ้งเองนั้นกลับเข้าใจได้เพียงไม่กี่นาที


เมื่อเห็นดังนั้น เชิงกูยี่จึงมอบวีดิโอการสอนเนื้อหาเชิงลึกให้กับซูจิ้งดู มันเป็นวีดิโอที่เขากำลังวาดรูปและสอนไปด้วยในเวลาเดียวกัน


ซูจิ้งเองก็มองตาไม่กระพริบ หลังจากนั้นเขาก็หันหลังเพื่อจะไปนั่งแล้วนำพู่กัน น้ำหมึก กระดาษ แท่นฝนหมึก และอุปกรณ์อื่นๆออกมา และเริ่มทำการวาดไป


เขาได้การวาดอย่างจริงจังและไม่วอกแวกแม้แต่น้อย เขาทำการวาดทุกสิ่งที่อยู่รอบห้องแต่เขาก็ไม่ได้วาดทุกอย่าง


ถึงแม้ตอนแรกจะดูเหมือนว่าการที่เขาไม่วาดเป็นเพราะวาดไม่ได้ก็ตาม อย่างเช็ดขอบโต๊ะ ผลไม้สด พวกนั้น ซึ่งก็เหมือนกับคนที่เพิ่งหัดวาดทั่วไป


เชิงกูยี่ที่ยืนดูอยู่ข้างๆเองก็ได้แต่ตกตะลึงอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้ไปขัดซูจิ้งแต่อย่างใด


 


ตอนนี้คนอื่นๆในชั้นเรียนมีบางส่วนที่เสร็จบ้างแล้วและเริ่มที่จะไปแอบมองงานของคนอื่นเพื่อที่จะประเมินฝีมือ บางคนก็ยังคงตั้งใจวาดอยู่ รวมถึงเชิงชิเหยาและฮวงจิงฮงที่วาดเสร็จแล้วและออกมาดูดีมากๆ


ทั้งสองเป็นคนที่มีฝีมืออันดับต้นๆของรุ่นนี้เลย แน่นอนว่าทั้งสองคนเองก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองอยู่บ้าง ฮวงจิงฮงนี่ยิ้มออกมาอย่างภูมิใจเลยด้วยซ้ำ


ในความคิดของเขานั้นทั้งเชิงชิเหยาและเชิงกูยี่ต่างก็ชอบและหลงใหลในภาพเขียนพู่กันจีนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชิงกู่ยี่ที่เรียกได้ว่าหลงรักเลยก็ว่าได้ เขานั้นเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นี้ต้องชนะใจทั้งสองได้อย่างแน่นอน


 


ทุกคนในตอนนี้เริ่มสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติ นั่นก็คือเชิงกูยี่ที่ปกติเมื่อจบช่วงการให้ลองวาดภาพตามที่สอนแล้วจะต้องออกมาดูและติชมงานของพวกเขา บางคนเห็นเขากำลังมองงานของซูจิ้งอยู่นิ่งๆ เงียบๆ และอยู่ในสภาพตกตะลึง พวกเขารู้สึกแปลกใจจึงเริ่มทยอยเดินไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ซักพักคนที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นก็มีสภาพไม่ต่างกัน


เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง และจูหยันเองก็เดินไปดู แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นภาพเขียนของซูจิ้ง พวกเขาก็อยู่ในสภาพเดียวกัน



GGS:บทที่ 835 อัจฉริยะ


 


มองเพียงแวบแรกนั้น ภาพเขียนของซูจิ้งนั้นดูสะเปะสะปะและกระจายกันไปไม่ต่อเนื่องราวกับว่าแค่ลองวาดหลายๆอย่างในหน้าเดียวกัน


และทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่ได้ถูกวาดอย่างสมบูรณ์ ราวกับว่าถูกสั่งให้หยุดวาดกลางคัน


อย่างไรก็เติมเมื่อทุกคนได้มองดูใกล้ๆต่างก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ


สิ่งที่ทุกคนเห็นในตอนนี้เหมือนกับว่าซูจิ้งไม่ได้วาดรูปแต่อย่างใด มันราวกับว่าซูจิ้งกำลังฝึกเทคนิคการวาดภาพเขียนจีนแต่ละเทคนิคในทีเดียวมากกว่า


 


การวาดรูปภาพเขียนจีนนั้นตามหลักการก็คือการเข้าใจแก่นแท้แห่งการตวัดปลายพู่กันโดยศิลปินผู้สรรสร้างผลงานศิลป์แต่ละชิ้น หรือก็คือเทคนิคในการใช้พู่กันและหมึกรวมถึงการลงสีในบางชิ้นงาน


ในวงการภาพเขียนพู่กันจีนนี้เป็นที่รู้กันดีว่าภาพเขียนพู่กันจีนเป็นที่นิยมมาตั้งแต่ยุคราชวงศ์หยวน และยังคงได้รับความนิยมมาอย่างต่อเนื่อง


นั่นย่อมหมายความว่าเทคนิคต่างๆในการวาดภาพเขียนพู่กันจีนมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน


อย่างน้อยชาวจีนในตอนนี้ก็ถือว่าภาพเขียนพู่กันจีนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอย่างแท้จริงอีกอย่างหนึ่ง


สิ่งที่สำคัญในการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายส่วน ไม่ว่าจะเป็นการแต้มหมึก ลากเส้น และลงสี


แต่ส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดนั้นมีอยู่สองส่วนได้แก่


ส่วนแรกการใช้พู่กัน หรือก็คือการลงลายเส้น ลายเส้นที่ว่านี้ก็คือการบังคับเส้นหมึกที่ลงได้ดั่งใจนึก หนา บาง


ส่วนที่สองก็ถือได้ว่าสำคัญไม่น้อยกว่ากันก็คือการใช้หมึก


การใช้หมึกที่ว่าก็คือการลงสีหมึกให้มีลักษณะเข้ม จาง การใช้หมึกเปียก หมึกแห้ง น้ำหนักหมึก


แม้แต่ชนิดของพู่กันที่ใช้ในหมึกแต่ละชนิดเองก็ถือได้ว่าอยู่ในเทคนิคกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน


จึงถือได้ว่าทั้งเทคนิคทั้งสองสายนี้ต้องมีการพัฒนาความคู่กันไป แต่นี่ก็เป็นเพียงการแบ่งกลุ่มใหญ่ๆเท่านั้น ซึ่งยังมีการแบ่งทคนิคแยกย่อยได้อีกมากมายหลากหลายแทบนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว


ตัวอย่างเช่นลักษณะขนของพู่กันจีน ขนพู่กันจีนแบ่งหลักๆได้สองแบบนั่นคือแบบที่มีขนพู่กันพุ่งแหลมตรงกลางกับแบบที่มีขนพู่กันเท่ากันทั้งระนาบ


แน่นอนว่าชนิดที่มีขนพู่กันทั้งระนาบยังมีอีกหลากหลายทั้งแบบทรงกลม สามเหลี่ยม หรือสี่เหลี่ยม ซึ่งขนพู่กันเหล่านี้ย่อมส่งผลต่อลายเส้นที่ออกมาเช่นเดียวกัน


หากจะให้เล่ารายละเอียดว่ามีแต่ละชนิดมีผลต่อภาพยังไงละก็ สามารถอธิบายได้คร่าวๆว่าแปรงแต่ละชนิดนั้น


เมื่อจุ่มลงไปในหมึกแล้วนอกจากจะได้รายเส้นที่มีลักษณะแตกต่างๆกันแล้ว ความรู้สึกที่ส่งผ่านจากขนพู่กันมาสู่มือนั้นล้วนแล้วแต่ให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน


บ้างก็ระสึกยุ่งเหยิง บ้างก็ละมุน บ้างก็ทำให้ตวัดลายเส้นได้เฉียบคม บ้างก็ทำให้ลายเส้นรู้สึกหนักแน่น


ถึงแม้จะบอกว่าเทคนิคที่ใช้จะขึ้นอยู่กับมุมของหัวพู่กันที่ลงเส้น แต่ยังไงเสียเทคนิคแต่ละอย่างล้วนเริ่มจากลักษณะหัวของพู่กันอยู่ดี


นอกจากนี้ลักษณะขนพู่กันยังมีแบบปัดหน้า ปัดหลัง หรือก็คือเป็นหัวพู่กันที่เหมาะกับลักษณะการลงเส้นของศิลปินแต่ละคน


แน่นอนว่าต่อให้ใช้เทคนิคเดียวกันแต่ลักษณะขนพู่กันแตกต่างกันย่อมทำให้ภาพที่ได้ออกมามีลายเส้นต่างกัน แถมยังส่งผลต่อความแห้งและความคมของเส้นด้วยเช่นกัน


 


นอกจากนี้การเลือกพู่กันนั้นยังส่งผลให้เกิดลักษณะของภาพเขียนพู่กันจีนที่เรียกว่า จูเฟิ่ง และ ซานเฟิ่ง


จูเฟิ่งนั้นเป็นงานภาพที่มีการใช้การจุ่มน้ำหมึกเพียงครั้งเดียวในการวาดภาพ


ภาพที่ได้นั้นจะให้ความรู้สึกมีมิติล้ำลึก ประหนึ่งดังมีของจริงอยู่ตรงหน้า


โดยทั่วไปแล้วมักจะวาดเป้าหมายหลักของภาพให้เสร็จและค่อยๆตกแต่งรูปภาพ


โดยอาศัยพู่กันที่แห้งลงจากการที่ใช้หมึกวาดภาพไปก่อนหน้าหมุนอย่างเร็วให้ขนแปรงสะบัดแผ่ออกจากตรงกลางแล้วหมุนหัวพู่กันบี้ไปบนกระดาษประหนึ่งดังนำกลีบดอกไม้มาจุ่มหมึกป้ายไปมา


นี่คือเทคนิคที่อาศัยความแห้งและความชื้นของน้ำหมึกในพู่กันสร้างภาพ จนทำให้เกิดมิติที่ซับซ้อนขึ้นมา


หากพูดถึงเทคนิคทั้งหลายทั้งมวลแล้ว ความเร็วในการตวัดพู่กันเองก็ถือได้ว่าเป็นเทคนิคที่ต้องใช้ทักษะชั้นสูงเช่นเดียวกันและนั่นก็ยิ่งเพิ่มคุณค่าของภาพๆนั้น


แต่สุดท้ายแล้วเทคนิคการวาดๆต่างๆที่ว่ามาเหล่านี้ล้วนแต่เป็นเทคนิคพื้นฐานทั้งสิ้น


การเข้าถึงแก่นแต่ละเทคนิคพวกนี้ได้ไม่ต้องถึงสี่ แค่เพียงหนึ่ง ก็ถือได้ว่าเป็นระดับปรมาจารย์ได้แล้ว


 


สำหรับงานภาพเขียนจีนโบราณแล้วยังมีเทคนิคการใช้หมึกหกลักษณะด้วยกันได้แก่ ดำ ใส เข้ม จาง แห้ง และเปียก


เทคนิคการใช้หมึกเหล่านี้ช่วยทำให้ภาพนั้นเกิดความล้ำลึก เสริมมิติ และเสริมสร้างความรู้สึกได้เช่นเดียวกับเทคนิคการใช้พู่กันเช่นเดียวกัน ดั่งคำกล่าวของจีนที่ว่า พู่กันคือกระดูก หมึกคือเลือดเนื้อ


นี่ยังไม่พูดถึงวิธีการใช้น้ำในการผสมในหมึกให้เกิดลักษณะห้าอย่างได้แก่ ข้นคลักเเหบแห้ง ข้นเหนียว ข้นดำพอประมาณ จางลง และจางจนแทบใส(สีถ่าน สีดำเข้ม สีดำ สีเทากลาง สีเท่าอ่อน) เหตุผลก็เพราะอายุของหมึกเองก็ส่งผลต่อคุณภาพของหมึกเช่นเดียวกัน


ถึงจะบอกกันว่าหมึกที่ดีที่สุดคือหมึกใหม่ แต่กับบางคนสามารถใช้หมึกเก่าได้อย่างทรงพลังก็มี


โดยอายุของหมึกสามารถแบ่งออกเป็น อ่อนวัย สดใหม่ อยู่กับตัวตน อ่อนล้า แห้งเหี่ยว


แต่ละช่วงอายุเองก็จะได้น้ำหมึกที่ให้ความรู้สึกไม่เหมือนกันแบ่งออกเป็น แห้งกรัง แห้ง ชื้น เปียก และ แฉะ


สำหรับการใช้เทคนิคการใช้พู่กันและการใช้หมึกนี้จะอาศัยความรู้สึกที่ได้พวกนี้นำมาผสมกัน หรือก็คือนำคำในลักษณะแต่ละเทคนิคมาผสมกันจนเกิดเป็นภาพอันวิจิตร ดูเสมือนเป็นของจริงหรือที่เรียกว่าภาพดูมีชีวิต


 


วิธีการลงเส้นหมึกสำหรับงานเขียนพู่กันจีนนั้นมีอยู่ด้วยกันเจ็ดวิธีได้แก่ การลงเส้นแบบละเอียด(บาง) การลงเส้นเบา การลงเส้นหนัก การลงเส้นหนักและเบาผสมกัน การลงหมึกเปียก การลงไร่น้ำหนักสี และการกระจายน้ำหมึก


เหล่านี้เป็นเพียงวิธีการใช้น้ำหมึกระดับพื้นฐานเท่านั้น แน่นอนว่ามีวิธีการอื่นๆอีก


 


ด้วยเทคนิคที่ต้องเรียนรู้และจดจำมากมายขนาดนี้ทำให้กล่าวได้ว่าการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนั้นถือได้ว่ายากที่จะเรียนรู้และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้


หากจะเรียนให้ถึงแก่นเพียงเทคนิคเดียวก็แถบจะใช้เวลาไปแล้วเกือบชั่วชีวิต


หากว่าอยากจะเรียนรู้เทคนิคได้ถึงแก่นแท้ทั้งหมดล่ะก็ ต่อให้ชั่วทั้งชีวิตก็สมควรจะไม่เพียงพอ


เอาจริงๆแค่เข้าใจถ่องแท้เพียงหนึ่งหรือสองเทคนิคก็เกินพอที่จะเป็นปรมาจารย์ได้แล้ว


ต่อให้อัจฉริยะแค่ไหนเต็มที่ก็ควรจะเรียนติดต่อกันได้ไม่เกินสองปีก็สมควรจะยอมแพ้แล้ว


แต่ในตอนนี้ซูจิ้งได้กระทำการใช้เทคนิคทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้มาเมื่อสักครู่บวกกับเทคนิคต่างๆที่เขาได้เรียนรู้มาจากอินเทอร์เน็ต นำมาทดลองวาดภาพเขียนที่อยู่ตรงหน้า


 


โดยปกติแล้วสำหรับคนที่เริ่มเรียนรู้ แต่กลับกระหายในความรู้และต้องการเรียนรู้อย่างรวดเร็วอย่างซูจิ้งนั้น เชิงกูยี่ก็เคยเห็นมาไม่น้อยแล้วละสุดท้ายก็จับลงที่ความล้มเหลว


ในตอนแรกเชิงกู่ยี่เองคิดผิดหวังไปก่อนแล้วว่าซูจิ้งนั้นสมควรจะไม่สามารถเรียนรู้อะไรไปได้เลย


แต่เมื่อเขานั้นได้เห็นซูจิ้งในตอนนี้ที่ดูเหมือนเขาเองก็เพิ่งจะเริ่มวาดภาพเขียนพู่กันจีนแบบจริงจังเป็นครั้งแรกเลยด้วยซ้ำ


ในตอนแรกถึงแม้ภาพของซูจิ้งมันออกจะดูสะเปะสะปะไปบ้าง แต่เมื่อซูจิ้งเล่มวาดรูปที่สองในกระดาษแผ่นเดียวกันเห็นได้ชัดว่าดีขี้นกว่าครั้งแรก เมื่อเขาหยุดและไปเริ่มวาดรูปที่สามก็ปรากฎว่าดีขึ้นกว่าครั้งที่สอง


และเมื่อเขาได้ทดลองใช้เทคนิคการใช้พู่กันจีนและเทคนิคการใช้น้ำหมึกไหนก็ตามจนถือได้ว่าสมบูรณ์แล้ว เขาก็จะเปลี่ยนไปใช้เทคนิคอื่นในทันทีและก็ได้ทำแบบเดียวกันไปเรื่อย


นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรูปที่ซูจิ้งวาดในตอนแรกนั้นดูสะเปะสะปะ แต่กลับแฝงไว้ด้วยการใช้เทคนิคอันลำลึก


แถมความเร็วในการวาดเองก็ถือได้ว่าเร็วจนน่ากลัวเสียด้วยซ้ำ เร็วจนสามารถบอกได้เลยว่าความสามารถในการเรียนรู้การใช้เทคนิคและการวาดภาพเขียนพู่กันจีนของเขานั้นน่าสะพรึงกลัวต่อคนอื่น แต่เป็นเรื่องกล้วยๆสำหรับเขา


“พระเจ้า… นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า นี่มันการกระจายหมึก(เกลี่ยหมึก) นี่เขาเรียนรู้มันได้จริงๆอย่างนั้นเหรอเนี่ย”


“พวกเราได้ใช้เวลาเรียนรู้เทคนิคพวกนี้มานานมากแล้วแต่ก็ยังทำไม่ได้ดีเลยซักอย่าง แต่เขาเพียงแค่ลองใช้เพียงสองสามรูปก็เข้าใจได้สมบูรณ์แล้ว”


“นั่น ดูนั่นสิ รูปภูเขาครึ่งลูกที่เขาเพิ่งจะวาดไปนั้นน่ะ มันสวยงามขนาดนั้นได้ยังไง นี่คือฝีมือของคนที่พึ่งจะเริ่มหัดเรียนจริงๆอย่างนั้นหรอ”


“ไม่ใช่ว่าเขานั้นเป็นระดับปรมาจารย์ภาพเขียนพู่กันจีนอยู่แล้วหรอ แล้วเขามาที่นี่เพียงเพื่อแกล้งหลอกให้พวกเราดูถูกเขาเล่นรึเปล่า”


ทุกคนที่ดูอยู่ในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าซูจิ้งไม่ใช่คนที่พึ่งจะเริ่มเรียนแต่กลับเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพพู่กันจีนอยู่แล้ว เขาสมควรเข้ามาที่นี่เพื่อทำให้ทุกคนตื่นตะลึงเท่านั้นเอง


หากไม่ใช่ละก็ก็ไม่มีทางที่จะมีใครสามารถเรียนรู้เทคนิคต่างๆในการวาดภาพเขียนพู่กันจีนได้เร็วขนาดนี้


หากเป็นเรื่องจริงล่ะก็ ซูจิ้งก็สมควรจะเป็นสัตว์ประหลาดในคราบมนุษย์อย่างแน่นอน


เชิงชิเหยาและจูหยันนั้นรู้สึกประหลาดใจต่อภาพของซูจิ้งอย่างมาก


ฮวงจิงฮงนั้นในตอนนี้เขานั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางคิดไปว่าซูจิ้งนั้นมีดีด้านอีกอยู่หลายอย่างแล้ว


หากเขาจะมีฝีมือด้านการวาดภาพพู่กันจีนอยู่บ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ระดับความสามารถของซูจิ้งในการเขียนภาพพู่กันจีนที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้ทำให้ฮวงจิงฮงเจ็บปวดอย่างมาก


เพราะต่อให้ซูจิ้งมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ในระดับฟ้าประทานซักแค่ไหน เขาก็ไม่ควรที่จะเรียนรู้เทคนิคได้ด้วยการหัดใช้เพียงสองสามครั้งก็สมบูรณ์


หากจะคิดว่าซูจิ้งนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการวาดภาพเขียนพู่กันจีนอยู่แล้วก็สมควรจะล้มล้างสถิติที่เขาวาดภาพเขียนพู่กันจีนมาทั้งชีวิตได้เพียงช่วงไม่กี่นาทีแบบนี้


 


เชิงกูยี่ในตอนนี้ก็ถึงกับตกตะลึงอยู่ไม่น้อย แต่เขานั้นเชื่อซูจิ้งได้อย่างสนิทในว่าซูจิ้งนั้นเพียงพึ่งจะเริ่มการเรียนรู้การวาดภาพพู่กันจีนเท่านั้น


นั่นก็เพราะเขาสังเกตุเห็นว่าตอนที่ซูจิ้งวาดรูปแต่ละรูปออกมาโดยใช้แต่ละเทคนิคนั้น เมื่อเขาพบปัญหาซูจิ้งจะหยุดเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียน้ำหมึกอย่างเปล่าประโยชน์ ก่อนจะหันมาสอบถามกับเชิงกูยี่ทุกครั้ง


เมื่อเขาเข้าใจแล้วก็จะเริ่มวาดใหม่ในทันที มันเหมือนกับว่าซูจิ้งนั้นเป็นผู้หลงใหลในการวาดภาพเขียนพู่กันจีนอย่างแท้จริง แต่ขาดเพียงผู้ประสิทธิประสานความรู้ต่างๆที่เขามีอยู่เท่านั้นเอง


เชิงกู่ยี่ในตอนนี้มีความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาอย่างสุดหัวใจ เขาเองก็ได้รู้จักเหล่าผู้คนที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะมามากมาย แต่ในครั้งนี้เขาได้พบกับอัจริยะในหมู่สุดยอดอัจฉริยะ ที่สุดแสนจะหายากในอัจฉริยะบุคคลทั้งหลายที่เขาเคยพบหรือเคยได้ยินมา


 


เอาจริงๆซูจิ้งนั้นก็ไม่ได้อัจฉริยะมาจากไหนหรอก เพียงแต่เขานั้นมีความสามารถที่หลากหลายและอยู่ในระดับเหนือกว่าคนทั่วไปในโลกนี้เท่านั้นเอง


 


ถ้าจะให้พูดว่าเขานั้นมีความสามารถอะไรบ้าง


 


อย่างแรก ซูจิ้งเป็นปรมาจารย์ด้านการเขียนอักษรจีนอยู่แล้ว และแน่นอนว่าถึงแม้พู่กันและน้ำหมึกที่ใช้ในงานศิลป์ทั้งสองอย่างนี้จะต่างกันอยู่


แต่ยังไงแล้วก็ยังถือว่าคล้ายกันอยู่ดี แน่นอนว่าเขานั้นย่อมคุ้นเคยกับการใช้น้ำหมึกและพู่กันไปโดยปริยาย


 


อย่างที่สอง ซูจิ้งนั้นมีสุดยอดความทรงจำและกระบวนการคิดที่เหนือล้ำกว่าคนทั่วไป


เขานั้นสามารถเป็นปรมาจารย์ในแต่ละด้านได้โดยเริ่มจากการที่เขานั้นสามารถจำรายละเอียดของสิ่งที่เขาต้องการเรียนรู้ได้อย่างกระจ่างแจ้ง


เมื่อเขานั้นได้ลงมือทำ หรือสัมผัสด้วยประสาททั้ง 5 ไปครั้งหนึ่งแล้ว เขานั้นจะไม่มีทางลืมมันได้เลย


จึงบอกได้เลยว่าเขานั้นมีความรู้แทบจะในทุกแขนงอยู่แล้ว เพียงแต่อาจต้องมีการเคาะสนิมเพื่อให้รื้อฟื้นความรู้สึกให้เข้ารูปเข้าลอยก่อนสักเล็กน้อยก็พอ


เขาจึงกล้าบอกออกมาได้อย่างเต็มปากว่าเขานั้นเป็นมือใหม่อย่างแท้จริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้รู้อะไรเลย


 


อย่างที่สาม ซูจิ้งนั้นมีสภาพร่างกายที่เหนือล้ำกว่าใครๆ เขานั้นมีสายตาขนาด 0.1 มีมือที่มั่นคง และจิตใจที่สงบ


ต่อให้เขาต้องการเขียนอะไรก็ตามที่เล็กมากขนาดไมครอน(อนุภาพ 10-6เมตร) เขาก็สามารถเขียนได้อย่างสบายๆ


ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่เขานั้นได้เรียนรู้การบ่มเพาะพลังวิญญาณ(พลังศักดิ์สิทธิ์) ทำให้เขานั้นสร้างภาพต่างๆขึ้นมาภายในจิตใต้สำนึก


นี่ทำให้เขานั้นสามารถวาดภาพเขียนเหล่านี้ได้ราวกับกำลังนั่งมองของจริงอยู่นั่นเอง


ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ทำให้ระดับในการเรียนรู้ของซูจิ้งนั้นเหนือล้ำกว่าใครๆ ต่อให้เป็นอัจฉริยะถ้ากล้าเข้ามาลองเชิงเขาละก็เหมือนกับรนหาที่เท่านั้นเอง



GGS:บทที่ 836 สาวงาม


 


วันถัดๆมา ซูจิ้งยังคงมาเรียนเทคนิคต่างๆอย่างต่อเนื่องในทุกๆวัน


เขายังคงทำซ้ำอย่างเดิมคือลองวาดตาม ติดขัดก็ถามเชิงกูยี่ เสร็จแล้วก็ทำใหม่จนสมบูรณ์ ถึงแม้ภาพของเขาจะไม่มีเสร็จเลยซักภาพก็ตาม


แต่ถ้าพูดถึงในด้านเทคนิคแล้วถือได้ว่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ยิ่งวาดยิ่งมีความละเอียด ละเมียด และสมบูรณ์ พอจะกล่าวได้ว่าซูจิ้งเป็นปรมาจารย์ในแต่ละเทคนิคที่เขาได้เรียนรู้จากเชิงกูยี่เรียบร้อยแล้ว


 


ซูจิ้งเริ่มให้ความสนใจการเรียนรู้เรื่องทฤษฎีมากขึ้น ตัวอย่างเช่นสมดุลของภาพ แนวคิดทางศิลปะ และเรื่องอื่นๆอีก


แต่ที่น่าประหลาดใจต่อเชิงกูยี่ก็คือเมื่อซูจิ้งถามเกี่ยวกับเรื่องทฤษฎีไปเพียงไม่กี่คำถามเขาก็หยุดถามลง


ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าซูจิ้งพอจะรู้ในเรื่องพวกนี้อยู่แล้วเลยไม่ถาม หรือว่าเขาไม่เข้าใจเลยเลยไม่ถามต่อเพราะมันน่าปวดหัวเกินไปกันแน่


 


วันนี้ซูจิ้งยังคงเข้าไปเรียนตามปกติ เขาอยู่จนหมดเวลาสอนแล้วแต่ซูจิ้งก็ยังคงนั่งเรียนต่อไป


เขาทำการวาดภาพของเขาไปเรื่อยๆจนลืมเวลา หากมองในเรื่องของสมาธิและความตั้งมั่นแล้วซูจิ้งถือได้ว่านำหน้าคนอื่นไปไกลมากแล้ว


เชิงกูยี่เองก็อยู่ข้างๆซูจิ้งเช่นเดียวกันแต่เขาก็ไม่ได้ไปกวนซูจิ้งแต่อย่างใด


ถ้าจะพูดให้ถูกก็ควรจะเป็นเขาทึ่งจนทำอะไรไม่ถูกมากกว่า ผ่านไปสองชั่วโมงก็แล้ว สามชั่วโมงก็แล้ว และก็ได้เข้าสู่ชั่วโมงที่สี่ ซูจิ้งก็ยังคงวาดภาพเขียนของเขาต่อไปอย่างไม่มีท่าทีว่าจะหยุด


 


เชิงกูยี่เองก็ไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเช่นกัน เขายังคงจ้องมองภาพเขียนของซูจิ้งโดยไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าแต่อย่างใด


แต่เขาเองก็เผลอหลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้เช่นกัน เมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงเย็นแล้ว เขานั้นรู้สดชื่นยิ่งกว่าการนอนตามปกติซะอีก เขาเองก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าตอนแรกอยู่ที่โต๊ะทำไมถึงมานอนตรงนี้ได้


ความจริงแล้วเป็นซูจิ้งเองที่สะกดจิตให้เชิงกูยี่หลับไปเพราะว่าเขาห่วงใยในสุขภาพของอาจารย์ของเขา หลังจากเชิงกูยี่หลับไปแล้วเขาจึงเขาให้ชิเหยาช่วยพาไปนอน


 


เมื่อเชิงกูยี่ตื่นขึ้นมาแล้วเห็นว่าซูจิ้งยังคงวาดรูปอยู่นั้นเขาก็ยอมรับซูจิ้งด้วยใจของเขาเรียบร้อยแล้วไม่ว่าจะเป็นความสามารถและทักษะ


เขาไม่แปลกใจอีกต่อไปที่ซูจิ้งนั้นได้รับความนิยม เขาเหมือนดาราทั่วไปที่มีเพียงทักษะนิดหน่อยและหน้าตาดีเพียงเท่านั้น ซูจิ้งคือคนที่คู่ควรกับคำว่าดาราแล้วจริงๆ


 


“อาจารย์เชิง อาจารย์ไปพักก่อนก็ได้ครับ ผมเองก็จะวาดต่ออีกนิดหน่อยก็น่าจะเสร็จแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา


“นายต่างหากที่ต้องพักบ้าง การทำงานหนักมันดีก็จริงแต่เมื่อเหนื่อยล้าเกินไปล่ะก็ตัวนายเองก็จะเสียมากกว่าได้นะ ยังไงก็เสร็จแล้วก็ล็อกประตูให้ด้วยแล้วกัน” เชิงกูยี่ยิ้มและพูดออกมาด้วยท่าทีห่วงใย


“ได้ครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม


 


เชิงกูนี่ได้ออกจากห้องไป เหลือเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่อยู่ในห้องนี้


เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครจริงๆแล้ว ซูจิ้งได้หยุดมือลงพร้อมนั่งอย่างเงียบสงบซักพัก หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดออกมาลอยๆว่า “มันน่าจะคล้ายๆกันนะ ลองดูดีกว่า”


เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้หยิบพู่กันจีนขึ้นมาและได้เริ่มสร้างผลงานภาพเขียนพู่กันจีนของเขาจริงๆ


วันถัดมา วันนี้เป็นวันอาทิตย์


เชิงกูยู่ได้กลับเข้ามายังที่ห้องเรียนนี้เป็นคนแรกซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติ


หลังจากที่เขาเปิดประตูแล้ว เขานั้นก็ได้มานั่งลงที่ที่ซูจิ้งนั่งวาดรูปทิ้งไว้ซึ่งตอนนี้ก็เป็นกิจวัตรประจำวันของเขาไปแล้ว


ถึงแม้รูปของซูจิ้งจะไม่เสร็จสักรูปก็ตามแต่เขาก็ยังชื่นชอบที่จะได้มองพวกมันอยู่ทุกวัน


นั่นก็เพราะว่าเขานั้นรู้สึกชื่นชมในตัวซูจิ้งที่มีพัฒนาการที่เร็วเกินกว่าใครๆที่เขาเคยพบ


เมื่อเขาได้เห็นภาพพวกนี้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกหลายๆอย่าง ทิ้งความรู้สึกเป็นเกียรติ ยินดี ตื่นเต้น และภูมิใจ ที่ได้มีโอกาสสอนอัจฉริยะบุคคลที่เหนือกว่าคนที่ถูกเรียกว่าอัจฉริยะแบบนี้


มีเหล่าอาจารย์มากมายหลากหลายที่ต้องการลูกศิษย์ดีๆแบบนี้เพียงคนเดียวก็เพียงพอ แต่ก็บอกได้เลยว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง


มันก็เหมือนกับการงมเข็มในมหาสมุทรเลยที่จะได้พบกับคนที่จะพร้อมรับความรู้ทุกอย่างได้เพียงวันเดียวแบบนี้


การที่เขามีโอกาสได้สอนซูจิ้งแต่กลับรู้สึกได้ว่าเป็นเกียรตินั้นก็ถือได้ว่าไม่ได้กล่าวเกินเลยแต่อย่างใด


ในขณะที่เขารู้สึกแบบนั้น เมื่อเขาได้เห็นภาพใบสุดท้ายที่น่าจะเป็นภาพที่ซูจิ้งวาดไว้เมื่อคืน


เขาเองก็ต้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะภาพนั้นไม่ใช่ภาพที่ยังไม่เสร็จแบบภาพอื่นๆ


เขานั้นได้พิจารณาภาพดูอีกครั้งก่อนที่ดวงตาของเขาจะเบิกกว้าง และแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา


เขาตื่นเต้นจนหายใจระรัวก่อนจะพูดออกมาลอยๆว่า “พระเจ้า นี่มัน เป็นไปได้ด้วยเหรอเนี่ย”


ภาพที่เชิงกูยี่ได้เห็นอยู่ตอนนี้ก็คือภาพของคนๆหนึ่ง ไม่สิต้องบอกว่าเป็นภาพของหญิงงามคนหนึ่ง


เขาจำได้ในทันทีที่เห็นว่านี่คือภาพของเชิงชิเหยา มันเป็นภาพของลูกสาวของเขาที่อยู่ในชุดกระโปรงยาว


เธอนั้นกำลังหันไปมองข้างหลังพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย ผมของเธอปลิวสลวยลอยอยู่บนอากาศ ช่างเป็นภาพที่ดูมีชีวิต มันเหมือนกับว่าภาพนี้เป็นภาพลูกสาวเขาที่อยู่ในช่วงที่ดูดีที่สุด สวยที่สุด ราวกับว่าเขาได้เห็นลูกสาวแสนสวยได้มาอยู่ตรงหน้าเขาจริงๆ


 


โดยทั่วไปแล้วเชิงกูยี่เองไม่ได้ชอบเลยสักนิดเวลาที่เขาได้เห็นชายหนุ่มมาทำการวาดรูปของลูกสาวของเขานอกจากตัวเขาเอง


ไม่ใช่ว่าเพราะเขาหวงลูกสาวแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะว่าพวกผู้ชายเหล่านั้นวาดรูปของลูกสาวเขาด้วยจิตใจอันไม่บริสุทธิ์ทำให้รูปของลูกสาวของเขาที่ออกมาไม่ได้สวยงามเท่าตัวจริงได้เลยแม้แต่น้อย


ถือได้ว่าชายหนุ่มเหล่านั้นมีฝีมือไม่เพียงพอที่จะสร้างผลงานที่คู่ควรนี่จึงทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดใจทุกครั้งที่เห็นรูปลูกสาวตัวเองที่ไม่สวยงามเลยสักนิด


แต่กลับรูปนี้ต่างออกไป เขานั้นหลงใหลในรูปนี้ทันทีที่เห็นและชอบมันอย่างที่สุด


“อาจารย์ อาจารย์เข้ามาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ” นักเรียนของเชิงกูยี่ได้เริ่มเข้ามาเรียนแล้ว พวกเขาได้กล่าวทักทายเชิงกูยี่แต่ก็เหมือนว่าเขานั้นมัวแต่จ้องมองอะไรอยู่จนไม่ได้สนใจพวกเขาแต่อย่างใด จนนักเรียนกลุ่มนั้นเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมา


นักเรียนกลุ่มนั้นที่กำลังสงสัยว่าอาจารย์ของพวกเขาเป็นอะไรอยู่ เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากขึ้นและสังเกตุเห็นภาพก็ได้ทำตาโตเท่าไข่ห่านกันเป็นแถบ


“พระเจ้า โคตรสวย”


“มันเป็นภาพของพี่ชิเหยา มันสวยราวกับมีชีวิตแบบนี้เลยหล่ะ”


“ใช่มันสวยราวกับมีชีวิตจริงๆ เหมือนกับว่าพร้อมจะออกมาจากภาพได้ทุกเมื่อเลย”


“นี่เป็นภาพเขียนของซูจิ้งงั้นหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน”


ทุกคนที่เห็นต่างตกตะลึง และแสดงใบหน้าทึ่งและทึ่มออกมาพร้อมๆกัน


ยิ่งเวลาผ่านไปมากเท่าไหร่ เหล่านักเรียนก็ยังเข้ามายังห้องเรียนแห่งนี้มากขึ้น ทุกคนที่เห็นต่างก็ตกอยู่ในสภาพเดียวกันเมื่อได้เห็นผลงานของซูจิ้งภาพนี้


หลังจากผ่านไปสักพัก เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง และจูหยันเองก็ได้เข้ามา เมื่อพวกเขาได้เห็นคนที่กำลังจ้องมองบางสิ่งไปในทิศทางเดียวกันก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยออกมา


“เกิดอะไรขึ้น” เชิงชิเหยาถามนักเรียนคนหนึ่งที่ยืนอยู่


“พี่ชิเหยา พี่ลองมาตรงนี้หน่อยสิ และลองดูนี่ดู” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดออกมา


เมื่อได้ยินดังนั้น เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง และจูหยันได้แหวกฝูงคนเข้าไปด้านหน้าเพื่อดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


ทันทีที่พวกเขาได้เห็นต่างก็ทำตาโตและท่าทางตกตะลึงออกมาอย่างเห็นได้ชัด ต่อให้เป็นคนทั่วไปมาเห็นก็สมควรจะมีท่าทีไม่ต่างไปกับพวกเขาอย่างแน่นอนเมื่อได้เห็นภาพเขียนพู่กันจีนชั้นเลิศแบบนี้


“พระเจ้า นี่เป็นภาพเขียนของซูจิ้งจริงๆอย่างงั้นหรอ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”


“นี่เป็นที่นั่งของเขา ถ้าไม่ใช่ภาพของเขาแล้วจะเป็นใครได้กันล่ะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมา


“ถ้าเขานั้นเรียนมานานนับปี ฉันก็ยังพอรับได้นะ แต่นี่เขาเรียนมาแทบจะยังไม่เกินสัปดาห์เลย ฝีมือของเขานอกจากจะไม่ใช่แค่ดีสุดๆแล้ว แต่นี่ยังผนวกเอาทฤษฎีงานศิลป์มาใช้จนสร้างผลงานงามเลิศแบบนี้ออกมาได้ จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” จูหยันพูดออกมาด้วยท่าทางตกตะลึง


“นี่เธอไม่เห็นความเร็วในการเรียนรู้ของเขารึไง เขานั้นเป็นตัวประหลาดอย่างแท้จริง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเขานั้นถึงได้รับความนิยมชมชอบมากนัก


แม้แต่ปีศาจที่เรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างรวดเร็วก็ยังไม่สู้เขาเลยจริงๆ”


“นี่ซูจิ้งหลงใหลในความงามของชิเหยาจนต้องวาดรูปออกมาเลยหรอ”


“พี่ชิเหยาไม่ได้มาเมื่อวานนี้ นั่นก็หมายความว่าซูจิ้งวาดรูปจากจินตนาการของเขาที่จดจำพี่ไว้ ดูเหมือนว่าเขานั้นจำได้อย่างแม่นยำเลยล่ะนั่น”


“เฮ้ ฉันว่าฉันกำลังได้กลิ่นคนซุบซิบนินทาอยู่นะ”


 


หลังจากได้ยินคนที่อยู่รอบๆเริ่มพูดคุยเรื่องภาพเขียนนี้ เชิงชิเหยาเองก็อดไม่ได้ที่จะโวยวายออกมา


ไม่ว่าใครจะคิดยังไงก็ตามแต่สุดท้ายแล้วภาพนี้ก็เป็นเพียงภาพของหญิงสาวที่สวยงามและน่าหลงใหล แถมยังสามารถตราตรึงใจไว้กับคนที่พบเห็นได้เป็นอย่งดี


เมื่อฮวงจิงฮงได้เห็นใบหน้าของเชิงชิเหยาที่กำลังเขินอายในขณะที่ไปไล่ทุบตีเหล่าคนที่กำลังนินทาเธออยู่นั้น ใบหน้าของเขาแสดงออกมาด้วยท่าทางน่าเกลียดในทันที


ภาพๆนี้ไม่เพียงเป็นการแสดงให้เห็นทักษะอันสูงล้ำของซูจิ้งในการวาดภาพเขียนพู่กันจีนเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นการบ่งบอกว่าต่อให้เป็นเรื่องที่เขามั่นใจที่สุดก็ยังสู้ซูจิ้งไม่ได้


ถึงแม้เขาจะรู้ตัวอยู่บ้างก่อนหน้านี้แล้วก็ตามแต่ก็ไม่เคยจะคิดว่าฝีมือจะห่างชั้นกันขนาดนี้


ยิ่งไปกว่านั้น การที่ซูจิ้งวาดรูปของเชิงชิเหยาออกมาได้งามเลิศไร้ที่ติขนาดนี้ย่อมทำให้เธอเกิดความรู้สึกดีๆต่อซูจิ้งอย่างมากแน่นอน


นี่ทำให้ฮวงจิงฮงเป็นปฏิปักษ์ต่อซูจิ้งในทันที


“อย่าพูดอะไรไร้สาระน่า ซูจิ้งเขามีแฟนแล้วนะ” เชิงชิเหยาเองก็พยายามอธิบายเต็มที่


“เหรอ…” คนที่ได้ยินต่างก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด ยิ่งเธอพูดออกมาแบบนี้มันจะไม่ให้คนคิดว่าเป็นรักสามเส้าก็แปลกล่ะ


ได้ยินดังนั้นเชิงชิเหยาก็ไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงแต่ เธอทำได้เพียงกระทืบเท้าขู่ออกมาเล็กน้อยอย่างน่ารัก


เอาจริงๆเธอเองก็ใช่ว่าจะไม่รู้สึกกับเรื่องนี้ เธอเองก็สงสัยเหมือนกันว่าที่ซูจิ้งประทับใจในตัวเธอจนต้องวาดรูปออกมาเลยอย่างนั้นเหรอ


แต่ซูจิ้งเองก็มีแฟนอยู่แล้วที่ชื่อว่าฉือชิง แถมเธอเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับพี่ซือหยาอีกด้วย แล้วเขาจะมาชอบหลงใหลได้ยังไงกัน


 


“เอาหล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระกันได้แล้ว ภาพนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรอย่างที่ชิเหยาพูดนั่นแหล่ะ”


ถึงแม้ว่าเชิงกูยี่จะชอบภาพนี้มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่เขาเองก็ไม่ได้อยากให้ภาพที่สวยงามขนาดนี้เป็นต้นตอของข่าวลือที่ยังไม่รู้ที่มาแต่อย่างใด


เขาเองก็อยากจะโวยวายซูจิ้งสักหน่อยที่อยู่ๆก็มาเขียนรูปภาพของลูกสาวแสนสวยของเขาแบบนี้เขาจึงได้ถามเชิงชิเหยาว่า “ชิเหยา ลูกมีเบอร์โทรของซูจิ้งรึเปล่า”


“มีค่ะ” เชิงชิเหยาพยักหน้ารับ


“ดี โทรหาเขาสิ” เชิงกูยี่พูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกมาว่าไม่พอใจอย่างมาก



GGS:บทที่ 837 เยี่ยมเยือน


 


เชิงชิเหยาได้ลองโทรหาซูจิ้งอยู่นานแต่ซูจิ้งก็ไม่ได้รับสายของเธอแต่อย่างใด


เชิงกูยี่เห็นดังนั้นแล้วเขาก็ไม่อยากจะรออีกต่อไปจึงได้พูดขึ้นว่า “ลูกรู้จักบ้านของซูจิ้งรึเปล่า”


เชิงชิเหยาได้พยักหน้ารับและได้พูดขึ้นว่า


“รู้ค่ะ แต่พ่อไม่ต้องกังวลจนถึงขั้นบุกไปหาที่บ้านของเขาทันทีก็ได้นี่ พรุ่งนี้หนูว่าเขาก็น่าจะมาเก็บงานของเขาไปนะ ตอนนี้พ่อเก็บภาพนี้ไว้ก่อนดีกว่า”


ตอนที่เชิงชิเหยานั้นได้ยินพ่อเธอถามถึงที่อยู่ของซูจิ้ง เธอเองก็รู้สึกอายเล็กน้อย


เธอไม่รู้จริงๆว่าซูจิ้งนั้นคิดยังไงกับเธอกันแน่ ถ้าเขาบอกชอบเธอก็ดีไป แต่ถ้าบอกไม่ชอบขึ้นมาเธอเองคงทำได้เพียงแค่ปวดใจเท่านั้น


แถมเขาเองก็ยังมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว ตอนที่เชิงชิเหยาลองคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้จะเตลิดไปไกล อยู่ๆเธอก็ได้สติพร้อมทั้งหน้าแดงเป็นลูกตำลึงในทันทีและคิดขึ้นมาในใจว่า “นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย”


“รอไม่ได้ เพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่พ่อจะไม่ยอมรอเด็ดขาด พ่อต้องรู้ให้ได้ว่าทำไมเขาถึงได้วาดภาพรูปออกมากัน


ต่อให้เขาบอกว่าไม่ได้วาดแต่การที่เขาทิ้งขว้างงานที่สุดยอดอย่างนี้เอาไว้โดยไม่สนใจแบบนี้ช่างไม่น่าสบอารมณ์เลยซักนิด ถ้ามันเสียหายหรือหายไปขึ้นจะทำยังไงกัน” เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์


“เอิ่มมม ก็ได้ค่ะ งั้นเราก็ไปบ้านของเขากัน” เชิงชิเหยาพยักหน้ายอมไปแต่โดยดี


 


ในขณะที่ทั้งคู่กำลังจะออกไปหาซูจิ้งนั้น เชิงกูยี่ได้โทรศัพท์ออกไปสายหนึ่ง ไม่นานนักก็มีชายวัยกลางคนสามคนมาด้วยท่าทีเร่งรีบ เมื่อพวกเขามาถึงพวกเขารีบถามเชิงกูยี่ในทันทีว่า


“กูยี่ นายบอกว่าลูกศิษย์นายสร้างสรรค์สุดยอดภาพเขียนพู่กันจีนออกมาจริงๆหรอ”


“ไม่เชื่อหรอ ดูด้วยตาเลย” เชิงกูยี่ชี้ไปยังภาพเขียนของซูจิ้งอย่างภูมิอกภูมิใจ


“นี่มัน…” ชายวัยกลางคนสามคนได้มุ่งไปยืนอยู่หน้าภาพเขียนสาวงามของซูจิ้งด้วยท่าทีตื่นเต้น


ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลงและฉายแววตาที่สื่อถึงความตื่นตะลึงออกมา


“ภาพที่ดี ภาพที่ดี นายบอกว่าลูกศิษย์ของนายวาดมันแสดงว่าภาพนี้แสดงว่าเขาเองก็น่าจะอายุราวๆยี่สิบต้นๆใช่รึเปล่า”


“ไม่มีทาง นายจะไปมีลูกศิษย์ชั้นยอดแบบนี้ไปได้ยังไงกัน หากมีคนรู้ว่าการได้เรียนที่นี่แล้วสามารถสร้างผลงานศิลป์ชั้นเลิศขนาดนี้ได้ล่ะก็คงต้องมีคนแห่กันมาเรียนแล้วล่ะ ต้องเป็นเรื่องตลกแน่ๆ นายแค่แกล้งพวกเราใช่ไs,เนี่ย”


“ใช่แล้วล่ะ ฉันว่านายน่ะวาดเองแล้วเอามาหลอกพวกเรามากกว่า ไม่สิ เดี๋ยวนะ นายไม่ได้วาดเองแน่ๆเพราะว่าสไตล์ภาพแบบนี้ไม่ใช่ของนายนี่นา ถึงจะมีความคล้ายคลึงกันบ้างแต่ก็ไม่ใช่ทั้งหมด”


“ฮ่าฮ่า ภาพนี้ลูกศิษย์ฉันวาดขึ้นมาเองจริงๆ และใช่ เขานั้นอายุประมาณนี่สิบเท่านั้น ถ้าพวกนายไม่เชื่อล่ะก็ฉันจะพานายไปพบเขาเอง”


เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างภูมิใจอีกครั้ง พวกเขานั้นชอบนำผลงานของลูกศิษย์มาแข่งกันอยู่บ่อยๆ


 


ตั้งแต่ครั้งแรกที่ซูจิ้งมาขอเป็นลูกศิษย์เขา เขาก็รีบเอาเรื่องนี้ไปคุยโวกับทั้งสามคนนี้ตั้งแต่วันแรกเลยด้วยซ้ำ


ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่เขาเห็นภาพนี่แล้ว เขาก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าซูจิ้งนั้นได้ซึมซับเทคนิคต่างๆของเขาไปได้แล้วจริงๆ


ต่อให้มีคนบอกว่าไม่เชื่อว่าจะมีใครเรียนรู้เทคนิคของเขาได้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน แต่หลักฐานที่เห็นตรงหน้านี่คือคำตอบที่น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว


เขาเองในตอนนี้ก็เริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าเขานั้นไม่เหลือความรู้อะไรที่พอจะสอนซูจิ้งได้แล้ว จึงตั้งใจว่าจะช่วยแนะนำปรมาจารย์ด้านภาพเขียนพู่กันจีนคนอื่นให้กับซูจิ้ง


เพราะถึงยังไงซะตัวเขาเองก็ยังมีเทคนิคที่ไม่ถนัดอยู่เหมือนกัน การจะให้คนที่ไม่ถนัดไปสอนเรื่องที่ไม่ถนัด ต่อให้ซูจิ้งเป็นอัจฉริยะยังไงก็สมควรให้เขาไปเรียนกับคนที่มีประสบการณ์ด้านนั้นดีกว่า


“ก็ได้ งั้นเรามาดูกัน ฉันไม่เชื่อหรอกว่าในโลกนี้จะมีปีศาจแบบนั้นอยู่จริง”


หลังจากที่เชิงกูยี่คุยกับคนทั้งสามแล้ว หากว่ามีหนึ่งในนั้นไม่พร้อมที่จะไปล่ะก็ เขาเองก็คงไม่คิดจะไปอย่างแน่นอน


แต่กลายเป็นว่าอีกสองคนนั้นต้องการรู้ความจริงจนอดใจไว้ไม่อยู่ และได้ปรารภกับเขาอย่างจริงจังเขาจึงตัดสินใจว่ายังไงแล้วก็คงต้องพาไปแค่สองคนเท่านั้น


 


ตอนนี้เชิงกูยี่ไม่ได้อยู่ในห้องเรียนของเขาแล้ว เขาให้นักเรียนนั่งทบทวนบทเรียนของตัวเองไปพลางๆก่อน


เขาพาชายวัยกลางคนอีกสองคนและเชิงชิเหยาตรงไปยังบ้านของซูจิ้ง โดยมีฮวงจิงฮงและจูหยันที่เป็นนักเรียนของกูยี่ติดตามไปด้วยอย่างเกร็งๆแบบพูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงไปอยู่ตรงนั้นได้


ด้วยการที่เชิงกูยี่นั้นมีชีวิตที่สมถะ เขานั้นถึงแม้จะเปิดสอนวิธีการวาดภาพเขียนพู่กันจีนแบบนั้น แต่เขาก็ไม่เคยเก็บเงินเลยสักแดงเดียว แถมเขาเองยังคอยอยู่ตอบคำถามและชี้แนะแนวทางลูกศิษย์ของเขาอย่างเต็มที่


หากเมื่ออาจารย์ดีๆแบบนี้มาขอให้คุณทำอะไรซักอย่าง อย่างเช่นการไปบ้านคนอื่นเป็นเพื่อนกันหน่อยล่ะก็ ถ้าไม่ได้มีปัญหากันอย่างรุนแรงยังไงซะก็ยากที่จะปฏิเสธได้


เอาจริงๆทั้งสองก็อยากรู้เหมือนกันว่าสัตว์ประหลาดอย่างซูจิ้งนั้นจะรับมือกับความโกรธเกรี้ยวของคนที่เป็นพ่อสุดแสนจะหวงลูกสาวอย่างเชิงกูยี่ได้ยังไง


 


เมื่อพวกเขาขับรถมาถึงหน้าบ้านของซูจิ้ง เชิงกูยี่ไม่รอช้ารีบเคาะประตูในทันที


“พ่อคะ ต่อให้พ่อเคาะให้ตายก็ไม่มีประโยชน์หรอก ซูจิ้งไม่เคยอยู่ในบริเวณที่เสียงเคาะประตูส่งไปถึงเลยสักครั้ง” เชิงชิเหยาได้รีบห้ามปรามพ่อตัวเอง


“เคาะประตูก็ไม่ได้ โทรหาก็ไม่ได้ แล้วเราจะติดต่อเขาได้ยังไงกัน” เชิงกูยี่ถามออกมาอย่างสงสัย


“นั่นค่ะ” เชิงชิเหยาชี้ไปที่นกแก้วตัวใหญ่และตัวเล็กที่กำลังบินตรงมาที่ประตูจากที่ห่างไกล หนึ่งในนั้นได้พูดขึ้นมาว่า “ใครมากัน” อีกตัวหนึ่งพูดออกมาว่า “มาให้ใคร แจ้งชื่อด้วย”


ฮวงจิงฮงและจูหยันเองก็เคยเห็นฉากแบบนี้มาแล้วเลยไม่ได้แปลกใจอะไร แต่กับเชิงกูยี่ และชายวัยกลางคนอีกสองคนนั้นต่างก็แสดงท่าทีประหลาดใจ


เชิงกูยี่ได้พูดออกมาว่า “นกสองตัวนี้ช่างพูดได้เจื้อแจ้วและชัดเจนจริงๆ แต่ที่มันพูดอย่างนี้คือมันต้องการแกล้งพวกเราหรอ”


“ฮี่ฮี่ ไม่ใช่ค่ะพ่อ พวกมันสองตัวต้องการรู้ชื่อเราเพื่อไปรายงานให้ซูจิ้งทราบเท่านั้นเอง” เชิงชิเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“งั้น… ฉันชื่อเชิงกูยี่ มาเพราะมีธุระสำคัญกับซูจิ้ง” เชิงกูยี่พูดออกมา


“โปรดรอซักครู่ โปรดรอซักครู่” หลังจากนกแก้วพูดจบแล้ว นกแก้วทั้งสองก็ได้บินตรงขึ้นบันไดเพื่อไปรายงานอย่างที่ว่ามาจริงๆ นี่ทำให้เชิงกูยี่และพวกอีกสองคนรู้สึกประหลาดใจมากๆ


หลังจากนั้นสักพักซูจิ้งได้เดินลงมา เมื่อเขาเห็นทุกคนเขานั้นประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า “อาจารย์เชิง อาจารย์มาได้ยังไงกันครับ”


“ทำไมเธอไม่มาที่ชั้นเรียนวันนี้ล่ะ แถมโทรหาแล้วยังไม่รับอีก” เชิงกูยี่ถามด้วยความสงสัย


“อ๋อ ขอโทษครับ พอดีผมมีนิสัยเวลาเรียนรู้อะไรแล้วจะต้องกลับมาฝึกที่บ้านแบบจริงจังเลยทำให้ไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์นะ ว่าแต่อาจารย์คงไม่ได้มาเพียงเพราะความเป็นห่วงใช่รึเปล่าครับเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพลางเหลือบไปมองคนอื่นๆที่ยกโขยงมาที่นี่


“ไม่ใช่แค่นี้อย่างแน่นอน เอาเป็นเราเข้าไปคุยข้างในกันดีกว่า” เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ราวกับว่าเขานั้นถูกซูจิ้งขโมยภาพเขียนหนีกลับบ้านมาก็ไม่ปาน


“ได้ครับได้ เชิญเข้ามาก่อนครับ”


 


หลังจากนั้นซูจิ้งได้เชิญทุกคนเข้าบ้านและทำการปิดประตู ก่อนที่จะนำทุกคนไปนั่งในสวนของเขา


ถึงตอนแรกทุกคนทำท่าจะเคืองๆไปบ้าง แต่เมื่อพวกเขาได้เห็นสวนของซูจิ้งที่สวยประดุจดั่งสวนสวรรค์ก็อดไม่ได้ที่จะปล่อยเลยตามเลยไป


“ซูจิ้ง เธอวาดภาพนี้ออกมาใช่รึเปล่า” เชิงกูยี่ได้นำภาพวาดที่เป็นรูปของเชิงชิเหยาออกมาวางไว้บนโต๊ะ


เมื่อเชิงชิเหยาได้เห็นภาพเขียนนี้อีกครั้งแก้มของเธอก็แดงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด และเริ่มอึกอักทำตัวไม่ถูก


เธอเองก็สงสัยไม่น้อยเหมือนกันว่าทำไมซูจิ้งถึงได้ใช้เธอเป็นแบบกัน แล้วอย่างนี้เธอจะกล้ามองหน้าซูจิ้งให้เหมือนปกติได้ยังไงล่ะ


“ใช่ครับ ผมเป็นคนวาดเอง ทำไมหรืดครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ


“ฉันบอกแล้วว่าเป็นเขา ฮ่าฮ่าฮ่า” เอาจริงๆต่อให้ไม่ต้องมาถาม เชิงกูยี่ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงซะ กับภาพเขียนพู่กันจีนชั้นเลิศขนาดนี้


ถ้าไม่ใช่ซูจิ้งล่ะก็ สมควรจะเป็นคนจากดินแดนเซียนออกมาวาดให้แน่ๆ ถึงจะรู้อย่างนั้นแต่เขาก็ยังคงเป็นกังวลเล็กน้อยเหมือนกันกลัวจะเสียหน้า แต่ตอนนี้เขาโล่งใจได้แล้ว


“เจ้าหนุ่ม นายบอกว่าเป็นคนวาดแล้วมีหลักฐานรึเปล่า” ชายวัยกลางคนอีกสองคนถามซูจิ้งออกมาแทบจะพร้อมกัน


“ไม่มีครับ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “แต่วันนี้ผมวางแผนว่าจะวาดภาพอีกสักรูปสองรูปอยู่แล้ว ไม่แน่ใจว่าพวกคุณสนใจจะดูซักหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งได้หันไปพูดกับชายวัยกลางคนทั้งสองคน


“แน่นอน รีบๆเลย” เชิงกูยี่ลุกพรวดขึ้นมาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น


“สักครู่ครับอาจารย์” ซูจิ้งน้อมรับคำขอของเชิงกูยี่แต่โดยดี เขากลับเข้าไปในบ้านสักพักก่อนที่จะขนอุปกรณ์ต่างๆที่จำเป็นต่อการวาดรูปพู่กันจีนออกมา


เขาเองนั้นก็ได้เห็นว่าอาจารย์ของเขานั้นมีความภูมิใจต่อตัวเขามากมายขนาดไหน แต่กับอีกสองคนนั้นต่อให้อาจารย์ของเขาบอกยังไงก็ยังไม่ยอมเชื่ออยู่ดี


เมื่อเป็นอย่างนั้น คราวนี้เขาจะทำให้อาจารย์ของเขาได้หน้ายาวเป็นกิโลไปเลย เพราะยังไงซะอาจารย์ของเขาก็เป็นผู้ประสิทธิประสานวิชาให้เขาอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ



GGS:บทที่ 838 ตะลึง


 


ซูจิ้ง เดินออกมาจากบ้านพร้อมอุปกรณ์ในการวาดภาพของเขา พร้อมกับภาพวาดบางส่วนที่เขาด้วยลองไปก่อนหน้านี้


เมื่อซูจิ้งวางภาพของเขาลง เชิงกูยี่เองก็อดในแทบไม่ไหวจึงได้เปิดกระดาษที่ปิดเอาไว้ออกอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่ทุกคนได้เห็นก็ถึงกับตกตะลึงนั่นก็เป็นเพราะว่าภาพที่ทุกคนได้เห็นก็คือภาพของหญิงงามและไม่ใช่ภาพเดียวแต่เป็นหลายภาพ ทุกๆภาพยิ่งสวยนั้นดูมีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อยๆ


โดยเฉพาะภาพที่ดูไปแล้วหมึกยังเปียกๆอยู่เลย การลงเส้นภาพนี้ยิ่งทำให้รู้สึกตราตรึงใจจนยากที่จะละสายตาไปได้


งานภาพเหล่านี้ได้ยกระดับงานศิลป์ของโลกนี้เรียบร้อยแล้ว


“งดงาม งดงามอย่างที่สุด”


“หมึกนี่ยังไม่แห้งดีเลย นี่นายเป็นคนวาดภาพนี้จริงเหรอเนี่ย


“งานสองชิ้น สองเทคนิค นี่นายสามารถสร้างผลงานได้มากมายขนาดนี้โดยใช้เวลาเพียงแค่วันเดียวเนี่ยนะ”


เชิงกูยี่และเพื่อนของเขาอีกสองคนต่างก็รู้สึกอึ้งกันไปหมด


แม้แต่ฮวงจิงฮงและจูหยันเองต่างก็อึ้งไม่ต่างกัน


เชิงชิเหยาเองในตอนนี้เมื่อเห็นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


นั่นก็เพราะภาพทุกๆภาพนั้นล้วนเป็นหญิงงามทั้งสิ้น และเธอเองเป็นเพียงแค่หนึ่งในนั้นแค่นั้นเอง


เอาจริงๆเธอเองก็ต้องขอบคุณเขาก่อนหน้านี้ด้วยเหมือนกันที่ทำให้เธอพอจะเตรียมใจไว้ได้บ้างแต่เธอเองก็ไม่คิดว่าผลลัพท์จะออกมาแบบนี้เหมือนกัน


ใครจะไปคิดว่าสาวงามอย่างเธอจะเป็นเพียงแค่แบบวาดรูปของเขาได้แค่นั้นเอง


หรือว่าจริงๆแล้วซูจิ้งนั้นเลือกคบแต่กับคนสวยๆเท่านั้นนะ


 


เชิงชิเหยาเองในตอนนี้เริ่มรู้สึกแปลกๆ เธอในตอนนี้มีความรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก


หากว่าต้องรู้สึกอย่างนี้เธอมีความรู้สึกว่ายอมให้ซูจิ้งบอกว่าไม่ชอบเธอซะยังจะดีกว่า


เหตุผลนั่นก็เพราะว่าภาพสุดท้ายที่ซูจิ้งพึ่งจะวาดเสร็จ และเป็นภาพที่ดูดีที่สุดนั้นก็คือภาพของฉือชิง


หากลองไล่เรียงลำดับการวาดของซูจิ้งนั้นจะพบว่าภาพก่อนหน้านี้เหมือนเป็นเพียงการหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดเพื่อที่จะให้ภาพสุดท้ายดูมีชีวิตชีวามากที่สุดเท่านั้นเอง


 


การที่ทุกคนเห็นได้ว่าทุกๆภาพที่ซูจิ้งวาดนั้นต่างก็ดูมีชีวิตชีวานี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ทำให้พวกเขาตะลึงในความสามารถของซูจิ้ง


เด็กหนุ่มผู้มีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆ แต่กลับสามารถสร้างผลงานดีๆมากมายเช่นนี้ออกมาได้เพียงชั่วข้ามคืน


ถึงแม้ว่าปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันจีนหลายๆคนจะทำได้อย่างง่ายดาย


แต่ก็ไม่มีซักคนเดียวที่จะมีความสามารถพอที่จะสร้างผลงานศิลป์ได้สองสามชิ้นโดยอาศัยเทคนิตที่ต่างกันไปแต่ก็ยังคงไว้ในเป้าหมายเดิม(วาดแต่ภาพคนโดยอาศัยเทคนิคที่แตกต่างกัน)แบบนี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลงานชิ้นสุดท้าย เพียงพวกเขามองแค่แวบเดียวก็บอกได้เลยว่าผลงานชิ้นนี้ต้องทำให้วงการภาพเขียนพู่กันจีนในระดับโลกต้องสั่นสะเทือน


 


งานชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นผลงานชั้นสุดยอดที่หาได้ยากเสียยิ่งกว่ายาก หากมองในมุมมองศิลปะแล้ว


ผลงานชิ้นนี้สามารถกลายเป็นตำนานได้อย่างง่ายดาย และไม่มีงานชิ้นไหนสามารถนำมาเปรียบเทียบได้


ในตอนนี้พวกเขาเองก็เริ่มรู้สึกหวั่นๆแล้วเหมือนกันว่าหากมีคนอื่นมาเห็นเขาล่ะก็คงสร้างความตื่นตะลึงในวงการภาพเขียนพู่กันจีน ไม่สิ ต้องบอกว่าทั่วทุกคนทั้งโลกใบนี้ก็สมควรที่จะตื่นตะลึงอย่างแน่นอน


 


“ไม่เชื่อหรอก ยังไงฉันก้ไม่เชื่อว่านายเป็นคนวาดภาพนี้” ชายวัยกลางคนแสดงท่าทีว่าไม่เชื่ออย่างที่สุด


นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งนั้นมีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆเท่านั้น ด้วยอายุเพียงเท่านี้ไม่มีทางที่เขานั้นจะเขาถึงแก่นแท้ในงานศิลป์ได้เป็นอันขาด


“อ้อ ลืมบอกไป ซูจิ้งนั้นเขาพึ่งจะเริ่มเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนได้ เอ… รู้สึกจะสิบวันก่อนนะ”


เชิงกูยี่นั้นเชื่ออย่างหมดใจในทันทีว่าซูจิ้งไม่ได้โกหกเขาที่ว่าเป็นคนวาดภาพเขียนเหล่านี้


นั่นก็เป็นเพราะว่าเขาเองก็ได้ติดตามเฝ้าดูพัฒนาการของซูจิ้งอย่างชนิดที่เรียกได้ว่าทุกพัฒนาการเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าภาพของซูจิ้งก่อนหน้านี้จะไม่มีภาพไหนเลยที่วาดเสร็จ แต่ถ้ามองในมุมมองทางศิลปะล่ะก็


ซูจิ้งถือได้ว่าเข้าใจแก่นแท้ของแต่ละเทคนิคก่อนที่จะวาดภาพได้เสร็จด้วยซ้ำ


 


“นี่ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่”


“ใช่ จะไปมีคนดีๆที่ไหนสามารถเรียนรู้แก่นแท้เทคนิคงานศิลป์มากมายขนาดนี้ได้โดยใช้เวลาเพียงแค่สิบวัน”


ชายวัยกลางคนทั้งสองยิ่งปฏิเสธไม่ยอมรับแบบเสียงแข็งออกมา


“งั้นนนน… เอาอย่างนี้ หากว่าพวกคุณทั้งสองยังไม่ยอมเชื่อล่ะก็ ผมขอวาดภาพให้คุณดูสักรูปจะได้รึเปล่าล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“โฮ่โฮ่ วาดภาพออกมาให้พวกนี้เห็นได้ก็น่าสนใจทีเดียว” เชิงกูยี่พูดออกมาอย่างสบายอารมณ์


“ก็ได้ ถ้านายวาดภาพออกมาในระดับนี้นะที่ตรงนี้และเดี๋ยวนี้ได้ พวกฉันก็จะยอมรับในความสามารถของนาย” ชายวัยกลางคนทั้งสองพูดออกมาด้วยท่าทางมีอารมณ์ขุ่นเคือง


“รอสักครู่นะครับ” ทันทีที่พูดจบ ซูจิ้งได้ไปจัดแจงอุปกรณ์ทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทาง


หลังจากนั้นเขาปิดตาลง สูดหายใจเข้าไปราวกับกำลังดื่มด่ำอารมณ์ไปกับอะไรบางอย่าง


และในขณะนั้นเอง ซูจิ้งได้หยิบพู่กันและตวัดลงไปในกระดาษทันที


หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการวาดอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่เรียกได้ว่าต่อให้ระดับปรมาจารย์ก็แทบจะตามเขาไม่ทัน


ไม่นานนักก็ได้ปรากฎภาพที่น่าจะเป็นฉากหลังผลงานชิ้นนี้ตามขอบกระดาษ


เพียงแค่นี้ก็ทำให้ชายวัยกลางคนทั้งสองคนตกใจจนเผลอถอนหายใจออกมาอย่างรวดเร็ว


มีเพียงเชิงกูยี่เท่านั้นที่จ้องมองด้วยสายตาอันเป็นประกาย


 


เชิงชิเหยาและจูหยันเองในตอนนี้ทำได้เพียงรู้สึกอัศจรรย์อยู่ภายในใจของพวกเธอและทำได้เพียงยอมรับออกมาเท่านั้น


ถึงจะเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับได้ว่าซูจิ้งนั้นเพิ่งจะหัดเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนได้เพียงสิบวัน และเมื่อเทียบกับพวกเธอที่เรียนกันมานับแรมปีแล้วแต่ฝีมือก็ยังห่างกันเป็นโยชน์ได้ขนาดนี้


หากเป็นคนทั่วไปจะรู้สึกโกรธแค้นในความอัจฉริยะของซูจิ้งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร


สำหรับฮวงจิงฮงนั้น เขาเองก็รู้สึกไขว้เขวที่จะยอมรับนับถือในตัวของซูจิ้งตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นว่าซูจิ้งเองก็ได้วาดสาวงามคนอื่นไปตั้งแต่ตอนก่อนหน้านี้แล้ว


เอาจริงๆที่เขาไม่ชอบหน้าซูจิ้งนั้นก็มีเพียงเรื่องที่เขากลัวว่าซูจิ้งจะมาชอบเชิงชิเหยาเข้าก็แค่นั้นเอง


ในตอนนั้นที่เขาเห็นภาพวาดของเชิงชิเหยาที่ซูจิ้งวาดเอาไว้


ความรู้สึกของเขาในตอนนั้นคือต้องกันให้เชิงชิเหยาอยู่ห่างจากซูจิ้งให้จงได้


ต่อให้เชิงชิเหยาไม่ได้ชอบซูจิ้งแต่เธอเองก็เป็นคนที่มีรสนิยมสูงล้ำและชื่นชอบคนที่มีความสามารถด้านการเขียนภาพพู่กันจีนอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว กันไว้ก่อนถือว่าเป็นเรื่องที่ดีกว่า


ถึงตัวเขาเองจะมีความสามารถด้านการเขียนภาพพู่กันจีนอยู่บ้าง และหลงลำพองใจไปกับเรื่องนี้ก่อนหน้านี้ก็ตาม


แต่หากเทียบกับซูจิ้งแล้วเขานั้นเทียบไม่ได้แม้แต่เป็นเศษเสี้ยว


แทบจะพูดได้ว่าปิดประตูแพ้เรื่องนี้ไปได้เลย


หากปล่อยให้เชิงชิเหยาได้อยู่กับซูจิ้งบ่อยครั้งเข้าล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่เขานั้นจะทำอะไรได้


 


“พระเจ้าช่วย เร็วมาก”


“ใช่ แถมยังเป็นงานภาพเขียนที่ดูน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก นี่เขาใช้เทคนิคทุกอย่างที่เขาได้เรียนรู้ในช่วงสิบวันนี้ลงไปในภาพนี้เลยนะ”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายวัยกลางคนทั้งสองคนก็ถึงกับหูผึ่งและหันไปมองหน้ากันพร้อมทำตาปริบๆ


แต่เสียงรบกวนรอบข้างของพวกเขาก็ไม่ได้ทำให้ซูจิ้งหยุดวาดรูปแต่อย่างใด


เขายังคงวาดรูปต่อไปด้วยความเร็วที่ทุกคนในที่แห่งนี้สุดจะตามทันได้


เพียงไม่ถึงครึ่งชัวโมงดี ภาพวิวทิวทัศน์ก็ได้ปรากฎออกมาต่อหน้าของผู้คน


นี่คือภาพของเมืองฉิงหยุนที่ซูจิ้งเคยได้เห็นตอนที่เขานั้นได้ขึ้นไปขี่บนหลังของอินทรีย์ทองของเขา


มันเป็นภาพของผู้คนมากมาย ทะเลสีคราม และต้นไม้เขียวขจี


มันช่างงดงามราวกับเป็นงานศิลป์ชั้นเลิศ ถึงแม้ว่าภาพนี้จะเทียบไม่ได้กับภาพเหมือนฉือชิงก็ตาม แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นงานชั้นเลิศอยู่ดี


และอย่างน้อยๆนี่ก็ช่วยพิสูจน์ความสามารถของซูจิ้งได้เป็นอย่างดีว่าเขานั้นเป็นศิลปินที่สามารถสร้างผลงานได้อย่างน้อยๆก็สองรูปแบบภายในวันๆเดียวและเป็นคนๆเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย


 


ชายวัยกลางคนทั้งสองคนในตอนนี้ตะลึงกับภาพที่เห็นจนทำให้ทั้งสองเผลอปล่อยเสื้อคลุมของเขาลงไปที่พื้นแทบจะพร้อมๆกัน


ในขณะเดียวกันทั้งสองคนในตอนนี้ก็ได้รู้สึกเหมือนโดนคลื่นลูกใหญ่ของแม่น้ำแยงซีเกียงกระแทกอย่างรุนแรงจนร่างลอยกระเด็นไปไกลจนนอนตายอยู่ริมหาดในเฉียนหลาง(รุนแรงจนกระเด็นไปคนละซีกประเทศจีน)


หากมีคนหนุ่มที่มีความสามารถด้านการวาดภาพเขียนพู่กันจีนขนาดนี้ล่ะก็ พวกเขาไม่ต้องกลัวว่าสมบัติแห่งชาติพันธุ์จีนจะสูญหายไปแต่อย่างใด


 


“อาจิ้ง นายสามารถวาดภาพแนวนี้ได้ยังไงกันน่ะ” เชิงกูยี่เองได้เตะตัดขาเรื่องน่าตกตะลึงของซูจิ้งทั้งหมดด้วยการหันไปถามเรื่องเกี่ยวกับลูกสาวเขาในทันที


“ขอพูดตามตรงแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะครับอาจารย์ ผมเพียงแค่วาดภาพตามจินตนาการของผมที่จำในสิ่งที่สวยงามและตราตรึงใจเอาไว้ในความทรงจำของสิ่งที่ผมเคยพบเห็นก็เท่านั้นเอง


ที่เหลือผมก็แค่วาดออกมาให้สื่อถึงภาพจำเหล่านั้นให้ได้มากที่สุดครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


เพียงประโยคนี้ประโยคเดียวสามารถตอบทุกคำถามที่ทุกคนอยากรู้เอาไว้ทั้งหมดในทันที


นอกจากนี่จะเป็นหัวใจแห่งงานศิลป์ทุกประเภทแล้ว ประโยคนี้ยังสื่อออกมาได้ว่าที่เขาวาดได้ดีขนาดนี้ก็เพราะเห็นสิ่งที่สวยงามที่ปรากฎในแต่ละสิ่งก็เพียงพอแล้ว


ถึงแม้นี่อาจจะไม่ช่วยให้เขารอดตัวจากคำถามที่เชิงกูยี่อยากจะถามว่าทำไมถึงได้วาดภาพของลูกสาวเขาซักเท่าไหร่นัก


เอาจริงๆที่เขาวาดรูปของเชิงชิเหยานั้นก็เพียงเพราะว่าเขาเองอยากจะวาดหญิงงามตามตำราการวาดภาพหญิงงามที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Eraก็เท่านั้น


จากภาพสาวงามทั้งหมดทั้งมวลที่เขาได้ลองวาดดูนั้น มีเพียงภาพของฉือชิงเท่านั้นที่พอไปวัดไปวาได้เมื่อเทียบกับภาพอื่นๆที่อยู่ในตำรา


ถึงแม้เขาจะไม่อยากยอมรับมันสักเท่าไหร่ก็ตาม นั่นก็เพราะเมื่อเทียบกับภาพสาวงามที่งามที่สุดที่เขาเห็นในตำราแล้วยังถือได้ว่ายังห่างกันเป็นหมื่นลี้ เขาจึงอยากจะปลอบใจตัวเองสักหน่อยก็ยังดี


แต่อย่างน้อยๆการวาดภาพพวกนี้ก็ช่วยเขาในการบ่มเพาะความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขาได้ล่ะนะ


 


“อัจฉริยะ สุดยอดอัจฉริยะ” ชายวัยกลางคนทั้งสองทำได้เพียงตกตะลึงจนเผลอพูดออกมาอย่างไม่หยุดปาก


“คำว่าอัจฉริยะนี่ผมรับไม่ไหวจริงๆครับ ผมยังห่างไกลจากคำๆนั้นมากนัก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างหมดอาลัยเล็กน้อย


น้ำเสียงของซูจิ้งนั้นสื่อออกมาจนทุกคนที่ได้ยินรู้สึกได้จริงๆว่าเขานั้นไม่ได้พูดถ่อตัวแต่อย่างใด แต่เขานั้นเคยได้เห็นภาพที่สุดยอดกว่านี้มาแล้ว


หากเขานำผลงานของตัวเองไปเทียบกับภาพในตำราแล้ว ก็สมควรอยู่ที่เขานั้นจะบอกแบบนี้ออกมา


แต่ถึงยังไงซะไม่ว่าซูจิ้งจะพูดอะไรก็ตาม สำหรับทุกคนที่อยู่รอบๆในตอนนี้ต่างก็รู้สึกว่าคำพูดของซูจิ้งนั้นเป็นการสุดยอดแห่งการถ่อมตัว


ถ้าขนาดซูจิ้งยังบอกว่าตัวเองนั้นห่างไกลแล้วพวกเขาล่ะจะถือได้ว่าเป็นตัวอะไรกัน


หากทั้งหมดเชื่อในคำพูดของซูจิ้งล่ะก็ พวกเขาเองก็สามารถบอกได้เลยว่าเมื่อเทียบกับเหล่าอัจฉริยะแล้ว


พวกเขาเองก็สมควรจะเป็นคนธรรมดาที่ยิ่งกว่าคนธรรมดาซะอีก



GGS:บทที่ 839 ผลลัพธ์ที่ได้จากการวาดภาพ


 


“อาจารย์เชิงครับ อาจารย์คิดว่าถ้าภาพเหล่านี้ขายออกไปพอจะมีคนต้องการซื้อพวกมันบ้างรึเปล่า


แล้วถ้าขายได้ มันน่าจะขายได้สักเท่าไหร่ครับ” ซูจิ้งถามออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะดูเหมือนคนร้อนเงิน


กับคนที่ต้องผลาญเงินไปกับการผลิตปฏิสสารเดือนๆหนึ่งเป็นหมื่นล้านแบบเขา ไม่ว่าอะไรที่หาเงินได้เขาก็จะทำ


การที่เขามาเรียนการวาดภาพเขียนพู่กันจีนนี้จริงๆแล้วก็มีเหตุผลหลักๆอยู่สองอย่าง


หนึ่งเพื่อประโยชน์ในการบ่มเพาะร่างกาย จิตใจ และช่วยให้เขาเข้าใจในแนวคิดแห่งพุทธศิลป์มากยิ่งขึ้น(รับรู้ความรู้สึกที่แฝงไว้ในวัตถุทางศาสนาพุทธมากขึ้น) และอีกหนึ่งคือการหาเงินนี่แหล่ะ


“แน่นอนว่าย่อมต้องมีคนซื้อ แต่ส่วนเรื่องราคานี่ก็ค่อนข้างจะพูดยากนะ ถ้าจำไม่ผิดงานภาพวาดพู่กันจีนที่มีระดับใกล้เคียงกับระดับงานของนายรู้สึกว่าจะขายได้…”


เชิงกูยี่ได้ชี้ไปยังงานภาพเมืองจงหยุนที่ซูจิ้งวาด และได้พูดต่อว่า “ถ้าฉันจำไม่ผิดนะสำหรับงานชิ้นนี่คงจะอยู่ที่ราวๆ หนึ่งแสนหยวนเป็นอย่างน้อย”


 


หลังจากนั้นเขาได้ชี้ยังภาพวาดรูปฉือชิงและพูดออกมาว่า “ชิ้นนี้ ฉันรับประกันได้เลยว่าเกินกว่า 2 ล้านหยวนแน่นอน ดีไม่ดีอาจจะถึงสามล้านเลยก็ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับว่าจะมีพวกคนรวยๆที่สนใจภาพแนวนี้เยอะรึเปล่าอีกล่ะนะ หากมีเยอะหน่อยราคาก็น่าจะเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ขึ้นอยู่กับสถานการณ์”


“เฮ้ออออ ได้แค่นั้นเองหรอครับ” ซูจิ้งถอนหายใจออกมาสื่อให้เห็นถึงความผิดหวังอย่างมาก


เชิงกูยี่ เชิงชิเหยา ฮวงจิงฮง จูหยัน และชายวัยกลางคนอีกสองคนแทบจะรู้สึกสับสนไปพร้อมกัน


ภาพขนาดเล็กเพียงแค่สามไม่สิสี่ฟุตแบบนี้แต่สามารถขายได้ถึงหนึ่งแสนหยวน หากเป็นพวกเขาก็แทบจะถือได้ว่าประสบความสำเร็จในชีวิตด้านนี้ได้แล้ว นี่แทบไม่ต้องพูดถึงการขายได้ในหลักล้านเลยนะ


ด้วยราคาพวกนี้ก็เทียบได้กับงานขายชิ้นงานธรรมดาของเหล่าปรมาจารย์ด้านภาพวาดพู่กันจีนได้แล้วด้วยซ้ำ


“นี่ก็ราคาสูงแล้วนะ ยังไม่ดีพออีกหรอ” เชิงชิเหยาถามออกมาด้วยท่าทางเหลือกตามองซูจิ้ง


“อย่าพูดถึงหลักล้านเลย ถ้าเป็นงานเขียนของฉันล่ะก็ได้หนึ่งหมื่นหยวนแทบจะบอกได้ว่าฉันกำลังฝันไปเลยด้วยซ้ำ”


จูหยันเองพูดออกมาด้วยความอิจฉา อิจฉาเสียยิ่งกว่าอิจฉา อิจฉาจนเริ่มเกลียดความอัจฉริยะของซูจิ้ง หรือนั่นก็คือเธอนั้นอิจฉาตาร้อนนั่นเอง


ลองคิดดูว่าหากงานที่เธอเขียนนั้นใช้เวลาสามวันแล้วขายได้หนึ่งหมื่นหยวนต่อชิ้น


แค่เพียงหนึ่งเดือนเธอก็ได้หนึ่งแสนแล้ว ไม่สิต่อให้เป็นห้าวันต่อหนึ่งขึ้นเลยก็ได้ แค่เดือนละหกหมื่น สำหรับเธอก็ถือได้ว่ามีอนาคตในวงการนี้แล้ว


 


ซูจิ้งเกาจมูกตัวเองหลังจากที่ทำใจเรื่องราคาภาพเขียนของเขาได้แล้ว


มันก็จริงที่สำหรับคนทั่วไปแล้วราคาตามที่เชิงกูยี่ว่ามาถือได้ว่าสูงเกินพอแล้ว


ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องเล่นกันแบบติดตลกในวงการงานศิลป์อยู่ว่าถ้าอย่าให้งานตัวเองขายได้ในหลักล้านก็จงไปตายซะ อย่างเช่นงานของ ฉิไบชิ เจิ้งเป่าเฉียว แวนโก๊ะ และดาวินชี่ ทุกคนเหล่านี้ตอนที่มีชีวิตอยู่นั้น งานของพวกเขาขายได้ซักเท่าไหร่กัน


 


เหตุผลที่งานของศิลปินเหล่านี้มีราคาสูงเมื่อตายไปแล้วมันกี่ปัจจัยอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลา วัฒนธรรม แต่ที่สำคัญที่สุดเหนือสิ่งอื่นใดนั่นก็คือ เมื่อพวกเขาตายไปแล้ว ก็จะไม่มีงานศิลป์ของพวกเขาออกมาได้อีก


งานศิลป์เหล่านั้นจะถือได้ว่าเป็นงานที่ไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ เมื่อชิ้นงานเหล่านั้นมีจำนวนอยู่จำกัด การที่มีความต้องการที่สูงขึ้นและยอมแก่งแย่งกันก็เป็นเรื่องธรรมดา


มันก็พอมีอยู่บ้างที่งานศิลป์บางส่วนขายได้ราคาสูงในขณะที่พวกเขามีชีวิตอยู่ แต่เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นได้ยากยิ่ง


นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการค่าเพียงงานศิลป์ชิ้นเล็กๆของซูจิ้งจนได้ราคาในหลักล้านจึงถือได้ว่าเป็นเกียรติยศสำหรับศิลปินในยุคนี้


 


อย่างไรก็ตามแล้ว สำหรับซูจิ้งนั้น การได้เงินเพียงหลักล้านนั้นถือได้ว่าเล็กน้อยมากๆเมื่อเทียบกับเงินที่เขาต้องใช้ไปในแต่ละเดือน


แถมงานที่ถูกประเมินว่าดีที่สุดก็คือภาพวาดรูปฉือชิงที่ใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการวาด ต่อให้เขาจัดสรรเวลาดียังไงก็ควรวาดได้เพียงสองรูปต่อวันเท่านั้น


นั่นก็หมายความว่าเขาต้องเหนื่อยไปกับการวาดรูปไปถึง 6 ชั่วโมง เพียงเพื่อเงินไม่กี่ล้าน ช่างไม่คุ้มค่าเอาซะเลย


และเขาก็รู้ดีว่าเขายังจำเป็นที่จะต้องพัฒนาฝีมือในด้านนี้ขึ้นอีก เพราะเขาเคยได้เห็นรูปภาพวาดสาวงามที่สุดยอดมาแล้ว แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีเวลามากพอในการมานั่งหาเงินด้วยเรื่องพวกนี้ได้


อีกอย่าง เขานั้นสามารถหาเงินได้มากกว่านี้โดยใช้เวลาที่เท่ากันหากเขานั้นไปทำอย่างอื่น ยกตัวอย่างเช่นตอนที่อยู่ในงานเลี้ยงของมู่หลงฉิน เพียงเขานำภาพเขียนพู่กันจีนที่ได้จากห้วงเวลาฯDesolate Era


ขนาดงานภาพชิ้นนั้นยังดีไม่เท่าตำราสาวงามที่เขาได้มา แต่กลับขายได้อย่างน้อยๆ 10 ล้านหยวน แทบจะในทันที


หากเขาต้องใช้เวลาไปเกือบครึ่งวันเพียงเพื่อเงินแค่สองสามล้านหยวนล่ะก็ เขาทำแบบเดิมๆตามที่เขาเคยทำมาดีกว่า


“จะยังไงก็ช่างเถอะ แต่ว่านะคุณซู แล้วภาพนี้ล่ะ” เมื่อเชิงชิเหยาชี้ไปที่ภาพของเธอ ซูจิ้งก็ทำได้เพียงยิ้มแหยๆออกมาก่อนจะพูดมาว่า


“ฮ่าฮ่า ถ้าเธออยากจะขายก็ได้นะ เพราะยังไงซะนี่ก็เป็นภาพวาดที่มีเธอเป็นแบบ


แต่หากเธอไม่อยากจะขายมันและยอมให้ฉันเป็นคนตัดสินใจล่ะก็ อืมมม…งั้นฉันก็คง…”


ซูจิ้งหยุดพูดไปเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเข้า ม้วนภาพ และจับมีของเชิงชิเหยาแล้วยัดเยียดม้วนภาพนี้ไว้บนมือเธอก่อนจะพูดต่อว่า “ให้เธอไปแล้วกัน”


“ให้ฉันหรอ?” เชิงชิเหยายืนนิ่งไปในทันที


“ถ้าเธอไม่อยากได้ล่ะก็…” ซูจิ้งพูดพลางทำท่าว่าจะดึงม้วนภาพกลับออกมาจากมือของเชิงชิเหยา


“ขอบคุณค่ะคุณซู” เชิงชิเหยารีบดึงมือที่มีม้วนภาพอยู่ในมือออกให้ห่างมือของซูจิ้งที่กำลังทำท่าจะคว้ารูปวาดตัวเธอในทันทีพร้อมยิ้มหวานๆออกมาเล็กน้อย


ตอนนี้เธอนั้นรู้สึกตัวแล้วว่าเหมือนจะดีใจจนออกนอกหน้าไปหน่อยจนเริ่มหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย


 


ฮวงจิงฮงเองเมื่อเห็นฉากนี้ต่อหน้าต่อตาก็อดไม่ได้ที่จะปวดใจ เขาเองก็เคยวาดรูปของชิเหยาให้เธอด้วยเหมือนกัน แต่ในตอนนั้น ชิเหยารับภาพของเธอไปเฉยๆ ไม่ได้มีท่าทางเอียงอายน่ารักน่าหยิกแบบนี้เลยซักนิด


จูหยันเองที่กำลังมองซูจิ้งอยู่ในตอนนี้ก็อยากจะพูดออกมาเหมือนกันว่าเธอเองก็อยากได้บ้าง


แต่ก็อีกนั่นแหละ ซูจิ้งนั้นไม่มีทางรับรู้ถึงความรู้สึกนี้ได้และไม่ได้ให้อะไรเธอไปเลย


“อาจารย์เชิงครับ ภาพนี้ผมยกให้อาจารย์ครับ” ซูจิ้งได้ม้วนภาพเขียนเมืองจงหยุนที่เขาวาดเมื่อครู่นี้ก่อนที่จะส่งให้เชิงกูยี่ในทันที


“ฉันว่าไม่ดีนะ” เชิงกูยี่นั้นไม่ใช่ว่าไม่ชอบภาพนี้หรอก แต่ในสายตาของเขานั้นภาพนี้มีคุณค่ามากเกินกว่าที่เขาจะรับมาได้


“อาจารย์เชิงครับ อาจารย์ได้ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้กับผมโดยไม่มีการเก็บงำเอาไว้แม้แต่น้อย


อีกทั้งยังคอยชี้แนะผมเวลาที่ผมต้องการความช่วยเหลือเป็นอย่างดี แค่เพียงสองเรื่องนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะตอบแทนอาจารย์ได้ยังไงแล้ว


เอาจริงๆแล้วการให้ภาพเขียนนี้กับอาจารย์ไปนั้นแทบจะไม่ได้เสี้ยวของบุญคุณที่ผมสมควรจะตอบแทนอาจารย์เลยด้วยซ้ำ


หรืออาจารย์จะบอกว่าภาพวาดของผมที่เป็นลูกศิษย์ไม่มีค่าพอที่จะให้อาจารย์เก็บเอาไว้ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ช่างมันเถอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาพลางแกล้งทำสีหน้าเศร้าหมองแบบจงใจให้รู้ว่าแกล้งทำ


“แหม่… ไอ้เด็กนี่ หากพูดมาซะขนาดนี้ ถ้าฉันไม่รับก็คงไม่ได้แล้วสินะเนี่ย เฮ้อ…”


 


เชิงกูยี่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของซูจิ้งก็เกือบจะตกใจไปแล้ว แต่พอเขาเห็นใบหน้าทีเล่นทีจริงของซูจิ้ง เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะเล่นกับซูจิ้งไปด้วย


เขารับภาพเขียนมาด้วยรอยยิ้มอย่างมีความสุข กองที่จะกางภาพเขียนดูใกล้ๆอีกทีหนึ่ง


 


ชายวัยกลางคนทั้งสองคนในตอนนี้ทำได้เพียงแอบถอนหายใจอยู่ภายในใจ ตอนนี้พวกเขาคงหาโอกาสคุยโวเกทับเชิงกูยี่ในเรื่องลูกศิษย์ได้อีกต่อไปแล้ว ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆกูยี่จะมีลูกศิษย์ที่เก่งกาจราวกับปีศาจแบบนี้ออกมาได้กัน แถมดูๆไปแล้ว เขานั้นน่ายังพัฒนาต่อไปได้อีกด้วย


“คุณซู แล้วคุณจะทำยังไงกับงานภาพชิ้นอื่นเหรอคะ ถ้าคุณต้องการขายจริงๆฉันคิดว่าคุณน่าจะขอคนที่เป็นแบบซะก่อนนะว่ายอมให้ขายได้รึเปล่า หรือว่าคุณจะมอบให้พวกเธอเหมือนกัน” เชิงชิเหยาชี้ไปที่ภาพสาวงามที่เหลือพลางให้ไปมองซูจิ้งด้วยความสงสัย


“อืมมมม พบคงต้องขอคิดดูก่อนเหมือนกันล่ะว่าจะเอายังไงดี” ซูจิ้งเองได้พูดพร้อมทำท่าหนักใจออกมา


เชิงชิเหยายิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่ได้ถามอะไรซูจิ้งอีกต่อไป พวกเขาได้อยู่คุยกับซูจิ้งอีกเล็กน้อยก่อนที่จะพากันกลับออกไป


ในใจของทุกคนในตอนนี้ต่างก็เห็นไปในทางเดียวกันว่า พวกเขาได้เป็นสักขีพยานในการกำเนิดของยอดอัจฉริยะด้านการวาดภาพพู่กันจีนเรียบร้อยแล้ว


และนี่ย่อมหมายถึงว่า งานศิลป์ในด้านนี้ต้องถูกยกระดับขึ้นโดยซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย


 


เชิงชิเหยานั้นไม่ได้ตรงกับไปที่ชั้นเรียนของพ่อของเธอทั้งๆที่ตามแผนแล้ววันนี้เธอต้องไปเข้าร่วมชั้นเรียน แต่เธอเลือกที่จะไปบริษัทซือหยาแทน


ในช่วงตอนเย็น ที่บริษัทซือหยาโดยปกติแล้วจะเป็นช่วงที่ต้องเตรียมการจัดพิมพ์และเผยแพร่สื่อโฆษณาเกี่ยวกับชุดเสื้อคอลเลคชั่นใหม่ โดยในวันนี้จะเป็นการให้นางแบบสวมชุดใหม่และถ่ายรูปเพื่อลงโฆษณาเหล่านี้


เมื่อเชิงชิเหยาได้เดินขึ้นบันไดไป เธอได้นำรูปของเธอไปจัดวางไว้ในห้องของที่ในสำนักงาน


เพื่อนร่วมงานของเธอที่ทำงานด้วยกันอยู่นั้นจบการออกแบบมา แถมยังถือได้ว่าเป็นนักออกแบบที่ฝีมือเลยก็ว่าได้


โดยปกตินั้นเธอจะมีหน้าที่ในการตกแต่งงานในส่วนกรอบรูป และผลงานของเธอที่ทำออกมาในแต่ละครั้งก็สวยงามและดูทันสมัยอยู่เสมอ


ที่เธอมาที่นี่ในตอนนี้ก็เพราะว่าจะให้เพื่อนของเธอช่วยหากรอบรูปที่เหมาะสมกับภาพเหมือนของเธอ


“ชิเหยา ทำไมวันนี้เรียนเสร็จเร็วจังล่ะ” หวังซือหยาที่ได้เห็นสาวน้อยผิวขาวราวกับหิมะสะท้อนเข้าตาเดินผ่านมาจึงได้ทักไป


“ใช่แล้วล่ะ วันนี้เลิกเร็วนิดหน่อยน่ะ” เชิงชิเหยาได้พูดออกไป


“ในเมื่อเธอมาแล้วก็เริ่มงานกันเร็วหน่อยก็แล้วกัน รีบๆถ่ายงานจะได้เสร็จเร็วๆ” หวังซือหยาพูดออกมา


“ก็ได้นะ แต่ก่อนหน้านั้นฉันขอจัดการเจ้านี่ก่อนแล้วกันนะ” ชิเหยาพูดตอบซือหยาไปพลางควงภาพในมือของเธอไปมาอย่างสบายอารมณ์


“นั่นคือ?” หวังซือหยาถามออกมามาด้วยความสงสัย เหล่าสาวๆที่อยู่รอบๆเองก็สงสัยไม่ต่างกันว่าอะไรที่ทำให้สาวสวยคนนี้อารมณ์ได้ขนาดนี้


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรจริงๆนะ” เชิงชิเหยานั้น ทันทีที่รู้ตัวว่าพลาดแล้วที่ทำท่าทางแบบเมื่อสักครู่ออกไป เธอในตอนนี้พยายามรีบหาวิธีแก้สถานะการณ์ตรงหน้าให้เร็วที่สุด


“จริงอ่ะ แต่เธอแก้มแดงแล้วนา มีผู้ชายให้มาใช่รึเปล่าเนี่ย ไหนดูสิว่ามันคืออะไร พวกเราก็คนกันเองเรื่องแค่นี้ไม่เห็นต้องปิดบังกันเลยน่า..” หวังซือหยาพูดพลางเตรียมตัวเข้าไปแย่งของที่อยู่ในมือของเชิงชิเหยามาเปิดดู


“มันก็แค่ภาพเหมือนเองน้า ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก” ชิเหยาในตอนนี้เห็นท่าไม่ดีแล้ว เธอนั้นค่อยกระเถิบถอยหลังไปอย่างช้าๆ


“ถ้าเป็นแค่ภาพเหมือนจริงล่ะก็ จะเอาออกมาโชว์ให้พวกเราเห็นสักหน่อยไม่ได้เลยหรอจ้ะ” หวังซือหยายิ้มอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เธอนั้นจะค่อยๆก้าวกระเถิบตามเชิงชิเหยาไปอย่างช้าๆ


“ใช่แล้วใช่แล้ว ถ้าไม่มีอะไรจริงๆพวกเราก็ต้องเห็นได้ซี่…” สาวๆคนอื่นเองที่เริ่มเห็นเรื่องน่าสนุกอยู่ตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะผสมโรง ตอนนี้พวกเธอก้าวเข้าหาเชิงชิเหยาแทบจะในทุกทิศทางแล้ว


“ช่ายยยย เธอไม่เห็นต้องปิดบังอะไรเลยนี่ ภาพเหมือนของอะไรล่ะ พระเจ้า พระพุทธองค์ ภาพเปลือย ของเธอกันจ้ะ ชิเหยาจ๋า… ที่น่าสงสัยที่สุดคือท่าทางของเธอที่ทำอยู่นี่แหล่ะน้า…” สาวน้อยอีกคนหนึ่งก็ได้หรี่ตามองชิเหยาราวกับว่าเป็นหนุ่มน้อยนักสืบก็ไม่ปาน


“อย่าพูดไร้สาระน่า” เชิงชิเหยาในตอนนี้เริ่มโวยวายกระทืบพื้นด้วยความอายเรียบร้อย


ตอนนี้เธอกลัวว่าเพื่อนของเธอทุกคนนั้นจะคิดว่าภาพที่อยู่ในมือนี้เป็นภาพเปลือยของเธอจริงๆ


จึงได้เผลอเปิดภาพเหมือนของเธอให้ทุกคนดูด้วยความฉุนเฉียว ก่อนที่เธอจะพูดขึ้นมาว่า “นี่ ดูนี่สิ ก็แค่ภาพเขียนธรรมดาเอง ฉันไม่ได้คิดสกปรกแบบเธอว่าซักหน่อย”


หวังซือหยาและสาวๆคนอื่นๆเมื่อเห็นภาพที่ชิเหยาถือแล้ว ต่างก็มองหน้ากันก่อนที่จะหันไปเพ่งภาพเหมือนของชิเหยาแบบไม่วางตาและด้วยสายตาที่ตื่นตาจนเบิกโพลง


“ว้าววววว สวยจัง”


“สวยมากเลยล่ะ สวยกว่าชิเหยาตัวจริงซะอีก”


“ชิเหยา ถ้ามีผู้ชายที่ไหนวาดภาพนี้ให้ฉันล่ะก็ ฉันยินดีที่จะตกลงปรงใจแต่งงานจนตายตกตามกันไปเลยนะ”


“ชิเหยา ภาพนี้นี่ใครวาดให้เธออ่ะ พวกเรารู้จักเขารึเปล่า”


 


หวังซือหยาและสาวๆคนอื่นๆตอนนี้ดวงตาของพวกเธอถูกเติมเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และอิจฉาริษยาจนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)