Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 800-807
GGS:บทที่ 800 ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศในหอประลองยุทธ์ตอนนี้ค่อนข้างอึมครึม
เหล่าผู้ชมในสนามตอนนี้จ้องมองซูจิ้งราวกับเห็นสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน
เขาคือคนที่ซัดนักคาราเต้กว่า 40 คนลงนอนกองกับพื้นได้ด้วยตัวคนเดียว
ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากยิ่ง ภาพแบบนี้หากจะพอเคยเห็นอยู่บ้างก็เพียงแค่ในภาพยนตร์ศิลปะการต่อสู้เท่านั้น
ขนาดนักข่าวที่ตอนซูจิ้งซัดคิมูระกระเด็นกลิ้งหลุนๆลงไปกองกับพื้นแล้วกำลังวิ่งจะไปสัมภาษณ์ ในตอนนี้พวกเขายังยืนนิ่งอยู่กับที่กลัวว่าจะโดนหางเลขไปด้วย
แต่ซูจิ้งนั้นดูเหมือนจะยังคงทำตัวธรรมดาสามัญทั่วไป เขายังคงแนะนำเพลงหมัดนี้ต่อเหล่าผู้คนที่กำลังชมการสตรีมของเขาอยู่
เขาหันไปพูดกับกล้องมือถือที่ฉือชิงกำลังถืออยู่ว่า “กระบวนท่าที่ผมใช้เมื่อครู่นี้เองก็เป็นกระบวนท่าในแต่ละรูปแบบของเพลงหมัดวัวคลั่งเช่นเดียวกัน
อย่างที่เห็น เพลงหมัดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงกระบวนท่าได้อย่างสอดคล้อง พร้อมรับทุกสถานการณ์และรุกได้เมื่อสบโอกาส
หากคุณได้เรียนรู้แล้ว ผมรับประกันได้เลยว่าคุณจะทำได้แบบเดียวกับผม
แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าการฝึกเพลงหมัดนี้หลังจากฝึกแล้วจะเหนื่อยมาก เพราะฉะนั้นอย่าฝืนฝึกหากว่าไม่พร้อมแล้วค่อยกลับมาลองทีหลังก็ยังได้
หากว่าพวกคุณลองฝึกตามวีดิโอนี้แล้วพบว่า ร่างกายรับไหวและสนุกไปกับมัน พวกเขาสามารถเข้ามาเรียนรู้กระบวนท่าอื่นได้ที่โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์ได้นะครับ”
หลังจากได้ยินที่ซูจิ้งพูด ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง และจี้เสี่ยวถิงต่างก็นิ่งอึ้งไปพร้อมๆกัน พวกเขาประหลาดใจมากที่ซูจิ้งโฆษณาโรงฝึกของพวกเขาอย่างนี้
ยิ่งไปกว่านั้นการที่เขาพูดอย่างนี้นั่นหมายความว่าซูจิ้งจะยอมสอนรูปแบบที่สองและสามแบบเต็มๆให้กับโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวของพวกเขา
หวู่หลงในตอนนี้ได้จ้องมองไปยังฮัวเฟยหยุนและคนอื่นๆ เขาเองก็ได้เห็นความกล้าหาญของคนพวกนี้ไม่น้อยเลยจึงตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวสัประยุทธ์ ต่อให้ต้องมอบโรงเรียนสอนศิลปะป้องกันตัวของเขาให้คนอื่นก็ตาม
“ซู ซูจิ้ง เพลงหมัดว..วัวคลั่งนี้มีที่มาที่ไปยังไงหรือ…ครับ” นักข่าวชายวัยกลางคนในที่สุดก็รวบรวมความกล้าจนสามารถเดินเข้าไปถามซูจิ้งเพื่อขอสัมภาษณ์ แต่ดูเหมือนเขาก็ยังกลัวอยู่บ้างเลยยืนสัมภาษณ์แบบห่างๆกว่าที่ควรจะเป็น
“ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอกครับ ผมเองได้ลองสร้างศิลปะการต่อสู้ของตัวเองดูเพราะผมเคยได้เห็นวัวกระทิงถูกรุมด้วยคนหลายคนแต่ก็ยังรอดมาได้ ผมก็เลยลองเลียนแบบดูบ้างแค่นั้นเอง”
เอาจริงๆเขาก็ไม่อยากพูดออกมาอย่างนี้ซักเท่าไหร่แต่ถ้าจะให้บอกความจริงว่ามาจากห้วงเวลาอื่นฯเขาก็ไม่ไหวจะเคลียเหมือนกัน เขาจึงขอสมอ้างเองดีกว่า
“แล้ววว..ผู้หญิงสามารถฝึกได้รึเปล่าคะ” นักข่าวหญิงคนหนึ่งได้ถามออกมา
“ได้อย่างแน่นอนครับ การฝึกเพลงหมัดชุดนี้ไม่เพียงจะทำให้มีวิชาไว้ใช้ป้องกันตัวเองได้ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยกระชับสัดส่วน หากว่าใครก็ตามที่อยากออกกำลังกายเพียงเพื่อการกระชับสัดส่วนอยู่แล้ว ผมขอแนะนำเพลงหมัดนี้เป็นทางเลือกให้พวกคุณครับ” ซูจิ้งพูดออกมา
ความจริงนั้นเขาไม่ค่อยชอบการให้สัมภาษณ์นักข่าวแบบนี้เลย แต่เวลานี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เพราะยิ่งเขาสร้างชื่อเสียงให้เพลงหมัดนี้มากเท่าไหร่ ค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าไม่นำเพลงหมัดมาแสดงออกสื่ออย่างนี้ล่ะก็ คงอีกนานกว่าจะได้ค่าการใช้ประโยชน์อย่างแน่นอน
นอกจากนี้วิธีการนี้ยังช่วยเพิ่มค่าความศรัทธาของเหรียญตราเทวฑูตและค่าความโหดร้ายของเหรียญตรายมฑูต(ปีศาจ)ได้อย่างแน่นอน
ในขณะที่สัมภาษณ์ คิมูระ โอฉิงซงและสมาชิกสำนักคาราเต้ยังพยายามจะตะเกียกตะกายออกจากที่นั่น
พวกเขาเองไม่อยากจะเป็นที่สนใจของนักข่าวอีกต่อไปเพียงอยากออกไปจากที่นี่ก็พอ แต่ที่พวกเขาทำได้ตอนนี้ก็เพียงการคลานไปกองอยู่ขอบสนามเท่านั้น
นักข่าวยังคงสัมภาษณ์ซูจิ้งต่อไปเป็นเวลาร่วมๆ 20 นาที ในที่สุดซูจิ้งและคนอื่นๆก็ได้พากันออกจากหอประลอง
ซูจิ้งไม่ได้ตรงกลับบ้านแต่เลือกที่จะไปโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้สัประยุทธ์เพื่อที่จะสอนเพลงหมัดวัวคลั่งทั้งสามรูปแบบให้กับฮัวฮงหยาง ฮัวเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และไชวูเฟิง
แน่นอนว่าทุกคนแม้แต่ฮัวฮงหยางเองก็ไม่สามารถจะจดจำและเรียนรู้ได้หมดในคราวเดียว ซูจิ้งจึงได้อัดวีดิโอเอาไว้ให้พวกเขา
ฮัวฮงหยาง ฮัวเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง ไชวูเฟิง และนักเรียนคนอื่นๆต่างก็รู้สึกได้ว่า หลังจากเรียนเพลงหมัดนี้แล้ว ร่างกายมีความอบอุ่นมากขึ้น ความรู้สึกเหมือนกับว่าทุกส่วนของร่างกายแข็งแกร่งขึ้นแบบนี้ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกมหัศจรรย์ใจ
พวกเขาต่างก็คิดกันว่าซูจิ้งเปรียบได้ดั่งผู้วิเศษในวงการศิลปะการต่อสู้
เขาพึ่งจะเข้าวงการนี้มาได้แค่ประมาณปีหนึ่ง ขนาดไม่ค่อยได้เรียนเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
แต่กลับมีฝีมือเทียมฟ้าเหนือผู้คน แถมยังสร้างเพลงหมัดที่ทรงพลังขนาดนี้ขึ้นมาได้อีก
ในขณะเดียวกัน ข่าวที่ซูจิ้งดวลเดี่ยวกับนักคาราเต้สี่สิบคนพร้อมกันด้วยตัวคนเดียวโดยใช้เพียงเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ได้แพร่กระจายไปบนอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว มีหลายคนที่ลองฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ตามวิดีโอแล้วเหมือนกัน
หากเปรียบเทียบเพลงหมัดวัวคลั่งนี้กับเพลงหมัดที่ได้จากห้วงเวลาฯเฉินมู่แล้ว เพลงหมัดวัวคลั่งนี้ฝึกตามได้ง่ายกว่ามาก
และหากลองเทียบกับศิลปะการต่อสู้อื่นบนโลกแล้ว เพลงหมัดนี้ก็ยังถือว่าฝึกง่ายกว่าศิลปะการต่อสู้อื่นๆอยู่พอสมควร
และต่อให้เป็นคนที่ไม่ได้มีทักษะการต่อสู้ดีซักเท่าไหร่ ตราบใดที่ยังคงฝึกอย่างสม่ำเสมอมันก็ยังส่งผลดีกับร่างกายและใช้ป้องกันตัวได้พอสมควร
แต่หากเป็นคนที่มีทักษะการต่อสู้แล้วจะยิ่งแสดงอาณุภาพได้ดียิ่งขึ้น
ผู้คนทั่วประเทศจีนในตอนนี้ต่างก็รับรู้ได้ถึงความวิเศษของเพลงหมัดวัวคลั่งแล้วในตอนนี้
พวกเขาเองก็ได้ลองฝึกตามวิดีโอแล้วเหมือนกัน ทันทีที่ฝึกพวกเขารู้สึกได้เลยว่าสุขภาพของพวกเขาดีขึ้น
ตอนนี้มีพวกเขาจำนวนมากที่ได้แต่อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในทุกวัน
ในหมู่พวกนั้นมีคนที่เป็นโนคกระดูกพรุน หรือไม่ก็เป็นพวกมีอาการบางอย่างที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก แต่
คนเหล่านี้เมื่อได้ลองฝึกเพลงหมัดนี้ ต่างก็รู้สึกว่าร่างกายส่วนนั้นมีอาการดีขึ้น เรียกว่าได้ผลดีเสียยิ่งกว่าไปหาหมอซะอีก
ในโรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้แห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งกำลังยืนอยู่โดยที่เขาได้วางเท้าข้างหนึ่งไปข้างหน้า เท้าข้างหนึ่งอยู่ข้างหลังเล็กน้อยและได้ย่อตัวลง
เขาทำการจับเส้นเอ็นที่ต้นขาทั้งสองข้างพร้อมทั้งทำการเขย่าอย่างรุนแรงและทำการกรีดเส้นและทำการทุบอย่างแรงจนกระทั่งเส้นเอ็นดังกล่าวส่งเสียงดังปึ้ดเล็กน้อย
หลังจากนั้นเขาก็จับไปบริเวณน่องแล้วทำเช่นเดียวกัน หลังจากนั้นจึงปล่อยมือแล้วก้าวเดินออกไป
นี่เป็นกระบวนท่าหนึ่งของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่หนึ่งหมัดวัวคลั่ง
ชายวัยกลางคนคนนั้นยังคงพยายามต่อไป
เมื่อเขาเดินไปได้อีกหลายก้าว ในตอนนี้เขารู้สึกได้ความร้อนที่เกิดขึ้นภายในขาของเขา และเกิดอาการคล้ายกันในทุกส่วนของร่างกาย
ด้วยความรู้สึกแข็งแกร่งที่เขาสัมผัสได้ในตอนนี้ เขาเริ่มครางออกมา หลังจากนั้นเขาก็ได้กัดฟัน กลั้นลมหายใจ และตั้งสมาธิไว้ที่แขนของตนเอง และต่อยออกไป
กล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายสั่นไหวในขณะที่ปล่อยหมัด มันเหมือนกับว่ามีพลังงานบางอย่างไหลไปรวมอยู่ที่หมัดของเขา มันความรู้สึกที่บอกไม่ถูก มันทั้งทรงพลัง สดชื่น และผ่อนคลาย
“เพลงหมัดชุดนี้ช่างทรงพลังจริง ซูจิ้งนี่วิเศษมาจากไหนกัน เขาถึงสามารถสร้างเพลงหมัดดีๆแบบนี้ทั้งที่ยังเยาว์นัก
ดูเหมือนว่าในที่สุดฉันเองก็พบศัตรูที่คู่ควรแล้ว” ชายวัยกลางคนคนนี้ได้หยุดการฝึกลงพร้อมมองร่างกายตัวเองด้วยความตกใจ
ด้วยการที่ตัวตนของเขานั้นแทบจะอยู่ในจุดสูงสุดของวงการศิลปะการต่อสู้ในตอนนี้แล้ว จึงรับรู้ได้ถึงอาณุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ดียิ่งกว่าใคร
ในค่ายทหารแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนตัวสูงได้ยืนข้างหน้าชายหนุ่มตัวสูงสามคน ชายวัยกลางคนได้พูดขึ้นมาว่า “เข้ามาเลยทั้งสามคน ขอฉันได้ลองหมัดวัวคลั่งนี่หน่อยเถอะ”
“ครูฝึกจะให้พวกเราสามคนเข้าไปพร้อมกันเลยหรือครับ” ชายทั้งสามได้ถามด้วยความจริงจัง
ที่ผ่านมานั้นพวกเขาเป็นทีมเดียวกันมาตลอด และตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเขาไม่เคยชนะครูฝึกคนนี้ได้เลย ถึงแม้จะเลื่อนยศมาระดับเท่ากันแล้วแต่ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม ครั้งนี้หากพวกเขาร่วมมือกันแล้วชนะพวกเขาก็ไม่คิดจะอิดออดแม้แต่น้อยเพราะได้ระบายแค้นอยู่บ้าง
“แน่นอน เข้ามา” ครูฝึกวัยกลางคนยิ้มยั่ว
“ดีงั้นพวกผมไม่เกรงใจล่ะนะ” ชายสามคนมองหน้ากันด้วยแววตาแห่งชัยชนะก่อนที่จะพ่งุเข้าไปด้วยกัน ขณะเดียวกันก็ได้มีเสียงดังมาจากโดยรอบนั่นก็คือสมาชิกคนอื่นที่คอยส่งเสียงเชียร์ให้คนต่อยกัน
“ปังปังปัง” ไม่ถึงสองนาที ชายทั้งสามก็ร่วงลงไปนอนกับพื้น พร้อมเสียงเชียร์จากผู้ชม ชายตัวสูงที่กำลังยืนอยู่นิ่งๆดูสภาพของชายสามคนที่นอนกองกับพื้นด้วยฝีมือของตัวเองได้พูดขึ้นว่า “ไอ้ตัวเหม็นเอ้ย พวกแกน่ะท้าทายฉันได้ แต่กว่าจะสู้ฉันได้ รอไปอีกร้อยปีแล้วกัน ฮ่าฮ่าฮ่า”
ชายสามคนนั้นรู้สึกจิตตกในทันที ขนาดพวกเขาร่วมมือกันสามคนยังเอาชนะเพลงหมัดนี้ไม่ได้ ช่างเป็นเพลงหมัดที่ทรงพลังจริงๆ
หลังจากเห็นอาณุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งแล้ว คนอื่นๆในกลุ่มของพวกเขาก็ตะลึงไม่น้อย
มันเหมือนกับว่าในทุกที่ในเมืองจีนตอนนี้มีคำสั่งลับๆออกมาว่าให้ทดลองฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนี้
ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนสอนศิลปะการตอ่สู้ ค่ายทหาร โรงพละ หรือแม้แต่สนามประลองก็ตาม
ทั่วทั้งประเทศในตอนนี้ได้หลั่งไหลให้ความสนใจในการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนี้กันอย่างล้นหลาม
เพลงหมัดนี้ได้รับความนิยมประหนึ่งดังเป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติไปแล้ว
คนที่ฝึกล้วนแต่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าหลังจากฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งแล้วทำให้ร่างกายรู้สึกสบายขึ้น ผ่อนคลายมากขึ้น รูปร่างดีขึ้น ตลอดจนถึงกับทำให้อาการของโรคบางอย่างหายไปได้
สำหรับซูจิ้งเองนั้นในตอนนี้อันดับของเขาในรายการจัดอันดับดาราได้พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แม้แต่คนในวงการบันเทิงที่ออกงานอยู่บ่อยครั้งก็ยังต้องโง่งมเมื่อพวกเขาทราบข่าว
พวกเขาต่างสงสัยกันว่ากะอีแค่เพลงหมัดชุดเดียวทำให้คนๆหนึ่งเด่นดังขนาดนี้ได้ยังไง
ซูจิ้งเองก็มีความสุขไม่น้อยเช่นกัน แต่ไม่ใช่พระจากอันดับดาราที่เพิ่มสูงขึ้น และไม่ใช่จากเหรียญตราเทวฑูตและยมฑุตแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วต่างหาก
GGS:บทที่ 801 ผู้มาเยือน
เช้าวันถัดมา รถออดี้คันหนึ่งมาจอดที่หน้าบ้านของซูจิ้ง พวกเขาได้แนะนำตัวกับต้ามู่และเสี่ยวมู่ได้ฟังแล้ว แต่ซูจิ้งสั่งพวกมันไว้ว่าตอนนี้เขายุ่งมาก วันนี้ไม่รับแขก พวกมันเลยจ้องมองไปยังคนที่มาแบบนิ่งๆ
สักพักได้มีรถหรูเข้ามาอีกสองคัน และคนอีกกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินเข้ามา โดยหนึ่งในนั้นมีหวังซือหยาอยู่ด้วย
มีต้ามู่และเสี่ยวมู่เห็นซือหยาก็ได้รีบบินไปเรียกซูจิ้งในทันทีโดยไม่ต้องการฟังคำอธิบายใดๆ ไม่นานนักซูจิ้งก็มาเปิดประตูรับที่หน้าบ้าน
“วันนี้พี่สาวซือหยามาด้วยเหตุอันใดครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ห้ะ ทำไม เดี๋ยวนี้นายไม่ต้อนรับฉันแล้วรึไงกัน” หวังซือหยาหัวเราะไปหึหนึ่งก่อนพูดออกมา
“ต้อนรับสิคร้าบ” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะเหลือบไปเห็นคนอื่นๆที่ยืนอยู่กันเป็นกลุ่ม และหลังกลุ่มนี้ก็มีคนอีกกลุ่มหนึ่งประกอบด้วย โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และพระอีกสองรูป
ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจจนต้องถามออกมาว่า “คุณโจว มาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”
“พวกเราก็มาแล้วสักพักหล่ะ แต่นักแก้วของนายน่ะสิไม่ยอมให้เข้าไป อธิบายไปยังไงก็ยังเฉยเมยต่อพวกเรา” โจวฮงหยวนรู้สึกหน่ายจิตในทันที นี่เขาต้องมาแพ้ให้นกแก้วเพียงสองตัวเหรอเนี่ย
“ฮ่าฮ่า โทษทีๆ พอดีวันนี้ผมยุ่งๆก็เลยบอกพวกมันไปว่าถ้าไม่ใช่เหตุด่วนเหตุร้ายไม่ต้องไปตามน่ะ” ซูจิ้งกล่าวขอโทษออกมาเป็นการใหญ่
“เป็นทางเราที่ผิดเองล่ะนะ” โจวฮงหยวนพูดออกมา
พลางก็นึกถึงหวังซือหยาที่มาถึงแล้วยังไม่ได้พูดอะไร เจ้านกสองตัวนี้ก็รีบแจ้นไปเรียกเจ้านายของมันมาทันที
ถึงแม้จะเชื่อได้ยากก็ตามแต่นี่แสดงให้เห็นว่าซูจิ้งและตระกูลหวังนั้นมีสายสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากันอยู่ เรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่ผิดอย่างแน่นอน
“อย่ามามัวยืนคุยกันอยู่ที่หน้าประตูเลยน่า เข้ามากันก่อน” ซูจิ้งพูดก่อนจะเดินนำทุกคนไปยังสวนหลังบ้าน
ทุกคนต่างตกตะลึงในความสวยงามสวนของซูจิ้งยกเว้นเพียงแค่หวังซือหยาเท่านั้นที่เห็นมาบ่อยแล้ว
แม้แต่โจวฮงหยวนและโจวเทียนรุยที่เห็นมาแล้วสองสามครั้ง แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะตื่นตาตื่นใจทุกครั้งไป
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่นที่ตอนนี้ที่กำลังตื่นเต้นกับภาพความสวยงามที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าด้วยหน้าตาเด๋อๆด๋าๆไม่รับรู้สิ่งใด
“ผมก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกันจากซือหยาว่าสวนของคุณซูนั้นสวยจนน่าตกตะลึงประดุจดั่งสวนสวรรค์ แต่พอได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้วนี่บอกได้เลยว่าได้ยินไม่สู้ได้เห็นจริงๆ” ชายวัยกลางคนตัวสูงได้กล่าวชมออกมา เขานั้นดูเหมือนจะอายุประมาณสามสิบปีและมีหน้าตาที่หล่อเหลาอยู่บ้าง เพียงแต่ผิวพรรณนั้นดูไม่ดีเท่าไหร่ออกจะดูกระดำกระด่างไปซักหน่อย
“กล่าวชมเกินไปแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาในขณะที่จ้องไปยังชายตรงหน้า
“อาจิ้ง ฉันยังไม่ได้แนะนำให้นายรู้จักสินะ คนๆนี้มีชื่อว่า ซุนยูเฮ็ง ลูกชายคนที่สามของตระกูลซุนแห่งเมืองหลวง
เขานั้นมีความสนใจเป็นพิเศษในเรื่องพืชไร่และพืชสวนน่ะ” หวังซือหยากล่าวแนะนำตัวพลางขยิบตาให้ซูจิ้ง
ซูจิ้งเองก็เข้าใจทันทีว่าซือหยาต้องการจะสื่ออะไร ด้วยการที่ยอดขายของผงกระชับทรวงอกและกุหลาบสีน้ำเงินนั้นได้รับความนิยมอย่างมาก
และมะละกอเกล็ดงูที่เป็นทั้งวัตถุดิบและผลผลิตเองก็ใกล้ที่จะถึงขีดสุดในการผลิตด้วยความสามารถของพวกเขาแล้ว
เป็นธรรมดาที่พวกเขาอยากจะขยายกำลังการผลิตแป้งกระชับทรวงอกและเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกกุหลาบสีน้ำเงินและมะละกอเกล็ดงู
ที่ดินที่พวกเขาใช้ในการผลิตเองก็ถือได้ว่าอยู่ไกลมาก หากพวกเขาคิดจะแก้ปัญหาด้วยการให้เมืองใกล้ๆเป็นศูนย์กลางการผลิตของพวกนี้ก็ตาม
แต่ด้วยการที่จะต้องเข้าถึงให้ได้ตั้งแต่หน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ไล่ลงไปจนถึงประชาชนในพื้นที่ให้ร่วมมือปลูก ต่อให้มีการเซ็นสัญญาค้ำประกันไว้
แต่ก็ถือว่ามีความเสี่ยงและต้องเสียเงิน เสียแรง และเสียเวลาไปมหาศาลอยู่ดี นี่ถือว่าเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงพอสมควร
แต่หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาไปร่วมมือกับบริษัทที่เป็นยอดฝีมือด้านการเกษตรอยู่แล้ว จะช่วยให้พวกเขานั้นประหยัดเวลาไปได้อย่างมาก
“สวัสดีครับคุณซุน” ซูจิ้งเอ่ยคำทักทาย
“สวัสดีเช่นกันครับคุณซู”
ซุนยูเฮ็งเองก็ยื่นมือไปจับมือของซูจิ้ง พลางพูดออกมาว่า “เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีว่านะครับ ผมเองก็ไม่อยากจะรบกวนซักเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ที่ผมมาเพราะว่ามีความต้องการที่ออกจะเห็นแก่ตัวอยู่เหมือนกัน
ผมมีโอกาสได้เห็นภาพพระสูตรและรูปพระพุทธที่ถูกเผยแพร่บนอินเตอร์เนตเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมไม่ทราบว่ารูปต้นฉบับเหล่านั้นยังอยู่ที่คุณซูรึเปล่าครับ”
ซูจิ้งยังไม่ได้ตอบอะไรแต่โจวฮงหยวนเองก็ได้แทรกเข้ามาว่า “คุณซุนนี่ก็มาด้วยเรื่องหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธเหมือนกันเช่นนั้นหรือ”
เดิมทีทั้งสองต่างก็ไม่ได้รู้จักกันแม้แต่น้อย แต่เพียงสิ้นประโยคนี้บรรยากาศรอบตัวได้เปลี่ยนไปในทันที
ซูจิ้งเองก็นึกขำอยู่ไม่น้อย เขาเองก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมคนที่อยากได้ของๆเขานั้น จะมาเหลื่อมกันซักวันสองวันก็ไม่ได้ ชอบมาเจอกันซะจริงๆ
เอาจริงๆเขานั้นก็เผยแพร่ภาพเหล่านั้นไปตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่มีใครสนใจติดต่อเขาเลย พอเขาเลือกที่จะปล่อยไปผู้คนต่างก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นอยากครอบครองต้นฉบับหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธขึ้นมาซะอย่างนั้น แถมมาพร้อมกันซะอีก อย่างที่เขาว่ากันไว้ว่าแค่ภาพถ่ายมีหรือจะสู้ของจริงได้
ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “ต้นฉบับจริงนั้นอยู่ที่ผมเองนั่นแหล่ะ เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังดีกว่า ตอนนี้เรามานั่งลงและดื่มชากันก่อนดีกว่าครับ”
โจวฮงหยวนและซุนยูเฮงต่างก็ไม่ขยับกันไปไหน มองกันอยู่อย่างนั้น
ทันใดนั้นพระรูปหนึ่งที่บวชมา 17 พรรษาได้ตรงเข้ามาจับมือซูจิ้งก่อนที่จะพูดว่า “สวัสดีครับคุณซู เรามาประลองกันหน่อยไหม”
ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปในทันที โจวฮงหยวนเองก็ได้รีบดึงพระหนุ่มรูปนั้นกลับมา
ชางดงก็ได้พูดขึ้นมาว่า “เสี่ยวไจ๋ เราค่อยพูดเรื่องนี้กันทีหลัง” แต่ไม่ว่าทั้งสองจะดึงพระรูปนั้นออกไปยังไงร่างกายของพระหนุ่มก็ไม่ได้มีการไหวติงแม้แต่น้อย ประหนึ่งดังพวกเขากำลังชักเย่อกับภูเขาลูกหนึ่ง
ซูจิ้งสายตาส่องเป็นประกายในทันทีก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ท่านอาจารย์น้อยท่านนี้สมควรจะเป็นผู้ฝึกตนใช่หรือไม่”
โจวฮงหยวนจึงได้ตอบว่า “พระรูปนี้ชื่อเสี่ยวไจ๋ เขาเองก็ได้ฝึกศิลปะการต่อสู้ของวัดเรามาตั้งแต่เด็ก
ถึงจะเห็นว่าเขาเป็นพระรูปหนึ่ง แต่เขาเองก็มีกำลังปานโคถึกมาตั้งแต่เด็กแล้ว และก็มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ไม่น้อยเลย
เมื่อวันก่อนตอนที่เขาเห็นนายใช้เพลงหมัดวัวคลั่ง
เขาเองก็ฝึกแบบข้ามวันข้ามคืนจนกระทั่งผ่านไปซักสองวันให้หลังพอเริ่มหิวถึงเลิกฝึก
พอเขารู้ว่าฉันจะมาหานายก็เลยขอตามมาด้วย
เขาเองยังคอยพูดกรอกหูฉันมาตลอดทางเลยว่าให้ฉันศรัทธานายเหมือนเขาที่ศรัทธานายประดุจดั่งอาจารย์ของฉัน”
ซูจิ้งถึงกับยิ้มออกมาก่อนพูดต่อว่า “เคารพฉันเป็นอาจารย์แล้วอาจารย์เขาจะไม่ว่าอะไรหรอ”
โจวฮงหยวนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอาจารย์เชิงหยานนั้นเองแทบจะถวายพานให้นายเลยด้วยซ้ำมีรึจะว่า”
“ฉันก็ไม่ได้รังเกียจหรอกนะ เพียงแต่ว่าฉันก็กลัวจะสอนนายไม่ได้อย่างที่นายหวังหรอก เปลี่ยนเป็นให้ฉันช่วยแนะนำดีกว่า” ซูจิ้งหยุดนึกสักครู่ก่อนจะหันไปหาซุนหยูเฮงก่อนจะพูดว่า “คุณซุน เราพอจะคุยเรื่องหัวใจพระสูตรทีหลังได้รึเปล่าครับ”
“ได้แน่นอน ผมเองก็สนใจเพลงหมัดวัวคลั่งนี้อย่างไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน” ซุนหยูเฮงยิ้ม
หลังจากนั้นภาพที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนในตอนนี้ก็คือพระหนุ่มเสี่ยวไจ๋ได้กำลังแสดงท่าทางต่างๆทั้งมือและเท้าในลานว่างใกล้ๆ
กระบวนท่ากว่า 100 รูปแบบของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่หนึ่ง หมัดวัวคลั่ง ถูกแสดงให้เห็นออกมาด้วยท่าทีที่ดุดันประหนึ่งดั่งวัวตัวหนึ่งก็ไม่ปาน
ทันทีที่ซูจิ้งเห็นก็ได้แต่ยืนนิ่งอีกครั้ง นี่คือผลจากการเรียนรู้เพียงแต่สองวันเนี่ยนะ โคตรอัจฉริยะ
ถ้าหากว่าเขาไม่นับพวกของยิบย่อยที่ได้จากขยะห้วงเวลาฯแล้วล่ะก็ เพลงหมัดวัวคลั่งนี้ถือว่าเป็นของดีที่สุดที่เขาได้จากขยะห้วงเวลาฯชุดนี้ คนธรรมดาทั่วไปย่อมเป็นไปได้ยากที่จะฝึกได้สำเร็จ
แต่กับเสี่ยวไจ๋ผู้นี้ที่ใช้เวลาฝึกเพียงสองวันเขาก็ฝึกได้จนเกือบจะเข้าถึงแก่นแท้ของเพลงหมัดชุดนี้แล้ว
ช่างเป็นคนที่เหมาะกับคำว่าอัจฉริยะด้านการต่อสู้จริงๆ
“ปัง” เสียงดังสนั่นเกิดขึ้นมาหลังจากที่กระบวนท่าสุดท้ายสิ้นสุดลง เสี่ยวไจ๋ได้โจมตีไปที่ก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง ก้อนหินนี้ค่อยมีเสียงดังเป็นเสียงของแข็งค่อยๆร้าว จนสุดท้ายมันก็แยกขาดจากกัน
โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย ซุนหยูเฮง หวังซือหยา ทั้งหมดต่างตกตะลึงจนแน่นิ่งไป
โจมตีหินก้อนยักษ์ให้แยกออกได้ในทีเดียว นี่เป็นหนังเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้รึไงกัน
แม้แต่โจวฮงหยวนที่รู้จักเสี่ยวไจ๋มานานก็ไม่เคยคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้ หรือว่านี่คืออานุภาพของเพลงหมัดวัวคลั่งกันแน่ ช่างเป็นเพลงหมัดที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ
“โลกใบนี้ช่างกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยเหล่าผู้มีความสามารถจริงๆ น่าจะเป็นเรื่องดีที่ได้สอนศิลปะการต่อสู้ให้เด็กนี่จะได้ช่วยให้ชื่อเสียงของเพลงหมัดวัวคลั่งเลื่องลือยิ่งขึ้น” ซูจิ้งได้ยืนขึ้นในทันทีก่อนจะพูดออกมาว่า “เสี่ยวไจ๋ มาประลองกันหน่อยสิ”
“เยี่ยม” เสี่ยวไจ๋สายตาเป็นประกายทันที
“เสี่ยวไจ๋ บอกไว้ก่อนนะว่านี่เป็นเพียงแค่การประลองเท่านั้น อย่าลงมือหนักไปนะ”
โจวฮงหยวนนั้นรีบพูดปรามเสี่ยวไจ๋ในทันที เขารู้ดีว่าเสี่ยวไจ๋นั้นมีแรงวัวถึกมาตั้งแต่เด็ก
นี่พอเขาได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งไปแล้วเขาก็กลัวว่าซูจิ้งจะสู้กับเสี่ยวไจ๋ไม่ไหวจนบาดเจ็บสาหัสได้
“อย่าไปฟังคุณโจวเลยน่า จัดมาเต็มที่เลย” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มแห่งความยินดี
“ได้ คุณซู โปรดชี้แนะด้วย” เสี่ยวไจ๋ในตอนนี้ได้ชกหมดคู่ไปยังซูจิ้งในทันที เขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งวัวตัวหนึ่งเลยทีเดียว
ซูจึ้งไม่ได้หวาดวิตกแต่อย่างใด เขามองความเคลื่อนไหวพร้อมทั้งผ่อนคลายจิตใจ ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับอาจารย์มวยที่กำลังสอนเด็กน้อยอยู่
เขาในตอนนี้เริ่มอธิบายเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สองและรูปแบบที่สามในระหว่างการต่อสู้ พวกเขาสู้กันด้วยความรวดเร็ว
พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสิบกว่ากระบวนท่า เสี่ยวไจ๋ที่มีความแข็งแรงประดุจดั่งวัวถึกนั้น ในตอนนี้ร่างกายของเขามีเหงื่อโชกเต็มตัว แต่สำหรับซูจิ้งนั้นเหงื่อยังไม่ออกเลยซักเม็ด
โจวฮงหยวนในตอนนี้เข้าใจในทันทีเลยว่าความกังวลของเขาก่อนหน้านี้ช่างไร้สาระจริงๆ
พลางพูดออกมาอย่างนิ่งเรียบพร้อมยิ้มเล็กน้อยว่า “ตอนแรกฉันก็พาลนึกไปว่าคุณซูมีเพลงหมัดวัวคลั่งนี้เป็นสุดยอดวิชา คิดไม่ถึงว่าเท่าที่ดูแล้วสำหรับคุณซูนั้นเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสินะเนี่ย”
GGS:บทที่ 802 สมบัติ
หวังซือหยาในตอนนี้ทำได้เพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา เธอขี้เกียจจะใส่ใจซูจิ้งเรื่องความปลอดภัยแบบนี้อีกแล้ว
เธอเองก็รู้สึกได้เลยว่าไม่ว่าจะเป็นหน่วยรบพิเศษ 30 คน หรือจะเป็นนักคาราเต้ 40 คน กับซูจิ้งแล้วก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย
เขายังไม่เคยใช้แรงเต็มที่กับคนพวกนี้เลยซักครั้ง เพราะไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ที่ซูจิ้งช่วยพ่อของเธอในวันนั้นเทียบกันไม่ได้เลยซักนิด
ต่อให้เธอไม่รู้ว่าในระหว่างนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่หลังจากได้มีการตรวจวินิจฉัยศพของเหล่าคนร้ายลักพาตัวเพื่อหาร่องรอยเพื่อหาต้นตอของเรื่อง
แต่สิ่งที่หลงเหลือนั่นเพียงบ่งบอกได้แค่ว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งสัตว์ประหลาด และแข็งแรงพอๆกับสัตว์ร้ายเลยทีเดียว
ตอนนี้ทุกคนที่เป็นสักขีพยานการประลองต่างค่อยๆรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา แม้แต่เสี่ยวไจ๋เองก็แทบจะยกซูจิ้งขึ้นหิ้งกราบไหว้เรียบร้อยแล้วในตอนนี้
เมื่อนำเสี่ยวไจ๋ไปเทียบกับซูจิ้งแล้วตัวเสี่ยวไจ๋เทียบได้กับไก่อ่อนธรรมดาตัวหนึ่ง
ซูจิ้งต่อสู้กับเสี่ยวไจ๋ต่อไปประมาณยี่สิบนาที ตลอดเวลาที่ต่อสู้เขาเองก็ได้คอยอธิบายกระบวนท่าต่างๆของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่สองและรูปแบบที่สามตลอด
เสี่ย;ไจ๋เองก็ถือได้ว่าเป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้จริงๆ เขานั้นเหมือนกับว่าในใจมีแต่เรื่องการต่อสู้และเป็นคนที่เรียนรู้ด้วยความเจ็บปวด
ถึงจะเป็นอย่างนั้นนั่นกลับทำให้เขาสามารุจดจำกระบวนท่าต่างๆได้อย่างรวดเร็ว
อย่าเรียกว่าจำได้เลย ควรจะเรียกว่าเข้าใจหัวใจของเพลงหมัดได้อย่างลึกซึ้งดีกว่า อีกไม่นานเขาน่าจะสัมผัสได้ถึงแก่นแท้ของเพลงหมัดวัวคลั่งนี้แล้ว
“อัตราการใช้ประโยชน์บวกสิบ” หลังจากได้ยินเสียงกริ่งดังอยู่ในหัว ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงฉิงหยุนพูดจำนวนนี้ออกมา
ซูจิ้งได้แต่งงนิดหน่อย ด้วยชื่อเสียงของเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้นมาจนตอนนี้เท่ากับสิบห้าแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่เร็วมาก
แต่เขาไม่เข้าใจว่าทำไมอยู่ๆค่าการใช้ประโยชน์ถึงได้เด้งขึ้นมาถึงสิบหน่วยได้ในทีเดียว
เขาได้ถามฉิงหยุนผ่านจิตสำนึกว่า “ทำไมอยู่ๆฉันถึงได้ค่าการใช้ประโยชน์สิบหน่วยล่ะ”
“มันเป็นค่าที่คำนวนมาจากหลายๆเหตุการณ์ ทั้งเรื่องของเสี่ยวไจ๋ หัวใจพระสูตร และเหตุการณ์กวาดล้างสำนักคาราเต้
ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้ผู้คนตกตะลึงพรึงเพริศและสร้างผลกระทบอันดียิ่งให้แก่สังคม ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามหากแบ่งเหตุการณ์พวกนี้ไป หรือเกิดเหตุการณ์ในช่วงเวลาที่ห่างกันมากเกินไป ค่าการใช้ประโยชน์จะขึ้นได้ช้ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าการใช้ประโยชน์ที่เกิดจากคนหนึ่งคนโดยเฉลี่ยจะทำให้ได้ค่าใช้ประโยชน์อยู่ที่ 0.0001
แต่กับเสี่ยวไจ๋คนนี้ผู้ที่เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้
หลังจากที่เขาเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งครบทั้งสามรูปแบบจะทำให้เขาเป็นผู้ที่บรรลุแล้วในฐานะมนุษย์โลก และนั่นจะเป็นผลดีต่อมนุษย์ในภายภาคหน้า” ฉิงหยุนอธิบาย
ซูจิ้งได้ทำการฟังอย่างตั้งใจแทบจะที่สุดเท่าที่รู้จักฉิงหยุนมา ถึงแม้คะแนนจะไม่ได้สูงมากก็ไม่เป็นไร
สำหรับซูจิ้งแล้วที่เขาสนใจที่สุดก็คือหลักการการคำนวนของฉิงหยุน
ฉิงหยุนได้คิดค่าคะแนนด้วยการคาดการณ์ผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
นั่นก็หมายความว่าหากเขาสามารถหาคนที่เหมาะสมมาเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ไปจนครบถ้วนและนำไปทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมล่ะก็
เขาก็น่าจะได้ค่าการใช้ประโยชน์สิบหน่วยต่อหนึ่งคน หากเรียนไปร้อยคนก็จะได้พันหน่วย แล้วคนบนโลกนี้มีตั้งกี่ร้อยล้านคน ต้องมีสักส่วนหนึ่งล่ะที่เป็นอัจฉริยะด้านการต่อสู้แบบเสี่ยวไจ๋
ต่อให้มีไม่มาก อาจจะได้ค่าการใช้ประโยชน์มาไม่เยอะ แต่ด้วยการที่เขามีทั้งหัวใจพระสูตรและเพลงหมัดวัวคลั่งนี้แล้วย่อมต้องสามารถสร้างชื่อให้กับของทั้งสองให้ลือเลี่ยงขจรไกลได้ไม่ยาก
หากใช้สองสิ่งนี้พร้อมกันนอกจากจะไม่ต้องสนว่าต้องทำให้ใครสนใจแล้ว โลกนี้ยังจะมีผู้ฝึกตนอีกด้วย
“ขอบคุณครับอาจารย์…” เสี่ยวไจ๋ที่ร่างกายชุ่มไปด้วยเหงื่อกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น
“หยุดเลยอย่ามาเรียกฉันว่าอาจารย์ ฉันแค่แนะนำนายแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
“เอ่อออถ้างั้นเป็น ขอบคุณมากครับคุณซู” “คุณซูผมจะไปร่วมออกรายการกับอาจารย์เกี่ยวกับการใช้ศิลปะการต่อสู้ ผมสามารถใช้เพลงหมัดวัวคลั่งนี้ได้รึเปล่า” เสี่ยวไจ๋ถามออกมาพลางทำหน้าอ้อนวอน
ซูจิ้งถึงกับผงะเล็กน้อย เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าวัดมีอะไรที่ทำให้รายการพวกนี้สามารถสนใจจนเชิญไปออกรายการได้
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น วัดวาอารามเองก็สมควรจะต้องการผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปทำบุญด้วยเหมือนกัน ก็คงไม่ได้เอาไปทำอะไรเสียหายหรอกมั้ง
ซูจิ้งได้ลองถามรายละเอียดส่วนที่เป็นการแสดงโชวเพิ่มเติม เมื่อได้ยินแล้วเขาจึงได้บอกกับเสี่ยวไจ๋ไปว่า
“ไม่ว่าจะเป็นรายการโชวหรือต้องไปแสดงอะไรแนวๆนี้ก็ตาม นายไม่ต้องออมแรง แสดงให้เห็นถึงอานุภาพออกไปให้เต็มที่ นายเข้าใจที่ฉันต้องการจะสื่อรึเปล่า”
“ทราบแล้วครับ” เสี่ยวไจ๋พยักหน้ารับด้วยความยินดี
“เหนือสิ่งอื่นใดอย่างแรกนายต้องกลับไปฝึกฝนเพิ่มเติมซะก่อน ถ้านายไม่เข้าใจก็ถามฉันได้” ซูจิ้งพูดพลางตบบ่าเสี่ยวไจ๋
หลังจากนั้นเขาก็เดินตรงไปยังโจวฮงหยวนและซุนหยูเฮงพลางพูดว่า
“ผมคงปล่อยให้พวกคุณรอนานไปหน่อยหล่ะนะ เอาล่ะเดี๋ยวผมจะไปเอาพระสูตรและพระพุทธมาให้ดู”
ซูจิ้งกลับเข้าในห้องและกลับออกมาพร้อมพระสูตรและพระพุทธ
ทันทีที่โจวฮงหยวนและซุนหยูเฮงได้เห็นหัวใจพระสูตรและพระพุทธต่างก็แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
พวกเขาตั้งใจมอง ยิ่งมองก็ยิ่งตื่นเต้น
นั่นก็เพราะว่าพวกเขาได้เข้าถึงความรู้สึกแห่งเซ็นซึ่งมีอานุภาพมากกว่าที่เห็นจากรูปภาพมากนัก
หากเทียบกันแล้วล่ะก็รูปภาพนี่แทบจะไม่ได้เศษเสี้ยวของของจริงเลยแม้แต่น้อย
“คุณซูผมขอซื้อทั้งสองสิ่งนี้ได้รึเปล่าครับ” ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“มันไม่ถูกต้องนะคุณซุน คุณจะซื้อสมบัติทางพุทธศาสนาแบบนี้ได้ยังไงกัน” โจวฮงหยวนรีบแย้งในทันที
“คุณโจวเองก็มาเพื่อที่จะต้องการหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือครับ” ซุนหยูเฮงเองก็พูดสวนกลับไป
“ผมมาเพื่อนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้ไปก็จริงแต่ผมก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะมาซื้อซะหน่อย
ผมแค่จะมาขอยืมให้เจ้าอาวาสและปรมารจารย์เชิงหยานได้ดูเท่านั้นเอง
เพราะของทั้งสองสิ่งนี้จะช่วยส่งเสริมการศึกษาพระธรรมเท่านั้นเอง” โจวฮงหยวนเองก็อธิบายออกมา
“ผมเองก็ต้องการซื้อเพื่อไปมอบให้ผู้อาวุโสท่านหนึ่งผู้ที่ได้บวชเรียนอยู่เหมือนกันแล้วผมทำผิดตรงไหน” ซุนหยูเฮงก็ได้พูดสวนกลับมา
พวกเขาในตอนนี้ดูเหมือนจะพูดเพื่อคลี่คลายปัญหาเหมือนจะเป็นสันติวิธี
แต่จริงๆแล้วเป็นการใช้วาจาเชือดเฉือนกันมากกว่า
หวังซือหยาในตอนนี้ทำหน้าตาเริ่มที่จะเอือมระอาแล้ว ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็ยังคิดอยู่ว่าจะพูดอะไรกับทั้งคู่ดี
นี่ขนาดแค่เป็นของลอกเลียนแบบ
มันเป็นงานคัดลอกที่เอาไว้สำหรับฝึกตนในวัดพุทธใหญ่ของห้วงเวลาฯเซียนฝั่งตะวันตกเท่านั้น
แน่นอนว่าของจริงซูจิ้งไม่มีทางเอาออกมาง่ายๆแน่นอน
“คุณซู เห็นแก่หน้าฉันกับซือหยาช่วยขายทั้งสองสิ่งนี้ให้ผมเถอะนะ” ซุนหยูเฮงเลิกเถียงกับโจวฮงหยวนแล้วตัดสินใจมาคุยกับซูจิ้งแทน
โจวฮงหยวนเองก็หันไปมองซูจิ้งเช่นเดียวกัน นี่มันเหมือนกับว่าสุดท้ายแล้วก็กลับมาเป็นว่าให้เขาเป็นคนจัดการเรื่องทั้งหมดแทน ซูจิ้งจึงถามความเห็นของซือหยา ซือหยาจึงพูดมาว่า
“ตัวฉันนั้นรู้จักกับเขามาตั้งแต่เด็กก็แค่นั้นเอง” หวังซือหยายิ้มเล็กน้อย
“แค่นั้นอ่ะนะ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เวรตะไลเกาซิง(เฉาซิง)ล่ะก็ ความจริงแล้วเราควรจะแต่งงานด้วยกันนานแล้วนะ
แต่เอาจริงๆตอนนี้ก็ยังไม่สายยย…” ซุนหยูเฮงที่กำลังพูด พลางจ้องไปยังหวังซือหยาด้วยสายตาหวานชื่น
“เรื่องมันผ่านไปแล้วนายจะพูดถึงมันทำไมล่ะ” หวังซือหยายกมือห้ามในทันใด
ซูจิ้งเองก็พลันนึกได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ดงซุนพูดตอนที่ไอ้เกานั่นฟื้นขึ้นมา
หมอนั่นได้เผลอพูดออกมาโดยไม่ตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลหวังและตระกูลซุนที่เกือบจะได้ดองกันและเป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างมาก
แต่เกาซิงนั้นได้ทำลายทุกอย่างไป
หมอนั่นได้ชนะใจหวังซือหยาไปได้ และก็ทำให้ซือหยาหัวใจสลาย
เธอเองจึงปฏิเสธทุกเรี่องเกี่ยวกับการแต่งงานทำให้งานแต่งงานต้องถูกหยุดลง
ซุนหยูเฮงเองก็ไม่ได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวังซือหยาเลยซักนิด เขาโดนตระกูลหักคอให้ไปแต่งงานกับผู้หญิงอื่นแต่ชีวิตแต่งงานก็ไม่ได้มีความสุขอะไร แต่งได้สองปีก็เลิกกันไปทำให้ตอนนี้ถือได้ว่าเขาโสดสนิท กว่าเขาจะรู้เรื่องก็ผ่านเหตุการณ์มานานพอสมควร ทำให้เขาเองก็ได้รู้ใจตัวเองว่าหัวใจเขานั้นยังมีหวังซือหยาอยู่ในใจเสมอมา
หลังจากซูจิ้งเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้วเขาเองก็เริ่มคิดอะไรบางอย่าง
ดูเหมือนว่าซุนหยูเฮงนั้นเพียงต้องการไปเพื่อเป็นการขอพรซะมากกว่า
ไม่น่าจะเอาไปขายทำกำไรอะไรที่ไหน
เขาจึงพูดออกมาว่า “เอาล่ะใจเย็นๆกันก่อนนะครับ คุณโจวนั้นแค่จะขอยืมเพื่อนำไปศึกษา
ด้วยเหตุผลนี้ผมเองก็ไม่มีทางปฏิเสธได้อยู่แล้ว อ้อผมบอกไว้ก่อนนะครับว่าทั้งหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้ประเมินค่ามิได้ผมไม่มีทางขายหรอก
แต่เห็นแก่ที่คุณซุนจะนำไปมอบให้ผู้อาวะโสเป็นของขวัญ เอาเป็นว่าผมเอาของชิ้นอื่นออกมาแทนก็แล้วกัน
คุณจะว่ายังไงครับ
“จะมีของใดสูงค่าเทียบเท่าได้กับหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี้ได้กัน” ซุนหยูเฮงมองไปยังหวังซือหยาด้วยอาการน้อยใจเล็กน้อย
เขาทำเหมือนกับว่าอุตส่ายกเอาความสัมพันธ์กับซือหยามาอ้างก็แล้วไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แม้แต่ซือหยาเองก็บอกมาแค่รู้จักกันแต่เด็กไม่ได้ช่วยพูดอะไร
“มันก็พูดยากนะครับ เอาเป็นผมให้คุณประเมินเองดีกว่าว่าของสองสิ่งนั่นมีค่าพอรึเปล่า
ทั้งสองสิ่งนั้นเป็นมหาสมบัติอย่างแน่นอน
เอาเป็นตามผมขึ้นไปดูกันดีกว่าว่าสมบัติทั้งสองนั้นมีค่าพอๆกันรึเปล่า
GGS:บทที่ 803 ตาบอด
“คุณซูครับ ผู้อาวุโสของผมเป็นคนที่อยู่ในศีลในธรรม เขาไม่ใช่คนที่จะสนใจสมบัติราคาแพงอะไรพวกนั้นหรอกครับ ยิ่งไปกว่านั้น
หัวใจพระสูตรและพระพุทธก็ถือว่ามีค่าต่อคนรุ่นเก่าสำหรับการทำสมาธิและดีต่อสุขภาพจิตใจ ผมขอให้ขายหัวใจพระสูตรและพระพุทธนี่ให้ผม เพียงแค่คุณบอกราคามาได้เลย”
ในขณะที่ทุกคนกำลังขึ้นบันไดไปอยู่นั้น ซุนหยูเฮงก็ยังไม่ถอดใจ ยังคงตื้อซูจิ้งให้ขายหัวใจพระสูตรและพระพุทธให้เขาให้จงได้
“คุณซุนไม่ต้องรีบร้อนหรอกครับ ลอ’ดูของสองอย่างที่ผมจะให้ดูก่อนดีกว่า” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
กลุ่มคนเดินเข้ามายังชั้นสองไปซึ่งตอนนี้ไม่ใช่พื้นที่เก็บสมบัติอีกต่อไป เหตุผลที่ซูจิ้งนำสมบัติมาวางที่นี่เพียงเพื่อโชว์เท่านั้น
หากว่ายังมีของเหลืออยู่ที่นี่ก็เพียงเหตุผลเดียวก็คือของนั้นไม่สามารถนำไปไว้ในสถานีกำจัดห้วงเวลาฯได้
หลังจากเข้าไปยังห้องๆหนึ่ง พวกเขาก็เจอผ้ากองใหญ่ พอมองดูดีๆมันเป็นผ้าผืนใหญ่ที่คลุมอะไรบางอย่างอยู่
ซูจิ้งได้ดึงผ้าที่คลุมออก เมื่อทุกคนเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนั้น ใบหน้าทุกคนก้ดูดีมีสีหน้าเรืองรองในทันใด
แม้แต่โจวฮงหยวนและซุนหยูเฮงเอง ก็ทำได้แต่ยืนนิ่งอึ้งไป
ไม่นานนักเมื่อทั้งสองรู้สึกตัวก็ทำสายตาลุกวาวขึ้นมา พร้อมกับหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง
“เทพเซียนสวรรค์โปรด นี่เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรอ” โจวฮงหยวนและซุนหยูเฮงก้าวเข้าหาสมบัตินั้นอย่างหน้ามืดตามัวและตื่นเต้นออกนอกหน้า
“เป็นไปได้ยังไงกัน ของสิ่งนี้ มัน…ของจริงใช่รึเปล่า” ดวงตาของซุนหยูเฮงในตอนนี้โตเท่าไข่ห่านเลยก็ว่าได้
สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั่นคือคริสตัลขนาดใหญ่ ขนาดของมันมีความยาวอยู่ที่สามเมตรกว้างหนึ่งเมตร
คริสตัลนี้มีรูปร่างที่ค่อนข้างสมบูรณ์ ใสและมีสีสันสววยงาม สีสวยเหมือนดอกไม้เลยก็ว่าได้
“นี่มันคืออะไรอ่ะ” พระหนุ่มเสี่ยวไจ๋ถามด้วยความแปลกใจ
“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด มันสมควรจะเป็นอะราโกไนต์ น่าจะใช่นะ มันเป็นแร่คาร์บอเนตที่เกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ
ที่พอจะเคยเห็นกันบ้างก็เป็นพวกหินงอกหินย้อยที่อยู่ภายในถ้ำนั่นแหล่ะ แต่ฉันเองก็ไม่เคยเห็นชิ้นที่สวยงามแบบนี้มาก่อนเลย” หวังซือหยาพูดออกมา
“เท่าที่ฉันรู้มา สีของอะราโกไนต์สีนี้น่าจะจัดอยู่ในพวกหายากนะ” โจวเทียนรุยพูดออกมา
“ไม่ใช่แค่หายากเท่านั้น”
โจวฮงหยวนพูดขึ้นมาในขณะที่กำลังสำรวจสอดส่องก้อนแร่นี้อย่างตั้งอกตั้งใจก่อนที่จะอธิบายเพิ่มเติมว่า
“เจ้าแร่อะราโกไนต์ก่อนนี้นอกจากจะมีขนาดที่ใหญ่แล้ว สีสันของมันยังมีอยู่หลากหลายสี
รวมถึงมีคริสตัลที่เจอได้จากสายแร่อื่นเจือปนอยู่ด้วย
เท่าที่ฉันดูนั้นจะมีคริสตัลที่มาจากเหมืองเหล็ก ทองแดง แคลเซียม สังกะสี สารหนู แถมดูๆแล้วน่าจะมีธาตุหายากที่ยังไม่มีชื่อที่เคยมีการค้นพบในมณฑลหยุนกุ้ย
สีแต่ละสีนั้นมีการกระจายตัวและแสดงเฉดสีที่ชัดเจน แถมยังมีความกระจ่างใสขนาดนี้
สมควรเรียกมันได้ว่าเป็นดอกไม้อัญมณีหลากสี ได้เลยนะ ฉันคิดว่าเจ้าสิ่งนี้น่าจะมีชิ้นเดียวในโลก
หากนำสิ่งนี้ออกไปให้เหล่าประชาชนให้เห็น ย่อมสร้างความตกตะลึงให้แก่วงการอุตสาหกรรมอัญมณีได้อย่างสบายได้เลย
แม้แต่ ดร.หวางชุนหยุน ที่ปรึกษางานวิจจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์ด้านธรณีเคมีวิทยาแห่งสถาบันกวางโจว นักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยจีน สุดยอดแห่งวงการธรณีวิทยา ยังต้องตกตะลึงและฉงนสนเท่ห์กับแร่ก้อนนี้อย่างแน่นอน
เจ้าอัญมณีดอกไม้หลากสีนี้สมควรจะถูกเก็บเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์แร่หากมีคนต้องการซื้อ ราคาของมันสมควรจะพุ่งสูงแตะขอบฟ้า
เอาจริงๆเจ้าคริสตัลนี่ไม่สมควรจะเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์หรอก คริสตัลก้อนนี้สมควรจะเอาไว้บนฟ้า ปล่อยให้แสงสาดส่องผ่านมันลงมายังพื้นดิน”
“ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะมีอัญมณีที่สีสดใสและก้อนใหญ่ขนาดนี้อยู่ในโลกใบนี้”
หลังจากที่ซุนหยูเฮงได้สำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขานั้นก็ได้พยายามทำให้จิตใจให้สงบลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ต่อให้มันไม่น่าเชื่อยังไง แต่ยังไงซะมันก็ได้ปรากฏต่อหน้าของเขาแล้ว ถึงจะไม่อยากเชื่อก็คงจะไม่เชื่อไม่ได้แล้ว
แน่นอนว่าแร่นี้สมควรจะเป็นแร่ธรรมชาติอย่างแน่นอน เพระให้ต่อให้มีเทคโนโลยีดีขนาดไหนก็ยังสร้างได้ยากอยู่ดี
“ธรรมชาตินี่ช่างมหัศจรรย์เสียจริง”
โจวฮงหยวนรู้สึกอัศจรรย์ใจขึ้นมา ต่อให้เขานั้นศึกษาพระธรรมจนจิตใจสงบลงมาแล้วแต่เมื่อเห็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ขนาดนี้มาอยู่ตรงหน้าก็ทำให้อยากที่จะหักห้ามใจไม่ให้ตื่นเต้นไว้ได้
หวังซือหยาและโจวเทียนรุยเองต่างก็มองไปยังแผ่นอะราโกไนต์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชื่นชม ยิ่งมองเท่าไหร่ก็ยิ่งหลงไหลเท่านั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้อีกชิ้นหนึ่ง
การที่ผลึกที่เกิดจากแร่ธรรมชาติพวกนี้มีราคาสูงนั้นมีเหตุผลด้านการตลาดอยู่สี่ข้อประกอบด้วย
มันเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ นั่นหมายความว่าย่อมมีโอกาสเกิดได้ยากและเกิดได้ไม่บ่อย
มันมีความสวยงามตามธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้
มันได้รับความนิยมมานานมากจนทำให้มีความต้องการค่อนข้างสูง โดยคนฝั่งยุโรปเองก็ได้ดำเนินการเกี่ยวกับผลึกแร่เหล่านี้จนกลายเป็นธุรกิจใหญ่โตที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ยังมีปัญหาที่ต้องการคำตอบเกี่ยวกับผลึกแร่พวกนี้อยู่มากมาย ทำให้พวกมันเป็นที่ต้องการอย่างมากทั้งในฐานะของทดลองและสารตั้งต้นต่างๆ
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงสีสันของอะราโกไนต์ก้อนนี้ที่เป็นเฉดสีสวยงาม มันถือได้ว่าหายากอย่างที่สุดและน่าค้นหาคำตอบอย่างยิ่งว่ามันเกิดได้อย่างไร
ซูจิ้งเองก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าเจ้าผลึกนี้หลุดออกไปจะสร้างความโกลาหลให้กับวงการอัญมณีแค่ไหนกัน
“คุณซู คุณไปได้อัญมณีดอกไม้หลากสีแบบนี้มาจากไหนกัน” ซุนหยูเฮงถามออกมา
“นายไม่ต้องถามหรอกน่า ที่นายต้องทำก็แค่ตัดสินใจว่าจะเลือกสิ่งนี้รึเปล่าแค่นั้นก็พอแล้ว” หวังซือหยามองหน้าซุนหยูเฮงก่อนจะหัวเราะออกมา
ต่อให้เธอนั้นรู้ว่าซูจิ้งเป็นจ้าวแห่งการให้ของขวัญและเคยเห็นเขาเอาของขวัญที่หน้าตื่นตาตื่นใจมาหลายหนแล้ว
แต่เธอเองก็ยังไม่คุ้นชินกับของขวัญที่ซูจิ้งยอมเอาออกมาให้แต่ละครั้ง
และเธอก็รู้อีกว่าของแต่ละอย่างนั้นซูจิ้งไม่ต้องการให้ใครรู้ที่มาที่ไปแต่อย่างใด
ซูจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มกริ่มออกมาและไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย
ความจริงแล้วเจ้าอัญมณีดอกไม้หลากสีนี้เขาเจอมันจากขยะห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกเมื่อสองวันก่อน
ตอนแรกนั้นเขาก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คิดไปแต่ว่าเป็นเศษแร่คริสตัลกองมหึมากองหนึ่งแค่นั้นเอง
พอดีว่าเขาเห็นหินสองชิ้นที่มันดูแล้วยังใสและสวยดีและพอที่จะต่อกันได้ก้อนใหญ่หน่อย เขาเลยให้ไบน้อยซ่อมแซมดู
ตอนแรกเขาก็ไม่คิดว่าขนาดไม่น่าจะใหญ่เท่าไหร่ พอรู้ตัวอีกทีกลายเป็นว่ากองเศษแร่กองนั้นเกิดมาจากของส่วนเดียวกันทั้งหมด เมื่อเห็นขนาดหลังจากการซ่อมแซมซูจิ้งเองก็ได้แต่ทำหน้าตาโง่งมออกมา
หลังจากที่ซูจิ้งลองนึกถึงเรื่องราวในห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกดูแล้ว เขาก็คุ้นๆว่าสิ่งนี้สมควรจะเป็นน้ำนมปฐพี ที่พบได้ระหว่างชั้นหินหรือในถ้ำลึก
เช่นเดียวกับน้ำนมทั่วไป น้ำนมปฐพีเป็นสมบัติแห่งโลกที่เกิดจากการกลั่นตัวของพลังงานธรรมชาติที่ต้องการส่งต่อแร่ธาตุและพลังงานให้กับผืนปฐพีที่ถือกำเนิดขึ้นใหม่
เป็นสิ่งที่มีคุณค่าต่อร่างกายสิ่งมีชีวิตเช่นเดียวกันเปรียบได้ดั่งเป็นยาวิเศษแห่งโลกมนุษย์
แน่นอนว่าสีของมันมีหลากสีสดใสเช่นเดียวกับแผ่นอะราโกไนท์แผ่นนี้
ต่อให้ซูจิ้งรู้แล้วว่าเจ้าแผ่นนี้คืออะไรและมีค่าแค่ไหนในโลกแห่งนี้
แต่สำหรับห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกแล้วมันคือของธรรมดาถึงแม้จะไม่ได้หาง่ายแต่ก็เห็นได้บ่อยๆ
อีกทั้งการที่มันถูกทิ้งลงแบบจนแหลกขนาดนี้ ย่อมต้องหมายความว่าพลังงานและแร่ธาตุสำคัญที่มีอยู่ภายในสมควรถูกดูดซับออกไปจนหมด
ที่เหลืออยู่นี่สมควรเป็นเศษซากเท่านั้นเพราะเขานั้นไม่ได้รู้สึกความพิเศษของมันแต่อย่างใดจึงถูกโยนทิ้งออกมาแบบนี้
“คุณซุน คุณคิดว่าเจ้าอัญมณีดอกไม้หลากสีนี่เป็นยังไงบ้างครับ คุณต้องการสิ่งนี้เป็นของขวัญแทนหัวใจพระสูตรและพระพุทธรึเปล่าครับ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนครับ สมบัติแบบนี้ผมจะยอมปล่อยไปได้ยังไงกัน” ซุนหยูเฮงนั้นที่มาที่นี่เขาไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เจอสมบัติอย่างอื่นเลยแม้แต่น้อย
จิตใจของเขานั้นแน่วแน่กับการนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธให้จงได้
แต่เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเจออะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้แทน เมื่อเขาต้องเจอสถานการณ์แบบนี้มีหรือที่เขาจะอดใจไว้ได้
ซุนหยูเฮงในตอนนี้ถึงกับทำตัวอึกอักทำอะไรไม่ถูก
แน่นอนว่าเขานั้นต้องการเจ้าอัญมณีดอกไม้หลากสีนี่แน่นอนอยู่แล้ว
แต่ปัญหาคือผู้อาวุโสที่เขารับปากว่าจะนำหัวใจพระสูตรและพระพุทธไปให้นี่สิ
คนๆนั้นมีความฝักใฝ่ในทางพุทธอย่างแรงกล้าเขายอมทุ่มเงินเป็นร้อยล้านเพื่อที่จะให้ได้มาอย่างไม่เสียดายเลย
แต่ถ้าเป็นของอย่างอัญมณีนี้เขาจะเห็นว่ามีค่าซักเท่าไหร่กัน
อย่าว่าแต่ประเมินราคาเลย สำหรับเขาก็สมควรจะเป็นหินข้างทางธรรมดาก้อนหนึ่งเท่านั้น
แต่สำหรับเขาแล้วนั้น อัญมณีนี้มีค่ากว่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธเป็นไหนๆ
ซุนหยูเฮงในตอนนี้จ้องมองไปยังซูจิ้งอีกครั้ง พลางชั่งใจอยู่ว่าจะทำยังไงดี
ซูจิ้งเองนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีที่จะขายหัวใจพระสูตรและพระพุทธแต่อย่างใด
แต่ไม่นานเขาก็นึกได้ว่าซูจิ้งบอกว่ามีสมบัติสองชิ้น หากนี่เป็นชิ้นที่หนึ่งล่ะก็ แล้วชิ้นที่สองล่ะ?
เขานึกได้ดังนั้นจึงได้ถามซูจิ้งออกไปว่า “คุณซู แล้วสมบัติชิ้นที่สองคืออะไรกันล่ะ ผมอยากขอลองดูก่อนจะตัดสินใจ”
GGS:บทที่ 804 คุกเข่าในบัดดล
“สมบัติอีกชิ้นอยู่ที่อีกห้องน่ะ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญมาทางนี้ครับ” ซูจิ้งไม่ได้พูดมากความ
เขาพาคนทั้งหมดไปยังห้องที่อยู่ข้างๆกัน ในห้องนั้นมีของบางอย่างที่มีความกว้างประมาณสองเมตรตั้งอยู่กับพื้น คลุมด้วยผ้าสีดำสนิท ถ้ามองจากรูปทรงตอนนี้แล้วแทบจะดูเหมือนคนซะด้วยซ้ำ ทำให้ทุกคนในตอนนี้อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเป็นรูปปั้นมนุษย์
ซูจิ้งยกผ้าสีดำออกเล็กน้อย เผยให้เห็นว่าสิ่งที่คลุมอยู่นั้นคือท่อนไม้ท่อนหนึ่ง แต่ด้วยการที่ส่วนที่เผยออกมานั้นมีเพียงนิดเดียวทำให้ทั้งสี่เกิดความสงสัยขึ้นในใจจนต้องค่อยๆกระเถิบเข้าไปดูใกล้ๆทีละก้าวอย่างพร้อมเพรียง
“นี่มัน…ไม้กฤษณา!” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย
“แถมยังเป็นไม้กฤษณาคุณภาพดีแถมยังดูสวยกว่าของหนานเซียงซะอีก” โจวเทียนรุยพูดออกมา
“มันเป็นไม้หอมที่ดูสวยงามมากๆ จนไม่คิดว่ามันคือไม้กฤษณาเลยนะ” โจวฮงหยวนเองอดไม่ได้จะพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“คุณซู ไม่ใช่ว่ามันเป็นงานแกะไม้ทั้งชิ้นหรอกหรอ ดูๆไปมันมีคุณภาพดีกว่างานแกะไม้คุณภาพสูงสุดที่ผลิตในฉินอันซะอีก”ซุนหยูเฮงจ้องมองไปยังไม้ขนาดสองเมตรที่อยู่ตรงหน้าที่ยังอยู่ภายใต้ผ้าสีดำอยู่แล้วถามออกมา
นั่นทำให้ทุกคนต้องตั้งถามคำถามในใจขึ้นมาว่าเป็นไปได้ด้วยหรอ
หวังซือหยา โจวเทียนรุย และโจวฮงหยวน ทั้งสามคนทำได้แต่หันไปมองทางซูจิ้งพร้อมกับความหวังที่ว่าไม่ใช่ให้หลุดออกมาจากปากของเขา เพราะหากว่าใช่จริงมันก็ยากที่จะยอมรับได้
ในวงการสะสมวัตถุโบราณนั้นมีสามารถแบ่งคนที่ชอมการเก็บสะสมวัตถุโบราณโดยหลักๆแล้วจะมีอยู่สองกลุ่ม
กลุ่มแรกคือคนที่ชอบเก็บสะสมหยก หรือจะเรียกว่า กลุ่มคลั่งหิน ก็ว่าได้ อีกหนึ่งคือ คนที่ชอบเก็บสะสมไม้กฤษณาโดยคนกลุ่มนี้เรียกตัวเองว่า กลุ่มหาเพชรในไม้
ซึ่งในกลุ่มนี้จะมีคำศัพท์เฉพาะกลุ่มที่รู้กันในวงในที่ว่า “ไม้มะฮอกกานีขายเป็นตัน ไม้ลูกแพร์ขายเป็นชั่ง และไม้หอมขายเป็นกรัม”
สำหรับไม้หอมนั้นคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นไม้ที่สื่อถึงความสง่างามและหรูหรา
แม้แต่ในวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีก็มีความต้องการไม้กฤษณาไม่ด้อยไปกว่ากัน เหตุผลว่ากลิ่นของไม้กฤษณาไม่สามารถที่จะเลียนแบบได้ จึงเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมาก
โดยทั่วไปแล้วมีเพียงไม้กฤษณาที่อายุมากกว่า 10 ปีเท่านั้นถึงจะนำมาขายได้ หรือจะกล่าวอีกในหนึ่งคือยิ่งไม้กฤษณาอายุมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีกลิ่นที่ชวนหลงใหลมากขึ้นไปอีก
ไม้กฤษณาที่อายุตั้งแต่หนึ่งร้อยปีขึ้นไปนี้เรียกได้ว่าหาในตลาดได้ยากยิ่ง ไม้กฤษณาที่ดีที่สุดที่เคยมีออกมาในตลาดนั้นเป็นไม้หอมอินเดียที่รู้จักกันในชื่อ คีแนน โดยมีน้ำหนักตากแห้งอยู่ที่หนึ่งหมื่นหยวนต่อกรัม
อย่างไรก็ตามไม้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขานั้นมีขนาดใหญ่มากแน่นอนว่าไม้ท่อนนี้ย่อมมีราคาสูงโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
แต่หากว่ามันเป็นไม้ที่แกะสลักด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง อย่าว่าแต่จะขายเป็นกรัมเลย
ด้วยการที่มันถูกนำมาแกะสลักและยังคงขนาดใหญ่แบบนี้ได้ แม้แต่งานไม้จากฉีหนานก็ยังเทียบไม่ติดแบบนี้ ดีไม่ดีอาจต้องขายเป็นมิลลิกรัมก็ได้
“ฮ่าฮ่า อันนี้คงต้องดูด้วยตาตัวเองแล้วหล่ะนะ”
ซูจิ้งพูดจบเขาก็ได้ดึงผ้าออกไปทั้งหมด เผยให้เห็นรูปร่างที่แท้จริงของไม้ชิ้นนี้
ทุกคนในตอนนี้ต่างจ้องมองอย่างไม่กระพริบ พลางหายใจออกแรงๆแทบจะพร้อมเพรียงกัน
ถ้าพวกเขาเข้าใจไม่ผิดนี่คือรูปแกะสลักไม้ขนาดสองเมตรที่ทำจากไม้หอมทั้งหมด
ในตอนนี้ความรู้สึกของพวกเขาคือตกตะลึงจนลืมหายใจเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องยืนยันเลยว่ารูปแกะสลักไม้ชิ้นนี้เป็นไม้กฤษณาจริงหรือเปล่าเพราะทั้งลวดลายและกลิ่นหอมนั้นเป็นสิ่งยืนยัน
เพียงแต่ที่พวกเขาต้องตะลึงหนักกว่าเดิมนี้เป็นเพราะว่าไม้นี้แกะออกมาเป็นรูปทรงพระพุทธที่มีสามหน้าและสี่มือ
สองมือบนนั้นกำหมัดเอาไว้ ส่วนมือล่างมือหนึ่งทำการพนมมือข้างเดียว อีกมือหนึ่งเป็นรูปชูนิ้วโป้งแต่ไปอยู่บริเวณปากเหมือนกำลังใช้ปากกัดนิ้วโป้งอยู่
สายตาของรูปสลักกำลังจ้องมองลงล่างประหนึ่งดังระฆังที่มีลูกตุ้มโผล่ออกมา มีผมชี้ตั้งประดุจเปลวเพลิงประหนึ่งดังมีความโกรธอยู่ในใจไม่จบสิ้น
หลังจากที่ทุกคนจ้องมองไปยังรูปแกะสลักนี้ต่างก็รู้สึกได้แม้แต่เสียงหัวใจที่กำลังเต้นอยู่
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเคยเห็นพระพุทธรูปที่ช่วยให้ใจสงบได้บ้างเหมือนกันแต่ไม่เคยรู้สึกสงบได้มากเช่นนี้มาก่อน
ความรู้สึกที่พวกเขาได้รับนั้นเหมือนกับว่าได้รับพรจากรูปสลักพระพุทธรูปนี้แล้วต่อให้เจอภูตผีปีศาจร้ายกาจเพียงใดก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
ทุกคนในตอนนี้ต่างรู้สึกโง่งมในสิ่งที่เห็นจนนิ่งสนิทเหมือนกับทุกคนได้ตายจากโลกนี้ไปแล้วก็ว่าได้
หลังจากนั้นไม่นาน โจวฮงหยุน เสี่ยวไจ๋ และพระอีกรูปหนึ่งก็ทรุดตัวลงคุกเข่าหน้ารูปแกะสลักพระพุทธนี้อย่างเลื่อมใส
หวังซือหยา โจวเทียนรุย และซุนหยูเฮง ทั้งสามคนต้องตกใจกับการที่พระทั้งสามอยู่ก็ทรุดลงไปคุกเข่าในทันที่เช่นกัน
พวกเขาทั้งหมดนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเพียงรูปแกะสลักจะทำให้เกิดความรู้สึกได้ขนาดนี้ ความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้เหมือนกับพระพุทธเจ้าองค์จริงมายืนอยู่ตรงหน้า
“พ่อ รูปสลักพระพุทธเจ้านี่มีปรางแบบนี้ด้วยหรอ” โจวเทียนรุยหลังจากนิ่งเงียบไปนานก็อดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“นี่คือพระอจละ(บุดงหมิงหวัง,ฟุโดเมียวโอ,พระผู้ไม่เคลื่อนที่ในขณะที่เกิดอารมณ์โกรธ)”
โจวฮงหยวนตอบออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เขาเองก็ได้เห็นวัตถุสิ่งของของซูจิ้งที่ส่งผลให้จิตใจสงบแบบนี้มาก่อนแล้วนั่นก็คือถาดวางลองถ้วยชาสไตล์ญี่ปุ่น
เมื่อเทียบกันแล้วพระอจละองค์นี้มีผลต่อจิตใจไม่ต่างกันเลย ไม่สิอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ
ต่อให้ถาดลองน้ำชาถาดนั้นจะช่วยทำให้จิตใจสงบลงก็จริงแต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเกิดความเลื่อมใสและศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาแบบนี้
“สิ่งๆนี้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก” ซุนหยูเฮงที่ได้สติกลับมาถึงกลับกล่าวชมออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ
เพราะว่าเขาเองก็ได้เคยเห็นพระพุทธรูปมามากมายหลากหลายรูปแล้วแต่พระอจละองค์นี้ดีกว่าพระพุทธรูปที่เขาเคยเห็นมาทั้งหมดในชีวิต แม้แต่รูปพระพุทธที่เขาอยากจะแย่งกับโจวฮงหยวนก่อนหน้านี้ซะอีก
ผู้อาวุโสของเขาเองก็มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาอยู่แล้วไม่มีทางที่จะไม่ชอบของขวัญชิ้นนี้อย่างแน่นอน
“ไม่ไม่ไม่ไม่ พระพุทธรูปนี้องค์นี้ก็ไม่ควรจะขาย นายไม่กลัวจะโดนเรียกว่ามารศาสนากันหรือยังไง” โจวฮงหยุนรีบสวนในทันที
“คุณยืมหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธไปแล้วไม่ใช่หรอ ตอนนี้คุณยังจะปล้นพระพุทธรูปไม้องค์นี้ไปอีก ผมไม่สนคุณอีกแล้วว่าคุณจะว่ายังไง ถามหน่อยเหอะนี่จะแกล้งผมรึยังไงกัน”
ซุนหยูเฮงพูดออกมาโดยสีหน้าเย็นชาอย่างเหลืออด
เขาในตอนนี้เริ่มรู้สึกคุกรุ่นอยู่ในใจ ถ้าจะให้เขาเอาจริงล่ะก็ ไม่ว่าใครในตระกูลโจวก็หยุดเขาไม่ได้
“ผมไม่ได้พูดว่าจะนำพระอจละองค์นี้ไปซักหน่อย ผมไม่มีคุณสมบัติพอที่จะอัญเชิญท่านไปได้หรอก แต่ผมก็ไม่ให้คุณนำท่านไปเหมือกัน” โจวฮงหยวนเอ่ยออกมา
“ถ้าคุณไม่สามารถก็ไม่ใช่ธุระกงการอะไรของคุณ” ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยท่าทางฉุนเฉียว
ความจริงเรื่องนี้สมควรจะจบด้วยดีแล้วแต่อยู่ๆกลับกลายเป็นศึกทางศาสนาอีกครั้ง
ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจที่ทั้งสองจะไม่สามารถห้ามอารมณ์ของตัวเองได้หลังจากที่พวกเขาได้เห็นพุทธาณุภาพของพระอจละองค์นี้ แม้แต่หวังซือหยาและโจวเทียนรุยเองก็อยากอัญเชิญไปประดิษฐานยังบ้านตัวเองเพื่อบูชาเหมือนกันด้วยซ้ำ
“อย่าได้มีเรื่องกันเลยครับ” โจวเทียนรุยเองทันทีที่ได้สติก็รีบเข้าห้ามศึกในทันทีก่อนที่จะหันไปถามซุนหยูเฮงว่า “คุณซุน ต่อให้พ่อผมหยุดคุณยังไงก็ตาม หากคุณซูต้องการจะขายพระอจละองค์นี้กับคุณ คุณคิดว่าคุณจะพร้อมซื้อรึเปล่าครับ”
ซุนหยูเฮงเองเมื่อได้ยินดังนั้นก็นิ่งเงียบไป หลังจากนั้นซักพักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
คำถามที่โจวเทียนรุยถามเขานั้นทำให้ความโกรธที่คุกรุ่นในใจหายไปอย่างบัดดล
หากซูจิ้งเสนอราคาพระอจละองค์นี้มาซัก 100 ล้านหยวน เขาเองก็ยินดีจะซื้อโดยไม่ต่อเลยซักคำ
อย่างไรก็ตามเขาเองก่อนหน้านี้ก็ได้แอบประเมินไว้ตั้งแต่ก่อนเปิดผ้าคลุมแล้วว่าราคาตอนนั้นสมควรจะอยู่ 100 ล้านหยวนซึ่งเขารับได้แน่นอน
แต่พอรู้ว่าเป็นพระอจละแล้ว 100 ล้านหยวนไม่มีทางเป็นแน่
พระอจละที่มีพุทธานุภาพขนาดนี้แถมยังแกะจากไม้กฤษณาอีก
ร้อยล้านหยวน แค่เป็นไม้กฤษณาขนาดใหญ่เท่านี้อย่างเดียวก็ยากที่จะมีคนยอมขายแล้ว
ซุนหยูเฮงตอนนี้ก็ได้เพียงนิ่งไปเท่านั้น
เขาเองทำท่าจะพูดแต่ก็เปิดปากไม่ออกกลับปิดสนิทยิ่งกว่าเดิมในทุกๆครั้งที่คิดจะพูดอะไรออกมา
นั่นก็เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นความประณีต รายละเอียด ขนาด วัตถุดิบ และรูปร่าง ต่อให้เขาต้องยกกิจการให้ ดีไม่ดีอาจจะไม่พอด้วยซ้ำ
ไม่กี่ปีก่อนศิลปินคนหนึ่งที่ชื่อเชินเซียงได้แกะสลักไม้กรอบกระจกเล็กๆเป็นรูปทิวทัศน์สไตล์จีนด้วยไม้กฤษณาและนำออกประมูลที่งานประมูลฤดูใบไม้ผลิที่เบ่ยจิงด้วยราคา 5.2 ล้านหยวน และมีการปิดประมูลที่ 20.7 ล้านหยวน
หากเทียบงานนั้นกับพระพุทธรูปไม้พระอจละองค์นี้ที่เป็นไม้ท่อนเดียวกันทั้งหมดและมีขนาดกว่าสองเมตรนี่อีกก็สมควรมีราคามากกว่าหลายเท่า
ไม่ต้องพูดถึงการที่แกะสลักจากไม้กฤษณา เพียงแค่รายละเอียดของพระอจละองค์นี้เองก็แทบจะถือได้ว่าประเมินราคาไม่ได้แล้ว หากมีการประมูลจริงๆล่ะก็ 100 ล้านหยวนหรอ ราคาเปิดประมูลยังไม่ได้ด้วยซ้ำ
หลังจากคิดเรื่องนี้ได้ซุนหยูเฮงก็ได้ทำหน้าน่ามู่ทู่ในทันที
ดูเหมือนว่าเขาเองคงจะกระเหี้ยนกระหือรือมากเกินไปหน่อย
ความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหมือนกับเขากำลังหิวมากๆแล้วอยู่ๆมีข้าวหน้าเนื้อวัววางอยู่ตรงหน้าแต่มีกำแพงใสที่มองไม่เห็นกั้นเอาไว้ทำให้กินไม่ได้
ช่างเป็นความรู้สึกที่ทำให้จิตใจยุ่งเหยิงดีจริงๆ
แน่นอนว่าสมบัติชิ้นทีสองนี้ดีที่สุดและเหมาะที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ตอนนี้เขาเองก็เริ่มคิดไม่ตกเกี่ยวกับมูลค่าของมัน
ซุนหยูเฮงเริ่มมีความสงสัยในใจขึ้นมาตามมาด้วยการกร่นด่าทอซูจิ้งในใจว่า
ไอ้ตอนที่บอกว่าจะเอาของที่มีค่าพอๆกับหัวใจพระสูตรและพระพุทธออกมา ทำไมมันต้องใหญ่โตมโหฬารขนาดนี้ด้วย แถมยังเป็นงานแกะสลักไม้กฤษณาซะอีก
ถ้าเอารูปแกะสลักองค์เล็กๆ หรืออย่างน้อยไม่ใช่งานแกะจากไม้กฤษณานี่นายจะตายรึไงกัน จะเวอร์วังเพื่อ?
GGS:บทที่ 805 ตำหนิ
“คุณซู คุณยังมีสมบัติชิ้นอื่นอีกรึเปล่าครับ” ซุนหยูเฮงในตอนนี้ทำได้เพียงแค่ตัดใจถามออกมาเท่านั้น
“ไม่มีครับ ถ้าคุณยังไม่สนใจของซึ่งนี้อีกล่ะก็ตอนนี้ผมก็ไม่มีอะไรให้คุณแล้วล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
ซุนหยูเฮงทำได้เพียงพูดไม่ออก ถึงแม้ว่าอัญมณีดอกไม้หลากสีจะดีแค่ไหนก็ตาม แต่คุณค่าทางจิตใจยังไงก็ไม่เท่าหัวใจพระสูตรและพระพุทธ และยิ่งเทียบไม่ได้กับรูปแกะสลักไม้พระอจละนั่นยิ่งเทียบไม่ได้เข้าไปใหญ่
หากเขาได้หนึ่งในสองนี้มาล่ะก็ถือว่าดีที่สุดแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย แต่การจะได้หนึ่งในสองชิ้นนี้มาได้เขาคงต้องเข้าเนื้อไม่น้อยเลยทีเดียว
“คุณซู อัญมณีดอกไม้นั่นหากคุณจะขายไปพวกเราก็จะไม่ยุ่งแม้แต่น้อย แต่กับองค์พระอจละนั้นผมขอเถอะนะ
ต่อให้มีใครซักคนสามารถซื้อมันได้ก็ตามแต่พระองค์นั้นไม่ควรจะต้องถูกนำมาตีราคาค่างวดแบบนี้
ในเมื่อพระองค์นั้นได้มาอยู่ในมือคุณแล้ว ก็ได้โปรดประดิษฐานท่านไว้ที่นี่และศัการะท่านเพื่อปัดเป่าเภทภัย
ซึ่งนั้นไม่ใช่ซึ่งที่เงินจะหามาได้อย่างแน่นอน ” โจวฮงหยวนในตอนนี้เองก็ได้เข้าใจแล้วว่าซุนหยูเฮงนั้นสมควรจะไม่สามารถสู้ราคาได้แน่ๆ นั่นหมายความการตกลงซื้อขายย่อมเป็นอันเลิกลากันไป
แต่เขาเองเมื่อได้ฟังน้ำเสียงซูจิ้งก่อนหน้านี้ก็พอจะเลาๆได้ว่าซูจิ้งต้องการจะขายพระอจละองค์นี้จริงๆ
ความจริงโจวฮงหยวนนั้นอยากจะอัญเชิญพระอจละองค์นี้ไปประดิษฐานที่วัดของเขาใจจะขาด
แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าไม่ว่าจะทุ่มจนหมดตัวจนกรอบยังไงเขาก็ไม่สามารถต่อรองกับซูจิ้งเรื่องนี้ได้ทำได้แค่เงียบปากตัวเองเอาไว้
แค่ซูจิ้งยอมให้เขายืมหัวใจพระสูตรและพระพุทธเขาก็แทบอยากจะกราบกรานซูจิ้งแล้ว เขาไม่มีหน้าจะเอ่ยปากขออีกแต่อย่างใด
ตอนนี้เขาเองก็ได้แต่เพียงหวังว่าซูจิ้งจะยอมเก็บองค์พระอจละนี้ไว้ หรืออย่างน้อยๆก็ควรจะคิดให้ดีอีกครั้งก่อนจะขาย
“คูณโจว ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ ผมเองก็มีความตั้งใจสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้วเช่นกัน”
ซูจิ้งได้องค์พระอจละนี้มาจากพื้นที่กำจัดขยะหัวงเวลาฯเมื่อสองวันก่อน
พระองค์นี้ได้มาจากกองขยะไม้ไหม้ไฟซึ่งน่าจะมาจากวัดหลวง
ตอนแรกนั้นพระองค์นี้เองก็ถูกไฟไหม้ไปไม่น้อยจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย เขานั้นได้ลองให้เสี่ยวไป๋ซ่อมดูเพราะอยากรู้ว่าไม้กองนั้นคืออะไรกันหน้าจนกลายเป็นพระอจละองค์นี้
พระองค์นี้ตามซูจิ้งประเมินแล้วสมควรจะถูกใช้ในการสักการะโดยสุดยอดปรมาจารย์ของวัดนั้น
สำหรับซูจิ้งแล้วตอนแรกเขาก็ไม่รู้หรอกว่าพระองค์นี้มีชื่อว่าอะไร และเอาจริงๆแล้วพระองค์นี้ก็ไม่ได้ช่วยเขาในการฝึกเพิ่มเติมซักเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าพระองค์นี้จะส่งผลต่อจิตใจทำให้ช่วยเขาในการฝึกได้ แต่เขาเองก็มีถาดเสริฟชาสไตล์ญี่ปุ่นที่ได้มาจากห้วงเวลาฯศึกท้ารบสวรรค์อยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เขาเองก็เกรงกลัวอยู่บ้างที่จะขายพระองค์นี้ แต่ในตอนนี้เขาอยากขายออกไปใจจะขาดแล้ว
เหตุผลก็เพราะเขานั้นต้องการที่จะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์จากขยะห้วงเวลาฯของฉิงหยุนให้เร็วที่สุด เพราะหากนำมาเทียบกันแล้วเรื่องนี้ย่อมสำคัญกว่า
อีกอย่างในตอนเขาเองก็มีตำราวิถีมังกรอยู่ในมือแล้ว พระองค์นี้สำหรับเขาแล้วถือว่าไม่มีประโยชน์กับเขาเท่าที่ควร
ตำราวิถีมังการนั้นตามการคาดการณ์ของซูจิ้งแล้วน่าจะเป็นตำราลับของวัดพุทธใหญ่ของจริง และพระอจละองค์นี้ถึงแม้ว่าจะพอช่วยเขาได้บ้างแต่มีสามารถเทียบกับตำราวิธีมังกรได้
เอาจริงๆแล้วซูจิ้งเองก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าควรจะขายหรือไม่เขาคิดว่าอาจจะต้องดูสถานการณ์ไปก่อน
เขาวางแผนที่จะลองนำพระอจละให้ใครซักคนดูเพื่อที่จะประเมินราคาว่าสมควรจะตั้งที่เท่าไหร่
เพราะฉิงหยุนบอกเขาไว้ว่าการขายก็สามารถเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ฯได้เช่นเดียวกับการที่ทำให้ผู้คนตกตะลึง ประหลาดใจ ประทับใจ ต่อผู้คนบนโลก ตลอดจนการทำให้เกิดผลกระทบด้านดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมบนโลกใบนี้
และเขาเองก็ยังไม่เคยลองดูเลยว่าการขายขยะหัวงเวลาฯจะได้ค่าการใช้ประโยชน์ฯกี่หน่วย ทำให้เขายังไม่รู้ว่าควรจัดการยังไงกับเหล่าขยะห้วงเวลาฯเพื่อที่จะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ฯให้เร็วที่สุด
เขาเองได้แต่หวังว่าการขายขยะห้วงเวลาฯจะเป็นการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ฯที่ดีที่สุดเพราะสำหรับเขาแล้วจะสามารถใช้วิธีนี้ได้ดีกว่าวิธีอื่นอย่างแน่นอน
เพราะนอกจากจะเป็นการประหยัดเวลาแล้วยังเป็นการได้รับประโยชน์ในหลายๆด้านในครั้งเดียว
“คุณซุน คุณคิดว่าของสิ่งนี้พอได้รึเปล่าหล่ะ” ซูจิ้งเงียบไปพักนึงก่อนที่จะหยิบบางอย่างแสดงให้ดูพร้อมเอ่ยถามออกมา ก่อนจะพูดต่อว่า
“สิ่งนี้สมควรจะเป็นหัวใจพระสูตรและพระพุทธเช่นเดียวกัน แต่ผมขอบอกไว้ก่อนนะว่าพระสูตรเล่มนี้ไม่สมบูรณ์ ตอนแรกเลยไม่อยากนำออกมา แต่เห็นท่าทีของคุณแล้วผมเลย…. ช่างเถอะ ถึงแม้ว่ามันจะไม่สมบูรณ์แต่ยังไงซะมันก็พอจะถือได้ว่ามีค่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง”
ซุนหยูเฮง โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และหวังซือหยา ทั้งหมดได้เดินเข้ามามุงดูกันอย่างรวดเร็ว
พวกเขาเห็นกับตัวเองว่ารายละเอียดทุกอย่างของพระสูตรเล่มนี้เหมือนกับเล่มก่อนหน้านี้แทบจะแยกไม่ออกเลย
แต่ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มสังเกตุขอแตกต่างได้ หากดูรายละเอียดดีๆแล้วจะพบว่าความบรรจงและตั้งใจในตัวอักษรและรูปวาดต่างๆที่อยู่ในเล่มถือได้ว่าหยาบกว่าอย่างมาก แม้แต่นำรูปถ่ายพระสูตรที่ซูจิ้งเผยแพร่ไปก่อนหน้านี้มาเทียบก็ยังเห็นได้ว่ารูปถ่ายยังดูดีกว่า เพราะยังไงซะรูปนั้นก็ถ่ายมาจากเล่มจริง
วันนั้นที่ซูจิ้งถ่ายรูปออกไปเผยแพร่ เขาได้คัดเลือกเล่มที่คัดลอกมาดูที่สุดเป็นแบบ แน่นอนว่าทุกเล่มนั้นเป็นเพียงฉบับคัดลอกที่เอาไว้ฝึกตนเท่านั้น
แต่ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นของจริงมาก่อนแล้วใครจะบอกได้ว่ามันเป็นเพียงฉบับคัดลอกกันหล่ะ
เขาจึงได้ถือฉบับที่ดีที่สุดไว้เป็นของจริงไปเลย และแน่นอนว่าเล่มที่เขานำออกมาทีหลังนี้คือเล่มที่คัดลอกได้คุณภาพแย่ที่สุด
“ถึงแม้จะเป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่ก็ยังถือว่าดีที่สุดแล้วครับ คุณซู คุณควรจะนำพระสูตรฉบับนี้มาให้ผมตั้งแต่แรกนะ ผมต้องการฉบับนี้ โปรดเสนอราคามาได้เลย” ซุนหยูเฮงจ้องมองไปยังหัวใจพระสูตรและพระพุทธที่อยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจ
“เฮ้ออออ เป็นสามล้านหยวนก็แล้วกันครับ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างหน่ายๆ
ซุนหยูเฮง โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และหวังซือหยาต่างก็นิ่งไปเมื่อได้ยิน
ถึงจะบอกว่านี่เป็นฉบับไม่สมบูรณ์แต่ด้วยการที่ฉบับสมบูรณ์ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ดูในอินเตอร์เนตที่ภาพเผยแพร่ออกไปมีคนเสนอราคาเริ่มต้น 50 ล้านหยวนเป็นขั้นต่ำ บางคนเสนอถึง 100 ล้านหยวนด้วยซ้ำ
เมื่อได้ยินซูจิ้งเสนอราคาฉบับไม่สมบูรณ์นี้ในราคา 3 ล้านหยวนทำให้พวกเขารู้สึกว่ารับไม่ได้ขึ้นมา
พวกเขาในตอนนี้ต่างคิดว่าเหตุผลที่ซูจิ้งยอมกดราคาขนาดนี้เป็นเพราะหากได้ร่วมงานกับซุนหยูเฮงก็คงถือได้ว่าเป็นของขวัญสำหรับการร่วมงาน เพราะยังไงซะผลตอบแทนที่ได้มากกว่าที่ใครจะคาดคิดได้
แต่ถ้าจะให้เลยแล้วไม่ได้ร่วมงานกันก็ออกจะดูเป็นการติดหนี้กันเกินไปเลยใช้วิธีนี้แทน
“งั้นผมขอถือว่านี่เป็นราคาที่เหมาะสมก็แล้วกันนะครับ คุณซูช่างดีกับผมจริงๆ บอกเลยว่าถ้าได้คบหาคุณเป็นสหายได้ถือว่าไม่เสียหลายแล้ว”
ด้วยเหตุนี้เรื่องสงครามศาสนาย่อมๆจึงได้คลี่คลายลง โจวฮงหยวน โจวเทียนรุย และเสี่ยวไจ๋ ได้กลับไปยังวัดพร้อมกับหัวใจพระสูตรและพระพุทธฉบับสมบูรณ์ที่สุดที่ซูจิ้งยอมให้ไป ส่วนซุนหยูเองก็ได้จากไปพร้อมกับฉบับไม่สมบูรณ์ หวังซือหยาเองยังอยู่กับซูจิ้งพร้อมพูดว่า “อาจิ้ง ฉบับที่ซุนหยูเฮงได้ไปน่ะ ฉันคิดว่าอย่างน้อยๆก็ควรมีค่าไม่ต่ำกว่า 6 ล้านหยวนนะ ที่นายเรียกแค่สามล้านหยวนนี่เป็นพระหวังผลทางธุรกิจอย่างนั้นหรอ?”
“ไม่เอาอ่ะ ฉันขี้เกียจอธิบายเรื่องนี้ ทำไปแล้วก็ปล่อยๆไปเหอะน่า” ซูจิ้งยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาเป็นท่าทาง บ่งบอกว่าเขาจะไม่พูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก
“อ่ะ ก็ได้ฉันจะไม่ยุ่งกับนายเรื่องนี้แล้วกัน” หวังซือหยาพูดออกมา
“ฉันก็ได้แต่หวังว่าซุนหยูเฮงจะได้ร่วมงานกับเราล่ะนะ เพราะว่าธุรกิจของเขาหากร่วมมือกับเราแน่นอนว่าจะช่วยไม่ให้เราต้องไปเสียเวลาอย่างการผลิตวัตถุดิบพวกนั้นอีกต่อไป ฉันก็คิดว่าฝีมือด้านธุรกิจการเกษตรของเขาไม่เลวเลย แถมตอนนี้เขาเองก็ดูเหมือนจะถูกใจพี่ซื่อหยาอยู่นี่นา พี่คิดว่าไงหล่ะครับ คุณพี่สาวซือหยา” ซูจิ้งพูดพลางหันหน้าไปทำตาปริบกับซือหยาพร้อมรอยยิ้มอันกวนโอ้ยและชั่วร้ายหน่อยๆ
“ไม่ต้องเลย ฉันไม่สนเขาหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องธุรกิจล่ะก็ ฉันก็ไม่คิดจะไปหาเขาหรอกนะ”
หวังซือหยาเองได้จ้องไปยังซูจิ้งสักพักก่อนจะนึกอะไรได้บางอย่างแล้วพูดออกมาว่า “เอ้อมีอีกเรื่อง วันเกิดของพ่อฉันจะมาถึงแล้ว ฉันต้องไปร่วมงาน ตอนที่พ่อรู้ว่าฉันจะมาพ่อฝากมาบอกว่า ถ้าอยากไปร่วมงานก็ไปได้แต่ไม่ต้องมีอะไรติดไม้ติดมีไปหรอกนะ”
“ห้ะ ถ้าฉันไม่เอาของขวัญแล้วฉันจะได้ชื่อว่าเจ้าแห่งของขวัญได้ยังไงกันล่ะนั่น” ซูจิ้งยิ้มออกมา
หวังซือหยาเองก็ได้แต่หัวเราะร่าออกมาก่อนที่จะพูดต่อว่า “ที่เขาพูดนะหมายถึงว่านายเป็นไอ้บ้าของขวัญต่างหากล่ะ นายไม่เคยรู้สึกปวดใจบ้างเลยรึไงเนี่ย อย่าบอกนะว่านายคิดว่าเป็นคำชมจริงๆน่ะ ไม่ละอายเลยรึไงห้ะ หรือว่านายเมาไปแล้วเนี่ย”
“เอาน่า ยังไงก็ถ้าจะกลับเมืองหลวงก็โทรบอกกันหน่อยแล้วกัน ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ไปรึเปล่าแต่เรื่องของขวัญนี่ยังไงก็ขาดไม่ได้แน่นอน แต่ก็จะลองหาของพื้นๆที่สุดเท่าที่ฉันจะเจอฝากไปให้แล้วกันนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ได้คุยกันต่อเรื่องบริษัทของซือหยาอีกนิดหน่อยก่อนที่ซือหยาจะขับรถออกไป
ซูจิ้งเองในตอนนี้เขาได้ใช้ความคิดในจิตสำนึกคุยกับฉิงหยุนว่า “ฉิงหยุน เธอคำนวนรึยังว่าค่าการใช้ประโยชน์ฯที่ได้จากการขายพระสูตรเล่มนั้นไป 3 ล้านหยวนนี่ได้เท่าไหร่”
ฉิงหยุนได้ตอบกลับมาว่า “ได้ทำการคำนวนแล้ว ค่าการใช้ประโยชน์ที่เพิ่มจากพระสูตรเล่มนั้นอยู่ที่ 1 หน่วย”
ซูจิ้งตกตะลึงไปเล็กน้อย เขาได้ถามต่อเพราะเขาคิดว่าได้ยินผิดไป “เท่าไหร่นะ แน่ใจนะว่าเป็นการคำนวนเฉพาะเงินที่ได้จากเล่มที่ขายไป 3 ล้านหยวนนั่นเล่มเดียว”
ฉิงหยวนตอบกลับมาว่า “การที่ขายไปแล้วได้เงินมา 3 ล้านหยวนแล้วคำนวนเป็นค่าการใช้ประโยชน์ฯได้ 1 หน่วย ไม่ผิดอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งรู้สึกโง่งมขึ้นมาทันใด ดูเหมือนว่าวิธีการขายขยะห้วงเวลาฯจะไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับเขาเลยเพราะว่า 3 ล้านหยวนสามารถคำนวนค่าการใช้ประโยชน์ฯได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น ดูเหมือนว่าวิธีที่สุดสำหรับการที่เขาจะเพิ่มค่าใช้ประโยชน์ฯได้คือการทำให้เกิดประโยชน์สินะเนี่ย
GGS:บทที่ 806 สิ่งที่หลงเหลือ
ซูจิ้งเลิกล้มความคิดที่จะขายรูปไม้แกะสลักพระอจละไปในทันที เพราะเขาประเมินดูแล้วว่าเขานั้นแทบจะไม่ได้อะไรเลยถ้าขายออกไป
อย่างน้อยก่อนเขาจะขายก็ควรจะกอบโกยค่าการใช้ประโยชน์หลังจากสร้างความรู้สึกให้คนตื่นตะลึงกับองค์พระซะก่อน ส่วนเขาจะสร้างชื่อเสียงให้พระองค์นี้ยังนี่เขาได้คิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เขาจะต้องส่งอัญมณีดอกไม้หลากสีนี้ไปยังหอประมูลห้วงเวลาฯของเขาซะก่อน แถมยังทำแบบเอิกกะเริกซะด้วย
ซูจิ้งถึงกับเขียนบอกเอาไว้ในไมโครบลอกของเขาซึ่งแน่นอนว่าสร้างความตื่นตะลึงไปให้คนทุกวงการ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าผู้คนที่สนใจเรื่องธรณีวิทยาและคนที่เก็บสะสมอัญมณีต่างก็ตื่นตกใจกันอย่างมาก
ซูจิ้งขอให้ฉิงหยุนทำสถิติข้อมูลค่าการใช้ประโยชน์ฯที่เขาได้รับจากอัญมณีดอกไม้ฯนี้ให้เขาด้วย
ผลก็คือค่าการใช้ประโยชน์ที่ได้ตอนนี้ค่อนข้างจะน้อยเมื่อเทียบกับตอนที่เขานำภาพหัวใจพระสูตรฯขึ้นอินเทอร์เน็ตและเผยแพร่เพลงหมัดวัวคลั่ง เพราะเขาได้ค่าการใช้ประโยชน์ฯมาเพียง 100 หน่วยเท่านั้น
นั่นก็เพราะว่าต่อให้อัญมณีดอกไม้ฯนี้จะน่าตกตะลึงแค่ไหนแต่มันก็ไม่ได้เป็นที่สนใจมากเท่าที่ควร
เนื่องด้วยเป็นที่สนใจกับคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้น นี่ยิ่งทำให้เขานั้นแถบจะตัดสินใจขายออกไปแทบจะในทันทีเลยทีเดียว
ซูจิ้งเลือกที่จะเลิกสนใจเรื่องพวกนี้ไปก่อนตอนนี้เขากลับเข้าไปในฉิงหยุนเพื่อที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป
เขาได้จัดการขยะจำพวกไม้เกือบเสร็จแล้ว พวกมันส่วนใหญ่นั้นโชกไปด้วยน้ำและเริ่มส่งกลิ่นเหม็นแล้ว
ในตอนที่เขาคัดไม้ออกมาจำนวนหนึ่งเขาได้พบกับไม้แปลกที่มีความแข็งประหนึ่งดังแท่งเหล็ก แต่น้ำหนักยังเท่ากับไม้ปกติ หลังจากพิจารณาแล้วเขาพบว่ามันน่าจะเป็นไม้พีช
หัวใจของซูจิ้งก็เริ่มตื่นเต้นอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาลอยๆว่า “หรือว่านี่คือไม้พีชเขียว”
หากเป็นไม้พีชปกติเขาก็จะไม่ใส่ใจอะไรนักแต่หากเป็นไม้พีชเขียวที่มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ไม่ธรรมดา
ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้นมีดินแดนหนึ่งที่มีลมกระโชกแทบจะตลอดเวลา
ต้นพีชเขียวของที่นั่นถือได้ว่าเป็นไม้ที่อยู่ในระดับขั้นเซียนได้เลยทีเดียวนั่นก็เพราะว่าพวกมันได้รับพลังมาจากสายฟ้าจนได้รับพลังหยางบริสุทธิ์เข้าไป ขนาดภูติผีป๊ศาจเห็นไม้นี้ก็ยังต้องมีถอยห่างกันในทันที
ในห้วงเวลาฯนั้นมีเรือลำหนึ่งที่ชื่อว่าเรือวาฬคลั่งซึ่งทำจากไม้พีชเขียวนี้ทั้งลำซึ่งเป็นพีชเขียวอายุมากกว่า 100 ปี
มันสามารถแล่นแล่นฝ่าท้องทะเลโดยไม่มีเคยต้องประสบปัญหาอะไรเลยซักครั้ง
ทำได้แม้แต่ฆ่าปีศาจแห่งท้องทะเลด้วยซ้ำ อีกทั้งยังไม่เคยมีเรื่องโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นกับลูกเรือแม้ซักหนเดียว ที่ถือได้ว่าเป็นสมบัติสำคัญสำหรับนักผจญภัยและนักเดินเรือเลยก็ว่าได้
ต้นพีชเขียวที่มีอายุมากกว่าพันปีขึ้นไปนั้นจะให้กำเนิดวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จนกลายเป็นต้นไม้แห่งเซียนไปและจะไม่มีอาวุธอะไรทำอันตรายมันได้อีก
นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าในห้วงเวลาฯที่กล่าวไว้ว่าหากต้นไม้พีชเขียวนี้สามารถทนรับสายฟ้าฟาดได้เกินกว่าหมื่นปีจะก็กลายร่างเป็นมนุษย์และสามารถนำวิญญาณมนุษย์ไปไว้ในร่างนี้ได้
นอกจากวิญญาณนะจะปลอดภัยแล้วจะถือว่าเป็นการบ่มเพาะพลังวิญญาณอีกด้วย
ซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างก่อนที่จะจับท่อนไม้นั้นมาหักดูด้วยมือทั้งสองข้างจนเสียงดังกร๊อบ
เห็นดังนั้นซูจิ้งได้แต่ส่ายหัวแล้วพูดออกมาว่า “เฮ้อ ไม้นี่น่าจะเป็นไม้พีชเขียวจริงๆแต่อาจะน่าจะน้อยกว่า 100 ปีล่ะนะถึงแม้จะแข็งกว่าไม้พีชบนโลกแต่ก็เท่านั้น”
กว่าที่ซูจิ้งจะจัดการแยกกองไม้เสร็จก็ปาเข้าไปจวนจะมืดแล้ว เขาเห็นว่าในกองไม้นี้มีหินเมล็ดอะไรเข็งๆอยู่ หลังจากหยิบขึ้นมาดูสภาพเขาก็พบว่าสภาพของพวกมันยังดีอยู่ทำให้ซูจิ้งตาเป็นประกายขึ้นมา และนึกขึ้นมาว่าเจ้าเมล็ดนี้อยู่ในกองไม้พีชเขียวก็สมควรจะเป็นเมล็ดของต้นพีชเขียวเช่นเดียวกัน หลังจากค้นดีๆแล้วเขาก็เลือกเมล็ดพีชเขียวมาได้สามเมล็ดและจัดการนำมันไปปลูกและรดน้ำอย่างดี
ต่อมา
ซูจิ้งได้เริ่มจัดการกองหินต่อ ถึงแม้จากสภาพแล้วดูเหมือนจะหวังอะไรมากไม่ได้แต่ซูจิ้งก็ยังตั้งใจตรวจสอบพวกนี้อย่างจริงจังอยู่ดี
“นี่คือ…?” ซูจิ้งเห็นเศษหินกองอยู่ มันมีลักษณะต่างจากหินก้อนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
นอกจากสีสันที่ไม่เหมือนใครแล้วเขายังได้กลิ่นของตัวยาจากกลิ่นเหล่านี้ซะอีก
ยิ่งเขาลองดมใกล้ๆกลิ่นยิ่งแรงมาก
ซูจิ้งตื่นเต้นในทันทีเพราะมันไม่เพียงแต่มีกลิ่นของยาแต่มันยังเป็นกลิ่นที่เขาคุ้นเคยเหมือนเคยอ่านมาจากไหนอีกด้วย
“หรือว่านี่คือกากยา?” ซูจิ้งมาด้วยสายตาที่นิ่งเรียบ ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้นมีตำราหนึ่งที่เรียนว่า ตำหรับยาธรรมชาติ ที่เป็นบันทึกเกี่ยวกับสรรพคุณของยาที่แฝงอยู่ในธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นจากแร่ สัตว์ และพืช ที่มีอยู่ทั้งในสรวงสวรรค์และพื้นโลก
มีรายละเอียดแทบจะทุกอย่างที่ควรจะมีไม่ว่าจะเป็นลักษณะ รูปร่าง การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา วิธีใช้ ผลลัพท์ แม้แต่ผลข้างเคียงของยา มีแม้แต่ก็ขึ้นรูปยาแต่ละชนิดด้วยซ้ำ
โดยทั่วไปแล้วหินแร่ถือเป็นแหล่งยาที่ใหญ่ที่สุดในวงการยาของที่นั่น อย่างเช่นยาวิเศษสีทองที่ใช้ในการฝึกฝนร่างกาย
ยาสีทองนี้ประกอบด้วยโลหะหนักและแร่ธาตุหลายชนิดอย่างเช่นทองแดง ปรอท ทอง ตะกั่ว หยก ไมก้า และแร่ธาตุอื่นๆอีกอย่างละนิดอย่างละหน่อย จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าเขาจะพบกากยาจากขยะห้วงเวลาฯกองนี้
แต่หากพิจารณาจากความเป็นไปได้ตรงหน้าของซูจิ้งแล้วกากยานี้สมควรเป็นของเสียที่ถูกทิ้งหลังจากใช้งานทางเล่นแร่แปรธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว
นั่นหมายความว่ากากยานี้สมควรจะเป็นกากยาที่หลงเหลือแต่พิษเอาไว้เท่านั้น
นอกจากนี้หากนี่เป็นกากยาที่หลงเหลือจากการใช้จากเหล่าผู้ฝึกตนก็สมควรจะเต็มไปด้วยตะกั่วและปรอท
อันที่จริงหากใช้ในปริมาณที่เหมาะสมปรอทและตะกั่วก็เป็นยาที่ดีตัวหนึ่งได้เลย ก็ไม่แปลกใจถ้าเจ้ากากยานี้จะมีธาตุทั้งสองนี้อยู่ ต่อให้ยังมีตัวยาดีๆที่หลงเหลืออยู่แต่ตรายใดที่ไม่รู้วิธีการทำย่อมไม่สามารถกลั่นยาออกมาได้
ต่อให้เขาเก็บไว้ก่อนดูๆไปแล้วก็ไม่น่าจะมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์อะไร แถมแค่กากยาธรรมดาบนโลกแค่กินก็เสี่ยงตายมากพอแล้ว ไม่ต้องพูดถึงกากยาของห้วงเวลาฯอื่นเลย
หลังจากซจิ้งประเมินสถานการณ์แล้วเขาก็ทำได้แค่ต้องตัดใจไปก่อน ต่อให้เข้าจะทดลองแบบวิธีที่แล้วๆมาแต่ก็ต้องเสียเวลาอยู่ดี
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้เจอกากยาอีกจำนวนหนึ่งซึ่งมีลักษณะและสีที่แตกต่างกันออกไป บางกองใหญ่จนใหญ่กว่าสนามฟุตบอลเหมือนกับว่าแค่เห็นก็โยนทิ้งทันทีโดยไม่คิดจะเอาไปทำอะไรก่อน บางกองก็เล็กมาจนแทบมองไม่ออก
ซูจิ้งได้สังเกตุเป็นหินก้อนหนึ่งที่มีขนาดประมาณกำปั้นมือ เขาลองตรวจสอบดูอย่างตั้งใจแต่พอไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลยเขี่ยไปข้างๆ แต่ทั้นใดนั้นเขาก็เหมือนจะนึกอะไรได้บางอย่างก่อนที่จะหยิบมันมาดูอีกครั้งหลางนึกว่า
“เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันรู้จักหินนี่นะ” ซูจิ้งได้ค้นข้อมูลที่อยู่ภายในจิตสำนึกของเขาในทัน
หลังจากนั้นก็มีข้อมูลที่น่าจะเป็นของหินนี่ออกมายังสมอง
ทันใดนั้นซูจิ้งได้เดินออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแล้วหยิบมือถือเพื่อหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต
เมื่อเจอแล้วเขาลองเทียบรูปที่พบกับสิ่งที่อยู่ในมือของเขา
ยิ่งซูจิ้งเปรียบเทียบมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตกตะลึงจนแสดงออกให้เห็นได้จากสีหน้า สายตาของเขาที่จ้องมองต่อหินก้อนนี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ไม่ได้มีท่าทีเมินเฉยแบบก่อนหน้านี้อีกแต่ไป แต่สายตาของเขาเปลี่ยนไปเป็นมองสมบัติชิ้นหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
เมื่อตั้งสติได้ซูจิ้งรีบพุ่งตัวกลับไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เขารีบตรงกลับเข้าไปดูกากแร่กองเมื่อกี้ใหม่อีกครั้ง
ยิ่งเขาเจอก้อนที่ใหญ่เท่าไหร่ ท่าทางของเขาและสายตาเริ่มเปลี่ยนไปประดุจคนเจออะไรที่สุดยอด และปากของเขาค่อยๆเผยอยิ้มมากขึ้นทีละน้อยทีละน้อยจนเริ่มเห็นฟันแล้ว
ตอนนี้เขาไม่ได้มีท่าทีจะรังเกียจกากยาพวกนี้อีกต่อไปเขาเก็บพวกมันทั้งหมดไว้ในกระเป๋ามิติทันที
หลังจากผ่านไปได้ซักสองวัน
ซูจิ้งก็ไม่ได้เจออะไรที่น่าสนใจเพิ่มเติมอีกเลย เขาได้ทำการค้นซ้ำอีกสองรอบ หลังจากแน่ใจแล้วเขาได้นำของที่ใช้ได้ทั้งหมดไปเก็บไว้ในพื้นที่เก็บ ส่วนของที่ใช้ไม่ได้ก็สั่งให้ฉิงหยุนกำจัดทั้งหมดในพื้นที่พักขยะ โดยกระบวนการในส่วนนี้รวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ
“ตอนนี้มีขยะในระบบทั้งหมดอยู่ที่ 4,136 ตันที่ถูกกำจัด โดยใช้ปฏิสสารในการกำจัดอยู่ที่ 0.004 กรัม”
ฉิงหยุนรายงานออกมา
“เฮ้ออออ นั่นก็หมายความว่าใช้ค่าใช้จ่ายไป 120 ล้านหยวนสินะ” ซูจิ้งถึงกับหยิบบุหรี่ก่อนที่จะอัดจนหมดในทีเดียวก่อนที่จะพ่นควันออกมาจากมุมปาก
ถึงแม้ว่าเขานั้นจะรู้เรื่องนี้มาก่อนอยู่แล้วแต่ยังไงซะเมื่อได้ยินแล้วยังไงก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่ดี เขาเองก็รู้สึกอยากจะหาวิธีลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เขารู้สึกว่าต้องถามฉิงหยุนว่าพอจะมีวิธีลดปกิสสารที่ต้องใช้ในส่วนนี้ได้บ้างรึเปล่าอย่างการใช้พลังงานที่ได้จากการเผามาใช้ทดแทนพวกนั้นซูจิ้งจึงตัดสินใจถามออกมา “ไอ้พวกของที่เผาๆไปนี่มันก็สร้างพลังงานไม่ใช่หรอ ถ้าใช้พลังงานส่วนนี้แทนที่จะใช้ปฏิสสารทำได้รึเปล่า”
“ในส่วนพลังงานที่ได้จากกระบวนการเผานี้ถือได้ว่าน้อยอย่างมากเมื่อเทียบกับการใช้ปฏิสสาร การใช้ประโยชน์ในการเผาจึงถือว่าใช้ไม่ได้ อย่างไรก็ตามพลังงานที่ได้จะถูกนำไปใช้ในส่วนการกำจัดแบบย่อยสลายแทน เพราะฉะนั้นท่านเจ้าของไม่จำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด”
ซูจิ้งก็ทำได้แค่เพียงพูดไม่ออกเท่านั้น ความจริงกระบวนการเผานั้นถือว่าเป็นกระบวนการที่ใช้พลังงานมากกว่าส่วนอื่น แต่โดยตามปกติแล้วพลังที่ได้จากการเผาสามารถนำวนเข้ามาใช้ในกระบวนการเผาตัวมันเองได้อยู่แล้วเลยแทบจะถือว่าไม่เสียอะไรมาก
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับพลังงานที่ต้องใช้จากปฏิสสารแล้ว แน่นอนว่าพลังงานทั่วไปเทียบไม่ได้ ก็ไม่แปลกใจที่ว่าจะนำพลังงานมาวนใช้ไม่ได้ ซูจิ้งจึงต้องทำได้เพียงปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป
ซูจิ้งทำได้เพียงมองไปยังพื้นที่ว่างๆในพื้นที่ด้านบน พยายามทำให้ตัวเองรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง พยายามคิดให้ได้ว่าไม่ได้เข้าเนื้อ ไม่ได้ผลาญเงิน ไม่ได้ไร้ประโยชน์ ต่อให้เสียค่าใช้จ่ายมากแต่มันก็คุ้มค่า
GGS:บทที่ 807 ไข่มุกและข้าว
หลังจากที่จัดการเคลียร์ขยะที่เขาไม่ต้องการทั้งหมดออกไปได้แล้ว ซูจิ้งได้จัดหมวดหมู่ของที่คัดเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง
ของส่วนใหญ่นั้นไหม้ไฟและดูๆไปแล้วทั้งหมดน่าจะมาจากวัดพุทธใหญ่ทั้งหมด สำหรับที่ซูจิ้งซ่อมแซมได้เรียบร้อยก่อนหน้านี้เขาเก็บรักษาไว้อย่างดี
แน่นอนว่าซูจิ้งยังคงอยากจะซ่อมแซมของที่เขาคัดมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อว่าพวกมันจะกลายเป็นสมบัติอีก
แต่ทั้งวันนี้เสี่ยวไป๋เองก็ดูวุ่นๆทั้งวันทำให้ยังไม่ได้ซ่อมแซมอะไรเพิ่มเติม แต่ยังไงซะเมื่อเก็บพวกมันไว้แล้วเขาก็ไม่ต้องกลัวว่ามันจะหายไปไหน แค่รอเวลาซ่อมแซมพวกมันแค่นั้นเอง
ซูจิ้งเองก็มัวแต่วุ่นอยู่กับการคัดของเขาอยู่พักใหญ่ หลังจากนั้นเขาก็เข้าไปในส่วนนิเวศจำลองเพื่อดูหอยฝาและต้นข้าวที่เขาเก็บมาก่อนหน้านี้
หลังจากนั้นก็ได้ไปดูยังบ่อเลี้ยงปลาแต่ที่นั่นได้มีเรื่องที่ทำให้เขาก็ต้องตกตะลึง
ในช่วงนี้ระบบนิเวศจำลองไม่ได้เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงานแต่อย่างใดเพราะเขานั้นนำสัตว์และพืชเข้าเลี้ยงไว้
โดยช่วงเวลาภายในนั้นก็จะอ้างอืงกับเวลาภายนอกแต่ว่าก็ยังถูกจัดให้เป็นระบบนิเวศที่เหมาะสมกับสิ่งมีชีวิตภายในอยู่ดี
ซูจิ้งไปที่บ่อเลี้ยงปลาแล้วสั่งให้หอยลายเสือทุกตัวเปิดปากออกเพื่อดูข้างใน เขาเจอแสงที่แวววาวออกมาจากหอยลายเสือชนิดที่เรียกได้ว่าทำให้เขาแสบตาได้เลย
ในหอยปรากฏเป็นไข่มุกประกายวาววับขาวเนียนประดุจดั่งด้วงจันทร์ที่กำลังลอยตระหง่านอยู่บนฟ้า แต่เม็ดมันเล็กไปหน่อยจนเหมือนกับว่ามันเป็นดวงจันทน์เม็ดเล็กๆที่ถูกย่อส่วนมา
ซูจิ้งในตอนแรกนั้นเขาคิดว่าตาฝาดไปเหมือนกัน เขาได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาตัวสอบดู และสุดท้ายเข้าก็มั่นใจได้ว่าสิ่งนี้คือไข่มุกจริงๆ
พลังจิตนี้สำหรับซูจิ้งถือได้ว่าเป็นพลังที่เขาใช้บ่อยที่สุด อย่างกรณีนี้เขาสามารถใช้บังคับได้แม้กระทั่งทำให้หอยเปิดฝาในขณะที่มีชีวิตอยู่และเปิดออกดูได้อย่างง่ายดาย
“ดูเหมือนว่ามันจะใหญ่และเป็นประกายกว่าเดิมนะ”
ซูจิ้งดูพวกมันด้วยท่าทางประหลาดใจ นี่เพิ่งผ่านมาไม่กี่วันหลังจากที่เขานำพวกมันมาใส่ไว้ในบ่อปลานี้ รวมไว้กับปลาเขี้ยวหยกอีกจำนวนหนึ่ง
ถ้าหอยพวกนี้เป็นหอยธรรมดาเจริงเขาเองจะไม่แปลกใจเลยซักนิด แต่นี่กลายเป็นว่าหอยมุกกลับเม็ดใหญ่และส่องประกายแวววาวกว่าเดิมอย่างรวดเร็ว
หากหอยมุกทั่วไปเป็นอย่างนี้ได้ ทุกๆคนคงจะให้กำเนิดสมบัติแบบนี้ได้ทุกวันแน่นอน
เหตุผลเดียวที่มันเป็นอย่างนี้ได้คือหอยพวกนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา
“เดี๋ยวนะ หอยลายเสือ ส่งเสียงได้เหมือนเสือ ฉันว่าฉันคุ้นๆอยู่นะ” ซูจิ้งนิ่งลงและพยายามนึกอยู่ซักพักหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เป็นประกายในทันใด
ถ้าเขาจำไม่ผิดหงอี้ที่เป็นตัวเอกของห้วงเวลาฯเทพตะวันตกได้เคยพบเจอหอยลายเสือที่มีอายุกว่าพันปีในท้องทะเล หอยลายเสื้อนั้นมีไข่มุกเม็ดเท่ากำปั้นอยู่ข้างใน
ไม่เพียงแค่มันจะเหมาะกับการเป็นเครื่องประดับประจำตัวของผู้หญิงเพราะมันมีราคาสูงแล้ว อีกหนึ่งความสามารถของมันคือการเป็นยาวิเศษ สามารถใช้ในการบำรุงร่างกายและบังคับให้คนตายฟื้นคืนได้
ตอนที่หงอี้เจอไข่มุกนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ไข่มุกนี้ยังมีส่วนช่วยให้เขาดึงดูดผู้คนให้ตัดสินใจติดตามเขา และยังช่วยทำให้เขาได้พบกับราชาฉลามสีเงินอีกด้วย
แน่นอนอยู่แล้วว่าหอยลายเสือที่อยู่ตรงหน้าของซูจิ้งนี้ย่อมเทียบไม่ได้กับหอยลายเสือพันปีตัวนั้น แต่ยังไงซะพวกมันก็คือหอยลายเสือเหมือนกัน
ถ้าเขาปล่อยให้มันอยู่อย่างนี้ต่อไปแน่นอนว่าเขาต้องใช้ประโยชน์พวกมันได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต
“จะว่าไปตอนแรกฉันก็ไม่รู้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนี่นะ ก็ไม่แปลกที่ฉันจะจำหอยลายเสือพวกนี้ไม่ได้ แล้วเจ้าต้นข้าวต้นนั้นล่ะ”
ซูจิ้งได้หันไปมองต้นข้าวที่อยู่ในกระถางต้นไม้ เมื่อไม่กี่วันก่อนมันยังต้นเล็กจะตายแหล่ไม่ตายแหล่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่หลังจากที่มันดูดซับธาตุอาหารพืชในดินอยุ่หลายวันตอนนี้มันดูสมบูรณ์ดีแล้ว
อย่างไรก็ตามซูจิ้งได้ลองตรวจสอบดูต้นข้าวนั้นอย่างละเอียดแล้ว แต่เขาก็ยังไม่พบอะไรที่น่าจะบอกได้ว่ามันมีความวิเศษยังไง เขาทำแม้แต่ขุดดินเพื่อดูราก แต่ไม่ว่ายังไงมันก็ยังดูเหมือนต้นข้าวธรรมดา
สุดท้ายซูจิ้งก็ได้ยอมตัดใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่าง เขาสังเกตุเห็นเปลือกของมันว่ามันยังไม่ยอมหลุดออก
แต่ก็อาจจะเป็นไปได้เหมือนกันว่าเมล็ดข้าวนี้ก่อนหน้านี้ต้นเล็กมาก การที่อยู่ก็ได้รับสารอาหารและโตอย่างรวดเร็วอาจจะทำให้เปลือกของเมล็ดยังไม่เน่าหายไป
ซูจิ้งได้ตั้งใจมองที่เปลือกของเมล็ดข้าวดูก็รูสึกแปลกใจ เมล็ดข้าวนี้นอกจากจะเรียวยาวแล้ว มันยังเหมือนมีเส้นสีเงินเล็กๆพาดผ่านจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
นี่ทำให้ซูจิ้งมั่นใจได้แล้วว่าข้าวนี้ย่อมไม่ใช่ข้าวธรรมดา ข้าวธรรมดาที่ไหนจะมีเส้นสีเงินพากผ่านแบบนี้
“เอ…..เส้นสีเงิน เส้นสีเงิน เจ้านี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นข้าวเส้นขอบฟ้าของวัดพุทธใหญ่หรอกนะ”
เมื่อซูจิ้งนึกได้ถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาทำให้ตาของเขาต้องเบิกโพลงเล็กน้อย
ในห้วงเวลาฯเทพตะวันตกนั้น ที่นั่นเองก็มีข้าวธรรมดาอยู่เหมือนกัน แต่ที่นั่นก็ยังมีข้าวสายพันธุ์พิเศษที่ความวิเศษและคุณค่าทางอาหารมากกว่าข้าวทั่วไปอย่างไม่ต้องสงสัย
บางชนิดเมื่อกินแล้วจะช่วยในการฝึกตนและบ่มเพาะร่างกาย ตัวอย่างเช่นข้าวเนื้อหยกและข้าวเนื้อหลืองที่ถือได้ว่าเป็นข้าวระดับสูง
มีเพียงเหล่าขุนนางหรือชนชั้นสูงเท่านั้นที่จะมีโอกาสได้กิน เพราะสีของมันนั้นดูสีเหลืองเหมือนทองก็ไม่ปาน ทำให้ราคาของมันแพงเสียยิ่งกว่าทองซะอีก
แต่ก็มีบางตระกูลที่คิดว่าสีมันเหลืองแหยะๆไม่น่ากินแม้แต่น้อย
สำหรับข้าวเนื้อหยกเองก็ถือได้ว่าเป็นที่นิยมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดีไม่ดีจะมากกว่าด้วย
ด้วยการที่เม็ดข้าวนี้มีความยาวของเมล็ดได้มากกว่า1เมตรจนเหมือนกับเขี้ยวมังกร
มันจึงถูกปลูกเพื่อเป็นอาหารให้กับมังกรตั้งแต่ยุคโบราณกาลและมันเองก็เต็มเปี่ยมไปด้วยแก่นพลังงานบริสุทธิ์ ทำให้ถือได้ว่าเป็นสมบัติอย่างหนึ่งเช่นกัน
ส่วนข้าวเส้นขอบฟ้าของวัดพุทธใหญ่นั้นถึงแม้ว่าสรรพคุณจะไม่เท่ากับข้าวเนื้อหยกก็ตาม ต้องบอกว่าเทียบไม่ได้สักเสี้ยวเดียว
แต่ยังไงซะมันก็ยังถือว่าเป็นพันธุ์ข้าวที่ข้าวธรรมดาเทียบไม่ได้ สรรพคุณของมันนั้นสูงกว่ายาจีนบางตัว อย่างเช่นโสม เห็ดหลินจือ ไม่ก็พวกยาอายุวัฒนะอื่นๆมากนัก
หากนี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ซูจิ้งแทบจะอดใจไม่ได้แล้วที่จะได้ลองลิ้มชิมรสข้าวนี้หลังจากออกรวงออกมา แต่กอ่นหน้านั้นเขาคงต้องขยายพันธุ์ก่อนล่ะนะ
“การได้หอยลายเสือและข้าวเส้นขอบฟ้ามานี่ถือว่าดีจริงๆ นอกจากพวกมันจะสามารถทำให้ได้เงินมาได้อย่างไม่มีสิ้นสุดแล้ว พวกมันยังส่งผลกระทบต่อโลกใบนี้อย่างแน่นอน
ถ้าฉันนำไปใส่ไว้ในทะเลสาบบนเกาะทะเลทรายล่ะก็ ฉันน่าจะได้ค่าการใช้ประโยชน์ฯกลับมาเยอะพอสมควร
ตอนนี้ก็คงทำได้เพียงสั่งให้ปลาเขี้ยวหยกเฝ้าพวกมันไว้ก่อนล่ะนะ
ส่วนเรื่องข้าวนี่ถ้าใช่ของจริงคงต้องเสียเวลาขยายพันธุ์อีกพักใหญ่เลยทีเดียว ไหนจะต้องขยายพื้นที่เพาะปลูกอีก
ไม่รู้ว่าพี่ซือหยาจะตกลงกับซุนหยูเฮงได้รึเปล่านะ”
ซูจิ้งทำท่าจะโทรไปถามซือหยา แต่เขาก็นึกอะไรบางอย่างก่อนที่จะตัดใจไม่โทรไป
เรื่องพวกนี้เขาเองก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนนี่นา ข้าวเองก็ยังไม่ออกรวงเลยด้วยซ้ำ ต่อให้มันเป็นของจริงยังไงซะเมล็ดข้าวก็ควรจะยังน้อยอยู่ ต้องทำการปลูกไปอีกหลายรุ่นกว่าจะพอทำอะไรได้
ทันทีที่ซูจิ้งตัดสินใจว่าจะไม่รีบร้อน อยู่ๆก็มีสายเรียกเข้า
ทันทีเขาเห็นว่าเป็นใครก็ต้องอึ้งนิดหน่อยเพราะมันเป็นสายของซุนหยูเฮง นี่สินะที่เขาเรียกว่านึกถึงโจโฉ โจโฉก็มา
ซูจิ้งรับสายไปก่อนที่จะยินเสียงหัวเราะของซุนหยูเฮงดังลั่นมาจากปลายสายก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า “คุณซู ผมต้องรบกวนคุณแล้วหล่ะ”
“รบกวนหรอ แล้วมีอะไรให้ผมช่วยงั้นหรอครับ” ซูจิ้งถามออกมา
“เรื่องนี้ผมคงต้องสร้างปัญหาให้คุณซูไม่น้อยแล้วหล่ะ พอดีผมรู้มาว่าคุณซูกับซือหยามีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาต่อกัน ไม่รู้ว่าคุณซูพอจะพูดคุยหรือชมเชยเรื่องดีๆของผมต่อหน้าซือหยาได้บ้างรึเปล่า
ผมชอบซือหยาจริงๆนะ ตอนนี้อายุของเธอก็สมควรแก่การแต่งงานมาได้ซักพักใหญ่แล้ว คุณซูไม่คิดว่าอย่างนั้นเหมือนกันบ้างหรือครับ” ซุนหยูเฮงพูดออกมา
“มันเป็นเรื่องส่วนตัวของพี่ซือหยานะ ผมเองก็ยุ่งมากไม่ได้หรอก” ซูจิ้งพูดตอบไป
“ด้วยสายสัมพันธ์ที่คุณมีกับเธอคุณไม่ห่วงเธอบ้างหรอครับว่าบั้นปลายชีวิตเธอจะเป็นยังไง
เอาอย่างนี้ไหมหล่ะผมยินดีจะร่วมงานกับคุณถ้าคุณช่วยผมจนได้แต่งกับซือหยาคุณจะว่าไง” ซุนหยูเฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อะ เฮ่อะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจจะเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้
เขาเข้าใจความหมายของซุนหยูเฮงอย่างไม่ต้องสงสัย มันเหมือนกับคำกล่าวที่ว่าถ้าผูกไท้ไม่เป็นจะไปทำธุรกิจได้ยังไง
ถึงแม้ฟังๆดูแล้วเหมือนเขาจะขอร้องซูจิ้ง แต่หากพิจารณาดูแล้วเขาคิดว่าซูจิ้งจะต้องยอมโอนอ่อนทำตามเขาทุกอย่างหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับซือหยา
ไอ้ก่อนหน้านี้ที่เขาลดราคาหัวใจพระสูตรและพระพุทธให้ก็เพราะเขานั้นขี้เกียจคำนวนมากมายอะไร ยังไงเขาก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว
ซูจิ้งวางสายตัดหูทั้งไปในทันทีเพราะขี้เกียจพูดคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้ หลังจากนั้นเขารีบโทรไปหาหวังซือหยาก่อนจะบอกออกไปว่าเขานั้นไม่ต้องการร่วมงานกับซุนหยูเฮง
เขากลัวว่าหวังซือหยาจะไปคว้าไอ้บ้านี่มาเพียงเพราะต้องการช่วยเขามันคงดูโง่เง่าดีพิลึก
ต่อให้เขาไม่ร่วมมือด้วยแต่ดูๆไปแล้วหวังซือหยากก็ยังดูชอบพอกับหมอนี่อยู่บ้างเหมือนกัน
ทั้งสองคนเชื่อว่าในไม่ช้าซุนหยูเฮงจะต้องรู้สึกเสียใจในไม่ช้าที่กล้าเอาเรื่องนี้มาพูดกับซูจิ้ง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น