Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 824-827
GGS:บทที่ 824 หาเรื่อง
งานเลี้ยงวันเกิดก็ยังดำเนินต่อไป และบรรยากาศยังเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
หลายๆคนยังคงเข้าไปอวยพรวันเกิดผู้ว่าการหู่อยู่เนืองๆไม่เว้นแม้ซุนหยูเฮงที่เดินเข้าไปอวยพรด้วยเช่นกัน
ถึงแม้เขาจะถือได้ว่าเป็นคนจากเมืองหลวงที่พอมีอำนาจอยู่บ้าง แต่ยังไงซะเขานั้นก็ยังสู้ผู้ว่าการจังหวัดไม่ได้อยู่ดี
เอาจริงๆไม่ใช่แค่ตระกูลซุน แม้แต่สี่ตระกูลใหญ่จากเมืองหลวงอย่างตระกูลหวังและตระกูลอื่นก็ไม่ต่างกัน
ฉะนั้นหากซุนหยูเฮงต้องการมาขยายฐานอำนาจของตัวเองที่นี่ยังไงซะเขาก็ต้องสร้างความสัมพันธ์อันดีกับหู่ซิงหมิง
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งไม่ได้มีท่าทีจะเข้าหาผู้ว่าการหู่แม้แต่น้อยทำให้เตียนจงยี่เริ่มเป็นกังวล
ซูจิ้งนั้นถึงแม้เขาจะสร้างฉากอลังการงานสร้างให้กับคนในงานมากมายไปแต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังคลายกังวลไม่ได้อยู่ดี แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป
เพราะเขาก็ยังเชื่อว่าต่อให้ซูจิ้งไม่สร้างความสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่าฯไว้ก็จริงแต่จากท่าทางของซูจิ้งที่ดูยังสุขุมและยังดูนิ่งเฉย แม้แต่หวังซือหยาที่ท่าทางไม่ต่างกัน สมควรที่เขาเตรียมแผนการอะไรไว้บางอย่างแล้ว
หลังจากผ่านไปซักพัก บรรยากาศในงานตอนนี้เริ่มเปลี่ยนไป
ซุนหยูเฮงแสดงรอยยิ้มออกมาบนใบหน้าและได้พาผู้หญิงคนหนึ่งในชุดเดรสสีน้ำเงินครามออมา
ทันที่เห็นผู้หญิงคนนั้นทุกคนต่างก็ประหลาดใจ บางคนยังแสดงท่าทียินดีออกมาเล็กน้อย แม้แต่ซูจิ้งเองก็ยังอึ้งจนนิ่งไปพลางคิดว่าทำไมหลินฉีหยูถึงมาที่นี่ได้
ซุนหยูเฮงได้เดินพาหลินฉีหยูมายังหู่ซิงหมิงและพูดว่า “ผู้ว่าการหู่นี่เพื่อนของผมที่เป็นนักแต่งเพลงครับ”
“สบายดีไหมคะท่านผู้ว่าการหู่ ขอให้มีความสุขและอายุยืนนานค่ะ” หลินฉีหยูกล่าวอวยพรพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณมาก” หู่ซิงหมิงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ขอโทษนะคะที่อาจจะช้าไปหน่อยแต่ว่าฉันได้แต่งเพลงมาร้องที่นี่เพื่อเป็นการฉลองวันเกิดให้ท่านผู้ว่าการ” หลินฉีหยูพูดออกมาพร้อมยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“โอ้ งั้นฉันจะตั้งใจฟังเลย” หู่ซิงหมิงหัวเราะออกมา พลางคิดไปว่าการที่คนอย่างหลินฉีหยูนั้นมาร้องเพลงในงานเขาแบบนี้มันเหมือนกับเขาได้กลายเป็นเด็กๆไปเลย
เมื่อซุนหยูเฮงได้เห็นรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของหู่ซิงหมิงทำให้สายตาของเขาเป็นประกาย
เขานั้นได้เชิญหลินฉีหยูมาเพื่อเรียกความโปรดปรานโดยเฉพาะ นี่เป็นแผนสองที่เขาได้เตรียมเอาไว้เพื่อการนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธมามอบให้แล้วไม่ได้ผล
ตอนแรกเธอเองนั้นก็เหมือนจะไม่มาแล้วแต่เขาก็ได้ให้คนของเขาพยายามดูอีกครั้งก็ไม่คิดเหมือนกันว่าว่าเธอจะมาจริงๆ เพราะต่อให้เขานั้นมีสายสัมพันธ์กับเธอดีขนาดไหนก็ตาม แต่เวลาว่างของเธอช่างน้อยนิดทำให้เขาเองก็หวั่นใจไม่น้อยก่อนหน้านี้ว่าเธอจะไม่มา
หลินฉีหยูได้ก้าวขึ้นบนเวทีและหลังจากนั้นเสียงดนตรีก็ได้บรรเลงออกมา
เธอหยิบไมโครโฟนและก็ได้เปล่งเสียงอันหวานเยิ้ม และน่าหลงไหลออกมาว่า “ฉันขออวยพรสุขสันต์วันเกิดให้กับท่านผู้ว่าฯและมีความสุขในทักวันเกิดนะคะ ในทุกปีในวันนี้ขอให้ทุกปีมีแต่สิ่งที่ดีๆเกิดขึ้นตลอดไป…”
ดารามากมายนั้นส่วนใหญ่นั้นจะไม่ได้มุ่งเน้นไปในงานวงการบันเทิงในลักษณะเดียว
เช่นเดียวกัน หลินฉีหยูถึงแม้เธอนั้นจะเป็นนักแสดงก็จริง แต่เธอเองก็มีผลงานเพลงทั้งการแต่งเพลงและร้องเพลงอยู่ไม่น้อยเช่นเดียวกัน
การที่อยู่ๆเธอมาร้องเพลงอวยพรวันเกิดแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไม่คุ้นเคยสำหรับเธอ ต้องบอกว่าดูคล่องแคล่วกว่าการแสดงซะด้วยซ้ำ
หลังจากเพลงหนึ่งจบลง เหล่าผู้รับฟังต่างก็ได้รับความรู้สึกอบอุ่นผ่านบทเพลงแม้แต่หู่ซิงหมิงก็ยังตบมือให้เธอด้วยสายตาที่เปี่ยมสุข
นี่เป็นการบอกได้อย่างดีว่าของขวัญของซุนหยูเฮงสามารถชนะใจหู่ซิงหมิงได้เป็นอย่างดี
เมื่อเทียบกับของขวัญที่ซูจิ้งนำมาก่อนหน้านี้แล้วตัวเขานั้นไม่มีทางเทียบได้เลย แต่ตอนนี้อย่างน้อยๆเขาก็ยิ้มออกได้ซักที
หลังจากที่เพลงจบลงไป หลินฉีหยูเองก็ยังไม่ได้เดินจากไปไหนแต่ยังคงยืนอยู่ข้างๆซุนหยูเฮงจนเหมือนกับเป็นเพื่อนสาวของเขาไปจนทำให้คนอื่นๆเริ่มที่จะซุบซิบนินท่ากันด้วยความอิจฉาจากเหล่าชายที่ร่ำรวยและมีอำนาจคนอื่น
คนพวกนี้ไม่เคยถือว่าดาราเป็นหญิงสาวสามัญชนคนธรรมดา มีเพียงบางคนเท่านั้นที่เคยมีโอกาสใกล้ชิดดาราอยู่บ้าง แต่สำหรับหลินฉีหยูแล้วถือได้ว่าเป็นดาราคนละระดับกับดาราทั่วไป
ด้วยการที่เธอมีความสวยงามมากซะจนไม่ว่าชายใดก็ตามก็อดที่จะหาโอกาสชิดใกล้ไม่ได้ ประดุจดั่งชายงามที่หลงไหลในเทพธิดาก็ไม่ปาน
หวู่ฉิงติงเองก็ยังต้องยอมรับซุนหยูเฮงในเรื่องนี้และพยายามจะเข้าหาซุนหยูเฮงไม่น้อย แต่ก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเขาต้องการเข้าหาเพราะต้องการสร้างสัมพันธ์กับซุนหยูเฮงจริงๆหรือต้องการเข้าหาหลินฉีหยูกันแน่
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ภรรยาของเขาเองก็ค่อนข้างจะหวงเขาไม่น้อยและไม่ยอมอยู่ห่างเขาแน่นอนว่าเขานั้นไม่มีโอกาสสร้างความประทับใจกับเธอได้เลย
“คุณซู คุณอยู่นี่ด้วยหรอ” หลินฉีหยูตกใจทันทีที่เห็นซูจิ้ง
“ใช่แล้ว นี่เธอเห็นฉันด้วยหรอเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮิฮิ ฉันขอโทษจริงๆ ช่วงนี้สงสัยสายตาไม่ค่อยดีน่ะ” หลินฉีหยูเองก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย
ความจริงนั้นหลินฉีหยูเองก็ดูดีไม่น้อยและมีรอยยิ้มที่แสนอ่อนหวานอยู่เหมือนกัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ดีเท่าฉือชิง มู่หรงเซียนเอ๋อ หรือแม้แต่หวังซือหยาก็ตาม แต่อย่างน้อยเธอในชุดนี้ก็ดูมีเสน่ห์จนเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้
เมื่อซุนหยูเฮงเห็นหลินฉีหยูคุยหัวเราะต่อกระซิกกับซูจิ้งทำให้เขานั้นจ้องมองจนคิ้วขมวดและทำให้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาหายไป
เขานั้นพยายามแทบตายกว่าจะยอมให้หลินฉีหยูมาที่นี่ แต่กับซูจิ้งเหมือนแค่เจอหน้าเธอก็ยอมไปหาแล้ว
แม้แต่หวู่ฉิงติงเมื่อเห็นแบบนี้แล้วก็อดไม่ได้ที่จะแสดงอาการอิจฉาออกมาเสียไม่ได้
พอเขาคิดดูดีๆแล้ว ซูจิ้งนั้นมีความสัมพันธ์อันดีกับหลายตระกูลผ่านหวังซือหยา มู่หรงเซียนเอ๋อ และเว่ยเสี่ยวหยวน และยังมีสาวงามอย่างฉือชิงอยู่ข้างกาย แถมภรรยาเก่าของเขาอย่างเฉิงหนานยังไปผู้ช่วยของซูจิ้ง
ไอ้หมอนี่จะโชคดีเกินไปแล้ว ทำไมกัน
“โอ้ เฉิงหนาน เธอเองก็อยู่นี่ด้วยเหรอ” ภรรยาของหวู่ฉิงติงชื่อว่าหยิงติงได้ส่งเสียงเรียกเล็กสูงออกมา ทำเหมือนกับว่าเพิ่งจะสังเกตเห็นเฉิงหนาน
เธอในตอนนี้อยู่ในชุดที่โชว์อกเล็กน้อยอยู่แล้ว เธอพูดออกมาในขณะที่เชิดคางก่อนจะจ้องไปยังซูจิ้งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงถากถางออกมาว่า “หมอนี่คือแฟนของเธองั้นหรอ”
ใบหน้าของเฉิงหนานเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอและซูจิ้งเองก็เป็นเพียงแค่คนที่ร่วมมือกันทางธุรกิจเท่านั้น
แต่นังผู้หญิงไม่รู้จักดูสี่ดูห้าอยู่ๆก็พูดออกมาแบบนี้พยายามทำเหมือนจะถากถางเธอแน่นอนแล้ว ถ้าหากมีคนที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางมาได้ยินแบบนี้พวกเขาจะคิดยังไงกัน ต่อให้ไม่มีอะไรกันจริงๆแต่ยังไงซะโลกนี้ก็ยังเรื่องซุบซิบนินทาที่ทำลายคนได้
แต่เฉิงหนานเองก็ได้เตรียมพร้อมกับเรื่องแบบนี้ไว้อยู่บ้างแล้วจึงตอกกลับไปว่า “แฟนของคุณซูออกจะสวยขนาดนั้น แล้วเขาจะมาแลฉันทำไมกัน”
“จริงสินะ” หยิงติงนั้นหัวเราะออกมาดังๆเหมือนพอใจที่ถากถางสำเร็จ
“โอ้โอ้ พี่สาวเฉิงหนานเองสวยจะตายไป สวยจนมีคนมาคอยรอจีบเป็นหางว่าวขนาดนั้นแล้วเธอจะมาแลฉันได้ยังไงกัน” ซูจิ้งจ้องมองไปยังหยิงติงก่อนที่จะพูดออกมา
“หืม อธิบายให้ฉันฟังหน่อยสิมีเรื่องอะไรกัน” ซุนหยูเฮงได้มองไปเฉิงหนานก่อนที่จะถามออกมา
“ก็ไม่มีอะไรมากหรอก คนนี้คือภรรยาเก่าของฉิงติง ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เธอหย่ากับเขา” หยิงติงได้พูดไปพลางหยิบดอกกล้วยไม้มาเล่นที่นิ้ว เมื่อเห็นเฉิงหนานมีสีหน้าแย่ลง เธอเองก็ดูมีความสุขมากขึ้น
เฉิงหนานมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก การที่ได้เจอคนเยี่ยงนี้ไม่ว่าใครเจอก็ยากที่จะทำสีหน้าอารมณ์ดีอยู่ได้ ยิ่งโดยเฉพาะกับการที่เธอต้องเผชิญหน้าทั้งสามีเก่าและภรรยาใหม่ของสามีพร้อมกันแบบนี้
ซูจิ้งและหวังซือหยาเองก็จ้องไปด้วยใบหน้าที่เอาเรื่อง พวกเขาเตรียมตัวสวนกลับแล้ว
ทันใดนั้นหลินฉีหยูเองก็ได้ยืนขึ้นเพื่อพยายคลีคลายสถานการณ์เธอจึงพูดออกมาว่า “สวัสดีค่ะคุณเฉิง คุณหวัง”
“สวัสดีค่ะคุณหลิน” เฉิงหนานและหวังซือหยาพยกัหน้าทักทาย
“คุณซู ยาของคุณที่ช่วยป้าของฉันจากโลกไข้เย็นในตอนนั้น และยังช่วยทำให้เธอตั้งครรภ์ได้อีกต้องขอบคุณคุณจริงๆ ฉันเองก็อยากจะขอดื่มให้คุณซักหน่อยค่ะ”
หลินฉีหยูได้พยายามเปลี่ยนหัวข้อการสนทนาพร้อมกับรินไวน์ลงไปแก้วสองแก้ว แก้วหนึ่งยื่นให้ซูจิ้ง
เธอเองนั้นก็ยกย่องซูจิ้งไม่ใช่น้อยเพราะเขาทำให้ป้าของเธอไม่ต้องกลัวความเย็นและยังตั้งท้องมีลูกได้อีกโดยไม่ต้องกังวลอะไรในชีวิตแล้ว
สิ้นคำของหลินฉีหยู เตียนจงยี่ ซุนหยูเฮง และคนอื่นๆรู้สึกได้เลยว่าท่าทีของหยิงติงเปลี่ยนเป็นประหลาดใจ
เธอเองก็ไม่ได้สนใจฟังคำพูดของหลินฉีหยูซักเท่าไหร่ แต่เพียงเธอได้ยินคำว่าป้าของเธอตั้งครรภ์เท่านั้น นั่นทำให้เธอหูผึ่งในทันที เธอรีบถามออกมาว่า “คุณหลินเมื่อกี๊คุณว่ายังไงนะ คุณบอกว่าไอ้บ้านี่ทำอะไรนะ”
“อ่อ ก็แค่ยาของคุณซูช่วยรักษาอาการมีบุตรยากเท่านั้นเอง” หลินฉีหยูไม่ชอบหน้าหยิงติงอยู่แล้ว
นอกจากเธอคนนี้จะไม่ไว้หน้าเธอแล้วยังกล้ามารังแกเฉิงหนานต่อหน้าเธออีก
แต่เธอเองก็รู้สึกเหมือนคำพูดเธอไปเตะจุดอ่อนอะไรบางอย่างของผู้หญิงคนนี้ เธอเลยเลือกที่จะตอบแบบตรงๆ
GGS:บทที่ 825 น่าอับอาย
“ซู เอ่อออ คุณซูสามารถรักษาอาการมีบุตรยากได้จริงๆหรอ” หยิงติงนั้นแสดงอาการตกใจพร้อมทั้งหันไปมองซูจิ้งด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
แม้แต่sวู่ฉิงติงเองก็ยังหันหน้าไปจ้องซูจิ้งด้วยอาการตื่นเต้น
“แน่นอน ทั้งคุณนายเจียงนี่ คุณนายลี่ฉิน และคุณนายตระกูลหลี่เองล้วนแล้วแต่ได้รับการรักษาการมีบุตรยากโดยคุณซูผู้นี้แล้วทั้งสิ้น”
หยิงติงและsวู่ฉิงติงนั้นแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา พวกเขาไม่รู้จักป้าของชิหยูแต่อย่างใดทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าเรื่องจริงเป็นยังไง
แต่เขานั้นรู้จักเจียงนี่เธอเป็นเพื่อนสนิทของเฉิงหนาน พวกเขารู้จักกันมานานแล้ว ส่วนลี่ฉินนั้นเป็นภรรยาของผอ.ของสำนักงานบริหารวิทยุ ภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งชาติ(SARFT) และพวกเขาต่างเคยพบปะอยู่บ้าง
และครั้งล่าสุดที่รู้ข่าวคือทั้งคู่ตั้งท้องเรียบร้อยแล้ว
พวกเขาเองก็พยายามถามวิธีการพิเศษอะไรที่ทั้งคู่ท้องได้แต่ทั้งคู่ไม่ยอมบอกเขาแต่อย่างใด นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นได้บอกให้พวกเขาเก็บความลับเรื่องนี้ไว้
ซูจิ้งก็ลืมคิดถึงหลินฉีหยูไปเลยทำให้เธอนั้นพูดออกมาตรงๆ แต่ซูจิ้งดูจากสถานการณ์แล้วเขานั้นก็ไม่ได้ห้ามเธอแต่อย่างใด
ก่อนหน้านี้คู่สามีภรรยาน่ารังเกียจทั้งสองที่พยายามจะสอบถามวิธีการรักษาการมีบุตรยากกับลี่ฉินและเจียงนี่นั้น ทั้งสองก็ได้ไปพยายามหาหมอมากมายหลายแขนงแล้วแต่ก็ไร้ผล ไม่คิดว่าหมอที่ช่วยได้จริงๆกับเป็นซูจิ้งที่อยู่ตรงหน้า
“ซู…เอ่อ คุณซู คุณพอจะมียารักษาอาการมีบุตรยากอยู่อีกรึเปล่า ฉันและภรรยาต้องการจะมีลูกแต่พวกเราก็ไม่มีสักที”
หวู่ฉิงติงในตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนว่าเขานั้นจะลืมเรื่องบาดหมางระหว่างเขากับซูจิ้งไปได้มาทำการขอร้องต่อหน้าธารกำนัลด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“หืมมมมมมม คุณหรือภรรยาของคุณล่ะ ถ้าคุณไม่บอกมาตรงๆผมก็ทำอะไรไม่ได้ ผู้ชายและผู้หญิงนั้นมีวิธีการรักษาต่างกันนะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดังขึ้นเล็กน้อย
“คุณซู เอาเป็นเราไปคุณกันที่อื่นดีกว่านะ” หวู่ฉิงติงเองก็ยิ้มออกมาอย่างอายๆ ยังไงซะการที่ผู้หญิงนั้นเกิดอาการมีบุตรยากแล้วเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติ แต่กับผู้ชาย หากเป็นผู้ชายที่มีบุตรยากนั้นหากมีคนรู้จะก่อปัญหามากกว่า ตัวอย่างเช่นหน้าตาทางสังคม ทำให้หวู่ฉิงติงนั้นอายเกินกว่าจะพูดที่นี่ได้
“อ้าวเฮ้ ถ้าไม่พูดตรงนี้ก็ไม่ต้องคุยกันอีก ฉันไม่ได้มีเวลาว่างมากมายขนาดนั้นนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยเสียงดังลั่น
“เรื่องนี้…” หวู่ฉิงติงนั้นอยากจะแค่พาซูจิ้งไปคุยกับเงียบๆข้างงานไม่ก็คุยกันหลังงานเลิกเท่านั้น แต่ด้วยการที่เขาเองอยากมีลูกมากและเป็นปัญหามาจากตัวเขาเอง
เขากลัวว่าซูจิ้งจะไม่สนใจเขาหากปล่อยผ่านเรื่องในตอนนี้ไปเพราะยังไงซะเขาเองก็ขัดแย้งกับซูจิ้งพอสมควร มีโอกาสที่ซูจิ้งจะไม่ยอมช่วยเขาอย่างมาก ในที่สุดเขาก็ยินยอมพร้อมรับและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำๆว่า “ผมเองที่มีภาวะมีบุตรยาก”
“โอ้ออออ คุณเองหรอที่มีภาวะมีบุตรยาก” ซูจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงดังลั่นจนทุกคนในงานได้ยินเขาได้
เขาได้ถามต่อว่า “ก็ดี แล้วอย่างนั้นทำไมแกยังโยนทุกอย่างให้เป็นความผิดความพี่เฉิงหนานเขา ห้ะ นี่แกยังเป็นลูกผู้ชายอีกรึเปล่า”
ทันทีที่สิ้นเสียงซูจิ้ง ทุกคนที่ได้ยินดังนั้นต่างจ้องมองไปยังหวู่ฉิงติงราวกับเห็นตัวประหลาดก็ไม่ปาน หน้าของหวู่ฉิงติงเองนั้นตอนนี้เปลี่ยนสีแดง นี่เขายังต้องอายอะไรอีก
ความจริงเขาเองก็ควรจะเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้วเพราะยังไงซะในเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ไม่มีทางที่ซูจิ้งจะไม่เอาคืนเขา เขาเองก็เกลียดซูจิ้งจนต้องกัดฟันแต่ยังไงซะเขาเองก็ยังอยากได้ผู้สืบสกุลเขาจึงทำได้แค่อดทนเท่านั้น
และเขารู้ตัวดีว่าหากเขาพลาดโอกาสนี้ไปเขาอาจไม่มีทางได้มีโอกาสมีลูกไปอีกตลาดชีวิต เพราะสุดท้ายแล้วยังไงซะก็เป็นเขาเองที่ทำผิดต่อซูจิ้งตั้งแต่เริ่ม เป็นเขาเองที่หมกมุ่นในกามารมณ์มากเกินไป
“ฉิงติงก็แค่มีปัญหานิดหน่อยเอง ยังไงซะเฉิงหนานก็…” หยิงติงพยายามอธิบาย
“ฉันกำลังคุยกับ คูณ หวู่ อยู่ เธอไม่มีสิทธิ์พูด” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเลือดเย็น
“ฉัน…” หยิงติงถึงกับชะงัก เธอเองก็โกรธไม่น้อยแต่ไม่กล้าพูดอะไรออกมา หวู่ฉิงติงเองก็จ้องมายังเธอเชิงให้หยุดพูดไป
“คุณซู เป็นฉันที่ไม่ดีเอง ภรรยาของฉันไม่เข้าใจเรื่องราวอะไร อย่าไปใส่ใจเธอเลย หากคุณมียาที่รักษาการมีบุตรยากได้ล่ะก็คุณว่าราคามาได้เลย” หวู่ฉิงติงเองก็พยายามอดกลั้นไว้ไม่น้อย พร้อมทั้งพยายามคลี่คลายสถานการณ์เมื่อครู่นี้
“ฉันไม่มียานั่นหรอก คุณก็น่าจะรู้นะว่าพี่หนานเขาเป็นผู้จัดการของกลุ่มทุนฉัน ฉันยกทุกอย่างให้เธอบริหาร แม้แต่การขายยารักษาภาวะมีบุตรยากนี่ก็เช่นกัน ฉันยกให้เธอเป็นคนจัดการ ถ้าจะถามหายาก็จงไปถามจากเธอซะ” ซูจิ้งพูดออกมา
หวู่ฉิงติงและหยิงติงต่างก็หน้าตึงในทันที รอยยิ้มของพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้มีค่าเท่าน้ำตาแต่อย่างใด
คำพูดของซูจิ้งนั้นอาจจะเป็นจริงเพราะยังซะเฉิงหนานก็เป็นคนจัดการทุกอย่างให้ซูจิ้ง แต่ก็อาจจะหลอกพวกเขาให้พวกเขาต้องอับอายก็ได้
แต่ไม่ว่าจะจริงหรือหลอกก็ตาม ในเมื่อซูจิ้งพูดแบบนั้นออกมานั่นก็หมายความว่าพวกเขาต้องยอมให้เฉิงหนานยินยอมก่อน
แต่พวกเขาเองก็คอยรังแกเฉิงหนานมาหลายครั้งหลายหน แถมยังคอยก่อปัญหาให้ไม่น้อยเลย
การที่จะให้บากหน้าไปพูดขอร้องจะให้พวกเขาพูดอะไรออกมากันได้
แต่ถ้าพวกเขานั้นไม่พูดขอร้องในตอนนี้พวกเขาเองก็จะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกในชีวิตอย่างแน่นอน ต่อให้กล้าพูดออกไปก็ใช่ว่าเฉิงหนานจะยินยอมให้แต่โดยดี ดีไม่ดีไม่มองพวกเขาซะด้วยซ้ำ
“เรื่องนั้น…” หยิงติงนั้นทำหน้าน่าเกลียดอยู่นานจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนจะพูดออกมาว่า
“พี่หนานคะ ในเมื่อยานั่นอยู่กับพี่ก็แสดงว่าพี่เองก็น่าจะอยากรักษาเขามาตั้งนานแล้ว แต่เป็นฉันที่ผิดเองที่อิจฉาพี่ที่สวยกว่า ฉันหวังว่าคุณจะยินยอมให้ยานั้นกับเรานะ”
“เสี่ยวหนาน เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ขอให้มันผ่านไปเถอนะ ฉันได้ทำเรื่องเลวร้ายไปกับเธอมาก่อน
ฉันขอโทษที่โทษเธอเรื่องลูกด้วยที่โยนให้เป็นความผิดของเธอคนเดียว
เอาเป็นว่าพวกเราปล่อยผ่านมันไปเถอะนะ ฉันแค่ต้องการยารักษานั่นแค่ชุดเดียวก็ยังดี บอกฉันมาได้เลยว่าเธออยากได้อะไรฉันจะหาให้” หวู่ฉิงติงพูดออกมา
ใบหน้าของวู่ฉิงติงและหยิงติงที่ขนานราบไปกับพื้นในตอนนี้ทำให้หลายๆคนที่เห็นต่างก็ส่ายหัวกันไปหมด
ซุนหยูเฮงเองที่ตอนแรกทำท่าว่าจะเข้าไปช่วยทั้งสองคนก็แทบจะถอยหนีออกมาไม่ทัน
เฉิงหนานเองที่กำลังมองไปยังคู่สามีภรรยาสารเลวทั้งสองคนความจริงนั้นเธอก็โกรธอย่างมาก
และเธอเองก้ไม่ได้สงสารแต่อย่างใด เธอยังมองทางซูจิ้งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
เธอรู้ในทันทีว่าซูจิ้งให้โอกาสเธอในการเอาคืน เธอเองก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจจากการที่ซูจิ้งทำทุกอย่างให้เธอมากๆ
แต่ก่อนเธอนั้นเพียงรู้สึกว่าการติดตามซูจิ้งไปนั้นถือว่าถูกต้องแล้วแต่ตอนนี้เธอกับรู้สึกว่าการที่เธอเลือกซูจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นที่สุดของชีวิตไปแล้ว
ผ่านไปซักพักเฉิงหนานเองก็เริ่มรู้สึกอยากเอาคืนขึ้นมา เธอเองก็รู้ว่ายาที่ใช้รักษาอาการการมีบุตรยากนั้นไม่มีทางที่ซูจิ้งจะมอบให้เธอแต่อย่างใด
ยิ่งไปกว่านั้นเท่าที่เธอรู้ยาของซูจิ้งนั้นรักษาผู้หญิงเป็นหลักไม่ใช่ผู้ชาย การที่ซูจิ้งไม่บอกมาอย่างนี้แสดงว่าเขาเองก็น่าจะมีแผนการอะไรบางอย่างอยู่แล้ว
“เฮ้ออออ ต้องขอโทษจริงๆ ยานี้ล้ำค่าเกินไป ยาทุกขวดนั้นมีค่าแบบสุดจนฉันยังหาวิธีโฆษณาสินค้านี้เพื่อที่จะขายยังไม่ได้เลย อย่างน้อยๆตอนนี้ฉันก็ยังไม่มีแผนที่จะปล่อยยาพวกนี้ออกมาน่ะ” เฉิงหนานปฏิเสธออกมาอย่างนุ่มนวล
“เสี่ยวหนาน” ทำไมเธอยังอาฆาตอยู่ล่ะ ไว้หน้าฉันหน่อยนะ หวู่ฉิงติงเริ่มรู้สึกไม่ดีขึ้นมา
“คุณหวู่ ฉันไม่ได้มีอะไรติดค้างกับคุณอีก อย่าได้เรียกชื่อที่ฟังดูสนิทสนมแบบนั้นออกมาเลย แล้วอีกอย่างฉันก็ต้องรักษหน้าของตัวเองเหมือนกัน ฉันให้ไม่ได้จริงๆ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม นี่เป็นครั้งแรกที่เธอทำหน้าอย่างสบายอารมณ์ต่อคนทั้งสองนี้ได้
“เธอ…” หวู่ฉิงติงและหยิงติงทั้งสองในตอนนี้มีใบหน้ากระตุกจนเหมือนกับจะแสดงท่าทีโกรธออกมา
พวกเขาอยากจะตะโกนไปยังทุกคนในตอนนี้ พวกเขาเองถึงกับก้มหัวขอร้องขนาดนี้แต่เฉิงหนานก็ยังไม่ยอมไว้หน้าพวกเขา
นี่ทำให้พวกเขาต้องอับอายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาต้องการยาที่รักษาอาการภาวะมีบุตรยากได้จริงๆ
เมื่อพวกเขาคิดดูดีๆแล้วก็คิดได้ว่าตอนนี้คงยากที่จะขอยามาจากเฉิงหนานและซูจิ้งได้แล้วพวกเขาจึงได้ยืนขึ้นแล้วพูดว่า
“ฉันรู้ว่าเธอยังโกรธอยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ตอแยเธออีกต่อไป ฉันจะไปขอโทษเธอทีหลัง ฉันเองก็หวังว่าเธอจะหายโกรธนะ เธอลองคิดดีๆอีกทีแล้วกัน”
GGS:บทที่ 826 เก็บซ่อนความรู้สึก
หลังจากได้พูดออกไปแล้ว หวู่ฉิงติงและหยิงติงได้หันหลังกลับพร้อมเดินออกไปด้วยท่าทีที่ฉุนฉียว
เมื่อพวกเขากลับไปยังที่นั่งตระกูลหวู่ พวกเขาก็ได้แสดงความรู้สึกทั้งหมดออกมา
หยิงติงได้พูดออกมาว่า “ยัยเฉิงหนานนั่นช่างน่าละอายจริงๆ ยัยนั่นมันหน้าบางไม่ใช่หรอ คุณคิดว่ายัยนั่นคิดอะไรอยู่กันแน่”
“พูดเบาๆหน่อยเดี๋ยวพวกนั้นก็ได้ยินกันหมดหรอก” หวู่ฉิงติงพูดออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา เขานั้นได้สะกิดหหวู่หลิวหยิงก่อนที่จะกระซิบออกมาว่า “พ่อ ผมว่าเราต้องทำให้พวกนั้นต้องวุ่นวายซักหน่อยแล้ว ผมว่าให้หมอนั่นเริ่มแผนการขั้นถัดไปเถอะ”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้” หวู่หลิวหยิงยกมือขึ้นเชิงห้ามปราม
“ผมคิดว่าโอฉิงหยุนนั้นยังทำงานได้ไม่ดีพอ หมอนั่นเข้าไปอยู่ในสถาบันวิจัยฯห้วงเวลาฯมาก็นานแล้วแต่หมอนั่นยังไม่ได้อะไรที่เป็นประโยชน์ต่อเราเลย ผมว่าเราอาจต้องบังคับเขาซะหน่อยนะ”
หวู่ฉิงติงรีบพูดออกมา เขานั้นไม่เข้าใจเลยว่าทำไมโอฉิงหยุนที่เข้าไปอยู่ในสถาบันวิจัยฯตั้งนานแล้วก็สมควรที่เขาจะส่งข้อมูลอะไรออกมาได้บ้างแต่นี่ไม่มีอะไรเลย
หากว่าพวกนั้นรู้ตัวจริงก็ควรจะเกิดเรื่องกับโอฉิงหยุนไปแล้ว แต่นี่พวกนั้นก็ยังทำงานปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้แต่หวู่หลิวหยิงเองก็ยังคิดว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาอยู่อีก
“เสี่ยวโอเองยังอยู่ในช่วงทดลองงานอยู่เลย แล้วหมอนั่นจะไปได้ข้อมูลอะไรมาได้กัน” หวู่หลิวหยิงพูดออกมา
“ห้ะ ทำไมหมอนั้นยังอยู่ในช่วงทดลองงานอีกล่ะ หมอนั่นต้องแก้ตัวแหงๆ ต่อให้ทดลองงานจริงแต่อย่างน้อยๆก็ควรจะมีพวกข้อมูลเกี่ยวกับโครงสร้างห้องวิจัยอะไรพวกนั้นออกมาบ้างสิ
พ่อก็รู้ว่าปกติมันก็ควรเป็นแบบนั้น ต่อให้จะรักษาความปลอดภัยดียังไง แต่อย่างน้อยก็ควรมีข้อมูลส่วนนี้
ผมอยากได้ข้อมูลที่พอมีประโยชน์ใช้เล่นงานหมอนั่นได้บ้าง เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี
อย่างน้อยๆก็อย่างพวกช่องทางทางธุรกิจของหมอนั่น ผมจะใช้ข้อมูลนั่นไปบีบบังคับซูจิ้งให้ยอมยกยารักษาภาวะมีบุตรยากให้ผม
หึ่ม หมอนั่นนอกจากจะทำให้ผมอับอายแล้วยังเล่นแง่กับผมอีก ในอนาคตผมต้องทำให้หมอนั่นคุกเข่าขอร้องผมให้จงได้” หวู่ฉิงติงสบถออกมา
“ถ้าแกทำอะไรผลีผลามอย่างการที่ด่วนตัดสินใจทำอะไรเร็วเกินไปเรื่องพวกนั้นล้วนแล้วแต่นำพาสู่ความหายนะทั้งสิ้นไม่ต้องรีบไปหรอกน่า แต่ถ้าแกจะทำอะไรโดยไม่บอกฉันก่อนละก็ เราจะได้เห็นดีกัน”
หวู่หลิวหยิงพูดออกมาด้วยท่าทีเย็นชาเพราะเขาดูท่าทีของลูกชายแล้ว หมอนี่ย่อมไม่ฟังเขาอย่างแน่นอน
ท่าทีเย็นชาของหวู่หลิวหยิงนั้นแตกต่างจากท่าทีเย็นชาของหวู่ฉิงติงอย่างสิ้นเชิง
เพราะมันที่ให้หวู่ฉิงติงรู้สึกเสียวสันหลังจนขนหัวลุกได้ มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดที่เขาเองแถบจะไม่เคยรู้สึกจากพ่อของเขามาก่อน
เอาจริงๆเขานั้นไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาตั้งแต่เกิดจนถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน
ในช่วงนั้นต่อให้พ่อของเขาโกรธถึงขีดสุดเขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความรักอยู่บ้าง
ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนกับว่าพ่อของเขานั้นถึงแม้จะมีท่าทีห่วงใยแต่ก็ไม่ได้รู้สึกอบอุ่นเหมือนแต่ก่อน เหมือนโดนตัดขาดพ่อลูกไปแล้วยังไงก็ไม่รู้
“แกเข้าใจรึเปล่า” หวู่หลิวหยิงถามออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เข้าใจแล้วครับ” หวู่ฉิงติงรีบพยกหน้ารับอย่างไวอย่างเชื่อฟัง
หวู่หลิวหยิงนั้นในตอนนี้ถึงแม้จะเหมือนวางมือไปแต่ก็ยังถือได้ว่ามีอำนาจเบ็ดเสร็จในตระกูลหวู่อยู่ดี การที่เขาขัดขืนไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
ก่อนที่จะหวู่ฉิงติงจะได้พูดอะไรต่อ หวู่หลิวหยิงได้โยนกระดาษใบหนึ่งให้เขาด้วยสีหน้าเย็นชายิ่งกว่าเดิม
หวู่ฉิงติงได้มองดูแล้วก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นหวู่หลิวหยิงก็ได้เอื้อมมือไปเก็บกลับมาตามเดิมด้วยท่าทีเหลืออด
นี่ทำให้หวู่ฉิงติงนั้นอดไม่ได้ที่จะไม่ก่อเรื่องอะไรแล้วจริงๆ นั่นก็เพราะตอนนี้ตระกูลของเขากำลังประสบปัญหาอย่างหนักจากธุรกิจของตระกูล
ตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าหลังจากปัญหาในตระกูลสิ้นสุดลงแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น เมื่อนั้นก็คงยังไม่สายที่จะเล่นงานซูจิ้ง
“เหอะ ถึงแม้เฉิงหนานจะกลายเป็นผู้ติดตามของซูจิ้งแต่ดูเหมือนว่าจะได้รับความไว้วางใจไม่น้อยเลยนะนั่น” ชายแก่ตัวสูงคนหนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ได้พูดค่อนแคะออกมา
“พี่จิ้งช่างดีกับพี่หนานจริงๆ” เฉิงเสี่ยวหยุนผู้ที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดของผู้เป็นพ่อได้พูดออกมาอย่างกระดี้กระด้า
“หึ่ม ถ้ามันยอมฟังฉันและยอมแต่งงานเข้าตระกูลจ้าวล่ะก็ ยังไงก้ยังดีกว่าตอนนี้นับสิบเท่า ถ้ามันกลายเป็นคุณนายตระกูลจ้าวหรืออย่างน้อยแต่งก็ไอ้หนูตระกูลหวู่นั่น ยังไงซะก็ยังมีหน้ามีตาดีกว่าตอนนี้อยู่ดี ” ชายแก่ตัวสูงพูดออกมาอย่างเย็นชา
เฉิงเสี่ยวหยุนเองก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่างแล้วจึงทำได้เพียงเม้มปากไว้ไม่พูดอะไรออกมาอีก
เขารู้ดีว่าตอนนี้พูดอะไรกับพ่อผู้ยึดถือความคิดตัวเองเป็นใหญ่นั้น ยังไงซะก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี
ตอนนี้เขาได้เห็นชายร่างสูงที่หน้าคุ้นเคยเข้าไปคุยกับซูจิ้งและเฉิงหนาน เขาคิดในใจว่า “พี่ใหญ่จะทำอะไรน่ะ”
“ไอ้เด็กนี่ไม่ฟังฉันงั้นรึกล้าดียังไงกัน” ชายตัวสูงเองแสดงสีหน้าที่เย็นชาออกมา
แต่ในฐานะที่เขาเป็นลูกชายคนโตแล้ว บรรยากาศและความคิดที่ทั้งตระกูลมีต่อเขานั้นล้วนแตกต่างออกไป
เพราะยังไงซะเขาก็จะเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป สำหรับครอบครัวที่ถือให้ลูกชายคนโตเป็นผู้สืบทอดแล้ว ต่อให้โกรธมากมายขนาดไหนก็ไม่ทำอะไรก็ลูกคนนั้นอยู่ดี
“เสี่ยวหนานเป็นยังไงบ้าง” ชายวัยกลางคนตัวสูงได้เข้าไปคุยกับซูจิ้งและเฉิงหนานที่อยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม
“พี่ การที่พี่เข้ามาคุยกับฉันอย่างนี้จะไม่ดีนะ ดูนั่นสิพ่อจ้องมาทางนี้ใหญ่เลยแล้วอย่างนี้พ่อจะไม่โกรธหรอ”
เฉิงหนานเองก็ได้หันไปมองยังชายตัวสูงที่มองมาด้วยท่าทางเย็นชา เธอเองก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหลืออดกับพ่อคนนี้ของเธอ
“หึหึ ถ้ากับอีแค่คุยกับน้องสาวแล้วโกรธจนเป็นฝืนเป็นไฟล่ะก็ ก็ปล่อยให้เขาโกรธไปเถอะ ทำเหมือนกับว่าเขาจะไล่ฉันออกจากบ้านได้อย่างนั้นแหล่ะ
ในอนาคตเธอคิดว่าใครกันที่จะคุมตระกูลเฉิง เธอคิดว่าเขาจะส่งมอบตระกูลให้กับน้องชายที่แสนซนของพวกเรารึไงกัน” ชายตัวสูงวัยกลางคนพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์
เฉิงหนานถึงกับหัวเราะออกมา ก็จริงที่พี่ของเธอจะกลายเป็นผู้นำตระกูลเฉิงในอนาคต ซึ่งการที่เขามาคุยกับเธอเองก็ถือได้ว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ต่อให้พ่อไม่ยอมยกให้เขาแล้วยกให้น้องเล็กไป กับคนที่เพิ่งจะกำลังเรียนอยู่ในตอนนี้ล่ะก็นี่สิคือเรื่องตลกอย่างแท้จริง
“เสี่ยวหนาน เอาไว้เราหาโอกาสมาคุยกันอีกนะ ไม่ว่าพ่อจะคิดยังไงก็ช่างยังไงซะเราก็ออกไปเจอกันนอกตระกูลอยู่ดี
ต่อให้เธอโกรธพ่อขนาดไหนแต่ก็อย่าได้โกรธพี่น้องของน้องเลยแล้วกันนะ เฉิงเสี่ยวฮงพูดออกมา
“พี่เนี่ยน้า…” เฉิงหนานยิ้มออกมาอย่างสบายอารมณ์ ต่อหน้าคนอื่นนั้นสำหรับทุกคนแล้วเธอคือพี่ใหญ่ที่น่านับถือ แต่กับต่อหน้าเฉิงเสี่ยวฮงแล้ว เธอคือน้องสาวที่แสนน่ารักและชาญฉลาดเท่านั้น
“คุณซูผมเองก็ได้ยินชื่อเสียงคุณมาไม่น้อยเลย ขอให้ผมได้แนะนำตัวก็แล้วกัน ผมมีชื่อว่าเฉิงเสี่ยวฮง เป็นพี่ชายของเฉิงหนาน” ชายวัยกลางคนตัวสูงได้ยื่นมืออกมาเพื่อทักทาย
“สวัสดีครับ ผมเองก็ได้ยินชื่อเสียงของคุณมาเหมือนกัน” ซูจิ้งก็ยื่นมือออกมาจับเพื่อยอมรับไมตรีเอาไว้
“ผมเองนั้นอยากรู้จักคุณซูมาตั้งนานแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะได้มาเจอกันแบบนี้ ต้องขอบคุณจริงๆที่ช่วยดูแลน้องสาวผมนะครับ ถ้ายังไงล่ะก็จากนี้ไปก็ฝากดูแลน้องสาวผมด้วยก็แล้วกัน” เฉิงเสี่ยวฮงพูดออกมา
“เรื่องแค่นี้ไม่มีปัญหาครับ” ซูจิ้งนั้นรู้สึกได้ในทันทีว่าเฉิงเสี่ยวฮงเองยังคงรักและเอ็นดูน้องสาวของเขาอยู่ไม่ว่าสถานการณ์ของเธอจะเป็นยังไงก็ตาม
เขานั้นไม่ได้สนใจพ่อตัวเองและกล้าเดินออกมาเพื่อถามสารทุกข์สุขดิบของเฉิงหนาน
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขานั้นยังไม่มีอำนาจในการแก้ปัญหาของคู่สามีภรรยาสุดเลวทราม หรือแม้แต่การที่เฉิงหนานออกมาจากตระกูลแล้วก็ตาม แต่ยังไงซะเขานั้นก็ยังถือว่าเฉิงหนานคือน้องสาวของเขาอยู่ดี
“ผมเองก็หวังว่าคุณซูจะยังคงดูแลน้องสาวของผมดีแบบนี้ต่อไปในอนาคตนะครับ ถึงแม้เธอจะเข้มแข็งมากมายขนาดไหนก็ตามแต่สุดท้ายเธอนั้นก็ยังเป็นผู้หญิงอ่อนแอ
เอาจริงๆนั้นเธอค่อนข้างจะอ่อนต่อเรื่องปัญหาส่วนตัวอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน อ้อ เสี่ยวหนานถ้าน้องอยากให้พี่ช่วยอะไรก็บอกนะ” เฉิงเสี่ยวฮงเองก็ได้พูดออกมา
“พี่ เลิกพูดไปเลย พี่อย่าพูดเรื่องเข้าใจผิดแบบนั้นออกมาได้หน้าเฉยสิ” เฉิงหนานเหลือกตามองบนในทันที เฉิงเสี่ยวหยวนพูดยังกับการฝากฝังน้องสาวกับแฟนหนุ่มอย่างไงอย่างนั้นเลย
“ฮ่าฮ่า งั้นพี่ก็ไม่พูดแล้วก็แล้วกัน พี่กลับก่อนนะ หรือจะลองทำให้พ่อโกรธดูดีล่ะ” เฉิงเสี่ยวฮงหัวเราะออกมา ก่อนที่จะแตะบ่าของซูจิ้งพร้อมมองไปปราดหนึ่งก่อนที่จะเดินจากไป ทำให้ซูจิ้งเองถึงกับมึนๆไปสักพัก
ซูจิ้งได้มองเฉิงเสี่ยวฮงเดินจากไปด้วยรอยยิ้ม และได้หันไปมองที่เฉิงหนาน หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองที่ตระกูลเฉิงและตระกูลหวู่
ทันใดนั้นเขาก็เหมือนตัดสินใจอะไรบางอย่างได้แล้วเขาก็หยิบโทรศัพท์ออกมาและพิมพ์ข้อความส่งออกไปในทันที
GGS:บทที่ 827 อุปการะ
งานวันเกิดยังคงดำเนินต่อไปในขณะที่มีเพลงเล่นคลอไปตลอดงานอย่างช้าๆ ชายหญิงแต่ละคู่ต่างเริ่มเต้นรำกันที่ลานเต้นรำ
ซุนหยูเฮงเองก็ได้เข้ามาชวนหวังซือหยาเต้นรำเหมือนกันแต่เธอปกิเสธไป ต่อมาเขาได้ไปเชิญหลินฉีหยู
ถึงแม้ว่าก่อนเธอจะมาที่นี่นั้นผู้จัดการของเธอจะย้ำมาว่าให้ช่วยไว้หน้าซุนหยูเฮงก็ตาม เธอเองก็ก็ไม่ได้มีความอยากสักเท่าไหร่
หวังซือหยาและเฉิงหนานเองถึงแม้ว่าจะมีผู้ชายเข้ามาชวนมากหน้าหลายตาก็ตามแต่ทั้งคู่ก็ได้ปฏิเสธไป
แต่เมื่อซูจิ้งชวนหวังซือหยา หวังซือหยาก็ยินยอมด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะออกไปเต้นหนึ่งเพลง
พอซูจิ้งไปชวนเฉิงหนานต่อ เธอนั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นั่นทำให้ชายหนุ่มหลายๆคนในงานต่างก็มองซูจิ้งด้วยความอิจฉาและรู้สึกเหม็นหน้าเขาไปพร้อมกัน
“พี่หนาน ไม่ว่าต่อจากนี้จะมีอะไรต่อไป อย่าได้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหล่ะ” ในลานเต้นรำ ซูจิ้งได้กระซิบไปที่ข้างหูเฉิงหนาน
“จะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างงั้นหรอ” เฉิงหนานถามออกมาอย่างงงๆ
“เดี๋ยวก็รู้เองน่า ตอนนี้ผมเองก็ยังพูดอะไรไม่ได้มากนัก” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
เฉิงหนานเองในตอนนี้ก็เหมือนจะรู้สึกแบบเดียวกับหวังซือหยาและเตียนจงยี่เหมือนกันว่าการที่ซูจิ้งพยายามยัดเยียดของให้คนก่อนหน้านี้มันดูแปลกพิกล ถึงตอนแรกจะดูเหมือนเป็นเรื่องปกติของซูจิ้งก็ตามแต่มันก็ดูไม่เป็นซูจิ้งเอาซะเลย มันดูเหมือนเขาต้องการแค่จะเอาสมบัติโชว์เพื่อเพิ่มคุณค่าของมันมากกว่า
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเขาเองจะไม่ได้ใส่ใจการสร้างสัมพันธ์กับหู่ซิงหมิงเท่าไหร่นัก เอาจริงๆเธอเองก็รู้สึกว่าเสียความสัมพันธ์ซะมากกว่าด้วยซ้ำ นั่นก็หมายความว่าซูจิ้งนั้นสมควรจะวางแผนอะไรบางอย่างอยู่อีก
ซักพักหลังจากดนตรีที่เปิดสำหรับการเต้นรำจบลง หู่ซิงหมิงได้หยิบไมโครโฟนขึ้นมาก่อนจะพูดออกมาว่า
“ก่อนที่งานเลี้ยงนี้จะหมดลง ฉันเองก้มีเรื่องสำคัญที่จะต้องประการให้ทุกคนทราบ เอาจริงๆฉันเองก็ไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ออกมา แต่ฉันลองคิดดูดีๆแล้ว ยังไงซะฉันควรจะบอกเรื่องนี้กับทุกคนเอาไว้”
ทุกคนในงานต่างมึนงงกันหมด พวกเขากำลังสงสัยกันว่าเรื่องสำคัญอะไรกันที่ต้องพูดในงานแบบนี้
หู่ซิงหมิงได้พูดต่อว่า “เมื่อนานมาแล้ว ตอนที่ผมกำลังวิ่งออกกำลังกายอยู่คนเดียวนั้น อยู่ๆผมก็ได้หมดสติไป
แต่ก็ได้มีได้มีเด็กน้อยคนหนึ่งได้ผ่านมาช่วยผมเอาไว้ ด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเรานั้นได้มีโอกาสเจอหน้ากันบ่อยๆในเรื่องงาน และบางโอกาสก็ได้มีการพูดคุยกันบ้าง ซึ่งผมก็เอ็นดูเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่งมาตลอด
ในตอนที่ผมได้ยินมาว่าเธอถูกขับไล่ออกจากตระกูล ตอนนั้นผมรู้ดีว่าเธอต้องผจญกับเรื่องหนักอึ้งครั้งหนึ่งในชีวิต และผมเองก็ติดสินใจได้ในทันทีว่าผมต้องการจะรับเธอมาเป็นลูกสาวบุญธรรม
และตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาแล้วที่ผมจะแนะนำเธอให้พวกคุณรู้จัก เสี่ยวหนาน ออกมานี่หน่อยสิ”
ตอนนี้ในมีเสียงร้องตกตะลึงดังระงมไปทั่วนั่นก็เพราะคำพูดของหู่ซิงหมิงเปรียบได้ดั่งระเบิดลูกใหญ่ที่ถูกทิ้งลงมา
นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ไอ้พลอตเรื่องที่ว่าวิ่งอยู่คนเดียวแล้วหมดสติอยู่ข้างทางแล้วได้รับการช่วยชีวิตจนอยากแทนคุณเลยรับเป็นลูกสาว แค่ฟังดูก็ยังรู้เลยว่าเป็นเรื่องโกหก ให้บอกว่าเป็นลูกนอกสมรสยังน่าเชื่อถือกว่าอีก แต่ไม่ว่าจะยังไงแล้วมันก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่าหู่ซิงหมิงนั้นโกหกหรือไม่ แล้วถ้าจะโกหก เขาจะโกหกไปทำไหม
เหล่าผู้คนที่อยู่ในงานตอนนี้ได้มองไปยังพวกซูจิ้ง เฉิงหนาน หวังซือหยา และเสี่ยวหนานของหู่ซิงหมิงอย่างเป็นตาเดียวกัน เสี่ยวหนานนี่คือเฉิงหนานงั้นรึ นี่คือคำถามที่หวังซือหยา เตียนจงยี่ ถังฮ่าว ผู้อาวุโสหวู่ และซุนหยูเฮงต่างนึกคิดในใจและแสดงออกมาด้วยท่าทีโง่งม
เฉิงเสี่ยวฮง เฉิงเสี่ยวหยุน และเฉิงฟุ่เองก็มีสภาพที่ไม่ต่างกันแม้แต่หวู่ฉิงติง หยิงติง ตระกูลลู่ และตระกูลเกาต่างหน้าตาโง่งมกันไปหมด พวกเขานั้นแทบจะหาไม้มาแคะหูตัวเองแล้วฟังอีกครั้งว่าตัวเองได้ยินไม่ผิดไป
แน่นอนว่าตัวเฉิงหนานเองนั้นงงยิ่งกว่าใครเมื่อ
หู่ซิงหมิงได้กวักมือเรียกเฉิงหนานพร้อมพูดออกมาว่า “เสี่ยวหนาน มานี่เร็ว”
เฉิงหนานที่สมองกำลังว่างเปล่าอยู่ในตอนนี้ได้พูดออกมาว่า “ดิฉันหรอคะ?”
หู่ซิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “สาวน้อย จะมีใครซะอีกล่ะ อย่าบอกนะว่าเธออาย ขึ้นมาเร็วเข้า”
เฉิงหนานที่กำลังงงเป็นไก่ตาแตกอยู่ตอนนี้ถูกซูจิ้งผลักออกมาเล็กน้อยพร้อมรอยยิ้มอันมีเลศนัย
เธอหันไปมองซูจิ้งเล็กน้อยและรู้ได้ในทันทีเลยว่าทุกสิ่งอย่างนี้คือสิ่งที่ซูจิ้งเคยบอกเธอเอาไว้ก่อนหน้านี้
“ไม่ว่าต่อจากนี้จะมีอะไรต่อไป อย่าได้ตกใจจนทำอะไรไม่ถูกหล่ะ”
เธอก็คิดอยู่แล้วว่าทำไมซูจิ้งถึงไม่ยอมบอกเธอให้ชัดๆไป เพราะต่อให้เขาบอกมายังไงเธอก็ไม่เชื่ออยู่ดี ถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้ยังไง แต่ที่แน่ๆซูจิ้งต้องเป็นผู้ดำเนินการแน่นอน
เฉิงหนานได้มองตาซูจิ้งไปแวบหนึ่ง ก่อนที่เธอจะสูดหายใจเข้าลึกๆและก้าวเดินขึ้นเวทีไปท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องเข้ามา
หู่ซิงหมิงเองก็ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่แสนดีใจ เขาดึงมือเธอพร้อมชูมือของเธอขึ้นก่อนที่จะพูดแนะนำตัวเธอประหนึ่งดังแนะนำลูกสาวของตัวเองจริงๆให้รู้จักว่า “คนๆนี้คือเสี่ยวหนาน ลูกสาวบุญธรรมของผม หากผมพบว่ามีใครที่กล้ารังแกเธออีกล่ะก็ ต่อแต่นี้ผมจะไม่มีทางปล่อยเรื่องแบบนี้ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นอันขาด” หู่ซิงหมิงพูดออกมาหน้าที่ยิ้มแย้มแต่เหี้ยมเกรียม พลางชะเลืองมองไปยังตระกูลหวู่
คำพูดง่ายของหู่ซิงหมิงเพียงไม่กี่คำได้ทำให้เฉิงหนานที่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสนใจ ได้กลายเป็นที่จับตามองของคนหลายๆคน
หลายๆคนเองก็เริ่มจะละอายต่อสิ่งที่ตัวเองได้ทำไปก่อนหน้านี้ หู่ซิงหมิงนั้นถือได้ว่าเป็นคนที่เข้มงวดและยุติธรรมอย่างแท้จริง
พวกเขาเองต่างก็รู้ว่าหู่ซิงหมิงเป็นคนที่คอยดูแลคนที่อยู่ข้างหลังของเขาเป็นอย่างดี
เขาสามารถกล้าเผชิญหน้ากับภัยอันตรายทุกชนิดเพียงเพื่อการปกป้องหากคนในอาณัติของเขาถูกรังแก
หลายๆคนต่างก็ชมเชยเหล่าลูกหลานของหู่ซิงหมิงว่าพวกเขาถูกอบรมมาเป็นอย่างดี
คนในตระกูลไม่เคยทำผิดกฎหมายและมีระเบียบวินัยอย่างมาก ถือได้ว่าไม่เสียทีเป็นคนในตระกูลหู่เลยซักนิด
ตอนนี้เมื่อเฉิงหนานได้กลายเป็นลูกบุญธรรมของหู่ซิงหมิงไปนั้น จึงไม่มีใครที่จะกล้าดูแคลนเธออีกต่อไป
นั่นก็เพราะว่าคนอย่างหู่ซิงหมิงนั้นเป็นคนที่ยากที่จะเข้าใกล้ แต่กับเฉิงหนานก็อีกเรื่องหนึ่ง
แถมการที่จะเข้าหาเฉิงหนานได้นอกจากจะได้สร้างสายสัมพันธ์กับสาวสวยแล้ว ยังถือได้ว่าเหยียบเข้าตระกูลหู่ไปได้ครึ่งก้าวแล้ว
“เรื่องบ้าอะไรกันวะ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย” หวู่ฉิงติงถึงกับทำอะไรไม่ถูกและยากที่จะยอมรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้
เขาเริ่มรู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเองในเรื่องที่เขาเคยก่อกับเฉิงหนานเอาไว้ ทั้งเรื่องลูกที่เขาได้โทษเธอมาตลอด ทั้งเรื่องที่เขาก่อเรื่องจนทำให้เธอทนเขาไม่ไหวและจากเขาไป แถมภรรยาใหม่ของเขานั้นดีไม่ได้สักเสี้ยวของเฉิงหนานทั้งในด้านหน้าตา นิสัยที่เอาแต่ใจ เจ้าอารมณ์ และความสามารถ นี่ยังไม่พูดถึงจิตใจที่ดีงามที่เขาสัมผัสไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะไม่รู้ตัวว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนแย่ยังไง แต่ตอนนั้นสำหรับเขาแล้วผู้หญิงคนนี้คือความหวังของเขาเพราะว่าเธอมีความพร้อมในการตั้งครรภ์มากกว่า
แต่ตอนนี้หลังจากที่เขานั้นรู้ว่าซูจิ้งนั้นสามารถรักษาภาวะการณ์มีบุตรยากได้ แถมเฉิงหนานเองก็ไม่ใช่คนผิดในเรื่องนี้ เขาเองก็รู้สึกผิดไม่น้อยเหมือนกัน พอตอนนี้เขาได้รู้ว่าเฉิงหนานได้กลายเป็นลูกบุญธรรมของหู่ซิงหมิง ความเสียใจของเขาไม่สามารถปิดกั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว
“พี่ฉิงคะ ฉันว่าไม่มีทางที่เฉิงหนานจะเป็นลูกเลี้ยงไปได้หรอก ฉันว่าเฉิงหนานต้องเป็นเมียเก็บของเขาแน่ๆ ไอ้เรื่องเจ้าพ่อและลูกสาวแบบนี้ฟังยังก็…” หยิงติงที่กำลังเล่นกับดอกกล้วยไม้อยู่นั้นได้นินทาออกมาเพราะรู้สึกว่าเรื่องของเฉิงหนานมันไม่ชอบมาพากล
“หยุดพูดไปซะ” หวู่ฉิงติงนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันทีที่ได้ยินพร้อมทั้งตบไปที่หน้าของหยิงติงจนดันลั่นทำให้หยิงติงต้องหยุดพูดในทันที
เขารีบหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะทุกคนมัวแต่จ้องมองไปยังเฉิงหนานแล้ว
หากเป็นเมื่อก่อนเขาก็คงผสมโรงนินทาไปด้วย แต่ด้วยการที่ตอนนี้เฉิงหนานกลายเป็นลูกสาวบุญธรรมของหู่ซิงหมิงไปแล้ว
หากเฉิงหนานยังแค้นพวกเขาหรือต่อให้เธอไม่แค้นใจต่อพวกเขาแล้วแต่หากมีใครได้ยินเรื่องนี้จนรู้ไปถึงหูของหู่ซิงหมิงล่ะก็
เขาไม่เชื่อหรอกว่าถ้าเรื่องนินทาเสียหายแบบนี้ถูกรู้เข้าละก็เรื่องจะจบแค่หยิงติง
หู่ซิงหมิงต้องลงมือขัดแย้งกับตระกูลหวู่เต็มที่อย่างแน่นอน แล้วจะให้พวกเขาทำตัวยังไงกับหู่ซิงหมิงกัน
นี่ยิ่งทำให้หู่ฉิงติงไม่ชอบขี้หน้าคนแบบหยิงติงมากขึ้นเรื่อยๆ
“พี่ฉิงพี่ตบฉัน” หยิงติงได้ร้องไห้ออกมาในทันที ก่อนหน้านี้เขานั้นจะผสมโรงนินทากับเธอในทุกๆครั้ง
แต่ตอนนี้กลายเป็นหวู่ฉิงติงนั้นไม่เล่นด้วยกับเธอแล้ว เขานั้นจ้องไปยังเฉิงหนานยังไม่ละสายตา ราวกับคิดอะไรบางอย่าง
หวู่หลิวหยิงที่อยู่ข้างๆเองก็ยังทำตัวสงบเสงี่ยม เอาจริงๆถ้าเขาไม่ได้โดนซูจิ้งสะกดจิตแบบสมบูรณ์ไว้ล่ะก็ เขาเองคงตีลูกสะใภ้ของเขายับไปแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น