Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 808-815
GGS:บทที่ 808 ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง
หลังจากวางสายไป ซูจิ้งเองก็กำลังนึกหาวิธีแก้เผ็ดซุนหยูเฮงในทันที พลางนึกไปว่าต่อให้ซุนหยูเฮงนั้นจะมีความสามารถในการทำธุรกิจด้านการเกษตร แต่ก็ไม่สมควรจะได้เงินมากมายนัก
กับเขาที่ต่อให้ไม่ได้มีหัวด้านธุรกิจนี้ซักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเขานั้นมีโอกาสสร้างรายได้ที่มากกว่าอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเขาไม่ควรจะไปแข่งกับซุนหยูเฮงด้านการเกษตรแต่อย่างใด
เขานั้นสมควรช่วยส่งเสริมคนอื่นเพิ่มเตะตัดขาซุนหยูเฮงนี่ก็น่าจะสอนบนเรียนให้หมอนี่ได้บ้าง
“อ้ะ นี่น่าจะถึงเวลาที่เสี่ยวไจ๋ต้องเข้าร่วมรายการแล้วนี่นา ลองดูซักหน่อยดีกว่าแหะ”
ซูจิ้งได้เปิดทีวีที่อยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯที่อยู่ภายในสถานีดู ไม่นานนักเขาก็เจอช่างที่เสี่ยวไจ๋บอกว่าจะเข้าร่วมรายการ
รายการนี้เป็นรายการประเภททอล์คโชว์ที่มีคนดูมากรายการหนึ่งประเทศจีน
บางครั้งพวกเขาจะเชิญคนแปลกๆมาร่วมแสดงความสามารถซึ่งพวกเขาได้คอยค้นหาอยู่ทั่วประเทศ
บางครั้งพวกเขาก็เชิญร้านอาหารมาทำอาหารแบบสดๆเพื่อเป็นการโฆษณาให้คนที่ชื่นชอบไปกิน
โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นบรรยากาศแนวตลกขบขันและมีเรตติ้งดูใช้ได้เลย
ไม่นานหลังจากรายการเริ่มถ่ายทอด อาจารย์เชิงหยาน เสี่ยวไจ๋ และพระนักรบอีกกลุ่มหนึ่งได้เข้ามากลางรายการ
พวกเขาเข้ามาอย่างพร้อมเพียง หนักแน่น และเป็นระเบียบ พร้อมแสดงการฝึกวิชามวยเล็กน้อยพอเป็นพิธีแต่ด้วยการที่ทำกันเป็นกลุ่มใหญ่ทำให้บรรยากาศในห้องส่งถึงกับร้อนระอุ
หลังจากนั้นพิธีกรได้กล่าวเปิดรายการพร้อมแนะนำปรมาจารย์เชิงหยานและให้ปรมาจารย์เชิงหยานแนะนำเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้ ถึงช่วงนี้เสี่ยวไจ๋ได้ก้าวออกมาและได้เริ่มแสดงเพลงหมัดวัวคลั่งออกมาให้ดู
แน่นอนว่าหากเป็นการเพลงมวยปกตินั้น การแสดงออกมาเพียงแค่สอง-สามกระบวนท่าย่อมไม่สามารถทำให้เป็นที่ลือเลื่องได้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามเสี่ยวไจ๋นั้นแม้จะแสดงเพลงหมัดวัวคลั่งออกมาเพียงแค่สามกระบวนท่า แต่ด้วยร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้ว ในทุกครั้งที่ใช้กระบวนท่าคนดูรายการจะสังเกตเห็นได้ว่าทุกครั้งที่เสี่ยวไจ๋เริ่มแต่ละกระบวนท่า ร่างกายจะค่อยๆแข็งแกร่ง และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และนั่นจะทำให้เพลงหมัดวัวคลั่งของเขายิ่งเป็นที่รู้จักอย่างแน่นอน
ต่อให้รายการนี้ยอมให้เสี่ยวไจ๋แสดงออกมาแค่เพียงกระบวนท่าเดียวก็ตาม แต่ด้วยท่วงท่าที่ดุดันประดุจดั่งวัวคลั่งก็เพียงพอต่อการแสดงแสนยานุภาพของเพลงหมัด
หลังจากนั้น รายการได้ถูกดำเนินมาจนถึงช่วงสุดท้ายของการแสดง รายการได้นำสิ่งของต่างๆออกมาให้เสี่ยวไจ๋แสดงอานุภาพของศิลปะการต่อสู้ให้เห็นชัดๆ เสี่ยวไจ๋จึงได้จัดให้ตามคำขอ เขาต่อยกระสอบทรายเพียงทีเดียวก็แตกกระจาย ต่อยกองอิฐที่ซ้อนกันแปดก้อนโดยใช้หัวโขก และเตะหุ่นไม้ขาดครึ่งเพียงหนึ่งที
นี่ทำให้ผู้ชมรายการทีวีถึงกับตกตะลึง ประหลาดใจ และอุทานร้องว้าวกันทุกคน
“โคตรน่ามหัศจรรย์”
“นอกซูจิ้งที่แกร่งจนเกือบจะเป็นพระเจ้าไปแล้ว ไม่คิดว่าจะมีคนที่พลังวัวถึกแบบนี้ด้วยอยู่อีก”
“ไม่ใช่ว่าที่เขาใช้นั้นเป็นเพลงหมัดวัวคลั่งไม่ใช่หรอ เป็นไปได้ว่าเขาอาจเรียนมาจากสำนักเดียวกับซูจิ้ง”
“ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงของเพลงหมัดวัวคลั่งและก็ได้ยินคนอื่นพูดถึงมาได้ซักพักแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าพอเรียนแล้วจะแรงเยอะเป็นวัวถึกขนาดนี้”
เป็นเรื่องปกติที่พิธีกรเมื่อเจอการแสดงแบบนี้จะต้องตกตะลึงเป็นธรรมดา ตอนนี้เขาพุ่งเป้าไปสัมภาษณ์เสี่ยวไจ๋เป็นพิเศษในทันที
เสี่ยวไจ๋ก็ไม่ได้พูดอะไรมากมายบอกแต่ว่า “เพลงหมัดนี้มีชื่อว่าเพลงหมัดวัวคลั่ง ซึ่งถูกถ่ายทอดมาโดยคุณซูจิ้งโดยตรง
คุณซูนั้นไม่ยอมรับผมเป็นลูกศิษย์อาจเป็นเพราะว่าผมนั้นไม่มีคุณสมบัติพอ
อย่างไรก็ตามในเมื่อเขานั้นยอมที่จะสอนเพลงหมัดนี้ให้ผม ผมก็จะขอถือว่าเป็นลูกศิษย์ในนามไปก่อนแล้ว
ผมหวังว่าจะได้กลายเป็นลูกศิษย์จริงๆในอนาคต”
ด้วยการตอบคำถามที่ไม่ตรงกับคำถามของเสี่ยวไจ๋ได้สร้างกระแสคำวิจารณ์อย่างล้นหลามในทันใด
“ห้ะ ยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นลูกศิษย์เนี่ยนะ”
“ซูจิ้งที่ว่านั่นจะไม่อวดดีเกินไปรึไงกัน พระรูปนี้ถูกบังคับให้พูดรึเปล่าเนี่ย”
“เฮ้ เฮ้ นี่นายยังไม่เคยเห็นคลิปการต่อสู้ของซูจิ้งสินะถึงได้กล้าพูดได้ขนาดนี้ ลองไปหาดูแล้วทำตามนะ นายจะรู้ว่าเพลงหมัดนี้ทรงพลังจริงๆ”
“ไม่นะ ยังไม่เคย คงได้แต่ต้องลองดูเท่านั้นสินะ”
“เฮ้ ฉันลองมาแล้วนะ ของเขาดีจริงๆ”
“ฉันเป็นไก่อ่อนที่ลองทำตามดูเหมือนกัน ตอนนี้ฉันตัดอิฐได้แล้วล่ะ”
“ฉันก็พึ่งลองไป ตัอได้สองท่อนเหมือนกัน”
“แม้แต่ฉันอ่อนๆขนาดนี้เรียนแล้วยังดีเลย ถ้าไม่ลองดูนี่ไม่รู้เลยจริงๆ”
ตอนนี้อานุภาพขของเพลงหมัดวัวคลั่งได้เป็นที่เลื่องลือถึงขีดสุดแล้ว พร้อมทั้งค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนเองก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้จากสำนักการต่ดสู้สัประยุทธ์จำนวนหนึ่งที่ออกมาแสดงตัวว่าเป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของซูจิ้งเช่นเดียวกับเสี่ยวไจ๋
พวกเขาได้ทำการตั้งนิกายปีศาจวัว โดยยกให้ซูจิ้งเป็นผู้นำนิกาย
นี่ถือว่าเป็นนิกายทางศิลปะการต่อสู้แรกในประเทศจีนเลยก็ว่าได้
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้นานาชาติอย่างเทควันโดและคาราเต้ได้เริ่มออกมาโจมตี
พร้อมกับกล่าวว่านิกายปีศาจวัวนี้ดีแต่พูดแต่ไม่ได้เก่งกาจอะไร แม้กระทั่งออกมาท้าทายซูจิ้งอย่างเป็นทางการ
นี่ทำให้เหล่าผู้คนผู้ฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งถึงกับยิ้มร่ากันเป็นแถว
“คนพวกนี้ไม่เคยไปดูวิดีโอที่ซูจิ้งกระทืบนักคาราเต้ 40 คนในคราวเดียวรึไงกัน ถึงได้กล้ามาท้าทายแบบนี้ ฉันล่ะสงสารแทนคนพวกนั้นจริงๆ”
“ประเด็นคือพวกนั้นมารวมตัวกันท้าดวลเนี่ยล่ะ พวกนั้นมีปรมาจารย์ของแต่ละสายอยู่เกินกว่าสามคน ท้าหากมาเจอกันหนึ่งๆก็คงไม่มีปัญหา ฉันกลัวแต่พวกนั้นจะรุมเขาเนี่ยหล่ะ ถ้าทำจริงก็หน้าขายหน้าเกินไปแล้ว”
“แล้วไงหล่ะ สามสิบคนก็ยังอัดล่วงมาแล้ว กะอีแต่สามคน ต่อให้พูดไปแล้วอาจจะฟังกระดากปากหน่อยแต่ฉันอดสงสารพวกนั้นไม่ได้เลย”
“นี่นายไม่รู้ใช่ไหมว่าพวกนั้นก็เรียนเพลงหมัดวัวคลั่งเหมือนกัน”
“ใช่ ฉันยังได้ยินมาด้วยว่ามีบางคนถ่ายรูปเอาไว้เป็นหลักฐานมาด้วย”
“ไอ้นรกพวกนี้จะน่าละอายเกินไปแล้ว พวกมันก็รู้ถึงอานุภาพหลังจากได้เรียนไปแล้วแต่ก็ยังมาทัดทานเพลงหมัดวัวคลั่งอยู่อีก
แต่ก็น่าจะเท่านั้นนะเพราะซูจิ้งเองก็แข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิมหลังจากฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้ว น่าจะกลบปัญหาเรื่องนี้ได้”
“เฮ้อ ก็กลัวแต่ว่าพวกนั้นจะไร้ยางอายและท้าซูจิ้งแบบตอน 40 คนนั้นอีกน่ะสิ ถ้าแค่แบ่งเป็นรอบนี่ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
“ไม่น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ ช่างฟังมาจากนักวิเคราะห์ด้านกีฬามาแล้ว เขาบอกว่าในที่แคบแบบนั้น
จำนวนที่เหมาะที่สุดคือ 4 คน นั่นก็หมายความว่าถ้าพวกนั้นยกพวกไปสู้กับซูจิ้งอีกก็จะมีผลเหมือนกัน
แต่ถ้าพวกเขาแบ่งสู้เป็นรอบนี่สิ ซูจิ้งถึงจะเสียเปรียบ”
“ฟังดูมีเหตุผลแหะ เฮ้อ พี่จิ้งไม่น่าไปสอนเพลงหมัดวัวคลั่งสะเปะสะปะแบบนั้นเลย แล้วนี่พี่จิ้งเขาว่าไงล่ะ หรือเขาจะไม่สู้”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังพอว่านะ แต่ในตอนนี้ไม่สู้คงไม่ได้แล้วเพราะข่าวนี้กระจายไปทั่วจีนได้แล้วมั้ง
นี่ขนาดยังไม่ทำอะไรยังมีคนออกมาป่าวประกาศว่าไอ้ตอน 40 คนนั่นแค่ฟลุ๊คเลย
ถ้าบอกไม่สู้นี่คงได้ชื่อเสียแบบกู่ไม่กลับแน่นอน”
ข่าวที่ว่าอีกฝ่ายได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งนั้นได้เผยแพร่ไปทั่วอินเตอร์เนต และทุกคนต่างก็บอกว่าซูจิ้งได้ทำความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่เกินกว่าจะแก้ไขได้โดยง่าย
ถึงกับมีบางคนสอนเขาว่าถ้าอยากจะสอนจริงๆก็ควรจะไปเปิดสำนักสอนแบบจริงจังเพื่อจะได้พิจารณาข้อมูล พูดคุย และคัดเลือกได้อย่างเหมาะสม การที่เขามาแนะนำแบบสตรีมจนคนรู้กันทั่วแบบนี้
นอกจากจะเผยแพร่ไปอย่างแพร่หลายแล้ว แม้แต่ศัตรูของเขาเองก็ได้เรียนรู้ด้วยหมือนกัน
นิกายของเขาก่อนทีจะพัฒนาน่าจะโดนเตะตัดขาก่อนแน่ๆ
แต่สิ่งที่ชาวเน็ตพวกนี้คาดไม่ถึงก็คือ ซูจิ้งไม่ได้ออกมาเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
มีเพียงพระหนุ่มที่ชื่อเสี่ยวไจ๋ที่ออกมาสู้ในฐานะของลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของซูจิ้ง
เขาออกมาประกาศตัวว่าในฐานะลูกศิษย์จะขอกระทืบไอ้พวกที่มาโวยวายท้าตีท้าต่อยกับอาจาย์ของเขาก่อน จนกว่าคนพวกนี้จะตัดใจไปเองหลังจากโดนเขากระทืบเรียบร้อยแล้ว
หลังจากข่าวนี้กระจายออกไปได้สร้างสั่นสะเทือนไปไม่น้อย พวกเขาหวังว่าซูจิ้งนั้นจะยอมออกมาสู้เอง ต่อให้เป็นกับดักก็ยังดูดีซะกว่าการที่ส่งพระหนุ่มคนเดียวออกมาสู้แบบนี้ เพราะยังไงซะพระคนนี้สมควรจะฝึกเพลงหมัดนี้ได้ไม่นาน ไม่น่าจะสู้ใครไหว แบบนี้จะดีจริงๆแล้วรึเปล่า
เหล่าผู้ฝึกสอนของโรงเรียนศิลปะการต่อสู้เทควันโดและคาราเต้เองทันที่รู้ข่าวก็ได้สบถออกมา พวกเขาคิดว่าเสี่ยวไจ๋นั้นหลงไหลศรัทธาในตัวซูจิ้งจนไม่เกรงกลัวความตายไปแล้ว พวกเขาเลยตัดสินใจว่าจะใช้เสี่ยวไจ๋เป็นกระสอบทรายเพื่อลองเชิงมวย ดูสิว่าเมื่อเห็นสภาพเสี่ยวไจ๋ที่พ่ายแพ้แล้วซูจิ้งจะว่ายังไง
GGS:บทที่ 809 ลูกศิษย์ผู้ร้ายกาจ
เหล่าผู้ที่สนับสนุนซูจิ้งในตอนนี้ต่างเป็นกังวลแทยเสี่ยวไจ๋ขึ้นมา พวกเขาเกรงกลัวว่าเสี่ยวไจ๋จะรับมือศึกนี้ไม่ไหวจนกลายเป็นประเด็นร้อนบนโลกอินเตอร์เนต
โดยพวกเขาต่างก็ให้ความเห็นเรื่องนี้ในไมโครบลอกของซูจิ้ง มีบางคนก็ได้แนะนำเขา บ้างก็บอกให้เขาไปสู้แทนเสี่ยวไจ๋ แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้สนใจอะไร
“ฮ่าฮ่า ซูจิ้งกับนิกายของเขานี้จะหยิ่งยะโสขนาดนี้ นี่ทำให้ประชาชนโกรธเขาไม่น้อยเลย”
เมื่อจินชิซูเห็นข่าวนี้เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา เขารู้สึกว่าซูจิ้งได้ทำเรื่องผิดผลาดเอาไว้สองอย่าง
หนึ่งคือการเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่งโดยไม่ใส่ใจว่าคนที่นำไปฝึกจะเป็นใคร
อีกหนึ่งคือการที่เขาหยิ่งยะโสไม่ยอมฟังคำแนะนำของสาธารณชนและยังทำอะไรโดยไม่สนใครซะอีก
ตอนนี้เขานั้นค่อยๆเสื่อมค่าลงในสายตาสาธารณชนเรียบร้อยแล้ว เมื่อเทียบกับเหล่าสำนักยูโดและเทควันโดทั่วทั้งประเทศจีนได้ผนึกกำลังกันเรียบร้อยแล้ว
ตราบใดที่พวกเรายังรวมตัวกันไว้ไม่มีทางที่ซูจิ้งจะทำอะไรได้แน่นอน
“ทำได้ดี เรามาคอยดูกัน” สายตาของคิมูระตาเป็นประกายทันทีที่เห็นข่าว
“นี่เขารักษาหายแล้วสินะ” เมื่อโอฉิงซงเห็นข่าวนี้ก็ทำท่าติ่นเต้นขึ้นมาอย่างออกนอกหน้า
ช่วงนี้เขานั้นเข้าหน้าหวังหยานได้ไม่ติด นับวันเธอยิ่งทำตัวเหินห่างเขาไปเรื่อยๆเจอหน้าเขาทีไรก็ไล่กันอย่างเขาเป็นแมลงวันคอยก่อกวน ผิดกับก่อนหน้านี้ที่ยังพอให้เกียรติและไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
นี่ทำให้เขาทำตัวไม่ถูกในการจะเข้าหาเธอ
เขาเชื่ออย่างสนิทใจว่าเรื่องทั้งหมดนี่เป็นเพราะซูจิ้ง เป็นการที่เขาไม่สามารถทำอะไรซูจิ้งได้ทำให้เขาเกลียดซูจิ้งอย่างหมดใจ
ตอนนี้เหล่าคนที่เคยเกรงกลัวซูจิ้งเพราะถูกจัดการจนไม่กล้าจะหือซูจิ้งได้อีก
เมื่อพวกเขาเห็นเหล่าปรมาจารย์นักสู้ท้าทายซูจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะกระดี้กระด๊าหวังให้พวกเขาทำได้ตามที่พูด
“ทำไงดี เราจะเขาไปช่วยเขารึเปล่า” เมื่อฮัวเฟยหยุนได้ยินข่าวนี้ก็ได้เตรียมตัวที่จะเริ่มสู้ด้วย
“ไปด้วยกันแหล่ะ พวกนั้นมีกันสามคน เราก็มีกันสามเท่ากัน ใครจะไปกลัวพวกมันกัน” ไชหวูเฟิงพูดออกมา
“ฉันเอาด้วย” จี้เสี่ยวถิงพูดออกมาเหมือนกัน
“ก่อนจะทำอะไรลองถามซูจิ้งก่อนดีกว่านะ พระรูปนั้นกับเขาก็ดูจะมีความสัมพันธ์ไม่น้อยเลย”
ที่ฮัวฮงหยางพูดอย่างนั้นออกมาเพราะเขารู้สึกว่าซูจิ้งน่าจะมีเหตุผลที่เขาสอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้พวกเขาทั้งสามรูปแบบ
แถมยังยอมสอนให้คนในนิกายและสำนักศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์ของพวกเขาด้วยนั่นเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเชื่อใจได้และได้รับความวางใจจากซูจิ้งอย่างมาก
ผิดกับพระองค์นั้นที่ซูจิ้งไม่น่าจะมีความสนิทสนมซักเท่าไหร่และยังไม่เคยผ่านเหตุการณ์จนเกิดความไว้วางใจกันแต่เขากับยอมสอนเพลงหมัดวัวคลั่งให้เป็นการส่วนตัว พระรูปนั้นน่าจะถูกใจซูจิ้งไม่น้อยเลย
เป็นไปได้ว่าการที่ซูจิ้งยอมสอนเพลงหมัดนี้ให้เขาน่าจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่อาจคาดเดาได้
ได้ยินดังนั้นฮัวเฟยหยุนได้โทรหาซูจิ้งและเปิดลำโพงเพื่อจะได้ยินกันหมด แต่ผลคือซูจิ้งบอกเพียงว่าหากเสี่ยวไจ๋มั่นใจว่าจะรับมือได้ก็ปล่อยให้เขาทำ พร้อมทั้งห้ามให้พวกเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆในตอนนี้
เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนต่างก็ไม่เห็นด้วย หากเป็นเสี่ยวไจ๋กับซูจิ้งเพียงสองคนพวกเขายังพอรับได้ แต่นี้กับให้เสี่ยวไจ๋รับมือคนเดียวมันดูจะเกินมือเขาไปหน่อย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าพวกเขาจะว่ายังไงซูจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรพร้อมทั้งยังยืนยันคำตอบเดิมให้เพวกเขาทำตาม
อีกฝากหนึ่ง เสี่ยวไจ๋ได้ทำตามที่เขาพูดโดยไม่บิดพลิ้วและไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใด หลังเรื่องที่ว่าเขานั้นตรงไปยังสำนักสำนักเทควันโดคนเดียว ซึ่งสำนักนั้นเป็นหนึ่งในแปดสำนักเทควันโดที่ได้รับความนิยมที่สุดของจีน
หลังจากได้ยินข่าวนี้ เหล่าคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งรวมไปถึงนักข่าวบางส่วนต่างก็รีบตรงไปสถานที่ต่อสู้ในทันที
เหตุการณ์นี้เปรียบได้ดั่งเป็นการประลองเพื่อเปรียบเทียบเชิงมวยเลยก็ว่าได้
อย่างที่ชาวเน็ตคาดการณ์กันไว้ สำนักเทควันโดนั้นมีคนที่ลงประลองด้วยกันทั้งหมดสามคน
โดยพวกเขาอ้างว่าก็ในเมื่อเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ร้ายกาจจนซัดคนได้ไปกว่า 40 คน ในคราเดียว ก็อีแค่จัดการพวกเขา 3 คน คงจะไม่ใส่ใจอะไร
“ช่างหน้าไม่อายจริงๆ การต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้ชนะได้ก็แปลกล่ะ”
“ฉันคิดว่าแผนนี้พวกเขาตั้งใจจะเอามาใช้กับซูจิ้งมากกว่า เพียงแต่เสี่ยวไจ๋นั้นออกหน้ามาพวกเขาก็เลยสนองไปช่างหน้าไม่อายเลยจริงๆ”
“ท่าจะสู้กันแบบนี้อย่าสู้กันเลยซะดีกว่า พวกเขาสามคนรุมเสี่ยวไจ๋คนเดียว นี่เหมือนเป็นการประกาศท้าทายระหว่างสำนักเทควันโดกับนิกายปีศาจวัวเลยนะ”
ไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไงก็ตามแต่เสี่ยวไจ๋ก็ไม่ได้มีท่าทีสะทกสะท้านแต่ประการใด
เขาสงบนิ่งราวกับซูจิ้งมาลงมือเอง เขาก้าวเดินขึ้นเวทีประลอง หลังจากนั้นการประลองก็ได้เริ่มขึ้น
นักเทควันโดทั้งสามคนได้กระจานตัวล้อมเสี่ยวไจ๋เอาไว้
พวกเขานอกจากจะเป็นนักเทควันโดระดับปรมาจารย์แล้ว
พวกเขาเองก็ยังได้ฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งมาแล้วในระดับหนึ่ง และได้ทำการฝึกฝนจนนำมาใช้ร่วมกับวิชาเทควันโดของพวกเขาได้จนชำนาญ
ด้วยเหตุนี้พวกเขาแม้จะมีเพียงสามคน แต่ความแข็งแกร่งเทียบได้ดั่งคนกว่า 40 คนมารวมกัน
เหล่าคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะหลับตาแพราไม่อยากเห็นภาพที่เสี่ยวไจ๋ถูกอัดหมอบกระแตลงไปกองกับพื้น
แต่ภาพที่อยู่ตรงหน้าของทุกคนกลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่พวกเขาคิด ตอนนี้เสี่ยวไจ๋ได้แสดงให้เห็นอานุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งออกมา
เสี่ยวไจ๋ได้ใช้กระบวนท่าในรูปแบบที่หนึ่ง เพลงหมัดวัวคลั่งทำการหยุดการโจมตีที่อีกสามคนประเคนเข้ามาได้ในทีเดียว
“ปัง ปัง ปัง” เหล่านักเทควันโดทั้งสามยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ในสายตาของเสี่ยวไจ๋นั้นมองพวกเขาไม่ต่างกับหมาข้างถนน
เขาไม่ได้ทำเพียงแค่ป้องกันเอาไว้ด้วยความกลัวแต่อย่างใด เขากลับจ้องมองทั้งสามด้วยความสงบโดยเหมือนดั่งซูจิ้งทุกประการทำให้เราผู้คนที่กำลังดูอยู่ตอนนี้ต่างประหลาดใจไม่น้อย
“อย่างพวกแกเนี่ยนะจะมาท้าทายอาจารย์ฉัน” เสี่ยวไจ๋ได้พูดออกมาในขณะที่กำลังรับมือทั้งสามคนด้วยอาการสงบ เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้พวกเขาต่างก็ไม่เข้าใจความหมายแต่อย่างใด ทันใดนั้นเสี่ยวไจ๋ก็ได้เริ่มโจมตีกลับไปบ้าง โดยปกติแล้วในการประลองการที่เขาอยู่ระหว่างการโจมตีแบบรุมกระหน่ำขนาดนี้ สมควรจะป้องกันให้ดีก่อนที่จะโจมตีออกไป การที่เขาอยู่ๆก็โจมตีออกมาแบบนี้นอกจากจะทำให้ป้องกันได้ไม่สมบูรณ์แล้วยังเปิดช่องโหว่ให้โดนโจมตีได้อีก อย่างไรก็ตามการโจมตีของเสี่ยวไจ๋ก็ยังถูกเป้าหมายอย่างไม่พลาดเป้า
ทันใดนั้นเองทุกคนได้เข้าใจความหมายของคำพูดของเสี่ยวไจ๋ในทันทีโดยที่เสี่ยวไจ๋ไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติม
ชายที่โดนหมัดของเสี่ยวไจ๋ไปนั้น เขาถูกชกที่หน้าอกไปทีเดียวอย่างจัง เขาโดนผลักจากแรงกระแทกจะเซถอยหลังไป หลังจากนั้นหน้าของเขาก็ได้กลายเป็นสีแดง ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมากองใหญ่
ถัดมาเสี่ยวไจ๋ได้เปลี่ยนกระบวนท่าจนตอนนี้ดูเหมือนกับว่าเขานั้นไม่ได้ใส่ใจกับการป้องกันอีกต่อไป เหมือนกับเขาในตอนนี้มุ่งเน้นไปในการทำลายล้างเท่านั้น
นักเทควันโดอีกสองคนได้ชะงักไปเล็กน้อยหลังจากเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขามองหน้ากันเล็กน้อยและได้ตัดสินใจพุ่งเข้าหาพร้อมกันทั้งหน้าหลัง แต่กับเสี่ยวไจ๋ที่เข้าสู่โหมดวัวคลั่งแล้ว หาได้เป็นปัญาหากับเขาไม่
เขาเพียงลงมือโจมตีออกไปเพียงคนละทีเท่านั้นเอง
เพียงยังไม่ถึงสามนาที ปรมาจารย์เทควันโดทั้งสามก็ได้ลงไปกองกับพื้นพร้อมกองเลือดสามกอง แต่เสี่ยวไจ๋นั้นไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยอ่อนแต่อย่างใด เขาเดินออกจากสนามประลองด้วยท่าทีสงบ
ตอนแรกพวกศิษย์ในสำนักเทควันโดและเหล่าผู้ชมต่างก็ตกตะลึงกันไปหมดจนทำอะไรไม่ถูก เช่นเดียวกับจินชิซู คิมูระ โอฉิงซง และผู้คนที่กำลังดูการถ่ายทอดสดอยู่ด้วยสายตาโง่งม แต่กับคนดูที่อยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งแล้วต่างก็ดีใจจนเฮลั่นออกมาดังสนั่น
“โว้ะ ไม่ใช่ว่าเสี่ยวไจ๋ชนะได้สบายๆเลยรึไงกัน”
“เสี่ยวไจ๋นอกจากแข็งแรงแล้ว ลักษณะท่าทางของเขาในระหว่างการต่อสู้นี่เหมือนพี่จิ้งเลยแหะ”
“กลายเป็นว่าเสี่ยวไจ๋สามารถจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่เป็นเราไปกังวลแทนพี่จิ้งซะเองหรือนี่”
“ที่พี่จิ้งไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมากว่าสองวัน เป็นเพราะว่าพี่เขารู้อยู่แล้วสินะว่าผลจะออกมาเป็นแบบนี้”
“ขนาดพวกเราน่าจะคุ้นเคยก็เรื่องแบบนี้อยู่แล้วแต่ก็กังวลกันไปเอง ขายหน้าศิษย์พี่จิ้งแล้ว”
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว แต่ไม่นานนักก็ได้มีข่าวใหม่เข้ามาแทรก นั่นคือข่าวการร่วมมือกันของสำนักคาราเต้ทั้งสี่และสำนักเทควันโดทั้งห้าที่ออกมาประกาศจับมือกันเพื่อท้าสู้กับเสี่ยวไจ๋
แต่ยังผ่านไปไม่พ้นสามวัน สำนักทั้งหมดที่ประกาศท้าทายได้ถูกเสี่ยวไจ๋ถล่มยับ
ชื่อของเสี่ยวไจ๋ได้เป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการศิลปะการต่อสู้ ตอนนี้เสี่ยวไจ๋เปรียบได้ดั่งซูเปอร์สตาร์ของวงการ
เขามีชื่อเสียงได้ด้วยอายุเพียงประมาณ19ปีและยังถือว่าเขาเป็นเพียงศิษย์แต่ในนามของซูจิ้งเท่านั้น
GGS:บทที่ 810 เสี่ยวไจ๋ถูกลงโทษ
หลังจากข่าวที่ว่าเสี่ยวไจ๋ไปไล่กระทืบเหล่าสำนักคาราเต้และเทควันโดที่รวมตัวกันท้าทายซูจิ้งส่งออกไป
เหล่าสำนักคาราเต้และเทควันโดสำนักที่เหลือรอดอยู่ตอนนี้ก็หวาดกลัวจนไม่กล้าทำอะไรกันอีกแล้ว
หากพวกเขาทำอะไรออกไปล่ะก็คงไม่แคล้วถูกลูกศิษย์เพียงในนามของซูจิ้งกวาดล้างอย่างแน่นอน ต้องถามว่าถ้าโดนเองกับตัวยังไงก็ต้องมีหวาดกันบ้าง
ชื่อเสียงของเสี่ยวไจ๋ยังคงพุ่งขึ้นไม่หยุด รวมถึงนิกายปีศาจวัวก็ได้รับผลผลอยได้ไปด้วยเช่นกัน
เพราะด้วยเหตุการณ์นี้ทำให้มีคนต่างพากันเข้าขอเข้าร่วมนิกายมากยิ่งขึ้น และแสดงความประสงค์ต้องการเรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งหมดทุกคน
แน่นอนว่าคนพวกนี่ส่วนใหญ่เป็นแฟนคลับของซูจิ้ง
สำหรับซูจิ้งแล้วเขาเองก็ได้ผลพลอยได้ไม่น้อยจากแรงศรัทธาที่ส่งไปยังเหรียญตราเทวฑูตและที่มากที่สุดก็คือค่าการใช้ประโยชน์ขยะห้วงเวลาฯที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันอันดับในรายการดาราก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง ชื่อของซูจิ้งในตอนนี้จากเดิมที่อยู่ในอันดับ 70 ของดาราระดับสองก็ได้พุ่งไปเป็นอันดับสามสิบในทันที
เหตุการณ์นี้ต่างก็ทำให้คนในวงการดาราทำได้แต่จ้องมองเขม็งกันจนตาจะบอดก็ไม่ปาน
สำหรับการขึ้นระดับขั้นกลางของอันดับดาราชั้นสองนี้ได้สำหรับคนในวงการบันเทิงนี้ถือได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ซูจิ้งกลับไม่ต้องทำอะไรเลยแม้แต่น้อย แค่เพียงส่งลูกศิษย์แต่ในนามออกไปชื่อเสียงของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นจรวด
เอาจริงๆตอนที่ซูจิ้งออกมาทำนู่นที่นี่ ชื่อเสียงของเขายังไม่สู้เท่ากับการอยู่เบื้องหลังแบบนี้เลย ไม่สิต้องบอกว่ากลับได้ชื่อเสียงมากกว่าเดิมอย่างน่าสะพรึง คนในโลกนี้คงไม่มีใครหยุดเขาได้แล้ว
ซูจิ้งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรหาโจวฮงหยวน ความจริงเขานั้นต้องการที่จะพบเสี่ยวไจ๋และมอบของตอบแทนให้กับเขา เพราะครั้งนี้ถือว่าเสี่ยวไจ๋นั้นได้ลงแรงไปไม่น้อยเลย
เพราะตอนที่เขาดูวิดีโอเขาก็ได้เห็นว่าเสี่ยวไจ๋เองก็โดนโจมตีไปไม่น้อยเช่นกัน นึกๆไปแล้วต่อให้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรแต่มันก็อาจจะส่งผลเสียต่อการฝึกตนในอนาคตของเสี่ยวไจ๋ได้
แต่เขาโทรไปหาเสี่ยวไจ๋แล้วแต่ไม่รับสาย เขาเลยต้องโทรหาโจวฮงหยวนแทน
“คุณโจว เสี่ยวไจ๋กลับไปจำวัดรึยังครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“ก็กลับมาแล้วล่ะ แต่…” โจวฮงหยวนเองก็อยากพูดออกมาแต่เขาก็พูดไม่ออก
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งถึงกับงงในทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดของโจวฮงหยวน
“เสี่ยวไจ๋น่าจะกำลังโดนลงโทษอยู่น่ะ ปรมาจารย์เชิงหยานนั้นไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เสี่ยวไจ๋นับถือคุณเป็นอาจารย์ก็จริง และท่านเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้ต่อให้เป็นพระรูปอื่นก็ตาม
แต่การที่เสี่ยวไจ๋ไม่ได้ขออนุญาตก่อนที่จะออกไปท้าประลองด้วยตัวเองแบบนี้ นอกจากจะเป็นการผิดกฎของวัดแล้วยังถือได้ว่าเป็นการให้เกิดความไม่สงบสุขต่อสังคม”
“เสี่ยวไจ๋เองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จีนคนหนึ่ง พวกคุณจะทำตัวใจกว้างกันหน่อยไม่ได้รึไงกัน” ซูจิ้งถามออกมา
“เรื่องนี้เจ้าอาวาสและเจ้าคณะคนอื่นเองก็กำลังพูดคุยกันอยู่ ดูเหมือนว่าสถานการณ์ตอนนี้ค่อนข้างจะตึงเครียดเลยล่ะ
พวกเขาเองก็รู้สึกดีกับคุณไม่น้อยที่ยอมให้พวกเรายืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธแก่ทางวัด เพราะเห็นแก่หน้าคุณในตอนนี้เขาเลยยังไม่กล้าจะลงโทษเสี่ยวไจ๋น่ะ แต่ก็ไม่น่าจะนานนักนะ”
“ดูเหมือนจะเป็นเพราะผมเป็นต้นเหตุสินะ งั้นผมเองก็ต้องมีส่วนร่วมด้วยเช่นกัน ผมจะไปและคุยกับเจ้าอาวาสด้วยตัวเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“พวกเขาในตอนนี้กำลังอยู่ในหอพระธรรมวินัยและผมเองก็เข้าไปไม่ได้ ต่อให้คุณมาเองก็น่าจะไม่น่าช่วยอะไรนะ เรื่องนี้คุณทำอะไรไม่ได้หรอก” โจวฮงหยวนพูดออกมา
“ยังไงผมก็จะไป” หลังจากวางสายไป ซูจิ้งได้ขับรถบรรทุกตรงไปยังวัดหลานเล่อ เขาจอดรถที่หน้าประตูและน้ำองค์พระอจละออกมา
เขาวางองค์พระอจละลงบนพื้น หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการนั่งขัดสมาธิข้างพระพุทธรูปก่อนที่จะพนมมือและท่องบทสวดมนต์ออกมา
ตอนที่ซูจิ้งเข้ามาจอดหน้าประตูนั้น พระบางส่วนก็เห็นแล้วว่าเป็นซูจิ้ง
พวกเขาต่างก็ประหลาดใจแล้วมามองดูกันว่าเขานั้นต้องการจะทำอะไร
แต่ตอนที่พวกเขานั้นเห็นองค์พระอจละที่ซูจิ้งนำมานั้น พวกเขาได้หยุดเพราะรู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่าง และไม่กล้าจะทำอะไรต่อไป ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
“พระพุทธองค์ ในศานาพุทธเรามีพระปางแบบนี้ด้วยหรอ”
“นี่ไม่ใช่พระอจละหรอกรึ”
“ทำไมฉันรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นช่างดูเหมือนพระโพธิสัตว์นักล่ะ ว่าแต่เขามาทำอะไรที่นี่”
“ฉันก็ยังคิดอยูว่าหัวใจพระสูตรนั้นมาจากไหนกันแน่ บางคนถึงขนาดคิดว่าซูจิ้งนั้นเขียนขึ้นมาเองด้วยซ้ำ เหมือนมาเห็นภาพในตอนนี้คุณซูยิ่งดูเหมือนมีแสงพระธรรมอยู่เบื้องหลังเข้าไปใหญ่”
ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก
เหล่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยี่ยมเยียนวัดในตอนนี้ต่างก็คุกเข่าสวดมนต์สักการะกันหมด
ส่งผลให้เหล่าพระสงฆ์ที่จำวัดอยู่ อดไม่ได้ที่จะทำตามในไมช้า ความรู้สึกแบบนี้เป็นความรู้สึกที่บรรยายได้ยาก
หากจะกล่าวในมุมมองของพระ ก็คงจะเหมือนตอนที่พระสงฆ์ได้พบเจอกับพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรกก็ไม่ปาน
ไม่ว่าใครก็ตามที่มายังวัดแห่งนี้และต้องการเข้าไปยังภายในวัดหรือแม้แต่ออกมาจากวัด
พวกเขาต่างก็ถูกพลังพุทธนุภาพของพระอจละองค์นี้ต้องยอมคุกเข่าลงไปทั่วทุกคน จนตอนนี้พวกเขาต่างก็รายล้อมพระอจละองค์นี้จนกลายเป็นวงกลมไปแล้ว
“หลวงพ่อครับ เกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว” พระองค์หนึ่งวิ่งเข้ามายังหอพระธรรมวินัย ซึ่งในขณะนี้ภายในหอพระธรรมวินัยนั้นนอกจากเจ้าอาวาสแล้วยังมีปรมาจารย์เชิงหยาน และคณะสงฆ์นั่งรายรอบกันอยู่ โดยมีเสี่ยวไจ๋ที่กำลังนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
“เสี่ยวฮุ่ย เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน” เจ้าอาวาสถามออกมา
“ประสกซูมาที่นี่และนั่งลงอยู่ที่หน้าประตู ทำให้เหล่าผู้มาเยี่ยมชมวัดต่างนั่งลงคำนับครับ”
หลังจากได้ยินแล้ว เจ้าอาวาสถึงกับนิ่งอึ้งในทันที สายตาของปรมาจารย์เชินหยานเองก็ได้ส่องประกายออกมาเล็กน้อย เสี่ยวไจ๋ที่กำลังคุกเข่าพร้อมก้มหน้าอยู่นั้นถึงกับยกหัวหันไปมองในทันที
“แล้วนักท่องเที่ยวจะคุกเข่าคำนับกันทำไม” เจ้าอาวาสถามออกมา
“นั่นก็เพราะว่าประสกซูได้นำพระอจละมาด้วย และตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนจะมีแสงแห่งธรรมเป็นประกายออกมาด้วยครับ”
เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชินหยาน และพระในคณะสงฆ์ท่านอื่นๆต่างหันไปมองหน้ากันอยู่พักใหญ่
ไม่นานนักพวกเขาก็ได้ลุกขึ้นและรีบเดินไปยังประตูวัดในทันทีโดยมีเสี่ยวไจ๋ เสี่ยวฮุ่ย และพระรูปอื่นๆเดินตามไปติดๆ
โจวฮงหยวนและพระสงฆ์ที่อยู่บริเวณอื่นของวัด เมื่อได้ยินเรื่องราวต่างก็ตรงไปยังประตูหน้ากันในทันที
เมื่อพวกเขาไปถึงก็พบองค์พระอจละตั้งอยุ่ที่หน้าประตูพร้อมทั้งซูจิ้งที่กำลังนั่งขัดสมาธิพร้อมทำการสวดมนต์อยู่
ทันทีที่พวกเขาเห็นแสงพระธรรมที่อยู่ด้านหลังของซูจิ้ง พวกเขาทำได้นิ่งเงียบกันอยู่นานจนในที่สุดเจ้าอาวาสจึงได้พนมมือก่อนที่จะพูดออกมาว่า “อมิตตาพุทธ”
หากว่าพวกเขานั้นไม่ใช่ผู้ฝึกฝนสมาธิขั้นสูงมาก่อนล่ะก็ พวกเขาเองก็คงจะไม่ต่างจากเหล่าพระและผู้เยี่ยมชมวัดทีกำลังลงไปคุกเข่าอยู่ในตอนนี้
ยิ่งเป็นคนที่ศึกษาในพระพุทธศาสนามากเท่าไหร่ คนพวกนั้นก็จะยิ่งตกอยู่ในพุทธนุภาพของพระอจละองค์นี้มากเท่านั้น
และภาพในตอนนี้เหมือนกับว่าพวกเขาต่างก็ฝันกลายเป็นจริงโดยทำให้เห็นแสงแห่งธรรมเป็นบุญตาสักครั้งในชีวิตจนได้
ภาพที่เปรียบได้ดั่งเรื่องเล่าโบราณแบบนี้ไม่ใครคาดคิดหรอกว่าจะถูกทำให้เกิดขึ้นได้จากเด็กหนุ่มอายุประมาณ 23-24 ปี ที่ยังไม่ได้บวชเรียนเป็นพระแต่ประการใด
เจ้าอาวาสและพระภิกษุรูปอื่นได้แหวกฝ่าฝูงชนเข้าไปก่อนที่จะมาอยู่ตรงหน้าซูจิ้งแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “ประสกซูมาที่นี่เพื่อที่จะคุยอย่างนั้นหรือ”
“ประสกซู หรือจะให้อาตมาเรียกว่าผู้ที่ช่วยเปิดดวงตาแห่งธรรมให้อาตมาดีกันล่ะ”
“ดูเหมือนว่าสำหรับในทางพระพุทธศาสนาแล้วประสกซูดูเหมือนจะแตกฉานมากกว่าพวกอาตมาเป็นยิ่งนัก
ทั้งที่จริงๆแล้วประสกซูก็ดูเหมือนจะไม่ได้มีท่าว่าจะสนใจ หรือประพฤติตัวเหมือนชาวพุทธแม้แต่น้อย
อาตมาคิดว่าประสกสมควรจะยึดมั่นพระพุทธศาสนาอยู่ไว้ในใจมากกว่าแสดงออกมาภายนอก
ในเมื่อประสกซูน่าจะไม่ชอบเมื่อถูกเรียกว่าผู้เปิดดวงตาธรรม งั้นขออาตมาเรียกประสกซูเช่นเดิมก็แล้วกัน”
เจ้าอาวาสกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม ท่าทีสงบนิ่ง แต่ก็ยังคงจ้องมองไปยังองค์พระอจละที่ซูจิ้งนำมาตาไม่กระพริบ จนในที่สุด เจ้าอาวาสเองก็ต้องคุกเข่าลง
ซูจิ้งพูดออกมาว่า “ดูเหมือนว่าท่านเจ้าอาวาสจะกำลังตัดสินโทษของลูกศิษย์ของท่านรูปหนึ่งที่มีนามว่าเสี่ยวไจ๋ใช่หรือไม่
ตัวผมเองก็รู้ว่าไม่ควรจะเข้ามารบกวนพวกท่านในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ ผมเลยเลือกที่จะนั่งรออยู่ตรงนี้และสวดมนต์ฆ่าเวลารอพวกท่านไปพลางๆเท่านั้นเอง”
ประมาจารย์เชิงหยานและโจวฮงหยวนต่างก็หัวเราะออกมา ในขณะที่คนและพระรอบข้างต่างก็พูดอะไรไม่ออก
เพียงเพราะซูจิ้งไม่ถูกชวนให้เข้าไปเลยนั่งรอด้านนอก ว่ามาอย่างนี้เหล่าพระสงฆ์จะทำอะไรได้กัน
พวกเขารู้ในทันทีว่าซูจิ้งต้องการสื่อถึงอะไร เขาเพราะต้องการช่วยเสี่ยวไจ๋เท่านั้นเอง
GGS:บทที่ 811 สมาธิ
เจ้าอาวาสและพระรูปอื่นๆต่างก็รู้สึกดีต่อซูจิ้งจิงได้เชิญเขาเข้าไปในวัดหลานเล่อ
เมื่อพวกเขาเห็นว่าซูจิ้งไม่ได้คิดจะขยับพระอจละไปไหน พระลูกวัดคนอื่นจึงได้ตัดสินใจยกพระขึ้นรถและค่อยๆเข็นเข้าไป
พวกเขาค่อยๆเข็นอย่างช้าๆประดุจหอยทากเพราะกลัวว่าองค์พระจะเสียหาย
ผู้เข้าเยี่ยมชมวัดทั้งหมดที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ได้ค่อยๆลุกขึ้นและเดินตามไปอย่างช้าๆ
หลังจากเข้ามาในวัดได้แล้ว เหล่าพระลูกวัดก็ได้ห้ามเหล่าผู้เยี่ยมชมวัดเข้าไป เจ้าอาวาสนามซูหยุนได้ถามให้แน่ใจว่า “ประสกซู อาตมายังไม่ทราบเลยว่าประสกมายังวัดและนั่งรอที่หน้าประตูวัดด้วยเหตุผลประการใดกัน มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ”
“เพื่อความยุติธรรม” ซูจิ้งโพล่งออกมาในทันที
“หึหึ ความยุติธรรมเรื่องใดเล่า” เจ้าอาวาสเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“เพื่อเป็นการเผยแพร่เกียรติประวัติและรักษาเกียรติยศของศิลปะการต่อสู้จีนเอาไว้ พระเสี่ยวไจ๋จึงได้ก้าวออกไปประจันหน้ากับพวกเทควันโดและคาราเต้อย่างกล้าหาญ
สิ่งนี้ที่ว่าเป็นเรื่องดีทั้งต่อทางพระพุทธศาสนาและประเทศจีน
ถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับประเทศมันก็เปรียบได้ดั่งเรื่องในบ้านของพวกเรา
และในเมื่อเป็นเรื่องของประเทศแล้ววัดหลานเล่อก็สมควรจะเกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน
การที่พระเสี่ยวไจ๋ออกไปป้องกันการรุกรานจากต่างประเทศที่เป็นเกียรติยศขนาดนี้ แล้วทำไมพระเสี่ยวไจ๋ถึงยังต้องโดนลงโทษอยู่อีก”
“อะไรที่ทำให้ประสกซูคิดว่าที่พูดออกมานั้นมีเหตุมีผลพอแล้ว และอะไรที่ทำให้ประสกซูคิดว่าพวกเราไปอนุญาตให้เสี่ยวไจ๋ไปร่วมประลองยุทธ์กัน”
เจ้าอาวาสหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “ในตอนแรกพวกอาตมานั้นสนับสนุนเรื่องการเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้จีนอย่างเต็มที่
แต่อย่างไรก็ตามหากไม่มีกฎ พวกอาตมาก็คงไม่ได้ต่างจากเหล่าอันธพาลสามัญทั่วไป
เหล่าพระเองก็มีสมควรต้องมีกฎเช่นเดียวกัน ก่อนที่เสี่ยวไจ๋จะไปท้าประลองกฎของเรานั้นบังคับให้เสี่ยวไจ๋ต้องทำก่อนในในสองข้อนี้คือ หนึ่ง เสี่ยวไจ๋ต้องขออนุมัติจากอาจารย์ของเขาก่อนจะทำการใดๆ
สอง หากนี่เป็นเรื่องของวัดหลานเล่อก็ยังพอ แต่นี่กลับเป็นเรื่องของประสกซูความจริงแล้วไม่สมควรจะเข้าไปยุ่งแม้แต่น้อย”
ซูจิ้งเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้เงียบไปซักพัก คำพูดของเจ้าอาวาสนี้เปรียบได้ดั่งเข็มที่จิ้มเข้ามายังซูจิ้ง จนเห็นเลือดซิบออกมา
เขาเองก็รู้ว่าปัญหาทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะตัวของเขาเอง ไม่ควรจะให้เสี่ยวไจ๋ออกหน้าแทนแต่อย่างใด
การที่เสี่ยวไจ๋ออกไปอย่างนี้ก็สมควรจะต้องมีข้อแลกเปลี่ยนเป็นการลงโทษ
แต่ยังไงซะเขานั้นก็จะไม่ยอมให้เสี่ยวไจ๋ต้องโดนรับโทษโดยที่เขาไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน
“ประสกซู ทำไมพวกเราไม่มานั่งลงและคุยกันดีๆเรื่องนี้สักหน่อยล่ะ
หากประสกสามารถทำให้อาตมาเชื่อได้ว่าเสี่ยวไจ๋สามารถเป็นพระภิกษุที่ดีกว่าอาตมาได้
และยังสามารถเดินอยู่ในเส้นทางแห่งพุทธศาสนาได้ล่ะก็ต่อให้ทำตัวอย่างนี้ก็ตาม อาตมาจะไม่ลงโทษเขาแม้แต่น้อย” เจ้าอาวาสพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ปรมาจารย์เชิงหยานและคณะสงฆ์ต่างก็ประหลาดใจในคำพูดของเข้าอาวาส
แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็เข้าใจ ความจริงแล้วพวกเขาเองนั้นต่างก็กำลังคุยกันอยู่ว่าจะทำยังไงกับเสี่ยวไจ๋ดี
เพราะหากเข้าไปเรื่องของคนอื่น พวกเขายังตัดสินใจลงโทษได้อย่างง่ายดาย แต่นี่เป็นเรื่องของซูจิ้งที่เป็นคนให้พวกเขายืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธมา ทำให้พวกเขาตัดสินโทษได้ลำบาก
นอกจากนี้เจ้าอาวาสยังเห็นว่าทั้งหัวใจพระสูตรและพระพุทธที่ซูจิ้งให้ยืมมา ไหนจะองค์พระอจละและบทสวดมนต์ก่อนหน้านี้ แทบไม่ต้องหยั่งเชิงอะไรอีกแล้วว่าซูจิ้งคนนี้ได้มีความรู้ในทางพุทธศาสนาเหนือล้ำกว่าใครในวัด อาจจะเหนือล่ำกว่าใครในโลกเท่าที่เจ้าอาวาสซูหยุนรู้จักมาเลยก็ว่าได้
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เจ้าอาวาสคิดว่าสมควรต้องจัดการเรื่องนี้อย่างดีเป็นพิเศษ
“จะให้ผมไปนั่งสนทนาธรรมสู้กับเจ้าอาวาสผมคงไม่ไหว แล้วอีกอย่างเรื่องที่เกิดขึ้นนี้หากจะบอกว่าเป็นเรื่องทางโลกล่ะก็ การไปยุ่งย่ามกับผู้หญิงนี่สิถึงจะเรียกว่าเรื่องทางโลก
แต่หากเจ้าอาวาสต้องการจะลองเปรียบฝีมือกับผมจริงๆ ผมขอเสนอเป็นการทำสมาธิเปรียบกันดีกว่า ดูสิว่าใครจะนั่งได้นานกว่ากัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน เสี่ยวไจ๋ เสี่ยวฮุ่ย และพระรูปอื่นๆที่ได้ยินต่างก็อึ้งกันไปหมด
ซูจิ้งต้องการเปรียบกันเรื่องทำสมาธิเนี่ยนะ เขาไม่รู้รึไงว่าเจ้าอาวาสนั้นสามารถนั่งสมาธิได้นานแค่ไหน เขานั่งนิ่งเป็นหินได้ทั้งวันเลยด้วยซ้ำ
“ตกลง” เจ้าอาวาสยิ้มรับอย่างมีความสุขก่อนที่จะชี้ไปยังอาสนะที่อยู่ตรงหน้าของเขา
ซูจิ้งก็ไม่ได้พูดอะไรก่อนที่จะตรงยังอาสนะและทำการนั่งขัดสมาธิปิดตาและอยู่นิ่งๆไม่ไหวติงแต่ประการใด
พระรูปอื่นๆเองที่อยู่รอบๆต่างก็ไม่คิดว่าเรื่องจะออกมาโดยการเป็นการเปรียบกันเรื่องนั่งสมาธิ แถมยังเกิดขึ้นในทันทีซะอีก เมื่อเวลาผ่านไปเหล่าผู้คนต่างก็ไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย สามเณรบางคนยังอดไม่ได้ที่จะบ่นอุบอยู่ในใจว่ามีเรื่องให้ทำตั้งเยอะตั้งแยะไม่ทำกลับมานั่งสมาธิเนี่ยนะ ดูซิว่าจะทำได้นานแค่ไหน
เหล่าผู้เยี่ยมชมวัดที่ถูกกั้นเอาไว้ด้านนอกเอง พวกเขาหลังจากได้ยินสนทนาและเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านในก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้กัน
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆเขาก็นั่งลงไปกับพื้นแถมยังไม่พูดอะไรเลยล่ะ”
“ฉันได้ยินว่าเจ้าอาวาสกำลังลงโทษเสี่ยวไจ๋แต่ซูจิ้งไม่เห็นด้วยจึงได้ประลองการทำสมาธิเพื่อใช้ตัดสินแทน”
“อะไรคือการแข่งกันนั่งสมาธิ”
“มันก็คือการดูว่าใครนั่งได้นานกว่ากัน”
“ฟังแล้วน่าเบื่อจริงๆ ฉันไปดีกว่า”
“ซูจิ้งมีโอกาสชนะด้วยหรอ ต่อให้เขาเข้าใจธรรมะดีแค่ไหนก็ตาม แต่คู่ต่อสู้ของเขาคือเจ้าอาวาสเลยนะ”
“ตอนนี้ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังดูเรื่องไซอิ๋วเลยแหะ มันมีฉากที่พระถั๋งซัมจั๋งนั่งสมาธิเปรียบกับเซียนตนไหนซักคนหนึ่ง แล้วพวกของเซียนออกมาก่อกวนจนไซอิ๋วต้องแอบช่วยเหลือจนสุดท้ายกลายเป็นว่าไซอิ๋วต้องประลองเวทมนต์กับพวกปีศาจแทน
ซูจิ๋งจะต้องทำอะไรบางอย่างเป็นแน่ อย่างการปล่อยแมลงออกมากัดเจ้าอาวาสอะไรแบบนั้น”
“ความคิดนายนี่โคตรชั่วร้ายอ่ะ แต่ฉันชอบนะ”
ตอนนี้ที่ด้านนอกก็ได้มีเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ และด้านในเองก็วุ่นวายไม่น้อยเช่นเดียวกัน
เสี่ยวไจ๋ เสี่ยวฮุ่ย โจวฮงหยวน และพระรูปอื่นที่คิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูจิ้งนั้นจะมีโอกาสชนะทำให้พวกเขาอยู่กันไม่สุขเลยทีเดียว
ตอนนี้ปรมาจารย์เชิงหยานเองก็เตรียมที่จะให้ทุกคนออกไปจากที่นี่ ตามการคาดการณ์ของเขานั้นซูจิ้งไม่แน่จะแพ้ได้ง่ายๆขนาดนั้นอย่างแน่นอน
ในตอนนี้ทุกคนที่กำลังมองไปยังซูจิ้งต่างก็ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น บางคนถึงกับใช้มือขยี้ตาเลยก็มี แม้แต่ปรมาจารย์เชิงหยานและคณะสงฆ์รูปอื่นเองก็ทำได้เพียงยืนขึ้นมองด้วยความตกตะลึงไม่ต่างกัน
ผู้เยี่ยมชมวัดที่อยู่ด้านนอกต่างเริ่มสั่งเกตุเห็นบางอย่างที่ผิดปกติ เมื่อพวกเขามองไปยังต้นเหตุแล้วต่างก็ทำหน้าโง่งมใส่กัน
สิ่งที่พวกเขาเห็นกันอยู่ตรงหน้าตอนนี้ ต่อให้พวกเขาไม่ได้ตั้งใจมองแต่ก็ยากที่จะปล่อยให้ละสายตาไป
ภาพที่เห็นก็คือหิน หินจริงๆ พวกเขาหินตรงที่ซูจิ้งนั่งกลายเป็นหินที่มีรูปร่างเป็นซูจิ้ง พวกเขาต้องมองใกล้ๆถึงจะเห็นเป็นซูจิ้งจริงๆ
ในกรณีของเจ้าอาวานนั้นเขาแค่นั่งนิ่งจนคล้ายหินเท่านั้น แต่สำหรับซูจิ้งแล้วซูจิ้งนั้นทำให้ตัวเองกลายเป็นหินได้เลย
“เป็นไปได้ยังไงกัน” ปรมาจารย์เชิงหยานและคนอื่นๆต่างก็งงกันเป็นไก่ตาแตก พร้อมความเชื่อแต่อย่างใด สิ่งที่ซูจิ้งทำให้พวกเขาเห็นแต่ละอย่างในตอนนี้เทียบได้กับการปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าเลยด้วยซ้ำ
“ห้ะ” เจ้าอาวานลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียง เป็นธรรมดาที่เขานั้นไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้เพราะรู้สึกได้ว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น แถมเขาเองก็ยังต้องประหลาดใจไม่น้อยไปกว่าพระรูปอื่นในสิ่งที่เห็น
ถ้าว่ากันตามปกติแล้วในตอนนี้ถือได้ว่าเจ้าอาวาสได้แพ้การแข่งขันเรียบร้อยแล้ว ในชั่วขณะที่เขาลืมตา เขาเองก็ยังต้องมองซูจิ้งอย่างละสายตาไม่ได้ หลังจากจ้องไปซักพักเขาก็ได้พนมมือก่อนจะกล่าวออกมาว่า
“อามิตตาพุทธ อาตมาแพ้แล้ว”
“ว่าไงนะ เจ้าอาวาสยอมรับความพ่ายแพ้แล้วงั้นรึ”
“ฉันมองเห็นซูจิ้งกลายเป็นหินไปแล้วนะ ตาฉันต้องลายไปแล้วแหงๆ”
เหล่าพระที่พรรษายังไม่แก่หล้าและเหล่าผู้เยี่ยมชมวัดที่อยู่ภายนอกต่างก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
พวกเขาต่างก็คิดว่าการเปรียบเชิงกันในเรื่องการทำสมาธิสมควรที่จะใช้เวลานานกว่าจะรู้ผล
บางคนถึงขนาดที่ว่าพอได้ยินว่าจะแข่งกันทำอะไรแล้วกำลังจะเดินออกไปด้วยซ้ำ พวกเขาไม่คิดว่าเจ้าอาวาสจะยอมแพ้ในทันที
เรียกได้ว่าจบแบบไม่ทันรู้ตัวกันเลยทีเดียว
“เจ้าอาวาสซูหยุน การประลองเพิ่งจะเริ่มขึ้นเอง ทำไมถึงยอมแพ้เร็วนักล่ะครับ” ซูจิ้งเปิดตา เขาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว่าง
“อาตมามั่นใจได้เลยว่าแพ้แน่นอน อาตมาเชื่อว่าประสกสามารถนั่งได้สามวันสามคืนได้โดยไม่ขยับเลยใช่หรือไม่”
เจ้าอาวาสได้มองไปยังดัวงตาของซูจิ้ง เขามาสามารถซ่อนความรู้สึกของตัวเองได้อีกต่อไป เขาถามกลับไปว่า “อาตมาพอจะทราบได้หรือไม่ว่าประสกทำได้อย่างไร”
“ผมเพียงแค่ศึกษาทั้งในทางพุทธ เต๋า และขงจื๊อ” มันเป็นการยากที่ซูจิ้งจะบอกความจริงไปได้ว่าเขานั้นได้ฝึกในวิถีแห่งใต้หล้า ซึ่งเป็นตำราของพระอาจารย์ผูถีจูซือ ผู้เป็นอาจารย์ของหงอคง
สามวันสามคืนหรอโทษทีเถอะ ถ้าเขาจะนั่งจริงล่ะก็คงต้องเป็นเจ็ดวันเจ็ดคืนเป็นอย่างน้อย
เมื่อปีก่อนเขานั้นไม่ค่อยได้ฝึกวิถีแห่งใต้หล้านี้ซักเท่าไหร่ เขาจริงลองตั้งใจฝึกแบบจริงจังดูซักหนหนึ่ง
กลายเป็นว่ายิ่งเขาฝึกมากเท่าไหร่ก็ยิ่งพบความจริงที่ว่าวิชานี้สุดยอดอย่างแท้จริง
นั่นก็เพราะว่าพลังวิญญาณของเขานั้นได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว เร็วขนาดที่ว่าแม้แต่วิถีแห่งมังกรก็ยังเทียบไม่ได้
นอกจากนั้นเขายังรู้สึกได้เลยว่าเขาสามารถผนวกวิธีการฝึกวิถีแห่งใต้หล้าเขากับวิถีแห่งมังกรได้โดยไม่มีความขัดแย้งต่อกัน
นั่นก็เพราะตอนที่เขาทำความเข้าใจกับตำราวิถีมังกรนั้น เขารู้สึกได้ทันทีว่าตำรานี้เหมือนเป็นการฝึกที่เพิ่มเติมจากการฝึกวิถีแห่งใต้หล้า
และนี่เองก็เป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่เขานั่งสมาธิที่หน้าประตูทำไมถึงได้ดูทรงภูมิปัญญานัก
นั่นก็เพราะเขาเปิดใช้งานตำราทั้งสองพร้อมกัน ส่งผลให้พลังวิญญาณของเขานั้นดูมีความศักดิ์สิทธิ์ ทรงพลัง จนสามารถเห็นเป็นแสงออกมา
และด้วยเหตุนี้ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจถึงวิธีการฝึกวิถีแห่งมังกรเพิ่มมากขึ้นอีกนิดหน่อย
GGS:บทที่ 812 ลวงพระลวงเจ้า
เมื่อซูจิ้งพูดว่าเขานั้นได้ศึกษาทั้งทางพุทธ เต๋า และขงจื๊อออกมา นั่นทำให้เจ้าอาวาสซูหยุนและปรมาจารย์เชิงหยานต่างก็ตกตะลึงไปไม่น้อย พวกเขาอยากจะถามออกมาตรงๆว่าต้องศึกษามากขนาดนั้นเลยหรอถึงจะทำสมาธิได้ดีขนาดนี้
อย่างไรก็ตามซูจิ้งเองก็ได้ทำให้พวกเขาได้เห็นไปแล้ว ที่เหลือก็แค่รอให้พวกเขาทดลองดูแค่นั้นเอง
“ประสกซู อาตมาแพ้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ทางอาตมาจะไม่ทำการลงโทษเสี่ยวไจ๋แต่อย่างใด”
เจ้าอาวาสได้พูดออกมาพร้อมหันไปพูดกับเสี่ยวไจ๋ว่า “เสี่ยวไจ๋ ยังไม่มาขอบคุณประสกซูอีก”
“ขอบคุณ คุณซู” เสี่ยวไจ๋ได้เดินไปที่ซูจิ้ง ยิ้ม และพนมมือพร้อมกับไหว้ซูจิ้ง
“นายไปอัดไอ้พวกเทควันโดกับคาราเต้ไว้ก็จริงแต่ว่ายังมีคนแบบนั้นอยู่อีกเยอะนะ ยังไงก็ตามด้วยความสามารถของพวกนั้นในตอนนี้พวกมันรู้ตัวแล้วว่าทำอะไรนายไม่ได้ แต่ยังซะพวกนั้นต้องไม่อยู่เฉยแน่นอน กลับไปกับฉันแล้วมาดวลกันหน่อยสิเดี๋ยวฉันจะแนะนำให้” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับ” เสี่ยวไจ๋มองซูจิ้งด้วยสายตาที่เป็นประกายออกมา
“อ้อ แล้วก็นี่คือยาสำหรับทาภายนอก” ซูจิ้งนำถุงยาออกมาทั้งหมดสามถุงใหญ่
“ขอบคุณครับคุณซู” เสี่ยวไจ๋แสดงท่าทางออกมาราวกับเด็กได้ของเล่น
ในตอนนี้เหล่าพระลูกวัดและผู้เยี่ยมชมวัดที่อยู่ที่หน้าประตูต่างก็รู้สึกอิจฉาเสี่ยวไจ๋ขึ้นมา
พอนึกถึงคำซูจิ้งที่ว่าไม่ยอมรับเสี่ยวไจ๋เป็นศิษย์แต่เขาเองก็ยังคอยดูแลเสี่ยวไจ๋ไม่น้อยเหมือนกับเป็นศิษย์ของตัวเองแบบนี้ พวกเขาเองก็อยากได้อาจารย์แบบซูจิ้งเช่นเดียวกัน
“อ้อเจ้าอาวาส ผมมีอีกเรื่องที่เราต้องคุยกันหน่อยนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เรื่องอะไรหรือประสก” เจ้าอาวาสตอนนี้ดูให้เกียรติซูจิ้งกว่าเคย
“พวกท่านคิดว่ายังไงบ้างถ้าผมจะอัญเชิญพระอจละองค์นี้มายังวัดหลานเล่อ” ซูจิ้งชี้ไปที่องค์พระอจละในระหว่างที่พูดออกมา
เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชินหยาน โจวฮงหยวน และพระลูกวัดรูปอื่นๆต่างก็กระพริบตากันปริบๆพร้อมหายใจหนักๆกันรัวๆ
แม้แต่เราพระภิกษุผู้แก่พรรษาก็ยังอดแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาไม่ได้
ความจริงก็คือพวกเขานั้นต้องการจะอัญเชิญพระอจละองค์นี้มาประดิษฐานไว้ที่นี่ตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ตราบใดที่พวกเขานั้นยังมีตาอยู่ ย่อมรับรู้ได้ถึงพุทธนุภาพของพระองค์นี้
แต่พวกเขานั้นก็ไม่รู้วาจะเอ่ยปากขอร้องยังไงดีเพราะแค่หัวใจพระสูตรพวกนี้ก็ถือว่าซูจิ้งดีกับพวกเขามากแล้ว
แถมยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากมีคนรู้ข่าวพระอจละองค์นี้ออกไปย่อมมีคนแก่งแย่งยิ่งกว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธอย่างแน่นอน
ขนาดเหล่าผู้เยี่ยมชมวัดและพระลูกวัดเองเมื่อได้ยิน บางคนยังพูดออกมาเลยว่าหากประดิษฐานที่นี่จริง พวกเขาต้องมาเยี่ยมชมบ่อยครั้งมากกว่าเดิมให้จงได้
“ประสกซูพูดจริงรึ” เจ้าอาวาสถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ปรมาจารย์ซู หากประสกถวายองค์พระอจละองค์นี้แก่ทางวัดจริงที่ว่าเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่แล้ว” หนึ่งในพระของคณะสงฆ์ได้พูดออกมา
“หากผมพูดอะไรออกมา ย่อมหมายความว่าผมนั้นจริงจังอย่างแน่นอน แต่ผมเองก็มีเงื่อนไขอยู่ 2 ข้อ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ว่ามา.. เอิ่ม..ประสกพูดออกมาได้เลย” เจ้าอาวาสในตอนนี้พยายามทำการสำรวมให้ได้มากที่สุด ตราบใดที่เงื่อนไขที่ว่าไม่มากจนเกินไปล่ะก็ พวกเขายินดีทำตาม
“อย่างแรก ประดิษฐานพระอจละองค์นี้ไว้ที่หอใดซักหอหนึ่ง และเมื่อประดิษฐานแล้วห้ามเคลื่อนย้ายไปที่อื่น และให้หอนั้นมีเสี่ยวไจ๋เป็นผู้ดูแลหอ” ซูจิ้งพูดออกมา
“เรื่องนี้พูดง่ายก็จริงแต่ก็ทำได้ยากเช่นเดียวกัน” เจ้าอาวาสได้เงียบก่อนที่จะพยักหน้ารับด้วยท่าที่สงบเสงี่ยม แต่ในใจกลับนึกดีใจ
เงื่อนไขของซูจิ้งนั้นนึกไม่ถึงว่าจะเป็นแค่การประดิษฐานไว้ที่หอใดซักหอหนึ่ง ส่วนเรื่องที่ต้องการให้เสี่ยวไจ๋เป็นผู้ดูแลนั้น ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด
“อย่างที่สอง ผมต้องการเงินที่ได้จากการสักการบูชาในหอที่พระอจละประดิษฐานอยู่ 70 %” ซูจิ้งพูดออกมา
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ความเงียบได้เข้ามาเยียนในทันใด เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน คณะสงฆ์ พระลูกวัด และเหล่าผู้เยี่ยมชมต่างก็แสดงสีหน้าโง่งมออกมา พวกเขาต่างก็คิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป
นั่นก็เพราะว่า อย่างแรก คนรวยส่วนใหญ่นั้นล้วนบริจาคให้วัด พวกเขาไม่เคยได้ยินว่าจะมีคนรวยที่ไหนที่ต้องการทำเงินจากวัดมาก่อน นั่นก็เพราะไม่มีใครเคยคิดว่าวัดคือธุรกิจอย่างหนึ่ง
อย่างที่สอง กับคนที่รวยอยู่แล้วจะเอาไปตั้ง 70 % …. เพื่อ?
แต่สำหรับซูจิ้งแล้วสำหรับสิ่งที่เขาขอนั้นได้ผ่านการไตร่ตรองโดยดีแล้ว
จากการประเมินของเขานั้นต่อให้เขาทำการขายพระอจละองค์นี้ไปโดยตรงก็ตาม แต่ด้วยการที่ค่าการใช้ประโยชน์จากการขายนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว 3 ล้านหยวนต่อ 1 หน่วยนั้นช่างไม่คุ้มค่ากันซะเลย
ต่อให้ขายพระอจละออกไปราคาสูงเสียดฟ้าแค่ไหนก็คงได้ค่าใช้ประโยชน์ดีๆก็แค่หนเดียว
เทียบไม่ได้กับการที่สร้างชื่อเสียงให้องค์พระอจละเลยแม้แต่น้อย
หากเขาต้องการค่าการใช้ประโยชน์จริงๆล่ะก็วัดหลานเล่อแห่งนี้ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีตัวเลือกหนึ่งเลยทีเดียว
เพราะวัดนี้นอกจากจะถือว่าเป็นวัดพุทธที่มีขนาดใหญ่แห่งหนึ่งแล้ว ยังมีผู้เยี่ยมชมวัดเป็นจำนวนมากตลอดทั้งปี
ยังไม่ต้องพูดถึงการที่วัดนี้ยังไม่มีองค์พระอจละมาก่อน
นั่นหมายความว่าในไม่ช้าองค์พระอจละย่อมมีชื่อเสียงในไม่ช้า
เมื่อถึงเวลานั้นแน่นอนว่าค่าการใช้ประโยชน์ย่อมไหลมาเทมาไม่ขาดสายอย่างแน่นอน
วิธีการนี้จึงเป็นการเหมาะสมที่สุดกับองค์พระอจละนี้แล้ว
อย่างไรก็ตาม การจะมอบให้ตรงๆนั้นสำหรับซูจิ้งแล้วถือได้ว่าเขานั้นไม่ได้อะไรเลย
สำหรับการได้ค่าการใช้ประโยชน์มาอย่างเดียวนั้นถือได้ว่าไม่เพียงพอสำหรับเขา
เมื่อคิดดังนั้นเขาก็จะถือโอกาสนี้ทำธุรกิจร่วมกับวัดหลานเล่อ
อีกทั้งการถวายองค์พระอจละให้กับพวกเขานั้นนอกจากจะเป็นการปลอดภัยแล้วยังได้เงินส่วนแบ่งกับการขายเครื่องหอมและกำยานสำหรับการสักการะอีกทางหนึ่งด้วย
“ประสกซู สำหรับเรื่องนี้อาตมาคิดว่าน่าจะไม่ถูกต้องนัก การนำองค์พระอจละมาแสวงหาประโยชน์ทางธุรกิจแบบนี้คงไม่ควรนัก” เจ้าอาวาสเอ่ยออกมา
“ในความคิดของผมนั้น ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นเหตุเป็นผลต่อกันหากไม่ได้มีความคิดชั่วร้าย ก็ย่อมไม่มีความคิดดีแต่อย่างใด
การที่ผมเสนอเงื่อนไขนี้ออกไปก็เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากภายในใจนึกเสียดายทีหลัง
ผมเลือกที่จะเปลี่ยนมันเป็นเรื่องดีสำหรับผมก็คือการที่ผมได้เงินส่วนแบ่งจากการขายกำยานและธูปหอมสำหรับการสักการะ
เรื่องดีสำหรับผู้เยี่ยมชมและเหล่าภิกษุที่จำวัดอยู่ที่นี่ก็คือ การได้เคารพสักการะพระอจละได้เมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
ไม่ถือว่าเป็นเรื่องธุรกิจแต่อย่างใด พวกท่านไม่คิดว่านี่เป็นความคิดที่ดีอย่างนั้นหรือ ทำไมล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“แต่นี่…” เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยานและคนอื่นๆที่อยู่โดยรอบในตอนนี้ต่างก็รู้สึกไม่เห็นด้วย
แต่พวกเขาก็รู้สึกว่าไม่ได้ไร้เหตุผลจนปฏิเสธออกไปได้ คำพูดของซูจิ้งไม่เพียงจะอ้างหลักธรรมคำสอนมาอ้างแล้ว
เขายังอธิบายชนิดที่หาข้อกังขาเสียไม่ได้ ตอบสนองความต้องการของทั้งสองฝ่าย ถือว่าได้ทั้งคู่
เอาจริงๆพวกเขาต่างก็เข้าใจดีว่าตราบใดที่พระอจละองค์นี้ประดิษฐานอยู่ที่วัดหลานเล่อแห่งนี้แล้วล่ะก็
ต่อให้ไม่ได้รับค่าขายกำยานเลยก็ถือว่าไม่ได้เสียอะไรซักนิด แค่พวกเขาได้เห็นเหล่าผู้มาเยี่ยมชมวัดได้คุกเข่าสักการะอยู่ที่หน้าประตูแบบก่อนหน้านี้พวกเขาก็รู้ในทันทีว่าพระอจละองค์นี้จะชื่อเสียงเลื่องลือไปแค่ไหน
นั่นหมายถึงการไหลเข้ามาของผู้เข้าเยี่ยมชมวัด ต่อให้เพิ่มค่ากำยานและเครื่องหอมเป็นสองเท่าแล้วได้ส่วนแบ่งแค่ 30 % แล้วล่ะก็ ยังไงก็ยังถือได้ว่ากำไรมากแล้วอยู่ดี
“เจ้าอาวาส หากท่านไม่เห็นด้วยล่ะก็ ผมเองก็คงได้แต่ต้องสร้างวัดใหม่ขึ้นมาซักที่หนึ่ง เชื่อว่าโดยพุทธนุภาพของพระอจละองค์นี้จะทำให้วัดนั้นสามารถเปิดได้โดยไม่มีปัญหาแต่ประการใด” ซูจิ้งพูดออกมา ในขณะที่เขานั้นยังไม่ได้มีท่าทีจะนำพระอจละออกไปแต่อย่างใด
“ได้โปรดช้าก่อนประสกซู โปรดให้เวลาตัดสินใจซักครู่” เจ้าอาวาสและปรมาจารย์เชิงหยานได้รีบหยุดซูจิ้งไว้ในทันที แล้วได้พูดต่อว่า “ประสกซู พวกเขาของประชุมกันก่อนได้หรือไม่”
“ได้ครับ แต่อย่านานนักล่ะ ผมเองก็ไม่ได้มีเวลามากนัก” ซูจิ้งหยักหน้ารับ
เจ้าอาวาส ปรมาจารย์เชิงหยานและคณะสงฆ์ต่างก็ทำการสวดมนต์กันต่อหน้าพระอจละ พวกเขาได้จ้องมองไปยังองค์พระด้วยสายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยศรัทธา และความตื่นเต้น ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ได้พูดคุยกันเพิ่มหาข้อสรุปด้วยเสียงอันเบาแสนเบา แม้แต่เหล่าพระลูกวัดและผู้เยี่ยมชมวัดเองก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นเดียวกัน
“เจ้าอาวาสและท่านปรมาจารย์จะยอมรึเปล่านะ”
“ไม่รู้เหมือนกันแหะ พวกเราไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน”
“ฉันได้แต่หวังว่าเจ้าอาวาสจะเห็นด้วยนะ หวังว่าพระอจละองค์นี้จะได้ประดิษฐานอยู่ที่นี่”
“ฉันคิดว่าการที่ให้ประดิษฐานพระอจละองค์นี้ไว้ที่นี่โดยไม่ขยับไปไหนถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้นะ เจ้าอาวาสเองก็น่าจะเห็นด้วยเหมือนกัน หากนายไม่สังเกตุล่ะก็ทั่วทั้งวัดหลานเล่อแห่งนี้ไม่มีพระพุทธรูปองค์ไหนเลยนะเทียบได้กับพระอจละองค์นี้”
หลังจากผ่านไปเพียงพักเดียว เจ้าอาวาสและปรมาจารย์เชิงหยานก็เห็นด้วยกับซูจิ้ง
ปรมาจารย์เชิงหยานเองก็ได้พูดออกมาว่า “ประสกซูทางเราเห็นด้วยกับเงื่อนไขของประสกแล้ว”
พอถึงตอนนี้ทั้งเจ้าอาวาสและปรมาจารย์เชิงหยานไม่ได้แสดงท่าทีสุขุมอีกต่อไป พวกเขาแสดงออกมาด้วยท่าทางที่ปลาบปลื้มใจอย่างมาก
การแลกเปลี่ยนแบบนี้ ใครจะไปคิดว่าสามารถเกิดได้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์พระอจละที่สามารถส่งผ่านความรู้สึกได้ประดุจดั่งมีชีวิตขนาดนี้
ตราบที่องค์พระอจละยังคงประดิษฐานอยู่ที่นี่ เสียสละไปเท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
GGS:บทที่ 813 เลื่องลือ
ซูจิ้งนำหนังสือสัญญามาให้เจ้าวาสซูหยุนลงนาม ด้วยวิธีการนี้จะทำให้เจ้าอาวาสสามารถประดิษฐานพระอจละไว้ที่นี่ได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าสัญญานี้มีเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจของเขากับทางวัดอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน อีกทั้งซูจิ้งยังคงให้ทางวัดยืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธต่อไปได้
หนึ่งวันผ่านไป ข่าวที่ว่าพระอจละได้ประดิษฐานอยู่ที่วัดหลานเล่อนั้นได้แพร่กระจายออกไปอย่างเป็นทางการ
แน่นอนว่าเรื่องนี้ลือเลื่องยิ่งกว่าเสียยิ่งกว่ารูปภาพหัวใจพระสูตรและพระพุทธเคยลงไว้ในไม่โครบลอกของเขาซะอีก
แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้มีความเกี่ยวพันกันระหว่างซูจิ้ง เจ้าอาวาสซูหยุน และปรมาจารย์เชิงหยาน
ตอนนี้การมาที่วัดหลานเล่อนั้นหาใช่เป็นแค่การท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ผู้คนที่หลั่งไหลมายังวัดแห่งนี้ในตอนนี้โดยปกติจะมีประมาณ 700-800 คนต่อวัน
สำหรับวันนี้ที่ถือว่าเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการนั้นมีผู้เข้าสักการะอยู่ที่ 1500 คนโดยประมาณ
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวผู้โชคดีที่มาวันแรกที่เผอิญเจอซูจิ้งอัญเชิญพระอจละมายังที่นี่ก็ตาม
ถึงแม้พวกเขาจะพลาดโอกาสในการเจอซูจิ้งอีกครั้ง เพราะซูจิ้งนั้นหลังจากเสร็จเรื่องแล้วเขาก็ได้จากไปแล้วตั้งแต่เมื่อวาน
แต่ยังไงซะวันนี้พวกเขาไม่ได้มาเพียงลำพังแต่ยังพาญาติสนิทมิตรสหายมาด้วย
ทุกคนที่มาสักการะต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นองค์พระอจละ
พวกเขารู้ได้โดยทันทีว่าการมาที่นี่ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียเวลาเปล่าแต่อย่างใดออกจะคุ้มค่าเสียมากกว่า
พวกเขานั้นก่อนหน้านี้หัวใจเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลอยู่เต็มหัวใจ
แต่หลังจากที่พวกเขาได้เห็นองค์อจละพวกเขาก็ไม่สามารถจะปลีกตัวไปไหนได้
กลับกันพวกเขากลับแสดงอีกถึงความสงบสุขในใจ
และเมื่อเขารู้สึกตัวก็พบว่าจิตใจของพวกเขาสงบสุขอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทำให้ชื่อเสียงของวัดหลานเล่อและพระอจละได้เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว
“ลูกเอ้ย ถึงคิวของเราแล้ว รีบเข้าไปและไหว้พระพุทธเจ้าซะ” ณ ข้างหน้าหอที่ตั้งองค์พระอจละที่มีแถวยาวมาก ที่ด้านหน้าของแถวนั้นมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังจับมือกึ่งลากเด็กผู้ชายอายุประมาณ 15 ปี เอาไว้
“ผมไม่เชื่อเรื่องเหลวไหลพันธุ์นี้หรอกนะ เสียเวลาเปล่าจริงที่ต้องบึ่งมาถึงนี่แถมยังต้องเข้าคิวรออีกตั้งนาน” เด็กผู้ชายแสดงออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับบ่นอุบไปในอากาศ
“เอ็งน่ะสิที่ไร้สาระ รีบมานี่เดี๋ยวนี้เร็วๆเข้า” หญิงวัยกลางคนเหลืออดจึงได้โบกไปที่ลูกชายหนึ่งทีก่อนที่จะถีบเขาเข้าไปจนเด็กชายเซถลาไปคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าองค์พระอจละ
ทันทีที่เด็กชายเงยหน้าขึ้นมาเห็นใบหน้าขององค์พระอจละนั้นเขาก็หยุดอึ้งไปในทันใด
ตัวเขาก่อนหน้านี้จิตใจว้าวุ่นอย่างมากเนื่องด้วยเขานั้นมีความกังวลในการสอบ
ไหนจะเรื่องพวกเด็กเกเรในโรงเรียนที่คอยรังควานเขา
ไหนจะเรื่องเด็กผู้หญืงที่เขาชอบ หรือแม้แต่เรื่องที่พ่อแม่ยังเห็นเขาเป็นเด็กทั้งๆที่โตจนป่านนี้แล้ว
ทำให้เขานั้นดูกลายเป็นเด็กกร้าวร้าวต่อหน้าพ่อแม่ แต่เป็นเด็กขี้แหยในสายตาคนอื่น
แต่ในทันทีที่เขาเห็นองค์พระองค์อจละ
ด้วยพุทธานุภาพขององค์พระองค์นี้ ความว้าวุ่นทั้งหมดนี้หายไปในบัดดล
ไม่เพียงเท่านั้น ทั้งความรู้สึกก้าวร้าวที่มีต่อพ่อแม่ แม้แต่ความรู้สึกเหยาะแหยะต่อหน้าคนอื่นเองก็เช่นเดียวกัน
เขารู้สึกได้ทันทีเลยว่าหัวใจของเขามีความกล้าหาญและมีความมั่นใจในตัวเองประหนึ่งดังทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเตรียมเอาไว้ให้เขาแล้ว รอแต่เขาจะถึงเวลารู้ตัวและเฉิดฉายออกไปจากก้นบึ้งในหัวใจของเขา
“ผู้แสวงบุญครับ ผู้แสวงบุญท่านนั้นถึงตาท่านแล้วครับ” พระองค์หนึ่งที่ทำหน้าที่ในการจัดการแถวได้ตะโกนเรียกชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ยืนคอยอยู่ที่หน้าประตู
“โอ้ ตาฉันแล้วรึ” ชายวัยกลางคนท่าทางมึนๆได้เดินเข้ามา ในระหว่างที่เดินเข้ามา ดวงตาของเขาช่างดูว่างเปล่า พร้อมใบหน้าที่เบื่อหน่ายชีวิตเหมือนกับว่าเขานั้นได้สูญเสียความตั้งใจในการใช้ชีวิตไปหมดแล้ว
เขานั้นเคยเป็นที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม เรียนจบจากมหาวิทยาลัยดีๆ ทำธุรกิจจนมีเงินมากมาย
อีกทั้งยังได้แต่งงานก็ภรรยาแสนสวยที่เรียกได้ว่าสวยดั่งดอกไม้และนุ่มนวลประดุจดั่งหยดน้ำ
นอกจากนี้เขายังมีลูกแฝดด้วยอีกคู่หนึ่ง แต่ไม่กี่ปีถัดมาเขาบริหารธุรกิจขาดทุนย่อยยับจนทำให้ธุรกิจของเขาเกือบเจ๊งไม่เป็นท่า เขาสูญเสียเงินไปมากมายจนะเหลือเงินเพียงน้อยนิดติดตัวไว้
เมื่อปีก่อนเขาพยายามที่จะนำทุกอย่างกลับมาให้เป็นเหมือนเดิม แต่กลายเป็นตัดสินใจช้าเกินไป
แทนที่จะทำเงินได้กลับกลายเป็นสูญเงินไปจนหมดตัว แถมยังเพิ่มหนี้สินมาอีกนับล้านหยวน
จนสุดท้ายความสัมพันธ์ที่มีต่อภรรยาก็แย่ลงเรื่อยๆ ทะเลาะกันทุกวัน
จนคืนก่อนภรรยาของเขาได้ไล่เขาออกจากบ้านและไม่ต้องให้เธอกลับไปให้เห็นหน้าอีกต่อไป
ชายวัยกลางคนคนนี้ได้สูญเสียความกล้าหาญในการเผชิญหน้ากับอนาคตอีกต่อไปแล้ว
ความจริงนั้นตัวเขาเตรียมตัวที่จะละทิ้งตัวเองโดยต้องการปลิดชีพลงเรียบร้อยแล้ว
แต่เขานั้นได้ยินมาว่าพระพุทธรูปที่นี่มีมนต์ขลังอย่างมาก
เขาผู้ที่เปรียบได้ดั่งคนตายเดินดินผู้นี้ก็เกิดมีความรู้สึกอยากจะเห็นของแบบนี้สักครั้งในชีวิตก่อนที่จะลาลับโลกนี้ไปจึงได้มาที่นี่
แต่ทันทีที่เขามองเห็นใบหน้าของพระอจละทำให้ตัวเขายืนนิ่งอึ้งไม่ขยับไปไหน จนหลายนาทีเขานั้นได้ทรุดลงไปคุกเข่าลงในทันทีและไม่ใช่บนเบาะอย่างที่คนอื่นคุกเข่ากันแต่เป็นพื้นหินแข็งๆจนมีเสียงดังปึกจนพระผู้ดูแลแถวตั้งหันมามอง
เขาได้จ้องมองไปยังพระอจละด้วยสายตานิ่งสงบ จิตใจของเขาได้ย้อนคือนนึกถึงภรรยาผู้แสนดีของเขา คิดถึงลูกที่แสนน่ารัก ประหนึ่งดั่งเขาได้ปลุกความกล้าหาญในการที่จะต้องใช้ชีวิตลงไปในหัวใจ
ใช่แล้วเขานั้นมีหนี้ และไม่ใช่เพียงหนี้ที่เป็นเงินแต่ยังมีหนี้ชีวิตอีกด้วย
เขายังติดหนี้ภรรยาที่แสนดีที่คอยอยู่สู้เคียงข้างไม่ว่าจะเป็นยามมีหรือยามยาก คอยปลอบใจเวลาเขาท้อแท้
คอยดูแลเวลาป่วยไข้ คอยห่วงใยเวลาเขาเหนื่อย คอยโกรธเวลาเขาเอาหน้าไปแนบชิดใกล้ๆ
คอยเตือนเวลาเขาทำผิดซ้ำๆ เขาเองที่ผิดพลาดแล้วไปพาลใส่เธออย่างไร้เหตุผล และเขายังติดค้างลูกๆที่แสนน่ารักและฉลาดหลักแหลมที่เขายังไม่ได้เลี้ยงดูให้โตเสียอีก
ชายวัยกลางคนได้ร้องไห้ออกมาจากกลายเป็นสายน้ำร้อนนองอยู่บนใบหน้า แต่ปากของเขากลับยิ้มออกด้วยความปิติ
“ท่านผู้แสวงบุญครับ ครบเวลาแล้วครบ โปรดรีบทำการสักการะด้วย” พระผู้จัดการแถวเตือนเขาที่หน้าประตู
“ได้ครับ” ชายวัยกลางคนได้ยืนขึ้นพร้อมทั้งควักเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋ากางเกงทั้งหมดกว่า 300 หยวน
มอบให้แก่เพราะผู้ดูแล หลังจากนั้นพระได้ยื่นธูปให้เขาสามดอก เขาจุดธูปและทำการปักไปที่กระถาง
ก่อนที่จะเดินออกไปด้วยท่าทีมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง
วันถัดมาได้มีผู้เข้ามาแสวงบุญมากกว่า 5,000 คน
วันที่สามได้มีผู้เข้ามาแสวงบุญมากกว่า 8,000 คน
วันที่สี่ได้มีผู้เข้ามาแสวงบุญมากกว่า 10,000 คน
หลังจากนั้นผู้ที่เข้ามาแสวงบุญขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 10,000 คนต่อวัน และไม่มากไปกว่านี้ได้ นั่นก็เพราะว่าจำนวน 10,000 คนเป็นจำนวนที่วัดสามารถจัดการได้เต็มที่แล้ว
การที่มีผู้เข้ามาแสวงบุญกว่า 10,000 คนต่อวันนั้นทำให้วัดอื่นๆและเหล่าคนที่รู้เรื่องต่างก็ประหลาดใจกันไม่น้อย 10,000 คนนี่ถือได้ว่ามากมายเกินจะจินตนาการได้แล้ว
แม้แต่โลกอินเตอร์เนตก็ยังโจษจันกันถึงเรื่องนี้
“พระพุทธรูปมีชีวิตอย่างนั้นหรอ ไม่ใช่ว่าเป็นพระภิกษุแก่พรรษาหรอกรึ”
“ไม่ไม่เขาหมายถึงพระอจละต่างห่าง เพียงแต่เป็นพระที่ดูเหมือนมีชีวิตเท่านั้น”
“โม้หรือเปล่า ฟังดูน่าเหลือเชื่อยังไงไม่รู้”
“ถ้านายได้เห็นก็รู้เองว่าน่าเหลือเชื่อขนาดไหน”
“ฉันไม่เชื่อหรอก แต่ยังไงก็จะลองไปดูสักครั้ง”
“เห็นเขาบอกต่อๆกันมาว่าพระอจละองค์นี้ถูกอัญเชิญมาโดยซูจิ้งนะ”
“ห้ะ ซูจิ้งอีกแล้วหรอ”
“ช่ายย แล้วเขายังว่ากันอีกว่าพระเสี่ยวไจ๋ที่ไปประลองกับพวกเทควันโดกับยูโดตอนนั้นน่ะถือว่าเป็นการผิดกฎของวัดเลยจะถูกลงโทษ ซูจิ้งเลยไปช่วยเขาพร้อมอัญเชิญพระอจละองค์นี้ไปด้วย”
“หมอนี่มีสมบัติอยู่แค่ไหนกันเนี่ย”
พระอจละและวัดหลานเล่อในตอนนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก พวกเขาเคยคำนวนกันเล่นๆว่าเงินที่ได้การขายธูปบูชานั้นเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนอย่างมาก
ต่อให้ไม่นับส่วนที่แบ่งให้ซูจิ้งไป 70 % ก็ยังถือว่าได้กว่าเมื่อก่อนอยู่สอง-สามเท่าเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ทางวัดนั้นวุ่นอย่างมากและขาดกำลังพระในการช่วยงาน
หากว่าทางวัดยังต้องการปฏิบัติกิจสงฆ์ได้อย่างปกติจำเป็นต้องขยายวัดและรับพระจำวัดเพิ่มอีกด้วย
แต่สิ่งที่ทำให้ประชาชนถึงกับพูดไม่ออกมาที่สุดก็คืออันดับรายการดารานั่นเอง
ตอนนี้อันดับของซูจิ้งได้เพิ่มสูงขึ้นอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เพิ่มอย่างก้าวกระโดดแบบตอนที่พระเสี่ยวไจ๋จัดการเหล่านักคาราเต้และนักยูโดก็ตาม
แต่ก็ถือได้ว่าเพิ่มมากพอที่จะทำให้คนที่อยู่ในวงการบันเทิงอดไม่ได้ที่จะออกมาโวยวายเลยทีเดียว
ในวันที่ห้าหลังจากที่ซูจิ้งรับสายโทรศัพท์ของเสี่ยวไจ๋ผู้ที่เป็นศิษย์แบบทึกทักไปเองของเขา เขาได้พูดผ่านทางโทรศัพท์ว่า “อาจารย์มีใครบางคนต้องการซื้อพระอจละองค์นี้ในราคาที่สูงมาก พอผมบอกว่าไม่สามารถขายได้ เขาก็ยังไม่ยอมแพ้ เขายอมจ่าย 100,000 หยวนต่อวันเพียงเพื่อที่จะมานั่งหน้าพระอจละเป็นการส่วนตัว 1 ชั่วโมงต่อวัน อาจารย์คิดว่าผมควรอนุญาตหรือไม่ครับ”
“ใครกันล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมา เขานั้นรู้สึกว่าเป็นข้อเสนอที่ไม่เลวเลย แต่ยังไงก็ตามเขาก็ต้องดูก่อนว่าคนๆนั้นเป็นใครน่าเชื่อถือพอรึเปล่า
“เดี๋ยวผมจะส่งข้อมูลไปให้อาจารย์ดูนะครับ” เสี่ยวไจ๋ได้ส่งข้อมูลมาให้ซูจิ้ง
ซูจิ้งค่อยเลื่อนดูข้อมูล หลังจากนั้นเขาก็อึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนที่จะเลื่อนกลับไปดูที่หน้าของเจ้าของข้อมูล ไม่นานนักเขาก็หัวเราะออกมายกใหญ่ ก่อนที่จะบอกเสี่ยวไจ๋ไปว่า “คนๆนี้ฉันกำลังรอเขาอยู่เลย บอกเขาให้รอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับเขาเอง”
GGS:บทที่ 814 ธุรกิจด้านการเกษตร
ในตอนนี้ก็เป็นเวลา 1 ทุ่มเข้าไปแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้เป็นเวลาที่วัดได้ปิดรับผู้สักการะ
ซูจิ้งได้ขับรถมาจอดยังหน้าประตูวัดโดยมีเสี่ยวไจ๋ออกมารอต้อนรับเขา
หลังจากที่เสี่ยวไจ๋ใช้ยาพอกของซูจิ้งเข้าไปแล้วทำให้บาดแผลของเขาหายไปอย่างปลิดทิ้ง
หลังจากที่ซูจิ้งได้แนะนำเพลงหมัดวัวคลั่งแก่เขาเพิ่มเติม ความเข้าใจของเสี่ยวไจ๋ที่มีต่อเพลงหมัดเพิ่มขึ้นอย่างมาก และนั่นย่อมทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นด้วย ตอนนี้สายตาเป็นประกายในทันทีหลังจากรับรู้ว่าร่างกายตัวเองเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน
พลางคิดไปว่าในเมื่อทางวัดก็อนุมัติให้เขาไปประลองกับสำนักต่างๆได้ ตอนนี้เขาพร้อมแล้วที่จะประจันหน้ากับเหล่านักศิลปะการต่อสู้ต่างประเทศที่กล้ามาหาเรื่องเขาด้วยไฟที่ลุกโชน
และแน่นอนว่าครั้งนี้เขาจะไม่พลาดเจ็บตัวอีกอย่างแน่นอน
“เอ้อ…เสี่ยวไจ๋ แล้วคุณเตียนที่ว่านั่นอยู่ไหนกัน” ซูจิ้งถามออกมา
“เรียนท่านอาจารย์ เขากำลังนั่งรออยู่ที่หอพระอจละครับ” เสี่ยวไจ๋ได้ตอบออกไปด้วยความเคารพ แต่นั่นทำให้เขาเผลอเรียกซูจิ้งว่าอาจารย์ออกไป แต่เมื่อเขาพบว่าซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นลูกศิษย์ของเขาจริงๆและเขาก็รู้สึกมีจิตใจที่ปลอดโปล่งโล่งมากกว่าเดิม พลางคิดไปว่าในที่สุดก็ยอมรับเขาเป็นศิษย์ซักที
“เอาล่ะไปกันเถอะ” ซูจิ้งดึงกระเป๋าลูกหนึ่งออกมาจากรถ แล้วรีบเดินไปพร้อมกับเสี่ยวไจ๋มุ่งหน้าไปยังหอพระอจละ
ภายในหอยังคงเปิดไฟส่องสว่าง ข้างในตอนนี้มีเจ้าอาวาสซูหยุน ปรมาจารย์เชิงหยาน โจวฮงหยวน และพระจำวัดรูปอื่นๆ นั่งรายรอบองค์พระอจละด้วยท่าทีอันเคารพนอบน้อมต่อองค์พระ
“สวัสดีคุณซู” ชายรูปร่างเตี้ยแต่ดูสันทัดพร้อมผิวกายที่ค่อนข้างคล้ำได้ยืนขึ้นและตรงเข้ามาจับมือซูจิ้ง
“สวัสดีครับคุณเตียน” ซูจิ้งจับมือของเขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
ในตอนนี้เหล่าพระที่อยู่ในหอต่างก็ลืมตาขึ้นมาพร้อมจ้องไปยังพวกเขาทั้งสอง นั่นทำให้ซูจิ้งต้องยกมือขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เชิงขอโทษ ก่อนที่เขาจะผายมือเพื่อให้คุณเตียนผู้นี้ออกไปคุยกันข้างในหอ
“คุณซู พระเสี่ยวไจ๋รูปนั้นน่าจะบอกคุณไปแล้วใช่รึเปล่าว่าผมนั้นชอบองค์พระอจละองค์นี้มาก
ถ้าคุณซูไม่ต้องการจะขายจริงๆผมก็เข้าใจนะ แต่ยังไงซะผมก็ขอมานั่งที่นี่วันละ 1 ชั่วโมงได้รึเปล่าล่ะ
ผมสัญญาว่าจะนั่งเงียบๆไม่รบกวนใครอย่างแน่นอน
หากคุณว่าเงินสำหรับหนึ่งแสนหยวนต่อชั่วโมงต่อวันยังไม่พอล่ะก็ คุณสามารถเสนอราคามาได้เลย” คุณเตียนได้พูดออกมาอย่างตั้งใจ
ซูจิ้งเองก็ได้ใช้พลังจิตของเขาจับออร่าของคุณเตียนคนนี้ในขณะที่พูด ซึ่งเขาก็ดูๆไปแล้วว่าเขานั้นพูดออกมาด้วยใจจริง
ซูจิ้งเลยตอบกลับไปว่า “คุณเตียน ผมขอบอกคุณจริงๆเลยนะว่าผมไม่ได้ใส่ใจกับเงินหนึ่งแสนที่คุณว่าเลยซักนิด
แต่สิ่งที่ผมสนก็คือการได้มีโอกาสร่วมงานกับคุณมากกว่า
คุณเตียน ถ้าคุณยอมร่วมงานกับผมล่ะก็คุณสามารถนั่งที่นี่ได้หนึ่งชั่วโมงต่อวันโดยที่ผมจะไม่เก็บเงินคุณซักหยวนเดียว”
“ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่าธุรกิจของผมธุรกิจไหนที่พอจะทำให้เราร่วมมือกันได้บ้าง” คุณเตียนได้แสดงออกท่าทีว่างงกับสิ่งที่ซูจิ้งพูดเล็กน้อย
ในจริงของเขานั้นอยากจะจ่ายเงินเพื่อที่จะได้นั่งอยู่หน้าองค์พระอจละทุกวันซะมากกว่า
แต่ในเมื่อซูจิ้งมีความสนใจทำธุรกิจร่วมกับเขามันเป็นเรื่องที่ดีก็จริง แต่ว่าเขานั้นมีความถนัดทางธุรกิจด้านการเกษตรเท่านั้น เขาจึงสงสัยว่าซูจิ้งต้องการลงทุนกับเขาในงานอะไรกันน่า เพราะระดับซูจิ้งไม่น่าจะมีสนใจเรื่องนี้
“ด้านการเกษตรน่ะ” ซูจิ้งมองเข้าไปในจิตใต้สำนึกของคุณเตียนคนนี้ก่อนที่จะพูดสิ่งที่คุณเตียนเพิ่งจะคิดออกมา
คุณเตียนคนนี้มีชื่อเต็มว่า เตียนจงยี่ เกิดในแถบชนบท ด้วยการที่บ้านของเขานั้นยากจนและมีพี่น้องทั้งชายและหญิงอยู่หลายคน
ทำให้เขานั้นต้องออกจากโรงเรียนเพื่อมาทำงานในสวนที่บ้านตั้งแต่สมัยม.ต้น ซึ่งเขาเองก็รู้สึกแย่อย่างมาก
ในตอนหลังเขาได้ทำงานหนักและขยันขันแข็งจนสามารถประสบความสำเร็จในการทำงานสวนของเขาด้วยการปลูกพืชแบบผสมผสาน และได้ลงทุนในการปลูกผักจนทำให้ได้รับกำไลมากกว่า 500,000 หยวนต่อปี
หลังจากนั้นธุรกิจของเขาก็ใหญ่โตขึ้นจนการเป็นกลุ่มทุนวงจรอุตสาหกรรมการเกษตรที่มีรายได้มากกว่า 1 ร้อยล้านหยวนต่อปี
จึงสามารถบอกได้อย่างเต็มปากว่าเตียนจงยี่ผู้นี้คือคนที่ประสบความสำเร็จจากการทำงานหนักและขยันขันแข็งอย่างแท้จริง
สำหรับงานด้านการเกษตรนั้น หากพูดถึงเรื่องต่างๆที่อยู่ในกระบวนการตั้งแต่เริ่มวงจรของพืชตั้งแต่เมล็ด ต้นอ่อน ต้นแก่ การเก็บเกี่ยว การแปรรูป ไม่มีส่วนใดเลยที่เขาจะไม่รู้จักแถมยังรู้ในเชิงลึกของแต่ละกระบวนการอีกด้วย
พอคิดว่าเขานั้นโดยพื้นฐานมาจากครอบครัวยากจน ไม่มีทรัพย์สินเงินทองคอบสนับสนุน ไม่มีคนคอยให้ความเกื้อหนุน แม้แต่ซูจิ้งเองก็ให้เกียรติคนประเภทนี้อย่างมาก
ซูจิ้งได้พูดต่อว่า “ผมต้องการปลูกต้นไม้สามชนิดในพื้นที่จำนวนมากเพื่อต้องการผลผลิตที่พอต่อการจำหน่ายและแปรรูป
ทั้งสามชนิดนั้นประกอบด้วย ดอกกุหลาบสีน้ำเงิน มะละกอเกล็ดงู และมะละกอหวาน
สิ่งที่ผมต้องการร่วมงานจากคุณเตียนก็คือผมอยากขอให้คุณยอมให้ผมใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานแรมปีและทรัพยากรที่ดินอันมากมายของคุณ นี่คือสิ่งที่ผมหวังว่าจะทำให้เราร่วมงานกันได้”
“คุณซูต้องการพื้นที่ในการปลูกเท่าไหร่กัน” เตียนจองยี่ถามออกมาอย่างสงสัย
ตัวเขาเองนั้นก็พอจะได้ยินชื่อมะละกอเกล็ดงูมาอยู่บ้างเหมือนกัน แต่กับอีกสองอย่างนั้นเขาไม่เคยได้ยินมาก่อนแม้แต่น้อย แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับเขา สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจำนวนพื้นที่ที่ซูจิ้งต้องการจะปลูก
“กุหลาบสีน้ำเงินนั้นยังไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสถานการณ์ มะละกอเกล็ดงูนั้นอย่างน้อยๆต้องอยู่ที่ 300 ไร่
ซึ่งในอนาคตอาจมีการขยายพื้นที่ปลูกขึ้น และอาจมีมะละกอพันธุ์อื่นอีกในอนาคตซึ่งสามารถปลูกปนกันได้ไม่มีปัญหา
ถ้าให้ผมแนะนำก็คือคุณสามารถคุยสัญญากับแปลงอื่นล่วงหน้าไว้ได้เลย เสร็จแล้วคุณติดต่อผมก็พอ ผมจะส่งต้นพันธุ์ให้คุณเพิ่มเติม”
เตียนจงยี่ถึงกับทำหน้าเหรอหราไม่น้อยเมื่อได้ยินสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมา วันนี้เป็นวันโกหกสากลรึไงกันเขาถึงกล้าเรื่องแบบนี้ออกมา
หากเขาเชื่อคำพูดของซูจิ้งได้ล่ะก็และหากซูจิ้งต้องการจะเริ่มงานเลย นั่นหมายความว่าเขานั้นจะต้องละทิ้งผลผลิตกว่าครึ่งที่เกือบจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว นั่นทำให้เขาค่อนข้างหนักใจว่าจะเชื่อดีหรือไม่
“คุณซู คุณล้อผมเล่นรึเปล่า” เตียนจงยี่นั้นถึงแม้ไม่อยากจะเชื่อซักเท่าไหร่
แต่เขาเองก็ต้องการที่จะได้สิทธิ์ในการนั่งสักการะองค์พระอจละองค์นี้จนทำให้เกิดความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งจนต้องถามออกมา เพราะเอาจริงหากซูจิ้งโกหกถือว่าเขานั้นจะเสียมากกว่าได้
“ผมไม่ได้ล้อคุณเล่นหรอกครับ ผมการันตีได้เลยว่าพืชทั้งสามนี้ให้ผลกำไรเยอะอย่างมาก และผมเองก็ได้นำตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของผมมาด้วย คุณสามารถนำไปประเมินก่อนได้เลย”
ซูจิ้งพูดเสร็จก็ได้นำกุหลาบสีน้ำเงินที่มีเป็นช่อออกมาจากในกระเป๋ายื่นให้เตียนจงยี่ก่อนจะพูดออกมาว่า
“นี่คือพืชชนิดแรกที่ผมจะให้คุณปลูกนั่นคือกุหลาบสีน้ำเงินธรรมชาติ มันปลูกได้ยากยิ่งพอกับกล้วยไม้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามราคาของมันเองก็สูงกว่ากล้วยไม้หลายเท่าตัว
หากว่าเป็นงานเทศกาลล่ะก็ผมมั่นใจได้เลยว่าอย่างต่ำๆต้องได้ไม่น้อยกว่าสิบเท่า ที่สำคัญที่สุดคือเราจะเป็นเจ้าเดียวในโลกทีมีกุหลายสีน้ำเงินนี้ นั่นหมายความว่าเราจะกลายเป็นเจ้าของตลอดเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“นี่มัน…คุณหมายความว่ามันคือกุหลาบสีน้ำเงินแท้ๆไม่ผ่านการย้อม!!!”
เตียนจงยี่ตกตะลึงในทันที เขาเองก็มีความรู้เรื่องกุหลาบพอสมควรและยังรู้มาอีกว่ากุหลาบสีน้ำเงินธรรมชาติหมายความว่ายังไง
เขาได้ทำการพิจารณากุหลายนี้อย่างถี่ถ้วนและละเอียดยิบ เขาทดสอบด้วยวิธีทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับการทดสอบสีกุหลาบแท้
ยิ่งเขาทดสอบมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น และเขาค่อนข้างมั่นใจได้แล้วว่ากุหลาบช่อนี้ไม่ได้ถูกย้อมสีมาจริงๆ
เขาเองก็เคยได้ยินมาอยู่ว่ามีใครบางนำกุหลาบสีน้ำเงินธรรมชาติออกมาให้ทุกคนเห็นมาก่อนแต่เขาก็ไม่ได้เชื่อแต่อย่างใดเลยไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น ไม่คิดมาก่อนว่าเรื่องนั้นจะเป็นจริง
เขาถึงขนาดยกหูโทรศัพท์เพื่อโทรถามฝ่ายข่าวของเขาให้ช่วยตรวจสอบดู
และเขาก็ได้รับการยืนยันจากฝ่ายข้อมูลของเขามาว่าผู้ที่เคยน้ำกุหลาบสีน้ำเงินออกมาให้โลกได้ประจักษ์ในครั้งนั้นนั่นคือซูจิ้งนี่เอง
โดยราคาที่มีการซื้อขายในตอนนี้ก็ถือได้ว่าดีมาก ถึงแม้ราคาจะผันผวนอยู่บ้างต่อราคาก็ยังมากกว่ากุหลาบปกติอยู่หลายเท่าเลยทีเดียว
เตียนจงยี่ได้หันไปถามซูจิ้งในทันทีว่า “แล้วอีกสองพันธุ์ที่ว่านั่นล่ะครับ”
“งั้นเรามาดูชิ้นที่สองกันก่อนแล้วกันครับ นี่มะละกอที่ว่า”
ซูจิ้งได้หยิบเอามะละกอหวานออกมา เขานั้นได้พันธุ์มะละกอนี้มาจากห้วงเวลาฯตำนานเทพแห่งความชั่วร้าย
เมื่อเขายื่นให้เตียนจงยี่แล้วก็ได้พูดขึ้นมาว่า “วิธีการปลูกมะละกอพันธุ์นี้ไม่ได้แตกต่างจากมะละกอทั่วไปมากนัก”
“แล้ว…มะละกอนี้มีความพิเศษยังไงครับ” เตียนจงยี่เองเมื่อหยิบขึ้นมาดูแล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา เพระว่าเขานั้นไม่เห็นความแตกต่างจากมะละกอปกติตรงไหน
“เรื่องนี้คุณมองไม่ออกหรอก คุณต้องลองชิมดูหลังจากนำมันไปประกอบอาหารแล้วเท่านั้น”
ซูจิ้งพูดพร้อมสั่งให้เสี่ยวไจ๋นำมะละกอไปทำโจ๊กจากหม้อที่เขาเตรียมเอามา
เสี่ยวไจ๋ทำโจ๊กอย่างง่ายด้วยหม้อความดันทำให้ไม่นานโจ๊กก็ถูกปรุงเสร็จพร้อมกลิ่นหอมเย้ายวนไปทั่วห้อง จนเล็ดรอดออกไปจากห้องเลยทีเดียว
“อร่อยยยยย!!!!!!!!” เสี่ยวไจ๋และเตียนจงยี่อุทานออกมาพร้อมกันแทบจะทันทีที่ตักโจ๊กเข้าปาก
“รสชาติไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ…” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มเมื่อเห็นทั้งสองคนกำลังจ้วงโจ๊กจากชามกินอย่างเมามันส์ด้วยสายตาตื่นตะลึงทุกครั้งที่ได้สัมผัสรสชาติในแต่ละคำ
หลังจากหมดแล้วพวกเขายังตักเติมอีกสามสี่ครั้งโดยไม่สนใจว่าความร้อนของโจ๊กจะลวกปากแต่อย่างใด
“พระคุณเจ้า ทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้กัน” เตียนจงยี่ตกตะลึงในทันทีที่เขารู้ตัวว่าซัดเข้าไปหลายชามแล้ว
เขาเองก็รู้มาบ้างว่าซูจิ้งคือเทพแห่งพ่อครัวด้วยเช่นกัน หากซูจิ้งเป็นคนทำโจ๊กหม้อนี้เขาจะไม่แปลกใจเลย
แต่นี่เพียงแค่เพิ่มมะละกอลงไปในอาหารเท่านั้นโดยไม่ต้องใช้ฝีมืออะไรเลยกลับทำให้อาหารอร่อยได้มากมายขนาดนี้
นี่สามารถบ่งบอกได้เลยว่ามะละกอนี้หวานมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมมันถึงถูกเรียกว่ามะละกอหวาน มันหวานสมชื่อของมันจริงๆ
GGS:บทที่ 815 ไม่ใช่ศัตรู ก็ใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันได้
“คุณซู แล้วมะละกออีกพันธุ์ที่ว่านั่นล่ะ” เตียนจงยี่อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“โปรดดูนี่” ซูจิ้งพูดพร้อมนำมะละกอเกล็ดงูออกมาจากถุงและวางไว้บนโต๊ะ
เตียนจงยี่ได้หยิบมะละกอขึ้นมาดูเพื่อตรวจสอบ เขาพบว่ามะละกอนี้มีลักษณะรูปทรงเหมือนมะละกอทั่วไป แต่ก็มีบางอย่างที่ไม่เหมือนเช่นกัน
ทำให้เขาประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า “มะละกอพันธุ์นี้ช่างประหลาดจริงๆ ผมเองก็ไม่เคยเห็นมะละกอแบบนี้มาก่อน มะละกอนี้อร่อยงั้นหรอ”
“อร่อยโคตร อ่ะแฮ่ม เอ่อ… มันอร่อยก็จริงแต่ว่ามะละกอนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับการกินหรอกครับ
ผมจะบอกตรงๆกับคุณก็แล้วกันว่ามะละกอนี้เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผงเสริมทรวงอก
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงบอกว่ามะละกอนี้ไม่ได้มีไว้ขาย สำหรับมะละกอนี้ผมจะให้ราคาที่สูงกว่าราคาท้องตลาดอย่างแน่นอน
อ้อเกือบลืมไปเลย ผมจะบอกว่าเมล็ดพันธุ์ทั้งหมดของพืชทั้งสามชนิดนี้ผมถือครองไว้แต่เพียงผู้เดียว
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงกล้าบอกออกมาว่าเราจะกลายเป็นเจ้าตลาดการค้าแต่เพียงผู้เดียว” ซูจิ้งพูดออกมา
เตียนจงยี่เองแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด
พืชทั้งสามชนิดประกอบด้วย กุหลาบสีน้ำเงิน มะละกอหวาน และมะละกอเกล็ดงู
ยิ่งไปกว่านั้นหากเขาร่วมมือสามารถที่จะมานั่งสักการะหน้าองค์อจละนี้ทุกวันวันละชั่วโมงข้อเสนอนี้ยากที่จะทำให้เขาปฏิเสธได้
หลังจากที่เขาครุ่นคิดนิดหน่อยเขาก็เอ่ยปากออกมาว่า “คุณซู ผมขอบอกความจริงกับคุณเลยก็แล้วกันนะว่าตอนนี้ผมเองก็มีปัญหาด้านธุรกิจพอสมควรจนทำให้ผมต้องมาที่วัดหลานเล่อนี่เกือบทุกวัน
ถึงแม้องค์พระอจละนี้จะช่วยให้ผมมีความกล้าพอในการที่จะเผชิญปัญหานี้ได้ก็ตาม
แต่ปัญหาของผมนั้นไม่ใช่แค่มีความกล้าที่จะเผชิญหน้าก็สามารถแก้ปัญหาลงได้”
“ปัญหาของคุณเตียนที่ว่าก็คือซุนหยูเฮงใช่รึเปล่าครับ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ครับ ดูเหมือนคุณซูเองก็เตรียมตัวมาระดับหนึ่งแล้วสินะครับเนี่ย” เตียนจงยี่พยักหน้ารับ
ก่อนที่ซูจิ้งจะมาที่นี่ เขานั้นได้สืบประวัติของเตียนจงยี่มาเรียบร้อยชนิดที่ว่าหมดแม้แต่เปลือกเลยทีเดียว
เขานั้นได้ให้คนไปสืบประวัติเพื่อหาว่ามีบริษัทไหนบ้างที่มีความสามารถด้านธุรกิจการเกษตรแบบครบวงจรดูแล้วเขาก็พบกับบริษัทของเตียนจงยี่ที่มีความสามารถไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร
ถึงแม้ว่าช่วงนี้ผลประกอบการไม่สู้ดีนักแต่หลักๆแล้วนั่นเป็นเพราะคู่แข่งของเขานั้นซุนหยูเฮง นี่ทำให้ซูจิ้งประหลาดใจไม่น้อยเลย
หลายปีก่อนนั้นเตียนจงยี่ถือได้ว่าเป็นเจ้าตลอดภายในจังหวัดของเขา
แต่เมื่อปีที่แล้วซุนหยูเฮงได้ขยายกำลังการผลิตจนเข้ามาตั้งอยู่ภายในจังหวัด และกลายเป็นคู่แข่งของเขาในเวลาต่อมา
ตอนแรกนั้นก็เหมือนกับว่าเป็นการแข่งขันกันธรรมดา ด้วยการที่เขานั้นเป็นเจ้าบ้านทำให้ได้เปรียบพอสมควรโดยเขาเป็นเจ้าตลาดมาตลอดจนในที่สุดซุนหยูเฮงเริ่มโกรธจัดจนเริ่มเล่นตุกติกขึ้นมา
ในจังหวัดแห่งนี้เขานั้นถือได้ว่าเป็นเจ้าในทุกผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรโดยไม่มีใครเทียบเคียงได้ และนั่นก็ถือได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบเดียวของเขา
สำหรับเรื่องอื่นอย่าง อำนาจ ภูมิหลัง หรือแม้แต่เงินทอง เขานั้นเทียบเคียงซุนหยูเฮงไม่ได้เลย
ซุนหยูเฮงนั้นถือได้ว่าเป็นหนึ่งในตระกูลซุน ตระกูลอันน้อยนิดที่มีฐานอำนาจอยู่ที่เมืองหลวงได้
นั่นหมายความว่านอกจะมีอำนาจในมือแล้ว เขายังมีเส้นสายในหน่วยงานภาครัฐอย่างแน่นอน
แค่สองอย่างนี้เตียนจงยี่ก็ไม่มีทางสู้ได้แม้แต่น้อย เมื่ออยู่ต่อหน้าตระกูลใหญ่แล้วความสามารถของเขาไม่ได้มีค่าเทียบได้กับเส้นสายเลยแม้แต่ปลายก้อย ทำให้เขานั้นต้องถอยล่นมาเรื่อยๆเรื่อยๆ
ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าซุนหยูเฮงจะไม่แค่ต้องการบีบตลาดของเขาให้แคบลงแต่เหมือนเขานั้นต้องการทุกอย่างให้อยู่ในการครอบครองของเขา ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแม้แต่บริษัทที่เขานั้นบ่มเพาะฝูมฝักสร้างมาทั้งชีวิตให้ได้
เหตุนี้เองที่ทำให้เขานั้นต้องจิตตกจนต้องมาสักการะอยู่หน้าองค์อจละอยู่ทุกครั้งที่มีโอกาส
“ในเมื่อคุณซูด้วยสืบประวัติมาหมดแล้วละก็ คุณก็ควรจะรู้ว่าตอนนี้ด้วยสภาพของผมเองก็คงจะยากที่จะรักษาระดับในตลาดได้
ผมกลัวว่าจะไม่มีความสามารถพอที่จะเปลี่ยนผลผลิตทั้งหมดในตอนนี้เพื่อรองรับความต้องการของคุณได้
เฮ้อออ…หากเป็นปีก่อนล่ะก็ผมจะไม่ยึกยักแบบนี้หรอกครับ ผมพร้อมที่จะทำตามที่คุณซูว่าอย่างแน่นอน
แต่อย่างที่ว่าด้วยสถานการณ์ของผมในตอนนี้ผมกลัวจะทำให้ผลผลิตของคุณเสียหายเสียมากกว่า” เตียนจงยี่พูดออกมาอย่างหมดเปลือกด้วยท่าทีเศร้าสร้อย
“คุณเตียน ผมขอพูดตรงๆเลยนะว่า คุณสามารถช่างหัวไอ้บ้าตระกูลซุนไปได้เลย
นั่นก็เพราะว่าตระกูลที่ผมสังกัดอยู่นั้นเป็นตระกูลที่มาจากเมืองหลวงเช่นเดียวกัน และอำนาจของตระกูลนั้นบอกได้เลยว่าตระกูลซุนไม่มีทางหาเรื่องได้
หากคุณทำงานร่วมกับผมก็ถือว่าคุณทำงานร่วมกับตระกูลหวังด้วยเช่นกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าหากยึดถือคำพูดของคุณได้ล่ะก็ นั่นถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยครับ” ตาของเตียนจงยี่เป็นประกายมากที่สุดในชีวิตเมื่อเขาได้ยินคำพูดของซูจิ้ง
เขารู้ดีว่าสายสัมพันธ์ของซูจิ้งกับตระกูลหวังนั้นแน่นแฟ้นขนาดไหน
หากเขามีตระกูลหวังคอยหนุนหลังเขาก็ไม่ต้องกลัวซุนหยูเฮงอีกต่อไป เขารีบถามออกมาว่า “แล้วเราจะร่วมมีกันยังไงครับ”
“คุณเตียนผมของพูดตามตรงเลยว่าก่อนที่ผมมาที่นี่ผมนั้นได้วางแนวทางการร่วมมือไว้แล้วเหมือนกัน
แต่ดูเหมือนความคิดของผมเองก็ไม่ค่อยสันทัดเรื่องนี้ซักเท่าไหร่นักทำให้เสียเวลาพอสมควร
ในที่สุดผมก็คิดมาได้วิธีหนึ่ง ไม่รู้ว่าคุณจะเห็นด้วยรึเปล่า เราจะเริ่มจากผมจะลงทุนให้คุณ 300 ล้านหยวนพร้อมทั้งเมล็ดพันธุ์ทั้งของพืชทั้งสามชนิด และนั่นจะทำให้ผมเป็นหุ้นส่วนของคุณ
โดยคุณแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้ผม 70 % คุณคิดว่ายังไงครับ” ซูจิ้งพูดด้วยท่าทีตรงไปตรงมา
“นี่มัน…”เตียนจงยี่ถึงกับขมวดคิ้วในทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะกล้าขอส่วนแบ่งมากมายขนาดนี้
แต่เมื่อเขาคิดดีๆแล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าเขานั้นไม่ใช่คนละโมบแต่อย่างใด
นั่นก็เพราะอย่างแรกซูจิ้งพร้อมที่จะนำตัวเข้ามาร่วมวงในปัญหาของเขาอย่างเต็มใจ โดยยอมอาศัยเส้นสายของตระกูลช่วยคนนอกอย่างเขา
อย่างที่สอง เงินทุน 300 ล้านหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆเลย อย่างน้อยเขาเองก็หาไม่ได้ในหนึ่งปีแน่นอน
อย่างที่สาม ด้วยการที่พืชทั้งสามชนิดไม่มีคู่แข่งแต่ประการใด และจากการที่เขาสัมผัสมาแล้วนั้นบอกได้เลยว่าผลกำไรที่ได้รับนั้นเทียบกับพืชทั่วไปที่เขาปลูกแล้วไม่มีทางนำไปเทียบพืชสามอย่างนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
ถึงแม้ว่า 30 % จะฟังดูแล้วมันน้อย แต่เมื่อเปลี่ยนเป็นตัวเงินแล้วแน่นอนว่ามากกว่าเงินที่เขาหาได้ในช่วงหลายปีนี้มากมายนัก
หากเป็นเมื่อไม่กี่ปีก่อนเขาเองก็คงจะไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้อย่างแน่นอน
ไม่ใช่เพราะว่าเขาโลภมากแต่เป็นเพราะเขานั้นยังหนุ่มแน่นและมีความทะเยอทะยานอย่างมาก และด้วยสถานการณ์ตอนนั้นไม่ได้ทำให้เขากังวลต่อการเผชิญหน้ากับอนาคตแต่อย่างใด
กลับกันตอนนี้เขาเริ่มเหนื่อยหน่ายกับการดิ้นรนแล้ว
อีกทั้งเขายังมีภรรยาและลูกที่ต้องเลี้ยงดูนี่เองก็เป็นเหมือนกับจุดอ่อนของเขาที่ทำให้ไม่กล้าจะเสี่ยงกับโลกธุรกิจ
เหตุผลที่แท้จริงที่เขานั้นต้องการสักการะพระอจละอยู่ทุกวันนั่นเป็นเพราะการเผชิญหน้ากับซุนหยูเฮงได้นั้น หากไม่เสี่ยงก็จะไม่มีทางชนะได้
แต่นั่นเองก็อาจจะทำให้เขาพ่ายแพ้หมดรูปได้เช่นเดียวกัน เขาจึงต้องคอยข่มอารมณ์นี้ไว้โดยนึกถึงครอบครัวไว้เป็นที่ตั้ง
เตียนจงยี่ได้เงียบไปซักพักหนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า “คุณซู ถ้าเราต้องร่วมมือกันจริงๆผมขอเปลี่ยนข้อเสนอหน่อยได้รึเปล่า
ผมอยากจะขอให้ผมและครอบครัวได้มานั่งอยู่ต่อหน้าองค์พระอจละวันละหนึ่งชั่วโมง”
“ไม่มีปัญหาครับ” ซูจิ้งไม่ขัดข้องกับเรื่องแค่นี้อย่างแน่นอน
“คุณซูนี่เหมาะสมแล้วที่เป็นชายที่นำพาความสุขมาให้ผู้คนซะจริงๆ เฮ้อออ…นี่สิถึงพอจะคุ้มค่าที่จะไปทะเลาะกับแม่ยายของผมเรื่องที่ดินหน่อย
แต่ยังไงซะก่อนอื่นผมขอดูความเหมาะสมของพื้นที่ก่อนนะครับว่าจะเหมาะสมกับการปลูกพืชทั้งสามนี่รึเปล่า” เตียนจงยี่พูดออกมา
“ได้ครับ” ซูจิ้งพยักหน้าเห็นด้วย ถ้าเตียนจงยี่ไม่ทดสอบดูนี่สิถึงเรียกว่าแปลก
“อ้ออีกเรื่องนึง อีกไม่กี่วันจะเป็นวันเกิดของผู้ว่าการจังหวัดโดยจะมีการจัดงานขึ้น แน่นอนว่าซุนหยูเฮงต้องเข้าร่วมงานปาร์ตี้
ถ้าเป็นไปได้ผมหวังว่าคุณซูพอจะไปร่วมงานกับผม จะดีกว่าถ้าพาคุณหวังซือหยาไปด้วยได้ยิ่งดีเข้าไปอีก”
เตียนจงยี่พูดออกมาอย่างไม่ต้องคิดอะไรมาก
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนครับ อย่างน้อยๆผมต้องไปแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
เขารู้ดีว่าเตียนจงยี่กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่
เขากลัวว่าหากไปคนเดียวแล้วจะกลายเป็นเขาต้องไปพูดกับอากาศเสียมากกว่า
หากว่าซูจิ้งผู้เป็นดั่งเสือและไปพร้อมกับหวังซือหยาที่เป็นมังกรในสายตาผู้คนล่ะก็จะทำให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น
เพราะว่าซูจิ้งนั้นนอกจากจะถือได้ว่ามีฐานอำนาจเป็นของตัวเองแล้ว เขาเองก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังอีกด้วย
แต่ก็อีกนั่นแหล่ะ ข่าวลือมิสู้เจอเอง เขาจึงเข้าใจทันทีว่าทำไมเตียนจงยี่ถึงอยากให้เขาไปด้วย
ยังไงซะในเมื่อซูจิ้งต้องการที่จะพัฒนาในจังหวัดของตัวเอง ย่อมเป็นการดีที่จะมีสายสัมพันธ์อันดีกับภาครัฐในพื้นที่
ซุนหยูเองเองก็มีเส้นสายกับหน่วยงานในพื้นที่ไม่น้อยเช่นกัน เตียนจงยี่เองก็หวังไว้ว่าการปรากฏตัวของซูจิ้งกับหวังซือหยาสามารถทำให้หน่วยงานภาครัฐไว้หน้ากันบ้าง
นั่นก็เพราะว่างานนี้เป็นการประชันระหว่างซูจิ้งกับซุนหยูเฮงไปแล้ว ถ้าซูจิ้งมีน้ำหนักมากกว่า เตียนจงยี่จะทำงานได้อย่างราบลื่น
เอาจริงๆซูจิ้งก็คิดจะหาโอกาสไปป้ะหน้ากับซุนหยูเฮงอีกซักหนอยู่แล้ว
เขานั้นอยากจะพูดตอกหน้าหนักๆซักทีสองทีให้หมอนั่นกระอักเลือดออกจากปากซักรอบ
ให้โอกาสทำเงินดีๆไม่ชอบ ยังมีหน้ายกเอามาเป็นข้ออ้างเข้าหาพี่สาวที่เคารพ คนแบบนี้คบไม่ได้
เขาเองก็เตรียมคำพูดตอกหน้าเอาไว้แล้วว่า ต่อให้ไม่ใช่ศัตรู ก็ใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันได้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น