Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 796-799
GGS:บทที่ 796 หมัดวัวคลั่งลือเรื่อง
คนทั่วไปรวมไปถึงคนในวงการศิลปะการต่อสู้จีนต่างก็ได้ยินข่าวเรื่องที่คิตะมูระมาดูถูกเยียดหยามต่างก็โกรธแค้นกันอย่างมาก คืนนั้นซูจิ้งถึงกับได้รับสายโทรศัพท์จากฮัวเฟยหยุนก่อนที่เขาจะได้รู้ข่าวนี้จากไมโครบลอกซะอีก
หลังจากที่ซูจิ้งรับสาย เขาได้ยินน้ำเสียงของฮัวเฟยหยุนพูดออกด้วยท่าทีโกรธเคืองว่า “ศิษย์พี่ พี่อดทนกับคำพูดของไอ้ญี่ปุ่นนั่นได้ยังไงกัน
เมื่อไหร่กันที่พี่ยอมปล่อยให้ไอ้คนชาตินั้นมาดูถูกเราได้ขนาดนี้ ด้วยความแข็งแกร่งของศิษย์พี่ไม่น่าต้องกลัวอะไรมันนี่นา ถ้าพี่ไม่จัดการผมจะลงมือเอง”
“เดี๋ยวๆๆ พูดช้าๆหน่อยฉันฟังไม่ทัน เกิดอะไรขึ้นกันแน่” ซูจิ้งพูดออกมา
“อ่าว พี่ยังไม่รู้หรอ” ฮัวเฟยหยุนจึงได้จัดการเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เขารู้ให้ซูจิ้งฟัง
ซูจิ้งได้เข้าไปอินเตอร์เนตเพื่อเช็คข่าวดูก็เห็นข่าวที่ฮัวเฟยหยุนว่ามาจริงๆทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที
หมอนี่ช่างทำตัวระยำตำบอนดีจริงๆ คิดว่าตัวเองโดนปล้นงานโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานขยะไปแล้วโกรธเลยไปพาลหาเรื่องวงการอื่นแทน วงการไหนไม่ไปดันไปวงการศิลปะการต่อสู้ หาที่ตายจริงๆ
“ศิษย์พี่ พี่รู้อย่างนี้แล้วพี่จะสู้กับมันรึเปล่า” ฮัวเฟยหยุนแสดงความกังวลออกมา
“นายกังวลเรื่องอะไรอยู่ล่ะนั่น แน่นอนแล้วเมื่อรู้ก็ต้องสู้สิ ฉันเองก็อยากจะแสดงเพลงมวยใหม่ที่เพิ่งเรียนรู้มาเมื่อวานให้นายดูด้วย คอยดูดีๆล่ะ” ซูจิ้งพูดอย่างยิ้มกริ่ม
“เพลงมวยอะไรอ่ะ หมัดเมาหรอ” ฮัวเฟยหยุนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
“เอ่อ..ไม่ใช่” ซูจิ้งถึงกับพูดอึกอักในทันที ถึงจะเรียกว่าเพลงหมัดหมัดเมาแต่เอาจริงๆมันก็ไม่ใช่เพลงหมัดอะไรทั้งนั้น คราวนั้นเขาแค่เมาจริงๆแล้วไปต่อยกะชาวบ้านเท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้เขานั้นมีสติครบอยู่ดีจะให้กล้าต่อยแบบนั้นอีกก็คงไม่ด้านพอ
ซูจิ้งได้เรียกสติก่อนจะพูดออกมาว่า “เป็นเพลงหมัดอย่างอื่นน่ะ มันค่อนข้างจะเรียนรู้ได้ง่ายกว่าและทรงพลังมากกว่าด้วย”
“ดี พรุ่งนี้ผมจะไปดูนะ” ฮัวเฟ่ยหยุนรู้สึกตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ยินซูจิ้งบอกออกมาและดูเหมือนว่าเขาเองก็อยากจะสอนเพลงหมัดนี้ให้เขาอยู่ไม่น้อย แสดงว่าต้องเป็นเพลงหมัดที่ดีชุดหนึ่งแน่นอน
“เอาล่ะนั้นอย่างแรกก็…” หลังจากวางสายไปเขาก็ได้สร้างโพสต์ของเขาในไมโครบลอกทันที
“เป็นยังไงบ้าง” หลังจากฮัวเฟยหยุนก็รู้สึกหนักใจแทนขึ้นมา คนที่อยู่โดยรอบก็ได้ถามเขาในทันที ประกอบด้วย ฮัวฮงหยาง ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และเหล่าสมาชิกโรงเรียนศิลปะป้องกันตัว
ฮัวเฟิงหยุนยิ้มร่าก่อนจะบอกออกมาว่า “พี่จิ้งรู้เรื่องแล้ว และแน่นอนว่าเขาจะเล่นงานไอ้บ้านั่น”
“เยี่ยมยอด” ทุกคนแสดงออกมาด้วยท่าทางมีความสุขกันถ้วนหน้า
“พี่จิ้งลงข้อความแล้วล่ะ” จี้เสี่ยวถิงพูดในทันทีที่โทรศัพท์ของเธอมีข้อความเข้า ทุกคนเองก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเห็นซูจิ้งโพสต์ข้อความในไมโครบลอก มันข้อความเพียงบรรทัดเดียวบอกไว้ว่า
“รับคำท้า เจอกันที่หอจิงฮงพรุ่งนี้”
ทันใดนั้นเองเหล่าแฟนคลับของซูจิ้งรวมถึงเหล่าชาวเนตทันทีที่พวกเขาเห็นข้อความนี้ต่างก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาโพสต์ข้อความโต้ตอบใต้ข้อความนี้อย่างบ้าคลั่ง
“พี่จิ้งเจ๋งที่สุดดดดด”
“ไปฆ่าไอ้บ้านั่นซ้า…”
“หมอนั่นตายแน่ๆ”
“ฉันเองก็อยากให้เขาชนะนะ แต่เขาไหวจริงหรอ”
“แกบ้ารึเปล่าเนี่ย บอกหน่อยสิมีเรื่องไหนที่พี่ซูเคยแพ้”
“แกจะบอกว่าพี่ซูคนที่ฝ่ากองเพลิงไปช่วยผู้คน คนที่ไปปรากฎตัวบนเครื่องบินอย่างน่าเหลือเชื่อเสี่ยงอันตรายเพื่อผู้คน
จะกลัวเพียงกะอีแค่คนญี่ปุ่นน้อยๆคนหนึ่งเนี่ยนะ ตอนนั้นนักเทควันโดที่มาหาเรื่องยังโดนอัดเละเป็นหมานอนกองกับพื้นเลย”
เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งต่างก็ถือหางซูจิ้งเป็นการใหญ่ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังกังวล
สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนคลับของซูจิ้งเองก็กังวลอยู่ไม่น้อยต่อให้เห็นข้อความอวยซูจิ้งมากมายขนาดนี้ก็ตาม
จะบอกว่าพวกเขาไม่สนับสนุนซูจิ้งก็ไม่เชิง พวกเขายังรังเกียจซูจิ้งซะด้วยซ้ำ
แต่ต่อให้พวกเขานั้นรังเกียจเดียดฉันท์ซูจิ้งมากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้แทบจะถือได้ว่าเป็นเรื่องระดับชาติพวกเขาแน่นอนว่าย่อมเข้าข้างซูจิ้ง
พวกเขาเพียงกังวลว่าหากเกิดการประลองกันจริงๆแล้วเกิดแพ้ขึ้นมาจะกลายเป็นเรื่องขายหน้า
แล้วยิ่งตอนนี้ ซูจิ้ง ผู้ที่ได้รับการยอมรับในวงการต่อสู้ของเมืองจีนประกาศลงมือเองขนาดนี้หากแพ้ขึ้นมาจะไม่ใช่ซูจิ้งขายหน้าคนเดียวแต่จะเป็นทำให้คนทั้งประเทศขายหน้า
นอกจากนี้ยังมีเหล่าดาราหลายคนที่ทราบเรื่องต่างส่งข้อความสนับสนุนอย่างต่อเนื่อง
มู่หรงเซียนเอ๋อส่งมาว่า “อาจิ้ง สู้ๆ”
เลาชงส่งมาว่า “พรุ่งนี้ฉันไปดูสีหน้าความพ่ายแพ้ของชาวญี่ปุ่นไร้ยางอายคนนั้น”
นาลันเฟยส่งมาว่า “ไม่ว่าจะยังไงก็ชนะให้ได้นะ”
ด้วยการนี้ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นข่าวดังจนเริ่มเป็นที่จับตามองของเหล่าสำนักข่าวทั้งใหญ่เล็กทั้งในโลกแห่งความจริงและในอินเทอร์เน็ต
พวกเขาไม่เพียงแต่จะทำการรายงานข่าวแต่ยังเตรียมตัวถ่ายทอดสดการต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ด้วย ไม่ว่าแต่สำนักข่าวแต่เหล่าผู้คนที่สนิทสนมเองก็ตั้งใจว่าจะไปดูกับตาตัวเองหรือบางส่วนก็ถึงกับขนาดตั้งตารอการสตรีมเลยทีเดียว
ขนาดดาวเด่นในวงการศิลปะการต่อสู้ไม่ว่าระดับไหนก็ตามยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาก่อน
ซูจิ้งที่กำลังดูความเคลื่อนไหวในอินเทอร์เน็ตอยู่ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา นั่นก็เพราะว่าเรื่องแบบนี้ย่อมเป็นที่สนใจของประชาชน ยิ่งเรื่องนี้แพร่กระจายมากเท่าไหร่ยิ่งส่งผลกับเขามากเท่านั้น
ซูจิ้งได้เรียกดูอัตราการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุน
ตัวเลขในตอนนี้อยู่ที่ 378 และกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างช้าๆ
ค่าการใช้ประโยชน์ที่เขาได้รับจากหัวใจพระสูตรนั้นได้หยุดนิ่งไปนานแล้ว เขาเองก็ไม่ได้หวังผลอะไรกับหัวใจพระสูตรนั่นเท่าไหร่นัก
เขายังคงนึกมาเสมอว่าการผลิตปฏิสสารถือเข้าท่ามาตลอดจน ตราบใดที่เขายังหาคนมาขยายกำลังการผลิตและหาเงินต่อไปอย่างนี้ได้ ตอนนี้ถือว่าเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว พอจะดำเนินไปได้เรื่อยๆโดยไม่ต้องทำอะไรมาก
แต่ในส่วนของอัตราการใช้ประโยชน์นี่สิที่เขาต้องใส่ใจมากขึ้น เพราะสำหรับเขาแล้วยังถือว่าเป็นเรื่องใหม่ที่ยังต้องเรียนรู้หาทางต่อไป
เขาในตอนนี้ตั้งในว่าขั้นตอนต่อไปในการเพิ่มอัตราการใช้ประโยชน์เขาคิดจะใช้ “หมัดวัวคลั่ง” สร้างชื่อเสียงซึ่งนี่ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกจริงๆสำหรับเขาในงานส่วนนี้(อัตราการใช้ประโยชน์)
ถึงแม้ว่าเพลงหมัดนี้ด้วยตัวมันเองจะไม่ส่งผลอะไรมากมายก็ตาม
แต่เมื่อมันได้รับความนิยมเมื่อไหร่เพลงหมัดนี้สมควรจะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ได้มากกว่า
เมื่อเทียบกันแล้วหัวใจพระสูตรและรูปพระพุทธ ทั้งสองอย่างนี้ค่อนข้างเป็นที่นิยมในวงแคบ
แต่สำหรับเพลงหมัดนี้ชาวจีนทุกคนต่างก็นิยมชมชอบ
ถึงแม้จะมีคนตั้งใจฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จีนน้อยนิดแต่หากเขาสามารถทำให้เพลงหมัดนี้สร้างความประทับใจตราตรึงไว้ในใจคนได้ ต่อให้ไม่ได้ฝึกต่อสู้ก็ต้องมีการนึกถึงอยู่บ้าง
อีกทั้งเพลงหมัดนี้หากฝึกแล้วจะทำให้ทั่วทั้งร่างแข็งแกร่งหากมีคนเห็นย่อมอยากฝึกฝนเป็นธรรมดา ถือได้ว่าเป็นการเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้จีนไปในตัว
“นายหญิงมา นายหญิงมา” ตอนนี้ต้ามู่และเสี่ยวมู่ได้บินมาหาซูจิ้ง เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งจึงได้ตรงไปที่ประตูเพื่อไปเจอฉือฉิง ที่ตอนนี้กำลังถูกล้อมรอบด้วยสัตว์เลี้ยงอยู่
“อาจิ้ง นายแน่ใจเรื่องชายญี่ปุ่นคนนั้นใช่รึเปล่า” ทันทีที่ฉือฉิงเห็นซูจิ้งเธอได้ถามออกมาด้วยความห่วงใย
เธอเองก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นแข็งแกร่งแต่ก็ยังอดกังวลไม่ได้ เนื่องด้วยโลกภายนอกในตอนนี้กดดันซูจิ้งอย่างมาก หากเขาแพ้ย่อมต้องถูกกล่าวโทษอย่างแน่นอน
“อย่ากังวลไปเลยน่า เรื่องแบบนี้สำหรับฉันแล้วจัดการง่ายพอๆกับพลิกฝ่ามือนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า
“อ้อแล้วก็ฉันน่ะจะสอนเพลงหมัดไว้ให้เธอใช้ป้องกันตัวเองนะ หลังจากเรียนรู้เพลงงหมัดนี้แล้วแม้แต่เธอก็ยังจัดการคนญี่ปุ่นคนนั้นได้ง่ายๆเลย”
“จริงหรอ โม้รึเปล่า” ฉือฉิงไม่อยากจะเชื่อคำพูดของซูจิ้งนักเพราะยังไงซะด้วยสรีระของผู้ชายและผู้หญิงนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อย่าว่าแต่จะต้องเจอกับคาราเต้สายดำเลย ต่อให้เจอผู้ชายธรรมดายังอยากต่อการต่อกร แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเธอก็ยังสู้ไม่ได้ด้วยซ้ำ
หากพูดถึงเรื่องศิลปะการต่อสู้แล้วเธอสนใจเรียนอย่างพวกท่าเท้าไร้เงามากกว่า นอกจากเหมาะกับเธอแล้ว ยังช่วยป้องกันตัวเองได้ด้วย
การที่ซูจิ้งบอกฉือฉิงว่าจะสอนเพลงหมัดให้นั้นถึงแม้จะฟังดูโหดร้ายไปหน่อย
แต่เพลงหมัดนี้ไม่ใช่เพียงผู้ชายเท่านั้นที่ฝึกได้แม้แต่ผู้หญิงเองก็ฝึกได้เช่นกัน
แถมยังช่วยในการกระชับสัดส่วนได้ดีกว่าการเข้าฟิตเนสอีกด้วย
ฉือฉิงเองก็ยอมทำตามซูจิ้งมาโดยตลอดไม่ว่าจะเป็นกิน ดื่ม หรือแม้แต่การเรียนเพลงหมัดนี้ก็ตาม
ตอนนี้ร่างกายของเธอนั้นถือได้ว่าอยู่สูงกว่าคนทั่วไปเรียบร้อยร้อยแล้ว
ด้วยการแนะนำจากซูจิ้งทำให้เธอสามารถเรียนรู้ท่ามวยเพลงแรกได้อย่างรวดเร็ว
เธอใช้เวลาเรียนรู้เพียงชั่วโมงเดียว ฉือชิงก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในทันที
นี่แค่เธอเรียนเพียงเพลงหมัดแรกเท่านั้นเธอก็รู้สึกได้ว่ามีความแข็งแกร่งเกิดขึ้นในร่างกายอย่างต่อเนื่อง
เช้าวันถัดมาซูจิ้งขับรถตรงไปยังหอจิงฮงในทันทีโดยมีฉือฉิงติดตามไปด้วยเพื่อที่จะเชียร์เขา
เมื่อไปถึงก็พบว่ามีผู้คนจำนวนมากมาออกันอยู่ที่หน้าประตูหอจิงฮงแล้ว ในนี้รวมไปถึงฮัวเฟยหยุน จี้เสียวถิง และไชวูเฟิง
GGS:บทที่ 797 สตรีมอีกครั้ง
“ซูจิ้งมาแล้ว”
“พี่จิ้งในที่สุดก็มาแล้ว”
ทันทีที่ซูจิ้งลงมาจากรถ เขาก็ได้ยินเสียงเชียร์เขาดังสนั่น มีทั้งนักข่าวลงมารายงาน และเหล่าแฟนคลับที่ซูจิ้งคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง
พวกเขาแสดงท่าทางตื่นเต้นยินดีทันทีที่เห็นซูจิ้งแฟนคลับผู้หญิงบางคนถึงกับกรี๊ดลั่นออกมา
ฮัวเฟยหยุน จี้เสี่ยวถิง และไชวูเฟิงได้เดินออกมารับ พร้อมด้วยท่าทางตื่นเต้นเล็กน้อย
แค่พวกเขาได้เห็นศิลปะการต่อสู้จีนของซูจิ้งก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว นี่ยิ่งเป็นการต่อสู้กับศิลปะการต่อสู้ของต่างชาติด้วยยิ่งแล้วกันใหญ่ ทุกคนในที่นี้ต่างอยากให้ซูจิ้งสั่งสอนชาวญี่ปุ่นคนนี้อยู่เต็มแก่แล้ว
“ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์วันนี้มาไม่ได้จึงได้ส่งพวกเรามาคอยเชียร์ศิษย์พี่แทน” จี้เสี่ยวถิงพูดออกมา
“โอ้… ขอบคุณมาก” ซูจิ้งตอบพวกเขาไปพร้อมรอยยิ้ม
“พี่จิ้ง พวกเราก็เป็นกำลังใจให้นะ” มีเสียงหนึ่งดังออกมาแต่ไกล
เมื่อซูจิ้งหันไปดูก็ถึงกับอึ้งเล็กน้อย เขาเห็นหวู่หลงและกลุ่มเด็กน้อยที่เรียนศิลปะการต่อสู้ พวกเขาแต่งชุดฝึกและมากันเป็นกลุ่มทำให้เป็นที่จับตามองด้วยคนรอบข้าง ซูจิ้งพยักหน้าให้พร้อมตะโกนกลับไปว่า “หวู่หลง นายมาด้วยหรอ คอยดูการต่อสู้นี้ให้ดีๆนะ”
“ได้ครับพี่จิ้ง” หวู่หลงสายตาเป็นประกายขึ้นมา ถึงแม้ว่าเขาเองจะโดนซูจิ้งอัดมาไม่น้อยแต่นั้นสำหรับเขานั้นที่ว่าเป็นการสอนสั่งจากซูจิ้งมากกว่า
ซูจิ้งเองหลังจากที่คอยเตะสั่งสอนเขาจนเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็ไม่ได้สั่งสอนเขาอีกต่อไป นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว ตอนนี้หวู่หลงเปลี่ยนไปอย่างมากและก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่ผิดกฎหมายหรือศีลธรรมอะไรอีกเลย
สำหรับเขาแล้วซูจิ้งคือคนที่ให้เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างแท้จริง
“ในเมื่อนายมาแล้ว ซู อย่ามัวแต่ยืนอยู่ข้างนอกเลยน่า รีบเข้ามาสู้กันในสังเวียนดีกว่า” ในตอนนั้นก็ได้มีเสียงภาษาจีนแปลกๆดังมาจากประตูหอประลองยุทธ์
คิมูระในชุดขาวดำและกลุ่มของคนที่เป็นสมาชิกของสำนักคาราเต้แห่งนี้ได้เดินเข้ามา รวมถึงโอฉิงซงด้วย
“อยากได้ก็จัดให้” ซูจิ้งไม่พูดมากความอีกต่อไป เขาเดินตรงเข้าไปทันที
กลุ่มคนได้พากันทยอยเดินเข้าไปยังหอประลองยุทธ์ รวมไปถึงนักข่าวด้วย คนเยอะชนิดที่ว่าเขาไปได้ไม่หมดต้องหยุดอยู่ที่หน้าประตูเลยทีเดียว แม้แต่นักข่าวบางคนเองก็เข้าไปไม่รอดได้แต่ยืนแกร่วอยู่ข้างนอก
อย่างไรก็ตามโอฉิงซงเองก็ยังไม่ได้เข้าไป เหมือนกับว่าเขานั้นได้รอคอยใครซักคนอยู่ที่หน้าประตู หลังจากได้ยินเสียงรถออดี้สีขาวดังมา เขารีบวิ่งลงไปรับด้วยท่าทีที่ดีใจออกนอกหน้า เมื่อกระจกรถเปิดออกก็แสดงให้เห็นใบสีขาวเนียนที่ดูสง่างามของหญิงสาวคนหนึ่ง
“หยานเอ๋อ ในที่สุดเธอก็มา งานประลองใกล้จะเริ่มแล้ว” โอฉิงซงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“นี่หรอที่นายโทรมาบอกว่าอยากจะให้ดู” หวังหยานจ้องไปที่ประตูของสำนักต่อสู้
“น่า…. แค่เข้าไปดูแล้วนั่งดูอะไรสนุกๆเท่านั้นเองน่า” ความคิดของโอฉิงซงไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลย
เขาเพียงคิดว่าเหตุผลที่หวังหยานไม่สามารถปล่อยวางเรื่องของซูจิ้งได้นั้นเป็นเพราะว่าเขาไม่มีอะไรที่สู้ซูจิ้งได้เลยสักอย่าง
เธอสมควรจะเห็นซูจิ้งอยู่สูงเกินกว่าที่เธอจะเอื้อมไปถึง และเธอก็ยิ่งถลำลึกติดอยู่ในวังวนจิตใจมากกว่าเดิมเมื่อซูจิ้งได้เล่นเพลง ณ ชั่วขณะจิตแห่งความสวยงามและเพลงขอให้คู่รักได้แต่งงานกัน
ถ้าหวังหยานได้เห็นว่าซูจิ้งถูกกระทืบจนปางตายน้ำลายฟูมปากเหมือนหมาข้างถนน ภาพของเธอที่มีต่อซูจิ้งย่อมเปลี่ยนไปแน่นอน
“ถ้านายท้าสู้กับซูจิ้งด้วยตัวเองฉันก็คงไม่ว่าอะไรหรอก
แต่นี่นายไปหาคนอื่นมาท้าสู้ แถมยังเป็นคนญี่ปุ่นซะอีก
ไม่ว่ายังไงก็ตามไม่มีทางเปลี่ยนความคิดของฉันที่มีต่อซูจิ้งไปได้หรอก
และแน่นอนว่าฉันเองก็จะสนับสนุนคนจีนด้วยกันอย่างสุดกำลังมากกว่าไปยืนอยู่ฝั่งญี่ปุ่นอย่างแน่นอน” หวังหยานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
โอฉิงหยุนยืนนิ่งไปในทันทีเมื่อได้ยิน เขาในตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีจนซีดเซียวลง
ก่อนหน้านี้เขานั้นสำหรับหวังหยานก็ไม่มีอะไรดีอยู่แล้วแต่เธอก็ยังพอไว้หน้าเขาบ้าง
แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเธอนั้นรังเกียจเขาจนเข้ากระดูกดำไปแล้วขนาดแค่มองหน้าเขาก็รู้สึกได้เลย นี่เป็นสิ่งที่จะทำให้เขานั้นยากจะยอมรับได้ เขายังคงพยายามหาข้อแก้ตัวโดยพูดออกมาว่า “ฉันไม่ได้สั่งให้คิมูระท้าซูจิ้งประลองนะ แต่เป็นซูจิ้งที่มาแย่งการทำธุรกิจของพวกเราไปต่างหาก นั่นทำให้คิมูระโกรธมากซะจนทนไม่ไหว โกรธจนขนาดที่เขาต้องเอาเรื่องนี้ไปโยงเข้ากลับเรื่องอื่นอย่างศิลปะการต่อสู้จีนแบบนี้ มันเป็นเรื่องความแค้นส่วนตัวของคนสองคนไม่เกี่ยวกับเรื่องเกียรติยศของประเทศหรืออะไรพวกนั้นหรอก”
“ลองเข้าไปดูด้วยตาของนายเองคนเดียวแล้วกันนะ ฉันไม่เข้าไปกับนายหรอก” หวังหยานพูดออกมาก่อนที่จะปิดกระจกรถ
โอฉิงซงตอนนี้ทำหน้าน่าเกลียดในทันที แต่ไม่ว่าจะยังไงก็ตามการประลองนี้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป
เขาเองก็อยากเห็นซูจิ้งโดนกระทืบไม่น้อยจนเขาเริ่มหยุดความรู้สึกนี้ไม่ได้อีกต่อไป
เขาได้หันหลังกลับและตรงไปยังลานประลองในทันที
“ซูจิ้งประลองกับชาวญี่ปุ่นและคุณก็ยังคงถือหางฝั่งซูจิ้งอันนี้ฉันก็เข้าใจได้นะ แล้วถ้าเกิดเป็นซูจิ้งประลองกับโอฉิงซงหล่ะ คุณจะถือหางฝั่งไหน” นั่งที่นั่งฝั่งผู้โดยสาร ผู้หญิงที่ดูภูมิฐานในชุดเดรสสีดำถามเธอด้วยรอยยิ้ม ถ้าซูจิ้งอยู่ที่นี่เขาเองก็คงจะพอจำได้อยู่บ้างว่าเธอเป็นใคร เพราะเธอคือมู่ติง เพื่อนสนิทของหวังหยานในตอนมหาวิทยาลัย หลังจากออกมาจากมหาวิทยาลัยมาแล้วเขาเองก็เคยเจอเธอเพียงครั้งเดียวก็คือตอนที่เขาเริ่มสร้างชื่อเสียงเป็นครั้งแรกตอนที่ทำอาหารจีนนั่นเอง ในตอนนี้พ่อครัวอาหารจีนของภัตตาคารตระกูลหวังได้ท้าดวนเขา หวังหยานเองก็ได้ดูการประลองทำอาหารนี้ข้างๆกับมู่ติงด้วยเช่นกัน
“ไม่ถือหางใครทั้งนั้นแหล่ะ ไม่ใช่เรื่องของฉันนี่” หวังหยานพูดออกมา
“ฮ่าฮ่า” มู่ติงจ้องหวังหยานด้วยหางตาก่อนจะพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้หรอกน่าว่าแฟนของซูจิ้งจะสวยซักแต่ไหน
และฉันก็ไม่รู้ด้วยว่าทั้งคู่รักกันจริงหรือแค่หลงกันเท่านั้น
ฉือฉิงอาจจะใช้สุดยอดแป้งเสริมความงามที่ไม่มีขายในตลาดนั่นก็ได้
ถ้าเธอไม่เลิกกับเขาไปซะก่อนฉันเองก็ยังอยากจะได้มาไว้ซักขวดสองขวดเลย
ฉันเองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าหมอนี่จะกลายเป็นยอดคนได้ขนาดนี้”
“มาถึงตอนนี้จะยังพูดอะไรอีก” หวังหยานพูดพลางถลึงตาใส่
“งั้นก็อย่าพูดถึงมันเลยดีกว่าน่า ซูจิ้งตอนนี้น่าจะกำลังสตรีมในช่องกีฬาอยู่นะ ถ้ายังไงในเมื่อพวกเราไม่คิดจะเข้าไปดูเราก็ดูจากทางนั้นแล้วกันจะได้รู้ว่าเขาชนะรึเปล่า”
มู่ติงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเข้าไปยังช่องสตรีมที่มีรูปซูจิ้งกำลังประลองฝีมืออยู่กับคิมูระอยู่ในขณะนี้
“ถ้าเธอไม่สนเรื่องกีฬาแล้วเธอจะเปิดดูทำไมล่ะเนี่ย” หวังหยานบ่นงึมงำเป็นหมีกินผึ้ง พลางจ้องไปยังโทรศัพท์ของมู่ติงด้วยสีหน้าเซ็งๆในตอนแรก ก่อนที่จะเริ่มจ้องเขม็งและมองตาไม่กระพริบ
ในหอประลอง ฉือฉิงที่กำลังถือโทรศัพท์ให้ซูจิ้งอยู่ข้างสนาม และได้ทำการล็อกอินช่องสตรีมของซูจิ้งเพื่อทำการสตรีมซูจิ้ง ซูจิ้งที่อยู่บนสนามได้หันหน้ามายังกล้องพร้อมพูดว่า
“สวัสดียามเช้าทุกคน วันนี้ผมมีนัดประลองยุทธอยู่ที่สำนักคาราเต้แห่งหนึ่งเพื่อทำการเผยแพร่ศิลปะการต่อสู้ของจีนแขนงหนึ่งให้กับคนที่นี่และกับทุกคนด้วย ถ้าพวกคุณสนใจสามารถเรียนรู้ได้ในภายหลัง เพลงหมัดชุดนี้มีชื่อเรียกว่า “หมัดวัวคลั่ง” ”
ท่าทางของซูจิ้งในตอนนี้ทำให้ใบหน้าของคิมูระแสดงสีหน้าน่ากลัว แม้แต่ลูกศิษย์ของเขาเองก็โกรธกันจนตัวสั่น
จี้เสียวถิง ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง และคนอื่นๆ เมื่อได้ยินดังนั้นต่างก็พูดไม่ออก พี่จิ้งจริงจังอยู่รึเปล่าเนี่ย
ศัตรูของเขาคือคาราเต้สายดำเลยนะ ก่อนต่อสู้เขายังมีเวลามาอธิบายรายละเอียดวิชาอย่างนี้อยู่อีก
ฉือฉิงเองถึงกับต้องพูดออกมาด้วยท่าทีระอาว่า “ระวังตัวหน่อยสินายควรจะมองเขานะไม่ใช่มามองกล้อง ไม่งั้นฉันเลิกถ่ายนะ”
คนที่กำลังดูสตรีมอยู่ตอนนี้ก็มีความรู้สึกแบบเดียวกันจนถึงกับต้องพิมออกมาบอกกันเลย
“พี่จิ้งผมก็รู้ว่าพี่เก่งนะแต่ว่าอย่าประมาทสิ”
“จริงจังหน่อยสิพี่ ต่อให้พี่มีกึ๋ยดีแค่ไหนก็พลาดได้นะ”
“ถ้าจะสอนมวยล่ะก็พี่สอนทีหลังก็ยังไม่สายนะ”
“เพลงหมัดวัวคลั่งนี่เป็นยังไงหรอ”
“ฉันเองก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรกเหมือนกัน แต่เท่าที่ฟังดูน่าจะแกร่งน่าดู”
“มีฉันคนเดียวใช่ไม๊ที่สังเกตุเห็นสาวสวยคนนั้น”
“นั่นต้องเป็นฉือฉิงคู่หมั้นของพี่จิ้งแน่นอน ช่างสวยจริงๆ”
“ฮ่าฮ่าพี่จิ้งอย่าทำให้พี่สะใภ้ผิดหวังล่ะ”
ในระหว่างที่มีการแซวกันนี้เอง กรรมการได้ส่งสัญญาณให้คิมูระและซูจิ้งเตรียมพร้อม
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณว่าการประลองได้เพิ่มขึ้นแล้ว
คิมูระได้ปลดปล่อยความโกรธเกรี้ยวด้วยการใส่ทุกอย่างลงไปในการโจมตีแรกของเขาในทันที
GGS:บทที่ 798 สุนัข
ทันทีที่กรรมการให้สัญญาณเริ่มต้นการประลอง
คิมูระได้พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและเตะเข้าไปที่ยอดอกของซูจิ้ง
มันเป็นการเตะที่เรียบง่ายแต่มันเร็วและแรงขนาดที่ว่าหากเตะใส่คนทั่วไป หรือแม้แต่นักศิลปะการต่อสู้ก็ตาม หากคนๆนั้นตั้งตัวไม่ทันล่ะก็สามารถน็อกพวกเขาได้ในทันทีเพียงการโจมตีเดียวเท่านั้น
ศิลปะการต่อสู้ที่เรียกว่าคาราเต้นั้นเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ไม่ใช้อาวุธ มุ่งเน้นในการใช้มือและเท้าเพื่อชนะในการสู้รบจริงๆเท่านั้น
หลังจากบ้านเมืองสงบสุขศิลปะการต่อสู้นี้จริงค่อยถูกพัฒนาให้กลายเป็นหนึ่งในกีฬาด้านการต่อสู้
ในภายหลังได้มีการนำเทคนิคอย่างมาผสมกันจนก่อให้เกิดโรงเรียนสอนคาราเต้เกิดขึ้นมากมายหลากหลายสไตล์
แต่ที่ค่อนข้างนิยมที่สุดคาราเต้ที่ผสมผสานเข้ากับศิลปะการต่อสู้มวยไทย
ซึ่งเป็นการเอาหลักการต่อสู้ทั้งสองมาผสมกันแล้วทำให้คาราเต้ค่อยๆสำแดงอนุภาพมากขึ้น
จนเรียกกันในชื่อ คาราเต้สายชินกุ(คาราเต้สุญญากาศ)
คิมูระคนนี้เองก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือของคาราเต้สายชินกุนี้เช่นกัน
คาราเต้สายชินกุนี้เป็นคาราเต้ที่มุ่งเน้นไปในการรู้ผลแพ้ชนะในทีเดียวหรือก็คือเป็นศิลปะการต่อสู้แบบมือเปล่าสำหรับการดวลอย่างแท้จริง ภายใต้สโลแกนที่ว่า “หนึ่งครั้ง-หนึ่งศพ”
กฎในการต่อสู้ของคาราเต้สายนี้ในฐานะกีฬาจะอนุญาตให้โจมตีร่างกายช่วงบนเท่านั้น
หากโจมตีตั้งแต่ช่วงคอขึ้นไปหรือช่วงล่างลงมาถือว่าผิดกติกา และอวัยวะที่ใช้ในการโจมตีจะใช้ได้หมดทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็น มือ เท้า เข่า หรือว่าศอก ทำให้มีพลังอำนาจในการต่อสู้ค่อนข้างสูง
เมื่อทุกคนมองไปยังซูจิ้งที่ไม่มีท่าทีว่าจะหลบแต่อย่างใด ขนาดคนดูเองก็ยังมองตามกันแทบไม่ทันได้ยินแค่เสียงดังปังเท่านั้น พอมารู้ตัวกันอีกทีก็เห็นว่าลูกเตะของคิมูระได้ไปหยุดอยู่ที่ข้างหน้าหน้าอกของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งในตอนนี้ลำตัวไม่ได้ไหวติงแต่อย่างใด เขาเพียงยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาจับเท้าของคิมูระไว้เท่านั้น
หลังจากซูจิ้งจับเท้าของคิมูระไว้เขาก็หันกลับไปมองกล้องก่อนที่จะพูดกับคนที่กำลังดูการสตรีมอยู่ด้วยรอยยิ้มว่า
“นี่คือกระบวนท่าที่หนึ่ง เป็นหนึ่งในกระบวนท่าของรูปแบบการฝึกของเพลงหมัดวัวคลั่งรูปแบบที่หนึ่งที่ชื่อหมัดวัวคลั่ง
หมัดวัวคลั่งนี้มีกระบวนท่าโดยประมาณแล้วอยู่ที่ 100 กระบวนท่า และกระบวนท่าสายนี้สามารถยืดหยุ่น ผสมผสาน รวมถึงพลิกแพลงเข้ากับเพลงหมัดวัวคลั่งอีกสองรูปแบบได้ทุกอิริยาบถ
ถ้าคุณฝึกเพลงหมัดนี้จนชำนาญล่ะก็บอกได้เลยว่าสามารถไปวัดฝีมือกับศิลปะการต่อสู้ได้ทุกรูปแบบ
เอาล่ะผมจะเริ่มอธิบายการเคลื่อนไหวของกระบวนท่าต่อไปให้ทุกคนได้ฟังกัน”
เหล่าคนที่ดูการสตรีมอยู่ในตอนนี้หรือแม้แต่คนที่ชมการประลองเองก็ถึงกับทำหน้าโง่งมในทันใด
เอาจริงๆพวกเขาเองก็พอจะเห็นลูกเตะของคิมูระว่าเร็วและแรงในระดับที่หน้ากลัวขนาดไหน
แต่สำหรับฝั่งซูจิ้งแล้วทุกคนเห็นเพียงแค่ตอนที่เขาจับเท้าของคิมูระไว้เท่านั้น ไม่มีใครเห็นได้เลยว่าซูจิ้งเคลื่อนไหวอีท่าไหนถึงหยุดท่าเท้านี้ได้ แถมซูจิ้งยังมีอารมณ์มาอธิบายเพลงหมัดของเขาหน้าตาเฉยอีก
คือเขาทำเหมือนกับว่ากำลังทำการสอนเพลงหมัดอยู่จริงๆมากกว่าจะเป็นการประลองยุทธ์อย่างที่ทุกคนรู้มา
“ตายยยยย” คิมูระที่เห็นว่าการโจมตีของตัวเองถูกหยุดเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย แถมคู่ต่อสู้ของเขายังไม่ได้สนใจที่ถูกการโจมตีที่หนักหน่วงของเขาแม้แต่น้อย นั่นยิ่งทำให้เขาโกรธขึ้นมา
ทันใดนั้นเขาได้ดึงเขากลับนั่งลงพร้อมหมุนตัวเตะกวาดไปยังเท้าของซูจิ้ง
ซูจิ้งทำเพียงก้าวเท้าซ้ายออกมาข้างหน้าแล้วเบี่ยงตัวเล็กน้อยก่อนที่จะย่อตัวลงโดยกดเข่าลงกระแทกไปยังขาท่อนล่างของคิมูละที่กำลังเตะออกมา
เมื่อคิมูระโดนเข้าไปทำได้เพียงร้องโอดโอยพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด
“กระบวนท่าที่สองนี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าของเพลงหมัดวัวคลั่งสายที่สองมีชื่อว่าเท้าวัวคลั่ง” ซูจิ้งยังคงหันไปมองกล้องและอธิบายต่อไป
คิมูระได้โกรธยิ่งกว่าเดิม เขารีบก้าวเคลื่อนไหวเขาโจมตีในทันทีที่ตั้งสติได้
เขาเคลื่อนไหวร่างกายหลอกซูจิ้งว่าจะโจมตีด้วยมือซ้ายออกไป แต่ทันใดนั้นเขาก็ดึงมือกลับแล้วใช้มือขวาตั้งให้เป็นสันตรงเกร็งให้แข็งแล้วฟันลงมาที่เรียกกันว่ามือดาบ โดยเขานั้นเล็งเป้าไปที่คอของซูจิ้ง
โดยวิธีการโจมตีลักษณะนี้สำหรับคาราเต้แล้วถือว่าน่ากลัวมาก โดยเฉพาะมือดาบของคิมูระสามารถตัดอิฐได้หลายก้อนด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว
ซูจิ้งก็ได้ก้าวเดินไปข้างหน้าอีกครั้ง พลางใช้มือขวากุมมือซ้ายและยกศอกซ้ายขึ้น ประหนึ่งใช้มือเป็นตัวช่วยเพิ่มแรงเหวี่ยงของศอกตีเข้าไปยังข้อมือของคิมูระได้อย่างพอดิบพอดี
อย่างกับว่าซูจิ้งรู้จักคิมูระดีว่าเขาจะโจมตีมาแบบไหนบ้าง
“กระบวนท่าที่สามนี้เป็นหนึ่งในกระบวนท่าของรูปแบบการฝึกฝนรูปแบบที่สามเรียกว่าร่างกายวัวคลั่ง
โดยรูปแบบนี้หากฝึกแล้วนอกจากไว้ใช้ในการป้องกันตัวชนิดที่ว่าต่อกรได้ทุกรูปแบบการต่อสู้ได้เป็นอย่างดีแล้ว
ลักษณะการฝึกจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายและยังช่วยในการกระชับสัดส่วนไปในตัวทั่วทุกสัดส่วนเลยก็ว่าได้” ซูจิ้งก็ยังคงอธิบายต่อไป
“ย่ะ ย่ะ ย่ะ ย่ะ” คิมูระได้โกรธจนคลั่งไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขานั้นได้กระหน่ำโจมตีไปยังซูจิ้งอย่างไม่ยั้ง
“กระบวนท่าที่สี่นี้… กระบวนท่าที่ห้า…”
ซูจิ้งก็ยังค่อยๆอธิบายแต่ละกระบวนท่าอย่างช้าๆ ในขณะที่คิมูระกำลังกระหน่ำโจมตีไม่หยุดราวกับพายุประดุจดั่งสัตว์ร้ายก็ตาม
ซูจิ้งรับการโจมตีไว้ได้ทุกกระบวนโดยยังไม่ได้ขยับไปจากตำแหน่งเดิมเลยแม้แต่น้อย
เขานั้นทำราวกับการรับมือคิมูระเป็นเรื่องง่ายๆ
ถ้าหากสังเกตุดีๆแล้วซูจิ้งยังไม่มีเหงื่อออกมาซักหยดเดียว แม้แต่ลมหายใจเองก็ยังไม่ติดขัดแต่ประการใด
นี่ทำให้คนที่ดูการประลองอยู่ได้แต่มองด้วยสายตาโง่งม
“เทพเซียนพยดา เป็นไปได้ยังไงกัน”
“ซูจิ้งตอบโต้คู่ต่อสู้พร้อมทั้งอธิบายกระบวนท่าของเขาไปด้วย นี่เขาไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม”
“แถมเขายังทำเหมือนสบายๆเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่อย่างนั้นแหละ”
“ไม่ใช่ว่าคิมูระนั่นเป็นยอดฝีมือไม่ใช่หรอ หรือจริงมันอ่อนกันแน่?”
“จะเป็นไปได้ไง นายก็เห็นนี่นาว่าความเร็วในการโจมตีของเขานั้นเทียบได้กับระดับโลกเลยนะ
แล้วหมัดที่เร็วขนาดนั้นจะไม่มีแรงได้ยังไง อย่าว่าแต่คนทั่วไปจะตอบโต้ไม่ทันเลย
โดนทีเดียวก็เจ็บหนักแล้ว ไม่ใช่ว่าคิมูระอ่อนหรอก แต่เป็นซูจิ้งต่างหากที่แกร่งเกินไป”
จี้เสี่ยวถิง ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง และหวู่หลง ที่ก่อนหน้านี้เป็นกังวลนั้นในตอนนี้ได้แต่ทำการจ้องมองด้วยหน้าตาที่โง่งม
พวกเขานั้นก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่คิดว่าจะแข็งแกร่งเกินไปขนาดนี้ แข็งแกร่งชนิดที่ว่าเหมือนผู้ใหญ่รังแกเด็กน้อย
เอาจริงๆพวกเขาเองก็ดูเหมือนจะยังไม่เคยเห็นซูจิ้งต่อสู้โดยใช้ศิลปะการต่อสู้แบบจริงจังมาก่อนเลยด้วยซ้ำ
ฉือชิงที่กำลังถือกล้องถ่ายทอดการสตรีมให้ซูจิ้งด้วยโทรศัพท์มือถือของเธออยู่นั้น ตอนแรกเธอเองก็มีท่าที่โง่งมนิดหน่อย
แต่ด้วยการที่เธอเองได้เรียนรู้เพลงหมัดวัวคลั่งจากซูจิ้งมาแล้วบางส่วนเมื่อคืน ในตอนนี้เธอก็ทำได้เพียงรู้สึกมหัศจรรย์ในอาณุภาพของเพลงหมัดชุดนี้
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ซูจิ้งบอกเธอว่าถ้าเธอฝึกแล้วจะสามารถล้มได้แม้แต่กับคิมูระนั้นเธอไม่มีทางเชื่อโดยเด็ดขาดในตอนแรก แต่ในตอนนี้เธอเองก็เริ่มเชื่อบ้างแล้ว
เหล่าคนที่อยู่ฝั่งเดียวกับคิมูระอย่างโอฉิงซงและลูกศิษย์ในสำนักคาราเต้ของคิมูระขนาดพวกเขาเห็นด้วยตาตัวเองขนาดนี้ยังแทบไม่อยากจะเชื่อเลย ตอนแรกพวกเขาต่างก็คิดว่าคิมูระจะเอาชนะได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้อย่าว่าแต่จะชนะเลย แต่จะทำอะไรซูจิ้งได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้ พวกเขาในตอนนี้เปรียมได้ดั่งเหล่ามดที่ตกลงไปในหม้อที่ตั้งไฟเอาไว้
พวกเขาตัดสินใจจะตะโกนออกไปว่าพักยก เพื่อหวังว่าจะทำให้คิมูระได้พักและหาทางแก้ไขสถานการณ์ได้
“ชายคนนี้แข็งแกร่งจริงๆ ไม่ใช่ว่าเขาฝึกฝนศิลปะการต่อสู้จากยอดปรมาจารย์ตั้งแต่เด็กหรอกนะ”
ที่หน้าหอประลองยุทธ ในรถยนต์ออดี้ มู่ติงได้เอ่ยถามออกมา
“ตอนที่เขาอยู่ในมหาลัยก็ไม่เห็นว่าจะรู้เรื่องศิลปะการต่อสู้เลยนี่นา” ตาของหวังหยานในตานี้เบิกโตเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น
“บากะยาโล”(งี่เง่า) คิมูระโกรธจนพูดคำนี้ออกมาซ้ำๆในขณะที่กำลังกระหน่ำโจมตีซูจิ้งไม่ยั้ง
ทุกการโจมตีล้วนแฝงไว้ด้วยความรุนแรงและเกรี้ยวกราด บางการโจมตีถือว่าผิดกฎด้วยซ้ำ
ถึงขนาดนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถทำอะไรซูจิ้งได้เลย สิ่งที่เขาทำก็แค่เพียงการป้องกันได้ทุกกระบวนท่าอย่างหน้าตาเฉย
“เอาล่ะทีนี้ผมคิดว่าพวกคุณทุกคนเห็นไปแล้วว่าเพลงหมัดนี้สามารถใช้ในการตั้งรับในขณะถูกโจมตีได้ดีขนาดไหน
อย่างไรก็ตามนี่ยังไม่ใช่ทั้งหมดของเพลงหมัดวัวคลั่ง จะบอกว่าเพียงครึ่งเดียวก็ว่าได้
เพลงหมัดนี้พอจะบอกได้อยู่ว่ากระบวนท่าครึ่งหนึ่งเป็นการรับ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นการรุก
เอาล่ะ ต่อไปผมจะแสดงกระบวนท่ารุกของเพลงหมัดชุดนี้ให้ชมกันนะ”
หลังจากพูดจบประโยคซูจิ้งก็เริ่มโจมตีออกไปในทันที
เอาจริงๆเขานั้นทำเพียงแค่ปล่อยหมัดตรงไปเท่านั้นแต่ทุกคนที่กำลังจ้องมองอยู่กลับเห็นเป็นหัววัวที่กำลังพุ่งชนไปยังใบหน้าของคิมูระจนทำให้ใบหน้าเหยเกในทันที
ขนาดคิมูระยกมือมาตั้งการ์ดได้ทันแต่ด้วยความแรงระดับวัวพุ่งชนจนทำให้ทะลุการ์ดของคิมูระได้อย่างง่ายดาย
ร่างกายของคิมูระได้ลอยถอยหลังตามแรงไปไกลกว่าสองเมตร มือและแขนของเขาสั่นประหนึ่งดังเกิดการหักอยู่ภายใน
ถึงคิมูระจะตกอยู่ในสภาพนั้นแล้ว ซูจิ้งก็ยังไม่ได้หยุดแต่อย่างใด เขานั้นยังอธิบายต่อไปเกี่ยวกับหนึ่งในกระบวนท่าที่เขาเพิ่งโจมตีออกไปเมื่อสักครู่นี้ ว่าเป็นหนึ่งในกระบวนท่าของรูปแบบที่หนึ่งหมัดวัวคลั่ง
หลังจากนั้นซูจิ้งก็ยังคงโจมตีออกไปเรื่อยๆพร้อมกับอธิบายไปเรื่อยเปื่อยพร้อมหน้าตานิ่งๆด้วยน้ำเสียงเน้นๆในจังหวะที่โจมตีโดนคิมูระ
แต่ละกระบวนท่าที่คิมูระโดนโจมตีใส่นั้นแทบจะไม่สามารถป้องกันอะไรได้เลย
เอาจริงๆแล้วเขาก็พยายามจะป้องกันอยู่เหมือนกัน แต่ทุกการโจมตีของซูจิ้งล้วนแล้วแต่ทะลวงการป้องกันของเขาได้เกือบทั้งหมด
มีเพียงครั้งแรกเท่านั้นที่ยังพอป้องกันไหวอยู่บ้าง แต่เพียงรับการโจมตีครั้งแรกครั้งเดียวก็ทำให้มือ แขนและของเขานั้นชาจนบอกไม่ถูกว่ายังมีอวัยวะส่วนนั้นอยู่รึเปล่า คนเพียงคนเดียวจะไปหยุดวัวคลั่งได้ยังไง
“ปั้ก ปั้ก ปั้ก”
หลังจากเกิดเสียงดังเน้นๆไปสองสามที ภาพที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ล้วนชวนสยองกันถ้วนหน้า คิมูระในตอนนี้ที่กลายเป็นกระสอบทรายไปแล้วนั้น ได้กระเด็นลอยไปนู่นไปนี่จนไม่มีโอกาสสวนกลับเลยแม้แต่น้อย
คิมูระในตอนนี้กำลังจมดิ่งในความเจ็บปวดของร่างกายและมึนจนหัวหมุนไปหมด
เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกฝูงวัวพุ่งชนทีละตัวจนทำอะไรไม่ได้เลย
“นี่คือกระบวนท่านี้เป็นหนึ่งในรูปแบบที่หนึ่งของเพลงหมัดวัวคลั่ง” เพียงสิ้นประโยค ซูจิ้งได้ยกแขนทั้งสองลู่ไว้ข้างลำตัว ขยับตำแหน่งข้อศอกให้ไปอยู่ข้างหลัง และขยับตำแหน่งของหมัดให้อยู่อยู่ในระนาบไม่เกินลำตัวแต่อยู่ในละดับลิ้นปี่
หลังจากนั้นเขาก้าวไปข้างหน้าเล็กน้อยพร้อมทั้งปล่อยทั้งสองหมัดออกไปพร้อมๆกัน พร้อมที่ทุกคนเห็นในตอนนี้เหมือนกับเขาของวัวสองข้างเลยทีเดียว
ทันทีที่ทุกคนได้ยินเสียงการปะทะ ร่างของคิมูระในตอนนี้ตัวงอโค้งจนกลายเป็นกุ้ง ลอยตัวไปในกลางอากาศ ประหนึ่งดั่งมีคนปาหมอนออกไป เมื่อถึงจุดสูงสุดของวิถีโค้ง ร่างกายของคิมูระก็ค่อยๆลอยต่ำลงมา ร่วงหล่นใส่เหล่าคนที่ถือหางฝั่งคิมูระที่อยู่นอกสนามประลองดังโครมอย่างสวยงาม พร้อมทั้งกลิ้งออกไปอีกเล็กน้อย
หลังจากทุกอย่างสงบนิ่ง สภาพของคิมูระในตอนนี้ไม่ต่างจากหมาตายซากข้างถนนตัวหนึ่ง
GGS:บทที่ 799 ชายที่เปรียบดั่งพระเจ้า
หลังจากที่เห็นคิมูระลอยละลิ่วใส่คนของเขาและกลิ้งตลบไปนอนแผ่กับพื้นเป็นหมาตายซากแน่นิ่งไปนั้น
เหล่าคนดูทั้งที่กำลังอยู่ข้างสนามและในสตรีมต่างเฮลั่นดังก้องไปทั่ว
ตลอดช่วงเวลาที่ทำการสตรีมนี้อย่าเรียกว่าเป็นการประลองยุทธ์เลย ควรจะเรียกว่าตบจนกลิ้งอยู่ฝ่ายเดียวมากกว่า
เอาจริงๆที่ซูจิ้งลงมือแบบจริงจังนี่มีเพียงกระบวนท่าสุดท้ายกระบวนเดียวเท่านั้น กระบวนท่านี้เปรียบได้ดั่งวัวคลั่งพุ่งเข้าไปขวิดคนจนทำให้คนที่มีน้ำหนักกว่า 150 ชั่ง บินไปไกลได้กว่า 3 – 4 เมตร ช่างเป็นกระบวนท่าที่น่าสะพรึงกลัวจริงๆ
“เพลงหมัดวัวคลั่งนี่ช่างทรงพลังจริงๆ”
“คาราเต้อ่อนด้อยไปเลยเมื่อเทียบกับเพลงหมัดนี้”
“ศิลปะการต่อสู้ของพวกเรานี่ช่างเปิดกว้างและลึกล้ำยิ่งนัก”(ตีกับใครก็ได้ ชนะได้ดั่งพลิกฝ่ามือ)
“หลังจากเห็นแล้วฉันเองก็อยากเรียนมั่งซะแล้วสิ”
“นั่นสิ ไม่รู้ว่าจะยากหรือเปล่านะ”
หลังจากที่ซูจิ้งซัดคิมูระจนหมอบกระแตภายในไม่กี่กระบวนท่า ภาพจำนี้ได้ฝังรากไปในจิตใจของทุกคนที่ดูการประลองนี้เรียบร้อยแล้ว
นั่นเป็นเพราะว่าเป็นการประลองที่ทั้งน่าตกตะลึงและชวนหวั่นไหวในหัวใจ
เอาจริงๆเขาเองก็อยากให้คิดว่าเป็นเขาเองที่เก่งไม่ใช่เพลงหมัดเหมือนกัน
แต่ทำอย่างนี้น่าจะส่งผลต่ออัตราการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนมากกว่า
โอฉิงซงและศิษย์สำนักคาราเต้คนอื่นเองทันทีที่ได้สติก็รีบวิ่งเข้าไปดูอาการของคิมูระทันที
พวกเขาพบว่าคิมูระหมดสติและมีกระดูกซี่โครงหักสองไม่ก็สามซี่ พวกเขาในตอนนี้โกรธจัดเหมือนกับคิมูระที่โกรธซูจิ้งก่อนหน้านี้เลยก็ว่าได้
“ซูจิ้ง แกมากไปแล้วนะ”
“มันก็แค่การประลอง ไม่เห็นต้องรุนแรงขนาดนี้เลย”
พวกเขาโกรธจัดจนบ้ากันไปหมดแล้ว
เหล่าลูกศิษย์ของสำนักคาราเต้จำนวนกว่า 30 – 40 คนล้อมรอบซูจิ้งไว้ด้วยท่าทีก้าวร้าวและแสดงท่าทางน่าสะพรึงกลัว
พวกเขาโกรธจัดมากเพราะไม่เพียงคิมูระจะเจ็บหนักมากแล้ว พวกเขายังสูญเสียชื่อเสียงอย่างน่าอนาถใจ เหตุการณ์จะทำให้สำนักคาราเต้จิงฮงแห่งนี้ไม่มีวันได้ผงาดอย่างที่พวกเขาตั้งใจเอาไว้
“ห้ะ ยอมรับความพ่ายแพ้ไม่เป็นกันหรอ เฮ้ออออ…. คนเริ่มก็พวกนาย พอแพ้กลับไม่ยอมรับ แถมยังอาศัยพวกมากเข้าข่มอีก”
ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆเริ่มยืนขึ้นมาและก้าวเข้ายืนอยู่เคียงข้างซูจิ้งในทันที
“ไม่ว่าแกจะโกงหรือไม่ แต่ยังวันนี้แกก็ไม่วันได้ออกไปจากที่นี่อย่างปลอดภัยแน่นอน” หนึ่งในศิษย์สำนักจิงฮงได้สบถออกมา
“เข้ามาเลย คิดว่าพวกเรากลัวแกกันอย่างนั้นหรอ” ฮัวเฟยหยุนได้พูดออกมาพร้อมเข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมต่อสู้เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ถึงแม้พวกเขาจะน้อยกว่าแต่นั่นก็ไม่ได้ส่งอะไรต่อความห้าวหาญของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย
ตราบใดที่พวกเขามีซูจิ้งเป็นผู้นำ พวกเขาก็เหมือนตะเกียงที่ถูกเติมน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลา พร้อมลุกโชนไปพร้อมกับซูจิ้ง ตีโต้ได้ไม่หยุดหย่อน
“ใจเย็นๆก่อนน่า ฉันเป็นคนโดนท้าทายก็สมควรจัดการให้หมดจด พวกนายว่ามาจะเอายังไง” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มเยาะพร้อมทั้งยกมือปรามฮัวเฟยหยุนและคนอื่นๆไว้
พวกเขาเองก็ทำได้แต่ยื่นนิ่งอึ้งเท่านั้น อย่าบอกว่าซูจิ้งจะลุยเดี่ยวคนเดียวจริงๆ ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาล่ะก็ ด้วยอีกฝ่ายมีคนเกือบสี่สิบคนไม่ว่าซูจิ้งจะแข็งแรงขนาดไหนก็ไม่มีอะไรรับประกันได้
พวกเขานั้นอยากจะเข้าใจผิดกันเองจริงๆ แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไรนั้น ซูจิ้งได้พุ่งเข้าหาคนทั้งเกือบสี่สิบคนพร้อมพูดออกมาว่า “ฉันก็ไม่ได้รังเกียจที่จะแก้ปัญหาด้วยกำปั้นหรอกนะ ก็ดี ทุกคนจะได้เห็นเพลงหมัดนี้เพิ่มเติมอีกซักหน่อย เอาล่ะเรามาเริ่มการประลองจนสาบสูญกันไปข้างหนึ่งดีกว่า”
เหล่าคนดูในตอนนี้ได้แต่ตะลึงงัน
ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆ นั้นความจริงจะพุ่งตามซูจิ้งไป แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นภาพตรงหน้าได้แต่หยุดกึกบางคนเองแทบจะสะดุดล้ม เพราะพวกเขาได้เห็นภาพอันสุดแสนจะน่าตกตะลึง
มันเป็นภาพของซูจิ้งที่พุ่งตรงเข้าไปยังฝูงชนประหนึ่งดั่งวัวคลั่งพุ่งเข้าใส่ฝูงชนก็ไม่ปาน
โจมตีหนึ่งครั้งลูกศิษย์สำนักคาราเต้ลอยเป็นกระสอบทรายปลิวไปหนึ่งคน
ความจริงพวกเขานั้นก็ไม่ใช่คนโง่ที่เพียงแค่หัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วพุ่งไปให้คนอื่นอัดเล่นๆ
ในใจของพวกเขาในตอนนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธและอาศัยกฎธรรมชาติที่เรียกว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟเป็นเชื้อไฟให้กับจิตใจอันบ้างคลั่งของพวกเขาพุ่งเข้าใส่อย่างไม่หยุดยั้ง
อย่างไรก็ตามซูจิ้งในตอนนี้เองก็ทำเหมือนคนกำลังว่ายน้ำ เหวี่ยงแขนขาไปทั่วอย่างมีรูปแบบ เป็นดั่งที่เขาเคยอธิบายเอาไว้ในตอนแรกๆที่ว่าเพลงหมัดนี้ฝึกฝนแล้วร่างกายจะแข็งแรง ป้องกันได้เหนียวแน่น และทุกส่วนของร่างกายเปรียบได้ดั่งอาวุธ
ในตอนนี้ทุกๆครั้งที่มีเสียงดังปั๊กก็จะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด นั่นคือเสียงของลูกศิษย์สำนักคาราเต้ที่เกิดขึ้นหลังจากโดนซูจิ้งอัดไปเพียงคนละหนึ่งทีจนปลิวว่อนลงไปกองเรื่อยลาดอยู่กับพื้นไปทั่วแค่นั้นเอง
พวกเขาเจ็บชนิดที่ว่าหนักจนลุกไปไหนไม่รอด
เพียงพริบตาเดียว สามนาทีผ่านไปไวเหมือนโกหก
ตอนนี้เหลือเพียงซูจิ้งคนเดียวที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางเสียงครางระงมไปด้วยความเจ็บปวดของลูกศิษย์สำนักคาราเต้ของคิมูระ
พวกเขาในตอนนี้แทบจะไม่เหลือความกล้าที่จะพยุงตัวทำได้เพียงจ้องมองซูจิ้งอยู่นิ่งๆแทบจะไม่กล้าไหวติง
ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองซูจิ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สายตาของพวกเขาในตอนนี้ไม่ได้แสดงถึงความโกรธเกรี้ยวอีกต่อไป
กลับกลายเป็นว่าทันที่สบตามองกับซูจิ้งที่กำลังกวาดตามองไปทั่วพวกเขาต่างก็สะดุ้งเฮือกทันทีที่อยู่ในระยะสายตาของซูจิ้ง แม้แต่โอฉิงซง และคิมูระที่เริ่มได้สติขึ้นมาในตอนนี้ในแววตาก็แสดงให้เห็นถึงความหวาดกลัว ใบหน้าที่ซีดเผือดและความรู้สึกเสียวสันหลังเย็นยะเยียบเมื่อโดนมอง พวกเขาได้ฝังภาพจะไว้ในเซลล์สมองเรียบร้อยแล้วว่าชายตรงหน้าพวกเขาคือปีศาจอย่างแท้จริง
ฉือชิง ฮัวเฟยหยุน ไชวูเฟิง จี้เสี่ยวถิง และคนอื่นๆ แม้แต่หวังหยานและมู่ติงที่อยู่ในรถออดี้หน้าหอประลองแห่งนี้ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนนิ่งอึ้งกันหมด
รวมไปถึงเหล่าผู้ชมทั้งข้างสนามและในสตรีมก็มีท่าทีไม่ต่างกัน บรรยากาศในสนามในตอนนี้แทบจะเงียบอย่างกับป่าช้าก็ไม่ปาน
หลังจากผ่านไปซักสามวินาทีได้ ก็ได้มีเสียงอะไรซักอย่างดังขึ้นมา หลังจากนั้นทุกอย่างก็เหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้ง
“เทพเซียนสวรรค์โปรด ฉันกำลังดูอะไรอยู่เนี่ย”
“นักคาราเต้กว่าสี่สิบคนลอยกระจายไปทั่วเลย”
“ดูที่ซูจิ้งสิ อย่าว่าแต่จะบาดเจ็บเลย เหนื่อยรึเปล่าก็ไม่รู้”
“ฉันว่าเขาต้องเป็นเทพเซียนแน่ๆเลย”
“ช่างน่าสะพรึงไร้เทียมทานเกินไปแล้ว”
“ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะต้องเรียนเพลงหมัดวัวคลั่งให้ได้”
“ฉันก็เหมือนกัน มันคงน่าเสียดายไม่น้อย นี่พี่ซูยอมแสดงให้ดูขนาดนี้แล้วจะไม่สนใจเลยก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ”
การที่ซูจิ้งโจมตีเพียงแค่ไม่กี่กระบวนท่าก็ทำให้คิมูระลอยไปกองกับพื้นเป็นหมาตายซากได้ก่อนหน้านี่ก็ว่าน่าตื่นตะลึงแล้ว
แต่การที่ซูจิ้งลุยเดี่ยวอัดนักคาราเต้เกือบสี่สิบคนให้ลอยกระเด็นไปทั่วนี่สิน่าตื่นตะลึงยิ่งกว่า ฉากนี้ทำให้ทุกคนตกตะลึงและตื่นเต้นในเวลาเดียวกัน
ในขณะเดียวกัน ข่าว วิดีโอ และสื่อต่างๆไม่ว่าจะเป็นช่างทางไหนก็ตามได้เผยแพร่ข่าวนี้ไปทั่ว บางสื่อเองก็ฉายภาพวีดิโอนี้วนซ้ำๆ และทุกๆครั้งคนที่เห็นก็ยังตกตะลึงได้เกือบทุกๆครั้งจนซูจิ้งถูกบูชาในฐานะที่เป็นชายที่แข็งแกร่งเปรียบได้ดั่งพระเจ้าเลยทีเดียว
“ท่านอาจารย์ การประลองนี้ได้สิ้นสุดลงแล้วครับ” ฮัวฮงหยางที่กำลังฝึกลูกศิษย์ของเขาอยู่ตอนนี้ได้ยินเสียงลูกศิษย์ของเขาที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดในชีวิตพร้อมท่าทางตื่นเต้นจนออกนอกหน้า
“อาจิ้งชนะรึเปล่า” ฮัวฮงหยางเองก็ได้ถามกลับด้วยท่าทีสุขุม แต่ความจริงแล้วเขาเองกังวลอยู่เล็กน้อย กลัวว่าซูจิ้งจะแพ้อยู่เหมือนกัน
“ไม่ใช่แค่ชนะหรอกครับ ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไง ท่านอาจารย์ดูเองดีกว่า” ลูกศิษย์ของเขาส่งมือถือที่กำลังแสดงการสตรีมของซูจิ้งอยู่ในตอนนี้ ฮัวฮงหยางเองก็สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะรับโทรศัพท์มาดู ทันทีที่เขาเห็นก็ตกตะลึงไม่น้อยเลย
“ผลการต่อสู้ของซูจิ้งกับคิมูระน่าจะออกมาแล้วนะ”
ที่สำนักเทควันโดแห่งหนึ่ง จินชิสูและลูกศิษย์คนอื่นเพิ่งจะฝึกฝนเสร็จ
พวกเขาเองแทบจะอดใจไม่ไหวแล้วที่จะได้เปิดคอมพิวเตอร์เพื่อดูผลการประลองระหว่างซูจิ้งกับคิมูระ
เขาเองตอนนี้ยังรับไม่ได้เลยที่ซูจิ้งชนะเขาในตอนนั้น
แม้จะกลับมาดูวีดิโอซ้ำก็ยังไม่เข้าใจว่าซูจิ้งแข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไงเขาเองก็ยังคิดว่าจะใช้วิดีโอเหล่านี้ศึกษาซูจิ้งเพื่อท้าประลองกับเขาใหม่ในอนาคต
ตอนนี้เขาเองก็ฟื้นคืนจากอาการบาดเจ็บมากซะจนบอกได้ว่าดีกว่าตอนประลองกับซูจิ้งซะอีก
ความจริงเขาเองก็เตรียมที่จะท้าประลองกับซูจิ้งอีกครั้งแล้วแต่ดันโดนตัดหน้าไปก่อน
ยังไงแล้วสำหรับเขาก็ถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่บ้างที่จะได้เห็นว่าฝีมือศิลปะป้องกันตัวของซูจิ้งพัฒนาไปถึงไหนแล้ว เรียกได้ว่ารู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งก็ว่าได้
“พี่สู ตอนนั้นที่พี่แพ้ซูจิ้งต้องเป็นเพราะสภาพร่างกายแน่ๆ
วันนั้นพี่เองก็ได้ประลองกับเหล่ายอดฝีมือด้านศิลปะการต่อสู้คนอื่นตั้งหลายคน
เป็นธรรมดาที่ต้องหมดแรงกันได้ พี่นี่สิไร้เทียมทานของจริง
ถ้าไม่เพราะเหตุนั้นล่ะก็หมอนั่นไม่ใช่คู่มือของพี่หรอก ผมหวังเพียงว่าเขาจะไม่แพ้ใครไปซะก่อนไม่อย่างนั้นในอนาคตเมื่อพี่ชนะซูจิ้งได้จะไม่เหมือนการชนะอย่างสมบูรณ์กันพอดี”
เหล่าสมาชิกสำนักยูโดต่างอวยจินชิสูกันอย่างออกหน้าออกตา แม้แต่จัวเสียนก็ยังเอากับเขาด้วย
จัวเสียนนั้นได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อศิลปะการต่อสู้จีนไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้นทำให้เขามีความเชื่อมั่นในศิลปะการต่อสู้จีนมากขึ้น
ตามคำพูดที่ว่าศิลปะการต่อสู้จีนนั้นกว้างขวางและล้ำลึก
เพียงแต่เขาไม่กล้าแสดงออกมาเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นในสำนักแค่นั้นเอง
“ฮ่าฮ่า” จินชิสูหัวเราะเล็กน้อย เขาไม่ได้ว่าอะไรออกมาทำเพียงแค่เปิดคอมพิวเตอร์แล้วเปิดดูข่าวเท่านั้นเอง แต่เพราะว่าข่าวของซูจิ้งในถูกพาดหัวที่น่าเว็บเลยทำให้เขาไม่ต้องเสียเวลาค้นหามากมายอะไร
จินชิสูเปิดวิดีโอขึ้นมาดู ทันทีที่เห็นภาพคิมูระโดนต่อยเป็นกระสอบทราย หน้าตาของเขาเหยเกในทันที
และยิ่งเห็นภาพที่ซูจิ้งซัดคนกว่าสี่สิบคนลอยละลิ่วในอัตราส่วนหนึ่งคนต่อหนึ่งหมัด ทุกคนโดยรอบนั้นหน้าถอดสีในทันที จะว่าไม่มีเลือดขึ้นไปเลี้ยงเลยก็ว่าได้
“สู พี่สู พี่อยากจะท้าประลองกัยซูจิ้งจริงๆอ่ะ” หนุ่มน้อยคนหนึ่งแสดงท่าทีกังวลขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เขากลัวขึ้นมาในทันทีเลยว่าหากจินชิสูท้าประลองกับซูจิ้งจริงๆ อย่าว่าจะเจ็บหนักเลย น่าจะต้องถอนตัวออกจากวงการแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย
“ประลองสิฟะ” จินชิสูหันไปตบหนุ่มน้อยคนนั้น ทุกครั้งที่เขาพูดใส่หนุ่มน้อยคนนั้นเขาจะตบหน้าไปหนึ่งที เขาตบจนหนุ่มน้อยคนนั้นมองด้วยท่าทางโง่งม งี่เง่า พร้อมคำพูดที่ว่าแกยังจะถามอีกรึเปล่า
ทุกคนที่อยู่รอบในตอนนี้ต่างรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมา บางคนถึงกับที่ว่าโชคดีจริงๆที่มีคนตัดหน้าท้าประลองซูจิ้งไปก่อน
ไม่อย่างนั้นสภาพที่คิมูระและลูกศิษย์ของเขาในวันนี้ คงถูกแทนที่ด้วยพวกเขาไปแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น