Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 772-775

GGS:บทที่ 772 เตรียมพร้อมเต็มพิกัด


 


หลังจากซูจิ้งจัดการเลือดหนูที่หลงเหลือจากการทดลองแล้ว เขาได้รับโทรศัพท์จากมู่หรงเซียนเอ๋อ เสียงอันนุ่มนวลได้พูดออกมาว่า “พระเจ้า ฉันจะขอบใจนายยังไงดีเนี่ย”


“ขอบใจที่ช่วยคุณหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และเขาก็รู้ได้ด้วยว่าทำไมเธอถึงได้ขอบใจเขา


ในช่วงสองวันมานี้ผลพวงจากการเล่นเพลง ส่งผ่านทะนองแห่งรัก กับเพลงวิถีเซียน ทำให้ชาวเน็ตพูดทุ่งกันอย่างกับไฟลามทุ่ง และชาวเน็ตก็ได้ต่อสู้กับข่าวลือเสียๆหายๆของเธอแบบทุ่มสุดตัวยิ่งกว่าเดิม


 


และเมื่อเบื้องหลังข่าวลือและข่าวฉาวได้ถูกเปิดโปงออกมาทำให้ชื่อเสียงและความนิยมของเซียนเอ๋อเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง


ด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนตระกูลมู่หรงต่างก็สรรเสริญซูจิ้งที่ได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้จากเรื่องข่าวใส่ร้ายนั่น


ถึงขนาดที่พวกเขาต้องการเชิญซูจิ้งไปร่วมมื้อค่ำ


แม้แต่พ่อของเซียนเอ๋อที่อยู่คนละจังหวัดกันก็ยังโทรมาขอบคุณเขาด้วยตัวเอง


 


“ในเมื่อนายไม่ต้องการของตอบแทนจากฉันก็ไม่เป็นไร ฉันขอน้อมรับน้ำใจในครั้งนี้ไวก่อนก็แล้วก็


ถ้าในอนาคตนายมีเรื่องให้พวกฉันช่วยเหลือล่ะก็ อย่าได้เกรงใจกันล่ะ


ตราบใดที่นายไม่ได้ไปฆ่าคนหรือวางเพลิงล่ะก็ ฉันจะช่วยนายเต็มที่แน่นอน” เซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ได้ ผมจะจำคำพูดของคุณไว้ พอถึงเวลาจริงๆอย่าหนีก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะวางสายไป


ไม่นานนักเขาก็ได้รับสายจากหวังซือหยาและหวังจ้าว


พวกเขาเองก็ยังสงสัยอยู่เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมกับอีแค่เรื่องข่าวฉาวแบบนี้เขาถึงกับต้องลงมือเองด้วย


พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องเป็นกังวลขนาดนั้น ซูจิ้งเองก็ไม่ได้อธิบายอะไรพวกเขา บอกแต่เพียงว่าให้ระวังตัวไว้ให้ดีๆแค่นั้นเอง


“สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการดูแลตัวเองหล่ะนะ” ซูจิ้งนั้นมีสิ่งสำคัญสองอย่างที่ต้องทำที่สุดในตอนนี้


อย่างแรกคือการนำเศษธนูกลับมาให้ได้ เพราะไม่ว่าใครก็ตามที่ได้มันไปล้วนแล้วแต่เป็นอันตรายต่อเขาทั้งสิ้น


ตอนแรกเขาเองก็คิดว่าถ้าการทดลองสำเร็จเขาจะสร้างกองทัพสัตว์เลี้ยงที่มีสแตนด์แล้วค่อยออกค้นหาองค์กรที่ก่อเรื่อง หรืออาจจะถล่มพวกนั้นในทันทีเลยด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าสแตนด์ของหนูขาวนั่นจะใช้ประโยชน์ไม่ได้ขนาดนี้


พอนึกถึงจะต้องไปเจอกับมนุษย์ที่มีความสามารถของสแตนด์ที่มีความสามารถพอๆกับเจ้าหนูนั่นล่ะก็ เขาแทบจะลงมือค้นหาซะตอนนี้เลยทีเดียว


อย่างที่สอง หาวิธีจัดการขยะห้วงเวลาฯให้ดีกว่านี้


หลังจากเรื่องทั้งหมดนี้ขยะห้วงเวลาไม่สามารถปล่อยให้หลุดลอดออกไปยังโลกภายนอกได้อีกต่อไป


แต่เขาเองก็ไม่สามารถเก็บพวกมันไว้ได้ทั้งหมด


สำหรับเขาใจตอนนี้ไม่สามารถทิ้งขว้างมันออกจากสถานีกำจัดขยะได้อีกต่อไป มันเสี่ยงเกินไป


และในโลกนี้ไม่มีใครจิตใจดีสมบูรณ์แน่นอน ต่อให้ระวังยังไงก็จะมีเหตุเล็กๆน้อยทำให้พลาด


และจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นแห่งปัญหาในภายหลังได้ซึ่งเขาจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีกแน่นอน


 


สำหรับการแก้ปัญหาในเรื่องการกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้น เขาเองก็คิดไว้แล้วคร่าวๆสองวิธี


วิธีที่หนึ่งคือการสร้างหรือซื้อเตาเผามาใช้เอง ซึ่งมันก็จะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายของเขาอยู่แล้ว


วิธีนี้ง่ายที่สุดแต่ก็ยังมีปัญหาใหญ่อยู่นั่นก็คือง่ายต่อการสังเกตุ


ก่อนหน้านี้ทุกคนก็จะแค่สนใจแต่ขยะของแต่ละคนเท่านั้น แต่ถ้าหากเขาตั้งโรงเผาขยะล่ะก็พวกเขาจะเพ่งเล็งที่นี่ในทันที และอาจเกิดความอิจฉาจนก่อเรื่องขึ้นก็ได้


เขาก็เลยคิดว่าวิธีนี้น่าจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งไปกว่านั้นการเผาขยะห้วงเวลาฯเองก็ไม่รู้ว่าจะได้ผลจริงๆรึเปล่า


ยกตัวอย่างเช่นการนำธนูที่เต็มไปด้วยไวรัสนี่ไปเผา


ต่อให้มันถูกเผาจนเป็นเถ้าธุลีก็ตามแต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันว่าเถ้าธุลีพวกนั้นจะไม่หลงเหลือไวรัสอยู่


อาจจะยิ่งทำให้เกิดอันตรายมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ


 


วิธีที่สองคือการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ถ้าเขาคิดถูกต้องแล้วล่ะก็


หลังจากที่ยกระดับสถานีแล้วควรจะมีระบบกำจัดอัตโนมัติออกมาให้ใช้


เจ้าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนี้เอาจริงๆคือมันมีความสามารถที่ล้ำสมัยและปลอดภัยที่สุดแล้วยิ่งกว่าที่ใดๆในโลกหล้า


 


ปัญหาอย่างเดียวคือเขาไม่รู้ว่าเจ้าสถานีฯนี่จะยกระดับเมื่อไหร่ เขารอไม่ได้


 


“ฉันไม่คิดเลยว่าต้องมาฝากความหวังไว้กับของที่ไม่ควรหวังอย่างนี้เลยจริงๆ


อย่างน้อยฉันก็ควรจะเตรียมพร้อมไว้ก่อนสินะ ทั้งเรื่องแผนการ ทั้งเรื่องเซียน”


ซูจิ้งคิดไปดังนั้นจึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เขาโทรไปหาเหว่ยเสี่ยวหยวนก่อนเป็นอย่างแรก


เหว่ยเสี่ยวหยวนเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เธอพูดรับสายอย่างรวดเร็วว่า


“หัวหน้า จะให้ฉันทำอะไรคะ”


 


“ช่วยผมหาหน่อยว่าแถวๆนี้มีโรงเผาขยะ หรือไม่ก็โรงไฟฟ้าพลังงานขยะที่พอจะเป็นเจ้าของได้บ้างรึเปล่า ถ้าไม่มีก็ลองหาพื้นที่แถวๆนี้ที่พอจะสร้างได้ให้ที” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“เอ่อ ทำไมพวกเราถึงต้องมีโรงไฟฟ้าพลังงานขยะด้วยล่ะคะ” เธอถามออกมาเพราะเธอไม่เข้าใจว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากได้ขนาดนั้น


 


“แน่นอนว่าเรามีขยะที่ต้องจัดการและต้องหลีกเลี่ยงปัญหาสิ่งแวดล้อมด้วย จำเอาไว้ว่าพยายามหาแบบที่มีอุปกรณ์ในการกำจัดดีๆและก่อให้เกิดผลพิษน้อยๆด้วยหล่ะ ส่วนเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” ซูจิ้งพูดย้ำออกไป


“ฉันจะรีบดำเนินการค่ะ” เหว่ยเสี่ยวหยวนไม่ได้คิดอะไรอีกต่อไปหลังจากได้ยินคำอธิบาย


 


หลังจากวางสายซูจิ้งได้โทรหาเฉิงหนานต่อในทันที และเธอก็รีบรับโทรศัพท์อย่างไว ซูจิ้งได้ถามเธอว่า “ในการคัดเลือกครั้งก่อนมีคนสอบผ่านกี่คนน่ะ”


“หลังจากการสอบไปเราได้ทำการติดตามพวกเขาตลอดเวลาค่ะ


สองคนที่สอบผ่านได้รับการติดต่อจากที่อื่นไปแล้วค่ะ


อีกคนหนึ่งนั้นยังรอผลการพิจารณาอยู่ แต่เท่าที่ติดตามดูแล้วพวกเขาก็ดูมีแววจะอยากทำงานร่วมกับเราเหมือนกันค่ะ”


“หาเวลาแล้วนัดหมายทั้งสามคนมาที่บริษัทพร้อมกันซะ ผมจะเป็นคนสัมภาษณ์ทั้งสามคนด้วยตัวเอง” ซูจิ้งพูดออกไป


“นี่….” เฉิงหนานรู้สึกประหลาดใจใจทันที ด้วยท่าทีของซูจิ้งก่อนหน้านี้ เธอคิดว่าซูจิ้งเองดูเหมือนจะไม่ได้รีบหาคนเพิ่ม ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ๆเขาก็รีบใช้คนขนาดนี้ เธอจึงได้พูดออกไปว่า “ได้ค่ะ ตอนนี้ที่ๆพวกเขาทำงานอยู่ก็คือสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ เงินเดือนที่นั่นไม่ได้สูงเท่าที่เราจะเสนอเพราะฉะนั้นไม่น่ามีปัญหาเรื่องนี้ แต่พวกเขาก็ต้องทำงานในวันธรรมดาอยู่ดี เราสมควรจะนัดพวกเขามาในวันอาทิตย์จะดีที่สุด”


“งั้นลองนัดอาทิตย์หน้าก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกไป


“ได้ค่ะ” เฉิงหนานพยักหน้ารับ


 


หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรไปยังสำนักความมั่นคงสาธารณะและหวังเซียวเพื่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวคดีคนหาย


เขายังโทรไปหาซฉือเพื่อช่วยหาข้อมูลเรื่องนี้ด้วย แล้วทำการโทรไปหาหวังซวนจี้และกงหลิงหมิงเพื่อขอข้อมูลและเปิดทางในการสืบสวน


ซูจิ้งทำถึงขนาดปล่อยฝูงแมลงปอออกไปเพื่อคอยสังเกตุและเฝ้าระวังเหตุกาณ์คนหายที่เกิดขึ้นในทุกที่


แต่ก็ยังมีเรื่องน่าปวดหัวอยู่อีกก็คือคนที่หายตัวไปมากกว่าครึ่งไม่ได้ให้เบาะแสอะไรเพิ่มเติม


แม้ซูจิ้งจะรู้ว่าเป็นใครบ้างแต่ก็ไม่มีร่องรอยให้ตามต่อได้ แม้แต่ความสามารถในการติดตามของหมาป่าสงครามก็ยังไม่ได้อะไร


ตอนนี้สามารถอนุมานได้ว่าคนที่ไร้ร่องรอยพวกนั้นน่าจะกลายเป็นบ่อเลือดเน่าไปแล้ว


 


ซูจิ้งคิดขึ้นมาได้ว่าหากเขาต้องการจะสืบสวนเรื่องนี้จริงๆสมควรจะต้องหาคนที่มีสแตนด์แล้วเรียบร้อย


เหล่าคนที่มีสแตนด์สมควรจะปลีกตัวออกจากสังคม หรือไม่ก็ก่อเรื่องประหลาดๆแบบนั้นอีก


ยกตัวอย่างเช่นกรณีของเซียนเอ๋อที่เกือบจะโดนทำลายจากข่าวลือโง่ๆพันนั้น


เหตุการณ์แบบนี้ต้องไม่ใช่ครั้งแรกแน่นอน และเบื้องหลังเรื่องแบบนี้สมควรจะมีคนที่มีสแตนด์อยู่เบื้องหลังไม่มากก็น้อย


 


สองวันหลังจากนั้นซูจิ้งก็ยังไม่ได้อะไรเพิ่มเติม เย็นวันนั้นซูจิ้งได้รับโทรศัพท์จากหวังจ้าวโดยบอกว่า “อาจิ้ง มีคนแจ้งความคดีคนหายอีกแล้ว เพิ่งจะหายไปเมื่อวานนี้เอง”


“คนแจ้งความยังอยู่ที่สถานีตำรวจรึเปล่า” ทันทีที่ได้ยินซูจิ้งมีสายตาที่เป็นประกาย


เหตุการหายตัวที่เกิดขึ้นเมื่อเทียบกันระหว่างหายตัวไปไม่กี่วันกับหายไปนานเป็นเดือน


ข้อมูลที่ได้ย่อมต่างกัน เรื่องแบบนี้ยิ่งรู้เร็วเท่าไหร่ยิ่งดี


“ถูกแล้วล่ะ” หวังจ้าวตอบ


“รั้งเขาเอาไว้ก่อน ฉันจะรีบไปทันที”


ซูจิ้งได้ขี่อินทรีย์ทองตรงไปยังสถานีตำรวจให้เร็วที่สุด เมื่อซูจิ้งเห็นคนที่มาแจ้งความ เขาถึงกับประหลาดใจ และคนที่มาแจ้งความเองก็ประหลาดใจไม่แพ้ซูจิ้งเช่นกัน เขาถามออกมาว่า “คุณซู คุณมาทำอะไรที่นี่กัน”



GGS:บทที่ 773 ชายแก่


 


“คุณซู ทำไม86Iถึงมาอยู่ที่นี่ได้หล่ะ” หญิงวัยกลางคนอายุประมาณ 40-50 ปี ซึ่งตอนนี้ใบหน้าของเธอได้ดีหม่นหมองและดูหดหู่จนเห็นได้เลยว่าเธออยู่ในอารมณ์โศกเศร้ามากๆ


 


“คุณซูคุณเซออะไรกันครับครูจาง ถึงจะนานแล้วแต่เรียกผมว่าอาจิ้งแบบเมื่อก่อนดีกว่าครับ”


ซูจิ้งทั้งแปลกใจทั้งแสดงความเคารพผู้หญิงคนนี้ เธอเป็นครูสอนภาษาจีนของเขาในสมัยม.ต้น


ชื่อของเธอคือจางหยานเหวิน เธอนั้นเป็นคนที่มีอัธยาศัยและนิสัยที่ดีน่าเคารพ


เธอถือได้ว่าเป็นครูดีๆที่หาได้ยากยิ่ง เป็นคนที่ใส่ใจลูกศิษย์ก่อนตัวเองอย่างแท้จริง


ซูจิ้งเองก็รู้สึกดีกับเธอมากๆเช่นกัน


 


แต่เขาเองก็เคยได้ยินมาว่าสามีของเธอนั้นเป็นคนที่ขี้เกียจและติดการพนันอย่างมาก


จนเป็นหนี้เป็นสินยืมเงินคนอื่นเขาไปทั่ว ครอบครัวเองก็เคยถูกข่มขู่จากพวกทวงหนี้บ่อยๆ


ชีวิตของเธอจึงไม่มีความแน่นอน เธอทนไม่ไหวและห่วงในอนาคตของลูกจึงตัดสินใจทิ้งสามีแล้วพาลูกชายออกจากเมืองฉิงหยุนไป


 


“อาจิ้ง ไม่ได้พบกันนานเลยนะ” จางหยานเหวินจำซูจิ้งได้ในทันทีที่เห็น


เพราะเธอเองก็ได้เห็นซูจิ้งอยู่บ่อยครั้งจากในข่าวและซูจิ้งก็ไม่ใช่เด็กน้อยของเธออีกแต่ไป


แต่กลายเป็นดาราที่ประสบความสำเร็จและร่ำรวย พอไม่เจอหน้ากันมานานหลายปีทำให้เธอไม่แน่ใจว่านิสัยของซูจิ้งจะเปลี่ยนไปรึเปล่า


ถึงแม้ว่าในสมัยนั้นเขาจะเป็นคนที่น่ารักและจิตใจดีก็ตาม แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาโตขึ้นและมีทั้งเงิน อำนาจ และชื่อเสียง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่กัดกร่อนจิตใจผู้คน เธอจึงไม่กล้าเรียกอย่างสนิทสนมในครั้งแรกที่เจอหลังจากผ่านไปนาน


แต่จากเมื่อกี้เธอรู้สึกได้เลยว่าซูจิ้งแทบจะไม่เปลี่ยนไปเลยซักนิด นั่นทำให้เธอรู้สึกดีมากๆ เมื่อได้เห็นเขาในตอนนี้รู้สึกได้เลยว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ


 


“ครูจาง ทำไมครูถึงได้มาที่สถานีตำรวจกันหล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยใจหวั่นไหว


 


“ไม่รู้ว่าเธอรู้จักคุณครูท่านนี่ด้วยเหมือนกัน ครูจางเป็นผู้แจ้งความน่ะ ลูกชายของเธอหายไป” หวังเซียวที่ทำหน้าที่ประจำสถานีอยู่ตอนนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาตามซูจิ้งมา


 


“อาจิ้ง นายต้องช่วยครูนะ ครูมีลูกชายแค่คนเดียว ฉันมีชีวิตอยู่ไม่ได้ถ้าขาดเขาไป”


เธอพูดขอร้องออกมาโดยไม่ยึดถือฐานะความเป็นครูอีกต่อไป


เธอขอร้องออกมาด้วยความเป็นแม่ที่เต็มเปี่ยม


เธอเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลูกชายเพิ่งจะหายไปเพียงแค่วันเดียวเท่านั้น ตำรวจอาจไม่สนใจเรื่องของเธอเลยก้ได้


กลับกันถ้าเป็นซูจิ้งที่เป็นดารา มีคนรู้จักนับน่าถือตา


หากเขาพูดอะไรซักหน่อยตำรวจอาจจะเร่งการค้นหาให้เธอก็ได้


 


“อย่ากังวลไปเลยครับครูจาง ผมมาที่นี่ก็เพราะคดีคนหายนี่โดยเฉพาะอยู่แล้ว บอกรายละเอียดของสถานการณ์ทั้งหมดมาหน่อยสิครับว่าครูพบว่าลูกชายหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“นี่คือรายละเอียดทั้งหมด นายอ่านจากนี่ก่อนน่าจะเร็วกว่านะ” หวังเซียวพูดอย่างไม่หวงข้อมูลส่งข้อมูลให้ซูจิ้งในทันที สำหรับซูจิ้งที่ขอให้ตามเรื่องนี้เป็นพิเศษเขาไม่มีอะไรต้องกังวล


 


ซูจิ้งจ้องไปที่ข้อมูลที่ได้รับและอ่านจนเสร็จอย่างรวดเร็ว มันช่างดูเรียบง่ายเหลือเกิน


เย็นวันนี้ครูจางเห็นว่าลูกชายเธอไม่กลับบ้าน


พอเธอโทรหาแต่ลูกของเธอไม่รับสาย


พอโทรไปหาที่โรงเรียนก็บอกว่าลูกเธอไม่ได้ไปโรงเรียนตั้งแต่เมื่อเช้า แสดงว่าลูกเธอหายตัวไปทั้งวันแล้ว


ลูกของเธอเองก็เป็นเด็กที่ฉลาดที่สุดในรุ่นและประพฤติตัวดีมาตลอด ไม่เคยขาดเรียนแม้แต่ซักวันเดียว


เธอเองก็ยังไม่เชื่อว่าลูกเธอจะหายแต่รอจนค่ำก็ยังไม่กลับมาซักที เธอจึงมั่นใจในทันทีว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน


 


อย่างไรก็ตามฝั่งตำรวจเองก็คิดจะสืบสวนให้เหมือนกันแต่ก็ว่าจะไม่ได้จริงจังมากนัก


เพราะเคสแบบนี้ปกติจะไม่เกินสองสามวันคนที่หายก็จะกลับมาเอง


สำหรับพวกเขาเป็นเรื่องปกติที่เด็กวัยนี้จะติดเกมและเผลอเล่นแบบข้ามวันข้ามคืนอยู่ตามร้านอินเตอร์เน็ตก็ไม่แปลกอะไร


หรือบางทีก็อาจจะเป็นเที่ยวเล่นอยู่บ้านเพื่อน แต่สำหรับลูกชายของจางหยานเหวินหากเหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นจะไม่ถือว่าปรกติได้เลย


 


เอาจริงๆซูจิ้งก็เผลอคิดไปเหมือนกันว่าลูกชายของครูจางอาจไปเที่ยวเล่นเถลไถลจนลืมเวลา


เขาไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับองค์กรนั้นได้ ต่อให้เขาไม่มาดู เด็กนั่นก็น่าจะกลับมาเองในไม่ช้า


แต่เมื่อเห็นท่าทางของครูจางที่กังวลจนเหมือนใจจะขาด เขาจึงอดที่จะเสียเวลาช่วยเหลือไม่ได้จึงได้ถามออกมาว่า “ครูจางครับ ครูพอจะมีของใช้ติดตัวของเขาบ้างรึเปล่า”


 


“ฉันมีกระเป๋าของเขาอยู่ใบนึง” จางหยานเหวินนำกระเป๋าสะพายหลังออกมา


 


ซูจิ้งนำกระเป๋า หลังจากนั้นเขาหยิบหนังสือที่อยู่ข้างในออกมาแล้วลองเปิดดู


มันเป็นหนังสือที่ลูกของเธอน่าจะกำลังใช้เรียนอยู่


ซูจิ้งนำหนังสือนั้นออกมาแล้วคืนกระเป๋าให้เธอพร้อมบอกว่า “ครูจาง ผมขอหนังสือเล่มนี้ไปก่อนนะครับ


พอดีผมมีฝูงหมาอยู่ฝูงหนึ่งที่มีทักษะด้านการดมกลิ่นอย่างดีเยี่ยม พวกมันน่าจะพอตามรายเขาได้บ้าง”


 


“ฉันจะไปกับนายด้วย” จางหยานเหวินพูดออกมาในทันทีที่ได้ยิน


 


“ครูจางครับ หมาของผมนั้นเร็วมาก ครูตามไม่ทันหรอก รออยู่ที่นี่ดีกว่าเพื่อระหว่างนี้เจ้าหน้าที่หวังอาจจะได้เรื่องลูกของครูเร็วกว่าผมก็ได้” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“สร้างความลำบากให้นายแล้ว” ครูจางกล่าวขอบคุณอย่างหมดหัวใจ


 


“อาจิ้ง นายจะให้ฉันไปด้วยรึเปล่า” หวังเซียวถามออกมา เขานั้นไม่เข้าใจว่าทำไมซูจิ้งถึงต้องการให้ตามเรื่องคดีคนหายเป็นพิเศษจนถึงขั้นต้องมาลงมือด้วยตัวเองแบบนี้


 


“ไม่ต้องหรอกพี่เซียว พี่ก็ยุ่งอยู่แล้ว อยู่ที่นี่จัดการเรื่องของพี่ไปก่อนดีกว่า” ซูจิ้งออกมาจากสถานีตำรวจพร้อมทั้งหนังสือของลูกชายครูจาง


ตอนนี้เขาเลือกที่จะไปยังพื้นที่ลานว่างแห่งหนึ่งแทนที่จะกลับไปให้เหล่าหมาๆของเขาดมกลิ่นหนังสือ


ซูจิ้งเปิดหนังสือไปยังหน้าสุดท้ายที่มีการใช้งาน แล้วฉีกกระดาษหน้านั้นออกมาพับเป็นรูปนกพิราบ


จากนั้นนำขวดยาขวดหนึ่งออกมาจากกระเป๋ามิติ เขาได้ใช้เวทย์เพลิงกระตุ้นตัวยาพร้อมทำการโปรยตัวยาลงบนนกกระดาษในทันที หลังจากนั้นซักพัก


นกกระดาษตัวนั้นก็ได้ทำการกระพือปีกกระดาษของมันและบินตรงไปยังทิศทางหนึ่ง


มันบินด้วยความสูงอยู่ที่ 6-7 เมตร ไม่มีใครสังเกตมันแม้แต่น้อยอาจเพราะด้วยเป็นช่วงกลางดึก


มันบินด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก ซูจิ้งสามารถใช้การเดินเร็วก็สามารถตามมันได้ทัน


 


การใช้ผงตามรอยนี่ได้ผลดีกว่าให้หนู หมา และหมาป่ามากนัก


น่าเสียดายที่เขาเหลือไม่มากนักเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้ใช้มันจัดการเรื่องคนที่รายงานเรื่องของเขาต่อภาครัฐไปก่อนหน้านี้


ตอนนี้เขาคงทำได้เพียงใช้มันให้น้อยที่สุดเท่านั้น


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง นกพิราบกระดาษได้บินไปยังผับแห่งหนึ่ง


นั่นถึงกับทันให้คิ้วของซูจิ้งขมวดไปเล็กน้อย นี่ลูกชายของครูจางมาเที่ยวเล่นในที่แบบนี้ด้วยหรอเนี่ย


เขาไม่รู้รึไงว่าแม่ของเขาต้องตรากตรำหาเงินมาหนักหนาแค่ไหนถึงจะส่งเขาเรียนและมีชีวิตที่ดีได้กัน


มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เขาต้องจับเด็กนี่มาลงโทษก่อนส่งตัวคืนกลับไปยังครูจางให้ได้อย่างแน่นอน


 


เมื่อซูจิ้งเดินเข้าไป เขาได้ยินเสียงดังแบบสุดๆ มีหนุ่มสาวจำนวนหนึ่งกำลังเต้นกันสุดเหวี่ยงอยู่พื้นที่เต้นรำ


ซูจิ้งยังคงตามนกพิราบกระดาษไปจนกระทั่งไปถึงประตูของตู้คาราโอเกะตู้หนึ่ง มีชายใส่แว่นกันแดดตัวสูงยืนคุมเชิงอยู่ที่ประตูสองคน


ทันทีที่ซูจิ้งมายืนอยู่ที่หน้าประตู ชายสองคนนำมือมากั้นพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นว่า “ห้ามเข้า”


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยจิตสังหารออกมาจนทั้งสองคนผงะและหนึ่งนั้นยอมปล่อยให้ซูจิ้งเข้าไป


เมื่อซูจิ้งเข้าไปเขาพบชายหญิงจำนวนหนึ่งนุ่งน้อยห่มน้อย มีชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังหน้าแดง


และมีชายแก่คนหนึ่งในชุดสูทยอดนิยมยี่ห้อดัง สวมสร้อยทอง นาฬิกาหรู และแหวนเพชร ดูๆไปแล้วเป็นพวกชอบอวดรวยแบบออกนอกหน้า


 


“ดาซู ลูกชายของคุณน่ารักจุง มาให้พี่สาวคนนี้จุ๊บซักทีนึงสิจ้ะ” หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆชายจี้อายจุ๊บแกล้มเด็กหนุ่มไปหนึ่งทีก่อนที่ชายแก่คนนั้นจะพูดขึ้นมาว่า “ฮ่าฮ่า ฮุยน้อย ดูเหมือนว่าหล่อนอยากจะรู้จักลูกนะ


ลูกคิดว่าลูกควรจะมาอยู่กับพ่อหรอ มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มดีๆ แม้กระทั่งสาวสวยๆก็ยังมาออกันให้เพียบ


จะไปสนทำไมกับแม่แกกันล่ะ” ชายวัยกลางคนพูดเสร็จก็หัวเราะลั่น


 


“พ่อ พ่อไปเอาเงินมาจากไหนเนี่ย ถ้าพ่อมีมากขนาดนี้ทำไมไม่ไปช่วยแม่มั่งล่ะ” เด็กหนุ่มพูดในขณะที่โยกหัวหลบหญิงสาวคนนั้นเมื่อกำลังอยู่ในเรื่องเดอะแมทริกซ์


 


ตอนนั้น พวกเขาก็ได้รู้สึกตัวว่าซูจิ้งได้เดินเข้ามาหา ชายวัยกลางคนคนนั้นจ้องมองไปที่ซูจิ้งอย่างเอาเรื่องก่อนที่จะพูดออกมาว่า “แกเป็นใคร ใครให้แกมาที่นี่ ออกไปซะ”



GGS:บทที่ 774 หลิวดาจูที่เปลี่ยนไป


 


ซูจิ้งได้ถอดหมวกและแว่นตากันแดดออก หญิงสาวที่นุ่งน้อยห่มน้อยคนนั้นกับเด็กหนุ่มขี้อายเหมือนเขาเห็นได้อย่างชัดเจนก็ได้อุทานออกมาเสียงดังลั่นว่า “ซูจิ้ง”


 


ทั้งสองรู้จักซูจิ้งเป็นอย่างดีว่าเขานั้นเป็นดาราที่สุดแสนจะเด่นดัง พวกเขาแสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างเห็นได้ชัด


จะมีซักกี่คนที่เป็นเหมือนซูจิ้งได้กัน คนที่ทั้งหล่อ รวย ทรงพลัง ตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น


ถ้าพวกเขาสามารถเป็นได้แบบนี้บ้างแน่นอนต้องยกระดับคุณภาพชีวิตของตัวเองได้อย่างแน่นอน


ไม่ต้องนับเรื่องเงินก็ได้ขอแค่ได้อย่างอื่นสักครึ่งหนึ่งล่ะก็


พวกเธอจะไม่มานั่งเป็นเด็กดริ๊งแบบนี้อย่างแน่นอนเพราะถือได้ว่าเปลี่ยนชะตาชีวิตตัวเองเรียบร้อยแล้ว


หญิงสาวเหล่านั้นเริ่มทำตาเล็กตาน้อยใส่ทันที


 


ซูจิ้งไม่ได้สนใจพวกเธอแม้แต่น้อย เขามานั่งข้างๆชายขี้อายคนนั้นแล้วถามออกมาว่า “นายใช่หลิวเซียวฮุยรึเปล่า ถ้าใช่ล่ะก็ รู้รึเปล่าว่าแม่นายห่วงนายมากแค่ไหน”


 


“พ่อของผมพาผมมาที่นี่ ผมจะกลับไปเองทีหลังครับ” หลิวเซียวฮุยหรือเด็กหนุ่มขี้อายคนนั้นได้มองซูจิ้งอย่างประหลาดใจ


พอนึกว่าเขามาที่นี่เพียงเพื่อจะพาเขากลับบ้านเนี่ยนะ นี่แม่ของเขาใช้มนต์อะไรกันแน่


ที่ผ่านมาเขาเองก็ได้เห็นเหมือนกันว่าเวลาแม่มองเห็นซูจิ้งแล้วทำท่าทางแปลกๆ แล้วเปลยขึ้นมาว่าซูจิ้งเคยเป็นลุกศิษย์ของเธอ แต่เขากลับไม่เชื่อเลยซักนิด ไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องจริง


 


“ฉันไม่สนหรอกนะว่าแกเป็นใคร แกไม่ได้ยินฉันพูดรึไงกัน ใครปล่อยให้แกเข้ามา ออกไปเดี๋ยวนี้” ชายวัยกลางคนเองก็ได้มองซูจิ้งอย่างโกรธเกรี้ยวเพราะไล่ยังไงซูจิ้งก็ไม่ยอมไปซักที


 


ซูจิ้งได้พุ่งเข้าหาชายวัยกลางคนคนนั้น เขาจับไปที่ศีรษะแล้วจับโคกเข้ากับโต๊ะในทันทีจนเสียงดังโครม


ชายวัยกลางคนคนนั้นดั้งหักในทันที และจมูกของเขาก็มีเลือดกำเดาไหลออกมา


เหล่าหญิงสาวที่อยู่ในห้องต่างกรีดร้องขึ้นมาในทันที แม้แต่หลิวเซียวฮุยเองก็หน้าซีดเผือดเหมือนเห็นเหตุการณ์ที่ปรากฎอยู่ตรงหน้า


ทันใดนั้นซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “แกคือหลิวดาจูสินะ สามีเก่าของอาจารย์จาง


ฉันได้ยินชื่อของแกมานานแล้ว ไอ้สวะอย่างแกต้องทำให้อาจารย์จางทำงานอย่งหนักเจียนตายเพื่ออนาคตของลูกเธอ


แต่ตอนนี้อยู่ๆแกก็มาเพื่อล่อลวงเขาให้กลายเป็นสวะอย่างแกเนี่ยนะ


ครูจางเป็นคนดีล้ำเลิศที่สุดแต่เสียอย่างเดียวคือเลือกแกเป็นสามีนี่แหล่ะ”


 


“แก แก แกอยากตายมากใช่ไม๊” หลิวดาจูโกรธจัด เขาได้หยิบโทรศัพท์มือถือแล้วโทรตามคนของเขามา


ซูจิ้งไม่สนใจและปล่อยให้เขาโทรตามคนมาจนเสร็จ


หลังจากนั้นก็ได้มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ทุกคนที่เข้ามาพอเห็นซูจิ้งก็ทำท่าตกใจในทันทีที่เห็นว่าคนที่มาก่อเรื่องคือซูจิ้ง หนึ่งในนั้นไปกระซิบที่ข้างหูหลิวดาจูว่า “ลูกพี่ใหญ่ คนๆนี่คือซือจิ้ง ผมไม่สามารถก่อปัญหาให้เขาได้จริงๆครับ”


 


“แล้วไง ในที่นี้ฉันต้องกลัวใครอีก พวกแกไม่เห็นหรอว่าฉันโดนเล่นงานเนี่ย ห้ะ รีบจัดการมันเดี๋ยวนี้ ฉันจะรอดูจนกว่ามันจะตายฉันถึงจะพอใจ” หลิวดาจูคำรามลั่นออกมา


 


“อาจิ้งนั่นนายหรอ” หนึ่งในกลุ่มคนที่เดินเข้ามาก็ประหลาดใจทันทีที่เขาจำซูจิ้งได้


 


“จูหยุน นายมาทำอะไรที่นี่เนี่ย” จูหยุนคือเพื่อนสมัยม.ต้นของซูจิ้ง และเขาเองก็เป็นเพื่อนเก่าจากหมู่บ้านจูเจียนอัวเช่นกัน อย่างไรก็ตามจูหยุนนั้นค่อนข้างเป็นเด็กเกเร ซูจิ้งเองก็ยังเคยทะเลาะกับเขาบ่อยๆ


 


“ฉันอยู่ที่นี่นะ นายมาทำอะไรงั้นหรอ” จูหยุนพูดออกมาหลังจากนั้นเขาหรี่ตาพร้อมพูดว่า “อาจิ้ง พี่หลิว พวกเราก็เป็นคนกันเอง หากล่วงเกินอะไรกันไปก็เลิกแล้วต่อกันเถอะ”


 


“ฮ้ะ ฮ้ะ แกเก่งมากเลยนะที่กล้ามาสั่งฉันขนาดนี้” หลิวดาจูตบไปที่ใบหน้าของจูหยุนจนแทบจะทำให้ฟันของเขาปลิวไปหมดปาก และเขาเองก็ทำท่าจะเปิดซูจิ้งก่อน แต่ซูจิ้งไหวตัวทันเลยถีบจนเขากระเด็นออกไป


 


“ฆ่ามัน” หลิวดาจูคำรามลั่นจนทำให้คนอื่นรู้สึกกลัวจนตัวสั่น พวกเขาเองก็ได้แต่ทำตาม


ซูจิ้งนั้นเป็นที่ชื่นชอบและเป็นคนรวย อำนาจของพวกเขาไม่มีทางเทียบเท่าซูจิ้งได้อยู่แล้ว


แต่พวกเขาเองก็ขัดคำสั่งของหลิวดาจูไม่ได้เช่นกันเลยทำได้แค่พุ่งเข้าไป


หลังจากนั้นแต่ละคนก็เริ่มปลิวกระจายไปทั่วห้อง บ้างก็ปลิวไปติดพนัง บ้างก็โซฟา


หลังจากพวกเขาลงไปกองกับพื้นแล้วก็ไม่มีท่าทีว่าจะลุกขึ้นยืนมาสู้ต่อได้


 


หลิวดาจูเองก็เริ่มกลัวซูจิ้งจนได้แต่ทำหน้าเอ๋อๆ หลิวเซียวฮุย จูหยุน และหญิงสาวต่างก็พากันทำหน้าโงงมไปตามๆกัน


พวกเขานั้นถึงแม้จะคุ้นเคยกับการต่อสู้เป็นอย่างดี แต่ก็ไม่เคยเห็นคนทีลุยเดี่ยวมาจัดการกลุ่มคนเหมือนเด็ดผักทิ้งเรี่ยราดอย่างนี้มาก่อน


ซูจิ้งค่อยๆก้าวเข้าไปหาหลิวดาจู หลิวเซียวฮุยได้ร้องออกมาเสียงหลงทันทีพร้อมพูดว่า “พี่ซูจิ้ง ได้โปรด โปรดอย่าทำอะไรพ่อผมเลยนะ”


 


ซูจิ้งจ้องไปที่หลิวเซียวฮุยตาเขม็งแล้วก็เมินเขาไป หลิวเซียวฮุยรู้สึกว่ายังดูพอจะมีมโนธรรมอยู่บ้าง เขานั้นถึงแม้จะอยู่ข้างแม่ของเขามาเนิ่นนานแต่ยังไงซะหลิวดาจูก็คือพ่อของเขาอยู่ดี จากมุมมองของเขาจึงไม่สามารถปล่อยให้พ่อตัวเองเดือดร้อนไปได้ ซูจิ้งหันไปหาจูหยุนแล้วพูดออกมาว่า “หลิวดาจูคนนี้ฉันได้ยินมาว่ามันเองทำเรื่องเลวร้ายไว้ก็เยอะ แถมยังติดหนี้พนันไว้มากโข แล้วทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นขาใหญ่ที่นี่ได้กัน”


 


จูหยุนเองก็ได้มีตาแดงก่ำและหาใจระรัวด้วยความโกรธ เขาหันไปจ้องหลิวดาจูก่อนจะพูดออกมาว่า


“ฉันก็ไม่รู้อะไรมากนักหรอก รู้แต่ว่าเขานั้นติดหนี้พี่ไป๋ (พี่ไบ)อยู่ แต่เมื่อไม่นานมานี้เขาได้เอาอะไรบางอย่างมามอบให้พี่ไป๋ หลังจากนั้นเขาก็ได้ยกหนี้ให้ทั้งหมด แถมยังยกที่นี่ให้เขาอีก”


 


ซูจิ้งหันไปมองคนอื่นแล้วก็เห็นคนพวกนั้นทำท่าทางบ่งบอกว่าเรื่องที่จูหยุนพูดเป็นความจริง


พอมาคิดดูแล้วพวกเขาเองก็อยู่ที่นี่กันมาตั้งนมนานแล้ว แล้วทำไมหลิวดาจูคนที่เปรียบได้ดั่งขยะสังคมคนนี้ถึงกลายเป็นบอสได้กัน ใครจะไปยอมรับได้ล่ะ


 


ทันใดนั้นอยู่ๆซูจิ้งก็รู้สึกอะไรบางอย่างจากจิตใต้สำนึก เขาถามต่อว่า “อะไรที่ทำให้พี่ไป๋ให้ความสำคัญมากขนาดนั้นได้กัน”


 


จูหยุนส่ายหัวพร้อมพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”


 


ซูจิ้งได้ทำการเตะไปที่หลิวดาจูไปหนึ่งทีพร้อมถามว่า “แกให้อะไรเขาไปกัน”


 


“ทำไมฉันต้องบอกแกกกก…..” ยังไม่ทันที่หลิวดาจูจะพูดจบประโยก นิ้วของเขาโดนหักด้วยซูจิ้งจนต้องร้องออกมาดังลั่น ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังปฏิเสธที่จะพูด แล้วตะโกนออกมาว่า “ฉันไม่บอกอะไรแกแน่”


 


ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปสะกดจิตหลิวดาจูในทันที แล้วเขาก็ถามอีกครั้ง ครั้งนี้หลิวดาจูไม่ได้พยายามปิดปากต่อไปอีกอย่างใด เขาพูดออกมาว่า “มัน เป็น เศษหินและเหล็ก…”


 


“ห้ะ” หน้าของเขาเปลี่ยนสีในทันทีพร้อมประหลาดใจอย่างมาก ไอ้นั่นเป็นเศษธนูที่ใช้ปลุกสแตนด์รึเปล่า นี่เขาจะหามันเจออย่างนี้อ่ะนะ


 


ซูจิ้งรีบหันไปถามคนอื่นต่อในทันที “จูหยุน หลิวเซียวฮุย นายออกไปก่อนละกัน ส่วนคนอื่นก็เหมือนกัน รีบออกไปซะ ถ้าอยากจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ไป๋ก็ให้รีบไปบอกได้เลย”


 


หลังจากทุกคนออกไปแล้ว ซูจิ้งได้ถามหลิวดาจูเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น


หลิวดาจูก็ได้เล่าความจริงทุกอย่างออกมา


ตอนที่เขาได้เห็นชายคนหนึ่งโดนอะไรบางอย่างบาดที่มือแล้วกลายเป็นกองเลือดอยู่กลางกองขยะ


ซูจิ้งแน่ใจได้ทันทีว่าของที่กำลังพูดอยู่นี่คือเศษธนูที่ใช้ในการปลุกสแตนด์


แน่นอนว่าหลิวดาจูนั้นย่อมไม่รู้ว่าเศษธนูฯนี้มีความสามารถอะไรแฝงอยู่


เขาเพียงนึกว่าเป็นเครื่องมือที่ใช้ฆาตกรรมได้อย่างดีแค่นั้นเองเขาจึงนำมามอบให้ไป๋ยี่


อย่างไรก็ตามดูเหมือนไป๋ยี่หลังจากที่ได้เศษธนูฯยี่ไปจบพบวิธีใช้ที่แท้จริง


อาจเป็นไป๋ยี่เองที่ค้นพบในระหว่างการนำไปใช้ฆ่าคนอื่นแล้วค้นพบโดยบังเอิญ


 


ไป๋ยี่ที่ได้สมบัติมาแบบนี้ต้องดีใจอย่างมากจนมอบรางวัลใหญ่ให้ นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้หลิวดาจูได้การเป็นลูกพี่ใหญ่ของที่นี่


 


“ช่างเป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าจริงๆ เพียงแต่ช่วยครูจางตามหาลูกชายกลับเจอเบาะแสอันมีค่าขนาดนี้”


ใบหน้าของซูจิ้งในตอนนี้ดูมีชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด เบาะแสนี่นึกจะมาก็มาได้ดีจริงๆ


แถมยังเป็นเบาะแสที่สำคัญมากซะด้วย ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเขาตัดสินใจไม่ช่วยครูจางละก็ มีหวังคงงมโข่งไปอีกนานแน่ๆ


 


ตอนนี้ซูจิ้งได้ยินเสียงโวกเวกโวยวายมาจากด้านนอก จับใจความได้ว่า “พี่ไป๋ในที่สุดพี่ก็มาซักที พี่หลิวถูกจับตัวอยู่ข้างใน พวกเราสู้เขาไม่ไหว”



GGS:บทที่ 775 ลูกพี่ไป๋


 


เมื่อประตูเปิดออก หนุ่มหล่อคนหนึ่งได้เดินเข้ามา เมื่อซูจิ้งเห็นชายคนนั้นก็อึ้งไปเล็กน้อย วันนี้เป็นวันรวมรุ่นศิษย์เก่ารึไงกัน เจอแต่คนรู้จักสมัยก่อนทั้งนั้น ไอ้หนุ่มที่เข้ามานี่จะว่าไม่รู้จักก็ไม่เชิงเพราะเขาคือหนุ่มหล่อที่พบในงานประมูล อดีตเพื่อนร่วมชั้นของเขา


 


“ไป๋ฮิตู” ซูจิ้งขมวดคิ้วไปหนึ่งทีก่อนจะพูดออกไปว่า “นายคือลูกพี่ไป๋ที่พวกนั้นพูดถึงอย่างงั้นหรอ”


 


“ป่าว ป่าว ฉันจะไปเป็นพี่ใหญ่ได้ยังไงกัน พวกนั้นพูดหมายถึงพ่อฉันต่างหาก” ไป๋ฮิตูจ้องไปยังหลิวดาจูที่ลงไปนอนกองเป็นขยะบนพื้นห้อง


ไป๋ฮิตูเห็นดังนั้นก็ได้ยิ้มออกมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบก่อนที่จะเอาเท้าไปเขี่ยหลิวดาจูแล้วพูดออกมาว่า


“ไอ้ขยะนี่ฉันอยากจะเหยียบหน้ามานานแล้ว พอฉันเห็นแบบนี้อย่างจะซัดมันซักดอกนึงเหมือนกัน


แต่พ่อของฉันอวยมากซะจนฉันเองก็ทำอะไรมันไม่ได้เหมือนกัน


ยังไงล่ะก็นายช่วยปล่อยมันไว้ก็แล้วกัน


นายก็น่าจะเคยได้ยินสำนวนที่เขาพูดกันว่าอย่าไปตีสุนัขที่มีเจ้าของน่ะ


แล้วก็มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะที่นายจะมาเหยียบในถิ่นฉันแล้วก่อเรื่องขนาดนี้


นายมีอะไรจะอธิบายรึเปล่า หลิวดาจูไปหาเรื่องอะไรนายไว้งั้นหรอ”


 


“ลูกชายของครูที่โรงเรียนเก่าถูกไอ้บ้านี่จับมาน่ะ” ซูจิ้งพูดออกไป


 


“อย่าไปเชื่อมัน นั่นมันลูกของฉัน” หลิวดาจูพูดออกมาด้วยเสียงดังลั่น


 


“โอ้.. ไอ้หนูที่อยู่หน้าห้องนั่นน่ะหรอ นี่เป็นความผิดของนายนะ ซูจิ้ง ในเมื่อนี่เป็นเรื่องในครอบครัวแล้วนายยังจะเข้ามายุ่งอีกงั้นหรอ” ไป๋ฮิตูถามซูจิ้งออกมา


 


“แน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วก็พูดต่อว่า “แต่ก่อนหน้านั้นฉันมีเรื่องอื่นที่จะต้องคุยกับนายหน่อยน่ะ เจ้าเศษเหล็กนั่นอยู่ไหน”


หนังตาของไป๋ฮิตูกระตุกในทันที และเขาหันไปจ้องไปยังหลิวดาจูเขม็ง หลิวดาจูได้พูดด้วยเสียงโหยหวนออกมาว่า “ลูกพี่ไป๋ ฉันเองก็พยายามแล้วแต่ไม่รู้ว่ามันใช้วิธีอะไรจนบังคับให้ฉันพูดออกมา”


 


“ไอ้นี่ คิดอยู่แล้วว่าปล่อยไว้ไม่ได้” ไป๋ฮิตูถอนหายใจออกมาแล้วพูดออกมาว่า “ซูจิ้งก็อีแค่เศษเหล็กเอง มันพิเศษยังไงหรอนายถึงได้อยากได้มันขนาดนั้น”


 


ซูจิ้งตบไปที่หลิวดาจูทีหนึ่งก่อนที่จะโยนเขาไปยังไป๋ฮิตูแล้วพูดออกมาว่า


“บอกความจริงออกมาดีกว่าน่า ฉันรู้ว่าเศษเหล็กนั่นเอาไว้ทำอะไร นายเองก็น่าจะรู้ความสามารถของมันอยู่แล้ว ฉันต้องการที่จะได้มันมาเก็บเอาไว้”


 


“ซูจิ้ง นายเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าปิดประตูตีแมวรึเปล่า” ไป๋ฮิตูพูดออกมาด้วยสีหน้าที่หนักอึ้ง


เขาใช้มือจับไปยังหลิวดาจูแล้วโยนเขาออกไปนอกประตูแล้วทำการล็อคประตูห้องในทันที


เขาค่อยถอดสูทออกอย่างช้าๆแล้วพูดต่อว่า


“นายรู้มากเกินไปแล้ว ฉันประหลาดจริงๆว่าทำไมนายถึงรู้เรื่องนี้ได้ ยังไงซะไม่มีทางที่ฉันจะปล่อยนายรอดออกจากที่นี่ในวันนี้ไปได้”


 


“โฮโฮ่…..ชั้นเองก็ไม่มีทางปล่อยนายไปได้เช่นกัน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์


 


“ตอนนี้เรามาดวลกันดีกว่า วันนั้นที่พิพิธภัณฑ์ฉันแค่ประมาทไปหน่อยเท่านั้นเอง


นายเองก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งอยู่นะ ยังไงก็ตามครั้งนี้ฉันมีอะไรจะสอนนายซักหน่อยล่ะนะ


บนโลกใบนี้ช่างกว้างและนายเองก็อาจไม่รู้ว่านายกำลังเล่นกับใครอยู่


นายน่ะยังไม่มีคุณสมบัติพอที่จะรู้เรื่องพวกนี้หรอก”


ไป๋ฮิตูยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าหาซูจิ้งในทันที ด้วยท่วงท่าที่ดูน่าเหลือเชื่อเหมือนกับเสือชีต้า ทำให้ซูจิ้งเคลื่อนตัวหลบฉากไปเล็กน้อย


 


แน่นอนว่านี่ก็ทำให้ซูจิ้งแปลกใจได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


สำหรับเขาความเร็วระดับนี้ก็ยังถือได้ว่าช้าไปอยู่ดี


ตอนที่เห็นไป๋ฮิตูพุ่งมาเมื่อกี้ไป๋ฮิตูได้ทำท่าจะต่อยมาที่หน้าอกของเขา ด้วยความเร็วขนาดนั้นคนธรรมดาคงมีต่อปล่อยให้โดนอัดไปเฉยๆทั้งอย่างนั้น


อย่างไรก็ตามหลังจากซูจิ้งหลบฉากไปได้ทำการตบไปทีนึงจนดังปั้ง ไป๋ฮิตูได้ลอยจะไปติดกับกำแพงในทันทีและเขาก็ได้กระอักเลือดออกมา


ภาพที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ไป๋ฮิตูถึงกับตกใจจนพูดไม่ออก


เขามองไปที่ซูจิ้งด้วยความรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดไป ดวงตาของเขาในตอนนี้ดูลนลาน ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เป็นไปได้ยังไง ทำไมแกถึงมีพลังมหาศาลขนาดนี้”


“ก็อย่างที่แกพูดไปนั่นแหล่ะว่าบนโลกใบนี้มีคนที่แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะไปยุ่งน่ะ”


“ดี แกทำให้ฉันโกรธจริงๆแล้ว” ไป๋ฮิตูทำสีหน้าน่ากลัวออกมา เขาลึกขึ้นพร้อมกับเช็ดเลือดที่มุมปาก


ทันใดนั้นเขาได้เบ่งกล้ามแล้วกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างก็ได้ขยายตัวออกมาจนเสื้อผ้าฉีกขาดออกหมด


จนแสดงให้เห็นถึงกล้าวเนื้อเป็นมัดๆที่ดูน่ากลัว แม้แต่ผิวหนังของเขาก็มีเกล็ดคล้ายเกล็ดงูโผล่ออกมา


จนตอนนี้เขาดูเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว


 


สายตาของซูจิ้งจ้องเขม็งใจทันที แล้วเขาก็เงียบไปพักใหญ่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ถอนหายใจออกมา


“วันนั้นที่พิพิธภัณฑ์ ฉันน่าจะสืบเรื่องของแกต่ออีกหน่อยนะเนี่ย


วันนั้นที่จริงแล้วแกไม่ได้ไปตามจีบหยินหนิงแต่ไปติดตามไคจิ้งสินะ


และแกสมควรจะเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหมือนกัน ส่วนนี่ก็สมควรจะเป็นฮอร์โมนเสริมพลังร่างกายสินะ ฉันถูกใช่รึเปล่า”


 


“ใช่ นายพูดถูกทั้งหมด แต่ถึงตอนนี้ฉันก็ยังไม่รู้จริงๆว่าแกเป็นใคร


ครั้งสุดท้ายที่เจอกันฉันบอกไปว่าเราน่าจะพอเป็นร่วมมือกันได้ ดูท่าแล้วฉันจะประเมินแกต่ำไปจริงๆ


แต่ไม่เป็นไรหรอกยังไงซะหลังจากฉันอัดแกลงไปกองกับพื้น ถึงตอนนั้นจะทำให้แกบอกทุกอย่างออกมาเอง” ไป๋ฮิตูพุ่งเข้าใส่ซูจิ้งอีกครั้งด้วยความเร็มที่เร็วกว่าเดิมสองเท่า


ในมือข้างขวาของเขามีมีดอยู่แล้วเขาได้ทำการเหวี่ยงมีดเล็งไปที่คอของซูจิ้ง พร้อมทั้งยกเขาขวาขึ้นมาเพื่อที่จะอัดไปที่ท้อง


 


ซูจิ้งได้ทำการยกเท้าซ้ายมาถีบไปที่เท้าขวาของไป๋ฮิตูอย่างคล่องแคล้ว พร้อมทั้งใช้มือซ้ายจับข้อศอกข้างขวาของไป๋ฮิตูเพื่อเบี่ยงทางมีด หลังจากนั้นใช้หมัดขวาปล่อยหมัดฮุกเข้าไปที่ปลายคางของไป๋ฮิตู


มันเป็นความเคลื่อนไหวที่รวดเร็วประดุจดั่งสายฟ้าฟาด ก่อนที่ไป๋ฮิตูจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ลอยไปอยู่กลางอากาศพร้อมกระอักเลือดแถมเขี้ยวออกมาอีกสองซี่


ในกลางอากาศนั้นเขาได้ตีลังกากลับหลังกลางอากาศก่อนที่จะลงจอดบนพื้นด้วยสภาพสะบักสะบอม


ตอนนี้เขาหมอบลงอยู่กับพื้นจนเหมือนกบ เขากระแทกตัวขึ้นจากพื้นแล้วพุ่งเข้าไปหาซูจิ้ง


อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังเร็วกว่าอยู่ดี


เขาได้เหวี่ยงขาขวาเตะออกไปด้วยความไวประดุจสายฟ้าจนฟาดเข้ากับกลางลำตัวของไป๋ฮิตูจนเขาต้องทำท่าตัวงอเหมือนกุ้ง ดวงตาแทบจะพุ่งทะลุออกมา ร่างกายของเขากระเด็นขึ้นไปจนติดหลังคา หลังจากนั้นซักพักก็ได้ร่วงลงมาพร้อมก้อนอิฐอีกหลายก้อน


 


“ดูเหมือนว่านี่จะเป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาคุณสมบัติของฮอร์โมนเสริมพลังกายนะ


รู้สึกว่าความเข็งแกร่งของพวกมันจะเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย


แถมตอนนั้นก็รู้สึกจะไม่มีเกล็ดงูออกมาซะด้วยนอกซะจากจะปล่อยพลังจนเกือบหมดแล้ว อืมมมม…”


ซูจิ้งทำการพูดวิเคราะห์ออกมาอย่างเรียบเฉย ในขณที่มองไปบังไป๋ฮิตูที่กำลังดันตัวเองขึ้นมาจากกองอิฐ


 


“เป็นไปได้ยังไงกัน มันต้องไม่ใช่อย่างนี้ซิ” ไป๋ฮิตูในตอนนี้มองซูจิ้งราวกับเห็นผี ตอนนี้เขาสูญเสียความใจเย็นไปหมดแล้วเป็นครั้งแรกนับแต่เขาได้พลังนี้มา


หลังจากเขาได้พลังนี้เขาเชื่อว่าตัวเองไร้เทียมทานในโลกแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นพลังพิเศษแบบไหนเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับเศษขยะ


ใครจะไปคิดว่ากับอีแต่เด็กเรียนมหาวิทยาลัยคนหนึ่งจะแข็งแรงมากกว่าเขา ไม่สิต้องบอกว่าแกร่งกว่าเขาชนิดเทียบไม่ติด หมอนี่ยังเป็นคนอยู่รึเปล่า


ไป๋ฮิตูทำหน้าที่หน้ากลัวยิ่งกว่าเดิมแล้วพูดออกมาว่า “ซูจิ้ง แกนี่มันช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ”


 


“แกเองก็ทำให้ฉันประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน ฉันเองก็อยากจะเล่นต่ออีกหน่อยล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์


 


“ยังไงซะ ฉันก็ยังขอพูดคนเดิมว่าในโลกอันกว้างใหญ่นี้ แกไม่รู้หรอกว่ากำลังเล่นอยู่กับใคร


วันนี้ ฉันจะแสดงอะไรบางอย่างให้นายได้เห็นเอง” ไป๋ฮิตูสบถออกมา


ข้างหลังเขาได้มีเงาปรากฎออกมา มันใส่ชุดเกราะทหารโบราณ


เหมือนกับเป็นพลทหารที่กำลังถือปืนอยู่ในมือ


 


ซูจิ้งมองไปยังไป๋ฮิตูอย่างสบายอารมณ์ก่อนจะพูดว่า “อะไรที่แกพูดออกมาฉันจะยัดคำพูดเหล่านั้นให้แกกลืนกลับเข้าไปเอง


ด้วยความสามารถของแกเอาจริงๆก็พอจะเดินไปได้ค่อนโลกนะ


น่าเสียดายที่ดันเดินมาชนกับฉันซะได้


เอาจริงๆฉันเองก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าฉันทำอะไรได้บ้าง


วันนี้ฉันจะแสดงอะไรให้นายเห็นซักอย่างสองอย่างละนะ


ถ้านายยังพอมีความดีอยู่บ้างและพอจะผ่านมันไปได้ล่ะก็ ฉันก็จะช่วยนายก็ได้นะ”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)