Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 776-791

 GGS:บทที่ 776 ปะทะ


 


“แกไม่รู้ว่าตัวเองแกร่งแค่ไหนเนี่ยนะ ฉันว่าแกอ่อนแอจนไม่รู้ว่าอ่อนแอแค่ไหนมากกว่านะ” ไป๋ฮิตูสบถออกมา


พอถึงตอนนี้ซูจิ้งขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป แน่นอนว่าเขาในตอนนี้สามารถเห็นสแตนด์ของไป๋ฮิตูอย่างถนัดตา และดูเหมือนว่าเป็นสแตนด์ประเภทโจมตีซะด้วย


ให้พูดตามจริงก็คือไป๋่ฮิตูบ้าบิ่นมาก ไม่เพียงจะใช้ฮอร์โมนเสริมร่างกายแล้วยังปลุกสแตนด์อีก นี่เรียกว่าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงอย่างแท้จริง


อย่างไรก็ตามยิ่งเขาเห็นว่าไป๋ฮิตูเป็นผู้ใช้สแตนด์เขายิ่งจะไม่ยอมปล่อยหมอนี่หนีรอดได้อย่างแน่นอน


 


ดวงตาของไป๋ฮิตีจ้องซูจิ้งเขม็ง ทันได้นั้นสแตนด์ที่อยู่ข้างหลังของเขาได้ยกปืนขึ้นมาแล้วพุ่งดาบปลายปืนแทงไปยังซูจิ้งในทันที


ด้วยความเร็วประดุจสายฟ้านั้นแทบจะบอกได้ว่าเกือบจะในทันทีจนเกิดแรงลมหมุนวนพุ่งตรงออกมาดีไม่ดีเร็วกว่ากระสุนปืนปกติซะอีก มันดูเหมือนจะรุนแรงยิ่งกว่ากระสุนปกติบนโลกหลายเท่า


 


ในมือของซูจิ้งในตอนนี้อยู่ๆก็ได้มีกระบี่ใหญ่ปรากฎขึ้นอยู่ในมือ เหมือนเสกมันออกมาจากอากาศ


เมื่อไป๋ฮิตูที่เห็นฉากนี้ถึงกับผงะเล็กน้อย ทันใดนั้นซูจิ้งเองก็ก็ได้สวนหอกลมที่เกิดจากดาบปลายปืนนั้นเพียงด้วยการวาดกระบี่ธรรมดาเท่านั้น


แต่เมื่อซูจิ้งวาดกระบี่ก็ได้เกิดรังสีกระบี่ปัดเป่าหอกลมนั้นให้หายไปแทบจะในทันที


เพียงการวาดกระบี่เพียงครั้งเดียวก็ทำให้หอกลมอันรุนแรงก็หายไปในพริบตา


ถ้าไม่ใช่เพราะว่ากระบี่ของจริงทำอะไรสแตนด์ไม่ได้ล่ะก็ ป่านนี้เขาจะเอากระบี่ไปจ่อคอหอยสแตนด์เรียบร้อยแล้ว


 


“แกเห็นร่างวิญญาณของฉันได้ แถมยังตอบโต้มันได้อีก เป็นไปไม่ได้ มันต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ”


ไป๋ฮิตูถึงกับนิ่งอิ้งไปพักนึง หลังจากนั้นก็การเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา เมื่อเขาตั้งสติได้


เขารีบใช้มือสั่งการสแตนด์ในทันที มันเหมือนเป็นการเพิ่มอัตราความเร็วของสแตนด์ในการแทงดาบปลายปืนไปยังซูจิ้ง จนแทบได้ว่าเป็นห่าฝนของหอกเลยก็ว่าได้


 


ท่าทางของซูจิ้งเองในตอนนี้ก็เหมือนมือกระบี่ที่เข้าใจวิถีแห่งกระบี่


เขาเผชิญหน้าห่าฝนหอกลมที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ไหวติง เมื่อปลายหอกลมเข้ามาเกือบถึงซูจิ้ง


เขาเริ่มขยับตัว หากมองใกล้ๆจะเหมือนกับเขาเบี่ยงตัวหลบเพียงเล็กน้อย


แต่หากมองจากระยะไกลจะเห็นว่าซูจิ้งพริ้วไหวประดุจดั่งสายลม


เขานั้นได้เข้าใจวิถีแห่งดาบซึ่งได้เรียนรู้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Era


ซึ่งเขาได้ฝึกฝนจากการตัดใบไม้ใบหญ้าและผัก


ตอนแรกเขาเองก็แค่จะเล่นฟันกระบี่ค่าเวลาเฉยๆ แล้วจินตนาการว่าตัวเองเป็นผู้นำของกลุ่มกระบี่เทพ


แต่กลายเป็นว่ายิ่งเล่นเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกเข้ามือเข้าท่าเข้าทางมากขึ้นทำให้เขาไม่กล้าใช้เล่นๆอีกต่อไปเพราะกลัวอานุภาพของท่วงท่า


เอาจริงๆนี่เป็นครั้งแรกเลยที่เข้าได้นำมาใช้ในการต่อสู้แบบนี้


 


“ตูม ตูม ตูม” เสียงลมอัดปะทะกันจนดังสนั่น ในตอนไป๋ฮิตูได้ถอยหลังกลับไปสามก้าวพร้อมทั้งกระอักเลือดออกมา


 


ตามความคิดของไป๋ฮิตูนั้นกระบี่จริงๆไม่สมควรจะทำอะไรร่างวิญญาณได้ ไป๋ฮิตูเองก็ถึงกับงงในทันทีที่เห็นว่าร่างวิญญาณของเขาได้รับบาดเจ็บและร่างกายของเขาเองก็บาดเจ็บเช่นกัน


เอาจริงๆเหตุการณ์เมื่อกี้ชุลมุนมากจนเขาไม่รู้เลยว่าร่างกายของเขาบาดเจ็บแล้วส่งผลกระทบต่อร่างวิญญาณหรือร่างวิญญาณของเขาบาดเจ็บจนทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บตาม


ต่อให้ซูจิ้งได้เรียนเพลงกระบี่มาจริงก็ถือว่าน่ากลัวสำหรับเขาอยู่ดี เพราะเพลงกระบี่ของซูจิ้งสามารถทำอันตรายต่อร่างวิญญาณของเขาได้


หากคนทั่วไปแค่เห็นการวาดกระบี่ของซูจิ้งก็แทบจะกลัวจนฉี่ราดทันที


เพราะการจะวาดกระบี่ได้นั้นจำเป็นต้องปล่อยรังสีแห่งการฆ่าออกมามหาศาล


นี่ขนาดไป๋ฮิตูในตอนนี้เหนือกว่าคนธรรมดาอย่างมากก็ยังต้องกลัวจนแทบจะฉี่ราด จะเรียกว่ากลัวจนตัวแข็งไปเลยก็ว่าได้


 


เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไป๋ฮิตูตอนนี้เขาไม่อยากจะยอมรับมันเลยแม้แต่น้อยทั้งๆทีตัวเองกระอักเลือดครั้งแล้วครั้งเล่า


ตอนนี้ใบหน้าของเขากลายเป็นสีแดงเข้ม แม้แต่สแตนด์เองก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเช่นกัน แดงจนเริ่มรู้สึกได้ถึงกลิ่นไหม้เลยก็ว่าได้


ทันได้นั้น ห่าพายุหอกลมก็ได้พุ่งเข้าใส่ซูจิ้งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม ความเร็วสูงจนเกิดเป็นกระแสลมร้อนและลุกเป็นไฟกลางอากาศ


 


“พอแล้วล่ะ ฉันไม่อยากจะเล่นกับนายแล้ว” มือซ้ายของซูจิ้งได้ยกสูงขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ปรากฏไฟออกมาบนฝ่ามือของเขา ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เปิดกระเป๋ามิติออกมา ทันใดนั้นไฟบนฝ่ามือข้างซ้ายก็ได้ลุกโชนจนกลายเป็นรูปร่างมังกรไฟขนาดใหญ่ และได้พุ่งเข้าใส่ไป๋ฮิตู


 


“บูมมมมมมมม” ไป๋ฮิตูไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น


 


มันเหมือนกับว่ามีปืนไฟมหากาฬยิงเขาในระยะเผาขน อกของเขาถูกโจมตีเข้าด้วยมังกรไฟตัวเขื่องจนทำให้ร่างกายของเขาลอยกระเด็นไปอัดเข้ากับกำแพงในทันที โชคดีที่ไม่มีคนอื่นอยู่ในห้องนั้น


ซึ่งแน่นอนว่าเป็นไปตามที่ซูจิ้งคาดการณ์ไว้ว่าไป๋ฮิตูจะไล่คนอื่นออกไปเพราะไม่อยากให้ใครเห็นรูปลักษณ์ของเขา


และดังที่เขาเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางปล่อยไป๋ฮิตูให้หนีไปได้เพียงแค่ซูจิ้งออกแรงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


“แกใช้ทักษะอะไรกันแน่ แล้วทำไมแกถึงมีมันได้” ไป๋ฮิตูในตอนนี้กระอักเลือดออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำ


ถึงแม้ว่าไฟนี้จะแทบทำอะไรสแตนด์ไม่ได้เลย แต่มันรุนแรงต่อร่างเนื้ออย่างแน่นอน และนั่นเองก็ได้ทำให้สแตนด์อ่อนแอลงด้วยเช่นกัน


ในตอนนี้ร่างกายของไป๋ฮิตูได้รับบาดเจ็บหนัก แต่กำลังภายในของเขาบาดเจ็บหนักยิ่งกว่า


ถึงแม้ไป๋ฮิตูจะน่าอัศจรรย์ขนาดไหนที่ถือครองพลังทั้งฮอร์โมนเสริมพลังกายและสแตนด์เอาไว้ได้ด้วยกัน แต่เมื่อเทียบกับความสามารถของซูจิ้งแล้วก็เทียบอะไรไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว


 


“เฮ้อออออ ฉันก็บอกไปแล้วนี่ว่าความสามารถของนาย แทบจะเดินไปได้ทั่วทุกย่อมหญ้า ก็แค่โชคร้ายนิดหน่อยแค่เดินมาเจอฉันแค่นั้นเอง” ซูจิ้งค่อยๆเดินตรงไปยังไป๋ฮิตูที่กำลังอยู่คากำแพงทีละก้าวทีละก้าว


“อ๊ากกกกก” ไป๋ฮิตูกู่ร้องออกมาด้วยน้ำเสียงอันน่าสะพรึงกลัว ร่างกายของเขาพุ่งไปยังประตูในขณะที่บังคับสแตนด์ของเขาให้พุ่งดาบปลายปืนไปยังซูจิ้ง


เขานั้นต้องการพุ่งทะลุประตูออกมานั่นเป็นทางรอดเดียวที่เขาพอจะนึกออกในตอนนี้เพื่อที่จะได้จับไอ้เด็กนั่นเป็นตัวประกัน ในเมื่อซูจิ้งมาที่นี่เพราะเด็กนั่นสมควรที่เด็กนั่นจะมีค่าพอจะจับเป็นตัวประกันได้


 


“นายเนี่ยน้า ไม่เข็ดไม่หลาบเลยจริงๆ” ซูจิ้งยิ้มเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ได้ยินของแหลมเล็กๆแหวกอากาศออกมาดัง “ฉึบ”


ไป๋ฮิตูไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นจากด้านหลัง เขารู้ตัวอีกทีตอนที่ล้มลงจนหน้ากระแทกพื้นดังปึ้กไปแล้ว จนเพิ่งรู้สึกเจ็บที่เข่า แขน และมือ


ตอนนี้สภาพของไป๋ฮิตูเหมือนหมาที่หมดเรี่ยวแรงจนลงไปนอนกองกับพื้น


เขาชำเลืองมองไปยังบริเวณที่รู้สึกเจ็บปวดก็เห็นเข็มสามเล่มแทงอยู่


แล้วทันใดนั้นมันก็ดีดตัวเองออกไปกลับไปยังที่ศีรษะของซูจิ้ง เมื่อเขาเห็นดังนั้นเขายิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเข้าไปใหญ่


“เอาหล่ะ ที่นี้เราลองมาว่ากันดูซิว่าทักษะของฉัน กับความสามารถของนาย ของใครน่าสนใจกว่ากัน”


ซูจิ้งเดินเข้าไปยังไป๋ฮิตูที่นอนกองอยู่กับพื้นอย่างช้าๆที่ทำได้เพียงมองซูจิ้งด้วยความโกรธแค้นเท่านั้น


เขาเองก็ได้ลองที่จะส่งร่างวิญญาณของเขาไปลอบโจมตีซูจิ้ง แต่ทันทีที่เขาเรียกร่างวิญญาณออกมามันก็เหมือนถูกตรึงเอาไว้ทำอะไรไม่ได้


สาเหตุนั่นก็เป็นเพราะสแตนด์นั้นก็คือร่างวิญญาณที่มีร่างเนื้อเป็นพื้นฐาน แต่ซูจิ้งนั้นมีพลังวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีความบริสุทธิ์กว่าจึงแน่นอนว่ากดข่มกันได้


เรื่องนี้ถ้าหากซูจิ้งต้องเจอคนระดับเดียวกันย่อมมองกันออก เหมือนกับที่คนที่มีสแตนด์รับรู้ถึงการมีอยู่ของคนที่มีสแตนด์ด้วยกัน แต่ไป๋ฮิตูนั้นอยู่คนละระดับกับซูจิ้งย่อมไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น


 


“แก แก… เป็นใครกันแน่” ไป๋ฮิตูนั้นมองซูจิ้งด้วยความหวาดกลัว


 


“เฮ้อออ นายไม่ต้องรู้หรอกว่าฉันเป็นคน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือเจ้าเศษเหล็กนั่นอยู่ไหน” ซูจิ้งถามออกมาอย่างขึงขัง


 


“ฉันบอกแกไปแกจะไว้ชีวิตฉันรึเปล่าหล่ะ” ไป๋ฮีตูนั้นไม่โง่พอที่จะเสียโอกาสรอดชีวิตนี้ไปได้ “แกพอฉันไปหาพ่อของฉันสิ แล้วแลกฉันกับเศษเหล็กนั่น เขาย่อมยินดีแลกอย่างแน่นอน”


 


“นายนี่น้า โกหกไม่เป็นเวล่ำเวลา โง่งมแท้ๆ ช่างมันเถอ ถือว่าฉันไม่ได้ถามไปละกัน”


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ใส่สแตนด์ของไป๋ฮิตูจนมันส่งเสียงกรีดร้องออกมาจากด้านหลัง


หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้ปล่อยกระแสจิตอัดเข้าไปยังสมองของไป๋ฮิตูแล้วทำการสะกดจิตเขาในทันที


 


ด้วยการที่สแตนด์ของไป๋ฮิตูอ่อนแอทำให้เขาถูกสะกดจิตจนสำเร็จได้ในทันที


ด้วยการที่การตื่นของสแตนด์ของไป๋ฮิตูไม่เหมือนกับการตื่นของสแตนด์ของหยางเฉียนรุยที่ร่างกายยังไม่สามารถรองรับการใช้สแตนด์หนักๆ


แต่ไป๋ฮิตูนั้นปรับสภาพร่างกายเรียบร้อยแล้วทำให้มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้ซูจิ้งใช้วิธีนี้ในการสะกดจิตได้


แต่ยังซะนี่ก็เป็นการสะกดจิตธรรมดาเท่านั้นไม่ใช่การสะกดจิตสมบูรณ์ นั่นก็เพราะไม่ง่ายเลยที่จะทำการสะกดจิตแบบสมบูรณ์กับคนที่มีพลังงานวิญญาณที่เสถียรแล้วแบบนี้


“บอกมาสิว่าชิ้นส่วนนั่นอยู่ไหน” ซูจิ้งถามออกมา


“มันอยู่ในสถาบัน…” ไป๋ฮิตูได้บอกความจริงออกมาแต่นั่นทำให้ซูจิ้งถึงกับทำตาเขม็ง ทำไมชื่อสถาบันวิจัยที่ไป๋ฮิตูบอกเขาช่างคุ้นหูเสียจริง เหมือนเคยไปที่นั่นมาก่อนด้วยซ้ำ



GGS:บทที่ 777 เยี่ยมเยียนบ้านเก่า


 


นอกห้อง หลิวเซียวฮุยตอนนี้อยากออกไปจากที่นี่เต็มแก่แล้ว แต่หลิวดาจูได้รั้งเขาไว้


ภายในห้องเองก็ได้มีเสียงการต่อสู้ดังสนั่นออกมา มีแม้กระทั่งแรงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นเหมือนกับจะทำให้ตึกโยกได้ด้วยซ้ำ พวกเขารู้สึกอึ้งกันไปหมด พวกเขารู้สึกว่าทั้งสองไม่ได้สู้กันเองแต่เหมือนทั้งสองกำลังโดนถล่มด้วยปืนใหญ่มากกว่า


ตอนนี้ลูกน้องของหลิวดาจูเองอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า


 


“ทำไมผมรู้สึกว่าพวกเขาสู้กันได้โหดกันจริงๆ พวกเราควรจะเข้าไปช่วยพี่ไป๋รึเปล่าครับ”


 


“แกงี่เง่ารึเปล่า ลูกพี่ไป๋เนี่ยนะต้องให้แกช่วย”


 


“แกก็เห็นไม่ใช่หรอว่าพี่ไป๋น่ากลัวขนาดไหน พี่ไป๋แข็งแกร่งขนาดที่ว่าสู้กับวัวกระทิงได้ด้วยมือเปล่าเลยนะ”


 


“จริงหรอ”


 


“จะว่าฉันหลอกก็ได้ แต่ฉันเห็นกับตาตัวเอง แถมเพิ่งจะสู้กับกระทิงไปเมื่อไม่กี่วันก่อนนี่เอง พวกเราได้ไปที่สนามสู้วัวกระทิง ลูกพี่ไป๋ต้องการวัดฝึมือตัวเองด้วยการสู้กับกระทิงที่นั่น


ตอนแรกพวกเราได้ยินถึงกับขนหัวลุกเลย พวกเรายังนึกไปเลยว่าพี่ไป๋ต้องเกิดเรื่องแน่ๆคราวนี้แล้วจะไปรายงานกับลูกพี่ใหญ่ยังไงดี แต่กลายเป็นว่าพอไปถึงลูกพี่ไป๋ฆ่าวัวกระทิงทิ้งเป็นว่าเล่นไปสองสามตัวด้วยมือเปล่า”


 


ชายวัยกลางคนตัวสูงจำนวนสี่คนได้เดินไปที่หน้าประตูห้องโดยลูกน้องของหลิวดาจูเปิดทางให้แต่โดยดี พวกเขาเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าประตูโดยไม่ได้พูดอะไรซักคำด้วยสีหน้าเรียบเฉย


ไม่ว่าข้างในจะมีเสียงดังเกิดขึ้นมากแค่ไหนก็ไม่ได้ทำให้หน้าของเขาเปลี่ยนสีแม้แต่น้อย


 


“อืมมมมม…. นี่ลูกพี่ไป๋ยังจัดการซูจิ้งไม่เสร็จอีกหรอ ถ้าซูจิ้งรอดไปได้ล่ะก็ ภายหลังจะต้องโดนซูจิ้งโกรธจนตามกลับมาล้างแค้นแน่ๆ”


หลิวดาจูยิ้มอย่างเลือดเย็นก่อนที่จะหันไปหาจูหยุนแล้วพูดออกมาว่า


“ตอนนี้ แกอยู่ฝั่งเดียวกับซูจิ้งและมีข้อมูลของพวกเรามากเกินไป ฉันจะบอกลูกพี่ไป๋เกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากจบเรื่องนี้แล้ว ดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแก”


ใบหน้าของจูหยุนซีดเผือดในทันที เอาจริงๆเขายังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับลูกพี่ไป๋เลยซักคำ


ปัญหาคือด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เขาตกอยู่ฝั่งซูจิ้งไปโดยปริยาย ถ้าหลิวดาจูใส่ไฟเรื่องนี้อีกล่ะก็ ลูกพี่ไป๋ต้องเล่นงานเขาอย่างไม่ต้องสงสัย


เขาต้องแอบออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด แต่หลิวดาจูเหมือนอ่านออกพาคนมาล้อมเขาไว้ไม่ให้ออกไปไหนได้ง่ายๆ


“แอ๊ดดดด……”


ประตูห้องได้เปิดออก หลิวดาจูได้รีบหันไปด้วยสีหน้าปลื้มปลื่ม แต่ทันใดนั้นเมื่อเขาได้เห็นว่าใครออกมาจากห้องหน้าของเขาเปลี่ยนสีจนยืนนิ่งไปในทันที แม้แต่เหล่าลูกน้องของเขาเองก็ยืนอึ้งไม่ต่างกัน


นั่นก็เพราะว่าภาพที่เห็นต่างกับสิ่งที่พวกเขานึกเอาไว้ ภาพที่ปรากฎต่อหน้าเขาก็คืนซูจิ้งกำลังลากไป๋ฮิตูออกมาเหมือนหมาตายซาก


“นายน้อยยยยย” ชายวัยกลางคนตะโกนสี่คนตะโกนออกมาดังลั่น จากใบหน้าที่นิ่งเฉยเปลี่ยนเป็นโกรธจัดพร้อมทำการพุ่งไปยังซูจิ้งในทันที สองคนได้เข้าไปปะทะกับซูจิ้งและอีกสองคนพยายามเข้าไปช่วยเหลือโดยเตรียมใช้ความสามารถของพวกเขาในการรักษาในทันที ความเร็วของพวกเขาเองก็เร็วเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะมองตามได้ทัน


“ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก ปึ้ก” ร่างกายของซูจิ้งเคลื่อนไหวราวกับสายลมแล้วปล่อยหมัดไปกระแทกทั้งสี่คนราวกับสายฟ้าฟาดจนทั้งสี่ลงไปหมอบกระแตหน้าจูบพื้นในทันที


หลิวดาจูและคนอื่นๆเองเมื่อเห็นภาพที่เกิดขึ้นก็ได้แต่ทำหน้าโง่งม ทักษะอะไรกัน ทำไมความเร็วของเขาน่ากลัวอะไรขนาดนี้ แต่ซูจิ้งกับเหนือกว่าจนเห็นได้เลยว่าสี่คนนี้เทียบไม่ติด


ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายสำหรับทุกคนที่อยู่ที่นี่จริงๆ


ลูกพี่ไป๋แพ้ต่อซูจิ้งอย่างราบคาบ แม้แต่สุดยอดผู้ติดตามของลูกพี่ไป๋ก็แทบจะตายในทันทีที่เจอหน้าซูจิ้ง ซูจิ้งเป็นใครกันแน่


 


หลิวดาจูและคนอื่นในตอนนี้รู้สึกช็อคจนชาไปทั้งตัวก็ว่าได้ ใจจริงพวกเขาก็อยากจะพุ่งเข้าไปอัดซูจิ้งตามทั้งสี่คนนั้น แต่ความกลัวได้แล่นเข้าสู่จิตใจพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


“หลิวเซียวฮุย ทำไมนานยังไม่กลับบ้านอีกล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมาในขณะที่จ้องมองเซียวฮุยด้วยความสงสัย


 


“พ่อของผมไม่ยอมให้กลับครับ” เซียวฮุยตอบกลับมาด้วยความเคารพเลื่อมใสในทันที


 


ซูจิ้งค่อยๆหันไปจ้องที่หลิวดาจูอย่างช้าๆจนทำให้หลิวดาจูกลัวจนตัวสั่น เขารีบปล่อยมือออกจากมือของหลิวเซียวฮุยในทันที ใบหน้าของเขาซีดขาวและแสดงความกลัวออกมา


 


“หลิวดาจู ฉันจะให้โอกาสแกอีกครั้ง อย่ากลับไปยุ่มย่ามกับครูจางและลูกของเธออีกในภายภาคหน้า


หลิวเซียวฮุยเองมีสิทธิ์ที่จะเลือกว่าเขาจะอยู่กับใคร


ถ้าแกยังก่อปัญหาให้สองคนนี้อีก หรือแม้แต่มีเรื่องที่ต้องให้สองคนนี้เดือดร้อนแม้แต่น้อย ฉันสัญญาเลยว่าแกจะอยากตายมากกว่าอยู่แน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเลือดเย็น


 


“คระ ครับ” หลิวดาจูที่เสียความตั้งใจไปแล้วในทันทีขานรับออกมา เขามีโอกาสจะตอบปฏิเสธด้วยอย่างงั้นหรอ ขนาดลูกพี่ไป๋ยังกลายเป็นหมาตายซากไปแล้ว นับประสาอะไรกับตัวเขากัน


 


“เซียวฮุย นายควรรีบออกไปจากที่นี่และอยู่กลับมายุ่มย่ามกับสถาที่แบบนี้อีกในอนาคต อ้อ รีบโทรกับไปหาแม่นายด้วย ตอนนี้น่าจะยังรอฟังข่าวอยู่ที่สถานีตำรวจนะ” ซูจิ้งพูดออกมา


“ได้ครับ” หลิวเซียวฮุยในตอนนี้ก็กลัวซูจิ้งไม่ใช่น้อย เขารีบออกมาแล้วขึ้นแท๊กซี่ออกไปในทันที


“แล้วก็” ซูจิ้งหันไปหาจูหยุนแล้วพูดว่า “จูหยุนคนนี้เป็นเพื่อนเก่าฉันเอง พวกนายเองก็ควรทำตัวดีๆกับเขาหน่อยล่ะนะ”


เหล่าลูกน้องของหลิวดาจูที่รุมล้อมจูหยุนในตอนนี้ได้ถอยกรูดกันออกมาอย่างรวดเร็ว


จูหยุนเองก็เหมือนอยากจะพูดอะไรกับซูจิ้งเหมือนกันแต่ก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา


เหตุผลที่เขาไม่ยอมทำการทำงานแต่เลือกที่จะมาอยู่กับนักเลงแบบนี้ก็เพียงเพราะว่าเขารู้สึกว่าถ้าเป็นหัวหน้าของกลุ่มนักเลงมันเท่ดีเท่านั้น


แต่เมื่อเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าที่ซูจิ้งกำลังลากคอไป๋ฮิตูอยู่นั้น เขารู้สึกได้เลยว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้ไม่ได้มีค่าอะไรเลย


 


ซูจิ้งไม่ได้สนใจเหล่านักเลงที่ออกันที่หน้าห้องอีกต่อไป เขาเดินลากไป๋ฮิตูออกมาข้างนอก เปิดประตูรถ แล้วโยนไป๋ฮิตูเข้าไป หลังจากนั้นก็ขับรถออกไปในทันที


หลิวดาจูและคนอื่นๆเองเมื่อเห็นว่าซูจิ้งออกไปจริงๆแล้วถึงรู้สึกเริ่มหายใจหายคอได้ พวกเขาก็มองหน้ากันแล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือโทรหาไป๋จิ(ไป๋เก้อ)ในทันทีเพื่อรีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


 


ในรถสปอร์ตคันหรู ไป๋ฮิตูที่สลบเหมือดเริ่มรู้สึกตัวขึ้นมา เขารู้สึกว่าทั้งมือของเขานั้นอ่อนแรงไปหมด


นั่นก็เพราะว่าซูจิ้งได้ใช้เข็มทองที่ทำขากขนลิงทิ่มไปบังไป๋ฮิตู ถามยังโดนซูจิ้งกระหน่ำแบบไม่ยั้งทำให้เขาขยับไม่ได้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว


อย่างไรก็ตามซูจิ้งแม้รู้ว่าไป๋ฮิตูจะเริ่มได้สติแต่ก็ไม่มีอารมณ์จะสนใจเรื่องสภาพของร่างกายของไป๋ฮิตู เขายังสะกดจิตไป๋ฮิตูให้บอกทางด้วยซ้ำ


 


องค์กรที่ไป๋ฮิตูสังกัดอยู่นั้นค่อนที่จะระวังตัวอย่างมาก ขนาดไป๋ฮิตูเองที่รู้ข้อมูลของเศษธนูก็ยังไม่แน่ใจว่าในสถาบันวิจัยแห่งนั้นมีอะไรอยู่บ้าง


มันเหมือนกับว่าเขาเองนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลยยามที่เข้าไปมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ออกมาแล้วเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็น่าสนใจทีเดียว


 


ตอนนี้ซูจิ้งขับรถมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้ว อย่างน้อยก็ชั่วโมงนึงได้


หลังจากเริ่มขับรถเข้าสู่ถนนสายเล็กๆเส้นหนึ่ง ซูจิ้งขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากขับรถต่อมาอีกชั่วโมงหนึ่ง พวกเขาก็ถึงที่หมายในทันที


ซูจิ้งจ้องมองไปอย่างค้นเคยไปยังป้ายและตึกที่อยู่ตรงหน้าของเขา ป้ายเขียนไว้ว่า “สถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์เมืองจงหยุน”


ถึงแม้ร่างกายของเขาจะพร้อมต่อการปะทะเรียบแล้วแต่อารมณ์ของซูจิ้งในตอนนี้กลับคุกรุ่นอยู่ข้างใน


 


ซูจิ้งเคยมาที่นี่เพราะว่าหลิวฉิงเคยแนะนำเขา เขามาในตอนนั้นเพื่อมาแข่งล่าหมูป่า


หลังจากชนะแล้วเขายังมาที่นี่เพื่อที่จะมาจัดการเรื่องเสือโคร่งจีนใต้


ตอนนั้นถึงแม้ว่าภายนอกสถาบันแห่งนี้จะดูโทรมก็ตามแต่ภายในกลับดูหรูหรา พร้อมทั้งมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัย เขาเองก็ได้กล่าวชมเชยตงเซียวคนที่เป็นผู้อำนวยการไปไม่น้อยเลย


ไม่คิดมาก่อนเลยว่าสถานที่แห่งนี้จะส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องฮอร์โมนเสริมร่างกายและเศษลูกธนูไปได้


 


“นายแน่ใจนะว่าเป็นที่นี่” ซูจิ้งถามย้ำไปอีกครั้ง


 


“มันควรเป็นที่นี่นะ หลายๆคนที่มาที่นี่เองก็ได้ถูกนำมาในสภาพมึนๆงงๆแล้วจากไป


ตอนที่ฉันมาที่นี่เองนั้นเอาจริงๆก็จำไม่ได้หรอกว่าเป็นที่ไหน แต่ด้วยการที่พ่อของฉันเป็นคนหนึ่งในองค์กร เขาเลยเผลอหลุดปากออกมา ก็น่าจะเป็นที่นี่แหล่ะ” ไป๋ฮิตูตอบกลับมา


 


“ที่นี่มันสถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์นี่ ไม่ใช่ว่าดูแลแต่สัตว์หรอกหรอ หรือว่าเลิกแล้ว”


 


“แค่ฉากหน้าน่ะ และตอนนี้ก็ยังเป็นสถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์อยู่ แต่ที่นี่ก็ยังมีเบื้องหลังอยู่ ถ้าจะให้ขยายความละก็เบื้องหลังที่นี่เป็นสถานที่ทำการวิจัยเครื่องมือและค้นหาบุคลากรผู้มีความสามารถ ข้างล่างนี่เองก็ยังมีฐานลับอยู่ ที่นั่นเองคือพื้นที่วิจัยที่แท้จริง”


 


“แล้วตงเซียวมีหน้าที่อะไรที่นี่กัน”


 


“เรื่องนี้ฉันไม่แน่ใจนะ ถ้าฉันเข้าใจถูกต้องล่ะก็เขาสมควรจะเป็นผู้นำขององค์กร”


 


ซูจิ้งได้ถอนหายใจออกมายาวๆ ได้แต่โทษตัวเองว่าในตอนนั้นเขายังมีพลังจิตไม่เข้มแข็งพอจึงไม่สามารถค้นพบเรื่องนี้ได้เร็วกว่านี้ ใครจะไปคิดว่าสถานพักพิงและคุ้มครองสัตว์จะมีเบื้องหลังแบบนี้กัน


ซูจิ้งได้โยนไป๋ฮิตูเข้าถุงกักอสูร หลังจากนั้นเปิดประตูรถแล้วเดินออกมา เขาปลดปล่อยพลังวิญญาณเพื่อตรวจสอบพื้นที่โดยรอบโดยที่มีตัวเขาเป็นศูนย์กลาง หลังจากนั้นเขาได้รีบตรงเข้าไปยังประตูของสถานพักพิงฯในทันที



GGS:บทที่ 778 เข้าไปตรงๆ


 


ในห้องกว้างที่หนึ่งที่มีแสงส่องเจิดจ้า ชายวัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาคนนึงหนึ่งนอนแผ่หลายอยู่กับพื้นพลางหายใจรวยรินเหมือนใกล้จะตาย มือหมอจำนวนหนึ่งรีบเข้ามาตรวจอาการของเขา ตงเซียวและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่หน้าตาออกจีนแท้ๆกำลังยืนมองอย่างสบายอารมณ์


 


ตงเซียวยิ้มออกมาพลางพูดว่า “ตาแก่ไป๋ ยอมฟังหมอเถอะน่า ไปนอนพักผ่อนอยู่เฉยๆเถอะ”


 


ชายวัยกลางคนที่สภาพอ่อนแอคนนั้นพูดออกมาอย่างลนลานว่า “ลูกฉันถูกจับไปนะ จะให้ฉันพักเฉยๆได้ยังไงกัน อย่างน้อยก็ให้ลองหาหน่อยก็ยังดีว่าลูกชายฉันกับไอ้เวรตไลซูจิ้งนั่นไปอยู่ที่ไหนแล้ว”


ตงเซียวได้พูดต่อว่า “เรื่องนั้นฉันจัดการแล้วน่า ฉันให้กำลังทั้งหมดในเมืองจงหยุนค้นหาแถมยังให้เซียวฉือออกไปช่วยด้วย


นายก็รู้ความสามรถของหมอนั่นดีนี่ ฉันว่าอีกไม่นานเราก็เจอตัวลูกชายนายแล้ว และซูจิ้งก็ยังไม่ควรจะทำอะไรฮิตูด้วยเพราะเขาน่าจะมีเป้าหมายอื่น นายอย่ากังวลไปเลยน่า”


 


ชายวัยกลางคนที่สภาพอ่อนแรงได้พูดตอบกลับมาว่า “ไม่ว่าจะใช้เวลานานหรือไม่ก็ตาม เมื่อฉันเจอฮิตูแล้วจะฉีกไอ้เวรตะไลนั่นเป็นชิ้นๆ ฮิตูแข็งแกร่งขนาดนั้นยังโดนเล่นงานได้ ซูจิ้งเป็นใครกันแน่”


ตงเซียว และชายวัยกลางคน พวกเขาในตอนแรกที่ได้ยินรายงานเรื่องนี้จากโทรศัพท์ก็แทบไม่เชื่อหูตัวเองเหมือนกัน


ตงเซียวหัวเราะออกมาและพูดว่า “ตอนที่ฉันเจอซูจิ้งตอนนั้นฉันก็คิดว่าหมอนั่นพอใช้ได้และเคยชวนเขามาร่วมกับพวกเราแล้ว


อย่างไรก็ตามระหว่างที่กำลังคุยกันฉันก็รู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนที่จะยอมละทิ้งคนอื่นไว้ข้างหลัง


แถมยังมีตระกูลใหญ่อยู่เบื้องหลังเขาซะอีก ฉันก็เลยถอดใจเรื่องนั้นไป


ตอนนี้ฉันคงต้องมองเขาใหม่ซะแล้ว”


 


“ฉันเองก็ได้ยินเรื่องของเขามาเหมือนกันนะ” ชายหน้าปรุได้พูดออกมาต่อว่า


“ดูเหมือนว่าเขานั้นได้ค้นพบโอกาสทางธุรกิจหลายๆอย่างและมีความลับมากมายอยู่กับตัว ตอนที่เซียวฉือเจอเขา ฉันจะออกไปเจอเขาด้วยตัวเอง”


 


ตอนนั้นโทรศัพท์ตงเซียวได้ดังขึ้น พอมองแล้วเห็นว่าเป็นเบอร์ใครก็พูดออกไปว่า “เป็นไงบ้างเซียวฉือ เจออะไรมั่งรึเปล่า”


 


เสียงวัยรุ่นได้ตอบกลับมาผ่านโทรศัพท์ว่า “ผมมาถึงที่ผับแล้วล่ะ ดูจากสถานการณ์แล้วมีร่องรอยการต่อสู้ เป็นฮิตูที่ใช้ความสามารของเขาอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าจะเอาไม่อยู่จริงๆ ศัตรูนี่ถือได้ว่าไม่ธรรมดาเลย สุดท้ายซูจิ้งได้พาฮิตูขึ้นรถออกไป ผมดูจากกล้องวงจรปิดแล้วทั้งของที่นี่ ถนนทางหลวง และป้อมทางด่วน จากการคาดคะเนคิดว่าน่าจะกำลังตรงไปที่นั่น”


 


“ว่าไงนะ” ตงเซียวสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบเปิดจอมอนิเตอร์ดูสถานการณ์ภายนอกในทันที


เมื่อเห็นดังนั้นชายวัยกลางคนที่สภาพอ่อนแอและชายหน้าปรุได้เปิดจอมอนิเตอร์ดูเช่นกัน


ทันทีที่พวกเขาเลื่อนไปดูหน้าจอที่แสดงภาพของบันไดพวกเขาถึงกับตกใจจนหน้ามืดกันเลยทีเดียว


และทันใดนั้นประตูห้องก็เกิดเสียงดังสนั่น บานประตูกระเด็นเข้ามา พร้อมทั้งซูจิ้งที่เดินเข้ามาช้าๆ


 


ตงเซียว ชายหน้าปรุ และชายร่างกายอ่อนแรง ต่างก็หน้าเปลี่ยนสีในทันที พวกเขาวางกองกำลังที่ได้รับการฉีดฮอร์โมนเสริมร่างกายไว้ที่บันได


แต่กลายเป็นว่าพวกนั้นหยุดซูจิ้งไม่ได้เลยซักนิด ทำไม่ได้แม้แต่ไปกดสัญญาณเตือนภัยด้วยซ้ำ ไม่สิพวกเขายังไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้ด้วยซ้ำ นี่ซูจิ้งก้าวล้ำพวกเขาไปมากขนาดไหนกัน


ฉากหลังของซูจิ้งเป็นสิ่งที่ยืนยันความสามารถของซูจิ้งได้อย่างดีเพราะเป็นซากของคนที่เขาให้เฝ้าบันไดเอาไว้นอนบาดเจ็บหนักจนลุกไม่ขึ้นอยู่เต็มไปหมด บางคนก็สลบเหมือดไปเลย


นอกจากนั้นทั้งกล้องวงจรปิดและสัญญาณเตือนภัยทั้งหมด เหมือนจะถูกเปิดหมดแล้วแต่พังจนไม่เหลือเค้าเดิมเลยซักอัน


 


“เซียวฉือกลับมาเดี๋ยวนี้ ใช้ร่างวิญญาณนะ” ตงเซียวยิ้มออกมาขณะที่จ้องมองไปยังโทรศัพท์


 


“ได้” เขานั้นวางโทรศัพท์ไว้ข้างๆโดยยังไม่ได้วางสายแต่อย่างใด


ซักพัก ใต้เท้าเขาก็การเคลื่อนไหวบางอย่างมันเหมือนกับว่าเงาของเขาขยับได้แต่มีรูปร่างที่ไม่เหมือนเขา


เงานั้นมีสองมือ สองเท้า และหนึ่งหาง ปากของมันเรียวแหลมและลักษณะดูเหมือนสัตว์ประหลาด


 


ซูจิ้งจ้องมองไปรอบๆอย่างช้าๆ และให้ความสนใจไปที่ตงเซียว ชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนแรง และชายหน้าปรุ รวมถึงสแตนด์ที่อยู่ข้างหลังพวกเขา


“ซูจิ้ง ลูกชายของฉันอยู่ที่ไหน” ชายท่าทางอ่อนแรงถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดุร้าย ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอดไอออกมาไม่ได้


“อย่ากังวลไปน่า เขายังไม่ตายหรอก” ซูจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


เขาหันหน้าไปทางตงเซียวและเดินเข้าไปหาพร้อมพูดว่า “คุณดง ไม่ได้พบกันนานเลยนะครับ ตอนแรกผมก็นึกว่าพวกคุณศึกษาเฉพาะสัตว์หายากอย่างเดียวซะอีก ไม่คิดเลยว่าคุณจะศึกษาของแบบนี้ด้วย


ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดนี่คุณคงเอาเรื่องการวิจัยสัตว์หายากมาบังหน้าเอาไว้ไม่ให้จับได้ซินะ”


 


“อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลยครับคุณซู ถึงจะบอกว่าสถานพักพิงฯสัตว์แห่งนี้จะเป็นเพียงฉากบังหน้า แต่ผมก็รักสัตว์พวกนั้นจริงๆ


เพราะฉะนั้นเรื่องสัตว์พวกนั้นคุณไม่ต้องกงวลเลยครับ ผมไม่เคยทำอันตรายพวกมันเลยซักครั้งเดียว” ตงเซียวยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับไป


 


“นั่นดีมากเลยครับ แต่ว่าถ้าเทียบกันระหว่างข้างบนนั่นกับข้างล่างนี่ดูๆไปแล้วที่นี่เหมาะกับการเป็นสถาบันวิจัยมากกว่าซะอีก”


ซูจิ้งพูดออกไปในขณะเดียวกันก็ปล่อยกระแสจิตแผ่ออกไปสำรวจโดยรอบทำให้เขารับรู้ได้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือที่นี่แทบจะครบรอบด้าน


มีแม้แต่เครื่องวิจัยยาล้ำสมัยและอุปกรณ์วิจัยด้านชีววิทยา ตลอดจนนักวิจัยที่ดูเป็นระดับสูงอยู่หลายคน


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงวิจัยฮอร์โมนได้จนแตกฉานและหลบหลีกการตรวจสอบตำรวจได้นานขนาดนี้


นอกจากจะซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนแล้วแม้แต่อุปกรณ์พวกนี้เองต่อให้ตำรวจเข้ามาเห็นเองกับตาก็ต้องคิดว่าเอาไว้ใช้วิจัยยาที่ใช้กับสัตว์อย่างแน่นอน


 


“ผมเองก็ประหลาดใจไม่น้อยเลยนะครับ ไม่คิดว่าจะได้พบกับคุณซูอีก ถึงจะไม่ใช่แบบที่ผมหวังไว้ก็ตาม คุณทำให้ผมประหลาดใจจริงๆนะ


อย่างไรก็ตามทางผมเองยังไม่รู้เลยว่าพวกเรานั้นมีเรื่องขัดแย้งอะไรกัน แล้วเหตุผลที่เราต้องสู้กันคืออะไรกันแน่


ถ้า ถ้าเป็นไปได้หากคุณซูปล่อยตัวฮิตูไปซะ แล้วละทิ้งเรื่องบาดหมางทั้งหมดและยอมร่วมกับพวกเราล่ะก็


ไม่สิ ต้องบอกว่ามาร่วมกันบริหารที่นี่ล่ะก็ ไม่ว่าศัตรูหน้าไหนในโลกก็ตาม เกือบทั้งโลกจะต้องตกเป็นของพวกเราอย่างไม่ต้องสงสัยครับ” ตงเซียวกล่าวความรู้สึกของเขาออกมาอย่างหมดจดด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


“เอาจริงๆคือเหตุผลที่ผมมาที่นี่นั้นไม่ใช่เรื่องความขัดแย้งใดๆทั้งสิ้นหรอก เพียงแค่มาตามหาของที่หายไปพร้อมทั้งเก็บกวาดเศษซากที่เกิดจากผลของๆชิ้นนั้นที่เกิดจากการไม่ระวังของตัวผมเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาพลางยิ้มตอบ


 


“ผมก็ยังไม่รู้นะว่าคุณซูพูดถึงเรื่องอะไร แต่ฟังดูเหมือนว่าคุณซูจะไม่อยากร่วมงานกับพวกผมซินะ” ตงเซียวพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ถูกต้องแล้วหล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับช้าๆ


 


“ช่างหน้าเสียดายจริงๆ” ตงเซียวพูดออกมาพร้อมแสดงท่าทางเสียดายออกมาอย่างจริงจัง


 


ทันใดนั้นอยู่ๆก็ได้มีเงาสัตว์ประหลาดโผล่มาจากไหนไม่รู้ปรากฎอยู่ข้างๆซูจิ้ง และยิงบางอย่างมาที่ซูจิ้งราวกับสายฟ้าฟาด ซูจิ้งเองก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาได้ก้าวหลบฉากออกมาเล็กน้อยจนหลบได้ เจ้าเงาสัตว์ประหลาดเองก็ได้หายตัวไปและไปปรากฎตัวที่อื่นแทบจะในทัน


 


“พลังไฟฟ้างั้นรึ” ซูจิ้งหนังตากระตุกเล็กน้อย


 


“ช่างเป็นปฏิกริยาโต้ตอบที่รวดเร็วจริงๆ แต่ยังไงซะก็คงหลบได้อีกไม่นานนักหรอก”


ซูจิ้งได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากเต้าเสียบปลั๊กไฟ


ไม่นานนักเงาสัตว์ประหลาดนั่นก็ได้ออกมาอีกครั้งพร้อมทั้งวิ่งวนรอบซูจิ้ง


มันดูรุนแรงและเจิดจ้ามากจากทำให้มองไม่เห็นเงาซูจิ้งเลยด้วยซ้ำจนเหมือนกับว่ารอบซูจิ้งเป็นวงกลมกระแสไฟฟ้าไฟแรงสูง


คนที่อยู่รอบๆ เห็นภาพดังกล่าวถึงกับทำหน้ามึนและไม่สามารถมองเห็นเงานนั่นได้เลย ด้วยความเร็วขนาดนี้แม้แต่ซูจิ้งก็ยังต้องยอมแพ้แน่นอน


 


เงานั่นได้มองหาจุดบอดของซูจิ้งและได้ยิงสายฟ้าใส่จากข้างหลัง คราวนี้ดูเหมือนว่าซูจิ้งจะไม่ทันรู้ตัว


เขาไม่ขยับแม้แต่น้อย แน่นอนว่าค้วยความเร็วของกระแสไฟฟ้าจะมีใครหลบได้กัน


ในตอนนั้นชายหน้าปรุและชายท่าทางอ่อนแรงก็ได้เผยรอยยิ้มออกมาบ่งบอกว่ายินดีกับชัยชนะที่ได้รับอย่างแน่นอนแล้ว


 


หลังจากที่เงาประหลาดนั่นได้ช็อตซูจิ้งจากด้านหลังโดยไม่ทั้นตั้งตัว เขาได้ร่วงลงไปจนร่างกระแทกพื้นอย่างรุนแรง จนกลายเห็นหลุมขนาดใหญ่ที่เป็นรูปร่างของมนุษย์


ซูจิ้งในตอนนี้เองก็พยายามจะลุกขึ้นเหมือนกันแต่ร่างกายของเขารู้สึกหนักอึ้งประหนึ่งดังโดนกดทับโดยภูเขาทั้งลูก หนักชนิดที่ว่าขยับไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว



GGS:บทที่ 779 ผลิกผัน


 


“อา….” เขารู้สึกเหมือนว่ามีภูเขาลูกมหึมาทับหลังเขาอยู่ แต่พอเขาชำเลืองมองไปข้างหลักก็ไม่เห็นอะไรอยู่ข้างหลังเขา


 


เมื่อเห็นฉากนี้ ชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนแรง และชายหน้าปรุเองก็เปลี่ยนสีหน้าไป


ทันใดนั้นก็ได้มีเงามนุษย์ออกมาจากข้างหลังชายทั้งสอง เงาทั้งสองได้หยิบคันธนูขึ้นมาและทำการยิงธนูเข้าใส่ซูจิ้งที่เร็วยิ่งกว่าลูกกระสุนปืน


มันเหมือนกับว่าแรงต้านทางอากาศไม่มีผลกับลูกธนูนั่นแม้แต่น้อยและลูกธนูทั้งสองได้พุ่งตรงไปยังซูจิ้งอย่างรวดเร็ว


 


อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างทำให้ลูกธนูบินวนไปรอบๆซูจิ้งแทนที่จะพุ่งเข้าใส่โดยตรง


ชายหน้าปรุเองก็ได้หัวเราะเล็กน้อยก่อนที่จะขยับมือขวา


ทันใดนั้นลูกธนูก็ได้เปลี่ยนทิศทางอีกครั้งแล้วพุ่งทิ่มแทงไปยังหลังของซูจิ้งอย่างเต็มแรง


 


“ห้ะ” ซูจิ้งประหลาดใจเล็กน้อยก่อนที่จะก่อรูปพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาในทันทีทำให้ในขณะที่ลูกธนูกำลังจะถึงตัวเขาเปลี่ยนทิศทางอีกครั้งและตรงไปยังเงาสัตว์ประหลาดนั่น


 


ชายหน้าปรุเองก็ถึงกับหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ลูกธนูอีกลูกหนึ่งได้พยายามลองพุ่งไปโจมตีซูจิ้งเช่นกัน


อย่างไรก็ตามในตอนนั้นเขาได้ยินเสียงบางอย่างเป็นเสียงของแหลมเล็กส่งเสียงแหวกอากาศ


ทันใดนั้นเขาก็เริ่มเจ็บปวดที่มือและเท้า ก่อนที่จะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็ได้ทรุดจนเข่ากระแทกพื้นพร้อมแขนที่อ่อนแรงและเงาของเขาเองก็มีท่าทีไม่ต่างกันทั้งยังร้องโอดครวญจนไม่สามารถยิงลูกธนูได้อีกต่อไป


 


ยังเหลือเงาอีกตนหนึ่ง เงานั้นยังคงพยายามยิงธนูไปซูจิ้งอย่างไม่ลดละ


ยังไม่ทันไรชายร่างอ่อนแรงก็ได้ยินเสียงของแหลมแหวกอากาศเช่นกันพร้อมทั้งความรู้สึกเจ็บปวดและทรุดลงไปแบบเดียวกับชายหน้าปรุ แน่นอนว่ารวมถึงเงาของเขาที่ทำอะไรไม่ได้แล้วในตอนนี้


ซูจิ้งปลดปล่อยพลังจิตออกมาแล้วจับเงาสัตว์ประหลาดนั่นเอาไว้ เขาลุกขึ้นยืนพร้อมเดินไปทางตงเซียวอย่างช้าๆ ทีละก้าวๆ


ในขณะนั้นเองทั้งชายหน้าปรุ ชายท่าทางอ่อนแรง และตงเซียว ต่างก็ทำหน้าที่แสดงถึงความตกใจออกมาอย่างสุดขีด เหมือนพวกเขาล้มเลิกความคิดที่จะขัดขืนไปแล้ว


พลังของซูจิ้งในตอนนี้เหนือกว่าพวกเขาเกินกว่าจะจินตนาการได้ แม้แต่เหล่าหมอ พยาบาล และนักวิจัยต่างก็หลบอยู่ใต้โต๊ะเพื่อหลบให้พ้นสายตาซูจิ้ง


 


ชายท่าทางอ่อนแรงที่กำลังเห็นซูจิ้งใกล้เข้ามานั้น เขากัดฟันและตะโกนออกไปว่า “ไป ตาย ซะ”


เงาของเขาก็ได้พุ่งไปหาซูจิ้งทั้งในสภาพนั้นและไปอยู่เหนือหัวพร้อมยื่นมือไปบนหัวทั้งสองข้าง


ทันใดนั้นก็ได้ปรากฎเตียงออกมาจากความว่างเปล่าแล้วฟาดไปที่ซูจิ้งอย่างเต็มแรง


อย่างไรก็ตามดูเหมือนกับว่ามีแรงอะไรบางอย่างอยู่ อย่าว่าแต่เตียงจะไม่โดนตัวซูจิ้งเลยซักนิด แม้แต่เงานั่นเองก็โดนกดลงพื้นด้วยแรงที่มองไม่เห็น


 


ซูจิ้งจ้องไปยังชายท่าทางอ่อนแรงคนนั้น เขาได้ปลดปล่อยกระแสพลังจิตถาโถมไปยังสมองเพื่อสะกดจิตในทันทีจนทำให้ชายคนนั้นตาเหลือกและแน่นิ่งไป


ด้วยการที่สภาพร่างกายของเขาอ่อนแอ แถมสแตนด์ยังบาดเจ็บอีก ซูจิ้งแทบไม่ต้องเสียเวลาแม้แต่น้อย


 


ซูจิ้งยังคงเดินต่อไปหาตงเซียวพร้อมถามว่า “ดูเหมือนว่านายจะไม่มีความสามารถอะไรนะ”


 


ตาของตงเซียวลนลานทันทีเมื่อได้ยินพร้อมถามกลับไปว่า “แกเป็นใครกันแน่”


 


ซูจิ้งยิ้มก่อนจะพูดออกมาว่า “ตอบคำถามมาก่อนแล้วกัน ก่อนหน้านี้ในเหตุการณ์ที่แล็บวิจัยของลู่ยิหมิงถูกขโมยงานวิจัย เหตุการณ์กองโจรเกล็ดงู และก็การตายของไคจิ้ง และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเสริมร่างกายนี่ทุกอย่างมีนายอยู่เบื้องหลังงั้นรึ”


 


ตงเซียวยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับพร้อมตอบว่า “ใช่แล้ว”


ซูจิ้งที่ปล่อยพลังจิตของเขาออกมาโดยรอบอยู่แล้วได้ตรวจจับออร่าของตงเซียวก็พบว่าเขาไม่ได้โกหก ตงเซียวสมควรรู้สถานการณ์ที่ประสบในตอนนี้ว่าไม่ควรพูดโกหกอะไรทั้งสิ้นหรือก่อเรื่องใดๆทั้งสิ้น ไม่เช่นนั้นเขาตายในทันทีแน่นอน


 


ซูจิ้งยิ้มพึงพอใจกับคำตอบก่อนพูดต่อว่า “ดีมาก นี่ช่วยให้ฉันกำจัดปัญหาไปหลายอย่างเลย”


 


ในขณะเดียวกันในห้องวิจัยที่อยู่ข้างๆ ขวดแก้วขวดหนึ่งก็ได้ลอยทะลุออกไปทางประตูและได้มุ่งมาหาที่ซูจิ้ง เมื่อเขามองไปที่มันก็รู้ได้ทันทีว่ามันเป็นเศษธนูอย่างแน่นอน เขานำเศษลูกธนูออกมาจากขวดแก้วแล้วหยิบมันใส่กระเป๋า ซึ่งแน่นอนว่ามันคือกระเป๋ามิติ


 


หลังจากเห็นซูจิ้งทำเรื่องดังกล่าวอย่างไม่เกรงกลัว ตงเซียวถึงกับกระตุกมุมปากในทันที


 


ซูจิ้งพูดออกมาว่า “เดิมทีสิ่งนี้เป็นของฉันอยู่แล้ว นายไม่ต้องทำเป็นรู้สึกเจ็บปวดจนออกนอกหน้านักหรอก”


 


ตงเซียวที่ได้ยินดังนั้นถึงกับขมวดคิ้วพลางถามออกมาว่า “คุณจะบอกว่าทั้งสองอย่างนั้นเป็นของคุณงั้นรึ พวกมันมาจากไหนกัน”


 


“นายยังไม่คู่ควรที่จะรู้หรอก” ซูจิ้งยิ้มออกมา เขานั้นอยู่ในสภาพที่อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง


ใครจะไปคิดว่าแค่ต้องการจัดการเรื่องเล็กๆจะเป็นกลายจัดการปัญหาใหญ่ทั้งสองในคราวเดียวกัน


ทั้งเรื่องฮอร์โมนเสริมร่างกายและเศษหัวธนูนั้นเป็นปัญหาที่ฝังใจเขาอยู่ซึ่งตามที่จริงควรจะแก้ได้ยากยิ่ง


โดยเฉพาะเศษลูกธนูนี่ถ้าไม่รีบจัดการบอกได้เลยว่าจะกลายเป็นหายนะอย่างแน่นอน นี่ถือได้ว่ายิงธนูนัดเดียวได้มังกรสองตัวเลยจริงๆ


 


ซูจิ้งไม่ได้คิดจะคุยกับตงเซียวอีกต่อไป เขาสะกดจิตตงเซียวในทันที และสั่งให้เขาเรียกทุกคนในองค์กร ทุกส่วนงานให้มารวมตัวกันที่นี่ในทันที


หลังจากที่คนพวกนั้นมารวมตัวกันแล้วซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตทุกคนยกเว้น ตงเซียว ชายอ่อนแรง ชายหน้าปรุ และเงาสัตว์ประหลาด


โดยเขาสะกดจิตคนพวกนั้นให้ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด


พร้อมทั้งให้ตงเซียวจัดการเคลียทุกร่องรอยการต่อสู้ที่เกิดขึ้น รวมถึงคนที่บาดเจ็บสาหัสทั้งหมด


ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีคนตายในเหตุการณ์นี้เพราะซูจิ้งไม่ฆ่าคนหากไม่จำเป็น


 


ไม่นานนักร่างต้นของเจ้าของเงาสัตว์ประหลาดก็ได้เดินเข้ามา


เขาเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 20 ปี แต่งตัวเหมือนอันธพาลข้างถนน ที่เขายอมมานี่ไม่ใช่อะไรอื่นหากไม่ใช่เหระเงาของเขาโดนจับตัวไว้เขาจะไม่ยอมกลับลนหาที่อย่างแน่นอน


 


ในห้องลับห้องหนึ่ง ตอนนี้เหลือแต่ซูจิ้ง ตงเซียว ชายหน้าปรุ ชายอ่อนแรง และหนุ่มนักเลง


ในตอนนั้นซูจิ้งได้ยกมือขึ้นมาทันใดนั้นไป๋ฮิตูก็ปรากฎต่อหน้าทุกคน ไป๋ฮิตูสีหน้าในตอนนี้เปลี่ยนสีตลอดเวลา เขายังรู้สึกสับสนในสิ่งที่เกิดขึ้นจนกวาดตามองไปทั่ว


คนอื่นๆเองเมื่อเห็นไป๋ฮิตูปรากฎตัวจากอากาศก็ได้แต่ทำใบหน้ากระตุกเหมือนไม่อยากยอมรับสิ่งที่เห็น


พวกเขาไม่อาจคาดได้เลยว่าซูจิ้งมีทักษะหรือความสามารถอยู่กับตัวเท่าไหร่กันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อซูจิ้งกล้าที่จะแสดงพลังพวกนี้ให้พวกเขาเห็น ดูเหมือนว่าเขาเองก็ไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไปแน่นอนแล้ว


“ยังมีคนอื่นที่มีความสามารถนี้อยู่อีกรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา


“ไม่มีแล้ว พวกเราเพิ่งจะปลุกพลังได้เพียงหกคนเท่านั้น สองคนได้ตายไปแล้ว พวกเราคือพวกที่เหลือรอดมาได้ทั้งหมด”


“ตายไปสอง นอกจากหยางเฉียนรุยที่ควบคุมความรู้สึกคนได้แล้วยังมีใครอีก”


“ยังมีอันธพาลกระจอกอีกคนหนึ่ง หลังจากหมอนั่นปลุกพลังได้แล้วแต่เขาไม่สามารถปรับสภาพกับพลังที่ตื่นขึ้นได้ เขาก็เลยตายแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัว พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขามีความสามารถอะไรกันแน่ นอกจากนี้ ไป๋ไทฮองเองสภาพก็ไม่ต่างกันนัก เขาก็เริ่มอ่อนแอลงทุกวัน ถ้าพวกเรายังหาสาเหตุไม่พบ เขาน่าจะฝืนอยู่ได้อีกไม่นานนัก” ตงเซียวตอบอย่างตรงไปตรงมา


 


ซูจิ้งหันไปมองที่ชายท่าทางอ่อนแอ เขาสมควรจะเป็นไป๋ไทฮองพ่อของไป๋ฮิตู เพราะตอนที่เขาบุกเข้ามาก็พบว่าพลังใจของเขาอ่อนแออย่างมาก


 


“ดี ลองบอกฉันหน่อยว่านายมีความสามารถอะไรแล้ววิธีการใช้งานต้องทำยังไงบ้าง”


ซูจิ้งสั่งออกมาถึงแม้พวกนี้จะพ่ายแพ้ต่อเขาแต่เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าความสามารถของสแตนด์แต่ละคนทำอะไรได้บ้าง


ต่อให้ใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาตรวจสอบดูก็ใช่ว่าจะเข้าใจได้ครบทุกอย่าง และแน่นอนว่าต้องถูกสแตนด์ต่อต้านอย่างแน่นอน


 


“…..ตกลง” ถึงแม้ตงเซียวจะไม่ใช่คนดีอะไรนักแต่ในฐานะผู้นำเขาย่อมรู้คุณสมบัติของคนในสังกัดแต่ละคนเป็นอย่างดี และเขายอมอธิบายอย่างละเอียดแต่โดยดี




GGS:บทที่ 780 ความสามารถของทั้ง 4 (1)


 


ตงเซียวได้อธิบายความสามารถของไป๋ฮิตูเป็นคนแรก ความสามารถของเขาเข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา นั่นก็คือพลทหารที่ใช้ปืน เป็นประเภทต่อสู้ ความสามารถทั้งหมดซูจิ้งนั้นได้เห็นไปแล้ว


 


คนที่สองความสามารถของหนุ่มนักเลงหลัวฉือหลิน สแตนด์ของเขาเองก็เหมือนอย่างที่ซูจิ้งได้เห็นไปแล้วนั่นก็คือการควบคุมกระแสไฟฟ้า เข้าไปในเครื่องใช้ไฟฟ้าได้ทุกประเภท


ถ้าแสดงตนเองออกมาจะมีความเร็วมากกว่ากระแสไฟฟ้า หากซูจิ้งไม่ได้มีพลังจิตที่แข็งแกร่งล่ะก็ ถ้าสู้ด้วยพลังกายอย่างเดียวเขาเองก็แทบจะไม่มีโอกาสชนะได้เลย


นอกจากนี้หลัวฉือหลินยังมีความสามารถในการส่งสแตนด์เข้าไปตามสายไฟฟ้าและสายเคเบิลต่างๆและเข้าไปควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าได้ทุกชนิดที่มีการเชื่อมต่อไว้ ซึ่งเหมาะมากกับงานจารกรรมข้อมูลและตรวจสอบ


อย่างเมื่อกี้ที่เขาถูกส่งตัวไปสืบข้อมูลของซูจิ้ง เขาได้ส่งสแตนด์เข้าไปยังสายเคเบิลแล้วได้ลักลอบเข้าไปตามเซิฟเวอร์ต่างๆเพื่อรวบรวมข้อมูล และได้คำตอบไม่นานนักหลังเกิดเรื่อง


บอกได้เลยว่ารวดเร็วกว่าต่อให้ยกตำรวจมาทั้งโรงพักในเขตเมืองจงหยุนก็สู้ไม่ได้


แน่นอนว่าความสามารถนี้ยังมีขีดจำกัด เขาไม่สามารถไปได้ไกลนัก เพราะว่ายิ่งสแตนด์ห่างจากร่างต้นมากเท่าไหร่ ร่างต้นก็จะยิ่งอ่อนแอมากเท่านั้น


 


“อืมมม…. ความสามารถของไป๋ฮิตูเหมาะกับการต่อสู้และเป็นบอดี้การ์ด ส่วนความสามารถของหลัวฉือหลินหมาะกับการตรวจสอบและสอดแนมศัตรูสินะ ดีเลย สองคนนี้มีพลังใจเข้มแข็งดีอยู่แล้ว


ฉันไม่ต้องทำอะไรมากเพราะด้วยสภาพร่างกายแล้วน่าจะรองรับพลังของร่างวิญญาณได้


ถ้าพวกเขาสามารถควบคุมร่างวิญญาณได้สมบูรณ์เมื่อไหร่ก็จะไม่มีปัญหาแน่นอน”


ซูจิ้งมองไปยังไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินพลางยิ้มหวานจนทำให้ทั้งสองถึงกับขนหัวลุก พวกเขาเริ่มรู้ตัวหน่อยๆว่าซูจิ้งตั้งทำอะไรพวกเขาซักอย่างแน่ๆ


“ชายหน้าปรุคนนี้ชื่อเจียจิหลง ความสามารถของเขาคือการควบคุมคนอื่น…” ตงเซียวมองไปที่ชายหน้าปรุที่ดูเหมือนคนจีนยุคโบราณและกำลังจะแนะนำต่อไป


“เดี๋ยวนะ ควบคุมคนอื่น” ซูจิ้งอึ้งไปในทันที พลางนึกถึงลูกธนูในตอนที่สู้กัน


“ใช่ เขามีคันธนูและลูกธนูอีกสิบลูกติดมากับร่างวิญญาณของเขา ใครก็ตามที่ถูกยิงจะถูกเขาควบคุมอย่างสมบูรณ์ เขาเองก็อยากจะควบคุมคุณด้วยวิธีการนี้เหมือนกันแต่ไม่ว่าทำยังไงก็ยิงคุณไม่ได้ซักที” ตงเซียวบ่นออกมา


 


“หลังจากโดนแล้วจะต้านทานได้เลยใช่รึเปล่า”


 


“น่าจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้เราใช้ไปแล้วเจ็ดลูก และทุกคนคนโดนควบคุมแต่โดยดีไม่ท่าทีขัดขืนใดๆเลย”


 


“มีเวลาหรือพวกระยะทางจำกัดอะไรอย่างนั้นรึเปล่าหลังจากถูกยิงไปแล้วน่ะ”


 


“คิดว่าไม่นะเพราะตอนนี้ก็ยังควบคุมได้ปกติ”


 


ยิ่งซูจิ้งถามมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกไม่อาจดูแคลนความสามารถของเจียจิหลงหรือชายหน้าปรุคนนี้ได้


ถึงแม้เจ้าตัวเองจะไม่ได้รู้สึกว่ามันดีขนาดนั้นแต่สำหรับซูจิ้งเขาคือตัวปัญหาอย่างแท้จริง เพราะมันเจ๋งกว่าการสะกดจิตของซูจิ้งซะอีก


ถ้าจะให้ยกตัวอย่างละก็อย่างเช่นต่อให้ตัวเขาเองที่มีพลังจิตแข็งกล้า


ไม่ว่าจะโดนสะกดจิตหรือมนต์ลวงตาแบบไหนก็ยังต้านทานได้แต่หากโดนธนูของเจียจิหลงไปทีเดียวก็สมควรที่จะตกอยู่ในการสะกดจิตทันที


 


“มีธนูอยู่สิบลูกนั่นหมายความว่าขีดจำกัดในการควบคุมอยู่ที่สิบคนสินะ” ซูจิ้งถามต่อ


 


“ใช่แล้ว” ตงเซียวพยักหน้ารับ


 


“แล้วธนูที่ยิงไปบนร่างวิญญาณของหลัวฉือหลินล่ะ” ซูจิ้งมองไปยังร่างวิญญาณหลัวฉือหลินในตำแหน่งที่ถูกธนูยิงแต่หายไปแล้ว


 


“นั่นที่ว่าเป็นลูกที่แปด ปกติผมใช้แค่ยิงไปที่ตัวคนเท่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เหมือนกันที่ยิงไปบนร่างวิญญาณ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้ผลรึเปล่า ต้องลองถามเจียจิหลงแล้วหล่ะ”


 


ซูจิ้งหันไปมองยังเจียจิหลง เขาก็ได้ตอยกลับมาว่า “มันได้ผลเช่นเดียวกัน หลัวฉือหลินคุกเข่าคำนับฉันสามครั้งสิ”


หลัวฉิหลินนั้นมีพลังจิตที่แข็งกล้าเป็นไปไม่ได้เลยที่ซูจิ้งจะสะกดจิตเขาได้อย่างสมบูรณ์ถึงแม้ว่าจะง่ายต่อการสะกดจิตโดยตรงแบบนี้ก็ตาม


 


หลัวฉือหลินหรือหนุ่มนักเลงได้คุกเข่าลงต่อหน้าเจียจิหลงในทันทีพร้อมทำการคำนับสามครั้ง เขาดูเหมือนจะตกเป็นบริวารของเจียจิหลงอย่างสมบูรณ์


 


“งั้น ตราบใดที่ฉันควบคุมเจียจิหลงได้ก็หมายถึงควบคุมหลัวฉือหลินและคนอื่นๆได้แล้วสินะ


แต่ก็มีอีกปัญหาหนึ่งคือเจียจิหลงเองก็มีพลังจิตแข็งกล้าไม่น้อยเลยเหมือนกัน


แล้วฉันจะควบคุมเขาได้ยังไงเนี่ย จะให้ติดตามไปตลอดก็ไม่ได้ซะด้วยสิ


ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาจนทำให้หมอนี่หนีไปได้หล่ะก็ ก็เหมือนการปล่อยเสือเข้าป่าและต้องก่อปัญหาอีกไม่น้อยเลย


เดี๋ยวนะ เขาได้ใช้ธนูไปก่อนหน้านี้เจ็ดลูกนี่ เขาใช้กับใครมั่งล่ะนั่น” ซูจิ้งนึกได้ดังนั้นก็ถามออกไปว่า “แล้วเจ็ดคนที่พวกนายควบคุมอยู่นี่มีใครบ้างล่ะ”


“นี่คือรายชื่อและข้อมูลของคนที่เราควบคุมครับ” ตงเซียวดึงกระดาษออกมาจากโต๊ะคอมพิวเตอร์มาให้ซูจิ้งดู


 


ซูจิ้งจ้องไปที่กระดาษและนั่นก็ถึงกับทำให้เขาใบหน้ากระตุกทันทีที่เห็นและอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลงพลางคิดไปว่า คนพวกนี้เตรียมก่อการอีกแล้วสินะ


ถึงแม้ตระกูลหวังจะมีอำนาจพอสมควรในเมืองหลวงแต่ทั้งเจ็ดคนที่ถูกควบคุมอยู่นี้ก็สามารถทำให้แผ่นดินจีนสั่นสะเทือนได้ไม่แพ้กัน บางคนนี่แม้แต่ตระกูลหวังก็ยังต่อกรด้วยยากเลย


 


แน่นอนว่าคนพวกนี้ก็มีอำนาจในเมืองจงหยุนเหมือนกัน


และบางคนเองก็มีตำแหน่งอยู่ในสภาเมืองด้วยเช่นกัน อย่างคำกล่าวที่ว่ามังกรไม่อาจสู้กับงูเจ้าถิ่นได้ฉันใด ตระกูลหวังก็ไม่สามารถใช้อำนาจได้เต็มที่ที่เมืองนี่ได้ฉันนั้น


 


“ไอ้พวกนี้…. โชคดีของฉันจริงๆที่เลือกจะช่วยครูจาง ไม่อย่างนั้นล่ะก็โลกได้โกลาหลอีกรอบแน่ๆ”


หัวใจของซูจิ้งนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวทันทีเมื่อจินตนาการว่าเมื่อไหร่ที่พวกนี้ทำงานสำเร็จจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง


เขาถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ แผนการนี้สมควรจะสำเร็จได้ง่ายๆ ดีไม่ดีเขาเองจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้นเหตุของปัญหาที่อาจเกิดขึ้นมาจากอะไรกันน่า ทำได้แต่ปล่อยเลยตามเลย


 


“นายควบคุมคนพวกนี้นี่ตั้งใจจะก่อเรื่องอะไรกันแน่” ซูจิ้งถามพลางขมวดคิ้วไปด้วย ถึงแม้ซูจิ้งจะร้ายกาจยังไงเขาก็ไม่เคยคิดจะควบคุมคนพวกนี้เพราะสำหรับเขาแล้วมันดูไม่ยุติธรรมและไม่ได้มีเหตุผลมากพอที่จะทำ


ถึงแม้เขาจะมีพลังและความสามารถพอแค่ไหนก็ตาม แต่ในเมื่อพวกเขาถูกควบคุมไปแล้วซูจิ้งก็ไม่อาจปล่อยเอาไว้อย่างนี้ได้


เพราะหากได้รับการสนับสนุนจากคนพวกนี้หล่ะก็ไม่ว่าด้านไหนก็บอกได้เลยว่าสามารถพัฒนาไปได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ ชื่อเสียง หรืออำนาจ จะทำอะไรก็ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโต้ตอบ ตามจับ หรือถูกรายงานต่อภาพรัฐอีกต่อไป


ถึงจะบอกว่าตระกูลหวังเองก็ทำเรื่องพวกนี้ได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ตระกูลหวังทำอะไรไม่ได้ล่ะ แน่นอนว่าเรื่องที่ตระกูลหวังทำไม่ได้คนพวกนี้มีอำนาจพอจะทำได้แน่นอน


“สามารถจะปล่อยคนพวกนี้ออกจากการควบคุมได้รึเปล่า” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา


“หากควบคุมได้แล้วจะไม่สามารถปลดปล่อยได้นากจากจะฆ่าผมไป…”


เจียจิหลงเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนจะแสดงสีหน้ากระอักกระอ่วน ซูจิ้งเห็นดังนั้นก็รู้เลยว่าต้องมีความลับอื่นอีกจึงทำให้เกิดการต่อต้านในใจขึ้นมา


 


“แล้วไงอีก” ซูจิ้งปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาเพื่อกดดัน


 


“นอกจากนั้น ผมรู้สึกว่าต่อให้ผมถูกฆ่ามันเหมือนกับว่าคนพวกนั้นแค่หลุดการควบคุมของผมเท่านั้น


คนที่ฆ่าสมควรจะเป็นคนที่ควบคุมคนเหล่านั้นต่อไป” เจียจิหลงพูดออกมาอย่างอิดออดราวกับจะรู้ชะตากรรม


 


“นาย…หมายความว่าคนที่ฆ่านายจะได้สิทธิในการควบคุมต่อ” ซูจิ้งถามย้ำออกมา


 


“ใช่ครับ” เจียจิหลงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจ


 


ซูจิ้งยิ้มออกมาในทันที แถมยังเป็นรอยยิ้มอันแสนชั่วร้าย ปัญหาที่กวนใจเขาเมื่อกี้นี้ไม่คิดว่าจะถูกคลี่คลายอย่างรวดเร็วโดยสแตนด์ของเจียจิหลง ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ



GGS:บทที่ 781 ความสามารถของทั้ง 4 (2)


 


ซูจิ้งมองไปยังเจียจิหลงด้วยสายตาประหนึ่งมองคนที่ตายไปแล้ว แน่นอนแล้วว่าเขาจะต้องฆ่าเจียจิหลงอย่างไม่ต้องสงสัย ชายคนนี้ยากต่อการควบคุม และมีโอกาสเสียงสูงที่เขาจะหนีไปได้


ยิ่งไปกว่านั้นการฆ่าเขาจะทำให้ได้รับสิทธิ์ในการควบคุมคนอีกแปดคนนั่นอีก


ขนาดคนที่มีจิตแกร่งกล้าอย่างหลัวฉือหลินยังถูกควบคุมได้ง่ายๆ นอกจากนี้ยังมีธนูเหลืออีกสองลูก


นั่นหมายความว่ายังควบคุมได้อีกสองคน


“คนที่ไปพาหยางเฉียนรุยมาเข้าร่วมและสอนเขาใช้พลังคือเจียจิหลงใช่รึเปล่า” ซูจิ้งคลับคล้ายคลับคล้ายชายคนนี้จากคำพูดของหยางเฉียนรุยที่เคยบอกให้เขาฟัง


“ใช่ ถ้ามีใครที่มีความสามารถอันแข็งแกร่ง คนที่มีอำจนาจ และคนที่มีค่ามากพอ” เจียจิหลงจะใช้ธนูกับคนพวกนั้น” ตงเซียวตอบพร้อมพยักหน้า


ซูจิ้งได้ถามปูมหลังของเจียจิหลงเพิ่มเติมก็ได้รู้ว่าเขานั้นเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเยาว์ เขาติดตามตงเซียวมาเนิ่นนานเพื่อจะเป็นตัวตายตัวแทนและเขาก็เต็มใจ เขานั้นไม่ได้สนใจโลกเพียงแค่ยอมตายแทนตงเซียวแค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว


“เอาล่ะ คนสุดท้าย หมอนั่นมีความสามารถอะไร” ซูจิ้งชี้ไปที่ไป๋ไทฮองพ่อของไป๋ฮิตู ชายที่มีสภาพอ่อนแอ ดูซีดเซียวและไร้ซึ่งจิตวิญญาณใดๆ ความสามารถที่เขาเคยใช้กับซูจิ้งก่อนหน้านี้ดูอ่อนแอมากแต่ซูจิ้งก็ยังสงสัยอยู่ดี นั่นก็เพราะว่าสแตนด์ของเขาหยิบเตียงออกมาจากความว่างเปล่า ถ้าเป็นความสามารถเกี่ยวกับห้วงมิติล่ะก็ บอกได้เลยว่า โคตรเจ๋ง


 


“ความสามารถของเขาคือการลอกเลียนแบบครับ” ตงเซียวพูดออกมา


“ลอกเลียนแบบ” ซูจิ้งตกใจเหมือนกับกำลังประสบอุบัติเหตุใหญ่ตรงหน้า


“ใช่ เขาสามารถสร้างของออกมาได้เหมือนกับของต้นฉบับทุกระเบียดนิ้ว จะบอกว่าเหมือนกันอย่างกับเม็ดถั่วก็ไม่ผิด ยิ่งของนั้นรายละเอียดน้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งเหมือนเท่านั้น” ตงเซียวพูดออกมา


“เป็นอย่างนี้นี่เอง” ซูจิ้งเข้าใจได้ทันทีว่าทำไมเขาถึงหยิบเตียงออกมาจากกลางอากาศได้ นั่นก็เพราะเขานั้นกำลังนอนอยู่บนเตียงในขณะนั้นนั่นเอง ซูจิ้งจึงได้ถามต่อว่า “แล้วพวกเงิน เพชร หรือทองหล่ะ”


 


“ได้แน่นอน แต่ก็ทำไม่ได้อีกต่อไปเพราะตอนนี้พลังของเขาอ่อนแรงลงจนไม่สามารถใช้ความสามารถได้อีกต่อไป


เพราะยิ่งเขาใช้ความสามารถบ่อยเท่าไหร่ พลังของเขายิ่งอ่อนแอลงจนตอนนี้จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้” ตงเซียวอธิบายเพิ่มเติม


 


“ขอดูหน่อยสิ” ซูจิ้งรู้สึกได้ว่าความไป๋ไทฮองนั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้มากที่สุดแล้ว มันคงจะน่าเสียดายถ้าปล่อยให้เขาตาย


ซูจิ้งได้ทำการตรวจสอบอาการของไป๋ไทฮองแล้วพบว่าพลังจิตของไป๋ไทฮองนั้นไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด เพียงแต่ว่ามันถูกดึงดูดออกไปตลอดเวลา


แน่นอนว่าต้นเหตุย่อมมาจากสแตนด์อย่างไม่ต้องสงสัย อาการของไป๋ไทฮองน่าจะหนักกว่าเจ้าหนูขาวนั่น เหตุผลที่น่าจะมาจากความสามารถที่ใช้ไปนั้นกินพลังงานมากจนต้องดึงพลังจิตของเขามาทดแทน


ซูจิ้งได้ลองสะกดจิตไป๋ไทฮองให้เข้าไปสู่อัญมณีฝึกจิต แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล


เหตุผลที่พวกสัตว์สามารถตามเข้าไปในอัญมณีฝึกจิตได้เป็นเพราะว่าพวกมันไม่ได้คิดอะไรมาก


ต่างจากมนุษย์ที่มีความคิดมากมายอยู่ในหัว อีกทั้งไป๋ไทฮองยังแก่มากทำให้ยากที่จะสงบจิตใจก่อนเข้าไปได้


 


“ร่างกายเหมือนจะอ่อนแอไปหน่อยแหะ” ซูจิ้งคิดขึ้นมาได้ว่าสมควรจะทำให้ร่างกายของไป๋ไทฮองให้แข็งแรงขึ้นก่อน เขาน่าจะทำอะไรกับพลังวิญญาณของไป๋ไทฮองง่ายขึ้นถ้าร่างกายแข็งแรงขึ้น


คิดได้ดังนั้นซูจิ้งได้เสริมพลังกายไป๋ไทฮองโดยตรงโดยใช้เวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย


อย่างไรก็ตามซูจิ้งต้องขมวดคิ้วในทันทีเมื่อรู้ว่าเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯใช้ไม่ได้ผลเท่าที่ควรดังที่หวังไว้


ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ตอนเขาช่วยผู้อาวุโสเฉียนจากการแทงที่ท้องสภาพปางตายอย่างง่ายดาย


สภาพของหมอนี่หนักแค่ไหนกัน


“มีบางอย่างผิดปกติ” ซูจิ้งนึกไปดังนั้นก็ได้ดึงตัวเขาเข้ามาแล้วถลกคอเสื้อก็ได้เห็นว่าผิวหนังของเขาส่องแสงแวววับ นั่นก็คือผิวของเขาเป็นเกล็ดงู


“หมอนี่ก็ใช้ฮอร์โมนเสริมพลังกายสินะ ทั้งๆที่ยังมีผลค้างเคียงอย่างมากเนี่ยนะ” ซูจิ้งถอนหายใจก่อนจะหันไปหาตงเซียว


“ใช่แล้วครับ เขาเองก็ใช้มันเช่นเดียวกัน โดยปกติพวกเราจะไม่ได้ใช้พร่ำเพรื่อหรือใช้โดยไม่จำเป็น


นั่นก็เพราะว่าผลจากการใช้ยาถึงแม้ว่าจะเพิ่มพลังร่างกายมากมายมหาศาลก็ตาม


แต่มันก็เหมือนกับการเบิกจ่ายพลังชีวิตกับความแข็งแกร่งของร่างกายไปล่วงหน้ามากกว่า


อีกทั้งหลังใช้งานแล้วจะร่างกายอ่อนแออย่างมาก ซึ่งถือได้ว่าเป็นผลข้างเคียงที่ใหญ่หลวง


ไป๋ไทฮองเองนั้นแต่เดิมร่างกายก็ไม่ได้เข็งแรงมากมายอะไรขนาดนั้น แต่เขานั้นก็ยังใช้มันติดๆกันเพื่อสนุกกับผู้หญิง นี่จึงเป็นเหตุผลให้ร่างกายเขาทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว” ตงเซียวอธิบายออกมาอย่างจนใจ


ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก


ไป๋ไทฮองคนนี้ไม่คิดเลยว่าจะใช้ฮอร์โมนเพียงแค่เรื่องของผู้หญิงแบบเดียวกับเว่ยจี ช่างเป็นเรื่องชวนปวดหัวจริงๆ


ซูจิ้งมองไปยังไป๋ไทฮองอย่างเงียบงันเป็นเวลาพักใหญ่แล้วก็คิดขึ้นมาว่า “ช่างมันดีกว่า ปล่อยเรื่องของไป๋ไทฮองไปก็แล้วกัน ยังไงซะหมอนี่ก็ยังมีพลังเหลืออยู่ สามารถใช้งานได้จนกว่าจะตายล่ะนะ”


ซูจิ้งได้ตัดสินใจการใช้งานความสามารถของไป๋ไทฮองไว้เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าไม่ได้จะใช้ในการลอกเลียนเงิน ทอง อัญมณี หรือวัตถุโบราณ แต่ใช้ลอกเลียนของที่มีค่ายิ่งกว่านั้น


“ปล่อยวางเรื่องไป๋ไทฮองไปเลยละกัน ใช้ลูกศรของเจียจิหลงที่เหลืออีกสองลูกกับไป๋ฮิตูและตงเซียวก็แล้วกัน” ซูจิ้งคิดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่ายังซะพลังจิตของสองคนนี้ย่อมแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาแน่นอน


และนั่นหมายความว่าย่อมสะกดจิตสมบูรณ์ได้ยากอย่างแน่นอน ซึ่งในงานนี้ความสามารถของเจียจิหลงย่อมเหมาะสมกว่า


ซูจิ้งสั่งให้เจียจิหลงยิงลูกธนูไปยังไป๋ฮิตูและตงเซียว นั่นทำให้ทั้งสองถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นซูจิ้งควบคุมเจียจิหลงให้ยืนขึ้น และบอกให้เข้าไปในเมือง เขาติดตามเจียจิหลงโดยแมลงปอ และมองหาโอกาสเหมาะๆและทันใดนั้นเจียจิหลงก็ยืนแน่นิ่ง เขาอยู่ๆก็เกิดหมดสติอยู่กลางถนน รถบรรทุกที่แล่นมาเมื่อเห็นดังนั้นได้พยายามหักหลบแต่ก็ยังเหยียบไปบนเขาแบบเต็มๆ จากที่เห็นถึงแม้ว่าจะดูเหมือนอุบัติเหตุรถยนต์ธรรมดา แต่ความจริงแล้วคนฆ่าเขาก็คือซูจิ้งนั่นเอง


ทันทีที่เจียจิหลงตาย ซูจิ้งรู้ได้ทันทีถึงความรู้สึกเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างเขา หลัวฉือหลิน ไป๋ฮิตู ตงเซียว และอีกเจ็ดคนที่เหลือในห้วงจิตสำนึก


ยังดีที่ความรู้สึกนั้นเหมือนกับความรู้สึกเวลาที่เขาทำการสะกดจิตสมบูรณ์ใส่ใครซักคนแต่มันก็ดูไม่เหมือนซะทีเดียว


มันเหมือนเป็นพันธะสัญญามากกว่า มันดีกว่ามากขนาดที่ว่าแค่คิดให้คนที่ถูกควบคุมฆ่าตัวตายล่ะก็คนๆนั้นจะยินยอมตายในทันที


“ตงเซียว ฉันจะปล่อยที่นี่ให้นายจัดการแล้วกัน ฉันเชื่อว่านายจะจัดการได้ นายยังศึกษาฮอร์โมนเสริมร่างกายต่อไปได้แต่ห้ามมีการบังคับผู้คนหรือทำอะไรให้เกิดอันตรายกับคนที่ร่วมทดลองเป็นอันขาด


นายจะต้องได้รับความสมัครใจจากคนพวกนั้นและไม่ทำอะไรประเจิดประเจ้อเกินไป ให้จำกัดจำนวนผู้ทดลองอยู่ที่สิบคนและทำเฉพาะในฐานแห่งนี้เท่านั้น


ห้ามเอาไปทำที่อื่นหรือเผยแพร่งานวิจัยที่ไหน นอกจากนี้พวกเราจะไม่ทำอะไรที่มันต้องล้ำเส้นกฏหมายหรือศีลธรรม และห้ามทำอะไรที่มันดูโหดร้ายนอกจากจะเป็นคำสั่งฉัน


นอกจากนี้ตอนอยู่ต่อหน้าคนอื่นเราจะไม่รู้จักกันและนายก็ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกับฉัน” ซูจิ้งสั่งออกไป


“เข้าใจแล้วครับ” ตงเซียวรับคำสั่งและเริ่มการเก็บกวาด


“ไป๋ฮิตู นายก็กลับไปจัดการธุรกิจของนายซะ ดูแลคนของนายต่อไป และก็อย่าทำอะไรที่มันท้าทายกฎหมายหรือศีลธรรมใดๆ เช่นเดียวกันนายไม่รู้จักฉัน ฉันจะเป็นคนติดต่อนายไปอย่างลับๆเองหากต้องการอะไร หลัวฉือหลินนายเองก็ทำตัวแบบไม่มีตัวตนแบบนี้ต่อไป หาที่ดีๆและคอยฝึกฝนตัวเองเข้าไว้ ฉันมีเรื่องต้องให้นายช่วยบ่อยๆแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมา


“เข้าใจแล้วครับ” ทั้งสองรับคำสั่งแต่โดยดี


“อ้ออีกเรื่อง ไป๋ฮิตูฝากดูแลจูหยุนดีๆด้วยหล่ะ” ซูจิ้งพลางนึกถึงจูหยุน ถึงแม้ตอนนี้เขาจะดูต่างจากเมื่อก่อนมากแต่ดูๆไปแล้วก็ยังเป็นคนดีเหมือนเดิม


“ได้ครับ” ไป๋ฮิตูฝังคำสั่งนี้ของซูจิ้งลงไปในจิตสำนึกทันที


“อีกเรื่อง ฉันจะพาไป๋ไทฮองไปด้วยฉันมีอะไรให้เขาทำซักวันสองวัน หลังจากนั้นจะพาเขากลับมาให้นาย” ซูจิ้งชี้ไปยังไป๋ไทฮองแล้วพูดออกไป


“ทราบแล้วครับ” ไป๋ฮิตูรับฟังแต่โดยดี ขนาดเป็นเรื่องของพ่อตัวเองเขานั้นก็ไม่ได้แย้งซูจิ้งแต่อย่างใด



GGS:บทที่ 782 โรงงานนรก


 


ทุกอย่างในเมืองจงหยุนยังคงดำเนินไปอย่างปกติ คนภายนอกไม่มีใครรู้ได้เลยว่ามีเพิ่งมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้น


อย่าว่าแต่คนปกติเลยแม้แต่เหล่าเจ้าหน้าที่เองก็ยังเบื่อที่มีแต่ความสงบสุขเช่นนี้


 


ข่าวการสตรีมของซูจิ้งและมู่หรงเซียนเอ๋อก็ยังคงเป็นที่นิยมอยู่บนโลกอินเทอร์เน็ต


แต่อีกหลายคนก็ยังคิดว่ามันเป็นเพียงแค่การสตรีมธรรมดา


บางคนก็ยังบ่นว่าซูจิ้งยังไม่ยอมออกมาสตรีมซักทีมัวต่อทำนู่นทำนี่ฆ่าเวลาไปเรื่อยๆ


 


ณ ผับแห่งหนึ่ง ไป๋ฮิตู ได้ขับรถเข้ามา คนกลุ่มหนึ่งรวมถึงหลิวดาจูเองก็ได้ออกมาต้อนรับ มีเพียงจูหยุนเท่านั้นที่ยืนดูเฉยๆอย่างอึ้งๆพลางพูดออกมาเบาๆว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน


“ลูกพี่ไป๋ ลูกพี่ไม่เป็นไรใช่รึเปล่าครับ” ชายสี่คนได้ถามขึ้นมาพร้อมกัน


“ลูกพี่ไป๋ ลูกพี่จัดการปัญหากับซูจิ้งเรียบร้อยแล้วใช่รึเปล่าครับ” หลิวดาจูได้พูดออกมาด้วยท่าทางมีความสุข เขาเองกลัวในตัวซูจิ้งแทบจะหยุดลมหายใจทุกทีที่นึกถึง อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นไป๋ฮิตูกลับมาที่นี่อย่างปลอดภัย เขานั้นรู้สึกประหลาดใจในทันทีไป๋ฮิตูสมควรตีโต้และอัดซูจิ้งจนเละถึงได้กลับมาได้แบบนี้ นี่ทำให้เข้ารู้สึกกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


 


“ป้าบ…” ไป๋ฮิตูได้ตบไปบนหน้าของหลิวดาจูอย่างแรงจนหลิวดาจูกระเด็นออกไป แรงขนาดหน้าหันและฟันร่วงออกมาพร้อมเลือดกองหนึ่ง


หลิวดาจูได้อึ้งไปในทันที เขาไม่เข้าใจว่าทำไมไป๋ฮิตูถึงตบเขา เขาเองก็อยากถามออกไปแต่ความรู้สึกเจ็บปวดวิ่งเข้ามา เขาน้ำตาไหลและสะอื้นในทันที พร้อมทั้งเลือดที่ไหลออกมาจากปาก ไป๋ฮิตูจ้องมองเขาด้วยสายตาที่ดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก


 


“ต่อหน้าฉัน อย่าพูดเรื่องซูจิ้งอีก” เพราะว่าซูจิ้งสั่งเอาไว้ทำให้เขาไม่สามารถแสดงความภักดีได้ แต่มันก็ไม่ได้ห้ามให้เขาเป็นเดือดเป็นร้อนแทนซูจิ้งได้เช่นกัน


อย่างไรก็ตามต่อหน้าของหลิวดาจูและลูกน้องคนอื่นมันแสดงให้เห็นว่าไป๋ฮิตูพ่ายแพ้มาอย่างหมดรูปจนไม่อยากจะพูดถึง ได้ยิน หรือนึกถึงเกี่ยวกับเรื่องซูจิ้งอีกแม้แต่น้อย นี่ยิ่งทำให้ทุกคนไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก


 


“จูหยุน ผับนี่จะยกให้นายทีหลังนะ” ไป๋ฮิตูหันไปมองที่จูหยุน


“ให้ผมงั้นหรอ” จูหยุนและหลิวดาจูเองก็ถึงกับนิ่งอึ้งไป


“ใช่แล้ว นายจัดการมันได้รึเปล่าล่ะ” ไป๋ฮิตูถามออกมา


“ได้ ได้แน่นอน” หลังจากจูหยุนรู้สึกตัวก็รีบตบปากรับคำไป เขารู้สึกมีความสุขมากๆ เขาเองก็มีสมอง เขารู้ว่าที่อยู่ๆไป๋ฮิตูยกที่นี่ให้เขาไม่ใช่ใครอื่นต้องเป็นซูจิ้งอยู่เบื้องหลังแน่นอน


 


“ในอนาคต ที่แห่งนี้จะกลายเป็นเพียงห้องคาราโอเกะธรรมดาเท่านั้น เข้าใจรึเปล่า” ไป๋ฮิตูถามออกมา


“ได้เลย” จูหยุนเองก็อึ้งอีกครั้งแต่ก็พยักหน้ารับแต่โดยดี เขานั้นคิดไว้ว่าไป๋ฮิตูสมควรจะไปทำสัญญาอะไรบางอย่างกับซูจิ้งถึงเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้


 


หลิวดาจูในตอนนี้หน้าตาหน้าเกลียดเป็นอย่างมาก เขารู้สึกเหมือนโดนถีบจากสวรรค์แล้วร่วงตรงสู่นรกในทันที


จูหยุนจะกลายเป็นผู้จัดการของที่นี่ นั่นหมายความว่าจูหยุนจะไม่มีทางโดนลงโทษใดๆ


แถมจากเหตุการณ์เมื่อกี้ก็พอจะบอกได้แล้วว่าต่อให้เขายอมอยู่ในการปกครองของจูหยุนก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว


 


เมื่อซูจิ้งกลับบ้าน เขาตรงไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯในทันที เขาล้วงเข้าไปในกระเป๋าและหยิบถุงกักอสูรออกมา


เขาจับไปที่ถุงแล้วอยู่ๆก็มีชายคนหนึ่งปรากฎออกมา นั่นคือไป๋ไทฮอง


ซูจิ้งนำชาที่ทำจากใบไม้ร่วงหล่นที่ได้มาจากห้วงเวลาฯโลกเซียนในชุดน้ำชาญี่ปุ่นให้ไป๋ไทฮองดื่ม


พร้อมทั้งนำปลาเขี้ยวหยกมาให้เขากินและใช้พลังภายในรักษาเขา พร้อมทั้งนำรูปวาดอันวิจิตออกมาให้เขามอง แล้วเขาก็รอซักพักนึง


ด้วยการที่เขาใช้ชุดรักษาพร้อมกันขนาดนี้ทำให้ผลของการรักษาทวีคูณมากกว่าเดิมจนกระทั่งถือได้ว่าเป็นการรักษาระดับสูงเลยก็ว่าได้


 


หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน ดูเหมือนว่าสภาพร่างกายและจิตใจของไป๋ไทฮองดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด


เขาดูเหมือนกลับมาสมบูรณ์และเต็มไปด้วยพลังงาน แต่ซูจิ้งก็รู้ดีว่านี่เป็นเพียงการรักษาชั่วคราวเท่านั้น


เพราะไป๋ไทฮองนั้นใช้ร่างกายและจิตใจอย่างหนักและต่อเนื่องในไม่ช้าเขาจะกลับมาอ่อนแรงเหมือนเดิม


มันคงจะยากในระดับที่ว่าท้าทายสวรรค์เลยถ้าเขาจะกลับมาแข็งแรงได้ดังเดิม


 


“คงได้เวลาเริ่มได้แล้วกระมัง” ซูจิ้งได้นำเอาที่บรรจุปฏิสสารออกมา ภายในบรรจุปฏิสสารน้ำหนัก 0.01 กรัม ถึงเห็นว่าเพียงเล็กน้อยแต่เจ้านี่สูบเงินเขาไปมากถึง 300 ล้านหยวนเลยทีเดียว


ซูจิ้งสั่งให้ไป๋ไทฮองทำการคัดลอกปฏิสสารในทันที ต่อให้ทอง เพชร และของโบราณจะมีค่ายังไงแต่เมื่อเทียบกับปฏิสสารนี้แล้วก็ด้อยค่าไปในทันที


 


ยิ่งไปกว่านั้นเขายั่งต้องการปฏิสสารอย่างเร่งด่วน ถึงแม้ว่าจะใช้เงินผลิตปฏิสสารได้แต่ยังไงซะเขาก็ต้องใช้เวลา กำลังคน และพลังงาน สู้คัดลอกตรงๆแบบนี้ จะประหยัดทรัพยากรทั้งหมด


ไป๋ไทฮองสัมผัสไปที่กล่องบรรจุปฏิสสารด้วยมือซ้าย ทันใดนั้นสแตนด์ของเขาก็ปรากฎออกมาจากข้างหลัง ไม่นานนักกล่องบรรจุปฏิสสารก็ปรากฎอย่างช้าๆออกมาจากมือข้างขวา และก็ค่อยๆเห็นปฏิสสารที่อยู่ข้างในค่อยๆเพิ่มขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อย


“ดูเหมือนจะได้ผลนะ” ซูจิ้งแสดงออกมาด้วยท่าทีสีหน้าผ่องในทันที


อย่างไรก็ตามในระหว่างกระบวนการ ไป๋ไทฮองทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้แต่เหงื่อก็เริ่มจะไหลออกมาจากหน้าผากแสดงออกมาว่าเป็นงานยากเห็นๆ


 


ไป๋ไทฮองนั้นสามารถคัดลอกเตียงมาได้อย่างรวดเร็วแต่กับปฏิสสารนี้ดูยากยิ่ง นี่ขนาดว่าเป็นกล่องบรรจุปฏิสสารขนาดเล็กเท่านั้น ปริมาณของมันไม่ได้เยอะแต่อย่างใด


หลังจากผ่านไปสิบนาทีไป๋ไทฮองในที่สุดก็หยุดมือลง ซูจิ้งหยิบกล่องบรรจุปฏิสสารที่คัดลอกออกมาได้มาเปิดดู


สนามไฟฟ้าชนิดพิเศษที่อยู่ในสถานนีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ กางออกเองในทันที พร้อมทำการดูกซับปฏิสสารเข้าไป ทันใดนั้นพื้นที่กำจัดขยะห้วงเวลาฯขยายออกสิบตารางเมตรในทันที


 


ตอนนี้พื้นที่ภายในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯพื้นที่เกินกว่า1600ตารางเมตรไปแล้ว


พื้นที่ที่ได้ขยายออกไปนั้นถึงจะฟังเหมือนน้อยแต่ความจริงถือว่าเยอะมาก


เพราะว่าพื้นที่ที่ขยายออกไปทั้งสี่ด้านทำให้พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นมาเทียบเท่าได้กับตึกสูงขนาดกลางตึกหนึ่ง


 


“ใช้ได้ ใช้ได้จริงๆด้วย” ซูจิ้งถึงแม้อยากจะเร่งให้ไป๋ไทฮองรีบเร่งผลิตปฏิสสารมากมายแค่ไหนก็ตามแต่เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้เขาได้พักสักครู่หนึ่งแล้วก็ให้เขาทำการคัดลอกกล่องบรรจุปฏิสสารต่อไป


กล่องที่สองใช้เวลานานกว่ากล่องที่หนึ่ง พอเสร็จก็ต่อด้วยกล่องที่สาม และกล่องที่สี่ หลังจากกล่องที่สี่เสร็จ ไป๋ไทฮองเองก็หมดแรงจนนอนในสภาพใกล้ตายไป ไม่ว่าซูจิ้งจะทำยังไงก็ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ทั้งร่างกายและพลังวิญญาณของเขาได้อ่อนพลังลงอย่างรวดเร็ว สภาพพลังของเขาเหมือนช้อนที่มีรูรั่วอยู่ตรงกลาง เขาเห็นได้เลยว่าพลังวิญญาณและพลังจิตลดลงอย่างเห็นได้ชัด


“ไป๋ไทฮองรับไม่ไหวแล้วสินะ น่าจะใกล้จบแล้วล่ะ ไหนลองดูสิว่านายพอจะคัดลอกได้อีกอันรึเปล่า” ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจอาการของไป๋ไทฮอง เขานั้นสมควรยอมรับสภาพนี้แล้วหลังจากที่ใช้ฮอร์โมนเสริมร่างกายด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนั้น


คราวนี้ไป๋ไทฮองแสดงสีหน้าเจ็บปวดตั้งแต่เริ่มทำการคัดลอก ตอนนี้เขาเหงื่อท่วมไปทั้งตัวและสภาพร่างกายดูเหมือนจะแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว แม้แต่ผลจากฮอร์โมนเสริมร่างกายเองก็ดูเหมือนจะอ่อนพลังลงอย่างเห็นได้ชัดถึงขั้นตรวจหาก็ไม่พบ หลังจากเขาทำการคัดลอกได้ครึ่งนึงไป๋ไทฮองก็ได้หมดสติไป


“กินนี่สิ” ซูจิ้งยัดดอกไม้แห้งสามดอกใส่ปากไป๋ไทฮอง พวกมันคือดอกของต้นไม้กินคน หลังจากกินไปแล้วจะกระตุ้นร่างกายได้ระยะหนึ่ง คล้ายกับการกินเครื่องดื่มชูกำลัง


ร่างกายของไป๋ไทฮองสั่นเล็กน้อยก่อนที่ตาของเขาจะเปล่งประกาย เหมือนกับจะฉายแสงได้ก็ไม่ปาน พร้อมทั้งพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมาอีกเล็กน้อย ความเร็วในการคัดลอกเพิ่มขึ้นทันที แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็เริ่มช้าลง


แต่การคัดลอกก็ยังดำเนินต่อไป


ในที่สุดปฏิสสารชิ้นที่ห้าก็เสร็จ ทันใดนั้นสแตนด์ของไป๋ไทฮองได้หายไปในทันที


ไป๋ไทฮองในตอนนี้สายตาเหม่อลอย ไร้อารมณ์ แทบจะไม่เคลื่อนไหวร่างกายใดๆเหมือนเขาได้ตายไปแล้ว ใบหน้าของเขาในตอนนี้ถ้าเทียบกับเมื่อวานที่ยังดูราวหนุ่มอายุยี่สิบ แต่ตอนนี้หน้าตากลายเป็นคนอายุ60-70ไปแล้ว


ซูจิ้งนำกล่องบรรจุปฏิสสารที่ไป๋ไทฮองเหลือเอาไว้จากมือซ้ายและมือขวาและเปิดมันออก เหมือนทุกครั้งสนามแม่เหล็กไฟฟ้าได้กลางออกและดูดซับปฏิสสารทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง 1770 1780 1790 1800 ตร.ม.


ในขณะที่พื้นที่ของโรงกำจัดขยะห้วงเวลาฯขยายไปที่ 1800 ตร.ม. ก็มีเสียงดัง “ติ้ง” ทันใดนั้นก็มีเสียงเหมือนเสียงพูดคล้ายกับเสียงที่เกิดจากคอมพิวเตอร์ว่า


“รูปลักษณ์ของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศได้ขยายถึง 1800 ตร.ม. แล้ว และพลังงานเพียงพอต่อการยกระดับ ท่านต้องการยกระดับหรือไม่”




GGS:บทที่ 783 สถานีกำจัดขยะห้วงเวลายกระดับแล้ว (1)


 


หลังจากฟังเสียงอิเล็กทรอนิกสิ์พูดจบ ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง


ซักพักเขาก็แสดงท่าทางปลื้มปลิ่มออกมา


เขานั้นดีใจจนแทบจะร้องไห้ออกมาเลยทีเดียว


ตอนแรกเริ่มที่รู้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาแห่งนี้ใช้ปฏิสสารเป็นแหล่งพลังงาน


เขานั้นแทบจะหมดหวังในชีวิตเลยทีเดียว


ตอนนั้นว่าเขาแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่าเขาต้องลงแรง ลงเวลา ลงเงินไปซักเท่าไหร่กันกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้


 


เขานึกเทียบเคียงระหว่างมนุษย์ในเกมและสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้


เหมือนกับเวลาเล่นเกมที่ทำอะไรไม่ได้เลยเมื่ออยู่ระดับศูนย์


เมื่อหาทางยกระดับได้ถึงจะมีทักษะพิเศษประจำอาชีพปรากฎขึ้นมาบ้าง


สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯสมควรจะเป็นเช่นเดียวกัน


เมื่อเริ่มยกระดับได้ก็สมควรจะมีระบบอะไรบางอย่างมาใช้งานได้บ้าง


นี่สิถึงจะเป็นสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของจริงซะที


ซูจิ้งถึงกับเม้มปากสุดแรงก่อนจะพูดออกมาดังๆว่า “เยี่ยม”


 


มีเสียงอิเลคทรอนิกส์ดังขึ้นมาอีกครั้งโดยบอกว่า


“สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้เตรียมพร้อมที่จะยกระดับแล้ว


โปรดออกจากสถานีแห่งนี้และอย่าพยายามกลับเข้ามาก่อนที่จะได้รับการยืนยันว่ายกระดับเสร็จสมบูรณ์


ไม่อย่างนั้นอาจเกิดอันตรายขึ้นได้”


เมื่อได้ยินดังนั้นซูจิ้งนำร่างของไป๋ไทฮองเก็บเข้าไปในกระเป๋ามิติและเดินออกไปในทันที


เขายังได้ยินเสียงอิเลกทรอนิกส์นั้นพูดออกมาต่อว่า “สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเริ่มยกระดับ


เริ่มนับถอยหลัง สิบ เก้า แปด เจ็ด …”


จนเมื่อนับถึงศูนย์ ซูจิ้งไม่ได้ยินเสียงอะไรอีกต่อไป เขารอคอยด้วยความตื่นเต้น แต่หลังจากรอไปสองชั่วโมงเขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงยืนยันการยกระดับเสร็จสมบูรณ์ซักที


แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะเหยียบย่างเข้าไปแม้แต่น้อยนั่นก็เพราะสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯได้ย้ำเขาอย่างหนักแน่นว่าห้ามเข้าใกล้เพราะมันอันตรายมาก


แถมสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯยังใช้ปฏิสสารเป็นพลังงานขับเคลื่อนแน่นอนว่าเขาไม่มีทางต้านทานพลังระดับนั้นได้แน่นอน


 


“ใจเย็นในสิตัวข้า จะรีบร้อนไปไย”


ซูจิ้งได้ทำการปลอบประโลมตัวเองแต่เขาก็ยังอดที่จะร้อนใจไม่ได้


ร้อนใจถึงขนาดที่ว่าได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นออกมา เมื่อเห็นดังนั้นเขาจึงเริ่มขับเคลื่อนวิถีแห่งใต้หล้าในจิตสำนึก นั่นจึงทำให้เขาเย็นใจลงได้บ้าง


 


ซูจิ้งยังคงรอคอยต่อไป ในระหว่างที่รอเขาได้ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อย


ระหว่างนี้เขาได้แอบไปหาไป๋ฮิตูอย่างลับๆ พร้อมทั้งมอบร่างของไป๋ไทฮองให้แก่ไป๋ฮิตูเพื่อนำไปประกอบพิธี


เป็นที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าไป๋ไทฮองนั้นสภาพร่างกายไม่ได้ดีอะไรแถมเขายังไปมั่วกามราคะอย่างหนัก


ต่อให้คนทั่วไปรู้เข้าทุกคนก็ต้องคิดไปในทางเดียวว่าไม่ทำงานหนักจนตายก็เป็นการตายคาอก


แน่นอนว่าการที่จะให้ลูกชายอย่างไป๋ฮิตูจัดการเรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องปกติ


และแน่นอนว่ากิจการทั้งหมดที่อยู่ในนามไป๋ไทฮองจะตกอยู่ในกำมือไป๋ฮิตูทั้งหมด


 


ซูจิ้งยังคงรออยู่ถึงสามวันจนเขาเริ่มกังวลใจขึ้นมาจนแทบจะคลั่งอยู่แล้ว ถึงขนาดที่เรียกว่ากินไม่ได้นอนไม่หลับเลยก็ว่าได้


ในยามดึกคืนหนึ่งในขณะที่เขาพยายามข่มตานอน อยู่ๆก็ได้ยินเสียงหนึ่งในจิตสำนึก “กริ๊ง” ตามมาด้วยเสียง

อิเลกทรอนิกส์ดังออกมาต่อว่า “สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯใกล้จะยกระดับเสร็จสิ้นแล้ว


ตอนนี้สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯสามารถปรับแต่งสถานีก่อนจะทำการดำเนินการขึ้นสุดท้าย


ท่านต้องการจะปรับแต่งสถานีหรือไม่”


ซูจิ้งเด้งตัวขึ้นมาจากเตียงในทันทีพร้อมกับที่วิ่งลงไปที่ชั้นหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ทำการก้าวต่อไปก่อนจะถามว่า


“นี่หมายความว่าสถานีคัดแยกขยะแห่งนี้เป็นห้วงมิติที่มีขนาด 1,800 ตารางเมตร ที่ฉันสามารถจัดการรูปร่างของพิ้นที่ทั้งหมดได้ใช่รึเปล่า”


ไม่นานก็มีเสียงอิเลกทรอนิกส์ตอบกลับมาว่า “ในตอนนี้สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ด้วยการที่เพิ่งจะยกระดับเป็นระดับหนึ่ง


พื้นที่ที่ใช้งานได้ในตอนนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของมิติที่ใช้ในการจัดการขยะซึ่งเป็นมิติทรงกลม


ซึ่งการยกระดับจะเป็นการเปิดเผยพื้นที่ใช้สอยพวกนี้เท่านั้นโดยจะเริ่มจากด้านบนแล้วไล่ลงไปเรื่อยๆจนกว่าจะได้เป็นวงกลมสมบูรณ์


โดยพื้นที่ส่วนบนนั้นเป็นพื้นที่ที่ใช้ในการลองรับขยะห้วงเวลาฯซึ่งที่ว่าเป็นพื้นที่เบื้องต้นเท่านั้น


เมื่อสามารถเปิดพื้นที่ไปได้เรื่อยๆจะเริ่มมีเตาเผา มีพื้นที่ย่อยขยะสดที่มีความสามารถในการย่อยสลายขยะห้วงเวลา และมีแม้แต่พื้นที่กักเก็บขยะห้วงเวลาฯ


ในส่วนเตาเผาขยะห้วงเวลาฯและพื้นที่ย่อยขยะห้วงเวลาฯนั้น จะมีช่องใส่ส่งตรงไปยังพื้นที่ที่ฝังเอาไว้อยู่ในกลางมิติ


ส่วนพื้นที่พักขยะห้วงเวลานั้นจะอยู่ตรงส่วนล่างของมิติแห่งนี้ ซึ่งในตอนนี้พื้นที่ดังกล่าวถือได้ว่ายังโล่งมากๆ ท่านสามารถเข้าไปจัดการในส่วนนี้ได้”


ซูจิ้งได้ยินดังนั้นก็ได้แสดงท่าทางยินดีออกมาเต็มที่


อย่างที่เขาคิดไว้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จะต้องมีเตาเผาและพื้นที่ย่อยขยะห้วงเวลาณ


ถ้าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯยกระดับเสร็จเมื่อไหร่ต้องใช้งานพวกมันได้บ้างไม่มากก็น้อย


 


ก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯจะทำอะไรได้บ้างเพราะว่าแบบจำลองของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ถูกโยนทิ้งไป


แถมไอ้คนที่ทิ้งไปก็ดันบอกออกมาว่า “สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ไม่มีระบบกำจัดขยะหรอก มีแต่เทกองทับถมมาเรื่อยๆ”


ถ้าให้พูดตามความเป็นจริงแล้วการที่จะเรียกที่ไหนสักทีว่าเป็นสถานีกำจัดขยะได้สมควรจะต้องมีระบบกำจัดขยะซักอย่างสองอย่าง


ซึ่งกลายเป็นว่าเขานั้นคิดถูก ยิ่งไปกว่านั้นสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ยังมีแม้กระทั่งระบบคัดแยกเป็นพื้นที่กักเก็บอีกด้วย


 


สำหรับขั้นตอนการที่จะเปลี่ยนสถานีสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ทำให้ซูจิ้งต้องคิดซักเล็กน้อย เขาได้คิดจริงจังออกมาพักหนึ่งก่อนจะถามออกมาว่า “การจัดการพื้นที่นี่ต้องใช้พลังงานด้วยรึเปล่า”


 


เสียงอิเลกทรอนิกส์ได้ตอบกลับมาว่า “แน่นอนว่าต้องใช้แต่ตราบใดที่ไม่ใช่การจัดการที่มีขนาดใหญ่หรือสลักสำคัญอะไรจนถึงขนาดเปลี่ยนรูปร่างมิติหรือเปลี่ยนรูปร่างและตกแต่งตึกล่ะก็ พอจะบอกได้ว่าแทบจะไม่ใช่พลังงานเลย”


 


“หากมีการเดินเครื่องเตาเผาและพื้นที่ย่อยขยะ การปรับพื้นที่มิติขนาดประมาณ10ตร.ม. ให้กลายเป็นรูปใบพัดในส่วนพื้นที่พักขยะ พร้อมทำการลดขนาดพื้นที่ในส่วนนั้นด้วย ทั้งหมดนี่ใช้พลังงานเท่าไหร่” ซูจิ้งยังคงถามต่อไป


“ใช้ปฏิสสารประมาณ 0.001 กรัมในการดำเนินการทั้งหมด เมื่อเทียบกับปฏิสสารที่เหลืออยู่ประมาณ 0.009 กรัมแล้วถือได้ว่าเพียงพอ”


“ค่อนข้างจะต่างจากที่คิดไว้แหะ” ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าห้องเก็บของที่บ้านในตอนนี้ใกล้จะเต็มแล้ว


และของพวกนั้นเอาจริงๆก็ไม่ควรจะจับไปอัดเอาไว้กันที่นั่นเพียงที่เดียวเพราะมีโอกาสที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน


เขาอยากได้ห้องเก็บของที่มีความปลอดภัยระดับสูงมากๆอยู่แล้ว


พื้นที่พักของในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนี้สมควรจะมีขนาดใหญ่และปลอดภัย แถมยังเก็บความลับเหล่านี้ได้อย่างดีแน่นอน


 


“ขอบังอาจแนะนำท่านเจ้าของว่าพื้นที่พักขยะไม่ควรจะมีขนาดใหญ่มากนัก


เพราะทั้งเตาเผาขยะห้วงเวลาฯและพื้นที่ย่อยขยะห้วงเวลาฯเมื่อใด อัตราในการกำจัดและย่อยสลายขยะจะสูงมาก


หากจะให้กล่าวออกมาคร่าวๆแล้ว ขยะหนึ่งตันหากนำไปเผาจะเหลือเพียงแค่ไม่ถึงกรัม


ถ้าจะให้ดีพื้นที่พักขยะพวกนี้ควรมีขนาดเล็กมากๆ เพื่อให้ง่ายต่อการดำเนินการ เก็บขน เคลื่อนปรับแต่ง ทำความสะอาด หรือแม้แต่การนำฝังกลบก็ถือได้ว่าสะดวกดี


การที่จะทำการขยายตามรูปทรงที่ท่านเจ้าของต้องการอาจเกินกำลังของท่านในการจัดการ และอาจเป็นการเสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์ ท่านเจ้าของแน่ใจแล้วใช่หรือไม่”


 


เมื่อซูจิ้งได้ยินประสิทธิภาพของเตาเผาก็ถึงกับอึ้งในทันที ขยะหนึ่งตันเหลือไม่ถึงกรัม ช่างเป็นอัตราการเผาที่ทรงพลังจริงๆ


แต่ยังไงซะเขาก็ยังคงตั้งใจที่จะทำการปรับเปลี่ยนขนาดของพื้นที่พักขยะอยู่ดี เพราะเขาจะเน้นไว้ใช้ในการเก็บของจริงๆไม่ใช่แค่พักขยะไว้ก่อนกำจัดเพราะฉะนั้นพื้นที่ส่วนนี้ยิ่งใหญ่ได้เท่าไหร่ยิ่งดี


นั่นก็เพราะว่าด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ทำให้เขาได้รับประสบการณ์จากการหย่อนยานในการจัดการขยะของตัวเองมาแล้วอย่างเรื่องเศษลูกธนูนั่น


 


ทำให้ซูจิ้งไม่อยากจะใช้วิธีการฝังกลบขยะห้วงเวลาฯอีกต่อไป เพราะไม่ว่าขยะที่คัดแยกออกไปจะไร้ค่าสำหรับเขาแค่ไหนก็ตาม แต่กับโลกนี้แม้เพียงเศษเสี้ยวของขยะพวกนี้ก็อาจกวาดล้างโลกได้


คราวนี้ของที่เหลือจากการจัดการถ้าไม่ถูกเผาก็จะถูกโยนเข้าเครื่องย่อยในทุกกรณีอย่างแน่นอน


ต่อให้เผาหรือย่อยไม่ได้ เขาก็จะเก็บไว้ในพื้นที่พักจนกว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จะพร้อมต่อกำจัดพวกมันหรืออาจจะปล่อยลืมไปเลยก็ได้


“ยืนยันตามนั้นแหล่ะ”


“ท่านเจ้าของต้องการจัดการในพื้นที่ห้องเย็น พื้นที่ทั่วไป และพื้นที่วิวทิวทัศน์โดยรอบหรือไม่”


“ฉันจัดการได้ด้วยงั้นหรอ” ซูจิ้งสงสัยในทันที


“แน่นอนว่าได้ พื้นที่ห้องเย็น ถูกใช้ในการป้องกันไม่ให้เกิดการเน่าเสียและย่อยสลาย


พื้นที่ทั่วไปเป็นพื้นที่ใช้สอยทั่วไปเหมือนกับเป็นที่อยู่อาศัยของท่านเจ้าของซึ่งปกติมักจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสายพันธุ์ของผู้ถือครองสถานีแห่งนี้


และสุดท้ายพื้นที่วิวทิวทัศน์ท่านสามารถปรับสภาพแวดล้อมได้ตามใจไม่ว่าจะเป็นลมพัด ฝนตก แดดออก แล้วแต่ใจท่านเจ้าของ


แน่นอนว่าการปรับเปลี่ยนส่วนนี้ย่อมใช้พลังงาน และในกรณีห้องเย็น และสภาพวิวทิวทัศน์ต้องมีค่าใช้จ่ายในการทำงานตลอดเวลา


โดยทั่วไปแต่ละอย่างหากมีการปรับโดยให้มีความเหมาะสมกับท่านเจ้าของ ปฏิสสารที่จำเป็นต้องใช้ต่อปีจะอยู่ที่ประมาณ 0.01 กรัม ต่อหนึ่งพื้นที่


อย่างไรก็ตามการบำรุงรักษานั้นสามารถใช้เศษซากจากการย่อยสลายขยะห้วงเวลาฯมาใช้ได้ทำให้ไม่สิ้นเปลืองพลังงานแต่อย่างใด”


 


ซูจิ้งแทบจะโพล่งออกมาว่าสถานีกำจัดขยะแห่งนี้สามารถทำอะไรได้อีกรึเปล่า แค่สร้างสภาพแวดล้อมจำลองต้องใช้ปฏิสสารที่ 0.01 กรัมต่อปี ฟังดูไม่เยอะเลยแค่ 300 ล้านหยวนแค่นั้นเอง(ประชด) มันเท่ากับการตกแต่งตึกๆหนึ่งในพื้นที่แห่งนี้เท่านั้นเอง แถมพอคิดๆดูแล้วตอนนี้ยังพื้นที่ชั้นสามด้วย คิดได้ดังนั้นซูจิ้งจึงได้ถามออกมาว่า “แล้วหลังจากนี้ยังจัดการพวกนี้ได้อีกรึเปล่า”


“ย่อมได้อย่างแน่นอน”


“เยี่ยม งั้นตอนนี้แบ่งพื้นที่หกส่วนไปเป็นพื้นที่ห้องเย็น ส่วนที่เหลือใช้เป็นพื้นที่ใช้สอยและสร้างสิ่งแวดล้อมจำลองด้วย” ซูจิ้งตัดสินใจได้ในทันที


“ท่านยืนยันการปรับแต่งสถานีตามนี้หรือไม่”


“ยืนยัน”


“คำยืนยันได้รับการยอมรับแล้ว เริ่มการปรับแต่งสถานี” หลังจากสิ้นเสียง ทุกสิ่งทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน แม้แต่ซูจิ้งก็ไม่ยอมขยับไปไหน ยังคงรอคอยฟังเสียงอยู่อย่างนั้น



GGS:บทที่ 784 สถานีกำจัดขยะห้วงเวลายกระดับแล้ว (2)


 


หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดซูจิ้งก็ได้ยินเสียงหนึ่ง “กริ๊ง” ดังในจิตสำนึก ตามมาด้วยเสียงอิเลกทรอนิกส์ว่า “การยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯยกระดับเสร็จสิ้น ตอนนี้อยู่ในระดับที่ 1 โปรดตั้งชื่อสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯด้วย”


ซูจิ้งที่กำลังฝึกสมาธิอยู่ด้วยวิถีแห่งใต้หล้าในลืมตาขึ้นในทันที


ในที่สุดจิตใจของเขาก็จะได้รู้สึกสงบลง แต่ได้แค่ครู่เดียวจิตใจก็ต้องพุ่งพล่านอีกครั้ง


ตอนนี้เขาอยากรีบเข้าไปดูสภาพภายในให้เร็วที่สุด


เขาไม่ได้จะใส่ใจในการตั้งชื่อแต่อย่างใด


เขาหยุดชะงักตัวเองเพื่อจะคิดเล็กน้อยว่า ในเมื่อสถานีแห่งนี้ปรากฎที่เมืองฉิงหยุน และที่นี่เองก็เป็นเมืองที่ทำให้เขาได้ลืมตาอ้าปากได้ เขาจึงพูดออกไปว่า “เรียกที่นี่ว่า ฉิงหยุน ก็แล้วกัน”


 


“เป็นชื่อที่ดีท่านเจ้าของ ข้าจะดูแลฉิงหยุนอย่างดีแน่นอน”


เสียงอิเลกทรอนิกส์ได้ถามออกมาต่อว่า “ท่านเจ้าของต้องการจะเปลี่ยนเสียงข้าด้วยหรือไม่”


“เสียงของนายน่ะหรอ”


“แน่นอนว่าใช่ ด้วยการที่เสียงนี้เป็นเสียงอิเลกทรอนิกส์จึงสามารถเปลี่ยนรูปแบบได้ ไม่ว่าจะเป็นเสียงผู้ชาย ผู้หญิง หรือเด็ก ได้ทั้งแบบเสียงสูง ปกติ เศร้า หรือแม้แต่เสียงที่ดูสนุกสนาน” ฉิงหยุนได้แสดงการพูดเสียงในรูปแบบต่างๆทั้งหมดให้แก่ซูจิ้งได้ลองฟัง


หนึ่งในนั้นมีเสียงของผู้หญิงออกแนวหุ่นยนต์แบบในหนังหน่อยๆซึ่งซูจิ้งชอบมากจึงได้เลือกอันนั้นไป


“ตอนนี้ฉันสามารถเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯได้รึยัง” ซูจิ้งถามออกมา


“แน่นอนว่าได้” ฉิงหยุนกล่าวด้วยเสียงที่นุ่มนวลน่าหลงใหล ประหนึ่งดั่งเป็นพี่สาวที่ดูทรงภูมิคนหนึ่ง


ซูจิ้งได้ตรงไปยังหินทรงแปดเหลี่ยม วางมือลง และซักพักก็ได้หายตัวไปจากตรงนั้นแล้วไปโผล่ยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ


ภาพที่ปรากฏต่อหน้าซูจิ้งในตอนนี้คือพื้นที่วิวทัศน์ดูกว้างใหญ่ขึ้น ส่วนอย่างอื่นไม่มีอะไรเปลี่ยนไปมากนัก มิติโดยรอบยังดูว่างเปล่าและน่าพิศวงเหมือนเดิม เพียงแต่มันดูชัดขึ้นกว่าก่อนหน้านี้เท่านั้น


 


“สถานีกำจัดขยะยังโอกาสเต็มหรือล้นอยู่อีกรึเปล่า” ซูจิ้งคิ้วขมวดในทันทีเพราะเขามองไม่เห็นอะไรเลยในลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ


“โปรดลองนำมือไปแตะบริเวณขอบ” ฉิงหยุนตอบออกมา


ซูจิ้งลองใช้มือไปแตะบริเวณที่น่าจะเป็นขอบของลานทิ้งขยะ


ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาจะเห็นมันตรงๆและเดินผ่านได้โดยไม่รู้สึกอะไร


แต่ในตอนนี้เมื่อเขาลองเอามือไปแตะกับส่วนโค้งของพื้นที่ลานทิ้งที่ลักษณะเหมือนแก้วใสๆบางๆ


ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “มันทำมาจากอะไรน่ะ แล้วแตกหรือหักได้รึเปล่า”


“สิ่งนี้คือกำแพงมิติสิ่งแน่นอนว่าโดยปกติจะไม่มีทางแตกหรือหัก


เว้นเสียแต่ว่าท่านเจ้าของจะมีทักษะหรือพลังมากพอที่จะพังมันได้


ในตอนนี้สถานีกำจัดขยะจะไม่มีวันเต็มหรือล้นอีกต่อไป


หากท่านเจ้าของต้องการจะรีไซเคิลวัสดุขอให้เร่งทำก่อนที่จะถึงขีดจำกัด


ไม่อย่างนั้นขยะที่เต็มหรือล้นจะถูกนำไปเผาในเตาเผาขยะห้วงเวลาฯโดยอัตโนมัติ” ฉิงหยุนอธิบาย


 


“สุดยอด” ซู่จิ้งรู้สึกดีใจอย่างที่สุด เขาไม่ต้องกังวลเรื่องขยะเต็มอีกต่อไปแล้ว หรือแม้แต่เรื่องอากาศ สิ่งมีชีวิต หรือแม้แต่ขยะห้วงเวลาฯ จะหลุดลอดออกจากที่นี่ไปด้วยเช่นกัน


ดีจริงๆที่เขาตัดสินใจยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯให้เร็วที่สุด


“ฉันอยากจะเห็นพื้นที่ที่อยู่ใต้ที่นี่ พอจะเป็นไปได้รึเปล่า” ซูจิ้งมองไปที่พื้นแล้วพบว่าพื้นที่บริเวณนี้เป็นสีขาวและไม่มีทางลงแต่อย่างใด


หลังจากสิ้นประโยคคำถาม ทันใดนั้นก็มีพื้นสีขาวก็ค่อยๆโปร่งใสขึ้นจนสามารถมองเห็นระบบปั่นแยกที่อยู่ตรงกลางล่าง


โดยข้างในนั้นเขาเองก็มองได้ไม่ถนัดนัก และนอกจากส่วนปั่นแยกแล้วพื้นที่ตรงอื่นสามารถทำให้โปร่งใสได้ทั้งหมด แม้แต่พื้นที่รูปใบพัดและพื้นคัดแยกเองก็ยังดูสะอาดและว่างเปล่าอยู่


“มีพื้นที่ส่วนไหนที่ท่านเจ้าของต้องการจะไปหรือไม่” ฉิงหยุนถามออกมา


“พื้นที่ระบบนิเวศเสมือน” ซูจิ้งพูดออกมาเขานั้นคิดเพียงว่าน่าจะเป็นประตูโผล่ออกมาให้เดินเข้าไปเหมือนประตูไปที่ไหนก็ได้ของโดเรม่อน แต่ไม่คิดว่าพอสิ้นเสียงนั้นอยู่ๆเขาก็เห็นทุ่งดอกไม้ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา พื้นที่โดยรอบเปลี่ยนตาไปในทันที เมื่อเขารู้ตัวอีกทีก็เห็นว่าตัวเขาอยู่ในพื้นที่รูปใบพัดนั่นซะแล้ว


“ห้ะ เคลื่อนย้ายมิติงั้นหรอ” ซูจิ้งทำน่าฉงนขึ้นมา


“พื้นที่ระบบนิเวศเสมือนนี้มีระบบบรรยากาศ อย่างลม ฝน สายฟ้า กระแสไฟฟ้า และแสงอาทิตย์..”


เมื่อฉิงหยุนพูดถึงลมทันใดนั้นก็มีลมพัด เมื่อพูดถึงฝนฝนก็ตกจากท้องฟ้า เมื่อพูดถึงแสงอาทิตย์ก็มีพระอาทิตย์ขึ้นมาจากทิศตะวันออก


ฉิงหยุนยังอธิบายต่อว่า “หากท่านเจ้าของไม่ประสงค์จะเลี้ยงสัตว์หรือปลูกพืชที่นี่ ระบบนิเวศเสมือนนี้ก็จะหยุดทำงานโดยอัตโนมัติเมื่อท่านเจ้าของออกจากพื้นที่เพื่อเป็นการประหยัดพลังงาน”


“ขอดูพื้นที่ใช้สอยหน่อย” ซูจิ้งพูดจบภาพโดยรอบก็เปลี่ยนไปในทันที ตอนนี้เขาได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่รูปใบพัดที่อยู่ข้างๆแล้ว เอาจริงๆสภาพมันก็ไม่ได้ดูดีอะไรแต่เขาแค่อยากสัมผัสประสบการณ์ตอนแวบได้เมื่อกี้อีกครั้ง


ตอนนี้ยังเหลือพื้นที่อีกหกส่วนที่เป็นห้องเย็นที่เขาไม่สามารถเข้าไปได้เพราะมันอยู่ลึกสุดในส่วนพื้นที่เก็บขยะ


เอาจริงๆเขาก็ไม่อยากเข้าไปด้วยเพราะเขาเองก็มองเห็นได้จากตรงนี้อยู่แล้ว


ห้องเย็นที่เขาเห็นนั้นเป็นห้องแก้วที่มีกำแพงใสกั้นเอาไว้ นั่นทำให้เขาไม่ต้องกลัวว่ามันจะแตกหรือรั่วจนเกิดปัญหาขึ้นมา


“ไหนๆก็ไหนๆแล้วลองจัดการขยะดูกว่า” ซูจิ้งพูดลอยๆออกมาก่อนจะถามว่า “ฉันจะออกไปจากที่นี่ได้ยังไงล่ะเนี่ย”


“แค่บอกฉิงหยุนก็พอ” หลังจากสิ้นเสียงทิวทัศน์ดอกไม้ได้กลับมาอยู่ตรงหน้าซูจิ้งอีกครั้ง


ก่อนที่เขาจะแวบไปอยู่หน้าหินแปดเหลี่ยมอีกครั้ง ซึ่งอยู่ที่ชั้นหนึ่งของบ้านเขา


เขาไปที่ชั้นสี่พร้อมกับหยิบถังขยะบนโลก หลังจากนั้นเขาจัดการเทขยะนั้นลงบนพื้น


ก่อนที่จะมีเสียงของฉิงหยุนดังมาในหัวว่า


“ท่านเจ้าของ ท่านอยากจะลองระบบกำจัดจากภายนอกอย่างงั้นหรือ”


ซูจิ้งถึงกับชมเชยความฉลาดของระบบควบคุมนี้อยู่ในใจก่อนจะพูดออกมาว่า “ใช่แล้ว”


“ถ้าอย่างงั้นระบบการกำจัดขยะห้วงเวลาฯขออนุญาตท่านเจ้าของเข้าสู่โหมดกำจัดอัตโนมัติ” ฉิงหยุนเว้นช่วงไปซักพัก ซูจิ้งรู้สึกสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าตรงหน้าเขา หลังจากนั้นขยะตรงหน้าของซูจิ้งได้ลอยขึ้นและลอยลงบนพื้น แต่ขยะกองนั้นได้ถูกจัดประเภทเรียบร้อยในทันที กองหนึ่งเป็นกระดาษ กองหนึ่งเป็นพลาสติก และกองหนึ่งเป็นกระป๋อง


“ระบบคัดแยกอัตโนมัติ” ซูจิ้งอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น ถึงแม้ระบบนี้มันเหมือนจะดูธรรมดามากแต่กับซูจิ้งนั้นโคตรมีประโยชน์


ต้องไม่ลืมว่าขยะห้วงเวลาฯนับวันยิ่งเพิ่มขึ้น แถมครั้งสุดท้ายยังเป็นขยะคนละห้วงเวลาซะอีก


ถ้าเขาสามารถจัดการคัดแยกละเอียดหลังจากคัดแยกเบื้องต้นล่ะก็


เวลาที่ใช้ในการจัดการขยะจะเร็วขึ้นและสบายขึ้นอย่างแน่นอน


“ใช่แล้ว ฉิงหยุนสามารถคัดแยกขยะโดยดูจากลักษณะวัสดุ รูปร่าง การใช้งาน ฯลฯ โดยไม่ทำให้ขยะเหล่านั้นเสียหายแม้แต่น้อย


ท่านเจ้าของโปรดแสดงความต้องการออกมาว่าต้องการให้คัดแยกโดยใช้สิ่งใดเป็นเกณฑ์” ฉิงหยุนพูดออกมา


“ใช้ทั้งหมดนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทางยิ้มกริ่ม


“รับทราบ” หลังจากฉิงหยุนพูดเสร็จซักพักขยะที่อยู่ตรงหน้าก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที


หลังจากนั้นซักพักฉิงหยุนก็ได้พูดออกมาว่า “เตาเผาขยะและการย่อยขยะเสร็จสิ้น”


ซูจิ้งในตอนนี้น้ำตาเกือบจะไหลทะลักออกมาด้วยความยินดี เขานึกอยู่แล้วว่าหลังจากยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯจะต้องมีอะไรสุดยอดให้ใช้งานได้อย่างแน่นอน


พอคิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา


เขาจะต้องคัดแยกขยะด้วยตัวเองทีละชิ้นทีละชั้น


แถมยังต้องขนขยะที่ไร้ประโยชน์ออกไปหาที่ทิ้งอย่างลับๆ


หลังจากนั้นยังต้องมาทำความสะอาดลานทิ้งขยะในสถานีอีก


นี่ยังไม่ต้องพูดถึงขยะที่ค่อยๆเพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆนั่นอีก


ถ้าเขาไม่ได้ฝึกฝนร่างกายและจิตใจให้แข็งแกร่งก่อนการจัดการขยะในแต่ละครั้งล่ะก็ ป่านนี้เขาคงต้องเหนื่อยตายแผ่หลาไปแล้ว


“เดี๋ยวนะ ฉันลืมถามไปอีกอย่าง พลังงานที่ใช้ในการเผาและย่อยขยะห้วงเวลานี่ใช้พลังงานเท่าไหร่”


ซูจิ้งได้ถามออกมาในทันทีที่นึกขึ้นได้ เพราะก่อนหน้านี้เขาถามเพียงแค่พลังงานที่ใช้ในการใช้งานสภาพแวดล้อมจำลองกับพื้นที่คัดแยกเท่านั้น ลืมถามระบบสำคัญนี้ไปเลย


“พลังงานที่ใช้จะขึ้นอยู่กับขยะที่กำจัด ยกตัวอย่างเช่น หิน ไม้ ไม่ว่าจะกองเล็กหรือใหญ่จะใช้พลังงานจากปฏิสสารอยู่ที่ 0.0001 กรัม ต่อ 100 ตัน” ฉิงหยุนพูดออกมา


หลังจากได้ยินซูจิ้งก็มีสีหน้ามืดมนในทันที ขยะ 100 ตัน ใช้พลังงานจากปฏิสสาร 0.0001 กรัม ถึงฟังๆดูจะไม่เยอะแต่หากคำนวนย้อนกลับการผลิตปฏิสสารกลับไปจะเท่ากับใช้เงิน 3 ล้านหยวน หรือจะเอาง่ายๆคือ 3 ล้านหยวนกำจัดได้ 100 ตัน ไม่มีใครในโลกนี้ที่จะใจเด็ดพอที่จะใช้แน่นอนเพราะปกติขยะหนึ่งกิโลจะเสียค่าใช้จ่ายในการกำจัดอยู่ที่ประมาณ 15 หยวนเท่านั้น (หากนำมาเทียบกันจะเป็น 1.5 ล้านหยวนต่อ 100 ตัน)


สมมติให้ขยะห้วงเวลาฯที่เข้ามาทุกเดือนนั้นเทลงมาขั้นต่ำ 1000 ตันเลย


โดยเฉลี่ยจะเทลงมาประมาณ 1.5 ครั้งต่อเดือนก็จะมีขยะเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 6000 ตันต่อเดือน


ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ 180 ล้านหยวนต่อเดือน


ซึ่งฟังๆดูก็ยังดูเล็กน้อยแต่ต้องนึกด้วยว่าในทุกๆครั้งขยะยิ่งเพิ่มมาก แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ก็ต้องยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย


 


ซูจิ้งทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเท่านั้น อย่างที่เขาว่ากันว่าของฟรีไม่มีในโลก


โดยเฉพาะอย่างยิ่งของสุดเจ๋งแบบเตาเผาและระบบย่อยขยะห้วงเวลาฯคุณภาพสูงสุดยอดแบบนี้


นี่ก็ถือว่าใช้น้อยกว่าระบบอื่นบนโลกถ้าคุณภาพเท่ากันแล้ว


ไม่แปลกใจเลยว่าผู้จัดการสถานีในตอนนั้นเลือกที่จะไม่จัดการใดๆแต่หาวิธีผลักภาระไปจัดการที่อื่น


เอาจริงๆนี่ขยะที่ต้องกำจัดไม่ใช่แค่พันตันหรอก แต่เขาต้องกำจัดขยะทั่วไปด้วยแค่ปีนี้ขยะในตำบลเซิ่นเจิ้นก็ปาเข้าไป 15000 ตันเข้าไปแล้ว


นี่คือปริมาณขยะแค่ตำบลเดียวนะ แล้วถ้าเกิดเป็นระดับอำเภอ จังหวัด ประเทศ จนถึงระดับโลกอีกล่ะ


ขยะมากมายในหนึ่งวัน ไม่ต้องพูดถึงระดับเดือน หรือปีเลย


แทบจะจินตนาการได้เลยว่าผู้จัดการสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯคนก่อนต้องปวดหัวแค่ไหน


ต้องสูญเสียพลังงานไปกับการกำจัดขยะไร้ค่าพวกนั้นโดยไม่ได้อะไรเลย


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้ขยะพวกนั้นมีขยะพิษเล็กน้อยแต่พิษก็คือพิษ


ถ้าจัดการไม่ได้เล็กน้อยก็ส่งผลเสียใหญ่หลวง อย่างน้อยสถานีกำจัดห้วงเวลาฯในตอนนี้ก็มีพื้นที่รองรับแล้วล่ะนะ ในที่สุดก็มีพื้นที่ทิ้งหนูลองยาดีๆซักที




GGS:บทที่ 785 พลังงาน ค่าใช้จ่าย และการฟื้นคืน


 


ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “ทำไมเธอต้องการพลังงานมากนักล่ะ เธอไม่มีวิธีประหยัดบ้างเลยหรอ”


ฉิงหยุนตอบกลับมาว่า “เหตุผลที่ต้องใช้พลังงานมากขนาดนี้ก็เพราะด้วยเหตุว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้เป็นสถานีที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและไม่ก่อให้เกิดมลพิษ


นั่นคือเหตุผลที่ต้องใช้พลังงานสูงมากและไม่สามารถประหยัดพลังงานที่ใช้ได้ แต่ตราบใดที่เข้าสู่โหมดประหยัดพลังงาน


พลังที่ใช้จะเป็นพลังงานจากแก๊ซที่ได้จากการหมักขยะห้วงเวลาฯแทน นี่คือวิธีการทำงานของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้”


หลังจากไตร่ตรองซักพักซูจิ้งก็คิดตกแล้วว่าไอ้โหมดประหยังพลังงานนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเขาได้เลย และแน่นอนว่าการประหยัดเงินที่ต้องใช้ในการผลิตพลังงานก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน


การใช้แก๊ซเป็นแหล่งพลังงานนั้นไม่เพียงแต่จะก่อให้เกิดมลพิษให้กับสิ่งแวดล้อมโดยรอบพื้นที่นี้ แต่ยังเกิดผลกระทบขั้นเลวร้ายอย่างเช่นเศษธนูนั่น


 


เขานึกในใจว่า “นอกจากเราต้องหาเงินให้ได้ 1 – 2 พันล้านหยวนในหนึ่งเดือน แถมยังต้องหาวิธีกำจัดขยะที่ไม่ใช่การเผาและไม่ก่อให้เกิดมลพิษอีกแหล่ะนะ


ต่อให้ขยะจะมากมายขนาดไหนตราบใดที่หาเงินมาป้อนสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯได้ทันก็ไม่มีปัญหาแน่นอน จะหวังพึ่งเรื่องนี้กับบรรดาคนใหญ่คนโตทั้งหลายไม่ได้ด้วยสิ”


 


ความจริงนั้นซูจิ้งค่อนข้างจะพึงพอใจกับผลลัพท์ที่ได้จากการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้


ทั้งกำแพงป้องกันมิติ ระบบรีไซเคิล ระบบคัดแยกอัตโนมัติ ระบบเผาและย่อยขยะห้วงเวลาฯอัตโนมัติ แต่ละระบบที่เพิ่มเข้ามาล้วนทำให้ชีวิตของเขาในการจัดการขยะห้วงเวลาฯง่ายขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย


ทันใดนั้นซูจิ้งก็รู้สึกมีเรื่องคาใจบางอย่างจนต้องถามออกมาว่า “ตอนนี้สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯยังรับขยะเข้ามาเองแบบอัตโนมัติอยู่รึเปล่า”


หากคิดดีแล้วๆปัญหาหลักที่สุดก็คือเรื่องนี้ ถ้าสามารถปิดระบบอัตโนมัติของมิติช่องรับขยะที่ชอบเปิดปิดเองได้


หรือถ้าสามารถเลือกที่จะปฏิเสธการรับขยะในบางกรณีได้ล่ะก็


เขาจะไม่ต้องกังวลาว่าจะกำจัดขยะไม่ทันหรือหาพลังงานไม่พอจนทำให้เหตุการณ์ล่มสลายได้


ยังไงซะในตอนนี้สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯได้ยกระดับขึ้นมาแล้วอย่างน้อยๆก็น่าจะพอทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้าง


ฉิงหยุนได้ตอบออกมาทันทีว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้ นอกจากว่าท่านเจ้าของจะยกระดับที่นี่เป็นระดับสองก่อนเท่านั้น”


ซูจิ้งตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินแล้วถามต่อว่า “ถ้าฉันยกระดับที่นี่เป็นระดับสองแล้วฉันสามารถเปิดปิดประตูมิตินั่นได้ล่ะก็ แล้วฉันสามารถไปห้วงเวลาฯอื่นได้รึเปล่า”


ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมเขาจะถามนั่นก็เพราะว่าหากเขาสามารถเปิดปิดประตูที่จะเปิดรับขยะห้วงเวลาฯได้ละก็


สมควรที่เขาจะสับเปลี่ยนมิติห้วงเวลาฯที่เขาเปิดรับ


และนั่นอาจจะหมายถึงว่าเขาอาจจะสั่งให้เปิดประตูมิตินานพอที่เขาจะไปกลับได้ทั้งห้วงเวลาฯ วันพีซ โลกแห่งเซียน และห้วงเวลาฯอื่นๆ


ถึงแม้จะเป็นการท้าทายสวรรค์ก็ตามแต่ถ้าเป็นไปได้มันก็ช่างน่าตื่นเต้นและท้าทาย


ต่อให้เมื่อเขาไปแล้วจะกลายเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในห้วงเวลาฯเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่กลัว ที่เขากลัวเพียงอย่างเดียวคือจะไม่มีวิธีกลับมาแค่นั้นเอง


ฉิงหยุนตอบออกมาว่า “ตามทฤษฎีนั้นเป็นไปได้ แต่ยังไงซะการเปิดปิดช่องมิติเหล่านั้นยังง่ายกว่าการที่จะเลือกห้วงเวลาฯที่ต้องการจะเปิด


นั่นก็เพราะว่ามิติห้วงเวลาฯนั้นมากมายเหลือคณานับยากต่อการจะเลือกเปิดได้ อีกทั้งหากช่องมิติที่เลือกไม่เสถียรพออาจก่อให้เกิดอันตรายขั้นร้ายแรงได้”


คำตอบนี้ของฉิงหยุนเปรียบได้กับน้ำเย็นเจี๊ยบที่ราดลงบนหัวซูจิ้งที่กำลังมีความคิดพลุ่งพล่านในทันที


หลังจากฟังแล้วเขาก็ตระหนักได้ในทันทีว่ามันก็ควรจะเป็นความจริงที่ว่าช่องมิติเหล่านั้นไม่เสถียร


ต่อให้มีพลังงานมหาศาลคอยค้ำจุนก็ใช่ว่าจะทำให้เสถียรได้โดยง่ายนี่เป็นเรื่องที่ซูจิ้งไม่เคยคาดไว้มาก่อน


การที่ช่องมิติรับขยะห้วงเวลาฯเปิดออกมาได้แบบนี้ความจริงก็ค่อนข้างคล้ายกับทฤษฎีรูหนอนที่นักวิทยาศาสตร์บนโลกตั้งไว้อยู่บ้าง


และปัญหาเรื่องทฤษฏีนี้ไม่ใช่เรื่องที่เทคโนโลยีอย่างเดียวที่จะแก้ปัญหาได้ แต่ก็อีกนั่นแหล่ะเพราะว่ามนุษย์โลกยังแก้ปัญหานี้ได้ทำให้โลกนี้ยังคงปลอดภัยอยู่


“งั้นต้องเติมปฏิสสารอีกเท่าไหร่ถึงจะยกระดับไประดับสองได้”


ซูจิ้งถามต่อ เพราะต่อให้เขาไปสามารถไปห้วงเวลาฯอื่นได้แต่การเปิดปิดช่องมิติรับขยะอัตโนมัติได้ล่ะก็ยังไงก็ยังถือว่าดีมากพอแล้ว


คุ้มค่าที่จะยกระดับหากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ปฏิเสธรับขยะได้ ถึงจะชั่วคราวก็ยังดี


“มีสองเงื่อนไข หนึ่งคือต้องมีพลังงานที่มีค่า 1 ล้านและหมุนเวียนที่ 1 ล้าน”


“….อะไรคือมีค่า 1 ล้านและหมุนเวียน 1 ล้าน” ซูจิ้งต้องถามออกมาจริงๆเพราะเขาไม่เข้าใจที่ฉิงหยุนพูด


“ค่าพลังงานนั่นก็คือพลังงานที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้เก็บสำรองเอาไว้ได้โดยปฏิสสาร 1 กรัมจะมีค่าพลังงานเท่ากับ 1 หมื่น”


“นั่นก็หมายความว่าค่าพลังงาน 1 ล้านจะเท่ากับปฏิสสาร 100 กรัม หรือก็คือต้องสูบเงินในกระเป๋าของฉัน 3 ล้านล้านหยวนนนนนนน…… ”


ซูจิ้งต้องอ้าปากค้างจนหุบไม่ลงไปอีกพักใหญ่ ก็อีแค่เขาต้องการหยุดระบบรับขยะอัตโนมัติเขาต้องทุ่มทุนขนาดนั้นเลยงั้นหรอ อย่างที่เขาว่าไว้กันจริงๆว่าอย่ารู้มากถ้าอยากให้ชีวิตสงบสุข


 


“แล้วอะไรคือค่าใช้ประโยชน์ที่ว่าล่ะ” ซูจิ้งถามต่อเพื่อให้ไม่มีคำถามค้างคาใจ


“ท่านเจ้าของโปรดจำไว้ให้ขึ้นใจเสมอว่า สถานีกำจัดขยะที่ดีที่ทุกคนต้องการนั้นจะต้องมุ่งมั่นปฏิบัติให้ได้สามด้าน ได้แต่ ไร้พิษภัย ลดขยะ และคุ้มค่า


ไร้พิษภัยคือการที่ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ลดขยะก็คือการลดปริมาณขยะที่หลงเหลือจากการจัดการให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯตอบสนองทั้งสองข้อนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนท่านเจ้าของเพียงแค่ต้องหาพลังงานมาใส่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ให้ทันเท่านั้น แต่อย่างสุดท้ายเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัยากรซึ่งซูจิ้งไม่ถนัดเรื่องนี้อย่างยิ่ง ได้แต่หวังเพิ่งท่านเจ้าของแล้ว ที่เรียกว่าค่าใช้ประโยชน์นั่นก็คือการนำขยะห้วงเวลาฯกลับมาใช้ใหม่ ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตามขอเพียงแค่ลดการกำจัดขยะได้ ไม่ว่าจะเป็นการนำขยะไปใช้ต่อ หรือแม้แต่การนำของเสียไปขายก็ไม่มีปัญหา” ฉิงหยุนอธิบายออกมา


“เข้าใจล่ะ ว่าแต่อัตราการหมุนเวียนที่ว่านี่วัดจากอะไรล่ะ” ซูจิ้งถามต่อ


“วิธีการวัดค่าการหมุนเวียนนี้ค่อนข้างจะพิเศษนิดหน่อย


การวัดค่าจะดูจากเงินที่ได้จากการนำไปใช้หรือการขาย ความประหลาดใจหรือแม้แต่ความตกตะลึงเวลานำขยะห้วงเวลาฯไปมอบให้ผู้คน


จะให้เข้าใจง่ายๆก็คือผลกระทบที่เกิดจากขยะห้วงเวลาฯไม่ว่าจะเป็นทางเศรษฐกิจ สังคม หรือสิ่งแวดล้อม


ตราบใดที่ทำให้เกิดเรื่องดีจากขยะห้วงเวลาฯ ความดีเหล่านั้นจะถูกนำไปคำนวณเพื่อใช้เป็นค่าหมุนเวียน


แต่ท่านเจ้าของเองก็ต้องจำไว้ให้ดีว่าหากเกิดเรื่องไม่ดีจากขยะห้วงเวลาฯ เรื่องไม่ดีเหล่านั้นก็จะถูกนำไปหักลบกับอัตราการหมุนเวียนนี้เช่นกัน


ท่านเจ้าของไม่จำเป็นต้องรู้สูตรคำนวนเหล่านั้น เพียงทราบค่าค่าใช้ประโยชน์ที่ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว”


“เธอมีขอบเขตการรับรู้หรืออะไรพวกนั้นบ้างรึเปล่า หรือมีวิธีไหนบ้างที่ไม่สามารถนำไปคำนวนหรือข้อยกเว้นการคำนวนอะไรพวกนั้นหล่ะ”


“ตราบใดที่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดบนโลกนี้ ฉิงหยุนสามารถรับรู้ได้ทั้งหมด”


“แล้วขยะที่ฉันนำออกไปใช้ก่อนหน้านี้นับด้วยรึเปล่า”


“ไม่นับ เพราะตอนนั้นฉิงหยุนยังไม่ได้ยกระดับ ทำให้ไม่มีความสามารถในการรับรู้เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นมาได้ รวมถึงไม่สามารถทราบถึงปริมาณขยะที่ถูกนำไปใช้ประโยชน์ได้


แต่นับจากนี้ฉิงหยุนจะคอยนับและคำนวนทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเจ้าของทำและใช้ไป โดยตอนนี้ฉิงหยุนมีปฏิสสารเก็บสะสมไว้เพียง 0.008 กรัมเท่านั้น เท่ากับว่าตอนนี้มีค่าพลังงานอยู่ที่ 80”


“อย่าขี้เหนียวไปหน่อยเลยน่า ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ทำอะไรไว้ตั้งเยอะ เธอลองหาวิธีคิดเรื่องที่ฉันเคยทำหน่อยสิ ถ้านำมาคิดได้ฉันว่าฉันน่าจะได้ค่าใช้ประโยชน์มากมายเลยนะ


ค่าพลังงาน 80 เทียบกับค่าพลังงานล้านนึงที่ฉันต้องหานี่เทียบกันไม่ได้เลยซักนิด คิดอย่างนี้อย่านับเลยดีกว่า” ซูจิ้งบ่นออกมาเป็นหมีกินผึ้งอย่างเซ็งๆ


“ฉิงหยุนสามารถแก้ค่าพลังงานให้เป็นศูนย์ได้นะถ้าท่านเจ้าของต้องการ”


“ไม่ไม่ไม่ ปล่อยไว้อย่างนั้นแหล่ะจ้ะ จะจริงจังไปทำไมกัน ฉันล้อเล่นน่า”


ซูจิ้งรีบตอบออกไปทันทีเพราะกลัวฉิงหยุนจะบ้าเปลี่ยนตามที่เขาบ่นจริง ยังไงซะต่อให้เป็นยุง แต่รวมกันเยอะๆก็เอามาทำเบอร์เกอร์ได้


“ฮ่าฮ่า ท่านเจ้าของอย่ากังวลไปเลย ฉิงหยุนแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง” เสียงฉิงหยุนในตอนนี้เหมือนเสียงของพี่สาวที่ทำเป็นจริงจังเพื่อแกล้งน้องชายตัวน้อยๆอย่างหยอกเอิน


“…..” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก เขาคิดอะไรอยู่เนี่ยถึงกล้าไปตอแยกับฉิงหยุนกัน


“ต้องใจเย็นลงหน่อยแหะ พอคิดๆดูแล้วค่าพลังงาน 1 ล้านกับค่าใช้ประโยชน์ 1 ล้านนี่ถึงจะฟังดูมันสูงเวอร์แต่ดูๆก็น่าจะพอทำมันได้


นอกจากจะทำให้ปิดระบบช่องรับขยะห้วงเวลาฯแล้ว ยังทำให้โลกหลีกเลี่ยงอันตรายได้ด้วย แถมยังทำให้มีโอกาสเข้าถึงห้วงเวลาฯต่างๆที่ฉันใฝ่ฝันถึงพวกนั้นได้อีก”


ในห้วงจิตสำนึกของซูจิ้งในตอนนี้ได้คิดสิ่งต่างๆไว้มากมายเพราะยังไงซะ ค่าพลังงาน 1 ล้าน และค่าการใช้ประโยชน์ 1 ล้านใช่ว่าจะทำได้ในวันเดียว


 


เมื่อรู้สึกตัวขึ้นเขาก็พบว่าโลกภายนอกในตอนนี้เป็นช่วงดึกมากแล้ว เขาจึงไปอาบน้ำที่ชั้นสี่แล้วนอนหลับอย่างสบายใจ


สำหรับซูจิ้งนี่คือการหลับไหลที่สบายใจที่สุดนับตั้งแต่เขาต้องยิ่งเกี่ยวกับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้


อย่างไรก็ตามประมาณซักช่วงตีสองไม่ก็ตีสาม ฉิงหยุนได้ส่งเสียงเรียกเขาภายในจิตสำนักว่า


“ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯชุดใหม่มาแล้ว” ถึงแม้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้จะมีกำแพงกั้นมิติแล้วก็ตาม


ฉิงหยุนเลือกที่จะเรียกซูจิ้งเองแทนที่จะปล่อยให้สัญญาณเตือนแบบที่ใช้ปกติตอนก่อนยกระดับด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบได้


ซูจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นและได้ลุกขึ้นก่อนที่จะรีบลงบันไดมา เหตุผลที่ไม่ใส่ใจนั่นก็เพราะว่าเขาคิดถึงการค้นหาสมบัติจากกองขยะของเขานั่นเอง



GGS:บทที่ 786 ขยะชุดใหม่


 


ซูจิ้งรีบลงมาที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้เขาไม่ได้พาเหล่าสัตว์เลี้ยงมาด้วย


นั่นก็เพราะว่าตอนนี้สถานีมีกำแพงมิติแล้วทำให้เขาไม่จำเป็นต้องมีองครักษ์อีกต่อไป


ทันทีที่เขาเข้าไปข้างในก็พบช่องมิติกำลังเปิดอยู่และขยะห้วงเวลาฯกำลังไหลลงมาจากที่นั่น


ผ่านไปซักพักขยะห้วงเวลาฯเหล่านั้นก็รวมกันเป็นกองใหญ่โตมโหฬาร


 


แต่ไม่ว่าขยะจะกองใหญ่โตมโหฬารขนาดไหนก็ตามแต่ไม่มีขยะซักชิ้นเลยที่ตกลงบนพื้น


พวกมันลอยอยู่กลางอากาศด้วยสนามแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพิเศษของสถานี


พวกมันทยอยลอยแยกกันไปออกเป็นหมวดหมู่อย่างเป็นระเบียบ


ไม่ว่าจะเป็นไม้ ผ้า แม้ต่อเศษขี้เถ้าฝุ่น แต่ละชิ้นไม่มีสภาพแตกหักหรือเสื่อมสภาพแม้แต่น้อย


 


“การตัดสินใจยกระดับสถานีที่ว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกแล้วจริงๆ”


 


ซูจิ้งถอนหายใจออกมาอย่างสบายใจ หลังจากนั้นขยะก็เริ่มหยุดไหลออกมาจากช่องมิติซักพักมันก็หายไป


 


ซูจิ้งเข้าไปดูผลจากการคัดแยกของฉิงหยุน เขาพบว่าขยะกองนี้จำแนกหมวดหมู่ได้ 20 กว่ากองซึ่งแต่ละกองก็มีขนาดไม่เท่ากัน


ส่วนใหญ่เหมือนจะเป็นชุดไม่ก็ผ้าสมัยโบราณ


นั่นหมายความว่าขยะห้วงเวลาฯที่มาใจครั้งนี้สมควรจะมาจากห้วงเวลาฯที่ดูย้อนยุคหน่อยๆ


โดยมีครึ่งหนึ่งที่ดูเปียกๆไม่ก็เริ่มส่งกลิ่น สมควรมาจากพื้นที่ที่ชุ่มน้ำ


 


จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาจากการกำจัดขยะห้วงเวลาฯถือว่านี่เป็นสัญญาณที่ไม่ดีนักเพราะว่าขยะที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำไม่เพียงแค่จะมีกลิ่นเหม็นเท่านั้น


แต่ยังหมายถึงว่ามีโอกาสที่พวกมันจะเน่าและเสียหายอย่างรวดเร็วทำให้ยากต่อการหาของดีๆได้


 


“แล้วกองเล็กๆนี่คือ?”


 


ซูจิ้งจ้องไปยังกองเล็กที่ถูกจัดแยกเอาไว้แทบจะอยู่ท้ายสุด มันเล็กขนาดที่ว่าโกยลงถังน้ำได้


เมื่อเทียบกับขยะกองอื่นที่มากมายมโหฬารแล้วแทบจะบอกได้เลยว่าไม่เข้าพวกเลยซักนิด


แต่หลังจากดูดีๆแล้ว ซูจิ้งก็ยังแน่ใจอยู่ว่ามันถูกคัดแยกออกมาโดยฉิงหยุนอย่างแน่นอน


มันคือสิ่งมีชีวิต พวกมันตัวเล็กและไม่ได้ดูมีความพิเศษอะไร เอาจริงๆมันเหมือนสัตว์จำพวกหอยซะมากกว่า แต่มันก็ยังดูแปลกตาตรงที่มีลวดลายที่เปลือกเหมือนลายเสือ


 


ซูจิ้งกลัวว่าพวกมันจะตายก็เลยนำไปใส่โหลแก้วแล้วเติมน้ำทะเลลงไป


เพื่อที่ว่าเอาไว้ว่างๆค่อยมาดูกันอีกทีว่ามันคือตัวอะไรกันแน่


แต่ทันทีที่ใส่มันเข้าไปเขาได้ยินเสียงร้องของสีดังลั่นออกมาจากพวกมัน


“ห้ะ อะไรล่ะนั่น”


ซูจิ้งหยุดแล้วลองฟังดีๆ เขาก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร


แต่เขาก็ยังสงสัยอยู่จึงลองใส่พวกมันลงไปต่อแต่คราวนี้เขาได้ปล่อยพลังจิตออกมาเพื่อจับสังเกต


คราวนี้เขาได้ยินเสียงเสียคำรามอีกครั้งซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากหอยเหล่านี้อย่างแน่นอนเพราะพวกมันส่งเสียงทันที


เมื่อพวกใหม่ค่อยๆจมน้ำแถมยังมีฟองอากาศลองออกมาไม่ขาดสายเหมือนเสียงออกมาจากฟองอากาศเหล่านั้น


“สงสัยต้องยืนยันซักหน่อยแหะว่ามันเป็นหอยหรือเสือกันแน่”


ซูจิ้งเองก็ตกใจไม่น้อย เขาเริ่มตัดสินใจที่จะหาคำตอบโดยการสะกดจิตหอยพวกนี้บางส่วนและบังคับให้มันส่งเสียงออกมา


อย่างที่คาดไว้เสียงของพวกมันเหมือนเสียงเสือตัวเล็ก


พอหาคำตอบดูก็พบว่าเสียงพวกนี้มันจะส่งเสียงเฉพาะตอนที่เกิดเหตุการณ์ไม่ปกติจนทำให้พวกตกใจเลยร้องออกมา


พวกมันบอกว่าเป็นเพราะพวกมันตัวเล็กมากจึงได้พยายามเลียนแบบเสียงของสัตว์ร้ายเอาไว้ข่มขวัญศัตรูเท่านั้น


 


ก็เหมือนอย่างงูบางชนิดที่ใช้หางเกี่ยวกิ่งไม้แล้วเขย่าเพื่อทำให้ศัตรูคิดว่าเป็นงูหางกระดิ่ง


ซูจิ้งสงสัยขึ้นมาทันทีว่าแล้วทำไมต้องเป็นเสือหล่ะทำไมพวกหอยจึงไม่เลียนแบบสัตว์ร้ายในทะเลแต่เป็นเสือที่อยู่ในป่าเขาแทน


 


ซูจิ้งทำได้แต่ถอนหายใจออกมาพลางคิดไปว่าห้วงเวลาฯที่พวกนี้จากมาสมควรจะใหญ่และโหดร้ายพอทีจะเจออะไรก็ได้ทุกเมื่อ


เขานำพวกมันขึ้นมาตัวหนึ่งก่อนที่จะจับพลิกดูไปเรื่อยๆเพื่อศึกษาเพื่อเติม


เอาจริงๆสิ่งแรกที่เขาคิดได้ตอนที่เจอหอยพวกนี้ก็คือรสชาติจะเป็นยังไง


แต่ยังไงซะเขาก็สมควรจะแน่ใจก่อนว่าพวกมันกินได้


 


“เปิดออก” ซูจิ้งสั่งให้หอยนั้นเปิดกาบฝาของมันออก ทันทีเปิดออกเขาเห็นว่าเนื้อของมันเป็นสีทอง ดูเย้ายวนน่าอร่อย


อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังคิดอยู่ว่าเจ้าหอยพวกนี้เนื้อมันช่างน้อยนิดแทบจะติดเปลือกเลยก็ว่าได้


 


“หืม ไข่มุก?” ทันทีที่ซูจิ้งเห็นบางอย่างข้างในเขาถึงกับตาลุกโชน ทำไมถึงมีไข่มุกอยู่ในนี้ได้กันล่ะ


เขาลองปล่อยกระแสจิตออกไปตรวจสอบดูก็พบว่าไข่มุกเม็ดนี้ขนาดค่อนข้างใหญ่


ขนาดของมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ประมาณ 12 มม. และค่อนข้างกลม


ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจจริงๆ สำหรับเขาถึงแม้จะไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก


แต่ยังไงซะการเจอพวกมันแบบนี้ก็เหมือนเป็นโบนัส ปล่อยทิ้งไว้ก็เสียของเปล่าๆ


ซูจิ้งจึงนำมันใส่กระป๋องก่อนที่จะหันไปมองหอยตัวอื่นโดยที่สายตาส่องประกาย


เป็นไปดั่งที่เขาคาดไว้จากหอยทั้งหมด18ตัว 11ตัวในนั้นมีหอยมุกอยู่เขาพลางคิดไปว่ามันมีเยอะรึเปล่าเพราะว่านี่เป็นหอยจากธรรมชาติไม่ใช่หอยเลี้ยง


“ไหนขอลองดูหน่อยสิ”


ซูจิ้งปลดปล่อยกระแสจิตออกมาอีกครั้ง


เขาค่อยทำการเอาหอยมุกออกมาจากหอยพวกนั้นอย่างระมัดระวังโดยมีด


เขาค่อยๆทิ่มเข้าไปในบริเวณที่ไข่มุกฝังตัวอยู่อย่างแม่นยำแล้วงัดมันออกมา


ไข่มุกที่ได้นี้มันไม่เพียงแต่จะเกือบเป็นทรงกลมเท่านั้น สีของมันยังดูเหมือนหยก บางก้อนก็สีเหมือนทองคำ หากมองผ่านๆนี่มันดูเหมือนทองคำทรงไข่มุกที่สวยงาม


ในโลกนี้นั้นการที่จะผลิตไข่มุกที่มีลักษณะนี้ได้เป็นเรื่องยากมาก


ที่พอทำกันได้ส่วนใหญ่จะขนาดเล็กมาก และด้วยสีที่สวยงามและอัตราการผลิตที่ยากยิ่งทำให้พวกมันมีราคาสูงพอสมควร


“แค่ไข่มุกไม่กี่ก้อนก็กลายเป็นเงินมหาศาลแล้ว ถ้าเราผลิตได้เป็นร้อยหรือเป็นพันล่ะ


เจ้าหอยนี่สมควรที่จะเพาะพันธุ์เอาไว้ผลิตไข่มุกจริงๆ ลองเพาะพันธุ์มันดูดีกว่า


ถ้ามันสามารถผลิตไข่มุกได้มากพอล่ะก็น่าจะพอทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจได้อยู่นะ”


ซูจิ้งคิดไปพลางแสดงท่าทางมีความสุจออกมา


การหาโอกาสทำเงินในตอนนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นการทำเงินจริงๆอย่างเดียวอีกต่อไป


แต่มันยังเป็นการเพิ่มอัตราการผลิตปฏิสสารที่จะนำมันไปใช้เป็นค่าพลังงานและผลพลอยได้ที่สำคัญคือค่าการใช้ประโยชน์อีกด้วย


ซูจิ้งเองก็คิดไว้อย่างดีแล้วว่าเขาสมควรจะใช้แนวทางนี้ในการรับค่าต่างๆเพื่อใช้ในการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เป็นเรื่องดีที่ว่าการจะทำอะไรซักอย่างแล้วได้ผลลัพธ์มากกว่าสองอย่างแน่นอน


 


“เจ้าหอยอีกสองพันธุ์นี่ก็สมควรจะมีอะไรพิเศษบางนา”


ซูจิ้งหยิบหอยทรงเจดีย์ขึ้นมาดูแต่เขาก็ไม่พบว่ามีอะไรพิเศษ สุ


ดท้ายเขาเลยลองนำเนื้อของหายอีกสองพันธุ์นั่นไปให้หนูกินเพื่อเป็นการทดสอบ


แต่พวกหนูหลังจากกินไปแล้วก็ไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดแถมพวกมันยังบอกเขาว่าหอยนี่ไม่อร่อยซะด้วยซ้ำ


 


“แล้วนี่คือ?” ซูจิ้งเริ่มสังเกตเห็นว่ามีถุงบางอย่างติดอยู่กับเปลือกหอยทั้งสองพันธุ์


ตอนแรกเขาก็คิดว่าเป็นแค่เปลือกหอยธรรมดาแต่หลังจากที่เขาดึงออกมาแล้วนำมาดูดีๆกลับไม่ใช่


ข้างในนั้นคล้ายๆกับว่ามีต้นไม้เล็กๆต้นหนึ่ง ที่เหมือนจะเพิ่งงอกขึ้นมา มันมีลักษณะคล้ายต้นข้าว


ที่หมู่บ้านตระกุลซูมีนาข้าวอยู่ใกล้ๆ ระหว่างทางที่ซูจิ้งไปหรือกลับโรงเรียนทั้งในระดับ ป.ถมและม.ต้นซูจิ้งจะได้เห็นทุ่งข้าวตลอดสองข้างทาง


เขานั้นเห็นพวกมันบ่อยมากจนเชื่อว่าตัวเองเห็นไม่ผิดอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตามเจ้าต้นข้าวนี้มันดูเล็กๆ ผอมๆ แห้งๆ เหมือนจะพร้อมตายได้ตลอดเวลา


ต่อให้มันไม่ตายก็ไม่น่าจะออกรวงข้าวออกมาได้


“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าจะเป็นข้าวแบบไหนแต่ลองปลูกดูก่อนแล้วกัน”


ซูจิ้งค่อยๆนำต้นข้าวอันเล็กจิ๋วนั่นปลูกลงดินอย่างระมัดระวัง


หลังจากนั้นได้นำบรรดาหอยที่คัดแยกออกมาได้มาใส่ไว้ด้วยแล้วนำไปไว้ที่ชั้นสาม


เขานั้นให้ฉิงหยุนปรับแต่งบ้านนี้โดยให้ชั้นหนึ่งเป็นสภาพสิ่งแวดล้อมเสมือน ชั้นสองเป็นห้องเย็น เขาเองก็จะคอยหาจังหวะปรับแต่งบ้านของเขาไปเรื่อยๆเช่นกัน



GGS:บทที่ 787 คัมภีร์


 


หลังจากซูจิ้งให้ฉิงหยุนส่งหอยเจดีย์ หอยกาบลายเสือ และต้นข้าวไปยังมิติระบบนิเวศจำลองแล้ว เขาก็ได้จัดการขยะของเขาต่อไป ผ่านไปซักพักเขาได้เลือกว่าขยะกองไหนที่ไม่มีค่าบ้าง


เมื่อมาถึงขยะกองหนึ่ง ขยะกองนี้ต่างจากกองอื่นเพราะมันนั้นเต็มไปด้วยกระดาษมากมาย ระบบคัดแยกอัตโนมัตินี่ช่วยร่นเวลาให้เขาได้อย่างดีจริงๆ


เขาตรงเข้าไปรื้อขยะกองนั้นในทันที จากประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยให้เขาจัดการกระดาษเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น เขาคัดแยกพวกมันซ้ำอีกครั้งโดยการเลือกดูลักษณะตัวอักษรบนกระดาษ


กระดาษแต่ละชิ้นถูกซูจิ้งอ่านอย่างตั้งใจและแยกพวกมันไว้อย่างเป็นระเบียบ


 


บางแผ่นเป็นกระดาษจดบันทึกที่ขาดออกมา บ้างก็เป็นหนังสือที่ได้รับความเสียหาย บ้างก็ตัวอักษรขาดหายไปบางส่วน


เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็ได้แต่นึกได้อย่างเดียวว่าห้วงเวลาฯที่ขยะเหล่านี้หลุดออกมานั้นน่าจะมีสภาพอยู่ในช่วงจีนโบราณ


ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้สังเกตเหตุกระดาษกองหนึ่งที่ดูสภาพดีมากๆ และอยู่กันเป็นชุดขนาดใหญ่


เขาลองเปิดมันดีเมื่อเห็นเนื้อหาซูจิ้งก็ต้องแปลกใจ หน้าที่เปิดออกดูเป็นภาพวาดพระพุทธรูปที่มีใบหน้าที่ดูแสดงถึงความโอบอ้อมอารีนั่งขัดสมาธิพร้อมมือที่วางทับกัน


 


ภาพวาดนี้ถึงจะดูเหมือนเป็นภาพวาดธรรมดาแต่มันแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบทำให้คนที่มองภาพนี้ต้องสงบจิตใจตามไปด้วย


ซูจิ้งเองเพียงแค่มองเพียงทีเดียวก็ถึงกับทำตาเป็นประกาย เขาอดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างตั้งใจ เขายังมองเห็นตัวอักษรเล็กๆมากมายที่รายรอบภาพวาดพระพุทธรูปนั้น มันเหมือนกับเป็นอักขระบางอย่างและมีคำหนึ่งเขียนไว้ตรงข้างบนสุดว่า “หัวใจพระสูตร”


ซูจิ้งผงะไปเล็กน้อยก่อนที่จะเปรยออกมาว่า “หัวใจพระสูตรช่างเป็นคำที่คุ้นเคยยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามันจะใช่ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร(พระสูตรอันเป็นหัวใจแห่งปฏิปทาอันยวดยิ่งแห่งความรู้แจ้ง)รึเปล่านะ”


ซูจิ้งได้เข้าไปในโลกอินเทอร์เน็ตทันที เขาลองเปรียบเทียบโดยใช้คำต่างๆอย่าง พระสูตรมหายานะ พระสูตรปารมิตาหฤทัยสูตร และพระสูตรทั่วไป ทิ้งมาจะมีเนื้อหาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกันแต่ก็จะมีแก่นแท้ที่ต่างกัน


ซูจิ้งได้ลองอ่านหัวใจพระสูตรเล่มนี้ดูอย่างสงบ และทันใดนั้นก็รู้สึกประหลาดใจเพราะเนื้อหาข้างในนั้นมีความละเอียดอย่างมาก เรียกได้ว่ามีผลดีกว่าการมองรูปวาดนั่นซะอีก


ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่ได้แตกฉานในทางพุทธนัก แต่เขาก็บอกได้เลยว่ารายละเอียดเนื้อหาในพระสูตรเล่มนี้เนื้อล้ำยิ่งกว่าความรู้ของพระในศาสนาพุทธและคำพูดนี้ไม่ได้พูดเกินจริงเลยแม้แต่น้อย


ตราบใดก็ตามที่สามารถทำความเข้าใจเนื้อหาในพระสูตรเล่มนี้ได้ ผลที่ได้จากหัวใจพระสูตรเล่มนี้ไม่ด้อยไปกว่าชุดดื่มชาที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯทลายสวรรค์แน่นอน


ซูจิ้งพลางนึกไปว่า “พระสูตรเล่มนี้กับพระพุทธรูปนั่นเป็นประโยชน์ต่อการฝึกจิตของเรา


แต่แน่นอนว่าประโยชน์ที่ได้รับย่อมมีขีดจำกัด แต่ยังไงซะคนที่นับถือศาสนาพุทธน่าจะชอบของทั้งสองนี่นะ


ถ้าพวกเขาเข้าใจพวกมันได้จริงๆล่ะก็ พวกเขาจะได้ประโยชน์จากมันอย่างแน่นอน”


ซูจิ้งเริ่มมีความคิดว่าจะเผยแพร่ภาพพระสูตรและรูปปั้นนี้โดยรูปถ่าย


ถ้าเป็นก่อนหน้านี้เขาจะไม่มีความคิดแบบนี้อย่างแน่นอนแต่ตอนนี้เขาคิดว่าวิธีนี้ไม่เลวเลยเพราะมันน่าจะช่วยเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของฉิงหยุนได้อย่างดี


ตามฉิงหยุนได้บอกไว้คือค่าการใช้ประโยชน์จะเพิ่มขึ้นตามมูลค่า ความประหลาดใจ ความตกตะลึง ของผู้คน และทำให้เกิดผลดีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม


หัวใจพระสูตรเล่มนี้ และพระพุทธรูปนี้สมควรที่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้คนไม่น้อยเช่นกัน และน่าจะเกิดผลดีในสังคมอีกด้วย ได้แต่ลองดูล่ะนะ


แน่นอนว่าพระสูตรเล่มนี้และพระพุทธรูปนี่ตรงกับเงื่อนไขที่ฉิงหยุนเคยบอกเขาไว้ฉะนั้นมันคุ้มค่าที่จะเสี่ยงแน่นอน


 


วิถีการฝึกพลังวิญญาณของซูจิ้งนั้นไม่ได้มีความรู้สึกแปลกแยกกับพระสูตรนี้แต่อย่างใดเนื่องมาจากว่าเขานั้นได้มาจากห้วงเวลาฯไซอิ๋วซึ่งมีพื้นเพในทางพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว


แทบจะบอกได้ว่าเสริมกันจะเทียบได้กับการบ่มเพาะวิถีเซียนเลยก็ว่าได้


ยิ่งซูจิ้งฝึกมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกได้ว่าจิตใจของเขาแข็งแกร่งขึ้น


ภาพวาดทิวทัศน์จากห้วงเวลาฯDesolate Era  ชุดดื่มชาจากห้วงเวลาฯฝืนชะตาฟ้าฯ และคัมภีร์พระสูตรและพระพุทธรูป


ไม่ว่าใครก็ตามเมื่ออยู่ต่อหน้าของเหล่านี้จะรู้สึกได้ถึงความสุขสงบในใจ


ไม่ว่าจะเป็นเหล่าปรมาจารย์จากศาสนาไหนก็ตามที่แสวงหาความสุขสงบทางใจ


หรือแม้แต่ศิลปินที่ล้วนแล้วแต่แสวงหาความสงบสุขบนงานศิลป์ของตนเอง


เมื่อได้เห็นของทั้งสามนี้ล้วนแล้วแต่ต้องยอมรับและได้ประโยชน์ในทันทีที่เห็น


หากจะให้พูดจริงๆล่ะก็ถ้าให้เรียงลำดับจากผลการเสริมความสงบสุขในใจจากมากไปน้อยล่ะก็


 


ที่มากที่สุดจะเริ่มจากภาพวิวทิวทัศน์ ชุดดื่มชา คัมภีร์พระสูตร พระพุทธรูป และสุดท้ายก็น่าจะเป็นชุดตัวอักษรที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Eraและห้วงเวลาวิถีเซียน


ถึงแม้จะไม่เสริมผลได้เท่ากับชาใบไม้ร่วงที่ได้จากห้วงเวลาฯโลกเซียน ดอกไม้กินคน คถาแห่งห้วงเวลาฯที่ได้จากห้วงเวลาฯจากเรื่องเฉินมู่ และของอย่างอื่นที่เสริมจิตใจได้ก็ตาม


“แค่รูปวาดพระพุทธรูปธรรมดาก็ยังส่งผลต่อการเสริมสภาพจิตใจได้ขนาดนี้ ขยะห้วงเวลาฯชุดนี้สมควรมาจากห้วงเวลาฯที่ไม่ธรรมดาจริงๆ


โดยเฉพาะกับคัมภีร์สูตรนี้ยิ่งแล้วใหญ่” ซูจิ้งยังคงจัดการกองกระดาษต่อไป


แต่ยิ่งเขาจัดการก็พบคัมภีร์ทางพุทธมากยิ่งขึ้นรวมถึงพบรูปวาดพระพุทธเพิ่มอีกจำนวนหนึ่ง


และนั่นยิ่งทำให้เขาประหลาดใจมากกว่าเดิมเพราะมันช่างเหมือนกับคัมภีร์และรูปวาดพระพุทธที่เขาพบก่อนหน้านี้อย่างมากแทบจะเป็นอันเดียวกันเลย


สิ่งที่ต่างกันไปก่อนหน้านี้คือภาพอันนี้ถูกวาดเอาไว้ได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ดูๆไปแล้วทั้งหมดนี้น่าจะเป็นผลงานมาจากคนเดียวกัน


“ดูเหมือนว่าคนที่ทำของพวกนี้ขึ้นมาสมควรจะเป็นคนที่รับจ้างทำหรือไม่ก็เป็นผู้ฝึกตน”


ซูจิ้งสามารถบอกได้เลยว่าคนที่ทำคัมภีร์และรูปวาดนี้สมควรเป็นที่เข้าใจแก่นแท้ แต่ไม่คุ้นเคยกับงานแบบนี้ หรืออาจจะแค่เผลอทำงานเสียไปเล็กน้อยจนต้องทิ้งออกมา


แต่ยังไงซะหนึ่งในของที่ทิ้งออกมาก็ถือได้ว่าเป็นงานศิลปะชั้นเลิศสำหรับโลกใบนี้


แทบจะบอกได้เลยว่าเป็นช่างฝีมือที่หายาก ดีไม่ดีอาจเป็นช่างฝีมือที่ทำเฉพาะงานศิลป์ทางพุทธศาสนาเลยก็ว่าได้


 


ซูจิ้งยังคงจัดการกระดาษกองนั้นต่อไปแต่ก็ไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเพิ่มเติม


เขาเจอบันทึกบางส่วน บ้างก็เป็นวิธีการฝึกทักษะด้านการวาดและเขียน และดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้จะมาจากคนเดียวกันเพราะว่าหากมองอย่างละเอียดแล้วเหมือนฝีมือของเจ้าของกระดาษชุดนี้จะดีขึ้นเป็นลำดับ


แทบจะบอกได้ว่าหากเขามีโอกาสต้องนำคนนี้มาทำงานด้วยให้จงได้อย่างแน่นอน


“กระดาษพวกนี้มีค่าพอจะเก็บเอาไว้อยู่ น่าจะพอเอาไปทำประโยชน์ได้บ้างล่ะนะ”


ความซูจิ้งเองก็มีความสนใจในด้านศิลปะมาตั้งนานแล้วเพียงแต่ว่าเขานั้นไม่มีโอกาสที่จะสร้างงานศิลป์เป็นของตัวเอง


ทำได้เพียงคัดลอกผลงานมาอย่างเสียๆหายๆจากงานศิลป์ของห้วงเวลาฯวิถีเซียนและห้วงเวลาฯDesolate Eraมากกว่า ไม่ได้สนใจร่ำเรียนฝึกฝนอย่างจริงจัง


การที่ได้กระดาษบันทึกเหล่านี้จะช่วยเขาในการพัฒนาฝีมืองานศิลป์ได้ไม่มาก็น้อยอย่างแน่นอน


แต่จะบอกว่าซูจิ้งไม่เก่งงานศิลป์เลยก็ไม่ได้ซะทีด้วยเพราะเขานั้นอย่างน้อยๆบนโลกใบนี้เขาก็ถือได้ว่าเป็นสุดยอดฝีมือในการเล่นกู่จิ้ง หมากรุก หรือแม้แต่การวาดอักษร เหมือนกับว่าสำหรับโลกศิลปะแล้วสิ่งที่ซูจิ้งยังไม่เคยได้ฝึกฝนมีเพียงอย่างเดียวคือการวาดรูป หากเขาฝึกชำนาญได้ล่ะก็ บอกได้เลยว่าเขาจะเป็นศิลปินเพียงไม่กี่คนที่ชำนาญด้านศิลปะรอบด้าน


 


“ดูเหมือนว่าจะไม่เจองานชิ้นสมบูรณ์ได้จริงๆสินะ นั่นสิเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะมีใครซักคนโยนงานศิลป์ดีๆทิ้งออกมา”


ซูจิ้งไม่มีทางเลือกอื่นทำได้แค่เพียงถอดใจเท่านั้น เขาหยิบคัมภีร์พระสูตรและรูปวาดพระพุทธออกมา


หลังจากนั้นนำโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปอยู่พักใหญ่ แล้วทำการตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าเนื้อหาไม่ตกหล่นและรูปไม่เบลอ เขาก็ได้ทำการเข้าไปในแอพเว่ยป๋อและลงรูปเหล่านั้นโดยความหวังที่ว่าคนทั่วไปจะเข้าใจในเนื้อหาของมัน


 


ตอนนี้แฟนคลับของซูจิ้งที่ติดตามในไมโครบลอกอยู่ที่ 8 ล้านคนเมื่อไม่นานมานี้ และยังเป็นแฟนคลับชนิดเหนียวแน่นซะด้วย นอกจากนี้ไมโครบล็อกนี้ยังมีผู้ติดตามอย่างเจ้าของไมโครบล็อกเองก็ไม่เว้น


“ตอนที่พี่จิ้งกับมู่หรงเซียนเอ๋อสตรีมด้วยกันนั้นสุดยอดจริงๆ จนทำให้ฉันต้องคอยนั่งตามดูทุกวันเลยว่าจะมีอะไรออกมาจากพี่จิ้งอีกรึเปล่า อ้อดูนี่สิมันแจ้งเตือนว่าพี่จิ้งโพสต์อะไรอีกแล้วน่ะ”


“ไหนดูซิ ฉันหวังว่าจะเป็นการเล่นกู่จิ้งอีกนะ ว่าแต่นี่มันอะไรน่ะ”


“เอานี่ พระพุทธเจ้าใช่รึเปล่า? ส่วนนี่น่าจะเป็นพระสูตรนะ ถ้าอ่านตามที่เขียนไว้น่าจะเป็นอย่างนั้น”


“พี่จิ้งแกล้งกันชัดๆ บอกว่าอยากฟังกู่จิ้งกลับส่งพระสูตรและรูปวาดพระพุทธมาให้ดูซะอย่างนั้น”


“พระเจ้า นี่พี่จิ้งเปลี่ยนแนวไปแล้วงั้นหรอเนี่ย อย่าบอกว่าพี่จิ้งจะเริ่มเข้าสู่วิถีพุทธ”


“ไม่นะ พี่จิ้งกับฉือชิงต้องทะเลาะกันแน่ๆ”


ตอนนี้กลายเป็นว่าชาวเนตต่างนินทาซูจิ้งในเรื่องนี้กันอย่างทั่วทุกหย่อมหญ้า เมื่อดั่งกระแสน้ำที่กั้นไม่อยู่


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่าดาราบางคนถึงได้ดังแบบไม่รู้ตัว


นั่นก็เพราะว่าข่าวนินทาแบบนี้นั่นเอง


มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ซึ้งในสิ่งที่ซูจิ้งโพสต์ลงมาว่าล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาทั้งนั้น




GGS:บทที่ 788 พุทธไร้ขอบเขต


 


“เอ๊ะ รูปพระพุทธแฝงไปด้วยงานศิลป์งั้นรึ”


“ลองดูดีๆแล้ว มันก็จริงตามนั้นแหะ ยิ่งมองใจยิ่งสงบนิ่ง”


“จริงด้วย ฉันก็รู้สึกแบบเดียวกัน”


“ครั้งแรกที่ฉันเห็นฉันก็ว่ารูปพระพุทธนี่ช่างสวยงามจริงๆ”


“พระสูตรนั่นก็ไม่ธรรมดาเลยนะ ทำให้จิตใจผู้คนมั่นคงได้ไม่น้อยเลย”


เมื่อมีบางคนเริ่มคนอื่นๆก็เปลี่ยนหัวข้อตามไปกันหมด


ตอนแรกที่พวกเขานินทาซูจิ้งว่าจะหันไปนับถือศาสนาพุทธถึงได้โพสต์ภาพพระพุทธและพระสูตรออกมา


กลายเป็นว่าพวกเขาเอาแต่มองรูปพระพุทธและพระสูตรอย่างขะมักเขม้นจนแทบจะไม่เป็นอันทำอะไรเลย


ทุกวันนี้คนหนุ่มคนสาวของจีนเองไม่ได้นับถือศาสนาพุทธกันซักเท่าไหร่นัก น้อยครั้งมากที่จะไปข้องเกี่ยวด้วย


นั่นก็เพราะว่าทุกคนต่างรู้ดีว่า ดีชั่วอยู่ที่ตัวทำ สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว แต่หลังจากที่ทุกคนเห็นภาพวาดพระพุทธและพระสูตรนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกสุขสงบในใจกันถ้วนหน้า


ตอนแรกที่ซูจิ้งโพสรูปพระพุทธและพระสูตรนี้ มีหลายคนที่ไม่พอใจและต้องการให้ซูจิ้งออกมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ตอนนี้หลังที่ดูรูปพระพุทธและพระสูตร กลายเป็นว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ซูจิ้งออกมาพูดหรืออธิบายอะไรอีกแต่ไป พวกเขาแค่ต้องการดูด้วยใจที่สงบนิ่งแค่นั้น


ตอนนี้สำหรับคนที่ติดตามเรื่องราวอยู่ในเว่ยป๋อนั้นทันทีที่เห็นรูปพระพุทธและพระสูตรพวกเขาอดไม่ได้ที่จะขำออกมา


“ฮ่าฮ่า ไอ้เราก็นึกว่าซูจิ้งจะออกผลงานเพลงกู่จิ้งออกมาก็เลยว่าจะแวะเข้ามาดู ที่ไหนได้ไม่คิดว่าจะเป็นรูปพระพุทธและพระสูตร”


“พี่จิ้ง พี่แกล้งกันใช่ไหมเนี่ย”


“ฮ่าฮ่า ฉันว่าซูจิ้งคิดจะละทางโลกนะ”


ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็ตามบนอินเตอเนตก็มีพวกป้ายสีคนอื่นตลอดเวลา คนพวกนี้ก็แค่จับเอานู่นนิดนี่หน่อยมาใส่สีตีไข่


พวกเขาน่าจะกำลังอารมณ์เสียที่ซูจิ้งมาขัดขวางเรื่องป้ายสีมู่หรงเซียนเอ๋อก่อนหน้านี้จนทำให้มีคนเชื่อเรื่องแนวนี้น้อยลง


ที่ผ่านมานั้นแฟนคลับซูจิ้งคอยหนุนหลังอย่างสุดโต่งและมีแฟนคลับอยู่หลายช่วงวัยทำให้ยากต่อการป้ายสี


แต่ครั้งนี้พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นขึ้นมานั่นก็เพราะว่าเรื่องศาสนาเป็นอะไรที่แตะแล้วจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้ไม่ยาก แต่แฟนคลับซูจิ้งก็ยังคงสงบอยู่ดี


“พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่า ปล่อยหัวใจไปตามเสียงเรียกแห่งธรรมชาติและโชคชะตา อย่ากังวลไปเลย ไม่ช้าก็เร็วยังไงพี่จิ้งก็ต้องมีเพลงใหม่ออกมาแน่นอน”


“น้ำครึ่งแก้วนั้นบางคนคิดไปว่ามันใส่น้ำได้อีกเพียงแค่ครึ่งแก้ว บ้างก็ว่ามีน้ำแค่ครึ่งแก้ว


อย่างอากาศเย็น บางคนก็ว่ามันเย็นเกินไป บางคนก็ว่ามันเย็นสบายเหมือนลมทะเล เหมือนอย่างรูปวาดพระพุทธนี้ก็เช่นกัน


 


บางคนก็เห็นแล้วคิดว่าเป็นเรื่องโง่เง่า บางคนก็รู้สึกได้ถึงอารมณ์ที่รู้สึกสงบสุข”


“การตัดสินคนอื่นก็เหมือนการตัดสินตัวเอง และการทำให้คนอื่นเกิดประโยชน์ก็เหมือนทำให้ตัวเองเกิดประโยชน์ได้เช่นกัน”


“ฉันว่าฉันเข้าในความหมายที่แท้จริงที่ซูจิ้งโพสรูปพระพุทธกับพระสูตรนะ พุทธไร้ขอบเขต จักรวาลรักษาถึงสิ่งให้เป็นไป”


“เห็นด้วย อามิตตาพุทธ ดีจริงๆที่ได้เห็น”


 


หลังจากเห็นข้อความที่โต้ตอบออกมาแบบนี้เหล่าผู้คนที่ว่าจะเอาเรื่องนี้มาป้ายสีถึงกับมึนตึงกันไปเป็นแถบ “อะไรฟะ” พวกเขาต่างอุทานมาแทบจะพร้อมกันอยู่หน้าคอมฯก่อนที่จะทำหน้าบอกบุญไม่รับกันถ้วนหน้า


“คุณซูส่งข้อความออกมาล่ะ” ผู้ช่วยสาวของมู่หรงเซียนเอ๋อบอกเซียนเอ๋อในทันทีที่เห็นข้อความ


“ไหนขอดูหน่อยซิ” มู่หรงเซียนเอ๋อที่กำลังฝึกเล่นเพลงอยู่ตอนนี้ได้หยุดฝึกและหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาดูและได้เข้าไปดูว่าซูจิ้งโพสอะไรกันแน่ เมื่อเธอเห็นเรื่องที่ซูจิ้งโพสถึงกับทำหน้าโง่งม ยิ่งเธอได้เห็นการโต้ตอบของช่องข้อความถึงกับหลุดหัวเราะออกมา


“ฮ่าฮ่าฮ่า แฟนคลับพวกนี้ช่างน่าสนุกกันจริงๆ”  มู่หรงเซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม พวกเธอเองก็ไม่อยากจะหัวเราะออกมาเท่าไหร่แต่ก็ยังอดไม่ได้อยู่ดี พวกเธอเองก็ได้ลองมองดูที่รูปพระพุทธและพระสูตรอย่างตั้งใจนิดๆ แต่กลายเป็นว่าพวกเธอโยนความรู้สึกเหล่านั้นทิ้งไปในทันทีก่อนที่จะรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาแทนที่


 


“โอ้ ศิษย์พี่ซูจิ้งโพสข้อความหล่ะ” เบ่ยเจียเฮาได้บอกคนอื่นๆเมื่อเห็นไมโครบลอกของซูจิ้งที่โพสรูปพระพุทธและพระสูตรเอาไว้


เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเหมือนเขาหลุดเข้าภวังในทันที


เหตุผลนั่นก็เพราะว่าพ่อของเขานับถือพุทธทำให้เขาเองก็นับถือตามไปโดยปริยาย แถมเขาเองก็ศึกษาในพระธรรมและเซ็นไม่ใช่น้อย


 


ดังนั้นเมื่อเขาเพียงเหลือบไปเห็นรูปพระพุทธแค่เล็กน้อยก็รู้ในทันทีว่าสิ่งที่ซูจิ้งโพสต์ไม่ธรรมดา


เขาในตอนนี้ได้จ้องมองไปยังรูปพระพุทธอยู่นานประหนึ่งดังเจอสมบัติล้ำค่า หลังจากนั้นเขาก็เลื่อนถัดไปเพื่ออ่านพระสูตร


อ่านไปหนึ่งรอบ สองรอบ สามรอบ หลังจากอ่านไปสามรอบเขาก็หยุด ใบหน้าของเขาสงบนิ่งแต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกาย


 


“ฉันก็ว่าศึกษะในพระพุทธมาตั้งแต่เด็กแล้วนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นพระพุทธที่แฝงไว้ซึ่งหลักธรรมขนาดนี้ ไหนจะพระสูตรนั่นอีก ศิษย์พี่จิ้งไปหามาจากไหนเนี่ย ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นมาก่อน”


เบ่ยเจียเฮาถึงกับต้องรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาทันทีที่ตั้งสติได้


 


“โอ้…เจียเฮาว่าไง วันนี้นายว่างหรอถึงได้โทรหาฉันเนี่ย วันนี้ไม่มีสอนงั้นหรอ” เสียงๆหนึ่งตอบมาด้วยเสียงสดใสราวกับเดินเล่นอยู่ข้างเจียเฮา


“พ่อ ลองดูไมโครบลอกของซูจิ้งสิ”


“ซูจิ้งคนที่เล่นเพลงลำนำแห่งพระเจ้านั่นน่ะหรอ แล้วงวดนี้เขาทำอะไรล่ะ แต่งเพลงใหม่อีกหรอ”


“ไม่ใช่เล่นเพลงใหม่หรอก เขาโพสรูปพระพุทธกับพระสูตรน่ะ”


“ไหนดูสิ” พ่อของไบเจียเฮาเองก็เริ่มรู้สึกสนใจขึ้นมาในทันที เขาเข้าไปดูไมโครบลอกของซูจิ้ง หลังจากเห็นรูปพระพุทธและพระสูตรแล้วแทนที่เขาควรจะสงบใจลงแต่กลายเป็นว่าเขาสงบใจไม่ได้ในทันที


 


ความจริงจิตใจของเขานั้นก็สงบลงจริงๆล่ะ เพียงแต่ก็รู้สึกตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน มีแต่ผู้ที่ศึกษาพระธรรมในศาสนาพุทธอย่างถ่องแท้เท่านั้นถึงจะรู้คุณค่าของรูปพระพุทธและพระสูตรนี้ว่ามีค่าแค่ไหน


“พ่อ พระสูตรนี้มาจากไหนกัน”


“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน พระสูตรนี้มีเนื้อหาคล้ายหัวใจพระสูตรก็จึงแต่ก็ยังมีความต่างกันอยู่


พ่อเองก็อ่านพระสูตรมาก็ว่าเยอะแล้วแต่ก็ยังไม่เคยเห็นพระสูตรนี้เหมือนกัน ถึงจะไม่แน่ใจว่าเคยอ่านมาทั้งหมดแล้วแต่อย่างน้อยๆพระสูตรของซูจิ้งพ่อไม่เคยเห็นแน่นอน”


“พ่อว่าเขาจะทำขึ้นมาเองรึเปล่า”


“ทำได้ก็แปลกล่ะ”


 


ในเวลาเดียวกันนั้น ณ วัดแห่งหนึ่ง โจวฮงหยวนกำลังนั่งชงชาให้กับเพื่อนเก่าคนหนึ่ง หัวของเขาโล้นและกำลังสวมชุดของพระอยู่ แน่นอนว่าเขาในตอนนี้บวชเป็นพระไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย เขามอบทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตให้กับลูกชายคนที่สองของเขานั่นคือ โจวเทียนรุย และออกมาโดยไม่สนใจใครเลยแม้แต่น้อยและบวชเพื่อทดแทนสิ่งที่ลูกชายคนแรกของเขาได้เคยทำไว้ แม้เขาเองจะไม่รู้ว่าวิธีนี้จะช่วยลดบาปกรรมที่ลูกชายเขาเคยทำมาได้หรือไม่ก็ตาม เขาออกจากตระกูลเพียงเพื่อสิ่งเดียวในหัวใจนั่นก็คือชีวิตที่เหลือเดินทางไปในสายพระธรรม และปลูกฝังสิ่งดีๆให้กับโลกใบนี้


“นี่?” โทรศัพท์ของโจวฮงหยวนที่อยู่ก็มีแสงไฟสว่างขึ้นมา เขาได้หยิบมันขึ้นมาดู


“เป็นพระแล้วก็ยังเล่นโทรศัพท์ได้อีกหรอ” เพื่อนเก่าของเขาพูดแซวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีกฎข้อไหนในศาสนาพุทธที่ห้ามไม่ให้เล่นโทรศัพท์นี่ วัดนี้เองก็มีไวไฟด้วยซ้ำ


การฝึกสมาธิของศาสนาพุทธไม่ใช่อยู่ที่การกระทำแต่อยู่ที่อารมณ์ต่างหาก


เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ย่อมไม่มีผลอย่างแน่นอน


หรือแม้แต่การดื่มไวน์หรือกินเนื้อก็ไม่ผิดหากแต่ยังนับถือพุทธและปฏิบัติธรรมด้วยใจแน่วแน่


 


แต่อย่าห่วงเลยน่า ยังไงอาตมาก็ไม่ได้เล่นอะไรบ่อยนักหรอก


มีเพียงไม่กี่สิ่งที่อาตมายังคงสนใจในเรื่องทางโลก อย่างเช่นเพื่อนตัวน้อยคนนี้ที่อาตมาสนมากๆเพิ่งจะโพสต์ข้อความออกมาน่ะ” โจวฮงหยวนส่ายมือถือไปมาให้เพื่อนเขาเห็น


“ซูจิ้งน่ะหรอ?” เพื่อนของโจวฮงหยวนถามออกมา


“ถูกต้อง” เมื่อพูดดังนั้นออกมา โจวฮองหยวนก็ได้เปิดไมโครบลอกของซูจิ้งออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นรูปพระพุทธและพระสูตรเขาถึงกับตกใจ ตอนแรกเขาก็นึกว่าซูจิ้งแต่งเพลงใหม่ออกมา เพลงส่วนใหญ่ของซูจิ้งล้วนส่งผลต่ออารมณ์และเสริมสร้างสมาธิในใจทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องน่าเสียดายหากพลาดไปซักเพลง ตัวอย่างเช่นเพลงลำนำแห่งพระเจ้า แม้แต่พระในวัดรูปอื่นเองก็ชอบฟังไม่ต่างจากเขา แต่ไม่คิดว่าครั้งนี้จะเป็นรูปพระพุทธและพระสูตร


 


เขานั้นเริ่มมองดูรูปพระพุทธอย่างตั้งใจ ตามด้วยอ่านพระสูตรเช่นกัน ทันใดนั้นตาของเขาก็เริ่มเปล่งประกายในทันที จนในที่สุด เหมือนความคิดของเขาจะกระจ่างใสจนสื่อออกมาได้ผ่านดวงตา และยังคงจ้องมองราวกับทั้งสองสิ่งนี้คือสมบัติล้ำค่า


“นี่ก็แค่รูปพระพุทธและพระสูตรไม่ใช่หรอ ทำไมต้องตื่นเต้นขนาดนั้นด้วย”


“สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงแค่รูปพระพุทธและพระสูตรหรอก รอสักครู่นะ ขออาตมาไปหาเจ้าอาวาสก่อน”


โจวฮงหยวนได้ตรงเข้าไปยังกุฎิเจ้าอาวาสที่อยู่ด้านหลังของวัดในทันที


เขารู้สึกได้เลยว่ารูปพระพุทธและพระสูตรที่ซูจิ้งโพสนั้นน่าอัศจรรย์จนอยากให้เจ้าอาวาสเห็นและยืนยันว่าสิ่งที่เขาเห็นและรู้สึกได้นั้นถูกต้องรึเปล่า



GGS:บทที่ 789 มหาสมบัติ


 


ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าการที่ซูจิ้งโพสภาพแนวนี้ในไมโครบลอกจะเป็นที่สนใจจนเผยแพร่ไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ถึงตอนแรกทุกคนจะคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ยิ่งนานเท่าไหร่ก็ยิ่งแพร่ออกไป จนทำให้บางจังหวะถึงกับทำให้เน็ตล่มกันเลยทีเดียว ก็คงจะเหมือนนางงามล่มเมืองที่ร้อยวันพันปีจะเกิดมาซักคน ศาสนาพุทธเองก็เช่นเดียวกัน แต่แรกเริ่มก็เป็นที่นิยม พอนานวันก็เสื่อมถอย แต่เมื่อเห็นศาสนาพุทธที่แท้จริงอีกครั้งก็รับรู้ได้ถึงพุทรานุภาพที่เคยเป็น


 


“ตอนแรกฉันก็ไม่เชื่อนะ แต่หลังจากได้เห็นรูปพระพุทธแต่ได้อ่านพระสูตรนั่นแล้ว ฉันถึงกับตกตะลึงเลย”


“ศาสนาพุทธนี่ช่างครอบคลุมและลึกซึ้งยิ่งนัก”


“พระสูตรนี้อยู่ที่ไหนกันแน่นะ ฉันอยากเห็นของจริงซะแล้วสิ”


“พวกเราลองดูหมดทุกที่แล้วแต่ไม่มีพระสูตรไหนเลยที่เหมือนกับเล่มนี้ หลายๆคนเริ่มคิดขึ้นมาว่าซูจิ้งเป็นคนเขียนขึ้นมาเองเลยล่ะ”


“จะเป็นไปได้ยังไง นี่คือพระสูตรเลยนะ”


 


ผู้คนบนโลกอินเตอร์เนตต่างพูดคุยถึงที่มาของภาพพระพุทธและพระสูตรนี้ บ้างก็คิดว่าซูจิ้งเป็นคนสร้างขึ้นมาเอง บ้างก็แย้งว่าไม่มีทาง


แต่ด้วยการที่พระสูตรนี้ที่มีเนื้อหาครอบคลุมและลึกซึ้ง แม้แต่คนที่ศึกษาลึกซึ้งในพระธรรมคำสอนก็ไม่มีทางสร้างขึ้นมาได้ นับประสาอะไรกับคนหนุ่มอย่างซูจิ้ง


 


บนโลกอินเทอร์เน็ตก็ยังคงถกเถียงกันต่อไป ในขณะที่ซูจิ้งกำลังนั่งยิ้มกริ่มรับฟังผลจากการกระทำของเขาอยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ


ฉิงหยุนได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงสดใสเป็นจังหวะ “ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มหนึ่งหน่วย ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสองหน่วย ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสามหน่วย ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่ม…”


ค่าการใช้ประโยชน์ในตอนนี้เพิ่มไปที่ 108 หน่วย และยังคงเพิ่มต่อไป


นี่เป็นหลักฐานแสดงให้เห็นว่าวิธีการของซูจิ้งถือว่าไม่มีปัญหา นี่ขนาดว่าซูจิ้งโพสแค่รูปพระพุทธและพระสูตรเท่านั้น ค่าการใช้ประโยชน์ก็ยังเพิ่มซะขนาดนี้


“เยี่ยม เธอไม่ต้องรายงานฉันทุกครั้งที่ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มหรอก รายงานเฉพาะตอนที่มันแลดูนิ่งๆแล้วก็พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกริ่ม


 


“ได้ค่ะท่านเจ้าของ” ฉิงหยุนหยุดรายงานตามสั่งในทันที หรือไม่ก็ฉิงหยุนเองก็เริ่มขี้เกียจรายงานถี่ๆแบบนี้แล้วเหมือนกัน


ซูจิ้งไม่ได้สนใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกอินเตอร์เนตอีกต่อไป เขาจัดการกับขยะของเขาต่อ


เขายังสาละวนอยู่กับกระดาษกองนั้นไม่เสร็จเลย ยังเหลืออีกครึ่งกองที่เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไงกับพวกนี้ดี


เพราะถึงแม้มันจะดูไม่มีอะไรสำคัญซักเท่าไหร่แต่ความรู้สึกของซูจิ้งบอกเขาว่าพวกมันยังมีประโยชน์อยู่แต่คิดไม่ออกว่าจะทำยังไงกับพวกมันดี


เพราะของที่เหลือนี่มันคือเถ้ากระดาษแถมยังจำนวนมากเลยด้วย บางอันก็ยังมองเห็นเป็นกระดาษ บางอันก็ไหม้แต่ก็ยังเห็นเนื้อหา บางอันก็ยังไม่ไหม้ดี ไหม้เพียงขอบๆ


 


ซูจิ้งได้ลองหยิบเถ้ากระดาษที่ยังไม่ไหม้ดีขึ้นมาอ่านดู มันเป็นกระดาษที่หลงเหลือตัวอักษรไว้หนึ่งตัวครึ่ง เขาลองมาดูเล่นแต่ทันใดนั้นสายตาของเขาเปลี่ยนไปพลางพูดออกมาว่า “คำที่ดี”


คำที่ซูจิ้งเห็นนั้นคือคำว่า เมตตา ส่วนคำที่สมควรจะต่อจากนี้น่าจะมีอีกสองคำ ซึ่งเป็นคำที่สมควรจะมาจากพระสูตรเช่นเดียวกัน


คนที่คัดลอกพระสูตรนี้สมควรจะมีความรู้ที่ค่อนข้างลึกซึ้งถึงขั้นแค่เพียงเขียนสองสามคำแต่สื่ออารมณ์ความรู้สึกอย่างลึกซึ้งได้ขนาดนี้


ถึงแม้จะมีความหนักแน่นน้อยกว่าตัวอักษรที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีเซียน แต่อย่างน้อยๆก็ยังทรงพลังกว่าตัวอักษรกระบี่ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯอภินิหารกระบี่สามภพ


อย่างไรก็ตามถึงแม้คำว่า “เมตตา” นี้ให้ความรู้สึกที่ทรงพลังมากกว่าตัวอักษรกระบี่ที่ได้มาจากห้วงเวลาฯDesolate Eraแต่ก็ไม่ได้นำมาตัดสินอะไรได้เพราะว่าถือว่าเป็นตัวอักษรของศาสตร์คนละแขนงกัน


นั่นหมายความว่าความเข้าใจของแต่ละคนต่างกัน การได้รับประโยชน์จากตัวอักษรย่อมต่างกันไปด้วย


บางคนเมื่อมองเห็นอักษรกระบี่อาจจะไม่รู้สึกอะไร แต่คนๆนั้นเมื่อเห็นตัวอักษรเมตตานี้ อาจบรรลุแก่นแท้แห่งธรรมเลยก็ได้


 


“ตัวอักษรที่ดีขนาดนี้เอามาเผาทิ้งกันได้ยังไง ช่างบ้าบอสิ้นดี คนที่เขียนคำที่ดีแบบนี้ได้คิดอะไรอยู่เนี่ย” ซูจิ้งรู้เสียใจและเสียดายออกมา


เขาได้ลองปล่อยกระแสจิตออกมาแล้วทำการจัดเรียงขี้เถ้ากระดาษนั่นดู เขาทำอย่างระมัดระวังจนพบกับตัวอักษรที่เขียนด้วยมือจำนวนหนึ่ง บนนั้นได้เขียนคำอื่นๆเอาไว้ด้วย มีเถ้ากระดาษอีกหลายชื้นที่เขาไม่สามารถนำไปต่อกันได้แต่ก็มีคำหลายๆคำปรากฎอยู่บนนั้น เว่ย จัน ปีศาจ บาป บุญ คุณ โทษ ความดี และ ความชั่ว


ดูๆไปแล้วคำพวกนี้ไม่น่ามาจากกระดาษแผ่นเดียวกัน ดีไม่ดีอาจจะมาจากหนังสือคนละเล่มกันเลยก็ได้


เขาทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปล่อยมันทิ้งไว้อย่างนั้น


“เดี๋ยวนะ ฉันลืมไปได้ยังไงกัน” ซูจิ้งนึกอะไรได้บางอย่างจนทำให้หัวใจเขาเต้นแรง ซูจิ้งได้เรียกหนูตัวหนี่งออกมาจากถุงกักอสูร


หนูตัวนั้นคือหนูที่ปลุกสแตนด์ขึ้นมา ในตอนนี้มีดูมีสภาพที่ดูดี น่ารัก น่าฟัด เพราะซูจิ้งดูแลมันอย่างดี


แถมยังจับฝึกฝนพลังวิญญาณจนมันค่อนข้างที่จะมีสภาพพร้อมต่อการใช้สแตนด์ของเจ้าหนูเพื่อช่วยซูจิ้งได้ทุกเมื่อ


แต่สำหรับซูจิ้งนั้นเอาจริงๆเขาก็ไม่ได้อยากจะชุบเลี้ยงเท่าไหร่แต่ก็อีกนั่นหล่ะ สัตว์ที่ปลุกพลังสแตนด์ได้นั้นถือได้ว่าหายากมากจนซูจิ้งต้องยอมชุบเลี้ยงอย่างดี


เพราะไม่อยากจะทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อีกต่อไป แถมเจ้าหนูนี่เองก็มีพลังที่มีประโยชน์ต่อเขามากๆอีกด้วย


“เสี่ยวไป๋ ซ่อมเถ้ากระดาษนี่ให้ฉันหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกมา


“ฮอว์” หนูขาวตัวน้อยร้องออกมาด้วยเสียงดังลั่น หากแปลก็จะได้ประมาณว่า “ปล่อยเป็นหน้าที่ผมเถอะครับเจ้านาย” มันรีบปีนลงไปยังหน้ากองกระดาษก่อนจะเรียกสแตนด์ของมันออกมา


เสี่ยวไป๋หยิบกระดาษขึ้นมาขิ้นหนึ่ง ไม่นานนัก ขี้เถ้าที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มขยับแล้วค่อยลอยมาประกอบยังกระดาษที่เสี่ยวไป๋กำลังถืออยู่


หลังจากที่ลอยกลับมาแล้วพวกมันก็ค่อยๆเปลี่ยนสี ฟื้นคืนสู่สภาพก่อนที่มันจะโดนเผา เสี่ยวไป๋ส่งกระดาษใบนั้นให้แก่ซูจิ้งด้วยสีหน้าที่ภาคภูมิใจ


“เยี่ยม” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความรู้สึกยินดีนิ่ง ตอนแรกเขาเองก็ได้สบประมาทความสามารถของเจ้าหนูไว้ไม่น้อย


เอาจริงๆนั้นความสามารถนี้สมควรจะซ่อมแซมได้แม้ต่องานแกะสลักหิน ของโบราณ และของอื่นๆอีก


แต่ในที่สุดเขาก็พบที่ๆจะทำให้สามารถใช้ความสามารถของสแตนด์นี่ได้เต็มที่ซักทีนั่นก็คือที่นี่ ลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ แห่งนี้


อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าซูจิ้งจะดีใจเร็วไป


นั่นก็เพราะว่าหลังจากที่กระดาษนับร้อยต่อกันคืนสภาพเสร็จสิ้น


ใบหน้าของเสี่ยวไป๋ในตอนนี้อยู่ในสภาพเหงื่อโทรมกาย ใกล้ตาย นอนพะงาบๆอยู่ที่พื้น


มันทำปากขมุบขมิบเหมือนพยายามจะบอกออกมาว่า เจ้านายจ๋า ข้าน้อยไม่ไหวแหล่ว


“ไอ้นี่ ทำมาเป็นพูดดี อ่อนอ่ะ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก แต่เขาเองก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองเสี่ยวไป๋แต่อย่างใดนั่นก็เพราะว่ายังไงซะมันก็ยังเป็นหนู พลังจิตไม่ได้เข้มแข็งอะไรมาก ที่รอดมาได้แต่ละครั้งนี่ก็ปฏิหารย์แล้ว


 


ซูจิ้งนำกระดาษทั้ง 1200 ชิ้นมาอ่านดูอย่างตั้งใจและละเอียดลออ


แน่นอนว่ากระดาษชุดนี้ไม่ได้ถูกต้องอย่างสมบูรณ์เนื่องจากมีบางชิ้นส่วนที่สูญหายไปพวกมันอาจจะยังอยู่ที่มิติที่พวกมันจากมา หรืออาจถูกทำงานมากเกินกว่าจะฟื้นคืนสภาพได้


 


ถึงแม้ความสามารถนี้จะดีขนาดไหนแต่ข้อเสียของมันก็คือจำเป็นต้องชิ้นส่วนที่เสียหายอยู่ครบไม่งั้นการซ่อมแซมจะไม่สมบูรณ์


“พระเจ้า นี่มันหนังสือ….” ซูจิ้จ้องมองกระดาษ 1,200 แผ่นที่อยู่ตรงหน้าด้วยตาลุกวาว เขาอ่านพวกมันอย่างรวดเร็วและยิ่งอ่านมากเท่าไหร่ สายตาของเขาก็ยิ่งเป็นประกาย ยิ่งอ่านเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทุกขณะ คำหลายคำในหนังสือช่างคุ้นเคย จนทำให้วิถีแห่งใต้หล้าที่อยู่ในจิตสำนึกของเขาเริ่มประมวลผลออกมา


“หมัดราชาปีศาจวัว”


“เพลงหมัดพยัคฆ์คำรณ”


“พระสูตรมังกรแท้คืนกลับ”


“พระโพธิสัตว์มังกรฟ้าผันแปร”


“พระสูตรพระเจ้าแปดพระองค์”


เพียงซูจิ้งมองแค่เนื้อหาบางส่วน พบเจอคำที่คุ้นเคยประมาณสองสามคำ ต่อให้ไม่ต้องอ่านทั้งเล่มก็ตาม


แต่ซูจิ้งก็พอบอกได้แล้วว่าขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯใดกันแน่


ทันทีที่เขานึกออกใจของเขาเต้นเร็วอีกครั้ง


เอาจริงๆนี่เขาไม่ต้องหาอะไรมายืนยันเพิ่มเติมก็ฟันธงได้แล้ว


เพราะตอนนี้แค่ดูจากชื่อเพลงหมัดที่ปรากฎอยู่ในตำราเล่มนี้ก็บอกได้แล้วว่ามาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่



GGS:บทที่ 790 ตำรา


 


“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดล่ะก็ ขยะชุดนี้สมควรจะมาจากวัดพุทธใหญ่ของศาสนาพุทธในห้วงเวลาฯหยางเชิน(เซียนจากฝั่งตะวันตก)”


ซูจิ้งจ้องมองขยะกองที่อยู่ตรงหน้าด้วยสายตาเป็นประกายพร้อมบ่นพึมพำออกมาในขณะที่จ้องมองไปยังชื่อของเพลงหมัดและตำราที่ปรากฏออกมา


ในห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกตะวันตกนั้นมีวิธีการบ่มเพาะที่จะกลายเป็นเซียนแตกต่างจากห้วงเวลาฯอื่นอยู่บ้าง


 


ที่นั้นระบบการบ่มเพาะอยู่สองอย่างหนึ่งคือการบ่มเพาะร่างกาย อีกหนึ่งนั้นคือการบ่มเพาะจิตวิญญาณ


เมื่อผู้บ่มเพาะฝึกฝนร่างกายให้พัฒนาขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง พวกเขาสามารถผ่าภูเขาได้ด้วยมือเปล่า


ส่วนความสามารถที่ได้มาจากการบ่มเพาะพลังวิญญาณนั้นสุดยอดยิ่งกว่า


และยังมีการแบ่งระดับขั้นเป็น ผู้ฝึกตน ผู้ใช้วิญญาณ ผู้ท่องราตรี ผู้เบิกตะวัน นั่นก็หมายความว่าพลังวิญญาณในร่างกายจะค่อยแข็งแกร่งขึ้นจนสร้างปาฏิหารย์ได้ ประหนึ่งดังตื่นจากการหลับใหล


พระเอกของเรื่อง หยางเชิน ได้อาศัยอยู่ในวัดพุทธใหญ่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในจงโจว


ซึ่งต้องอยู่บริเวณกึ่งกลางแผ่นดินจักวรรดิเฉียน ที่นั่นเป็นวัดโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมานับพันปี ตำรามากมายที่เคยกล่าวถึงวัดนี้อยู่บ่อยครั้ง


 


ในทุกวันที่ชั้นหนึ่งจะมีพระและสามเณรมานั่งเรียงรายกันสวดมนต์บูชาต่อหน้าพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์


การเดินทางที่นี่จะใช้ม้าเป็นพาหนะ อย่างคำที่ว่ากันไว้ว่าการขี่ม้าเองก็เป็นการฝึกฝนจิตวิญญาณอีกทางหนึ่ง


และในขณะเดียวกันที่วัดแห่งนี้ยังมีการฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ควบคู่กับการบ่มเพราะจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน


เป็นเรื่องหน้าเสียดายที่วัดพุทธใหญ่แห่งนี้ได้ถูกยึดครองโดยกองทัพเพียงเพราะว่ามีร่องรอยการติดต่อกันระหว่างกบฏในเขตวัด


ในครั้งนั้นทำให้โบสถ์นับพันถูกเผาไหม้ และเหล่าพระสงฆ์ผู้ชราภาพทั้งหลายถูกหาว่าเป็นกบฏ


ตำราต่างๆที่ซูจิ้งได้รับมานั้นประกอบไปด้วย “เพลงหมัดวัวคลั่ง” “เพลงหมัดพยัคฆ์คำรณ” “ตำรามังกรแท้คืนกลับ” “ตำรามังกรฟ้าผันแปร” “ตำราพระเจ้าแปดพระองค์” ซึ่งทั้งหมดเป็นตำราที่ถูกเก็บไว้ในวัดหลวง


 


รูปพระพุทธและพระสูตรที่ซูจิ้งส่งรูปไปบนอินเตอร์เนตก่อนหน้านี้ก็สมควรจะเป็นแค่ฉบับคัดลอกที่เหล่าสามเณรทำขึ้นเพื่อเป็นการฝึกตนเท่านั้น


เขาเองก็สงสัยไม่น้อยว่าถ้าฉบับคัดลอกยังได้ผลขนาดนี้แล้วฉบับจริงจะส่งผลแค่ไหน แต่ถ้าเทียบกับในห้วงเวลาฯพระเจ้าจากโลกฝั่งตะวันตกพระสูตรนี้ไม่ได้มีค่าเอาไรเลย เอาจริงๆน่าจะเอาไว้ใช้ลงโทษเหล่าสามเณรซะด้วยซ้ำ


 


“ไม่สิ ในเมื่อที่นั่นเป็นดินแดนศักดิ์แห่งวิทยายุทธและการฝึกฝนบ่มเพาะ


วัดพุทธใหญ่เองก็สมควรมีของเฉพาะพอสมควร ไม่ว่าอะไรก็ตามสมควรจะส่งผลต่อการบ่มเพาะร่างกายและจิตวิญญาณ


ถ้าเราสามารถซ่อมแซมตำราเหล่านี้ได้ล่ะก็ ร่างกายและจิตวิญญาณของเราสมควรจะพัฒนาอย่างมากหลังจากฝึกเสร็จ”


 


ซูจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หลังจากเขาดูแลเสี่ยวไป๋อย่างดีเป็นพิเศษ ก่อนที่จะให้มันซ่อมแซมตำราต่อ


แต่ครั้งนี้ซูจิ้งไม่ได้โลภแบบก่อนหน้าที่จะให้ซ่อมทีเดียวทั้งหมด


อย่างแรกเขาเลือกที่จะซ่อมตำราพระเจ้าแปดพระองค์ก่อนอย่างแรก ในไม่ช้า ได้มีเศษขี้เถ้าในระยะ 100 ม.ล่องลอยมาประกอบร่างเป็นแผ่นกระดาษและค่อยๆฟื้นคืนสภาพเป็นระดับขั้นไป


แต่ก็เกิดสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเขาก็คือตำราพระเจ้าแปดพระองค์นั้นสามารถฟื้นสภาพคืนมาได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น


ไม่ว่าจะรอนานแค่ไหนตำราเล่มนั้นก็ไม่มีท่าทีจะฟื้นคืนต่ออีกได้เลย พวกเขาทำแม้แต่ลองเดินไล่ดูรอบๆแต่ก็ไม่มีท่าทีเปลี่ยนแปลงใดๆ ซูจิ้งจึงสั่งให้เสี่ยวไป๋หยุดใช้พลังในทันที


 


ดูเหมือนว่าจะไม่มีเศษตำราอีกครึ่งหนึ่งเหลืออยู่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้อีกแล้ว เปรียบได้ดั่งหยางเชินที่ถูกไฟไหม้ในเหตุการณ์นั้นแล้วไร้ซึ่งที่ไป


ซูจิ้งไม่ได้ย่อท้อ เขาให้เสี่ยวไป๋ซ่อมตำราเล่มอื่นต่อแทน เล่มถัดมาซ่อมได้ไม่กี่หน้า


เล่มที่สามและสี่เอง ก็เหมือนจะซ่อมได้ครบแต่ก็เหมือนจะไม่ครบดี


 


จนกระทั่งเสี่ยวไป๋เริ่มแสดงท่าทีออกมาว่าไม่ไหวแล้ว ตำราเล่มสมบูรณ์ก็ได้ปรากฏต่อหน้าของซูจิ้งจนได้นั่นคือ “เพลงหมัดวัวคลั่ง”


เอาจริงๆจะบอกสมบูรณ์ก็เรียกไม่ได้ซะทีเดียวเพราะว่ายังมีบางส่วนของตำราที่ได้รับความเสียหาย สูญหาย ไฟไหม้ แต่ร่องรอยพวกนี้ปรากฏอยู่เพียงแค่ขอบหนังสือเท่านั้น ในส่วนเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ


“วิทยายุทธไม่เคยหักหลังคนที่มีใจมุ่งมั่น เหนื่อยนายแล้วล่ะเสี่ยวไป๋ ตอนนี้นายพักได้แล้ว ที่เหลือฉันจัดการเอง ขอลองหน่อยสิว่าเพลงหมัดวัวคลั่งจะทรงพลังแค่ไหน”  ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะทดลองเพลงหมัดวัวคลั่ง


 


เพลงหมัดวัวคลั่งนี้มีแนวทางการฝึกสามแนวทางด้วยกัน ประกอบด้วยร่างกายวัวคลั่ง ฝีเท้าวัวคลั่ง และผิวหนังวัวคลั่ง


แต่ละแนวทางการฝึกประกอบด้วย 100 ท่วงท่าในแต่ละแนวทาง และแต่ละแนวทางก็สามารถปรับเปลี่ยนการใช้ได้อย่างสมดุลและอิสระพร้อมกับประสานท่วงท่าได้อย่างลงตัว


 


อย่างไรก็ตามการที่จะชำนาญเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ได้จะเป็นต้องเริ่มฝึกตามระดับ


มือและเท้าของซูจิ้งขยับไปมาด้วยความสอดคล้องประสานกัน หลังจากนั้นเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง


ซูจิ้งในตอนนี้ร่างกายของเขามีเหงื่อโชก เขานั้นเคลื่อนไหวท่วงท่าตามแนวทางการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งทั้งสามแนวทาง


บางช่วงก็ทำการสับเปลี่ยนกระบวนท่าของอีกแนวทางหนึ่งวนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ


จนรู้สึกได้ว่าพื้นที่บริเวณที่ฝึกนั้นราบเลี่ยนเตียนโล่งในทันที จากปกติที่ควรจะมีเศษฝุ่นผงจากขยะ


ในไม่ช้าเขาก็ได้หยุดมือลงหลังจากฝึกเสร็จแล้ว เขารู้สึกได้ในทันที่ว่าร่างกายของเขานั้นอุ่นขึ้นเรื่อยๆ


 


ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังรู้สึกได้ว่าหลังจากที่เขาฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนั้น เหมือนกับร่างกายได้ออกกำลังกายไปในตัว


แถมยังมีความรู้สึกแข็งแกร่งทันทีที่ฝึกเสร็จ แม้เพลงหมดนี้จะดีแต่ร่างกายเหมาะกับการเป็นพื้นฐานก่อนที่จะฝึกเพลงหมัดอื่นในภายภาคหน้าก็ตาม


แต่พลังของมันยังดีไม่เท่ากับเพลงหมัดที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯเฉินมู่


“ด้วยสภาพร่างกายนี้กว่าจะหลุดพ้นจากขั้นชำระสิ่งสกปรกได้สงสัยจะอีกนานเลยแหะ”


 


ซูจิ้งได้ทำการนึกถึงเรื่องราวต่างๆในห้วงเวลาฯเซียนจากฝั่งตะวันตก นึกระดับขั้นการฝึกตนที่มีการใช้กันที่นั้น


ระดับขั้นในการฝึกฝนร่างกายประกอบด้วย ฝึกกล้ามเนื้อ เปลี่ยนเอ็น สร้างเนื้อเยื่อ ก่อกระดูก เสริมอวัยวะภายใน เปลี่ยนไขกระดูก ถ่ายเลือด และกายาเหล็ก


ด้วยสภาพร่างกายของเขาตอนนี้นั้นสมควรยังอยู่ที่ขั้นฝึกเนื้อ เปลี่ยนเส้นเอ็น และก่อกระดูก


ในห้วงเวลาฯเฉินมู่นั้น เพลงหมัดพื้นฐานมีอยู่ด้วยกันสองรูปแบบ ด้วยการที่ในห้วงเวลาฯมีพลังวิญญาณอยู่อย่างหนาแน่


เพลงหมัดขั้นต้นจึงเน้นที่การเสริมสร้างร่างกายเป็นหลัก ผนวกกับการควบคุมลมหายใจ และใช้ลมหายใจเสริมสร้างอวัยวะภายในให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น หรือก็คือฝึกให้แข็งแกร่งไปพร้อมๆกัน


 


สำหรับการฝึกอวัยภายในของห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกนั้นจำเป็นที่จะต้องฝึกไปเป็นระดับขั้น ยกตัวอย่างเช่นการฝึกเพลงหมัดวัวคลั่งนี้ จะเป็นการฝึกร่างกาย กล้ามเนื้อ และเนื้อเยื่ย หรือก็คือการฝึกร่างกายภายนอก ค่อยๆไล่ไปสู่ข้างใน


อย่างไรก็ตามการฝึกเป็นระดับขั้นแบบนี้ค่อนข้างจะง่ายกว่าการฝึกเพลงหมัดจากห้วงเวลาฯเฉินมู่


ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับซูจิ้งที่จะฝึกสำเร็จได้แต่อย่างน้อยๆก็ทำให้ร่างกายของซูจิ้งแข็งแกร่งขึ้นมากกว่าเดิม


ตอนนี้ซูจิ้งอยู่ในสภาวะการเดินละเมอ และกึ่งหลับกึ่งตื่น และยังคงดำเนินต่อไปซึ่งนี่เป็นหนึ่งในขั้นตอนการฝึกหมัดวัวคลั่ง


 


ในสภาวะร่างกายจะทำการบ่มเพาะความแข็งแกร่งพร้อมๆกับการฟื้นฟูตัวเองไปพร้อมๆกัน


เขาเองก็ไม่ลืมที่จะได้ไวน์ที่ได้มาจากห้วงเวลาฯฝืนลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเซียนทำให้ตอนนี้เส้นเอ็นของเขาแข็งแกร่งมาขึ้น ตลอดจนผิวหนัง เข้มแข็งมากขึ้น และมากขึ้นประดุจดังหนังวัวก็ไม่ปาน


ซูจิ้งอยู่ในสภาวะนี่กว่าสองชั่วโมงจึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมา


 


เพียงแค่สองชั่วโมงนั้นซูจิ้งได้ซึมซับทุกอย่างที่เกี่ยวกับการฝึกฝนเพลงหมัดวัวคลั่งไปอย่างบ้าคลั่ง เขานั้นยังคงฝึกฝนต่อไปมันเหมือนกับว่าตอนนี้ซูจิ้งเป็นเด็กป.ต้นแล้วไปนั่งเรียนร่วมกับเด็กม.ปลายอย่างหน้าชื่นตาบาน เป็นความเร็วในการเรียนรู้โดยธรรมชาติของเขาที่เหนือล้ำกว่าใคร


“ไม่พอ ยังไม่เพียงพอ ฉันอยากได้เพลงหมัดที่ทรงพลังกว่านี้” ซูจิ้งรู้สึกกระหายในความแข็งแกร่งขึ้นมาทันที


 


ตอนนี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะมีตำราเพลงหมัดที่สมบูรณ์อยู่แล้วและก็ยังมีอีกบางส่วนที่เกือบจะสมบูรณ์ก็ตาม


แต่ตอนนี้เขารู้สึกได้ว่าตัวเองยังขาดอีกนิดหน่อยก็จะทะลุขั้นแรกเริ่มได้แล้ว เขาจึงอดใจไม่ไหวอีกต่อไป


 


ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมตำราต่างๆต่อไป แน่นอนว่าเขาเองก็คอยคุมไว้ไม่ให้เกิดความผิดพลาดใดๆขึ้น


 


ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่มีสแตนด์ก็ตามแต่เขาก็ยังสามารถแนะนำเสี่ยวไป๋ได้อย่างดี หนึ่งวันผ่านไป


ความสามารถในการใช้สแตนด์ของเสี่ยวไป๋ยกระดับมากขึ้นและทำให้มันยกระดับพลังจิตในร่างตัวเองไปด้วย


มันบ่งบอกว่าถึงแม้เสี่ยวไป๋จะไม่ได้ฝึกฝนพลังจิตแต่หากใช้สแตนด์ไปเรื่อยๆก็จะเหมือนเป็นการฝึกฝนไปในตัว


 


ตำราที่ไม่สมบูรณ์อีกเล่มก็ได้ปรากฎออกมาจนได้ และเสี่ยวไป๋ก็ยังคงซ่อมแซมต่อไปจนถึงช่วงใกล้ค่ำตำราที่เกือบจะสมบูรณ์อีกเล่มก็ได้ปรากฎออกมา ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ดีแต่ส่วนเนื้อหาในส่วนที่เหลืออยู่ตอนนี้ก็ไม่ได้รับความเสียหายใดๆเช่นกัน ตำราเล่มนี้มีชื่อว่า ตำราพระโพธิสัตว์เทียนหลง(ตำราวิถีแห่งมังกร)


 


ซูจิ้งดีใจจนแทบจะกระโดดขึ้นมาในทันทีนั่นก็เพราะว่าตำราเล่มนี้เป็นตำราลับสุดหยั่งของวัดพุทธใหญ่


ถึงแม้คุณค่าของมันจะเทียบกับตำราเพลงหมัดวัวคลั่งซึ่งเป็นตำราเพลงหมัดระดับต่ำก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าเป็นการฝึกคนละแนวทางกันเท่านั้น


มันเป็นตำราที่หายากในห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกนั่นก็เพราะว่าด้วยตำรานี้จะทำให้ทั้งพลังกายและพลังวิญญาณของเขาเข้มแข็งอย่างแน่นอน




GGS:บทที่ 791 วิถีแห่งมังกร


 


ซูจิ้งเปิดตำราวิถีแห่งมังกรออกดู มันทั้งให้ความรูสึกดุดันและพิศวง


ไม่เหมือนกันหัวใจพระสูตรที่เพียงแค่เปิดดูโดยไม่ต้องอ่านเนื้อหาก็สามารถเข้าใจลึกซึ้งได้


แต่ตำราวิถีมังกร(พระสูตรพระโพธิสัตว์มังกรผันแปร)ที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ยากต่อความเข้าใจอย่างยิ่ง


 


เขาไม่แปลกใจเลยว่าทำไมหัวใจพระสูตรเล่มนั้นเป็นเพียงแค่พระสูตรฝึกหัดเท่านั้น


ด้วยการที่ง่ายต่อความเข้าใจจึงเหมาะสมในการฝึกมากกว่า


เมื่อเทียบกับตำราวิถีมังกรเล่มนี้แล้วจึงกลายเป็นสมบัติลับของวัดหลวงไปโดยปริยายเพราะหากทำความเข้าใจได้ผลการฝึกที่ได้ย่อมทรงพลังมากกว่า


 


ซูจิ้งไม่เร่งร้อนในการฝึกฝนแต่อย่างใด เขาค่อยๆเปิดตำราเพื่อศึกษาให้ถ่องแท้ในแต่ละหน้า


หลังจากเขาได้อ่านบรรทัดสุดท้ายได้ปรากฎภาพของมังกรทองหนึ่งขาเหยียบอยู่บนหลังช้างเผือกที่มัดกล้ามเต็มตัวและดวงตาปูดโปน


มันเหมือนกับว่ามังกรทองใช้พลังสวรรค์และปฐพีบดขยี้ช้างเผือกในคราเดียว


 


ตำรานี้ก็ดูเหมือนกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมาในทันใด มันส่งพลังอันหนักอึ้งออกมาราวกับภูเขาสูงตระหง่าน


มันเป็นความรู้สึกที่ซูจิ้งเองก็อธิบายไม่ถูก เหมือนกับมีอะไรบางอย่างที่ทรงพลังยากจะทัดทานมาปรากฎอยู่ตรงหน้า


“ตำราเล่มนี้สมควรจะเป็นตำราวิถีมังกร(โพธิสัตว์มังกรผันแปร) ช่างเป็นตำราที่น่ามหัศจรรย์จริงๆ”


ซูจิ้งส่งสายตาเป็นประกายออกมา เทียบกับหัวใจพระสูตรที่เขาถ่ายรูปส่งไปในอินเตอร์เนตก่อนหน้านี้ที่มียอดวิวกว่าสิบล้านครั้งแล้ว ตำราเล่มนี้ย่อมสูงค่ากว่าอย่างเทียบไม่ติด


 


เมื่อเปิดไปยังหน้าถัดไปเขาได้เห็นภาพที่เหมือนจะเป็นภาพวิทยายุทธ์อยู่ มันเป็นภาพตราประทับมังกรที่เต็มไปด้วยเนื้อหาและรายละเอียดมากมาย


มีแม้กระทั่งรายละเอียดเชิงลึก ซึ่งเนื้อหามีความซับซ้อนและลึกสุดหยั่งมากกว่าตำราศิลปะการต่อสู้ทั่วไป


ถ้าเทียบกับหมัดวัวคลั่งก่อนหน้านี้น่าจะละเอียดกว่านับสิบเท่าได้


โดยทั่วไปแล้วตำราการฝึกตนไม่ว่าจะเป็นการฝึกบ่มเพาะร่างกายหรือจิตวิญญาณก็ตามจะไม่มีรายละเอียดมากมายถึงขนาดนี้


แต่ด้วยการที่ตำรานี้เป็นการฝึกร่างกายและจิตวิญญาณควบคู่กัน


ในส่วนภาพมังกรนี้สมควรจะเป็นส่วนที่บ่มเพาะร่างกาย


ในส่วนรายละเอียดเนื้อหาเชิงลึกสมควรจะเป็นการฝึกฝนจิตวิญญาณ


และแน่นอนว่าต้องฝึกควบคู่ไปพร้อมกัน แยกฝึกทีละอย่างจะไม่เข้าใจเนื้อหาได้อย่างแท้จริง


 


ซูจิ้งได้ลองฝึกฝนอยู่ซักพักหนึ่ง แต่เมื่อเขาได้ทดลองฝึกดูแล้วพบว่าความคิดของเขาช่างตื้นเขินไปอย่างมาก


ตราบใดที่เขายังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของเนื้อหาทั้งสองส่วน สิ่งที่เขาทำจะเป็นการเสียเวลาเปล่า


แถมตอนนี้เขายังเหลือขยะห้วงเวลาฯที่ต้องจัดการอีกเยอะเขาเลยตัดสินใจไม่เร่งฝึกฝนทำเพียงแค่โยนตำราที่ได้เข้ากระเป๋ามิติไปก่อน


 


ซูจิ้งยังให้เสี่ยวไป๋ค่อยๆซ่อมแซมหนังสือจากกองขี้เถ้าต่อไป เขาคิดว่าอาจจะพอมีหนังสือที่มีคุณค่าแบบนี้อยู่อีกก็ได้


เขาได้ลองเขี่ยกองขี้เถ้านั่นจนเจอกระดาษกองหนึ่ง แต่พอมองดูแล้วมันเป็นลายมือคนเขียนและดูเหมือนจะไม่ได้มาจากวัดพุทธใหญ่


มันเหมือนกับมาจากที่อื่นแต่โดนรวมมาจากการคัดแยกของฉิงหยุนเท่านั้น เพราะตัวกระดาษเองก็มีรอยไหม้เช่นเดียวกัน


“นี่มัน?” ซูจิ้งลองเปิดหนังสือที่มีลวดลายเล่มนั้นดู


เมื่อเปิดมันออกสายตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสมุดเล่มนี้จะเป็นสมุดโน๊ตบันทึกตัวโน๊ตกู่จิ้ง เขาได้ลองอ่านทำนองสร้างเพลงขึ้นมาในหัวตามตัวโน๊ตก็พบว่ามันเป็นเพลงจริงๆ


ในห้วงเวลาฯเทพฝั่งตะวันตกนั้นมีปรมาจารย์นักดนตรีที่เล่นกู่จิ้งอยู่หลายคน


แต่ปรมาจารย์เหล่านั้นลึกล้ำกว่าผู้คนบนโลกตรงที่พวกเขาใช้เพลงในการช่วยชีวิต ฆ่าผู้คน หรือแม้แต่เปิดหนทางให้คนนับพันมาปรากฏตรงหน้าจากที่ห่างไกลนับพันลี้


ถือได้ว่าเป็นแค่นักดนตรีแต่ก็มีพลังวิเศษไม่ต่างจากจอมยุทธหรือจอมเวทย์เลยทีเดียว


“บทเพลงเหล่านี้สมควรจะทรงพลังไม่น้อยถือว่าเป็นการเก็บเกี่ยวที่ไม่เลวเลย เอาไว้ลองเล่นทีหลังแล้วกัน”


ซูจิ้งแสดงออกด้วยท่าทางยินดีแล้วโยนตำราเพลงใส่กระเป๋ามิติไป


ไม่ว่าซูจิ้งเจออะไรที่ไม่ได้ใหญ่มากเขาจะเก็บไว้กับตัวก่อนเป็นอันดับแรก


นอกเสียจากว่ามันใหญ่มากและยากต่อการหยิบออกมาใช้ต่อหน้าผู้คนเขาจึงจะเก็บเอาไว้ในห้องเย็น


 


ในไม่ช้ากองขี้เถ้านั้นในทีสุดก็หายไปแล้ว มีเพียงเศษกระดาษบางส่วนที่เหลือทิ้งเอาไว้


เสี่ยวไป๋เองก็ได้ใช้สแตนด์ในการซ่อมแซมตำราพวกนี้อย่างช้าๆ ไม่เร่งร้อน แต่ก็ไม่มีตำราสมบูรณ์ใดๆปรากฎออกมาอีกเลย


“ฮอว เหนื่อยแล้วอ่ะ” เสี่ยวไป๋พูดประท้วงเล็กๆกับซูจิ้ง


“เหนื่อยก็พักซักหน่อยละกัน วันนี้นายนี่ทำประโยชน์ให้ฉันไม่น้อยเลยนะ เย็นนี้ฉันจะให้เนื้อก้อนใหญ่กับนายเลย แล้วหลังจากนั้นจะปล่อยให้นายนอนหลับฝันดี พร่งนี้ค่อยว่ากันใหม่”


 


เมื่อเห็นเสี่ยวไป๋ทำท่าเหนื่อยมากแล้ว


ซูจิ้งก็ไม่ได้บังคับฝืนแต่อย่างใดเพราะพลังของเสี่ยวไป๋สำหรับซูจิ้งนั้นเป็นประโยชน์มาก


หากเสียไปแล้วเขาคงจะเสียใจไปชั่วชีวิต


“ฮอว” เสี่ยวไป๋ได้ยินดังนั้นถึงกับกระโดดตัวลอยในทันที


ซูจิ้งหยุดคิดซักพักจึงได้ถามฉิงหยุนให้ช่วบเก็บรักษากระดาษพวกนั้นไว้อย่างดีในพื้นที่ใช้สอยเพื่อที่จะซ่อมแซมต่อในภายหลัง


 


ซูจิ้งได้กลับไปจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ


เมื่อเขาลองจัดหมวดหมู่ในใจคร่าวๆดูขยะส่วนใหญ่ที่เหลืออยู่ตอนนี้จะเป็นซากขี้เถ้า เศษไม้จากการเผา เครื่องลายครามที่แตกหักและมีเขม่าดำเกาะ ตลอดจนพระพุทธรูปทองสัมฤทธิ์


ดูเหมือนว่าส่วนใหญ่ขยะห้วงเวลาฯเหล่านี้จะมาจากวัดพุทธใหญ่จริงๆ


“ฉิงหยุน สามารถรวมขยะห้วงเวลาฯที่มีล่องลอยการเผาเข้าด้วยกันได้รึเปล่า?”


“ได้” พอสินคำพูดของฉิงหยุนขยะที่มีร่องรอยการถูกเผาทั้งหมดได้กองไปแยกอยู่อีกมุมหนึ่ง แบ่งออกเป็นกองที่มีร่องรอยการเผ่าและเศษขี้เถ้า


 


ซูจิ้งได้ทำการเช็คขยะห้วงเวลาฯอย่างถี่ถ้วนและคัดเลือกขยะที่ดูไม่มีค่าอะไรเพื่อส่งออกไปเผา


แต่เมื่อเขาคิดดูอีกทีแล้วขยะพวกนี้ล้วนแล้วน่าจะมาจากวัดพุทธใหญ่สมควรจะมีคุณค่าอยู่บ้างถ้าซ่อมแซมเสร็จแล้ว เขาเลยตัดสินใจว่าจะไม่ทิ้งของที่ถูกเผ่าเหล่านี้


หลังจากตัดสินใจได้แล้วซูจิ้งเลยไปจัดการขยะกองอื่นต่อ


ซูจิ้งได้เลือกเก็บผ้าและไม้เอาไว้บางส่วนหลังจากนั้นก็ส่งที่เหลือไปยังพื้นที่พักขยะห้วงเวลาฯเอาไว้เพื่อรอให้เก็บได้มากพอคุ้มค่ากับการเผา


 


หลังจากผ่านไปสองวัน ซูจิ้งก็ยังอ่านตำราวิถีมังกรสลับไปกับการหาสมบัติดีๆจากกองขยะห้วงเวลาฯต่อไป


เย็นวันนั้น ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์สองสาย สายแรกมาจากเหว่ยเสี่ยวหยวนบอกเขามาว่า


“ฉันหาเตาเผาขยะพลังงานไฟฟ้าตามที่หัวหน้าบอกไว้ไม่ได้นะ


แต่ว่าแถวๆสถาบันวิจัยเทคโนโลยีห้วงเวลาฯของพวกเรามีคนที่อยากจะขายที่อยู่ซึ่งพื้นที่นั้นเมื่อประเมินดูแล้วมีความเหมาะสมกับการทำเตาเผาขยะ


หากเป็นที่นั่นไม่เพียงแต่จะเผาขยะได้แต่พลังงานไฟฟ้าที่ได้ยังเป็นพลังงานให้กับสถาบันวิจัยฯของหัวหน้าอีกด้วย”


“ส่งข้อมูลมาให้ดูหน่อยซิ” ซูจิ้งตาเป็นประกายขึ้นมา


ถึงแม้ว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯจะยกระดับแล้วไม่จำเป็นต้องพึ่งเตาเผาขยะผลิตพลังงานไฟฟ้าแล้วก็ตามแต่ซูจิ้งก็ยังไม่ละทิ้งแผนการแต่อย่างใด


เหตุผลก็เพราะอย่างแรกเขานั้นจะต้องมีแผนสำลองเพื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝัน และมันยังช่วยแบ่งเบาการใช้พลังงานปฏิสสารได้เมื่อจำเป็นและสร้างรายได้จากเมืองจงหยุนจากการกำจัดขยะได้ถ้าต้องการ


 


อย่างที่สองเขาในตอนนี้ถูกเพิ่งเล็งจากศัตรูรอบด้านรวมถึงคนธรรมดาทั่วไป


หากเขาให้เหว่ยเสี่ยวหยวนทำการวิจัยเกี่ยวกับโรงผลิตพลังงานไฟฟ้าจากขยะล่ะก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกเพ่งเล็งมากกว่าเดิม จะทำอะไรก็ลำบากมากขึ้น


ถ้าเป็นพื้นที่อื่นเขาอาจล้มเลิกไปแต่ถ้านี่เขาสร้างไว้แถวสถาบันวิจัยฯได้ล่ะก็นอกจากจะทำอะไรได้ง่ายขึ้นแล้วแถมยังได้พลังงานไฟฟ้ามาใช้ในสถาบันวิจัยอีกด้วย


 


เหว่ยเสี่ยวหยวนได้ส่งข้อมูลมาให้ซูจิ้งและเขาก็ทำการอ่านอย่างตั้งใจ พื้นที่นี้อยู่ใกล้สถาบันวิจัยฯมากๆ


มันเป็นพื้นที่สำหรับปลูกสร้างโรงงานอุตสาหกรรมก็จริงแต่ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ


แน่นอนว่าซูจิ้งจะต้องสร้างเตาเผาผลิตพลังงานไฟฟ้าที่ดีที่สุดที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษหรือก่อให้เกิดมลพิษให้น้อยที่สุด


แน่นอนว่าเขาไม่ได้ขาดแคลนเงินตราแถมยังได้ผลกำไรจากเตาเผานี้ด้วยจึงถือได้ว่าเขาไม่ต้องเสียอะไรมากนัก


“โอเค เธอลองไปจัดการได้เลย ลองคุยกับเจ้าของที่ดูก่อน ถ้าเกิดว่าเธอไม่ถนัดเรื่องนี้ก็ให้เฉิงหนานไปช่วยคุยด้วย” ซูจิ้งสั่งออกไป


“ได้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง” เหว่ยเสี่ยวหยวนบอกซูจิ้งด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากวางสายไปเฉิงหนานก็ได้โทรหาเขาโดยบอกว่า “หัวหน้าคะ พรุ่งนี้วันอาทิตย์ฉันได้ติดต่อทั้งสามคนนั้นเอาไว้แล้ว นัดเวลาประมาณ 10 โมงเช้า หัวหน้าว่างรึเปล่าคะ”


“ตกลงนัดเวลานั้นล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้า เรื่องขยายการผลิตปฏิสสารยังคงต้องดำเนินการต่อไป


หรืออย่างน้อยๆก็ต้องผลิตให้ได้ถึง 100 กรัมก่อนถึงจะหยุดขยายกำลังการผลิตได้


แน่นอนว่าจะต้องหาผู้มีความสามารถด้านปฏิสสารเพิ่มเติม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)