Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 792-795
GGS:บทที่ 792 มังการผยองเดช(พระโพธิสัตว์สำแดงฤทธิ์)
เช้าวันถัดมา ซูจิ้งตรงไปยังสำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ
พนักงานบางคนที่เห็นเขาได้ทำการทักทายเขาและเขาก็ทักทายตอบทุกคน
พนักงานหญิงบางคนได้มองเขาด้วยสายตายั่วยวนและทำตาเปล่งประกาย
พวกเธอรู้โดยธรรมชาติว่าชายหนุ่มตรงหน้าไม่ใช่เด็กหนุ่มมหาวิทยาลัยที่ไหนแต่เป็นบอสใหญ่ของที่นี่
เฉิงหนานในชุดสูทตัดที่ดูเซ็กซี่และทรงสง่าเดินออกมารับและพูดว่า “หัวหน้าคะ พวกเขามาพร้อมแล้วค่ะ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในส่วนรับรอง”
“ให้พวกเขาเข้ามาในห้องสำนักงานทีละคน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่ะ นี่คือประวัติ เท่าที่คุยคร่าวๆคนหนึ่งยังสนใจอยู่ ที่เหลือดูจะยากหน่อย เดี๋ยวดิฉันจะบอกอีกทีตอนเรียกพวกเขาเข้าห้องค่ะ” เฉิงหนานพูดออกมา
“ไม่มีปัญหา เดี๋ยวผมคุยกับพวกเขาอีกที”
ซูจิ้งรับทราบข้อมูลที่เฉิงหนานบอก
เมื่อคนสมัครงานเข้ามาสมัครงาน บริษัทก็เลือกคนที่มีคุณสมบัติ
แต่ตอนนี้กลับกันคือทุกคนนั้นมีคุณสมบัติเรียบร้อยแล้ว
แต่คนพวกนี้ต่างโดนจองตัวจากบริษัทอื่น ไม่สิสองในสามมีงานแล้วด้วยซ้ำ
กลายเป็นว่าทางเขาเองมากกว่าที่จะยิ่นข้อเสนอถูกใจพวกเขาแค่ไหน
ถ้าข้อเสนอไม่ถูกใจพวกเขาก็ไม่มีทางมาทำงานให้อย่างแน่นอน
ซูจิ้งได้เข้าไปยังสำนักงานส่วนเฉิงหนานไปที่ส่วนรับรอง
ไม่นอนหลังจากซูจิ้งนั่งลง ชายคนหนึ่งที่อายุประมาณสามสิบปีก็เดินเข้ามา
“สวัสดีครับประธานซู” ชายหนุ่มกล่าวทักทายด้วยท่าทีประหม่า
“นั่งลงก่อนครับคุณหวัง” ซูจิ้งพูดหลังจากชายคนนั้นเข้ามาในห้อง
ซูจิ้งได้อ่านประวัติของเขาพร้อมถามคำถามเล็กน้อย ชายคนนี้เป็นนักเรียนแพทย์แต่ก็ไม่มีงานมาพักใหญ่
ไม่ใช่เพราะเขาไม่เก่งหรอกแต่เขานั้นเรียกเงินค่อนข้างสูง
เงินที่เขาเรียกนั้นสูงกว่าเมื่อเทียบคนที่มีความรู้ในระดับเดียวกันพวกนั้นถึงคิดว่าชายคนนี้เรียกเงินสูงไม่เหมาะสมกับตำแหน่ง
แต่ซูจิ้งนั้นให้เงินเดือนที่มากกว่าคนอื่นอยู่แล้วทำให้เขาค่อนข้างจะสนใจงานที่ทางบริษัทของซูจิ้งให้มากกว่าที่อื่น
ในขณะสัมภาษณ์ซูจิ้งได้ตรวจจับออร่าของชายหนุ่มคนนี้และรู้ว่าชายคนนี้แสดงความต้องการใจจริงไม่ระส่ำระสายและเสถียรอย่างมาก
แสดงว่าชายคนนี้มีความต้องการที่จะทุ่มเทงานหนักให้สมกับเงินเดือนที่สูงโดยไม่มีสิ่งอื่นใดแอบแฝงอย่างแน่นอน นี่ค่อนข้างทำให้ซูจิ้งประทับใจพอสมควร
ปัญหาเดียวของเขาในการจ้างคนแบบนี้ก็คือเขานั้นมีความลับใหญ่หลวงในสถาบันวิจัยของเขาที่ไม่สามารถปล่อยให้หลุดรอดออกไปได้ยังโลกภายนอกจำเป็นที่จะต้องสะกดจิตทุกคนที่เข้าทำงานที่นั่น
การสะกดจิตของซูจิ้งที่ผ่านมาเป็นไปด้วยดีมาตลอด
ไม่ว่าจะเป็นการสะกดจิตคนที่ศัตรูของเขาส่งมาด้วยวิธีการหาช่องโหว่ทางจิตใจ หรือแม้แต่การส่งวิญญาณร้อยหลอกหลอนจนจิตใจอ่อนหล้าแล้วทำการสะกดจิต
แต่อย่างไรก็ตามวิธีหนึ่งนั้นต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่าคนๆนั้นต้องมีประสงค์ร้ายต่อตัวเขา อีกหนึ่งนั้นก็โหดร้ายเกินไป
แต่คนๆนี้มีความมุ่งมั่นในชีวิตเท่านั้นไม่เหมาะสมกับสองวิธีนี้
ตอนนี้เขานั้นเลยอยากลองอีกวิธีหนึ่งที่เพิ่งได้มาสดๆร้อนๆ
“วิถีแห่งมังกร(พระโพธิสัตว์มังกรฟ้าผันแปร)”
ซูจิ้งได้ส่งเสียงคลื่นเสียงต่ำออกมาจากในลำคอพร้อมทั้งได้มีพลังจิตของเขาพลุ่งพล่านออกมา
ในเวลาเดียวกันนั้นชายหนุ่มที่นั่งบนโต๊ะตรงข้ามของเขาก็ได้รู้สึกตกใจขึ้นมา
เขาจ้องมายังตาของของซูจิ้งด้วยสายตาที่ไม่กระพริบ
ในสายตาของเขาเห็นมังกรทองปรากฎอยู่ในตาของซูจิ้ง
มันเป็นมังกรทองเหยียบช้างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อเป็นมัดๆด้วยเท้าข้างหนึ่งประหนึ่งดังใช้แรงจากฟ้าดินเหยียบจนหมดหนทางสู้ หลังจากจ้องไปซักพัก
ชายหนุ่มก็ได้ทำการคุกเข่าลง แสดงสีหน้าปลื้มปิติ แม้แต่ซูจิ้งเองเมื่อเห็นตรามังกรก็ยังต้านทานไม่ได้นับประสาอะไรกับคนธรรมดาคนหนึ่ง
“มังกรทองสำแดงเดช มังกรทองสำแดงเดช …” ชายหนุ่มคนนั้นมองไปยังตาของซูจิ้งด้วยสายตาเลื่อมใสพร้อมทั้งทำท่าทางศรัทธาอย่างหมดใจ
“ยอมจำนนซะ” ซูจิ้งพูด
ทันใดนั้นชายหนุ่มคนนั้นลดกำแพงป้องกันทางจิตใจในทันที(ศรัทธาจนยอมศิโรราบ)
ซูจิ้งก็ประหลาดใจไม่น้อยเพราะเขาเองก็ไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผลดีขนาดนี้ ชายคนนี้ไม่มีท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด ตอนนี้ต่อให้ซูจิ้งสะกดจิตสมบูรณ์ซ้ำอีกสองสามรอบก็ยังได้
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นตำราที่ทรงพลังจริงๆแถมยังใช้งานง่ายกว่าที่คิดอีกด้วย” ซูจิ้งรู้สึกดีใจอย่างหมดหัวใจ
เพราะเอาจริงๆแล้วเขาพึ่งจะศึกษาตำราวิถีมังกรนี้ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เขาเองในตอนนี้ก็ทำได้เพียงการจำลองตราประทับมังกรทองเหยียบช้างเผือกนั่นได้เท่านั้นเอง
นึกไม่ถึงว่าเพียงใช้วิธีนี้จะทรงพลังจนทำให้สะกดจิตสมบูรณ์ใส่คนๆหนึ่งได้อย่างง่ายดายขนาดนี้
“ออกไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมจะให้เฉิงหนานเรียกคุณเข้ามาทำสัญญากันทีหลัง” ซูจิ้งพูดออกมา
ตอนนี้เขาสามารถให้คนๆนี้ทำอะไรให้เขาก็ได้โดยไม่ต้องพะวงหน้าพะวงหลังอีกต่อไป
อย่างไรก็ตามซูจิ้งเองก็ยังคงต้องการข้อผูกมัดให้คนๆหนึ่งต้องปฏิบัติตาม
อย่างการเซ็นสัญญาปกปิดความลับเพื่อป้องกันไม่ให้คนๆนั้นต้องพบความเสี่ยงในการถูกขู่เข็ญในทางอื่นแต่อย่างใด
ซูจิ้งให้คนที่สองเข้ามาสัมภาษณ์ คนๆนี้อายุยี่สิบแปดปี เทียบกับคนแรกเขาค่อนข้างดูมีความมั่นใจมากกว่า
แถมเขาเองก็เรียกร้องเงินเดือนที่สูงกว่าคนอื่นเล็กน้อย
เพียงแต่เขายังมีข้อเรียกร้องอื่นอีกด้วยอย่างเช่นเทคโนโลยีและอุปกรณ์ที่ต้องยอมให้เขาใช้ในระหว่างการทำงาน
เขานั้นหวังจะวิจัยงานอย่างอื่นเพิ่มเติมในสถาบันวิจัยฯของซูจิ้ง
ท้ายที่สุดซูจิ้งได้ให้สัญญากับเขาว่าตราบใดที่งานวิจัยของเขาสามารถใช้ผลิตปฏิสสารได้เขาก็จะยอมให้ใช้ แปลกซะอีกที่จะไม่ทำอะไรเลยนอกจากงานถ้าอยู่ในสถาบันวิจัยของเขา
เมื่อตกลงกันได้ซูจิ้งก็ได้สร้างตราประทับมังกรทองในดวงตาจนชายตรงหน้าทำแบบเดียวกับชายคนแรกก่อนหน้านี้และสะกดสมบูรณ์อย่างง่ายดาย
หลังจากให้ชายคนที่สองออกไป ชายคนที่สามก็เข้ามาสัมภาษณ์ เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบห้าปี เทียบกับสองคนแรกแล้วดูเป็นคนที่มีความสามารถมากกว่า
เมื่อซูจิ้งถามความต้องการของเขาในการทำงานที่สถาบันวิจัยฯเขาหยุดนิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะบอกออกมาว่า
“ประธานซู ผมเองก็พอรู้อยู่ว่าคุณมีภูมิหลังแบบไหนมาพอสมควรฉะนั้นผมก็จะไม่เรียกร้องอะไรเกี่ยวกับเงินเดือน เวลาการทำงาน และสภาพแวดล้อมในการทำงานอย่างพวกอุปกรณ์แต่อย่างใด
สิ่งที่ผมจะขอนั้นค่อนข้างจะเป็นเรื่องส่วนตัวผมก็รู้ว่าเราควรแยกเรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวออกจากกันแต่ผมเองก็ไม่มีทางเลือกจริงๆ”
ซูจิ้งเองก็พลางนึกถึงคำพูดของเฉิงหนานที่เขาบอกมาก่อนหน้านี้ว่าชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่เกลี้ยกล่อมเขาได้ยากที่สุด เขาจึงถามออกไปว่า “คุณอยากให้ผมช่วยอะไรล่ะ”
ชายหนุ่มได้หยิบรูปสาวสวยคนหนึ่งออกมาและพูดออกมาว่า “คนๆนี้เป็นน้องสาวของผม มีชายที่มีอำนาจคนหนึ่งตามตอแยเธอ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ตามชายคนนั้นคอยก่อกวนแทบจะทุกฝีก้าว
ชายคนนั้นเองก็เป็นที่ไม่มีอะไรดีเลยซักอย่างแน่นอนว่าเขาเองไม่มีทางยอมรับคนเช่นนี้อยู่แล้ว
แต่ด้วยการที่เขานั้นมีลุงที่มีอำนาจในสายงานวิจัยไม่น้อยทำให้ผมเองก็โดนกดดันไม่น้อยเช่นเดียวกัน
จะบอกว่าโดนรังควานทั้งพี่และน้องเลยก็ว่าได้ทำให้ผมเองก็ช่วยเธอไม่ได้มากนัก ถ้าเป็นไปได้ท่านประธานซูได้โปรด…”
ในระหว่างที่คนๆนี้เล่าเรื่องออกมา ซูจิ้งก็ได้อ่านออร่าและท่าทางของเขาไปพร้อมๆกัน
ออร่าของเขาหดเล็กและไม่เสถียรพร้อมท่าทางหดหู่และหวาดกลัวตลอดเวลาที่เล่า
เขาเองก็กลัวไม่น้อยที่ซูจิ้งจะไม่ยอมทำตามที่เขาขอร้องเหมือนกันเพราะสำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ค่อนข้างจะเกินไปแต่เขาก็หมดหนทางแล้วจริงๆ
ถึงแม้ภูมิหลังของซูจิ้งจะเข้มแข็งยังไงก็ตามแต่การจะให้เขานั้นใช้ภูมิหลังไปกดดันเพื่อช่วยเหลือคนที่ไม่เคยรู้จักกันมันก็ออกจะเกินไป
ซูจิ้งถามออกมาว่า “ชายคนนั้นชื่อว่าอะไรหรอ”
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปพักนึง ตาของเขาแสดงถึงความประหลาดใจไม่น้อย
เขาได้บอกชื่อของชายหนุ่มคนนั้นและข้อมูลต่างๆที่เขารู้ ซูจิ้งได้โทรศัพท์ออกไปให้คนของเขาตรวจสอบข้อมูลให้
เมื่อทราบข้อมูลแล้วซูจิ้งก็ได้โทรหาไป๋ฮิตูเนื่องจากข้อมูลที่เขาได้มาบอกว่าชายคนนั้นเป็นคนรุ่นสองของเศรษฐีด้านการเงินหน้าใหม่ที่อยู่ในเมืองจงหยุนถือว่าอยู่ในแวดวงเดียวกับฮิตู เขาจึงเลือกที่จะให้คนในแวดวงเดียวกันจัดการดีกว่า
เอาจริงๆเขาเองจัดการเองจะง่ายกว่าแน่นอนแต่เขาก็คิดว่ามันจะโฉ่งฉ่างเกินไป แล้วเขาก็ไม่ได้มีเวลามากพอขนาดนั้น
หลังจากวางสายเขาจึงพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าว่า “รอซักครู่นะ อีกซักพักน่าจะมีข่าวคราวอะไรกลับมาบ้าง”
ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นประวิงพลางพูดว่า “ตกลงครับ ตกลง..”
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น เขาเองก็อยากรับแต่กลัวซูจิ้งจะไม่พอใจ ซูจิ้งก็บอกให้เขารับได้เพราะตอนนี้เราก็กำลังรอผลกันอยู่แล้ว หลังจากรับสายมีเสียงคนพูดเสียงดังมาจากปลายสายมาว่า “สวัสดีครับคุณหม่า ผมผิดเองที่รังควานไทชาน ผมจะไม่ตอแยเธออีก ที่ผมทำอะไรที่เลวร้ายต่อคุณไปผมขอโทษด้วยจริงๆครับ”
ชายหนุ่มทำตาโง่งมในทันที เขาได้ยินเสียงและจำเสียงของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
เขาเป็นคนที่คอยรังควานน้องสาวของเขา เขาหันไปมองซูจิ้งด้วยสายตาตกตะลึง
ถึงแม้จะไม่ใช่เรื่องยากที่จะจัดการคนที่อยู่ในวงการเดียวกัน แต่การที่ซูจิ้งโทรหาเพียงกริ๊งเดียวแล้วรอเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีก็ทำให้เป้าหมายโทรมาร้องห่มร้องไห้ขอยอมแพ้ได้อย่างนี้นี่สิที่น่าตกตะลึง
อย่างที่เขาคิดไว้เลยว่าซูจิ้งนั้นมีอำนาจล้นฟ้าจริงๆ
ชายหนุ่มได้กลับไปคุยโทรศัพท์ต่อโดยพูดว่า “แกสัญญาได้ใช่ไหมว่าจะไม่โผล่หน้าออกมาหรือยุ่งเกี่ยวใดๆกับน้องสาวของฉันอีก”
ปลายสายได้ร้องห่มร้องไห้พลางตอบกลับมาว่า “ผมสัญญาครับผมสัญญา ผมไม่อยากตายโดยการที่ไปตอแยน้องสาวของคุณแน่นอน”
เหตุการณ์ที่ชายหนุ่มเส้นใหญ่กำลังประสบอยู่ที่ปลายสายในตอนนี้คือเขานั้นกำลังนอนกองกับพื้นพร้อมทั้งจมูกที่หักและบาดแผลแตกทั่วใบหน้า
ใบหน้าของเขาอยู่ข้างๆกับเท้าข้างหนึ่ง เท้านั้นเป็นของไป๋ฮิตู และรอบตัวเขานั้นก็เต็มไปด้วยเด็กหนุ่มที่มีสภาพไม่ต่างกันเต้มไปหมด คนที่ไม่ได้ร่วมวงด้วยก็ทำได้แต่จ้องมองอย่างเสียขวัญ
ซูจิ้งถามออกไปว่า “มีอะไรที่ต้องห่วงอีกรึเปล่า?”
ชายหนุ่มตอบกลับด้วยความยินดีในทันทีว่า “ขอบคุณคุณซูมากครับ ขอบคุณจริงๆ”
ซูจิ้งยกมือโดยหันฝ่ามือให้โดยสื่อไปในว่าไม่เหนือบ่ากว่าแรงพลางพูดว่า “ด้วยความยินดีครับ”
ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ทำการสะกดจิตสมบูรณ์ในทันที ด้วยการที่เขาในตอนนี้กำลังปลาบปลื้มในตัวซูจิ้งอย่างมากทำให้เขาไม่ได้รู้สึกขัดขืนทางจิตใจแต่อย่างใด
หลังจากเสร็จเรื่องทั้งหมดแล้วซูจิ้งให้เฉิงหนานนำสัญญามาให้พวกเขาเซ็นในทันที ด้วยการนี้ทำให้สถาบันวิจัยห้วงเวลาฯได้ผู้มีความสามารถสามคนมาทำงานให้ในที่สุด
เฉิงหนานเองก็ไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมซูจิ้งถึงให้ความสำคัญกับสถาบันวิจัยฯและทุ่มเงินมากมายขนาดนี้
ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตามเฉิงหนานก็ได้แต่รู้สึกว่าเป็นการเผาเงินเล่นเสียมากกว่า เพราะสำหรับเธอแล้วแค่ธุรกิจที่อยู่ในมือตอนนี้ก็สร้างผลกำไรได้แทบจะไม่สิ้นสุดอยู่แล้ว
แต่ยังไงซะเธอเองก็ไม่ใช่คนที่มีอำนาจจะตัดสินใจอะไรได้ เธอเองก็ได้แต่เชื่อในตัวซูจิ้งเท่านั้นเองและคิดว่าซูจิ้งย่อมต้องมีเหตุผลดีๆของเขาเช่นกัน
GGS:บทที่ 793 โลกมันแคบ
ซูจิ้งให้เฉิงหนานจัดการเรื่องสัญญาของคนทั้งสาม หลังจากนั้นเขาก็ออกมาจากบริษัท
เขานั้นยังคงต้องยุ่งกับการหาสมบัติจากขยะห้วงเวลาฯมาใช้เพิ่มค่าการใช้ประโยชน์
และหาเงินเพื่อผลิตปฏิสสารเพื่อเพิ่มค่าพลังงาน
ในขณะที่จะมุ่งตรงกับบ้านก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เมื่อเห็นเป็นกงหลิงหมิงโทรมาเขาจึงรีบรับทันที หลังจากสิ้นเสียงซูจิ้งกงหลิงหมิงได้ถามออกมาว่า
“อาจิ้ง นายกำลังอยากได้เตาเผาขยะพลังงานไฟฟ้างั้นหรอ”
“ใช่ครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ ดูเหมือนว่าเหว่ยเสี่ยวหยวนจะเริ่มดำเนินการเรื่องที่ดินนั่นแล้ว
นอกจากนั้นเขาก็ได้ให้เหว่ยเสี่ยวหยวนเป็นคนดำเนินการเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้องด้วย
อันที่จริงแล้วการยื่นเรื่องขอจัดตั้งไม่ได้ขั้นตอนมากมายอะไร เพียงแต่ค่อนข้างยุ่งยากเพราะต้องไปติดต่อทั้งสภาเมือง สำนักงานที่ดินและทรัพยากร สำนักงานผังเมือง สำนักงานพัฒนาและปฏิรูปเทศบาลเมือง สำนักงานอุตุนิยมวิทยา สำนักงานวิศวกรรมการก่อสร้าง สำนักงานปกป้องและคุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อม แม้แต่สถานีดับเพลิง
ซึ่งทั้งหมดนี่จะทำให้เหว่ยเสี่ยวหยวนวุ่นวายไปพักนึงเลยทีเดียว
“ตราบใดที่เตาเผานั้นผ่านเกณฑ์มาตรฐานล่ะก็ยังไงซะผมก็จะอนุมัติการสร้างให้คุณแน่นอนครับ
แล้วก็คุณไม่ต้องกังวลปัญหาเรื่องการร้องเรียนหรือคัดค้านแต่อย่างใด
ปัญหาอย่างเดียวคือมลพิษที่มันจะก่อ ตราบใดที่มันยังก่อมลพิษทางอากาศและทำให้สิ่งแวดล้อมปนเปื้อน
แถมกรณีของคุณเองก็ใกล้พื้นที่ชุมชนมากพอสมควรด้วยมันอาจก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงและเรื้อรังได้
นี่ผมให้ความเห็นไม่ใช่ในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐนะแต่เป็นการให้ความเห็นในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านนี้”
กงหลิงหมิงพูดออกมา
“คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้?”
“โดยปกติก็ใช่ล่ะครับ แต่คราวนี้อาจจะยากหน่อยเพราะสภาเมืองได้พยายามยกระดับงานด้านสิ่งแวดล้อมให้มากกว่าเดิมซึ่งเป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารและพัฒนาสภาเมืองจงหยุน
พวกเขานั้นมุ่งหวังให้เมืองมีระบบบำบัดมลพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ แต่ยังไงซะด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันก็ยังคงเป็นเรื่องยากโดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงงานผลิตไฟฟ้าที่มาจากการเผาขยะ
เอาจริงๆด้วยความรู้ของคนพวกนี้ตัดสินใจอะไรไม่ได้มากนักหรอก ขอแค่เพียงมีความเป็นไปได้ ดูดี สร้างภาพลักษณ์ได้แค่นั้นก็พอแล้ว
นโยบายของสภาเมืองที่ออกมานี้แม้แต่ผมเองก็ยากจะทัดทานได้ ขนาดโรงกำจัดขยะของผมยังต้องทำตามเลย”
กงหลิงหมิงพูดออกมาแบบนั้นก็เพราะว่าต่อให้เขานั้นมีอำนาจในฐานะนายกเทศมนตรีอยู่ แต่ในเมืองนี้คนที่มีอำนาจที่สุดยังคงเป็นเลขาธิการเทศบาลเมือง คณะกรรมการพรรคฯ และเลขาธิการคณะกรรมการพรรคฯที่ได้รับการคัดเลือกให้ปกครองพื้นที่นี้
โดยแนวปฏิบัติต่างๆในการพัฒนาเมืองจะขึ้นอยู่กับคนเหล่านี้
เขานั้นมีหน้าที่ในการปฏิบัติตามเพียงเท่านั้น
ถึงแม้มีอำนาจมากแค่ไหนแต่ก็ยังต้องอยู่ในกรอบที่คณะกรรมการฯกำหนดอยู่ดี
“ถ้าอย่างนั้นผมเองก็คงต้องไปแวะเยี่ยมเยือนสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯซะหน่อยแล้วสินะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“อาจิ้ง ชิชูจินั้นไม่ใช่คนของเราหรอกนะ แถมฝั่งเราเองก็มีความขัดแย้งกับหมอนี่อยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้อาจไม่ง่ายนัก ยังไงซะฉันจะพยายามให้ดีที่สุดแล้วกัน”
กงหลิงหมิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เบาๆเพื่อให้ซูจิ้งรู้ว่าเขาเองนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นไกลแต่เป็นคนของตระกูลหวังเช่นกัน
“ฮ่าฮ่า หากไม่ลองก็ไม่รู้ล่ะนะ เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะลองไปยังที่ทำการพรรคก่อนแล้วกัน แต่ผมจะทำอะไรนั้นยังไม่ขอบอกนะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้ แต่นายเองก็อาจต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะไหลตามน้ำด้วยหล่ะนะ” กงหลิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
หลังจากวางสายซูจิ้งโทรศัพท์ไปหาเหว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อนัดเจอกัน
หลังจากนัดเจอกันแล้วพวกเขาก็ได้ไปยังสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯ
เหว่ยเสี่ยวหยวนเองตอนแรกที่มาก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้เหมือนกันว่ามาทำอะไรที่นี่
แต่หลังจากที่ได้ยินซูจิ้งพูดอะไรบางอย่างทำให้เธอเองก็เริ่มรู้แล้วว่าเรื่องนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆอีกต่อไป
“เอาจริงๆฉันว่าเราควรจะปฏิบัติตามขั้นตอนปกตินะ
ถึงแม้ว่าเรานั้นจะเตรียมหลักฐานบางอย่างมายังไม่พร้อมก็ตาม
แต่ฉันว่ามันจะดูไม่ดีการที่เรามาที่สำนักงานคณะกรรมการพรรคฯแบบนี้
หรือคุณจะบอกว่าผู้แทนพรรคการเมืองเหล่านี้จะไม่ยินยอมให้เราตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะจนเราต้องมากดดันพวกเขาแบบนี้”
“อย่ากังวลไปเลยน่า พวกเราเองก็ต้องการข้อมูลที่แน่นอนนี่นาว่าต้องทำยังไงบ้างถึงจะจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะนี้ได้
อีกอย่างการมาที่นี่จะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคณะกรรมการพักด้วยนะ”
ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มจ้องมองไปยังเสี่ยวหยวนที่อยู่ในสภาพหมดอาลัยตายอยาก
ส่วนเสี่ยวหยวนนั้นอยากกระทืบพื้นระบายอารมณ์ออกมาแทนเมื่อเห็นซูจิ้งทำท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่อย่างใด
ไม่นานหลังจากเข้าไปถึงที่สำนักงานคณะกรรมการพรรคฯ แทบจะทันทีที่พวกเขาเหยียบย่างเข้าไปในสำนักงาน
ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นคนที่มีชื่อเสียงทำให้พวกเขานั้นได้การต้อนรับเป็นอย่างดี
เจ้าหน้าที่ฝ่ายต้อนรับเองก็ได้บอกซูจิ้งอย่างสุภาพว่าท่านเลขาธิการพรรคติดการประชุมอยู่ เมื่อว่างแล้วจะรีบมาคุยด้วย
หลังจากเดินไปที่พื้นที่รับรองเขานั้นได้ได้เห็นชายหนุ่มหน้ายาวนั่งลงบนโซฟา และชายวัยกลางคนอีกคนที่ดูเหมือนเป็นคนญี่ปุ่น
เมื่อซูจิ้งเห็นพวกเขาก็ได้หยุดมองในทันที อีกฝ่ายเองก็มีท่าทางไม่ต่างกัน
“นายมาทำอะไรที่นี่” ชายหนุ่มหน้ายาวทำหน้าบอกบุญไม่รับในทันที
นั่นก็เพราะว่าด้วยเรื่องของหวังหยานก่อนหน้านี้ ทำให้เขาเกลียดซูจิ้งเลยกลั่นแกล้งเขาด้วยการรายงานเรื่องของซูจิ้งให้กับภาครัฐแต่ซูจิ้งก็จัดการทุกอย่างได้และยังอยู่ดีอยู่
นี่ทำให้เขานั้นเกลียดซูจิ้งมากเสียยิ่งกว่าเดิมซะอีก ยิ่งนึกถึงว่าตัวซูจิ้งมีคู่หมั้นสาวสวยชนิดหาใครเปรียบมิได้
แถมในตอนที่ซูจิ้งเล่นเพลง “ณ ชั่วขณะจิตแห่งความสวยงาม” และ “เพลงขอให้คู่รักได้แต่งงานกัน”
นั่นได้ไปทำให้จิตใจของหวังหยานหวั่นไหวจนทำให้ร้องไห้ออกมาไม่หยุดอยู่นาน
ทำให้เขานั้นเกลียดซูจิ้งจนฝังเข้ากระดูกดำไปแล้ว
โอฉิงซงได้มองไปยังเว่ยเสี่ยวหยวนที่อยู่ข้างๆซูจิ้งที่ตอนนี้อยู่ในชุดที่ดูเซ็กซี่และน่าเย้ายวนใจจนทำให้เขานั้นรู้สึกอิจฉาขึ้นมาจนต้องหาทางระบายแค้นอะไรซักอย่าง
ซูจิ้งเองก็มองโอฉิงซงไปปราดนึงและก็ไม่ได้สนใจอะไร
เมื่อเห็นว่าซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจเขานั่นยิ่งทำให้โอฉิงซงเกิดความรู้สึกโกรธขึ้นมาในทันที
อย่างไรก็ตามเขานั้นพยายามบังคับตัวเองไม่ให้ก่อปัญหากับซูจิ้งถึงแม้ว่าจะอยากแค่ไหนก็ตาม ยังไงซะที่นี่ก็ยังเป็นสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯไม่ใช่ที่ของเขา และเขาเองก็มาเพื่อทำธุระที่นี่เท่านั้น
ซูจิ้งและเว่ยเสี่ยวหยวนนั่งลงและได้ถามไปยังหญิงวัยกลางคนที่กำลังชงชาว่าจะได้พบประมาณกี่โมง
เธอได้บอกเขาว่าหากผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิเสร็จเมื่อไหร่จะรีบโทรบอกทันที ซูจิ้งจึงพูดออกไปว่า
“ได้ครับ รบกวนด้วย” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“อ่อ แล้วก็ คุณโอนั้นก็ต้องการมาคุยกับท่านผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิในการดำเนินงานเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะเช่นเดียวกัน
ถ้ายังไงล่ะก็คุณซูสามารถคุยกับเขาไปพลางๆก่อนได้ค่ะ” เมื่อสิ้นเสียงที่หญิงวัยกลางคนพูด ทั้งซูจิ้งและโอฉิงซงต่างขมวดคิ้วและมองหน้ากันในทันที
หลังจากที่หญิงวัยกลางคนเดินจากไป โอฉิงซงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“ไม่คิดเลยว่าคุณซูเองก็มีความสนใจในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะอยู่เหมือนกันนะเนี่ย
แต่ก็คงจะต้องมีเรื่องหนึ่งที่ต้องบอกคุณซูไว้ก่อนนะว่าผมนั้นมีความตั้งใจที่จะเสนอเทคโนโลยีเตาเผาขยะที่นำเข้ามาจากญี่ปุ่น และผู้แทนคณะกรรมการฯเองก็ยอมรับเรื่องนี้แล้ว
เกรงว่าคุณซูเองน่าจะมาเสียเที่ยวซะเปล่าๆ ยังไงซะผู้แทนฯชิเองก็ต้องอยากพบผมมากกว่าคุณแน่นอน”
ซูจิ้งจ้องมองไปยังชายชาวญี่ปุ่นที่อยู่ข้างโอฉิงซงก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมจำได้ว่าครอบครัวของนายสนใจเฉพาะงานด้านเกษตรไม่ใช่หรอนั่น?”
โอฉิงซงได้ยืดอกก่อนจะพูดออกมาว่า “ครอบครัวของฉันแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ได้สนใจแต่ด้านเกษตรอย่างเดียวแน่นอนอยู่แล้ว
ความจริงพวกเราเรียนรู้และมีเข้าใจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานขยะไม่น้อยไปกว่างานด้านเกษตรเลย
อาจจะมากกว่าที่นายคิดซะด้วยซ้ำ ความจริงฉันสิที่ต้องถามว่านายสนใจงานด้านนี้แล้วเข้าใจมันแค่ไหน”
“เรามาคอยดูกันก่อนก็แล้วกัน” เหว่ยเสี่ยวหยวนอดไม่ได้ที่จะแทรกเข้ามาด้วยความหมั่นไส้
“คนสวย ซูจิ้งจ่ายค่าจ้างให้เธอเท่าไหร่กัน ฉันยินดีให้สองเท่าเลยนะ มาทำงานเป็นตัวแทนของฉันดีกว่าน่า”
โอฉิงซงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์ พลางคิดไปว่าถ้าเขาสามารถซื้อตัวผู้ช่วยของซูจิ้งคนนี้ได้ก็คงช่วยให้เขาหายแค้นได้ไม่น้อย
“สองเท่าหรอ ก็น่าสนใจดีนี่” เหว่ยเสี่ยวหยวนพยักหน้าเห็นด้วยนั่นทำให้โอฉิงซงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เธอได้พูดต่อว่า “แต่น่าเสียดายหน่อยนะต่อให้นายเสนอมาร้อยเท่าแต่ก็ยังไม่น่าสนเท่าได้ทำงานก็บอสของฉัน เพราะอย่างนั้นลืมๆคำพูดของนายไปซะเถอะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของโอฉิงซงได้แข็งค้างไปทันใดนั้นเขาก็ได้รู้สึกโกรธขึ้นมาในทันที
เขาไม่คิดว่าเหว่ยเสี่ยวหยวนจะหักหน้าเขาขนาดนี้ แต่ทันใดนั้นประตูก็ได้ถูกเปิดออกมา
ตอนแรกทุกคนก็คิดว่าเป็นหญิงวัยกลางคนก่อนหน้านี่
แต่กลายเป็นว่าเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 – 50 ปี เข้ามาแทน
ทันทีที่โอฉิงซงเห็นเขาถึงกับตกใจจนต้องยืนขึ้นก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“สวัสดีครับผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิ”
โอฉิงซงรู้สึกประหลาดในในทันที ทำไมผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯถึงได้มาที่นี่ด้วยตัวเองกัน
เขาเองก็เคยมาหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่มีโอกาสได้พบเลย
แต่นี่เพียงซูจิ้งมาถึงกับทำให้เขานั้นต้องมาด้วยตัวเองเลยหรอ
ผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯได้ตรงไปยังซูจิ้งทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“คุณซู อะไรถึงทำให้คุณมาที่นี่ในวันนี้กันล่ะครับ”
GGS:บทที่ 794 พบเจ้านาย
เหว่ยเสี่ยวหยวน โอฉิงซง และชายชาวญี่ปุ่น ต่างก็ตกใจกันเป็นแถบเมื่อเห็นว่าผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯชิได้ให้ความยำเกรงกับซูจิ้งอย่างมาก
ซูจิ้งพยักหน้ารับพร้อมพูดออกมาว่า “สวัสดีผู้แทนฯชิ ผมมาที่นี่เพื่อคุยเรื่องการจัดตั้งโรงไฟฟ้าพลังงานขยะน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเข้าไปที่ห้องของผมกันดีกว่าครับ”
ผู้แทนฯชิได้ยิ้มก่อนจะผายมือเชิงให้ซูจิ้งตามมาพร้อมพูดออกมาว่า “โปรดตามมาทางนี้ครับ”
ผู้แทนฯชิได้กล่าวเชิญด้วยน้ำเสียงอบอุ่นนั่นทำให้โอฉิงซงถึงกับหัวหมุนจนแถบอยากจะล้มทั้งยืนในตอนนี้
เขาได้รีบผลักตัวเองให้ไปยืนต่อหน้าผู้แทนฯชิด้วยใจที่ไม่อยากจะทำก่อนจะพูดออกมาว่า
“ผู้แทนฯชิครับ พวกเราได้คุยกันโทรศัพท์ก่อนหน้านี้แล้วครับ
ไม่ใช่ว่าคุณเองก็ค่อนข้างสนใจในแบบแปลนโรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่เราใช้เทคโนโลยีของทางญี่ปุ่น…”
“ผมจะคุยกันคุณเรื่องนี้ทีหลังแล้วกัน ตอนนี้ผมขอคุยกับคุณซูก่อนนะ” ผู้แทนฯชิยกมือขึ้นเชิงบอกเป็นนัยว่าให้โอฉิงซงหยุดวอแวเรื่องนี้
“นี่…” โอฉิงยุนใบหน้ากลายเป็นสีแดงด้วยความเขินอายและโกรธแค้น
ผู้แทนฯชิเพิ่งจะคุยกับเขาเมื่อเช้านี้เองเกี่ยวกับเรื่องโรงงานไฟฟ้าฯ และต้องการที่จะคุยกับเขาเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติมจึงได้นัดเจอกัน เป็นซูจิ้งเองที่มาแทรกเรื่องนี้ทีหลังเขานั้นสมควรจะได้คุยก่อน
แต่กลายเป็นว่าผู้แทนฯชิดันให้ความสำคัญกับซูจิ้งมากกว่าเขาทั้งที่เขาเองก็รู้จักผู้แทนฯชิเป็นการส่วนตัวไม่ใช่น้อยเลย
เขายังรู้มาอีกว่าผู้แทนฯชิไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหวังแถมยังมีปัญหากันบ่อยครั้งซะอีก
ตอนแรกเขาเลยคิดว่าผู้แทนฯชิจะไม่สนใจซูจิ้งแม้แต่น้อย แต่นี่มัน…
ยังไงก็ตามโอฉิงซงเองก็ไม่ได้พยายามวอแวผู้แทนฯชิแต่อย่างใดเพราะเขาเองก็ไม่ได้โกรธจนโง่งมจนลืมไปว่าคนที่อยู่ตรงหน้าคือผู้แทนฯชิ
เขาจะไปกล้าสร้างปัญหากับตัวแทนผู้มีอำนาจของประเทศเช่นนี้ได้ยังไงกัน
หากเทียบกันแล้วเขาก็ไม่ได้ต่างจากเศษฟางเส้นหนึ่ง
นี่คือเหตุผลทำให้โอฉิงซงนั้นจำเป็นต้องสงบสติอารมณ์ความโกรธที่พุ่งพล่านของเขาให้ได้ หลังจากนั้นเขาได้พูดออกมาว่า “งั้น เอาไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันทีหลังก็ได้ครับ”
ผู้แทนฯชิพยักหน้ารับก่อนที่เขาและผู้ช่วยจะนำซูจิ้งไปยังสำนักงานของเขา
หลังจากเห็นประตูปิดลง ความโกรธของโอฉิงซงก็ได้พุ่งขึ้นมาจากในจิตใจอีกครั้งจนเขาแถบอยากจะเขวี้ยงแก้วกาแฟลงบนโต๊ะตรงหน้า
ที่เขาพูดก่อนหน้านี้ไปว่ายังไงซะผู้แทนฯชิต้องพบเขาก่อนซูจิ้งอย่างแน่นอนและซูจิ้งต้องมาเสียเที่ยว แต่กลายเป็นว่าเขากับโดนซะเองเหมือนกับเขาพยายามตบหน้าซูจิ้งแต่มือลื่นจนตบหน้าตัวเองไปแทน
ตอนนี้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯของนายถึงได้ดูเคารพซูจิ้งมากขนาดนี้กัน” ชายญี่ปุ่นรีบถามเหตุการณ์ออกมาด้วยสำเนียงจีนกลางทันที
“ฉัน… ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” โอฉิงซงทำได้เพียงแต่ส่ายหัวแล้วในตอนนี้
“ไม่ใช่ว่าหมอนี่เพิ่งจะตัดหน้าช่องทางทางธุรกิจของเราไปหรอกหรอ” ชายญี่ปุ่นคนนั้นถามต่อ
“ฉันไม่คิดว่าอย่างนั้นนะ ด้วยประสบการณ์ ความรู้ และเทคโนโลยีของเขาไม่น่าจะสู้พวกเราได้
ฉันเองก็ยังเชื่อว่าผู้แทนฯชิยังถือหางพวกเราอยู่”
ถึงจะพูดอย่างนั้นออกมาแต่โอฉิงซงเองก็ไม่ได้มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย
เขายังรู้สึกเป็นกังวลกับท่าทีของผู้แทนฯชิที่มีต่อซูจิ้งก่อนหน้านี้จนทำให้เขานั้นต้องหันไปจ้องยังเหว่ยเสี่ยวหยวนเพื่อตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง
แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเพราะไม่อยากก่อปัญหาเพิ่มขึ้นอีกแล้ว
โอฉิงหยุนเลือกที่จะเปิดข้อมูลที่อยู่บนมือก่อนที่จะลองจินตนาการว่าเขาควรพูดอะไรกับผู้แทนฯชิบ้างหลังจากนี้
เป้าหมายของเขาที่ต้องการสร้างโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะนี้ไม่ได้เป็นการทำเพื่อส่วนรวมแต่อย่างใดเขานั้นหวังเพียงผลกำไรเท่านั้น
โดยปกติแล้วผลกำไรที่จะได้มาจากการจัดตั้งโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะนั้นจะได้มาจากสองทางได้แก่ค่าธรรมเนียมการกำจัดขยะและค่าไฟฟ้าที่ได้รับจากการส่งพลังงานไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าของเมือง
สิ่งที่เรียกว่าค่าธรรมเนียมการกำจัดขยะนั้นเป็นเงินที่ภาครัฐจ่ายเป็นค่าดำเนินการในการจัดเก็บ เก็บขน และเผาทำลายโดยจะนับเหมารวมเป็นหน่วยตัน
กำไรที่ได้จากกระบวนการนี้อยู่ที่ 60-80 หยวนต่อตัน แต่กับเมืองจงหยุนแห่งนี้ได้สนับสนุนเงินค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 110 หยวนต่อตัน
ยิ่งไปกว่านั้นโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะนั้นยังได้รับการสนับสนุนจากโครงการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนซึ่งจะไม่มีการเก็บภาษีเงินได้ ทั้งจากค่าธรรมเนียมการกำจัดขยะและค่าไฟฟ้าที่โรงงานไฟฟ้าฯนี้ผลิตได้ทำให้เงินกำไรที่ได้จากการขายไฟฟ้าได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
แถมภาครัฐยังอุดหนุนค่าไฟฟ้าที่ได้จากการผลิตให้อีกอยู่ที่ 0.25 หยวนต่อกิโลวัตต่อชั่วโมง
สำหรับขยะที่นำมาเผานั้นถือได้ว่าเป็นผลกำไรคงที่และถือว่าเป็นทุนหมุนเวียนในการผลิตไฟฟ้านี้
นั่นหมายความว่ารายได้ที่มาจากการขายไฟฟ้าจะถือว่าเป็นกำไรสุทธิได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
เพราะฉะนั้นยิ่งภาครัฐอุดหนุนค่าธรรมเนียมมากเท่าไหร่โรงงานก็จะยิ่งได้ผลกำไรมากขึ้นเท่านั้น
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงรายได้ยิบย่อยที่จะได้นอกจากโรงงานไฟฟ้าฯนี้อีกนั่นหมายความว่าเมื่อใดก็ตามที่มีการลงนามย่อมหมายถึงผลกำไรที่แทบจะบอกได้ว่ามั่นคงถาวรตลอดการดำเนินงาน
ด้วยสถานการณ์ขยะที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวันแบบนี้ ธุรกิจนี้ถือได้ว่าเป็นที่ต้องการแทบจะในทุกหัวเมืองเลยทีเดียว
ตอนนี้สิ่งที่การทำโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะจะต้องเผชิญปัญหานั้นมีเพียงข่าวลือเสียๆหายๆและเสียงทัดทานจากชาวบ้าน
แต่ปัญหาทุกอย่างนั้นก็ได้เพียงแค่ผู้แทนฯชิเห็นชอบเท่านั้นก็ไม่มีใครกล้าคัดค้านอีกต่อไป
โอฉิงซงเองก็ให้ความสำคัญกับโครงการนี้และเตรียมพร้อมที่จะเสนอเงินก้อนใหญ่ให้ผู้แทนชิแต่เขากลับโดนซูจิ้งตัดหน้าไปต่อหน้าต่อตา เขาเป็นกังวลอย่างมากเพราะไม่รู้ว่าซูจิ้งจะเสนออะไรให้
ภายในห้องสำนักงานมีเพียงแค่ผู้แทนฯชิและซูจิ้งเท่านั้น หลังจากแน่ใจแล้วว่าประตูและหน้าต่างปิดสนิทดีแล้ว ผู้แทนฯชิได้ทำในสิ่งที่คนนอกห้องต่างก็คาดไม่ถึงอย่างแน่นอน
ผู้แทนฯชิได้คุกเข่าลงข้างหนึ่งในทันทีก่อนจะเรียกซูจิ้งด้วยน้ำเสียงจงรักภักดีว่า “เจ้านาย”
“ลุกขึ้น คราวหน้าอย่าได้ทำอะไรที่มันดูเป็นที่จับสังเกตได้แบบนี้อีก” ใบหน้าของซูจิ้งในตอนนี้ได้แสดงท่าทีผ่อนคลายออกมาอย่างน่าประหลาดใจ
เขาเองไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าสิ่งที่ผู้แทนฯชิทำอยู่นี้เป็นสิ่งที่เขานั้นสมควรทำต่อซูจิ้งแล้ว
ย้อนกลับไปตอนที่รับรู้ความสามารถของสแตนด์ที่เจียจิหลงมีนั้น ธนูที่เหลือสามดอกได้ใช้กับไป๋ฮิตู
หลัวฉือหลิน และตงเซีย
ส่วนธนูอีกเจ็ดดอกที่ใช้ไปแล้วนั้นชิหยินผู้นี้เองก็เป็นหนึ่งผู้ที่ถูกใช้
ถ้าดูจากท่าที่ของชิหยินตอนที่เกิดเรื่องจงเจียนนั้นก็พอจะบอกได้ว่าเจียจิหลงได้ควบคุมชิหยินเฮาผู้นี้มานานพอสมควรแล้ว
เมื่อซูจิ้งฆ่าเจียจิหลงไปทำให้การควบคุมเหล่านั้นถูกส่งต่อมายังซูจิ้ง
ท่าทีของชิหยินเฮาจึงไม่ได้เกินความคาดหมายของซูจิ้งแต่อย่างใด
ความจริงแล้วซูจิ้งเองก็ไม่ได้มีแผนที่จะมาพบกับชิหยินเฮาเร็วขนาดนี้
ตอนที่เขาได้รับสายจากกงหลิงหมิงนั้นเขาได้เตรียมการและวางแผนที่จะมาพบปะพูดคุยกับหยินเฮาในทันที
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเจียจิหลงเลือกที่จะควบคุมชิหยินเฮามากกว่าที่จะเป็นกงหลิงหมิง
นั่นก็เป็นเพราะนอกจากเขานั้นจะมีตำแหน่งเป็นผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯแล้ว
เขายังมีคนหนุนหลังจำนวนมากอีกด้วย บอกเลยว่าถ้าเขาอยากจะทำอะไรในเมืองจงหยุนในตอนนี้ก็ทำได้โดยไม่ต้องสนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนอีกแต่อย่างใด
“เจ้านายมาวันนี้อยากให้ผมทำสิ่งใดกันครับ” ชิหยินเฮาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเคารพจงรักภักดี
“ในอนาคตถ้าอยู่ต่อหน้าคนอื่นห้ามทำท่าทางเคารพยำเกรง
โดยเฉพาะกับตอนที่อยู่ต่อหน้าคนนอกฉันไม่อยากเป็นจุดสนใจขนาดนี้
เอาเป็นเรียกฉันว่าคุณซูเฉยๆก็พอ เรื่องในครั้งนี้เองฉันก็จะทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ครับคุณซู” ชิหยินเฮาพยักหน้ารับ
“ที่มาที่นี่ในวันนี้นั้นฉันมาขอให้นายช่วยเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะน่ะ” ซูจิ้งพูดพลางส่งข้อมูลไปให้ชิหยินเฮาดู
ชิหยินเฮาหยิบข้อมูลมาพร้อมพูดว่า “หากคุณซูต้องการสร้างโรงไฟฟ้าพลังขยะล่ะก็ถือว่าเป็นเรื่องง่ายมาก
คณะกรรมการพรรคฯให้อำนาจผมเต็มที่ในการตรวจสอบข้อมูลพร้อมทั้งการตัดสินใจ
ผมเองจะทำเป็นอ่านเอกสารนี้และเซ็นอนุญาตให้แล้วคุณซูสามารถนำไปให้ผู้ว่าการเมืองเซ็นต่อได้เลย
ผู้ว่าการฯกงต้องยอมไว้หน้าผมอยู่แล้ว เพราะผมเองก็ช่วยเขาไว้ไม่น้อยเช่นกัน
ถ้าไม่ติดว่าเขานั้นเป็นคนตระกูลหวังล่ะก็ผมคงเรียกเขามาเซ็นให้ถึงที่แล้ว
ยังไงซะเรื่องแบบนี้สมควรทำให้ดูเป็นทางการไว้จะดีกว่า
ว่าแต่คุณซูจะให้ผมช่วยผลักดันเรื่องนี้ด้วยรึเปล่าครับ”
“แค่นายเห็นชอบก็พอแล้วล่ะ ที่เหลือเดี๋ยวฉันจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา
มันก็ยังคงเป็นเรื่องจริงที่ว่าต่อให้ทั้งชิหยินเฮาและกงหลิงหมิงจะเห็นด้วยก็ตาม
แต่ตราบใดที่หน่วยงานรัฐภาคส่วนอื่นยังไม่อนุมัติ ก็บอกได้ว่าโรงงานไฟฟ้าพลังงานขยะนี้เป็นเพียงแค่ลมปากเท่านั้น
ถึงอย่างนั้นซูจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกกดดันแต่อย่างใด ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็เขาไม่ได้ใส่ใจซะด้วยซ้ำ
นั่นก็เพราะการดำเนินการในส่วนนี้เขาเองเชื่อมั่นอยู่แล้วว่ายังไงก็ผ่านได้โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจของผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯและผู้ว่าการฯเมืองแต่อย่างใด
“รับทราบครับ” ชิหยินเฮานั้นตอบกลับด้วยความจงรักภักดีอีกครั้งก่อนจะเอ่ยถามออกมาต่อว่า “แล้วยังมีอะไรให้ผมรับใช้อีกหรือไม่ครับ”
“ต่อแต่นี้ ขอให้นายดำเนินงานในฐานะผู้แทนคณะกรรมการพรรคฯ และตำแหน่งอื่นๆที่ได้รับในภายภาคหน้าอย่างเต็มความสามารถ และซื่อสัตย์ จริงใจ ถือประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ หากมีเรื่องอะไรแล้วเอาไว้ฉันจะติดต่อมาหาอีกทีแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“รับทราบครับ” ชิหยินเฮาโค้งรับอย่างนอบน้อม
หลังจากการสนทนารายละเอียดต่างๆอีกเล็กน้อย ซูจิ้งก็ได้เดินออกจากห้องของชิหยินเฮา
เมื่อโอฉิงซงเห็นว่าซูจิ้งออกมาจากห้องของผู้แทนชิฯเร็วกว่าที่ควรจะเป็นทำให้เขานั้นมองด้วยสายตาที่เป็นประกาย
เขานั้นพลางคิดไปว่าการเจรจาต่อรองระหว่างซูจิ้งและผู้แทนฯชิล้มเหลวไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้สมควรเป็นเพราะเขานั้นอยากไว้หน้าซูจิ้งจึงได้ให้เข้าไปคุยด้วยกันก่อนเพราะว่าซูจิ้งนั้นมีเบื้องหลังที่น่าเกรงขามไม่น้อยเลย
แต่ไม่ว่าจะเตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ไม่มีทางที่ผู้แทนฯชิจะยอมเซ็นอนุมัติโครงการให้แน่นอนเพราะว่าเขานั้นสมควรมีความพร้อมมากกว่า
พอคิดได้ดังนั้นโอฉิงซงยิ้มกว้างออกมาในทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ” เหว่ยเสี่ยวหยวนได้รีบพุ่งเข้ามาถามในทันที
“เอาไว้คุยกันทีหลังแล้วกัน” ซูจิ้งยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะรีบพาเหว่ยเสี่ยวหยวนออกไปโดยเร็ว
ในขณะที่โอฉิงซงกำลังจะพูดถากถางซูจิ้งนั้น เขาและชายชาวญี่ปุ่นก็ได้ถูกเลขาฯของชิหยินเฮาเรียกเข้าห้องในทันที ทำให้เขานั้นรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีเพราะคิดว่าโครงการของเขาได้รับการอนุมัติแล้ว
โดยหารู้ไม่ว่าชิหยินเฮานั้นได้เรียกเขาเข้าไปปฏิเสธโครงการดังกล่าว และถามเพียงสารทุกข์สุกดิบของเขาและครอบครัวเท่านั้นเอง
GGS:บทที่ 795 ท้าทาย
หลังจากออกจากสำนักงานคณะกรรมการพรรคฯซูจิ้งก็ได้ส่งข้อมูลพร้อมบอกกับเหว่ยเสี่ยวหยวนว่า
“ตอนนี้เธอไปที่ว่าการเมืองแล้วให้ผู้ว่าเซ็นซะ หลังจากนั้นค่อยไปให้ผู้เกี่ยวข้องคนอื่นเซ็นต่อให้ครบ
พอครบแล้วก็เริ่มจัดการก่อสร้างโรงไฟฟ้าฯของเราได้เลย ฉันอยากให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ”
เหว่ยเสี่ยวหยวนเองเมื่อได้เห็นลายเซ็นของผู้แทนฯชิที่อยู่ในเอกสารก็ถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะถามออกมาว่า
“ไม่ใช่ว่าผู้แทนฯชิยังต้องคุยกับไอ้คนหยาบคายนั่นก่อนหรอ ชื่ออะไรนะ โอใช่ไม๊อ่ะ ไม่ใช่ว่าเขาเลือกโอนั่นหรอกหรอ ถ้าเขาเลือกเจ้าโอนั่นแล้วเราจะทำยังไงกันล่ะ”
ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่มีทางหรอก ผู้แทนฯชินั้นเอาจริงๆเขาน่ะไม่อยากจะได้โครงการของเจ้านามสกุลโอนั่นซักเท่าไหร่ เพียงแต่ตอนแรกมีเจ้าเดียวถึงตั้งใจจะเรียกไปคุยเขาไม่คิดว่าเราเองก็สนใจโครงการแบบนี้เหมือนกัน ทำให้เขาเองก็รู้สึกเกรงใจเจ้าโอนั่นอยู่บ้าง
จะไล่ไปเลยก็กระไรอยู่ก็เลยเลือกที่จะให้เขาเข้าพบหลังเรา เพื่อที่จะไม่ให้เจ้าโอเสียหน้าต่อหน้าเรามากนัก ฉันเลยต้องรีบออกมานี่ไง”
เหว่ยเสี่ยวหยวนพยักหน้ารับพลางยิ้มกว้างแล้วบอกออกมาว่า “ตกลงค่ะ” เธอนั้นไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรอีกต่อไป
เพราะหลังจากเหตุการณ์ที่ผู้แทนฯชิปฏิบัติต่อซูจิ้งอย่างดีก่อนหน้านี้ตอนแรกก็ทำให้เธอแปลกใจอยู่ไม่น้อย
เพราะเธอเองก็พอรู้ภูมิหลังของผู้แทนฯชิอยู่บ้างว่าไม่ใช่คนของตระกูลหวังทำไมถึงดูเกรงใจซูจิ้งขนาดนั้นแต่เมื่อฟังเหตุผลแล้วเธอก็หายสงสัยในเหตุการณ์ทั้งหมด
“อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีและประสบการณ์ของชาวญี่ปุ่นในด้านโรงไฟฟ้าพลังงานขยะค่อนข้างจะสูงอยู่เหมือนกัน ถ้ายังไงเราไม่จ้างพวกนั้นให้ทำงานแบบนี้แทนเราล่ะ” เสียวหยวนถามออกมาด้วยความสงสัย
“เรื่องเทคโนโลยีที่ใช้ในโรงไฟฟ้าอะไรนั่นไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า
พอถึงเวลาจริงๆก็ใช้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดซะ แล้วค่อยจ้างพนักงานที่มีความสามารถด้านนี้มาก็พอ
อย่าได้ดูแคลนเหล่าผู้มีสามารถในประเทศเรามากนักสิ” ซูจิ้งได้ส่ายหัวไม่ยอมรับข้อเสนอของเสี่ยวหยวน
ซี่งความจริงแล้วเขาเองก็เคยนึกแบบนั้นเช่นเดียวกัน เทคโนโลยีของทางญี่ปุ่นนั้นสำหรับในเรื่องโรงไฟฟ้าพลังงานขยะถือได้ว่าล้ำหน้ากว่าประเทศอื่นๆ หากได้มาใช้ก็ถือได้ว่าเบาแรงขึ้นเยอะ
แต่พอเขาเห็นพวกญี่ปุ่นก็พลันนึกถึงเรื่องเหตุการณ์ขโมยภาพเขียนเทพธิดาจีนเสียเกือบทุกครั้ง
ทำให้เขานั้นยังรู้สึกโกรธคนชนชาตินี้อยู่พอสมควรเลยไม่ยากจะให้ชาวญี่ปุ่นมาร่วมในธุรกิจของเขาซักกระเบียดนิ้วก็ไม่อยากจะพูดถึง
“เธอก็ไปจัดการเรื่องรายเซ็นพวกนั้นไปละกัน ถ้ามีปัญหาหรือคำถามอะไรก็ถามเฉิงหนานก่อนละกัน ถ้าไม่ได้จริงๆค่อยโทรหาผม” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได๋ค่า….” เหว่ยเสี่ยวหยวนขับรถแยกออกไปยังที่ว่าการเมืองฯในทันที
ซูจิ้งก็ได้ขึ้นรถของตัวเอง หลังจากนั้นก็เปิด QQ และส่งข้อความไปหาซูฉือว่า “ลูกแมวน้อยว่างรึเปล่า”
“ถ้าเป็นนายว่างเสมอ อยากให้ทำอะไรหรอ”
“ฉันอยากได้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวเทคโนโลยีเตาเผาผลิตพลังงานไฟฟ้าของญี่ปุ่น พอจะหาให้ได้ไม๊?”
“ถ้าแค่ข้อมูลเบื้องต้นน่ะไม่ยากหรอก แต่ถ้าเป็นข้อมูลเชิงลึกนี่ก็อีกเรื่องนึง ฉันจะลองพยายามดูละกัน”
“แล้วถ้าฉันหาผู้ช่วยที่สามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์ทั้งหมดได้นี่น่าจะช่วยได้รึเปล่า คนๆนี้สามารถเจาะระบบของอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ทุกอย่างเลย ขอเพียงเธอบอกพวกสเปคอย่างไอพีแอดเดรสหรือที่ตั้งอะไรพวกนั้นน่ะ”
“ถ้าทำได้ล่ะก็บอกได้เลยว่าไม่มีอะไรจะสามารถหยุดฉันได้อีกแล้วในโลกนี้ ว่าแต่มันเป็นไปได้ด้วยหรอ
ปกติแล้วการเข้าไปแฮคข้อมูลในระบบพวกนี้จะต้องพิถีพิถันนะ
ถ้าเขาทำได้ขนาดนั้นล่ะก็เจ๋งกว่าสุดยอดสายลับอีกนะ เพราะว่าสุดยอดสายลับที่ฉันรู้จักยังทำไม่ได้ขนาดนั้นเลย”
“เอาน่า…ฉันมีคนที่ทำแบบนั้นได้ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะแนะนำให้รู้จักแล้วให้เขาเป็นลูกมือเธอก็แล้วกัน”
คนที่ซูจิ้งจะแนะนำให้ซูฉือรู้จักนั้นก็คือหลัวฉือหลิน คนที่มีสแตนด์กระแสไฟฟ้านั่นเอง
ถ้าพูดถึงงานด้านโจรกรรมข้อมูลแล้วถือได้ว่าไร้เทียมทานอย่างแน่นอน ตราบใดที่เป้าหมายมีไฟฟ้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่มีอะไรจะหยุดเขาได้
ด้วยการที่คนธรรมดานั้นไม่มีทางเห็นสแตนด์ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ปกปิดหมกเม็ดป้องกันดีปิดตายแค่ไหน
เขาก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านั้นได้ในพริบตา สิ่งเดียวที่จะเป็นปัญหาของเขาก็คือเรื่องการเข้ารหัสข้อมูลของข้อมูลดิจิตอลเท่านั้นที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกระแสไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว
ซึ่งเรื่องนี้ซูฉือเองก็ถนัดในการแก้ไขปัญหานี้ยิ่งกว่าใครๆ หากจับคู่ทำงานถือได้ว่าเป็นคู่หูชั้นยอดเลยทีเดียว
หลังจากที่หลัวฉือหลินทำความรู้จักกับซูฉือแล้วทั้งคู่ก้ได้เริ่มทำงานร่วมกันในทันที
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเทคโนโลยีเตาเผาผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะที่โอฉิงซงและชาวญี่ปุ่นที่มาด้วยกันเก็บรักษาไว้อย่างดีก็โดนจะเอาออกไปอย่างหาที่มาไม่ได้
ต่อให้เจ้าหน้าที่ด้านเทคนิตของโอฉิงซงมาดูก็ต้องทำได้แต่นั่งทำตาปริบๆ
แต่ยังไงซะซูจิ้งก็ยังไม่เชื่อว่าข้อมูลเทคโนโลยีเตาเผาที่ได้มานี้จะเป็นข้อมูลที่ดีที่สุด
เพราะเขารู้ดีว่าคนพวกนี้ไม่มีทางยอมให้เทคโนโลยีที่ดีที่สุดหลุดรอดออกจากบ้านตัวเองอย่างแน่นอน
ซูจิ้งจึงให้หลัวฉือหลินไปหาข้อมูลในญี่ปุ่นเพิ่มเติม
หลังจากแจกแจงงานเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ได้ขับรถออกไป
แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังร้องโวกเวกโวยวายลั่นจากที่อื่นที่ไม่น่าจะไกลจากเขามากนักดังว่า
“เกินไปแล้ว นี่มันเกินไปแล้วโว้ยยยย”
เมื่อเขามองไปยังต้นเสียงจากภายในรถ เขาได้เห็นโอฉิงซงกำลังตะโกนโวยวายและมีชายชาวญี่ปุ่นเดินตามมาด้วยสีหน้าที่ดูน่ารังเกียจจนเขาเองเมื่อเห็นแล้วก็ถึงกับพูดไม่ออก
แทบไม่ต้องเดาเลยว่าต้องเป็นเพราะชิหยินเฮานั้นปฏิเสธโครงการของพวกเขาอย่างแน่นอน
เอาจริงๆเหตุผลที่โอฉิงซงและชายญี่ปุ่นรับไม่ได้ที่สุดคือพวกเขานั้นรับไม่ได้ที่ชิหยินเฮานั้นเป็นฝ่ายติดต่อหาพวกเขาและทำเหมือนให้ค่ากับพวกเขาอย่างมากจนทำให้พวกเขาเตรียมการมาเป็นอย่างดี
ประกอบกับพวกเขาได้เตรียมตัวที่จะจัดตั้งโรงงานผลิตไฟฟ้าพลังงานขยะนี้มาตั้งนานแล้วจนเรียกได้ว่ามีข้อมูลสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง เหลือเพียงแค่การเลือกที่ตั้งที่คุ้มค่าที่สุดเท่านั้นเอง
แต่อยู่ๆก็เหมือนลมเปลี่ยนทิศแม้แต่ฟังพวกเขาพูดซักคำก็ยังไม่ยอม
เหตุผลเดียวที่โอฉิงซงคิดได้นั้นก็มีเพียงแต่ซูจิ้งที่มาปาดหน้าเค้กทั้งๆที่ยังไม่มีอะไรพร้อมเลยซักอย่าง อย่างแน่นอนโดยไม่ต้องสงสัย
“ไอ้เด็กนั่นยังอยู่นี่นี่นา ต้องไปเจอกันหน่อยแล้ว” ชาวญี่ปุ่นคนนั้นเมื่อเห็นซูจิ้งที่อยู่ในรถไม่ห่างไปจากจุดที่พวกเขาอยู่มากนักก็ได้ตรงไปยังซูจิ้งด้วยความโกรธเกรี้ยวในทันที
โอฉิงซงเองก็หรี่ตาลงเล็กน้อยเพราะเขาเองก็โกรธซูจิ้งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันโดยตอนนี้เขาเองก็ได้มองซูจิ้งด้วยสายตาเย็นยะเยียบในทันที
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ยังเกรงกลัวซูจิ้งอยู่บ้างเพราะว่าปูมิหลังซูจิ้งมีตระกูลหวังหนุนหลังอยู่ ต่อให้เขาโกรธเกลียดซูจิ้งยังไงเขาก็ไม่มีทางกล้าลงมีอย่างแน่นอน
แต่ยังไงซะคิมูระคนนี้ไม่ได้มีความต้องการที่จะแสดงตนต่อตระกูลหวังที่เมืองหลวงแต่อย่างใด
นั่นทำให้แม้เขาจะรู้ว่าซูจิ้งมีตระกูลหวังอยู่แต่เขาก็ไม่ได้เกรงกลัวซูจิ้งแม้แต่น้อย
โอฉิงซงจึงเลือกที่จะไม่หยุดเขาแม้แต่น้อย เขายังเดินตามไปเพื่อหวังที่จะได้ดูฉากเด็ดที่เขาคิดไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้างกับซูจิ้งเพื่อจะได้ทำให้อารมณ์ของเขาดูขึ้นมาบ้าง
เพราะตัวคิมูระเองก็ถือได้ว่าเป็นยอดฝีมือด้านคาราเต้อยู่เหมือนกัน เขาจึงก็เข้าไปเผชิญหน้ากับซูจิ้งได้โดยตรง
“เฮ้ซู แกรู้บ้างรึเปล่าว่าแกขโมยงานของคนอื่นไปต่อหน้าต่อตาน่า หัดรู้สึกละอายใจบ้างนะ” คิมูระตรงเข้าไปที่รถของซูจิ้งพร้อมทำการด่าไปหนึ่งชุดพร้อมหน้าตาเย็นยะเยียบ
“มันก็แค่การแข่งขันเองน่า โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่จะเปิดในเมืองจงหยุนที่ผมอยู่นี่จะไปให้คนชาติญี่ปุ่นแบบนายมาเปิดได้ยังไงกัน” ซูจิ้งพูดตอบไปพร้อมมองกลับไปแบบยียวน
“เฮ้อะ แข่งกันกับผีน่ะสิ เห็นชัดๆว่าแกใช้เส้นน่ะ ฉันบอกได้เลยนะว่าถ้าแกเล่นอย่างนี้ล่ะก็ฉันเองก็มีเส้นสายไม่น้อยเหมือนกัน
ตอนนี้ยังบอกไม่ได้หรอกนะว่าใครจะเป็นคนได้สร้างโรงไฟฟ้าฯนี้กันแน่ แกแน่ใจว่ายังจะสู้กับฉันต่อ” น้ำเสียงเย็นยะเยือกยังคงพ่นออกมา
“หัวแกเน่าไปแล้วรึไง” ซูจิ้งสบถออกมา เขานั้นไม่ได้อยากยุ่งกับชายโง่คนนี้อีกต่อไป เขาสตาร์ทรถและขับออกไป
จากเรื่องที่ซูจิ้งกระทำต่อพวกเขานั้นเปรียบได้ดั่งคนตัดฟืนโดนห้ามตัดไม้ยังไงก็ไม่ปานจะโกรธก็ไม่แปลก
แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีวันยอมแพ้อย่างแน่นอน พวกเขาได้ตรงไปยังที่ว่าการเมือง สำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อม และสำนักงานอื่นของรัฐที่เกี่ยวข้อง แต่กลายเป็นว่าเหมือนพวกเขากำลังตอกย้ำตัวเองว่าการคิดจะสู้กับซูจิ้งช่างเป็นเรื่องไร้สาระ
ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหนก็ตาม ผู้มีอำนาจของหน่วยงานเหล่านี้เหมือนจะเป็นคนของซูจิ้งเลยทีเดียวเพราะพวกเขาล้วนแทบจะลงนามอนุญาตในทันที
ถ้าหากซูจิ้งเรียกพวกเขาไปที่บ้านเพื่อไปเข้าแถวลงนามใบอนุญาตยังดูดีซะกว่าอีก
ทำให้พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะสู้กลับทั้งๆที่เตรียมตัวมาดีแค่ไหนก็ตาม เหมือนพยายามสู้กับภาพลวงตาก็ไม่ปาน
ในคืนนั้นอยู่ๆก็ได้มีข่าวๆหนึ่งแพร่กระจายไปทั่วอินเตอร์เนต ไม่สิต้องบอกว่าสานส์ท้ารบมากกว่า เนื้อหามีอยู่ว่า
“เป็นที่เลื่องลือมานานว่าวิชาการต่อสู้ของจีนนั้นเป็นที่ยอมรับว่าดีเลิศกันอย่างกว้างขวาง และฉันก้ได้ยินมาว่าซูจิ้งเองก็เป็นหนึ่งในยอดยุทธ
วันนี้ฉันได้มีโอกาสเห็นวิดีโอการประลองยุทธ์ของซูจิ้งแล้วฉันก็คิดได้ว่าวิชาการต่อสู้จีนนี่ก็แค่นั้นจริงๆ
ถ้านายคิดว่าฉันพูดอะไรผิดไปล่ะก็ ซูจิ้งนายมาเจอกับฉันได้ที่จิงฮองหอสำนักเต๋าแล้วมาประลองกับฉันซะ”
ถึงแม้จะมีคนไม่มากที่รู้รื่องนี้ แต่ด้วยความหยาบคายของคนๆนี่ทำให้สร้างความโกรธแค้นให้ชาวเน็ตอย่างมากและเร่งกระจายข่าวเรื่องนี้ออกไป พวกเขาในตอนนี้ต้องการให้ใครซักคนมาสั่งสอนคิมูระให้หายอวดดี
“ไอ้ระยำนี่ใครกัน มันคิดว่ามันเป็นใคร”
“ไม่ว่าจะเป็นใครถ้าอยู่ในวงการล้วนฆ่ามันได้อย่างง่ายดายทั้งนั้น”
“ฉันหาข้อมูลมาแล้ว สถานที่ที่ไอ้หมอนี่บอกอยู่ในการดูแลของตระกูลเต๋า เหมือนจะเพิ่งได้มา
ส่วนหมอนั่นฉันก็หาข้ามูลมาแล้วว่าเขานั้นเป็นนักศิลปะการต่อสู้แบบผสมผสานแต่ที่เด่นที่สุดคือเขานั้นเป็นคาราเต้ขั้นแปดที่เรียกอีกอย่างว่าสายดำ
เขามาที่นี่เพื่อที่จะมาลงทุนและต้องการใช้หอนั่นเป็นพิพิธภัณฑ์คาราเต้”
“ทำไมฉันถึงคิดได้แต่ว่าไอ้หมอนี่ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ต้องการเหยียบย่ำศิลปะการต่อสู้จีนอย่างเดียวแต่ยังต้องการเล็งเป้าไปที่ซูจิ้งด้วยล่ะ”
“ฮ่าฮ่า เป็นเรื่องดีนะฉันว่าที่เขากล้าไปหาเรื่องพี่จิ้งน่ะ”
เหล่าชาวเน็ตนั้นหาได้รู้ความจริงเบื้องหลังเรื่องนี้ไม่ พวกเขาเพียงคิดแต่จะให้มีนักศิลปะการต่อสู้ซักคนไปกระทืบปากคิตะมูระเท่านั้น
โดยบางคนยังหวังให้ซูจิ้งลงมือเองด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามถึงแม้จะการคุยกันในวงการแต่ก็มีเรื่องหลุดรอดไปยังไมโครบลอกของซูจิ้งจนได้
จนเริ่มมีคนถามเขาในไมโครบลอกว่าเขาในตอนนี้กำลังถูกท้าทายอยู่รึเปล่า พวกเขาต่างก็หวังให้ซูจิ้งไปสั่งสอนชาวญี่ปุ่นจอมโอหังคนนี้ซักหน่อย แต่ก็ยังมีบางส่วนที่กลัวว่าซูจิ้งจะพ่ายแพ้เหมือนกัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น