Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 816-819
GGS:บทที่ 816 บังเอิญพบปะกัน
ไม่กี่วันต่อมาก็วันเกิดของผู้ว่าการจังหวัดก็มาถึง
เย็นวันนั้น ซูจิ้ง เตียนจงยี่ หวังซือหยา และเฉิงหนาน ทั้งหมดได้ขับรถตรงไปยังโรงแรมที่เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงวันเกิดของผู้ว่าการจังหวัด
ซูจิ้งได้บอกซือหยาเรื่องที่เขาได้ตกลงร่วมมือกับเตียนจงยี่เรียบร้อยแล้ว
หวังซือหยาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยและยอมมาด้วยแต่โดยดีโดยไม่พูดอะไรเลยซักคำ
เฉิงหนานเองก็ตามมาด้วยเพราะอยากมาสร้างสายสัมพันธุ์กับพวกชนชั้นสูง
ในฐานะที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศแล้วก็ถือได้ว่าการสร้างเส้นสายเหล่านี้ก็เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งที่ต้องทำ
เมื่อพวกเขาไปถึง พวกเขาได้เห็นรถหรูจอดอยู่เต็มลานจอดรถ แน่นอนว่าแขกที่มาล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ซูจิ้งถูกพาไปยังชั้นสองอย่างง่ายดาย เหตุผลหนึ่งมาจากการที่หวังซือหยามาด้วย
ต่อให้แขกในงานมีความพิเศษมาจากไหนแต่ก็ไม่มีใครสามารถเทียบเคียงหวังซือหยาได้เลย
และรองลงมาก็คือซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเขานั้นพึ่งจะเป็นหัวข้อพูดคุยกันของประชาชนในประเทศเมื่อไม่นานมานี้ แน่นอนว่าใครๆก็จำได้ใครๆต่างก็สนใจเขาอย่างแน่นอน
“คุณหวังมาที่นี่ด้วยหรอ เธอช่างดูสวยสง่าจริงๆ”
“ซูจิ้งที่เป็นผู้นำนิกายปีศาจวัวเองก็อยู่ที่นี่ด้วยแหะ เขามาทำอะไรที่นี่กัน”
“นั่นไม่ใช่เตียนจงยี่หรอนั่น เขามากับหวังซือหยาและซูจิ้งได้ยังไงกัน”
ตอนนี้เหล่าผู้คนในงานต่างก็พูดคุยกันเกี่ยวเรื่องนี้ และแขกที่มาร่วมงานหลายๆคนเองก็ค่อนข้างที่จะเริ่มให้ความสนใจกับเตียนจงยี่ที่คอยยืนอยู่ข้างๆซูจิ้งและหวังซือหยาชนิดที่ว่าตามติดทุกฝีก้าว
คนส่วนใหญ่ในที่นี้เมินเขาที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง และและอีกส่วนหนึ่งได้ปฏิเสธที่จะให้การช่วยเหลือและร่วมงานเพราะเข้าข้างซุนหยูเฮง
แต่ตอนนี้คนพวกนี้ก็ยิ้มให้เขาประหนึ่งดังเขานั้นเป็นเจ้าของงานไปเลยก็ว่าได้
ไม่กี่วันก่อนเตียนจงยี่ได้เริ่มทดลองปลูกผลไม้ทั้งสามชนิดไปแล้ว แน่นอนว่าซูจิ้งทำตามคำพูดที่เขาเคยให้ไว้ทุกประการ พืชทั้งสามนี้เปรียบได้กับแหล่งปั๊มเงินของพวกเขาในอนาคต
ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขาได้รู้ว่าหวังซือหยาเองก็ให้การสนับสนุนเขาด้วยเหมือนกัน
ทำให้เขานั้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกินใหม่ภายใต้พระผู้ช่วยอย่างซูจิ้งและหวังซือหยา
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขามั่นใจในทันทีว่าเขานั้นตัดสินใจไม่ผิดแม้แต่น้อย ผิดพลาดยังไงก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“อาจิ้ง ช่างบังเอิญอะไรอย่างนี้” เสียงที่คุ้นหูได้ดังมายังซูจิ้ง คนที่พูดออกมานั่นก็คือถังฮ่าว(ถังเฮา) นั่นเอง
“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับคุณซู” ชายวัยกลางคนที่ดูสง่างามคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างถังฮ่าว นั่นก็คือผู้เฒ่าหวู่คนประเมินเพชรขั้นเทพของถังฮ่าวนั่นเอง ซูจิ้งเองก็เคยได้คุยเรื่องการขายอัญมณีให้กับพวกเขาก่อนที่จะมีโรงประมูลเป็นของตัวเอง
“คุณถัง คุณหวู่ ไม่ได้พบกันนานเลยจริงๆ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณซู คราวนี้คุณนำของขวัญอะไรติดไม้ติดมือมาล่ะครับเนี่ย” บอสหวู่ถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมทั้งดวงตาที่เป็นประกายจนแทบจะฉายแสงได้
เขาเองก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับฉายามาว่าเจ้าแห่งการเก็บสะสม ย่อมต้องเห็นซูจิ้งเป็นสุดยอดหีบสมบัติไปโดยปริยาย
ตั้งแต่ตอนที่เขาได้คุยกับซูจิ้งเรื่องอัญมณีครั้งสุดท้ายนั้น ทำให้เขามีโอกาสได้เห็นสมบัติมากมายของซูจิ้ง
การที่เขาใส่ใจซูจิ้งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
นอกจากนี้เขาเองก็ยังหาโอกาสแวะเวียนไปยังโรงประมูลห้วงเวลาฯของซูจิ้งอยู่บ่อยครั้ง
แต่ก็อีกนั่นแหละสมบัติของซูจิ้งแต่ละชิ้นล้วนเป็นที่หมายปางของผู้คน
และส่วนใหญ่นั้นมีเงินมากมายยากหยั่งถึง ต่อให้เขารวยยังไงก็สามารถครอบครองได้เพียงชิ้นสองชิ้นเท่านั้นเอง นั่นเป็นเรื่องยากที่เขาจะยอมรับได้จริงๆ
“อาจิ้งเป็นเจ้าแห่งการให้ของขวัญ ของขวัญทุกชิ้นล้วนมหัศจรรย์พันลึก
แต่ยังไงซะต่อให้ของขวัญเลิศเลอแค่ไหนพวกเราก็ทำได้แค่ดูด้วยความอิจฉาล่ะนะ”
ถังฮ่าวเองก็ไม่มีตัวเลือกมากนัก เขาก็ทำได้เพียงแค่บ่นความในใจออกมา
เอาจริงๆเขาก็ชอบนะเวลาที่ได้เห็นของขวัญของซูจิ้ง แต่ทุกครั้งที่เห็นสมบัติเหล่านั้นไปอยู่กับคนอื่นเขาเองก็รู้สึกปวดใจซะทุกครั้ง
ผู้เฒ่าหวู่เองก็ยิ้มให้กับเจ้านายของตนแต่ใจของเขารู้ดีว่ามันก็ไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว
ตั้งแต่เขารู้จักซูจิ้งมา ซูจิ้งชอบมากของเขาให้คนอื่นบ่อยๆเพราะว่าของขวัญพวกนั้นล้วนล้ำค่า และนั่นเองก็ทำให้ผู้คนยากจะปฏิเสธของขวัญของเขาได้
เมื่อใดก็ตามเมื่อคุณสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งได้จนดีพอ
เขาจะส่งของขวัญให้คุณภายในระยะเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน
หากเกินไปแล้วยังไม่ได้รับอะไรซักอย่างล่ะก็
นอกจากว่าบริษัทขนส่งจะหุบของเอาไว้เอง นั่นก็หมายความว่าคนๆนั้นได้ทำอะไรผิดพลาดบางอย่างต่อซูจิ้งไป
ยิ่งเวลาผ่านไปแขกของผู้ว่าการฯก็ยิ่งทยอยเข้ามามากขึ้น ซึ่งในตอนนี้ทั้งสี่ตระกูลหลักของจังหวัดนี้ได้มาครบทุกตระกูลแล้ว
ตระกูลเกาที่ใหญ่สุดได้ส่งเกาจุนเต็งที่เป็นลูกชายคนโตมา เขาได้มาพร้อมกับลู่ยี่หมิงแห่งตระกูลลู่ ทันทีที่เขาเห็นซูจิ้งเขาก็ได้ทำการโค้งคำนับจากที่ไกลๆด้วยความสุภาพออกจะดูเกร็งๆไปซักหน่อยด้วยซ้ำ
ตระกูลเฉิงได้ส่งน้องชายของเฉิงหนานที่ชื่อเฉิงเสี่ยวหยุน พี่ชาย และพ่อของเธอ ถ้าบอกว่ามาเกือบทั้งกิ่งตระกูลเลยก็ว่าได้ นั่นแสดงให้เห็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับงานเลี้ยงครั้งนี้อย่างมาก
ตอนที่เฉิงเสี่ยวหยุนเห็นเฉิงหนานนั้นเขาแทบจะวิ่งเข้ามาหาในทันที แต่พ่อของเขาดึงคอเสื้อรั้งเอาไว้
เฉิงหนานเองก็ไม่ได้จะเดินเข้าไปทักทายแต่อย่างใดเธอเพียงยืนสังเกตุการณ์อยู่ด้านข้างของงานเท่านั้น ถึงจะดูประหม่าไปบ้างก็ตาม
ตั้งแต่เฉิงหนานตัดขาดและออกมาจากตระกูลมาเธอไม่เคยหวนกลับไปเลยซักครั้งเดียว
หวู่ฉิงติงและหวู่หลิวหยิงเองก็มาในนามตระกูลหวู่ หวู่ฉิงติงในตอนนี้กำลังโอบกอดผู้หญิงคนนึงอยู่
เมื่อเขาได้เห็นเฉิงหนานเขาก็ทำการโอบกอดผู้หญิงคนนั้นกระชับมากกว่าเดิม ประหนึ่งดังจะโออวดว่ามีคนใหม่เรียบร้อยแล้ว เฉิงหนานเองก็ทำเพียงแค่ยิ้มแหยๆอยู่ไม่ห่างมากนัก
งานเลี้ยงในวันนี้น่าจะบอกได้ว่าเต็มไปด้วยชนชั้นสูงและบุคคลสำคัญที่เป็นที่รู้จักภายในจังหวัดนี้เป็นอย่างดี
ในฐานะหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุนนี้ ถังฮ่าวจากตระกูลถังถือได้ว่าไม่ได้มีค่าอันใด
เอาจริงถ้าเขาไม่ได้ติดว่ามีความสัมพันธ์พิเศษบางอย่างกับผู้ว่าการจังหวัดล่ะก็เขาจะไม่มีทางมาเหยียบที่นี่อย่างแน่นอน
“ซือหยา เธอก็มาด้วยหรอ” ซุนหยูเฮงได้เดินเข้ามาพร้อมแก้วไวน์แดง
“ใช่แล้วล่ะ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ” หวังซือหยาพยักหน้าให้เล็กน้อย
“ถ้าฉันรู้ว่าเธอมาล่ะก็ ฉันก็คงจะขับรถไปรับเธอแล้วล่ะ” ซุนหยูเฮงพูดด้วยรอยยิ้ม
ในตอนนี้เขาได้สังเกตเห็นเตียนจงยี่ที่ยืนอยู่ข้างซูจิ้งแล้ว เขาเองในตอนนี้ได้แต่ยืนอึ้งในทันทีที่เห็น
เขายิ้มแบบแข็งๆออกมา สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยก่อนจะถามออกมาว่า
“ซือหยา คุณซู ทั้งสองคน…เอ่อ…รู้จักคุณเตียนด้วยหรอ”
“ต้องรู้จักอยู่แล้วสิ ก็เราเป็นหุ้นส่วนกันนี่นา” หวังซือหยาพยักหน้าออกมา
“ซือหยา เธอล้อกันเล่นรึเปล่า ไม่ใช่ว่าเราคุยกันไว้ว่าจะลงทุนร่วมกันไม่ใช่หรอ แล้ว….ในเมื่อเราเป็นหุ้นส่วนกันแล้วทำไม…ทำไมเรายังต้องการคุณเตียนอีกล่ะ”
ซุนหยูเฮงเริ่มแสดงท่าทีวิตกกังวลออกมา ความจริงแล้วด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ เขาเองต้องการใช้ประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนนี้ เพื่อหาทางได้เข้าใกล้หวังซือหยามากขึ้น
แน่นอนว่าเขาจะไม่ยอมพลาดโอกาสได้เข้าใกล้เธอแบบนี้แน่นอน และที่สำคัญเตียนจงยี่คนนี้ก็เป็นศัตรูของเขาด้วยเหมือนกัน
“ก็เห็นนายดูยึกๆยักๆวางท่าจนน่ารำคาญ ฉันก็เลยมองหาคนอื่นแทนไปแล้วน่ะ”
“ฉันไม่ได้ยึกยักวางท่าอะไรซักหน่อย แต่มันเป็นการลงทุนที่ใหญ่มากเลยนี่นา ของอย่างนี้มันก็ต้องคุยกันดีๆ และดูกันนานๆต่างหาก” ซุนหยูเฮงทำการแก้ตัวในทันที
“เฮ้ออออ ฉัน อาจิ้ง และคุณเตียน พวกเราได้ตัดสินใจเรื่องนี้กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเราเองก็ไม่ต้องการจะรบกวนนายอีกต่อไป” หวังซือหยาพูดพร้อมกับแผ่รังสีอำมหิตออกมา
ซุนหยูเฮงที่อยากจะอธิบายต่อแต่เมื่อเห็นดังนั้นเขาต้องทำได้เพียงเงียบปากลงเท่านั้น
หน้าของเขาในตอนนี้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาได้หันไปมองซูจิ้งพร้อมกับสายตาอาฆาต
เขารู้สึกได้ในทันทีว่าเรื่องทั้งหมดนี้มีซูจิ้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ตอนนั้นเขาโทรหาซูจิ้งเพื่อให้ช่วยเขาเข้าหาซือหยา
ซูจิ้งไม่ได้พูดอะไรออกมาแค่วางสายไปเฉยๆตอนนั้นเขาเองก็น่าจะไม่พอใจอย่างมาก
เขาเองก็คิดว่าซูจิ้งกลัวจนต้องยอมเขาในทุกเรื่อง ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาแทนแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างนี้
ซุนหยูเฮงในตอนนี้ทำได้เพียงแค่สบถออกมาอยู่ในใจเท่านั้นว่า “ไอ้บ้าเตียนนี่โดนฉันบังคับนิดหน่อยก็ต้องหนีหางจุกตูดขนาดนั้น สำหรับฉันมันก็แค่หมาขี้แพ้ตัวหนึ่ง
ตอนนี้ฉันได้ก้าวเท้าเข้ามายังจังหวัดนี้แล้ว ฉันวางรากฐานไว้อย่างดีพร้อมทั้งสร้างเส้นสายไว้ไม่น้อย
แก ซูจิ้ง อยากร่วมงานกับหมาขี้แพ้เทนฉันอย่างนั้นหรอ แกจะสู้กับฉันใช่ไหม”
“ซือหยา ในเมื่อเธอตัดสินใจไปแล้ว ฉันก็คงจะไม่ถามอะไรมากความแล้วล่ะ แต่การทำแบบนี้เท่ากับเราเองก็จะกลายเป็นศัตรูต่อกัน
ฉันกลัวว่าในอนาคตพวกเราอาจจะต้องมีความขัดแย้งทางธุรกิจอยู่บ้าง
ก็หวังว่าเธออย่าโกรธฉันก็พอ หากเธอเปลี่ยนใจเมื่อไหร่สามารถบอกฉันได้ทุกเมื่อนะ” ซุนหยูเฮงพูดออกมา
“โอ้อออออ พวกเราต้องมีความขัดแย้งทางธุรกิจกันอยู่แล้วหล่ะในอนาคตอันใกล้นี้ อย่ามาโกรธฉันก็พอแล้ว” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเหี้ยมเกรียมเล็กน้อย
ถึงแม้จะฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ตอนนี้ปักธงไว้แล้วหมอนี่คือศัตรูของตระกูล
นั่นก็เพราะไอ้บ้าซุนคนนี้ กล้าที่จะจ้องมองซูจิ้งด้วยความอาฆาต ปล่อยไว้ก็ถือว่าเสียชื่อตระกูลหวังแล้ว
GGS:บทที่ 817 อำนาจของเจ้าแห่งของขวัญ
หลังจากที่คุยกันได้ไม่กี่คำ
หวังซือหยาก็ไม่อยากจะสนใจซุนหยูเฮงอีกต่อไป เธอได้จงใจกอดไปยังแขนของซูจิ้งก่อนหันไปสนใจคุยกับซูจิ้งแทน
ซุนหยูเฮงที่เห็นดังนั้นเขาก็รู้สึกเซ็งจนออกนอกหน้า เขาจ้องไปยังซูจิ้งอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป
“อาจิ้ง ตอนที่นายจะโทรมาหาฉันว่าไม่อยากจะร่วมงานกับซุนหยูเฮงแล้ว
หมอนั่นได้โทรมาหานายให้ช่วยเขาเข้าหาฉันก่อนถึงจะยอมร่วมมือใช่รึเปล่า” หลังจากที่เห็นซุนหยูเฮงเดินจากไป หวังซือหยาก็ได้ถามในทันที
“ห้ะ พี่รู้ได้ไงเนี่ย” ซูจิ้งอึ้งในทันที
“โอ้… ก็แค่เดาน่ะ” หวังซือหยาตอบพร้อมหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ซูจิ้งเองก็ทำได้แต่ยอมแพ้อย่างเดียวเท่านั้น เขานั้นยอมแพ้ต่อพลังอำนาจซูเปอร์เซ้นส์อันสุดแสนจะลึกลับของผู้หญิงอย่างหมดรูปแบบไม่กล้าแข่งด้วยอย่างแน่นอน
ก็อาจจะมีส่วนหนึ่งที่เป็นการรู้จักซุนหยูเฮงมานานจึงรู้ว่านิสัยเนื้อแท้ของหมอนั่นเป็นยังไง รวมกับท่าทางของเขาที่แสดงต่อไอ้บ้าซุนนั่น แต่ยังไงซะเซ้นส์ส่วนนี้แม้แต่เขาเองก็สู้ไม่ได้จริงๆ
ในขณะที่ทั้งคู่กำลังสนทนากัน เตียนจงยี่เองก็ได้ถูกชายวัยกลางคนรูปร่างเตี้ยคนหนึ่งดึงออกไป เขานั้นพยายามกระซิบถามไปที่ข้างหูของเตียนจงยี่ด้วยเสียงที่ไม่ดังมากนักว่า “ผู้อาวุโสเตียน ผู้อาวุโสมากับคุณหวังและคุณซูได้ยังไงน่ะ”
“ตอนนี้ฉันทำงานให้พวกเขาน่ะ” เตียนจงยี่พูดออกมา
“ตระกูลซุนในตอนนี้ได้สร้างฐานอำนาจในวงการธุรกิจเกษตรเรียบร้อยแล้ว และพวกเขาเองก็มีสายสัมพันธ์อันดีแทบจะทุกหน่วยงานในจังหวัด
ต่อให้คุณหวังจะมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งขนาดไหน แต่ตระกูลหวังก็ไม่เคยเข้ามาทำธุรกิจด้านการเกษตรมาก่อน
การที่เธอเพิ่งจะมาเริ่มธุรกิจสายนี้จะสู้ซุนหยูเฮงได้งั้นหรอ” ชายเตี้ยคนนั้นถามต่อ
“เอาจริงๆหลังจากเห็นท่าทีของพวกเขาที่มีต่อซุนหยูเฮงแล้วฉันก็มั่นใจในทันทีว่าฉันเชื่อพวกเขาได้” เตียนจงยี่พูดออกมา
“งั้นผมก็หวังให้คุณหวังและคุณซูยอดเยี่ยมจริงๆอย่างที่คุณคิดไว้และนำพอคุณให้กลับมาประสบความสำเร็จได้อีกครั้งก็แล้วกันนะ”
ชายเตี้ยคนนั้นกล่าวอวยพร หากฟังจากบทสนทนาดูแล้วก็บอกได้เลยว่าทั้งคู่น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
“เพื่อ ผมจะไปหาพี่ไม่ได้จริงๆงั้นหรอ” ที่โต๊ะด้านหนึ่ง เฉิงเสี่ยวหยุนที่มีลักษณะท่าทางดูเป็นหนุ่มเพลย์บอยหน่อยๆได้พูดขึ้นมา
“ฉันบอกแกไปตั้งกี่รอบแล้วว่าห้ามไป แกจะไปก็ได้แต่ห้ามกลับมาบ้านอีก ชายตัวสูงท่าทางโผงผางอายุประมาณ60ปี มีผมขาวอยู่ครึ่งหัวได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา และก็มีชายวัยกลางคนตัวสูงอีกคนก็จ้องเขม็งไปยังเฉิงเสี่ยวหยุน
เฉิงเสี่ยวหยุนเองก็โกรธไม่น้อยแต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้
“ยังไงซะซูจิ้งก็เป็นเพียงแค่คนที่คอยเกาะตระกูลหวังเท่านั้น เขานั้นไม่ใช่ตระกูลหวังที่แท้จริง
วันหนึ่งเมื่อเขาหมดประโยชน์แล้ว ตระกูลหวังก็จะเขี่ยเขาทิ้งเหมือนกับหมาข้างทางตัวหนึ่งเท่านั้นเอง
หมอนั้นมันก็แค่ดีแต่เปลือก การที่เฉิงหนานเลือกที่จะไปอยู่กับซูจิ้งแบบนั้น เธอจะไปมีอนาคตได้ยังไงกัน ช่างน่าสมเพชจริงๆ
คนอย่างซูจิ้งจะไปเทียบอะไรกับจ้าวเชาและจ้าวหยวนได้กัน
การที่ได้แต่งงานกับจ้าวหยวนก็หมายถึงการได้แต่งงานเข้าตระกูลจ้าว นั่นสิถึงจะเรียกได้ว่าบ้าน วันหนึ่งนังนั่นก็จะรู้เอง”
ชายแก่ตัวสูงได้มองไปที่เฉิงหนานที่อยู่สุดสายตาด้วยสายตาเย็นชา
“พ่อ นี่มันงานวันเกิดผู้ว่าการจังหวัดนะ พวกเราควรแสดงความรู้สึกยินดีออกมาสิ อย่าพูดเรื่องแบบนั้นเลย”
ชายวัยกลางคนตัวสูงอีกคนได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ชายแก่เองก็ทำเสียงฮึ่มออกมาโดยไม่พูดอะไรต่อ เฉิงเสี่ยวหยุนเองก็ได้แต่บ่นพึมพำเบาๆออกมาว่า “พี่หญิงใหญ่ต้องการจะแต่งงานกับคนที่ให้อิสระกับเธอได้ต่างหาก” เสียงนี้เบามากๆจนคนบนโต๊ะไม่มีทางได้ยิน ไม่งั้นเขาคงโดนด่าเอ็ดตะโลไปแล้ว
“สามีขา คุณดูสิ เฉิงหนานอยู่คนเดียวล่ะ ช่างน่าอายจริงๆ” หญิงสาวท่าทางกระเดียดได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ยัยนั่นสมควรโดนแล้ว” หวู่ฉิงติงสบถออกมา ก่อนที่จะหันไปจ้องเฉิงหนานที่อยู่ตรงขอบงาน
อย่างไรก็ตามเฉิงหนานในตอนนี้ได้ดูสูงสง่าและเซ็กซี่กว่าที่เคยอยู่กับฉิงติงด้วยชุดเดรสสีดำ จนเขาเองก็เผลอจ้องอยู่นานก่อนที่จะหักห้ามใจไปทางอื่น
ถึงแม้เฉิงหนานจะมีลูกไม่ได้ก็จริง แต่เขาเองก็อยากรักษาความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยานี้เอาไว้ หากเป็นไปได้เขาก็อยากจะมีทั้งเฉิงหนานและมีลูกให้เป็นครอบครัวสมบูรณ์
ในตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นที่เฉิงหนาที่ไม่สามารถมีลูกได้เขาจึงได้ทำร้ายเธอไป ใครจะไปคิดว่าตอนนี้เขาต้องปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเพราะว่าหลังจากเขาเลิกกับเฉิงหนานมามีผู้หญิงคนนี้เขาก็ยังไม่มีลูก
พอไปตรวจร่างกายก็พบว่าร่างกายผู้หญิงไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เป็นเขาเองที่มีปัญหา หมอบอกเขาว่าตัวเขานั้นน้ำเชื้อไม่ดี ต่อให้ผสมเทียบก็แทบจะไม่มีโอกาสมีลูกได้เลย นี่ทำให้เขานั้นอารมณ์ไม่ดีเกือบตลอดเวลา
ตอนนี้เมื่อภรรยาของเขาทำการนินทาเฉิงหนาน เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะผสมโรงเหมือนกับว่าอยากจะระบายอารมณ์ออกมาโดยมีเฉิงหนานเป็นเป้าหมาย
หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้ว่าการจังหวัดหู่ซิงหมิงก็ได้ออกมา เขานั้นมีอายุประมาณ 60 ปี แต่ว่าหน้าตาของเขาเหมือนคนอายุประมาณ 50 ปี เขาตัวสูงและดูมีพลัง
เมื่อเขาขึ้นไปบนเวที เขาพูดไปได้เรื่อยๆโดยไม่มีการพักตามปกติของคนวัยนี้
หลังจากที่ลูกหลานของเขาเริ่มมอบของขวัญให้และอวยพร หลังจากนั้นเพลงอวยพรวันเกิดก็ได้เริ่มบรรเลงพร้อมมีการตัดเค้กตามธรรมเนียม ซึ่งทุกอย่างก็ดูเป็นปกติดีสำหรับงานวันเกิดของคนที่อายุรุ่นราวคราว60แบบนี้
ถัดมาก็ถึงคราวแขกที่มาร่วมงานทำการมอบของขวัญพร้อมกล่าวคำอวยพรให้
ซูจิ้ง ได้ยืนขึ้นมาก่อนใครและเดินตรงไปยังผู้ว่าการจังหวัดเป็นคนแรกพร้อมของขวัญที่อยู่ในมือ เมื่อเขาไปอยู่ที่หน้าผู้ว่าการจังหวัดก็ได้มอบของขวัญให้กับมือและพูดว่า “ผมขอให้ผู้ว่าการจังหวัดหู่สุขภาพแข็งแรงและมีอายุยืนนานครับ”
ทันใดนั้นทุกคนได้หยุดทุกสิ่งที่กำลังทำอยู่ในทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังจะนำของขวัญไปมอบให้
ทุกคนต่างก็จ้องไปยังห่อของขวัญที่ซูจิ้งนำมาอย่างเขม็ง จนทำให้เกิดบรรยากาศที่หนักอึ้งภายในงาน
ในตอนนี้ผู้คนต่างก็พูดซุบซิบกันไปทั่วว่าทำไมถึงให้เจ้าแห่งของขวัญออกมาเป็นคนแรก
แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าซูจิ้งจะให้อะไรก็ตาม แต่ตอนนี้คนที่เคยมั่นใจในของขวัญตัวเองต่างก็รู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาในทันที
แต่ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่แสดงความตื่นเต้นออกมา หนึ่งในนั้นก็คือผู้อาวุโสหวู่ผู้ซึ่งคลั่งไคล้ในการเก็บสะสมสมบัติ รวมถึงผู้ว่าการจังหวัดหู่ก็เช่นกัน
พวกเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของซูจิ้งมานานแล้ว ถึงแม้พวกเขาจะเกิดมาในตระกูลใหญ่ มองเห็นโลกหล้ามากว้างไกลขนาดไหน ต่อให้เคยสมบัติมามากมายเพียงใด แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นสมบัติที่ซูจิ้งครอบครองแต่ละชิ้นจากที่ไหนมาก่อน
หนึ่งในหลานสาวของหู่ซิงหมิงเองก็ได้กรี๊ดลั่นทันทีเมื่อเห็นซูจิ้ง เธอเองก็ถือได้ว่าเป็นแฟนคลับตัวยงของซูจิ้งคนหนึ่ง
“ทำไมทุกคนถึงหยุดพูดกันหมดล่ะ บรรยากาศในงานตอนนี้ช่างประหลาดพิกลจริงๆ เฮ้เพื่อนทำไมนายไม่รีบเอาของขวัญออกไปให้ล่ะ ถ้าไม่งั้นฉันไปก่อนนะ” ชายหนุ่มพูดออกมา
“แกจะบ้าหรอ นี่แกไม่รู้จักซูจิ้งรึไงกัน ไม่เคยได้ยินฉายาที่ว่าเจ้าแห่งของขวัญเลยงั้นหรอ
ถ้าแกกล้าที่จะออกไปมอบของขวัญตามหลังหมอนั่นล่ะก็ ต่อให้แกเอาของขวัญมาดีแค่ไหนมันก็จะกลายเป็นขยะไร้ค่าในทันที”
เพื่อนที่อยู่ข้างๆของชายหนุ่มรีบดึงคอเขาเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดีที่ยังคว้าไว้ทัน
“เวอร์ไปแล้วมั้ง” ชายหนุ่มทำได้แค่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“เออ เดี๋ยวแกก็รู้เอง ถ้าก็ว่าฉันเวอร์ไปล่ะก็ลองแหกตาดูนู่น สี่ตระกูลใหญ่นั่งเงียบกริบไม่กล้ากระดิกกันเลยซักคน
แกลองคิดดูซิว่าของขวัญที่สี่ตระกูลใหญ่ของจังหวัดนำมาสมควรจะดีขนาดไหน แต่พวกนั้นก็ทำได้แค่นั่งนิ่งๆ แล้วนับประสาอะไรกับพวกลูกกระจ๊อกอย่างเรา แกสมควรจะเอาของขวัญไปแอบวางบนโต๊ะทีหลังนู่นเลย”
บรรยากาศที่ประหลาดจนรู้สึกได้นี้ยังคงดำเนินต่อไปพร้อมเสียงซุบซิบของคนในงาน หวังซือหยา เฉิงหนาน และผู้อาวุโสหวู่ต่างก็ตะลึงงันไปตามๆกัน
พวกเขาเองก็พึ่งจะรู้ว่าไอ้ฉายาเจ้าแห่งการให้ของขวัญของซูจิ้งนี้เป็นที่รับรู้กันไปทั่วแล้ว และแน่นอนว่าของขวัญในโลกหล้าที่จะนำมาเทียบเคียงกับของขวัญของซูจิ้งหามีไม่
ท่ามกลางบรรยากาศอันแปลกประหลาดในงานตอนนี้ หู่ซิงหมิงยิ้ม ก่อนที่เขาจะรับของขวัญจากซูจิ้งก่อนจะถามออกไปว่า “หนุ่มน้อย ฉันเองก็ได้ยินชื่อเสียงมาไม่น้อยเลย ขอบคุณที่มาร่วมงานนะ แถมยังนำของขวัญมามอบให้อีก มีคนบอกไว้ว่านายนั้นมีฉายาว่าเจ้าแห่งการให้ของขวัญ และทุกคนเองก็ดูเหมือนต้องการอยากจะรู้ว่าครั้งนี้นายเอาอะไรมาให้ จะว่าอะไรรึเปล่าถ้าฉันจะขอเปิดดูตอนนี้เลย”
“แน่นอนครับ” ซูจิ้งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
“งั้น ฉันก็จะเปิดล่ะนะ” หู่ซิงหมิงพูดเสร็จเขาก็ได้ฉีกกระดาษห่อของขวัญในทันที ทุกคนที่อยู่ในงานในตอนนี้ต่างก็จ้องมองอย่างใจจดใจจ่อ
ลูกๆและหลานๆของหู่ซิงหมิงเองก็อดใจไม่ไหวจนต้องเข้ามายืนดูอยู่ไม่ห่าง
ในตอนนั้นก็มีเด็กน้อยคนหนึ่งขอลายเซ็นของซูจิ้งโดยเธอนั้นมุดพาตัวเองฝ่าญาติพี่น้องที่มาคอยมุงดูมาโผล่อยู่ข้างๆหู่ซิงหมิง
GGS:บทที่ 818 จิตตก
ในสายตาของทุกคนในตอนนี้ได้จับจ้องไปยังหู่ซิงหมิงที่กำลังฉีกห่อของขวัญออกอย่างรวดเร็ว
ที่พวกเขาเห็นในตอนนี้คือข้างในเป็นม้วนของอะไรบางอย่าง นั่นทำให้ทุกคนเริ่มแสดงท่าทางงงๆออกมา
เพราะว่าหากนึกถึงของขวัญต่างๆที่เคยผ่านมาแล้ว ของขวัญชิ้นนี้รู้สึกว่าจะดูธรรมดาที่สุดแล้ว
“นี่คือ?” ซุนหยูเฮงเองก็ถึงขมวดคิ้วกับภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเขาเช่นกัน
ภาพที่เขาเห็นนั่นก็คือเพียงซูจิ้งนำของขวัญออกมามอบให้ใครสักคน ทุกคนในงานต่างก็หยุดนิ่งจับจ้องเป็นตาเดียว เรียกได้ว่าเป็นการขโมยซีนไปคนเดียวเลยก็ว่าได้
ซุนหยูเฮงรู้สึกไม่มีความสุขเลยแม้แต่น้อย และเขาอยากจะขโมยซีนที่แสนจะเด่นนี้ไปใจขาด
อย่างไรก็ตามในกระบวนการให้ของซูจิ้งนั้น เขาไม่มีทางเทียบได้เลยซักนิด
ตอนนี้เขาเลยตัดสินใจว่าจะรอดูก่อนว่าซูจิ้งจะให้อะไรกับผู้ว่าการหู่เป็นของขวัญกันแน่
แต่เมื่อเขาได้เห็นว่าของที่ซูจิ้งนำมาให้นั้นเป็นม้วนอะไรบางอย่าง เขาเองก็ใจเต้นขึ้นมาพร้อมกับมีความรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ นั่นก็เพราะว่าของขวัญของเขาเองก็เป็นม้วนคล้ายๆกัน
“พี่ซุน เกิดอะไรขึ้น” ชายร่างผอมคนหนึ่งสังเกตเห็นใบหน้าของซุนหยูเฮงในตอนนี้จึงได้ถามออกมา
“ไม่มีอะไร” ซุนหยูเฮงได้ตอบพลางส่ายหัวออกมา เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าไอ้ความรู้สึกไม่ดีที่เกิดขึ้นในใจเขาตอนนี้มาจากเรื่องอะไรกันแน่
“นายจะตื่นเต้นไปทำไมกันเนี่ยซุนเชา ของขวัญที่นายนำมานั้นถือได้ว่าเกือบจะสุดยอดแล้ว
ไม่ว่าของที่หมอนั้นจะเอามาคืออะไรก็ตาม แต่บอกได้เลยว่าของของนายสุดยอดยิ่งกว่าอย่างแน่นอน”
หนุ่มร่างผอมได้กระซิบออกมาเชิงยุเชิงจริง นั่นก็เพราะว่าเขาเห็นของที่ซุนหยูเฮงเตรียมมาแล้วนั่นคือหัวใจพระสูตรและพระพุทธที่เคยมีรูปเผยแพร่ออกมาก่อนหน้านี้
เขาเองก็เคยให้เพื่อนที่อยู่ในวงการนี้มาประเมินดูก็ได้คาดการณ์ไว้คร่าวๆว่าขั้นต่ำอยู่ 10 ล้านหยวน
ยิ่งไปกว่านั้น หู่ซิงหมิงเองก็เป็นพุทธศาสนิกชนและเขาเองก็ชอบที่จะนั่งสมาธิและสวดมนต์อยู่เป็นประจำ
สามารถบอกได้เลยว่าเขาศึกษาพระธรรมอย่างลึกซึ้งกว่าคนทั่วไปอย่างแน่นอน
บอกได้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นในเรื่องมูลค่าหรือคุณค่าทางจิตใจล้วนแล้วสูงล้นทั้งสิ้น
ไม่มีของขวัญชิ้นไหนเทียบได้อย่างแน่นอน
“นั่นสิ จริงด้วย” ซุนหยูเฮงได้พยักหน้ารับพลางรู้สึกกังวลใจ เขาได้จ้องไปยังม้วนภาพที่ซูจิ้งนำมามอบให้แก่หู่ซิงหมิง หู่ซิงหมิงเองก็ได้กางภาพนั้นลงไปบนโต๊ะในทันที
ทุกคนที่กำลังจับจ้องอย่างไม่วางก่อนหน้านี้แต่ในตอนนี้ตาของเขากลับแทบจะถลนออกมา
ซุนหยูเฮงก็ถึงกับต้องยืนอึ้งในทันทีเมื่อเห็นรายละเอียดในม้วนภาพนั้น
และหน้าของเขาก็เปลี่ยนสีในทันทีจนเรียกได้ว่าหน้าเกลียดไปเลย
นั่นก็เพราะว่ารายละเอียดของภาพม้วนนั้นคือรูปพระพุทธเข้ากำลังนั่งขัดสมาธิโดยมีร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่าและมีพระพักตร์ที่แสนโอบอ้อมอารี และมีรอยมือประทับรอบฐานและมีภาษาสันสกฤตอยู่ภายใน
“มันดูเหมือนหัวใจพระพุทธและพระสูตรเลยนะ”
“ใช่ๆ ช่างดูคล้ายกันมากเลย แต่อันนี้ทำไมฉันรู้สึกว่ามันดูประณีตกว่าล่ะ”
“เดี๋ยวนะ อย่าบอกนะว่าม้วนนี้คือต้นฉบับ”
“ห้ะ ใช่ภาพที่มีคนเสนอซื้อต้นฉบับในราคา 100 ล้านหยวนนั่นรึเปล่า ของจริงหรอ”
ผู้คนที่คอยจับจ้องดูอยู่ในตอนนี้พวกเขามองกันด้วยจนสายตาแทบจะไม่กระพริบยิ่งกว่าเดิม พวกเขาถึงกับต้องก้าวเดินเข้าไปดูใกล้ๆเพื่อพิสูจน์ให้เห็นกับตาว่าเป็นของจริงรึเปล่า
ของอย่างนี้ใครๆก็เลียนแบบกันได้ เพราะในอินเตอร์เนตนั้นมีภาพนี้แพร่กระจายอยู่ทั่วไปหมด
แต่เมื่อพวกเขายิ่งจ้องมองมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกได้ถึงพุทธนุภาพของหัวใจพระสูตรและพระพุทธรูปนี้ได้สั่นคลอนหัวใจพวกเขาให้ฝักใฝ่ในธรรมะ สิ่งนี้เป็นไปได้เลยที่จะลอกเลียนแบบขึ้นมาได้
“เดี๋ยวนะ นี่มันของจริงนี่” ถังฮ่าวเองได้อุทานออกมาอย่างดังพร้อมท่าทางตื่นเต้นอย่างออกนอกหน้า
“คุณซูนำภาพของจริงมามอบให้เป็นของขวัญอย่างนี้เลยหรอ” อารมณ์ของผู้อาวุโสหวู่ในตอนนี้มีความรู้สึกซับซ้อนจนบอกไม่ถูก
หากเป็นเขาล่ะก็จะไม่มีทางนำภาพจริงออกมาให้ใครยลโฉมง่ายๆอย่างนี้แน่นอน แต่ซูจิ้งกลับมอบให้คนอื่นได้อย่างหน้าตาเฉย สมแล้วที่เขาได้รับฉายาว่าเจ้าแห่งการให้ของขวัญ
ซุนหยูเฮงเป็นคนเดียวในที่นี่ที่ทำหน้าน่าเกลียดหน้ากลัวอย่างที่สุดภายในงาน เพราะเขาเองก็ได้เตรียมหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้มามอบให้ผู้ว่าการหู่เช่นเดียวกัน ผู้อาวุโสที่เขาเคยบอกซูจิ้งไว้ก็คือผู้ว่าการหู่
แต่เดิมนั้นเขาต้องการแสดงให้เห็นความสามารถของเขาในการงานเลี้ยงของผู้ว่าการจังหวัดแห่งนี้ว่าสามารถบันดาลสิ่งใดมาก็ได้
ใครจะไปคิดว่าซูจิ้งจะยอมเอาของจริงมาให้แบบนี้ แล้วภาพไม่สมประกอบของเขาจะไปสู้อะไรได้
ซุนหยูเฮงในตอนนี้มองไปยังซูจิ้งด้วยความเกลียดชังยิ่งกว่าเดิม ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าความรู้สึกกังวลใจที่แสนหนักอึ้งก่อนหน้านี้มาจากไหน
เขาก็คิดอยู่ว่าทำไมถึงไม่อยากจะขายรูปนี้ให้เขานักหนา สมบัติอันประเมินค่าไม่ได้กลับให้กันง่ายๆอย่างนี้อ่ะนะ
“เดี๋ยวก่อน นั่นต้องเป็นของปลอมแน่ๆ” ในตอนนั้น ชายหนุ่มที่อยู่ข้างซุนหยูเฮงเองก็ได้โวยวายขึ้นมา
ทุกคนที่กำลังมุงดูอยู่ต่างนิ่งอึ้งไปในทันที พวกเขาหันไปมองชายหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาที่ยากจะบรรยาย หลายคนถึงกับเหลือกตาลงมองอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
ชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นได้ยืดอกและพูดต่อว่า “รูปนั้นต้องเป็นของปลอมอย่างแน่นอน นั่นก็ว่าของจริงถูกซื้อมาโดยลูกพี่ซุนตั้งนานแล้ว”
เมื่อชายคนนั้นพูดจบลง ซุนหยูเฮงได้ทำใบหน้าที่หน้าเกลียดยิ่งกว่าเดิม เขาเองก็พยายามจะสะกิดหนุ่มร่างผอมเพื่อนของเขาแล้ว แต่กลายเป็นว่ายิ่งสะกิดหมอนั่นยิ่งพูดโพล่งออกมา
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นมองไปที่ชายร่างผอมด้วยสายตาที่ไม่มีใครเชื่อเขาเลยแม้แต่น้อย และเขาเองแค่ดูสายตาก็รู้แล้วว่าไม่มีใครเชื่อจะได้พูดอกมว่า “มองอะไร ที่ฉันพูดเป็นความจริงนะ ถ้าไม่มีใครเชื่อล่ะก็ พี่ซุน คุณหยิบภาพของ…”
“หยุดเดี๋ยวนี้” ซุนหยูเฮงตะคอกออกมาดังลั่น นั่นทำให้ชายหนุ่มร่างผอมได้สติจนยอมหยุดพูดลง เขาเองก็ไม่รู้ว่าซุนหยูเฮงจะหยุดเขาทำไม
“น้องชายท่านนี้ น้องชายพอจะทราบใช่หรือไม่ว่าภาพพระสูตรและหัวใจพระพุทธนี้เคยถูกเผยแพร่มาก่อนหน้านี้แล้วในอินเตอร์เนต” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ท่าทางใจดีได้เอ่ยถามออกมา
“ผมไม่รู้ ผมรู้แค่ว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธได้อยู่ที่เขาแล้ว” ชายหนุ่มร่างผอมพูดออกมา
“ผู้ที่เผยแพร่ภาพเหล่านั้นออกไปนั้นคือคนที่อยู่ไกลกว่าเส้นขอบฟ้าแต่ใกล้เพียงเอื้อมมือถึง” ชายท่าทางใจดีคนนั้นพูดต่อ
ชายร่างผอมคนนั้นทำท่าคิดจนหัวหมุนแล้วเผลอไปเหลือบมองซูจิ้งทันใดนั้นเขาก็ได้คำตอบในทันที เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ยืนแข็งค้างไป
เขาหันหน้าไปมองไอ้เพื่อนตัวดีของเขาที่ทำหน้าโคตรน่าเกลียดอยู่ตอนนี้ซึ่งก็คือซุนหยูเฮง
เขาก้มหน้าลงก่อนจะหายใจเข้าลึกๆและแทบจะแทรกแผ่นดินหนีจากตรงนั้น เพราะว่าไม่ว่าเขาจะโง่เง่าแค่ไหนก็ตามยังเขาก็ยังพอรู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วอยู่พอสมควร
ให้ลองจินตนาการดูว่าในเมื่อรูปที่อยู่บนโลกอินเตอร์เนตนั้นเป็นซูจิ้งเองที่เป็นผู้ส่งแล้วล่ะก็ ย่อมหมายความว่าเขานั้นมีต้นฉบับอย่างแน่นอน
แล้วทำไมต้นฉบับของรูปที่ถูกเผยแพร่จึงจะกลายเป็นของปลอมไปได้กัน ในความหมายหนึ่งคือของที่อยู่บนมือซุนหยูเฮงนั้นเป็นของปลอม
“ความจริงเรื่องราวมันเป็นอย่างนี้” ซุนหยูเฮงได้พยายามทำใจให้สงบก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“ผมเองที่โลภมากอย่างได้ต้นฉบับภาพจนอดใจไม่ไหวต้องไปบ้านของคุณซูเมื่อไม่กี่วันก่อน และหวังว่าเขานั้นจะขายให้ผม
แต่คุณซูนั้นปฏิเสธที่จะขายต้นฉบับ และเขาเองก็มีฉบับที่ไม่สมบูรณ์อยู่ ซึ่งตัวผมเองก็คิดว่าได้มาแค่นั้นก็ดีแล้วจึงได้ซื้อต่อมาเมื่อนำมางานนี้
ไม่คิดว่าสุดท้ายจะกลายเป็นทำเรื่องตลกไปซะได้”
“อืมๆ เป็นอย่างนี้นี่เอง” เหล่าผู้ที่มุงดูต่างก็รู้สึกขบขันขึ้นมา ชายหนุ่มร่างผอมเองเมื่อเห็นท่าทางของคนที่มามุงก็รู้สึกอายจนหน้าแดงขี้นมา
เขานั้นไม่เคยรู้มาก่อนว่าเคยมีภาพนี้หลุดไปอยู่ในอินเตอร์เนต และที่ยิ่งแล้วใหญ่ก็คือเขานั้นดันไม่เคยถามว่าซุนหยูเฮงไปซื้อมาจากใคร
หากเขารู้ซักนิดเขาคงจะไม่ต้องทำเรื่องหน้าละอายจนอยากจะตายแบบนี้
“แน่นอนว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธของคุณซูไม่มีทางเป็นของปลอมอยู่แล้ว”
“แต่มันเป็นสมบัติล้ำค่าเลยนะ ถือว่าผู้ว่าการหู่ได้ลาภชิ้นใหญ่เลย”
“เจ้าแห่งของขวัญยังไงก็ยังเป็นเจ้าแห่งของขวัญอยู่วันยังค่ำ จะให้คนธรรมดาไปเปรียบเทียบได้ยังไงกัน”
ผู้คนที่รายรอบอยู่ในงานตอนนี้ได้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้นแล้ว พวกเขาเข้าไปล้อมดูหัวใจพระสูตรและพระพุทธดูจนชนิดที่ว่าตาของพวกเขาต้องร้อนรนด้วยความพิศวงของรูปนี้
ชายร่างผอมได้ไปกระซิบที่หูของซุนหยูเฮงว่า “พี่ซุน ฉันขอโทษ ฉันไม่รู้จริงๆ”
ซุนหยูเฮงบ่นอุบออกมาว่า “คราวหน้านะหันมองทั่วๆกันก่อนดิ อย่าได้ทำให้ฉันต้องขายหน้าแบบนี้อีกล่ะ”
ชายร่างผอมก้มหัวยอมรับผิดก่อนจะพูดออกมาว่า “แล้ว คุณจะยังมอบหัวใจพระสูตรที่เตรียมมาอยู่อีกรึเปล่า”
ซุนหยูเฮงตบไปยังแก้มแรงพอประมาณก่อนจะพูดออกมาว่า “ส่งกะผีน่ะสิ แกนี่โง่รึเปล่า จะส่งได้ยังไงกัน รีบไปเอาอีกชิ้นที่ฉันเตรียมไว้มาให้เดี๋ยวนี้”
แต่เดิมเขาเองถึงแม้คิดว่าแค่หัวใจพระสูตรและพระพุทธก็น่าจะเพียงพอแล้วก็ตาม
แต่ด้วยการที่เขาอยู่ในวงการนี้มาอย่างโชกโชนพอสมควรทำให้เขานั้นมักเตรียมแผนสำรองไว้เสมอ
ใครจะไปคิดว่าแค่คิดเล่นๆดันกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา
ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่เขาจะต้องนำแผนสำรองที่เขาเตรียมเอาไว้ออกมาใช้จนได้
จะให้เขามอบงานไม่สมบูรณ์แบบนี้ให้น่ะนะ ไม่มีทาง ของที่เขาเตรียมมานี้สมควรที่จะจัดการซูจิ้งได้อยู่หมัดอย่างแน่นอน
GGS:บทที่ 819 ของขวัญชิ้นที่ 2
ผู้คนที่อยู่ในงานต่างรุมล้อมดูหัวใจพระสูตรและพระพุทธอย่างอัศจรรย์ใจ
หู่ซิงหมิงเองก็ชอบภาพหัวใจพระสูตรนี้จะเผลอมองเป็นเวลานาน กระทั่งตั้งสติได้เขาก็รีบนำมันออกไป
เขาเองก็ยอมรับว่าของชิ้นนี้ที่ได้ว่าสุดยอดที่สุดในชีวิตที่เขาเคยได้
เขาได้เข้าไปจับมือกับซูจิ้งก่อนจะพูดออกมาว่า “คุณซู ผมเองขอน้อมรับความจริงใจของคุณที่มีให้ผมในครั้งนี้จริงๆ แต่ยังไงซะของชิ้นนี้แพงเกินไป แพงเกินกว่าที่ผมจะยอมรับไว้ได้”
“ผู้ว่าการหู่ครับ ในสายตาของผมแล้ว สิ่งนี้ก็เป็นเพียงภาพพระพุทธรูปภาพหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ว่าคุณจะบอกว่าภาพนี้มีแค่สูงเสียดฟ้าหรือต่ำเรี่ยดิน แต่ยังไงซะสำหรับผมก็แค่ภาพแค่นั้น
เอาจริงๆราคาที่พวกคุณว่าๆกันว่าแพงนี่มันก็เพียงแค่ราคาที่พวกคนหน้าเบื่อตั้งมาเพื่อแย่งกันซื้อก็เท่านั้น อย่าเอามาวัดอะไรพวกนี้เลยนะครับ เอาจริงๆแล้วสำหรับผมนี่ก็เป็นเพียงแค่น้ำใจเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเอง โปรดรับเถอะครับ”
“ยังไงผมก็รับไว้ไม่ได้ครับ” หู่ซิงหมิงตอบปฏิเสธด้วยรอยยิ้มและยื่นหัวใจพระสูตรและพระพุทธกับคืนไปให้ซูจิ้งด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะอยากสักเท่าไหร่ ซูจิ้งเองก็เหมือนจะยอมแพ้ยอมรับกลับมา
เหล่าแขกผู้ร่วมงานต่างก็แอบชมเฉยผู้ว่าการหู่อยู่ในใจว่าเขานั้นสมกับเป็นคนที่ศึกษาพระธรรม ช่างควบคุมตัวเองได้ดีจริงๆ
ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ารูปนี้สามารถขายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านหยวนแน่ๆ ทั้งที่เป็นเพียงกระดาษที่มีรูปวาดตามที่ซูจิ้งว่ามาก็ตาม
เอาจริงๆต่อให้เขานั้นเป็นผู้ฝึกตนอยู่เป็นนิจก็ตามแต่เขาเองก็เกือบจะควบคุมตัวเองไม่ได้เลยทีเดียว เขาเองก็อยากจะพูดสวนซูจิ้งไปซักหน่อยถ้าทำได้ว่า สำหรับคุณมีก็แค่กระดาษภาพวาด แต่สำหรับพวกผมนั้นมันคือเงิน 100 ล้านหยวน
“เฮ้ออออ ในเมื่อผู้ว่าการเมืองหู่นั้นไม่ยอมรับของขวัญของผมแล้วล่ะก็…. ไม่เป็นไร ความจริงผมก็เตรียมแผนสำรองมาไว้แล้วเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“หนุ่มน้อย ฉันได้รับน้ำใจของเธอแล้ว อย่าลำบากอีกเลย” หู่ซิงหมิงพูดออกมาด้วยท่าทีน้ำลายฝืดคอเล็กน้อย
“ไม่ได้หรอกครับ วันนี้ในเมื่อผมได้มายังที่นี่แล้ว ยังซะของขวัญวันเกิดสำหรับท่านผู้ว่าการเมืองยังไงก็ต้องมอบให้ให้ได้ พอดีผมทิ้งไว้ในรถครับ เดี๋ยวผมจะรีบไปเอามาให้นะ ขอให้ท่านผู้ว่าการรอสักครู่เดียวเท่านั้น”
ซูจิ้งพูดเสร็จเขาก็รีบหมุนตัวแล้วทำการเดินด้วยความเร็วประดุจวิ่งร้อยเมตรไปยังบันไดในทันที
แขกหลายๆคนเริ่มรู้สึกอึกอัดมากขึ้น ชายคนนี้นอกจากจะเตรียมหัวใจพระสูตรและพระพุทธมาแล้ว ยังมีหน้าเตรียมแผนสำรองไว้อีกด้วย หมอนี่จะเล่นใหญ่ไปไหนกัน
หวังซือหยารีบตามไปจับซูจิ้งก่อนจะกระซิบออกมาว่า
“อาจิ้ง ฉันไม่คิดว่านายจะถึงขั้นเตรียมหัวใจพระสูตรและพระพุทธของจริงมาด้วย นายออกจะมากเกินไปหน่อยแล้ว
นายไม่รู้สึกว่ามันเจ็บปวดบ้างรึไงที่ต้องสูญเสียของดีๆแบบนั้นไป อย่าเอาไปให้ใครเลยนะ
โอเคต่อให้นายไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไร แต่ฉันน่ะเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงทรวงในเลย
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ว่าการหู่เองก็ไม่ได้ต้องการอะไรจากนายแล้วนี่
ฉันว่าเขานั้นไม่มีทางที่จะยอมรับของขวัญราคาแพงอย่างแน่นอน เพราะหากเขากล้ารับไปก็เหมือนโยนตัวเองเข้ากองไฟเลยนะ”
“เอาน่า… ฉันรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่” ซูจิ้งหัวเราะออกมาก่อนจะพุ่งลงบันไดไป หลังจากนั้นซักพักเขาได้ถือบางอย่างกลับมา มันถูกห่อเอาไว้อย่างมิดชิดทำให้ไม่มีใครสามารถที่จะมองเห็นมันได้ แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้นสายตาของทุกคนก็ทำได้เพียงจ้องติดตามไปที่เขาอย่างไม่วางตา
ตอนที่ซูจิ้งกลับลงไปนำของขวัญชิ้นที่สองมานั้น แขกในงานไม่มีใครหาญกล้านำของขวัญมามอบให้ผูว่าการหู่เลยซักคนเดียว มันเหมือนกับพลังงานบางอย่างกดดันพวกเขาไว้ไม่ให้เข้ามาแทรกกลางทางได้
“หมอนี่คงไม่ใช่ว่าจะนำของโคตรแพงมาเป็นของขวัญอีกนะ”
“ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ ผู้ว่าการหู่เองก็ดูท่าจะชอบหัวใจพระสูตรและพระพุทธนั่นไม่น้อยเลยแต่ก็ยังปฏิเสธไป มันเหมือนเป็นการบอกโดยนัยว่าของขวัญที่เขารับได้จะต้องไม่ใช่ของราคาแพง”
“ก็จริง ด้วยการที่ผู้ว่าการหู่นั้นมีตำแหน่งที่ใหญ่โต หากเขารับของแพงหูฉี่ภายในงานวันเกิดของเขาล่ะก็
เขาย่อมต้องโดนติฉินท์นินทาจนก่อให้เกิดปัญหาได้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งเองก็ยังไม่ได้เป็นคนสนิทหรือเพื่อนของผู้ว่าการหู่แต่อย่างใด หากรับไปจริงๆยังไงก็ดูไม่ดี”
“นั่นสิ ยังไงซะ การให้ของขวัญเองก็จำเป็นต้องมีขีดจำกัดเหมือนกัน ครั้งนี้สมควรที่จะเป็นของขวัญแบบธรรมดาแล้วล่ะนะ”
เมื่อคนๆหนึ่งได้พูดจบ ซูจิ้งก็กลับเข้ามาในเวลางานเรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งได้มอบกล่องอะไรบางอย่างให้กับผู้ว่าการหู่พร้อมพูดออกมาว่า “คราวนี้ไม่ใช่ของขวัญล้ำค่าแล้วครับ” เมื่อพูดจบประโยนชน์ เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนจะบอกออกมาว่า “สิ่งนี้ก็แค่เครื่องประดับจากทะเลเล็กๆน้อยๆแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อ่า…ในที่สุด เท่านี้ก็พอแล้วล่ะ” หู่ซิงหมิงได้พูดออกมา
เขารีบแกะห่อของขวัญที่ซูจิ้งให้อย่างรวดเร็วต่อหน้าสาธารณชน เมื่อเขาเห็นของที่อยู่ในกล่อง เขาแทบจะเขวี้ยงทิ้งในทันที ส่วนคนที่อยู่รอบข้างนั้นต่างก็ร้องว้าววววออกมา
ช้างในนั้นคือไข่มุกจำนวน 8 เม็ด เป็นไข่มุกที่ดูเรียบเนียน ระยิบระยับ ดูกลมสวยงาม และมีขนาดใหญ่จนน่าอัศจรรย์
ไข่มุกทั้งแปดเม็ดส่องประกายจนแทบจะทำให้ตาบอดได้ ผู้คนที่เห็นต่างก็เปิดปากกว้างชนิดที่ว่าถ้ากรามของพวกเขายืดได้คงแต่ถึงพื้นไปแล้ว
สิ่งเนี้ยอ่ะนะที่เขากล้าบอกว่าของเล็กน้อย
“พระเจ้า นี่มันไข่มุกสีทอง”
“เป็นไปได้ไง มันใหญ่ขนาดนี้จนฉันนึกว่าเป็นทองจริงๆเลยนะ”
“เรื่องนั้น ฉันคิดว่าขนาดของมันอยู่ที่ราวๆ 20 มม. และทุกลูกกลมเกลี้ยงระยิบระยับ ลองคิดดูสิว่าจะมีไข่มุกที่มีสีทองที่ไหนใหญ่ขนาดนี้ แถมยังมีเยอะขนาดนี้ในคราวเดียวอีก ต้องเป็นของทำเองแน่ๆ”
“ลองดูผิวของมันที่เรียบลื่นสวยงามนี่สิ ถ้าเป็นทองจริงจะเรียบลื่นและสวยแบบนี้ได้ยังไง”
เหล่าผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็ไม่เชื่อในสิ่งที่พวกเขาเห็น พวกเขาส่วนใหญ่นั้นต่างก็เป็นชนชั้นสูงที่เดินทางไปทั่วโลกพบเจอสิ่งต่างๆมากมาย แน่นอนว่าพวกเขาย่อมรู้จักไข่มุกทองคำ เอาจริงขนาดทองคำแท้ๆยังมีค่าไม่เท่าไข่มุกทองคำเลย
ถึงแม้กับคนพวกนี้แล้วพวกเขาไม่เคยแยกออกว่าอันไหนที่เป็นไข่มุกทองคำอันไหนคือทองคำรูปไข่มุกก็ตาม แต่กับไข่มุกที่อยู่ตรงหน้านี้พวกเขาสามารถบอกได้เต็มปากว่ามันคือไข่มุกทองคำอย่างแท้จริง และมันเป็นระดับสูงสุดยอดอีกด้วย
“ท่านผู้ว่าหู่ อาจิ้ง ขอให้พวกเราดูใกล้ๆหน่อยได้รึเปล่า” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น ซูจิ้งและหู่ซิงหมิงเองก็พยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต
ไม่รอช้าอีกต่อไป ถังฮ่าวรีบตรงเขามายังไข่มุกทั้งแปดในทันที เขาหยิบถึงมือออกมาและสวมพวกมันอย่างรวดเร็ว
เขาหยิบอุปกรณ์ประจำตัวของเขาออกมาก่อนที่จะค่อยๆส่องอย่างละเอียดและเจริญหูเจริญตา แม้แต่ผู้อาวุโสวู่เองก็รีบมาร่วมด้วยพร้อมดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับ
ถึงแม้ว่าถังฮ่าวและอาวุโสวู่จะไม่ได้รับใบอนุญาตการประเมินก็ตาม แต่พวกเขานั้นมีประสบการณ์ที่ได้จากการเปิดร้านอัญมณีและการเก็บสะสมของต่างๆมาไม่น้อยเลย
ถึงแม้ว่าระดับการประเมินของพวกเขาจะต่ำไปหน่อยก็จริง แต่ยิ่งพวกเขาดูยิ่งรู้สึกตกใจ และในที่สุดพวกเขาก็ถึงกับตัวสั่นเมื่อประเมินเสร็จสิ้นแล้ว
“พระเจ้า พวกนี้คือไข่มุกทองคำแท้ๆ ของแท้และแน่นอน นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นไข่มุกที่ใหญ่และสมบูรณ์ขนาดนี้”
ถังฮ่าวอดไม่ได้ที่จะพูดชมออกมา แม้กับคนที่ยังไม่เชื่ออยู่ในตอนนี้ก็ยังมีท่าทีตื่นเต้นตาม
หวังซือหยาและเฉิงหนานต่างก็มองหน้ากันด้วยความโง่งม
เตียนจงยี่ ผู้อาวุโสหวู่ ซุนหยูเฮงและคนอื่นๆก็มีท่าทางโง่งมไม่ต่างกัน
สี่ตระกูลหลักแห่งจังหวัดนี่ก็มีท่าทีโง่งมเช่นเดียวกัน
ถ้าไข่มุกทั้งแปดเม็ดนี้คือไข่มุกทองคำจริงๆล่ะก็ ต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการก็ยังรู้ว่าราคาของมันสูงมาก
การผลิตไข่มุกทองคำได้นั้นมีอัตราที่ต่ำมาก และด้วยตัวมันเองที่มีความสวยอย่างที่สุด ราคาของไข่มุกชนิดนี้ก็แพงที่สุดเช่นกัน แพงงกว่าไข่มุกเม็ดสวยๆที่สีขาวนวลหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
ราคาของไข่มุกทองคำนั้นจะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเพื่อนำมาใช้ประเมินคุณภาพของไข่มุก ตัวอย่างเช่น ขนาด รูปร่าง ร่องรายพื้นผิว เป็นต้น
หากจะพูดง่ายๆก็คือมันต้องสวยเด่นสะดุดตาตั้งแต่แรกเห็น มีความเป็นประกายไม่ว่าจะมองด้วยตาเปล่าหรือแว่นขยายก็ตาม
อย่างไรก็ตามไข่มุกทองคำทั้งแปดเม็ดที่ซูจิ้งนำมานั้นมีความเหนือกว่าในทุกๆด้าน และที่สำคัญเพียงแค่คนได้มองมันก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่น นี่คือไข่มุกที่สมบูรณ์แบบที่สุด
ทุกคนที่มองเหตุการณ์อยู่ในขณะนี้ต่างก็พูดไม่ออก ผู้ว่าการหู่เองก็เช่นกัน เขาก็ว่าบอกไปชัดแล้วว่าไม่สามารถรับของที่แพงๆได้
แล้วไอ้หมอนี่ยังกล้าส่งสมบัติแบบนี้มาอีก นี่ซูจิ้งไม่เข้าใจความหมายของเขาหรือว่าอยากจะก่อกวนเขาด้วยสมบัติมากมายกันแน่
“รีบวัดเร็วเข้าได้กี่มิลกัน”
ถังฮ่าวเองก็รีบกุลีกุจอรีบหยิบเครื่องมือของเขาออกมาวัดพวกมัน เมื่อวัดเสร็จแล้วเขาถึงกับต้องอุทานออกมาว่า “22 มม.”
“เป็นไป..ได้ยังไง” ผู้อาวุโสหวู่เองก็ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็นและได้ยิน เขาเองก็รีบเข้าไปวัดเองกับมือ ผลที่ได้คือค่าเดียวกันหมดนั่นคือไข่มุกทองคำทั้งแปดเม็ดมีขนาด 22 มม.
ผลที่ได้จากการวัดนี้ทำให้คนรอบข้างกำหมัดแน่นและหายใจอย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น