Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 820-823

 GGS:บทที่ 820 ของเล็กๆน้อยๆ


 


มีเพียงซูจิ้งและคนอีกจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีสงบนิ่ง


ไข่มุกทองคำทั้งแปดที่ทั้งกลมเกลี้ยง สมบูรณ์และมีขนาดที่เท่ากันอยู่ที่ 22 มม. ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไรน่ะหรอ?


จะต้องรู้ก่อนว่าไข่มุกทองคำที่กลมเกลี้ยงสมบูรณ์แบบนี้ส่วนใหญ่ขนาดจะอยู่ที่ 14 มม. ถ้ามีขนาดเพิ่มขึ้นมาราคาไม่เพียงจะสูงขึ้นนิดหน่อยแต่ราคาจะสูงขึ้นอย่างมาก


 


ในตลาดซื้อขายเครื่องประดับตอนนี้ขนาดเต็มที่ที่พอจะหาได้นั้นมีขนาดอยู่ที่ 16 มม.เท่านั้น


ไข่มุกที่ใหญ่ที่สุดที่เคยมีการซือขายในตลาดอัญมณีมีชื่อว่าหนันหยาง โดยมีขนาดอยู่ที่ 21 มม. แต่ไข่มุกลูกนั้นมีดีแค่ขนาด เปล่งประกาย และส่องสว่างแต่ว่ารูปทรงไม่สมบูรณ์


แต่กับไข่มุกทองคำทั้งแปดนี้มีขนาด 22 มม. และมีความสมบูรณ์ในทุกด้าน แค่เพียงเม็ดเดียวก็เพียงพอต่อการสั่นสะเทือนวงการอัญมณีแล้ว แต่นี่มีถึงแปดเม็ดเลยนะ


 


หวังซือหยาได้ทำการดึงเสื้อของซูจิ้งจนแทบจะยืดและขยิบตาให้เขา


ดูเหมือนว่าของขวัญชิ้นนี้จะเข้าเนื้อ(สูญเงินมหาศาล)ซูจิ้งอีกแล้ว ทั้งๆที่ซูจิ้งเองก็เพิ่งจะบอกออกมาว่าเป็นของขวัญธรรมดาเท่านั้น


การที่เขาทำอย่างนี้ถือได้ว่าเขานั้นไม่ได้ฟังอะไรเลยแถมยังทำยิ่งกว่าเดิมซะอีก


 


เหล่าผู้หญิงที่อยู่ในงานทั้งหลายรวมถึงเฉิงหนาน ลูกสาวของเตียนจงยี่ และภรรยาของหวู่ฉิงติง ต่างก็อดไม่ได้ที่จะจ้องไข่มุกทั้งแปดแบบตาไม่กระพริบ และในดวงตาของพวกเธอเป็นประกายด้วยแสงอันแวววาวของไข่มุก


พวกเธอต้องการเก็บไข่มุกทั้งแปดนี้ไว้เป็นของตัวเองและนำพวกมันไปทำสร้อยไข่มุกทองคำแล้วนำมาสวมใส่ให้ส่องประกายรอบคอของพวกเธอ


 


แม้แต่พวกผู้ชายรวมถึงผู้อาวุโสหวู่ ถังฮ่าว เตียนจงยี่ และซุนหยูเฮงเอง ทั้งหมดไม่อาจจะห้ามความรู้สึกที่อยากได้ไข่มุกทองคำทุกเม็ดมาครอบครอง


ไข่มุกทั้งแปดเม็ดนี้ถ้านำมาขายแน่นอนว่าราคาย่อมสูงเฉียดฟ้า ถ้ามอบให้แก่ผู้หญิงไม่มีทางที่เธอคนนั้นจะไม่สั่นคลอนหัวใจไปได้


 


“คุณซู คุณไปได้ไข่มุกทองคำทั้งแปดเม็ดนี้มาจากไหนกัน อย่าบอกนะว่าไปงมมา พวกเราไม่ใช่เด็กสามขวบหรอกนะ”


ผู้อาวุโสหวู่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา รวมถึงคนอื่นเองที่รอคอยคำตอบจากเขาเช่นกัน


 


“ผมขอโทษด้วยก็แล้วกัน ความลับทางการค้าน่ะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


ไข่มุกทองคำทั้งแปดนี้แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้ไปงมเก็บมาแต่ประการใด โลกนี้ไม่มีทางมีของล้ำค่าเช่นนี้หรอก


เขานั้นได้มาจากหอยลายเสือที่ได้มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตก


หลังจากที่เขาค้นพบว่าหอยลายเสือนั้นทำอะไรที่สุดยอดได้บ้าง เขาจึงตัดสินใจชุบเลี้ยงพวกมันเป็นอย่างดี


เขาให้พวกมันกินปลาเขี้ยวหยกเพื่อเร่งการเจริญเติบโต และน่านอนว่าไข่มุกที่อยู่ข้างในหอยลายเสือเหล่านี้ก็เร่งกระบวนตามไปด้วยเช่นกัน


แต่เขานั้นได้กะเวลาพลาดไปทำให้ไข่มุกที่ได้มีขนาดใหญ่กว่า 22 มม. ซึ่งมันถือได้ว่าใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีในตลาดอัญมณี


เอาจริงๆเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าหากโลกรับรู้การมีอยู่ของไข่มุกนี้จะวุ่นวายกันขนาดไหน


นี่ขนาดเขาไม่ได้ตัดออกมาทั้งหมดนะเพราะต้องการให้ไข่มุกได้เจริญเติบโตต่อไป


 


ซูจิ้งในตอนนี้ค่อนข้างจะชำนาญในการตัดไข่มุกออกมาในระดับนึงแล้ว


ด้วยการที่เขาสามารถบังคับให้กาบฝาของหอยลายเสือพวกนี้เปิดเมื่อไหร่ก็ได้ ทำให้เขานั้นสามารถตัดไข่มุกออกมาโดยที่ตัวหอยไม่ได้เกิดอันตรายแต่อย่างใด หลังจากตัดออกมาแล้วพวกหอยเองก็ยังมีชีวิตอยู่


ด้วยวิธการนี้จะทำให้เหล่าหอยลายเสือเติบโตไปได้เรื่อยๆพร้อมทั้งผลิตไข่มุกไปด้วย ซึ่งแตกต่างจากคนอื่นที่เมื่อต้องการไข่มุกจะต้องฆ่าหอยตัวนั้นทิ้งไป


 


เมื่อได้ยินซูจิ้งพูดว่าเขาได้มาโดยมีเส้นทางลับของเขาเอง ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหน้าตึงไปตามๆกัน


ไข่มุกทองคำแหกกฎแบบนี้ถือว่าหาได้อยากยิ่งในรอบร้อยปี แต่ซูจิ้งกับถือครองเอาไว้ถึงแปดเม็ด


แถมยังมีช่องทางพิเศษในการได้มันมาอีก พวกเขาเองก็อยากจะรู้จักช่องทางพิเศษของซูจิ้งที่ว่านี้จนแทบจะบังคับขู่เข็ญเอามาจากเขา


แต่ในเมื่อซูจิ้งออกปากมาเองว่าไม่พูดถึง พวกเขาก็ทำได้เพียงยอมรับมันเพราะไม่มีใครจะไปกล้าพอจะหาเรื่องกับเขาได้


 


“ผู้ว่าการหู่ครับ ผมหวังว่าคุณจะยอมรับของขวัญชิ้นนี้ไปนะครับ ยังไงก็รับไว้ซักเม็ดก็ยังดี” ซูจิ้งยิ้มออกมา นั่นทำให้ทุกคนหันควับไปยังหู่ซิงหมิงในทันที


 


หากดูจากรูปการแล้วล่ะก็ ผู้ว่าการหู่นั้นสมควรจะไม่ยอมรับของชิ้นนี้อย่างแน่นอน


หากเขารับมันก็จะทำให้คำพูดของเขาเปรียบได้ดั่งเศษกระดาษที่ไร้ค่า ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะหาซื้อไข่มุกแบบนี้จากไหนเลย


แค่ประเมินดูราคาแล้วแน่นอนว่าสูงเฉียดฟ้าอย่างแน่นอน


ไม่ว่าจะพูดยังไง สุดท้ายแล้วไข่มุกนี้ก็เป็นสุดยอดสมบัติชิ้นหนึ่ง


 


แต่ต่อให้ว่ามาขนาดนี้แล้วเอาจริงๆหู่ซิงหมิงนั้นสามารถรับมันได้โดยไม่มีใครกล้าว่าเขาแม้แต่น้อย


สาเหตุนั้นไม่ใช่เพราะว่าเขามีอำนาจในการห้ามคนอื่นพูดถึงแต่เป็นการที่ไข่มุกทองคำเหล่านี้คือสมบัติอย่างแท้จริง


ยากนักที่มีโอกาสแล้วจะปฏิเสธไปได้


 


หู่ซิงหมิงส่ายหัวของเขาพร้อมน้ำตาคลอเบ้าและได้หัวเราะออกมาเบาๆก่อนจะพูดออกมาว่า “หนุ่มน้อย ผู้คนต่างก็พูดออกมาว่านายนั้นเป็นเจ้าแห่งการให้ของขวัญ คำพูดเหล่านั้นถือได้ว่าเป็นจริงอย่างไม่ต้องสงสัยเลยดูได้จากของที่นายเอามา


มันผิดกฎจริงๆแน่ไม่อาจฝ่าฝืนได้หรอก ฉันรับไม่ได้ นายเอากลับไปเถอะ”


 


หลังจากพูดออกมาเขาได้ทำการปิดกล่องก่อนที่จะส่งกลับไปยังซูจิ้งด้วยใจที่ไม่อยาก คราวนี้ซูจิ้งไม่ได้ตื้อให้เขารับของแต่อย่างใด


 


เมื่อเห็นฉากนี้เหล่าทุกคนในงานต่างหรี่ตามองซูจิ้งเป็นการใหญ่ ในใจของพวกเขาตอนนี้เตรียมเสนอราคาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว


แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงแค่ไข่มุกทองคำ แม้แต่รูปต้นฉบับของหัวใจพระสูตรและพระพุทธพวกเขาเองก็หมายปองด้วยเช่นกัน


แต่ก่อนหน้านี้ซุนหยูเฮงก็ได้บอกให้พวกเขาได้ฟังแล้วว่าซูจิ้งไม่ต้องการขาย


ถึงแม้จะรู้ว่ามีความหวังอันน้อยนิดแต่ก็ยังอยากลองอยู่ดี


แต่ที่สุดแล้วพวกเขาต่างก็เล็งไข่มุกทองคำเป็นหมายแรกอย่างแน่นอน


พวกเขาคาดหวังว่าซูจิ้งจะยอมขายตราบใดที่พวกเขาให้ราคาสูงพอ แต่ที่แน่ๆพวกเขาจะต้องไม่ทำตรงนี้ในทันทีอล่างแน่นอน


อย่างน้อยๆทันทีที่เลิกงานเลี้ยงวันเกิดของผู้ว่า


 


“อืมมมม งั้นผู้ว่าการหู่ ลองดูชิ้นนี้ก่อนก็แล้วกันครับ” ซูจิ้งนำของชิ้นที่สามออกมา


คนที่อยู่โดยรอบถึงกับตากระตุกในทันทีพลางคิดไปว่า ไม่ว่ายังไงหมอนี่ก็จะต้องให้ของให้ได้เลยสินะ จะจบเมื่อไหร่กันเนี่ย


 


“คุณซู อย่างที่ผมว่าผมขอรับแค่น้ำใจดีกว่านะ ผมรับไม่ได้จริงๆ” หู่ซิงหมิงยกมือขึ้นแล้วพูดออกมา


“มันเป็นแค่ของธรรมดาเองครับ แถมมันยังเหมาะกับคุณมากอีกด้วย อย่าเพิ่งมองข้ามมันไปเลย ผมเสียเวลาพอสมควรเลยนะกว่าจะเตรียมมันได้ ถ้าคุณไม่รับของไว้ซักชิ้นผมคงรู้สึกไม่ดีไปอีกนานเลย”


ซูจิ้งพูดออกมาแล้วยังพูดต่อว่า “ผมเองก็คิดตั้งนานว่าจะเอาอะไรมามอบเป็นของขวัญให้คุณดี ของที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถติฉินนินทาคุณได้ว่าคุณรับของเพราะความละโมบ”


หวังซือหยาหันควับไปยังซูจิ้งในทันทีพร้อมหรี่ตามองเล็กน้อย ถ้าฟังผ่านๆมันก็ดูเหมือนจะดูดีไม่น้อย แต่ถ้าฟังดีๆมันเหมือนกับว่าเป็นการตอบโต้ใครบางคน


 


ความจริงแล้วเธอเองก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อยเหมือนกัน ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งของขวัญ แต่ในความเป็นจริงนั้นตัวเขาให้ของขวัญคนอื่นนั้นน้อยมากๆ


มันเป็นเรื่องแปลกมากที่เขาจะพยายามยัดเยียดให้ใครซักคนรับของๆเขาขนาดนี้โดยที่ไม่หวังผลอะไร


 


เฉิงหนานและเตียนจงยี่เองก็กังวลเรื่องนี้เหมือนกันเพราะการที่หู่ซิงหมิงไม่ยอมรับของขวัญนั่นมันก็แทบจะบอกได้ว่าพวกเขานั้นพ่ายแพ้


ถึงแม้ทุกคนในงานจะอยากได้ของของซูจิ้งที่พยายามยัดเยียดให้หู่ซิงหมิงมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็เป็นกังวลกับของชิ้นที่สามที่ซูจิ้งนำมาด้วยเช่นกัน


นั่นก็เพราะพวกเขาเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าตัวผู้ว่าการหู่เองก็เริ่มที่จะทนรับสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ไหวแล้ว


ถึงแม้ว่าผู้ว่าการหู่จะสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าแห่งของขวัญอย่างซูจิ้งจะทนไปได้อีกสักกี่น้ำ


ของขวัญของเขานั้นเอาจริงๆแค่ของธรรมดาก็สามารถทำลายตรรกะของคนทั่วไปได้อย่างง่ายดาย


 


“ในที่สุด เฮ้อออ คุณซู นี่เป็นของขวัญธรรมดาจริงๆสินะ” หู่ซิงหมิงมองไปยังของขวัญของซูจิ้งอีกครั้ง เขาเองก็เห็นความตั้งใจจริงของซูจิ้งแล้วก็เริ่มรู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธเขาอีกต่อไป


ยิ่งไปกว่านั้นของขวัญตรงหน้าเขานั้นถูกคลุมด้วยผ้าสีดำ มันดูเหมือนจะเป็นกรงสัตว์อะไรซักอย่าง เขาเองก็ได้ยินมาว่าซูจิ้งเป็นปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์ สิ่งนี้น่าจะเป็นสัตว์เลี้ยง ถ้ามันเป็นเพียงสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ เขาเองก็พร้อมที่จะรับไว้


“เฮ้ออออ ครับ นี่เป็นของขวัญชิ้นธรรมดาที่สุดของผมที่มีในตอนนี้แล้ว” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มออกมา


 


แขกผู้ร่วมงานที่มุงดูอยู่รอบๆก็อดไม่ได้ที่จะเข้ามาดูใกล้ๆ แต่ผ้าที่คลุมกรงอยู่นั้นยังไม่ถูกเปิดออกจึงยังไม่มีใครเห็นสัตว์ที่อยู่ข้างใน


หากนึกถึงสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆที่เป็นของขวัญได้ก็คงเป็นหนูไม่ก็กระต่าย หู่ซิงหมิงเองก็เกิดปีกระต่าย เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ก็สมควรจะเป็นกระต่ายเช่นกัน


“ดี งั้นผมขอดูหน่อยนะ” หู่ซิงหมิงนำกรงไปวางไว้บนโต๊ะ หลังจากนั้นก็ดึงผ้าออกมา คนที่ตามมาดูจนล้อมรอบเป็นวงกลมในตอนนี้ สำหรับใครที่เข้ามาใกล้ไม่ได้ต่างก็ยืนเขย่งเท้าและชะเง้อคอดู


GGS:บทที่ 821 เชื่อก็บ้าล่ะ


 


หู่ซิงหมิงดึงผ้าคลุมสีดำออกไปเผยให้เห็นของที่อยู่ในกรง จริงอย่างที่ทุกคนคิด ของข้างในคือกรงที่มีกระต่ายอยู่ข้างใน


ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่ามันคือกระต่ายขาวที่ขนขาวมากจนเมื่อถูกแสงไฟแล้วมันสว่างเรืองรอง มันอยู่นิ่งๆแต่ก็ดูมีชีวิตชีวา


อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขามองดูดีแล้วมันหาใช่กระต่ายที่มีชีวิตแต่อย่างใด แต่มันคือหยกในรูปกระต่ายที่สีขาวและดูมีชีวิตประหนึ่งดังกระต่ายจริงๆ


 


หูของมันชูขึ้นราวกับกำลังฝังเสียงอะไรบางอย่าง หยกรูปกระต่ายนี้มีสีขาวใส ดูอบอุ่นและน่าหลงไหล แต่ข้างในนั้นก็มีสีแดงๆเป็นเส้นๆไปทั่ว ประหนึ่งดังเส้นเลือดที่คอยหล่อเลี้ยงร่างกายไปทั่วทั้งลำตัว


ถึงแม้มันจะดูน่ากลัวแต่ก็ทำให้รู้สึกประหลาดใจได้ในคราวเดียวกัน


คนที่จ้องมองมันต่างก็ยากที่จะละสายตาจากมันได้ง่ายๆ


 


“พระเจ้า นี่มันหยกฮิตันคุณภาพสูง”


“ดูสีแดงที่อยู่ข้างในนั่นสิ นี่ไม่ใช่ว่ามันคือหยกเลือดพันปีในตำนานงั้นหรอ”


“ถ้ามันเป็นหยกเลือดพันปีจริงมันก็ก้อนใหญ่ไปแล้ว”


“น่ามหัศจรรย์”


“น่ามหัศจรรย์จริงๆที่ได้เห็นงานแกะสลักระดับนี้ แกะได้แม้แต่เส้นขน หนวด แถมดวงตา จนเหมือนกับมีชีวิตจริงๆขนาดนี้”


“การแกะสลักได้ขนาดนี้ต้องเสียหยกไปขนาดไหนกันเนี่ย”


“มันไม่มีทางเป็นหยกแดงเลือดนั่นไปได้หรอก ของปลอมแน่ๆ” มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งโวยวายออกมาและคนอื่นๆต่างก็เห็นด้วยเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าการที่หยกชิ้นนี้จะเป็นหยกเลือดในตำนานนั่นมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไป


 


ยิ่งไปกว่านั้นหยกก้อนนี้ยังมีเรื่องน่าสงสัยอีกหลายอย่าง อย่างแรก การแกะเส้นขนและหนวด การที่จะแกะลายละเอียดพวกนี้จำเป็นต้องแกะหยกทิ้งไปเป็นว่าเล่น ถ้าเป็นหยกเลือดในตำนานจริงไม่มีใครหยากทำแน่นอน


อย่างที่สองรอยเลือดนี้ควรจะเริ่มจากข้างนอกเข้าไปข้างใน ไม่ใช่เริ่มจากข้างในซึมออกมาข้างนอกแบบนี้


 


“เดี๋ยวนะ หยกแบบนี้ ฉันว่าฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับหยกเลือดรูปหนูมาก่อนนะ”


“อ้อ อันนั้นฉันจำได้ ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวเกี่ยวกับหยกเลือดรูปหนูที่เป็นของซูจิ้งเหมือนกัน”


“พระเจ้า งั้นเจ้าหยกเลือดรูปกระต่ายนี่ก็เป็นของจริงน่ะสิ หยกเลือดรูปหนูนั่นถูกขายในราคา 40 ล้านหยวน


แต่หยกเลือดรูปกระต่ายนี่ใหญ่กว่าแต่รายละเอียดไม่แพ้กันเลย น้ำหนักเองก็สมควรจะหนักกว่าประมาณห้าเท่าได้ ราคาของมันจะสูงแค่ไหนกันเนี่ย”


 


ผู้มาร่วมงานโดยรอบต่างตกตะลึงพร้อมทั้งแสดงท่าทีเหลือเชื่อออกมา


ถังฮ่าว ผู้อาวุโสsวู่และคนอื่นที่มีความรู้เรื่องหยกก็แทรกตัวเข้ามาและทำการตรวจสอบอย่างระเอียดระออ


ยิ่งพวกเขาตรวจสอบมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งตื่นตะลึงมากขึ้นเท่านั้น


หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ถังฮ่าวก็ได้พูดออกมาว่า “ฉันรับรองได้เลยว่าหยกนี่เป็นหยกเลือดของจริง แถมยังเป็นขั้นสูงที่สุดด้วย”


ทุกคนที่ได้ยินต่างก็หายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง


ที่ผ่านมานั้นหนูหยกเลือดตัวนั้นถูกขายไปในราคา 40 ล้านหยวน และการที่เจ้ากระต่ายนี่หนักกว่า 5 เท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต่างกันแค่ห้าเท่า


ราคาสมควรมากกว่า 5 เท่าอย่างแน่นอน นั่นก็หมายความว่าราคาอย่างต่ำสมควรอยู่ที่ 200 ล้านหยวน


 


คนที่ได้ยินในตอนนี้ต่างก็ย้อนหวนคืนนึกถึงคำพูดที่ซูจิ้งบอกออกมาว่าของทั่วไปชิ้นเล็กๆก็อดไม่ได้ที่จะสาปแช่งด่าทอออกมา


ของทั่วไปชิ้นเล็กๆงั้นหรอ เชื่อก็บ้าละ หมอนี่ไม่รู้จักคำว่าของทั่วไป ธรรมดา ชิ้นเล็กๆมั่งเลยรึไงกัน ถึงชิ้นมันจะเล็กแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะธรรมดาทุกชิ้นนะเ…ย


มันก็จริงที่ของชิ้นนี้มันไม่สามารถเรียกว่าของชิ้นใหญ่จริงๆ แต่มูลค่าสูงเวอร์ หากพูดเรื่องราคาแล้วของสองชิ้นก่อนหน้านี้เทียบไม่ได้เลยซักนิด


ถังฮ่าว เตียนจอยี่ เฉิงหนาน และคนอื่นๆเองต่างก้พูดกันไม่ออก


หวังซือหยาในตอนนี้ใช้มือตบไปที่หน้าผากนึ่งที่จนมีเสียงดังแป๊ะ เธอในตอนนี้ยากจะลากซูจิ้งออกมาไปนั่งอบรมให้ฟังว่าของชิ้นเล็กที่เค้าพูดถึงกันนั้นจริงๆแล้วมันควรจะเป็นแบบไหนกันแน่


ซุนหยูเฮงและคนจากสี่ตระกูลใหญ่ของจังหวัดและคนที่อยู่รอบๆถึงกับไม่รู้ว่าจะสบถออกมาด้วยคำพูดไหนดี


พอคิดว่าซูจิ้งนั้นใจกล้าหน้าด้านหน้าทนเพื่อจะสร้างความชื่นชมต่อหู่ซิงหมิงให้จงได้


หู่ซิงหมิงเองนั้นก็บอกมาก่อนหน้านี้แล้วว่าจะไม่ยอมรับสมบัติแต่ประการใดก็ตาม แต่สุดท้ายแล้วกระต่ายน้อยหยกเลือดตัวนี้ก็ยากปฏิเสธได้ยิ่งนัก


 


“คุณซู นี่คือของเล็กๆที่คุณว่างั้นรึ” หู่ซิงหมิงนั้นในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีอีกครั้ง


“ใช่แล้วครับ ชิ้นมันไม่ใหญ่นะ พอดีว่าผมได้ยินมาว่าท่านผู้ว่าการหู่นั้นเกิดปีกระต่ายผมจึงไปหามันมา มันเป็นของชิ้นเล็กๆที่เหมาะกับการตั้งไว้ประดับห้องโถง หรือไม่ก็ห้องนั่งเล่นก็ไม่เลวเลย” ซูจิ้งหยักหน้าและยิ้มออกมา


 


“มันก็จริงที่มันไม่ใหญ่ มันเป็นของชิ้นเล็กๆ แต่มันก็เกินว่าที่ผมจะรับเอาไว้ได้จริงๆ” หู่ซิงหมิงนั้นส่ายหัวอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


คนที่อยู่รอบๆเริ่มที่จะพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องซูจิ้ง คุยว่าเขานั้นตื่นเต้นเกินไป แกล้งกัน หรือเข้าใจไปอย่างงั้นจริงๆว่ากระต่ายหยกเลือดนี้เป็นของชิ้นเล็กจริงๆ


ถึงแม้ว่าผู้ว่าการหู่นั้นจะใจแข็งจนน่านับถือ แต่การที่เห็นผู้ว่าหู่ปฏิเสธที่จะรับของขวัญอันเลอค่าแบบนี้พวกเขาต่างรู้สึกเจ้บปวดแทน


 


ฉากนี้ได้ทำให้ผู้อาวุโสหวู่และเหล่านักสะสมที่อยู่ในงานถึงกับตาเป็นประกายอีกตรั้ง


ถ้ากระต่ายหยกเลือดนี้ถูกผู้ว่าการหู่ปฏิเสธจริงๆมันก็จะกลายเป็นโอกาสของพวกเขาไปโดยปริยาย


เอาจริงๆแล้วผู้อาวุโสหวู่เองก่อนหน้านี้ก็อยากได้หนูหยกเลือดไปไม่น้อยเช่นกัน แต่ตอนนั้นเขาเตรียมตัวไปไม่ดี และครั้งนี้เขาจะไม่ยอมพลาดอีกต่อไป


“อืมมมมม หากว่าท่านผู้ว่าการฯเห็นว่าของชิ้นนี้ใหญ่ไปล่ะก็ ผมสามารถเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้นะอย่างพวก จักจั่นหยกเลือด นกหยกเลือด ผีเสื้อหยกเลือด หรือแบบอื่นก็ได้แล้วแต่ท่านผู้ว่าฯต้องการ ท่านผู้ว่าคิดว่ายังไงครับ” ซูจิ้งพูดออกมา


เมื่อได้ยินดังนั้นเหล่าคนในงานถึงกับผงะ นอกจากจะมีหนูและกระต่ายหยกเลือดแล้ว หมอนี่ยังมีหยกเลือดแกะสลักแบบอื่นอีกอย่างนั้นหรอ


หมอนี่ที่บ้านผลิตหยกเลือดพันกปีรึไงกันถึงดูไม่มีท่าทีรู้สึกรู้สาอะไรเลยซักนิด


 


ถ้าจะบอกว่าบ้านของซูจิ้งผลิตได้เองก็คงถือว่าได้ล่ะนะ นั่นก็เพราะว่าเขาทำหนูหยกตัวนี้จากผงเวทมนต์ที่เคยใช้ทำหนูหยกมาก่อนหน้าที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ


เขานั้นอยากรู้ว่าหากให้สัตว์อื่นกินดูแล้วผลออกมาจะเหมือนกันรึเปล่าเลยให้กระต่ายตัวนี้ลองกินดู


ผลก็คือกระต่ายกลายเป็นหยกเลือดจริงแต่ปริมาณที่ใช้ผงเวทมนต์นี้ก็มากขึ้นตามซักห้าเท่าได้


แผนการที่เขาอยากจะทำรูปสลักหยกที่เป็นสัตว์ใหญ่จึงต้องล้มพับไปเพราะว่าเขานั้นมีผงนี้อย่างจำกัด หากเขาจำเป็นต้องใช้จริงๆละก็กลัวว่าจะไม่รู้ว่าหาอะไรมาแทนได้


 


“ผมจะไม่ยอมรับมันอย่างแน่นอน ต่อให้หยกเลือดชิ้นนั้นเล็กขนาดไหนก็ตาม ผมของยอมรับด้วยใจแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องให้ของขวัญอะไรผมแล้วล่ะ ผมรู้แล้วว่าไม่ว่าจะเป็นของชิ้นไหนก็ตาม หากมาจากคุณล้วนแล้วแต่ไม่ธรมดาทั้งนั้น” หู่ซิงหมิงยกมือเชิงห้ามปรามก่อนจะพูดแล้วยิ้มออกมา


“เฮ้ออออ…. ทั้งๆที่สำหรับผมนั้นมันเป็นแค่ของธรรมดาจริงๆ แต่ในเมื่อท่านผู้ว่าการพูดมาขนาดนี้ผมคงต้องเอาทั้งหมดกับไปจริงๆสินะ” ซูจิ้งก้าวเดินเข้าไปเพื่อที่จะนำของทั้งหมดที่เขาขนมากลับไป แต่ด้วยการที่ของนั้นมีหลายชิ้นทำให้เขารีบจนรวบมาจนทำให้มีของที่ยังไม่ได้แกะอีกชิ้นหนึ่งหล่นลงพื้น กล่องๆนั้นแตกออกจนของที่อยู่ข้างในที่มีสีดำกลิ้งออกมา


 


ฉากนี้ดูเป็นธรรมชาติมากเพราะแม้แต่คนอย่างซูจิ้งเองก็สมควรเกิดความผิดพลาดได้อย่างไม่ต้องสงสัย


แต่กับหวังซือหยาแล้วต่างออกไป เธอมองปราดเดียวก็รู้เลยว่าไม่ใช่ ต่อให้กับคนทั่วไปแล้วมันจะถือว่าธรรมดาแต่กับซูจิ้ง


เขาคือคนที่ไม่ธรรมดา ด้วยทักษะของเขาไม่มีทางที่จะยอมให้สมบัติหล่นลงพื้นโดยไม่มีสาเหตุอย่างแน่นอน


หมอนี่จะเล่นอะไรอีกเนี่ย หวังหยาอดไม่ได้ที่จะระลึกถึงเหตุการณ์ไม่ปกติต่างๆอันน่าสงสัยที่พึ่งจะเกิดไปเมื่อครู่นี้ว่ามีอะไรบ้าง


เหตุผลที่เขานั้นได้ฉายาว่าเจ้าแห่งของขวัญนั่นก็คือของแต่ละชิ้นของเขาล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา การที่จะไม่ให้ของคนที่อยากให้เลยก็รู้สึกว่าไม่สบายใจ


ผู้ว่าการหู่เองก็พูดว่าจะไม่รับของขวัญราคาแพงแต่ซูจิ้งก็ยังพยายามหามายัดเยียด เรื่องนี้ช่างน่าแปลกจริงๆ


 


หวังซือหยาถึงกับต้องเรียกคืนเป้าหมายของการที่มาที่นี่เพื่อคาดเดาว่าซูจิ้งต้องการจะทำอะไรกันแน่


เป้าหมายของเขาก็คือการพยายามสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับผู้ว่าการหู่ ตบหน้าซุนหยูเฮง และการทำให้เตียนจงยี่มีความรู้สึกที่ดีในการร่วมงานกัน แต่เธอเองก็ยังปะติดปะต่อเรื่องกันไม่ได้จนรู้สึกว่าซูจิ้งมีเป้าหมายอื่นแอบแฝง


แน่นอนว่าไม่มีใครในที่นี้รู้จักซูจิ้งดีเท่าเธอ ทำให้ไม่มีใครรู้สึกถึงความผิดปกติของซูจิ้งแม้แต่น้อย พวกเขาสนใจแต่ของดำๆที่กลิ้งออมาจากกล่อง ทันทีที่เห็นพวกเขาต่างก็อ้าปากหวอกันออกมา เจ้าลูกบอลนี่มันคืออะไรกันแน่


GGS:บทที่ 822 ตื่นเต้นไปนิด


 


กล่องของขวัญที่หล่นลงพื้นนั้นดูๆไปแล้วก็ค่อนข้างใหญ่ทีเดียว ตอนแรกถ้าบอกว่าเป็นกล่องใส่เค้กก็ยังเชื่อได้เลย


แต่ไม่คิดว่าข้างในนั้นจะเป็นวัตถุสีดำที่กลิ้งออกมา มันใหญ่ประมาณลูกบาสและผิวที่ดำสนิท บนพื้นผิวนั้นดูมีรอยแตกและผิวบางส่วนก็มีรอยขรุขระ


มันดูเหมือนเหมือนเป็นก้อนหินสีดำมากกว่า แต่เมื่อยิ่งมองใกล้ๆมันก็เหมือนกับว่ามันดูคล้ายๆแก้วเพราะมันเหมือนจะโปร่งใส เมื่อแสงส่องผ่านไปจนเห็นได้ว่าข้างในของมันเป็นสีเขียวที่เข้มจนเกือบดำ


 


ทุกคนต่างจ้องมองอย่างไม่วางตาพร้อมสงสัยว่ามันคืออะไร


 


ทุกคนต่างก็คิดแบบเดียวกันว่านี่เองก็สมควรจะเป็นของขวัญที่วูจิ้งเตรียมนำมามอบให้ แต่ดูยังไงก็แค่หินสีดำมากกว่า เอาจริงๆดูจากสภาพแล้วอย่าเรียกว่าเป็นของขวัญเลย ควรจะเรียกว่าหินน่าเกลียดมากกว่า


 


“เจ้าหินนี่ดูยังไงก็ไม่มีอะไรพิเศษนะ” ผู้อาวุโสหวู่พูดพลางขมวดคิ้ว


“มันดูเหมือนลูกแก้วสีดำนะ อาจิ้งเอามาผิดรึเปล่า” ถังห่าวเองก็ถึงกับสงสัย


หวังซือหยา เฉิงหนาน เตียนจงยี่ ซุนหยูเฮง และคนอื่นๆต่างก็จ้องไปยังหินที่กำลังแน่นิ่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีสงสัย พวกเขาไม่เข้าใจว่าซูจิ้งห่อของแบบนี้มาเป็นของขวัญได้ยังไง


“นี่ฉันไม่มีตารึไงกัน มองยังไงก็ไม่เห็นว่านี่คือสมบัติ”


“ฮ่าฮ่า ดูเหมือนคราวนี้ซูจิ้งจะตาไม่มีแววนะเพราะว่าคราวนี้เอาแค่หินแตกๆมาทำเป็นสมบัติ”


“กรณีนี้น่าสนใจแหะ จะมีสักกี่ครั้งที่เจ้าแห่งของขวัญพลาดได้กัน”


“อย่างนี้เข้าเรียกว่าคนฉลาดก็งงเป็น(สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง) ฉันว่าครั้งนี้คงทำให้ฉายาเจ้าแห่งของขวัญคงต้องมัวหมองแล้ว”


อาจเป็นเพราะซูจิ้งนั้นมีชื่อเสียงมากไปจนทำให้มีหลายคนอิจฉา ครั้งนี้คงทำให้ชื่อเสียงของเขามัวหมองแล้วจริงๆ


“เดี๋ยวก่อน ไม่ใช่ว่านั่น…” ในขณะที่คนอื่นๆต่างแสดงท่าทีเย้ยหยัน มีเสียงที่แสดงออกด้วยความตื่นเต้นออกมาจากข้างหลัง ชายอ้วนวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเตียนจงยี่ได้ก้าวแหวกฝูงชนออกมาชนิดที่ไม่กลัวใครจะล้มแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ตรงหน้าลูกหินสีดำนั่นเขาจ้องมองลูกหินอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันไปถามซูจิ้งด้วยความตื่นเต้นว่า


“คุณซู นี่มันใช่หินอุกาบาตแก้วที่เคยรำลือกันรึเปล่า”


ทุกคนที่ได้ยินต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก อุกาบาตแก้วคืออะไรกัน?


 


ถังฮ่าว ผู้อาวุโสหวู่ และคนอื่นที่พอมีความรู้ด้านนี้อยู่บ้างก็ได้เปลี่ยนสายตาที่จ้องมองหินนี้เปลี่ยนไปในทันที แทบได้ว่าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง จากตอนแรกที่กำลังจ้องมองขยะ เปลี่ยนเป็นตะลึงอย่างกับเห็นสุดยอดสมบัติในทันที


“ใช่ มันน่าจะใช่อุกาบาตแก้วจริงๆ นี่ฉันลืมไปได้ยังไงกัน” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


“ประเด็นคือลายละเอียดของมันดีเกินไปแถมยังขนาดใหญ่ขนาดนี้จนทำให้สงสัยว่ามันใช่อุกาบาตแก้วจริงๆรึเปล่า” ผู้อาวูโสหวู่เองถึงแม้จะยังสงสัยแต่ก็แสดงท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย


“ขอผมดูหน่อย” ชายแก่ร่างผอมสูงได้ตรงเข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย ถัวฮ่าวและผู้อาวุโสหวู่เองทันที่เห็นใบหน้าของคนๆนั้นก็รีบหลีกทางให้ทันที


 


ชายแก่ผู้นี้เป็นที่รู้จักกันดีในวงการนักเก็บสะสม เขานั้นเชี่ยวชาญและมีความชอบในเรื่อง ฟอสซิล อุกาบาต และวัตถุแปลกๆ สำหรับด้านอัญมณีในที่นี้ไม่มีใครเทียบทั้งสองได้ก็จริง แต่ถ้าเป็นเรื่องอุกบาตพวกเขาเองก็สู้ชายแก่คนนี้ไม่ได้


ชายแก่ร่างผอมสูงนั้นค่อยๆยกอุกบาตแก้วขึ้นมา เขารู้สึกได้ถึงน้ำหนักเลยว่ามันหนักพอสมควร ด้วยการที่หินนี่มีขนาดใหญ่กว่าลูกบาสหากเป็นหินปกติมันสมควรหนักกว่านี้ ชายแก่ประมาณการคร่าวๆว่าถ้านี่เป็นหินธรรมดาสมควรหนักมากกว่า 15 ชั่ง สำหรับนักสะสมอุกาบาตเขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร


 


หลังจากวางหินก้อนนี้ไว้บนโต๊ะ ชายแก่ก็ได้ใช้แว่นขยายและอุปกรณ์อื่นๆที่เขามีอย่างระมัดระวังและละเอียดถี่ถ้วน


ยิ่งเขาตรวจสอบมากเท่าไหร่ ดวงตาของเขาเองก็ยิ่งส่องประกายมากขึ้นเท่านั้น


เขาตื่นเต้นจนทำท่าเหลือบดูรอบๆประหนึ่งกำลังหาทางเอาหินนี้ออกไปจากที่นี่


เมื่อมองแล้วรู้สึกหมดหนทองจึงตัดใจก่อนจะบอกออกมาด้วยเสียงอันกังวาลว่า “หินก้อนนี้สมควรที่จะเป็นอุกาบาตแก้วอย่างไม่ต้องสงสัย”


 


ถังฮ่าว ผู้อาวุโสหวู่ ชายอ้วนเตี้ยวัยกลางคน ทุกคนที่รู้จักสิ่งนี้ต่างถึงกับหรี่ตาลงในทันที แต่กับคนอื่นที่ไม่รู้เรื่องต่างกับอยากรู้ แม้แต่หู่ซิงหมิงเองก็อยากรู้จนต้องถามว่า “เฮ้ซิ่ว(ชายแกผอมสูง) อะไรคืออุกาบาตแก้วน่ะ”


“อุกาบาตแก้วมันก็คืออุกาบาตนั่นแหล่ะ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น อุกาบาตแก้วก็คือหินอุกาบาตที่ได้รับการลดอุณหภูมิอย่างรวดเร็วในขณะที่ตกลงมา สำหรับเรื่องมูลค่าแล้ว อุกาบาตแก้วถือได้ว่าเป็นวัตถุที่ทรงคุณค่าต่อการวิจัยและเป็นที่ต้องการอย่างสูงพอๆกับคนที่สะสมอุกาบาต” ชายแก่ผอมสูงพูดออกมา


 


“คุณซิ่ว แล้วคุณจะแน่ใจได้ยังไงว่าว่านี่ไม่ใช่แก้วที่นำมาขึ้นทรงเป็นรูปอุกาบาต ผมเองได้ยินมาว่ามีการทำปลอมเยอะอยู่นะ” ผุ้อาวุโสหวู่ถาม


“เอาจริงๆมันก็ไม่ได้สังเกตุได้ยากนะ พวกเราเหล่านักสะสมอุกาบาตฉันการสังเกตุในสามข้อ


หนึ่งคือสีของมัน โดยธรรมชาติแล้วอุกาบาตแก้วธรรมชาติจะสีเหลืองเขียว หากว่าความโปร่งใสดีพอล่ะก็สีก็จะสว่างกว่านี้ ส่วนแก้วหล่อเป็นรูปอุกาบาตนั้นปกติจะเป็นสีเขียวไม่ก็น้ำเงิน บ้างก็สีน้ำตาล และสีของมันนั้นค่อนข้างเข้มจนเกือบดำ


 


สองตัวหลุมบนพื้นผิวของทั้งสองต่างกันอย่างชัดเจน หลุมบนผิวอุกาบาตแก้วของจริงมีความชัด ลึก และตรงกว่าแก้วที่หล่อเป็นรูปอุกาบาต


 


สามร่องรอยบนพื้นผิว รอยแตกของอุกาบาตแก้วของจริงนั้นรอยแตกจะไม่ลึก แต่กับแก้วที่ขึ้นรูปเป็นรูปอุกาบาตนั้นหากมีรอยแตก รอยแตกจะลึกถึงเนื้อใน


และจากการที่ฉันเคยเห็นของจริงมาแล้ว บอกได้เลยว่าหินที่อยู่ตรงหน้าของฉันแล้ว หินนี้ควรจะเป็นอุกาบาตแก้วของจริง” ผู้อาวุโสซิ่วพูดออกมาอย่างมั่นใจ


“มูลค่าของอุกาบาตแก้วในตอนนี้อยู่ที่เท่าไหร่กัน” ชายร่างอ้วนเตี้ยถามออกมา แม้แต่คนที่มุงดูอยู่ก็ยังสงสัยเหมือนกัน ที่พวกเขายอมฟังอยู่เฉยๆจนถึงตอนนี้


เหตุผลก็คือพวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอุกาบาตแก้วเลยสักนิด และก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้เขาประเมินราคากันยังไง


 


“หากเป็นเรื่องนี้ผมเองก็บอกได้อยากเหมือนกัน แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เองต่อให้มาดูก็ยากที่จะบอกว่าหินพวกนี้มาจากดวงจันทน์ ดาวอังคาร หรือส่วนไหนของจักรวาล


แต่ก็เคยมีครั้งหนึ่งเหมือนกันที่มีคนนำอุกาบาตแก้วที่มีน้ำหนัก 597 กรัมออกมาประมูล และถูกประมูลไปในราคา 18.62 ล้านหยวน


อีกหนึ่งก้อนพบในเอเชีย น้ำหนักอยู่ที่ 821 กรัม และถูกเวียนขายอยู่ในวงการสะสมตอนนี้อยู่ที่ขั้นต่ำ 80 ล้านหยวน


สำหรับก้อนที่อยู่ตรงหน้าของพวกเราในตอนนี้คงต้องชั่งน้ำหนักกันก่อน” ผู้อาวุโสซิ่วพูดออกมา


มีใครบางคนยกที่ชั่งออกมา น้ำหนักของมันอยู่ที่ 2,165 กรัม ต่อให้ผู้อาวุโสซิ่วจะเตรียมใจไว้แล้วแต่ก็ไม่คิดว่ามันจะหนักขนาดนี้ เขาตกใจจนถึงขนาดพ่นลมออกมาจากมุมปาก แม้แต่คนอื่นเองก็เงียบจนนิ่งเมื่อได้ยินว่านำหนักมันเท่าไหร่


ถึงแม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าหินก้อนนี้จะขายได้เท่าไหร่ แต่พวกเขาต่างก็รู้สึกว่ามันควรจะได้อย่างต่ำก็ 100 ล้านหยวนเป็นอย่างน้อย


 


คนที่คิดว่าซูจิ้งเอาแค่หินแตกๆมาในตอนแรกนั้นต่างรู้สึกอายอย่างมาก มันถือได้ว่าเป็นพวกเขาเองที่เป็นคนผิด เพียงเพราะอิจฉาซูจิ้งที่มีสมบัติมากมาย


ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็แสดงท่าทางออกมาจนทำให้ทุกคนได้แต่มองนิ่งๆ ซูจิ้งโยนอุกบาตแก้วเขาไปในกระเป๋าเหมือนกับว่าเป็นเพียงลูกหินธรรมดา เขาเข้าม้วนหัวใจพระสูตรและพระพุทธเก็บใส่กระบอก โกยไข่มุกทองคำและกระต่ายหยกเลือดเข้ากระเป๋าประหนึ่งดั่งของไร้ค่าต่อหน้าประชาชี


 


ภาพที่ทุกคนเห็นตรงหน้านี้ทำให้ทุกคนต่างก็รู้สึกยึกยัก ประหนึ่งดั่งอยากจะพุ่งไปคว้ากระเป๋าแล้ววิ่งหนีไปในทันที


กระเป๋าที่ดูธรรมดาสามัญแต่กับมีของที่เปี่ยมไปด้วยมูลค่าข้างในไม่ต่ำกว่า 5-6 ร้อยล้านหยวน


ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันล้วนเป็นสมบัติที่แม้แต่เงินก็หาซื้อไม่ได้ ใครต่างก็บอกว่าซูจิ้งนั้นไม่เคยอวดรวย


แต่เหตุการณ์วันนี้มันกลับกลายเป็นว่าเหมือนเขานั้นไม่รู้คุณค่าของของที่มีมากกว่า


ทั้งยังไม่ใส่ใจถึงมูลค่าของมันด้วยซ้ำ การที่เขาเอาของแบบนี้มาโชว์อย่างหน้าชื่นตาบานแบบนี้เขาไม่กลัวโดนปล้นรึไงนะ


GGS:บทที่ 823 ลือเลื่อง


 


หลังจากที่ซูจิ้งโกยของแต่ละชื้นยัดใส่กระเป๋าเป้าเรียบร้อยแล้ว เขาก็สะพายพวกมันไปไว้ข้างหลัง คนที่อยู่ในงานต่างก็จ้องมองไปยังเป้ผ้าสะพายหลังของซูจิ้งแบบมองตามอย่างใจจดจ่อ นั่นก็เพราะว่าเป้ใบนี้มีของข้างในที่มีมูลค่ากว่า 5 – 6 ร้อยล้านหยวน


 


เอาจริงๆแล้วซูจิ้งรู้สึกมาความสุขอย่างมาก เพราะในที่สุดเขาก็รู้ซักทีว่าของชิ้นสุดท้ายนั้นมันคืออะไรกันแน่


ของสามอย่างแรกนั้นได้แก่ หัวใจพระสูตรและพระพุทธ ไข่มุกทองคำ และกระต่ายหยกเลือด


ของทั้งสามนี้เขานั้นพอจะรู้อยู่แล้วว่าพวกมันนั้นมีค่าแค่ไหน แต่กับอุกาบาตแก้วนี่เขานั้นไม่แน่ใจแม้แต่น้อย


 


ไอ้เจ้าเศษก้อนอุกาบาตแก้วนี่มาจากหมู่บ้านยาที่อยู่ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกจาก เขานั้นยังได้เศษแร่เวทมนต์ดีๆมาอีกจำนวนมาก และยังได้หินที่ยังไม่ได้ถลุงแต่อีกจำนวนหนึ่ง


นอกจากสองอย่างนี้เขายังเจอหินที่เขาคิดว่ามันเป็นหินอุกาบาตตามเรื่องเล่าที่เขาล่ำลือกัน เขาเองก็ได้ลองหาข้อมูลอินเทอร์เน็ตมาแล้วและพอรู้ว่าครั้งก่อนที่มีอุกาบาตแก้วออกมานั้น


 


คนในวงการวุ่นวายขนาดไหนและก้อนของเขาดีกว่าก้อนนั้นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาจะเอาอุกาบาตแก้วนี้ให้เฉินฮงซงและคนอื่นๆประเมินค่าอีกครั้งก่อนนำเข้าประมูล


ถึงแม้ว่าการให้ของขวัญของซูจิ้งในครั้งนี้จะจบลงที่การไม่ได้ให้ของ แต่ผลที่ได้สำหรับเขาถือได้ว่าน่าพึงพอใจแล้วเพราะยังไงก็ตามไม่ว่าของใครที่นำมาก็ไม่มีทางจะเทียบกับของเขาได้อย่างแน่นอน


แค่ของชิ้นเดียวก็หาคนเทียบไม่ได้แล้ว แต่นี่สี่ชิ้นเขาจะต้องกลัวอะไร


ตอนนี้ทุกคนต่างก็ทยอยนำของไปวางไว้บนโต๊ะอย่างรู้งาน แม้แต่ซุนหยูเฮงเองผู้ที่ไม่เคยอ่านบรรยากาศก็ยังจำยอมนำของไปวางไว้บนโต๊ะแต่โดยดี


 


กระบวนการนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วและจบอย่างไวแน่นอนว่าหลังจากทุกคนได้เห็นของซูจิ้งไปแล้ว ถึงแม้ของของซูจิ้งจะไม่ได้ถูกให้ก็ตาม แต่มันก็เหมือนกับว่าเขาได้ให้ทุกคนที่นั่นไปแล้วโดยปริยาย


“อาจิ้ง ตกลงว่านายมาที่นี่เพราะอะไรกันแน่เนี่ย” หวังซือหยากระซิบถามซูจิ้งที่ข้างหู


“แล้วคิดว่าไงล่ะ” ซูจิ้งถามกลับด้วยรอยยิ้ม


“ฉันว่านายต้องหาโอกาสโฆษณาบรรดาเด็กๆ(สมบัติ)ของนายอีกแหงๆ นายมาที่นี่แค่หาโอกาสสร้างความสนใจและเพิ่มราคาเฉยๆสินะ” หวังซือหยาพูดออกมา


“ปิดซ่อนอะไรก็เจ๊ซือหยาไม่ได้เลยสินะ ข้าน้อยขอคารวะ” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มออกมา


“ไม่เอาน่า ถ้านายไม่แกล้งทำอุกาบาตแก้วนั่นหล่นลงพื้นจนกลิ้งออกมาล่ะก็ฉันก็ไม่นึกเอะใจหรอก


ว่าแต่นายไม่ได้กังวลเรื่องที่ว่าผู้ว่าการหู่ไม่ยอมรับของๆนายหน่อยรึไงกัน ไม่ว่าให้อะไรก็ส่งกลับคืนมาหมดนี่เหมือนกับพ่ายแพ้ยับเยินเลย มันเหมือนแค่นายเอาของมาโฆษณาจริงๆนะ


ถ้านายเอาของมามากกว่านี้ฉันว่าไม่นานหมอนั่นคงจะทนไม่ไหวหรอก หากตอนนี้เราไม่สามารถให้อะไรเขาได้ล่ะก็ ฉันก็คิดว่าเราคงจะหาโอกาสสร้างสัมพันธ์กับเขายากแล้วล่ะ” หวังซือหยาพูดออกมา


 


“อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลยน่า เรื่องนั้นเดี๋ยวฉันจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ห้ะ นี่นายแอบซ่อนอะไรไว้ไม่ให้ฉันรู้อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย” หวังซือหยาจ้องไปยังซูจิ้งก่อนที่จะพูดต่อว่า


“ก็จริงที่นายสร้างชื่อเสียงให้กับเด็กๆของนายได้สำเร็จลุล่วง แต่มันก็ไม่ได้บอกได้ว่าคนที่รู้เรื่องนี้จะเต้นไปตามที่นายต้องการนะ”


 


“ไอ้คนที่เจ้ว่าก็คงจะมัวแต่สนใจกับงานเลี้ยงวันเกิดจริงๆน่ะแหล่ะ ลองดูนั่นสิ” ซูจิ้งชี้ไปยังอีกฝากหนึ่งที่มีคนธรรมดาคนหนึ่งกำลังถ่ายวีดิโออยู่ และเขาเองแทบไม่มีใครสนใจเขาเลยเหมือนเขาไม่มีตัวตนในงานนี้


“หมอนั่นถ่ายวีดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่ไว้สินะ” หวังซือหยาเองก็มองไปทางคนๆนั้นสายตาเปล่งประกาย


“ช่ายยยย และหมอนั่นก็น่าจะกำลังเผยแพร่รูปในเนตอยู่ตอนนี้” ซูจิ้งพยักหน้าและยิ้มออกมา


ถ้าไป๋ฮิตู ตงเซีย และหลัวฉือหลินอยู่ในตอนนี้ล่ะก็ พวกนั้นก็คงจะสังเกตุชายธรรมดาที่พวกเขากำลังดูอย่างนี่เช่นเดียวกัน


ด้วยฉายาที่รู้จักกันในนาม ผู้ส่งผ่าน เขานั้นได้ถ่ายวิดีโอและไปโพสต์ไว้ในอินเตอร์เนต อีกไม่นานวิดีโอในงานนี้ถูกเผยแพร่ออกไป และเมื่อนั้นทั้งแฟนคลับของเขาและชาวเน็ตเองต่างต้องตกตะลึงแน่นอน


“แล้วทำไมนายต้องสนใจวีดิโอนี้นักหนาล่ะ นี่ก็วีดิโอของงานปาร์ตี้วันเกิดของใครซักคนแค่นั้นเอง มีอะไรน่าสนล่ะ”


 


“เดี๋ยวก็รู้น่า”


“แม่เจ้า นั่นมันซูจิ้งไม่ใช่หรอ ไม่ใช่ว่าหมอนั่นอยู่กันคนล่ะฝั่งกับผู้ว่าการจังหวัดไม่ใช่หรอ กลายเป็นว่าหมอนั่นไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดผู้ว่า หมอนั่นต้องเอาหัวใจพระสูตรไปมอบให้ผู้ว่าแหงๆ”


“โอ้ ผู้ว่าไม่สนของขวัญของพี่จิ้งเลยสักชิ้น ถึงมันจะดีก็จริงแต่พี่จิ้งคงเจ็บใจแหงๆ”


“ห้ะ ไช่มุกนั่นมันอะไรกันทำไมถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น ต้องมีอะไรผิดพลาดแหงๆ”


“แต่ฉันบอดเป็นต้อจากแสงที่ไข่มุกนั้นสะท้อนใส่แล้วเนี่ย ไข่มุกทองคำพวกนั้นราคาเท่าไหร่เนี่ย แล้วผู้ว่ายังยอมปล่อยหลุดมือไปเนี่ยนะ


“ผู้ว่าการหู่ปฏิเสธอีกแล้ว ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”


“แม่เจ้าเว้ย หมอนั่นเปลี่ยนของใหม่ด้วยหล่ะ เป็นกระต่ายหยกที่ดูน่าเหลือเชื่อจริงๆ”


“กระต่ายหยกเลือดนั่นสมควรจะราคามากกว่า 200 ล้านหยวนสินะ คราวนี้ฉันต้องได้มาครองให้ได้”


“ผู้ว่าการหู่ปฏิเสธของอีกแล้ว อ้ะ นั่นพี่จิ้งเพิ่งทำของหล่นหรอ”


“อุการบาตแก้ว ราคามากกว่า 100 ล้านหยวนอ่ะนะ”


“พระเจ้า ซูจิ้งมีอะไรเก็บสะสมไว้นักเนี่ย”


“ฮ่าฮ่าดูเหมือนว่าคนในงานต่างก็ตกตะลึงกันไปหมดเลย”


“ฮ่าฮ่าคิดว่าพี่จิ้งเป็นใครกันล่ะ เขาคือเจ้าแห่งของขวัญเลยนะ ถ้าไม่เอาวัวมาฉุดมีหรือว่าพี่เขาจะหยุด”


“ฉันบอกได้คำเดียวว่าพี่จิ้งโคตรกบฎ(ไม่เหมือนใคร)อ่ะ”


“ขอบอกอีกคำละกัน พี่แกไม่กลัวโดนปล้นเลยรึไงเนี่ย”


“ห้ะ ใครจะกล้าไปปล้นเขาได้ ขืนเข้าไปมีหวังโดนจับดัดสันดานแหงๆ”


 


วีดิโอนี้ก็สมควรจะเป็นวีดิโองานวันเกิดทั่วไปก็คงไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก แต่งานปาร์ตี้มีสิ่งที่ต่างกับงานปาร์ตี้ทั่วไป นั่นก็เพราะว่าอย่างแรก มีซูจิ้งอยู่ในงาน อย่างที่สอง มีสมบัติที่น่าตกตะลึง


พวกเขานั้นอดไม่ได้ที่มีโอกาสยลโฉมสมบัติอันน่าตื่นตะลึงทีละชิ้นแบบนี้


ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ยังมีสุดยอดสมบัติถึงสี่ชิ้นด้วยกัน แถมแต่ละชิ้นยังมีราคาสั่นสะเทือนได้แม้แต่โลกนี้ ผีได้ยินยังร้องไห พระเจ้ายังต้องร้องออกมา


 


ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าชาวเน็ตยังมีโอกาสได้เห็นพวกคนรวยที่อยู่ในวงการนักสะสมได้ตกตะลึง หลายๆคนถึงขนาดที่เตรียมพร้อมติดต่อซูจิ้งในทันที่ที่เสร็จงานเลี้ยงวันเกิดนี้ เพื่อขอซื้อสมบัติทั้งหมด


บ้างก็อยากติดต่อซื้อหัวใจพระสูตร บ้างก็อยากติดต่อเรื่องไข่มุกทองคำ บ้างก็อยากติดต่อเรื่องกระต่ายหยกเลือด และบ้างก็อยากติดต่อขอซื้ออุกาบาตแก้ว


 


พวกเขาต่างรู้ดีว่าของทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นที่หมายปองของใครหลายหลายคน หากก้าวช้าล่ะก็จะหมดโอกาสอย่างแน่นอน สมบัติที่ร้อยปีจะได้เห็นสักครั้ง หากพลาดไปแล้วก็คงได้แต่โทษตัวเองที่ช้าไป


 


เว็บไซต์ที่โพสต์วีดิโอนี้ได้สร้างแรงกระเพื่อมไปยังทั่วโลก วิดีโอนี้ยังเป็นที่สนใจยิ่งกว่าข่าวคู่รักดาราถูกแฉซะอีก


ยิ่งไปกว่านั้นอันดับดาราของซูจิ้งขึ้นไปอีกสามลำดับ นี่เป็นการสร้างความตกตะลึงต่อคนในวงการบันเทิงอีกครั้ง


หากคุณช่วยคนจากกองเพลิง ช่วยคนบนเครื่องบิน กวาดล้างสำนักคาราเต้ หากเป็นเรื่องพวกนี้พวกเขาก็ยังพอรับได้เพราะต่อให้ซูจิ้งไม่ใช่คนในวงการบันเทิงแต่ก็คือคนที่มีทักษะ ไม่มีใครกล้าอิจฉาเขาได้


แต่นี่เพียงเขาไปร่วมงานวันเกิดแล้วนำของขวัญไปมอบให้เฉยๆแต่เพิ่มมาสามลำดับเนี่ยนะ นี่มันเกินไปแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)