Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 768-771
GGS:บทที่ 768 ความจริง (2)
เมื่อซูจิ้งได้เห็นว่าร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยกำลังปริแตกเขาก็ได้สังเกตเห็นว่ามันส่งผลต่อร่างต้นของหยางเฉียนรุยอย่างช้าๆ
ยิ่งร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยอ่อนแอลงมากเท่าไหร่
ใบหน้าของเขาก็ยิ่งแสดงท่าทีเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้นจนดูเหมือนจะตายซะให้ได้
มันเหมือนกับว่าพลังของเขาได้หยิบยืมมาจากร่างวิญญาณอันนั้นและมันกำลังดึงพลังชีวิตคืนเพื่อทดแทนพลังงานที่สูญเสียไป
แน่นอนว่ากระบวนการเหล่านี้คนอื่นที่อยู่ที่นั่นนอกจากซูจิ้งแล้วไม่มีใครสังเกตุเห็นได้เลย
“กลายเป็นว่าทักษะของหมอนี่ต้องใช้พลังจิตเป็นสิ่งแรกเปลี่ยนแหะ” ซูจิ้งเข้าใจได้ทันที่ว่าเกิดอะไรขึ้น
การใช้ทักษะของหยางเฉียนรุยจำเป็นต้องมีสิ่งแรกเปลี่ยนเพื่อไปทดแทนพลังวิญญาณที่สูญเสียไป
หากไม่มีล่ะก็จะต้องแลกด้วยอย่างอื่นที่ใกล้เคียงกัน ในกรณีนี้ก็คือพลังจิต(พลังชีวิต)
อย่างไรก็ตามแม้ซูจิ้งจะรู้หลักการและเหตุผล(สาเหตุ)แต่ซูจิ้งก็ไม่รู้ว่าเขาต้องทำยังไง
เขาสามารถจะตีร่างวิญญาณนั้นให้แตกไปเลยก็ได้แต่ก็กลัวว่ามันจะไม่สามารถหยุดการดึงพลังทดแทนนี้ได้ กลับกันหากร่างวิญญาณเกิดขึ้นมาใหม่
แน่นอนว่ามันต้องซูบพลังจิตของหยางเฉียนรุยยิ่งกว่าเดิม เขาเองก็ลองใช้วิธีสะกดจิตแล้วเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้ผล
เมื่อซูจิ้งลองคิดทบทวนหลักการและเหตุผลของเรื่องนี้อีกครั้งก็พอนึกอะไรออกมาได้
เขารีบนำเหรียญตราเทวทูตออกมาในทันที ถ้าเขาสามารถเติมเต็มพลังวิญญาณที่หยางเฉียนรุยถูกดูดซับไปได้เร็วพอก็อาจจะพอช่วยไว้ได้
แต่ด้วยการหยางเฉียนรุยไม่เป็นที่รู้จักและไม่มีอะไรให้น่านับถือ จึงเป็นไปไม่ได้ที่เหรียญตราจะมีปฏิกิริยาด้วย
ซูจิ้งจึงต้องใช้วิธีดูดซับพลังงานจากเหรียญตราและเป็นคนถ่ายทอดพลังงานเหล่านี้ไปยังหยางเฉียนรุยแทน
และที่สำคัญที่สุดคือหากเขาใช้เหรียญตรากับหยางเฉียนรุยโดยตรง
อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างการที่หยางเฉียนรุยได้รับพลังงานมากเกินไปจนแข็งแกร่งเกินเขาไปจนสู้ไม่ได้และทำการแย่งชิงเหรียญตราไปล่ะก็
ด้วยความสามารถของหยางเฉียนรุยแน่นอนว่าเขาใช้งานได้ดีกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน เขาไม่โง่พอที่จะมอบดาบให้คนอื่นมาแทงเขาเล่นขนาดนั้น
ในขณะเดียวกันทีมแพทย์ก็ได้มาถึงและทำการปฐมพยาบาลหยางเฉียนรุยเป็นการเร่งด่วน
พวกเขารีบพาหยางเฉียนรุยขึ้นรถพยาบาลไปแต่ไม่ทันที่จะออกตัวเดียวปรากฎว่าชีพจรของเขาไม่เต้นแล้ว
โดยจากการชันสูตรศพพบว่าเป็นผลมาจากการทำงานหนักเกินไปจนทำให้ร่างกายรับไม่ไหว
ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่สำหรับสาเหตุนี้เพราะว่าหยางเฉียนรุยอยู่แต่ในบ้าน แถมแทบจะออนไลน์ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง
หากพูดถึงการกินก็กินเพียงของที่ไม่มีประโยชน์ทำให้สุขภาพแย่ลงเป็นเรื่องธรรมดา
มีเพียงซูจิ้งเท่านั้นที่รู้ว่าสาเหตุที่ทำให้ดูเหมือนทำงานหนักนี้เป็นเพราะอย่างอื่นไม่ใช่การทำงานหนักจริงๆ
“อาจิ้ง คราวหน้าถ้ามีเรื่องอะไรอย่างนี้อีกเรียกฉันก่อนก็ดีนะ ครั้งนี้ยังดีที่ผลชันสูตรศพกระจ่าง
ถ้าเกิดว่าไม่กระจ่างล่ะก็นายต้องได้รับผลกระทบไปด้วยแน่นอน” หวังเซียวพูดออกมาด้วยความห่วงใย
“ฮ่าฮ่า คราวหน้าฉันจะระวังตัวไว้ก็แล้วกัน” ซูจิ้งพยักหน้ารับพลางคิดไปว่าถ้ามันแต่รอนายก็จับอะไรไม่ได้น่ะสิ เอาจริงถ้านายมาก่อนกลัวจะเป็นนายต่างหากที่มีเรื่อง
อย่างไรก็ตามเขาก็ได้แค่เก็บความคิดนี้ไว้ในใจ ไม่สามารถพูดออกมาได้
หวังเซียวอยู่จัดการที่เกิดเหตุ ซูจิ้งจึงได้กลับไปบนอินทรีย์ทองแล้วบินจากไป
เขาได้รับสายเรียกเข้าจากเจียงจื่อ เจียงจื่อโทรมาก็เพื่อบอกผลการทดสอบแขนกลนั้นอย่างแน่นอนเพราะเขาสั่งไว้
ซูจิ้งจึงได้ให้อินทรีย์ทองบินไปยังสถาบันวิจัยฯเทียนซือแทน
“หัวหน้า… เจ้าแขนนั่นน่ะ….” เพียงเจียงจื่อได้เห็นซูจิ้งเขาก็ได้พูดด้วยเสียงดังลั่น
แม้แต่เทาจงและติงบินเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน
“ตอนโทรมาเมื่อกี้ก็ทำท่าตื่นเต้นไปแล้ว นี่ยังไม่พออีกรึ ว่าแต่ได้อะไรมาบ้างน่ะ” ซูจิ้งรีบตัดเข้าเรื่องทันที
“แขนนี่ไม่ใช่หุ่นยนต์ครับ ยิ่งไปกว่านั้น” “ฮะแอ้ม” “มันสมควรจะเป็นแขนกลล้ำยุค” เจียงจื่อพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นจนติดอ่าง
“….แล้วนอกจากมันเป็นอวัยวะเทียมแล้วมีอะไรพิเศษอีกอย่างนั้นหรอ” ซูจิ้งถามออกไปด้วยความที่ไม่เข้าใจจริงๆ
“มันไม่ใช่อวัยวะเทียมทั่วไปครับ มันมีกระทั่งเส้นประสาทเทียมด้วย” เจียงจื่อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น
“นายหมายความว่า…”ซูจิ้งเริ่มจะเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้วว่ามันพิเศษยังไง ความจริงแนวคิดเรื่องเส้นประสาทเทียมนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่แต่อย่างใด
มันมีมานานแล้วถ้าจะให้บอกว่านานแค่ไหนล่ะก็ถ้าเขาจำไม่ผิด โครงการวิจัยที่เก่าที่สุดเป็นของสถาบันเทคโนโลยีวิจัยเพื่อการป้องกันประเทศโดยเริ่มตั้งโครงการตั้งแต่ 20 ปีก่อนแล้ว
และตอนนี้ก็ยังทำการศึกษาเรื่องนี้อยู่
ถ้าจะให้บอกว่ามันสำคัญยังไงล่ะก็ เส้นประสาทเทียมที่ดีที่สุดในปัจจุบันนี้เป็นเส้นประสาทเทียมที่ยังต้องใช้วิธีการควบคุมอยู่
ตลอดจนต้องใช้แหล่งพลังงานอย่างอื่นในการขับเคลื่อนอย่างระบบไฮดรอลิก หรืออุปกรณ์อย่างอื่นจนแค่ดูเหมือนระบบประสาทของมนุษย์มากกว่า
ถ้าเทียบกับงานวิจัยสุดท้ายที่เผยแพร่ออกมานั้นบอกได้เลยว่าในขณะนี้ยังไม่สามารถสร้างอวัยวะเทียมที่มีคุณสมบัติเทียบเท่าอวัยวะของจริงได้
แถมยังมีเรื่องของอาการความรู้สึกหลอนของระบบประสาทที่สมองยังคงจำเอาไว้ว่าอวัยวะบางส่วนยังคงอยู่ทั้งที่มันได้หายไปแล้ว
ทำให้เวลาที่พวกเขาใช้อวัยวะเทียม บางครั้งจะเกิดความรู้สึกเจ็บหลอน
ถ้าจะให้อธิบายก็คือเหมือนการที่เอาไม้ไปจุ่มน้ำร้อนแต่รู้สึกว่าเผลอเอานิ้วไปจุ่มน้ำร้อนตรงๆ
ต่อให้หลับตาไปแล้วความรู้สึกเจ็บหลอนเหล่านี้ก็ยังเกิดขึ้นได้
ด้วยการที่เทคโนโลยีหลายๆอย่างบนโลกมนุษย์แทบจะถึงขีดจำกัดแล้ว
การสร้างเส้นประสาทเทียมนี้ถือได้ว่าเป็นการขยายขีดจำกัดเหล่านั้นออกไปได้
แต่ยังไงซะสำหรับโลกใบนี้การสร้างระบบประสาทเทียมก็ยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาค้นคว้าและอยู่ระหว่างการพัฒนาอยู่ดี
เมื่อไม่กี่เดือนก่อนโปรเฟสเซอร์มิคลาเอลที่อยู่ในศูนย์วิจัยโพลิอีทิคแห่งมหาวิทยาลัยในซานตานา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ร่วมกับทีมงานวิจัยของมหาวิทยาลัยซานตาอาน่าในอิตาลีในประกาศว่าประสบความสำเร็จในการพัฒนาระบบประสาทเทียมที่สามารถตอบสนองความรู้สึกของมนุษย์ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
แน่นอนว่าผลลัพท์ของมันยังไม่ดีเท่าที่ควร
“เส้นประสาทเทียมของแขนนี่มีคุณภาพแค่ไหน” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“พวกเรายังไม่ได้ลองกับมนุษย์ครับ แต่เราใช้วิธีอื่นในการทดสอบแทน
ซึ่งผลการทดสอบพบว่าการตอบสนองของระบบประสาทเทียมของแขนนี้ มีความระเอียดและแม่นยำอยู่ในระดับเทียบเท่ากับการส่งสัญญาณชีพจรและกระแสไฟฟ้าระดับอณุภาคขนาดเล็กได้
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่แขนนี้มีการควบคุมแต่ละส่วนด้วยเส้นเอ็นเทียม
สามารถคาดเดาได้ว่าหากเราสามารถเชื่อมต่อระบบประสาทเทียมเหล่านี้ได้สมบูรณ์จะมีความสามารถเทียบเท่ากับแขนของคนจริงๆได้เลยครับ” เจียงจื่อพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่เขาได้ฟังแล้วซูจิ้งจับจุดได้ในทันที
พลางคิดไปว่าตอนแรกเขาคิดว่าแขนนี้สร้างโดยตูเว่ยที่อยู่ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
ต่อให้ตูเว่ยไม่ได้เป็นสุดยอดในด้านระบบประสาทเทียมแต่ก็น่าจะใช้ความรู้ทางด้านการเล่นแร่แปรธาตุมาทดแทนได้
แต่เมื่อเขารู้แล้วว่าแขนนี้คือแขนเทียมที่เกิดจากการใช้เทคโนโลนีประสาทเทียมชั้นสูง
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีวิทยาการแบบนี้ปรากฎอยู่ในห้วงเวลาฯยุคกลางแบบนั้นได้
ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่ตูเว่ยใช้เวทมนต์ในการสร้างแขนเทียมนี้ขึ้นมาได้
“นั่นก็หมายความว่าแขนนี้ไม่ได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
แสดงว่าครั้งนี้ขยะห้วงเวลาฯสมควรมาจากห้วงเวลาฯอื่นทั้งหมด พระเจ้า นี่ฉันพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว”
ตอนนี้จิตใต้สำนึกของซูจิ้ง(วิถีแห่งใต้หล้า)กำลังเรียกย้อนดูข้อมูลทั้งหมด
เริ่มตั้งแต่ตอนที่ขยะห้วงเวลาฯกองนี้ถูกเทลงมา สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นรวมถึงเหตุการณ์แปลกๆทั้งหลายแน่นอนว่ารวมถึงเรื่องของหยางเฉียนรุยด้วย
ซูจิ้งได้เชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกัน และมันเป็นเหตุเป็นผลต่อกันทั้งหมด
“หัวหน้า” เจียงจื่อ ติงบิน และเทาจง ต่างก็มองไปที่ซูจิ้งที่มีสีหน้าไม่สู้ดีนัก พวกเขารู้สึกสับสนในทันที พวกเขาควรจะดีใจไม่ใช่เหรอที่ได้ค้นพบแขนเทียมนี้
“ขอให้ทุกคนทำการศึกษาต่อไปแล้วกัน ผมขอตัวก่อน” ดูเหมือนว่าซูจิ้งจะประมวลผลเรื่องราวทั้งหมดได้เรียบร้อยแล้ว แต่เขาเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าไหร่นัก
เขารีบกระโดดขึ้นไปบนหลังอินทรีย์ทองและพุ่งตรงกลับไปที่บ้านในทันที เจียงจื่อและคนอื่นๆต่างมึนงงกับสิ่งที่เขาเห็น
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นซูจิ้งแสดงสีหน้าที่ทำให้เมื่อคนอื่นเห็นต้องรู้สึกังวลตามไปด้วยขนาดนี้
เมื่อซูจิ้งกลับถึงบ้าน เขาได้รีบค้นในกองอาวุธและอุปกรณ์ที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯกองล่าสุดในทันที
เขาทำอย่างระมัดระวัง และทำอย่างช้าๆ เหมือนกับกลัวว่าของเหล่านั้นจะแตกหักได้อย่างง่ายดาย
หลังจากค้นไปได้ซักพักเขาก็ได้พบกับลูกธนูรูปร่างแปลกๆที่มีรอยบิ่นจนเป็นเสี้ยวหัวใจอันนั้น
เขาดูมันอย่างตั้งใจอีกครั้ง ตอนนี้หน้าตาของเขาเคร่งเครียดในทันที
“ถ้าฉันเข้าใจถูกล่ะก็ ทั้งพวกขยะสมัยใหม่กองนั้น ระบบประสาทเทียม และเจ้าลูกธนูนี่ ทุกอย่างนี้ล้วนมาจากห้วงเวลาฯอื่นที่ไม่ใช่ห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
ถ้าเจ้าลูกธนูนี่เป็นของในเรื่องเล่าชิ้นนั้นจริงๆล่ะก็ ครั้งนี้ถือว่าฉันพลาดครั้งใหญ่เลย”
GGS:บทที่ 769 ลูกธนูที่น่าสะพรึงกลัว
“หลี่น้อย อาลี่ไปจับหนูมาให้ฉันซักหน่อยสิ” ซูจิ้งได้พูดออกมาในขณะที่เขากำลังถือธนูอย่างระมัดระวังประดุจดังเขากำลังถือหลอดทดลองที่มีไวรัสอันแสนร้ายกาจอยู่ในหลอด
หลี่น้อยและอาลี่ได้ออกไปและจับหนูกลับมา
ซูจิ้งจับมันมาตัวหนึ่งแล้วจิ้มมันด้วยธนู จนเกิดบาดแผลขึ้นมา
สักพักเจ้าหนูตัวนั้นลงไปกองกับพื้น ชักจนตาตั้งซักพัก หลังจากร่างกายของมันก็หยุดสั่น
และทันใดนั้นร่างกายของมันก็ได้เน่าจนกลายเป็นกองเลือดอย่างรวดเร็ว
แม้แต่กระดูกและขนก็ไม่เหลือ ซูจิ้งยังคงทำเช่นเดียวกันนี้กับหนูอีกตัวหนึ่ง ผลที่ได้ก็ออกมาไม่ต่างกัน
ตอนนี้ซูจิ้งไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเลย อีกซักพักเขาก็สรุปผลได้เกือบทั้งหมดแล้ว
เขาได้โทรหาหวังเซียวอีกครั้ง เมื่อหวังเซียวรับสายเขาได้รีบพูดผ่านโทรศัพท์ออกมาในทันทีว่า
“อาจิ้งนายพักได้แล้วนะ ตอนนี้เรื่องทุกอย่างถูกจัดการได้หมดแล้ว น่าจะไม่มีอะไรที่นายต้องทำต่อแล้วนะ”
ซูจิ้งได้พูดออกไปว่า “ขอบคุณครับพี่เซียว แต่พอดีผมจะถามพี่เรื่องอื่นน่ะ
ช่วงนี้มีเหตุการณ์คนหายสาบสูญในเมืองจงหยุนมากกว่าก่อนหน้านี้ใช่รึเปล่า”
หวังเซียวถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า “ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกันแต่มันเพิ่มขึ้นมากเลย ว่าแต่นายถามทำไมหรอ”
ซูจิ้งจึงบอกไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่ช่วงนี้มีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้นในเมืองจงหยุนมากมาย และผมเองก็รู้สึกเป็นกังวลกับเรื่องพวกนี้ พี่เซียวพี่เองก็ต้องระวังตัวมากๆเลยนะเมื่อต้องเข้าไปสืบคดีในอนาคต”
หวังเซียวได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันรู้น่าอย่ากังวลไปเลย ฉันระวังตัวตลอดแหล่ะน่า”
หลังจากวางสาย ซูจิ้งได้ปรับอารมณ์ตัวเองพร้อมกับถอนหายใจออกมาว่า “ครั้งนี้พี่เซียวต้องคิดหนักจนหัวโตแหงๆ”
ตอนนี้ซูจิ้งมั่นใจในสมมติฐานของเขาแล้ว 100% ขยะกองนี้ในส่วนของขยะห้วงเวลาฯที่เป็นขยะสมัยใหม่พวกนั้น
ทั้งอวัยวะเทียมนั่น รวมถึงธนูดอกนี้ไม่ได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
แต่มันมาจากห้วงเวลาฯโจโจ้ล่าข้ามศตวรรษ มันเป็นดินแดนที่แปลกประหลาดอย่างสุดขั้ว
ถึงแม้ว่าบรรยากาศในห้วงเวลาฯแห่งนั้นจะเหมือนกับโลกในศตวรรณที่ 20-21 ก็ตามที
ที่นั่นยังคงมีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ไม่มีโอกาสได้สัมพันธ์แสงแดดยามกลางวัน
แต่มีพลังกายภาพสูงกว่ามนุษย์ทั่วไปยามค่ำคืนนับร้อยเท่า
พวกมันคล้ายกับซอมบี้ที่หลงไหลในเลือดเนื้อของมนุษย์
พวกมันไม่มีวันถูกฆ่า อย่างมากก็แค่ทำให้พวกมันกลายเป็นหน้ากาก
หากใครสวมใส่หน้ากากเหล่านั้นพวกเขาจะมีพลังพิเศษเช่นเดียวกับสัตว์ประหลาดที่กลายเป็นหน้ากากนั่น
ที่นั่นมีวิทยาการอย่างหนึ่งที่ถูกเรียกว่าวิทยาการมืด
ผู้ที่รับหน้าที่ในการควบคุมมีชื่อว่าเทอร์โรไฮม์ คนที่สวมใส่อวัยวะเทียมแต่ใช้ได้ดีกว่าอวัยวะคนทั่วไป
ตัวเขาได้ถูกพระเอกรุ่นที่สองที่ชื่อโจเซฟโจสตาร์หักแขนไปและได้ใช้วิทยาการมืดในการสร้างแขนเทียมที่ใช้ได้ดีกว่าแขนจริง ซูจิ้งไม่แปลกใจอะไรอีกแล้วเมื่อรู้ว่าแขนเทียมนี้มาจากที่ไหน
นอกจากนั้นในห้วงเวลาฯนั้นยังมีลูกธนูสุดพิเศษอยู่หกลูก
มันเป็นลูกธนูที่ทำจากลูกอุกบาตที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสปริศนาที่ติดมาจากอวกาศ
หรือบางทฤษฎีในเรื่องก็บอกว่าพลังงานจากอุกบาตได้ไปปลุกไวรัสโบราณให้ตื่นขึ้นมา
ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้ามีใครถูกทำให้บาดเจ็บโดยลูกธนูนั้นล่ะก็จะทำให้คนๆนั้นติดเชื้อไวรัสได้ทันที
คนที่ติดไวรัสนั้นส่วนใหญ่จะตายแทบจะในทันทีและกลายเป็นบ่อเลือดเน่าๆไป
แต่ก็มีบางคนที่สามารถมีชีวิตรอดออกมาได้เหมือนกับพวกเขาถูกไวรัสปลุกพลังพิเศษในยีนส์ของตัวเองออกมา
ไม่ว่าจะเป็นพลังวิญญาณ พลังจิต พละกำลังมหาศาล หรือบางคนก็ได้พลังที่ไม่อาจจะอธิบายเป็นคำพูดได้
คนที่รอดจากไวรัสจนถูกปลุกพลังขึ้นมาจะไม่ต้องเกรงกลัวไวรัสเหล่านั้นอีกต่อไป
แต่กระบวนการเปลี่ยนแปลงของร่างกายเพื่อที่จะได้รับพลังนั้นมีความเสี่ยงสุดขีด
พลังที่คนเหล่านั้นถูกปลุกขึ้นมาได้จะถูกเรียกว่า “สแตนด์” ในความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงร่างวิญญาณที่มีทักษะพิเศษแตกต่างไปในแต่ละบุคคล
ซูจิ้งคาดการณ์ได้เลยว่าลูกธนูนี่จะต้องเป็นลูกธนูหนึ่งในหกดอกนั่น
เป็นไปได้ว่ามันน่ากลัวเกินไปจนมีบางคนคิดจะทำลายมันแต่ยังทำได้ไม่สมบูรณ์ดี
ที่เจ้าหนูพวกนั้นตายเป็นเพราะว่าพวกมันไม่อาจต้านทานไวรัสได้
หยางเฉียนรุยเองก็น่าจะเป็นผู้ติดเชื้อเหมือนกันแต่เขากลับรอดมาได้จนได้พลังของสแตนด์มาใช้
ส่วนที่ว่าทำไมเขาถึงรอดมาได้น่าจะเป็นเพราะเขาติดเชื้อไวรัสมาจากชิ้นส่วนของลูกธนูดอกนี้จึงไม่ได้รับไวรัสไปเต็มที่
ชิ้นส่วนนั้นสมควรจะปะปนไปกลับขยะปกติที่ซูจิ้งคัดทิ้งไปแล้วมีคนเก็บไปได้
เขาเองก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะมีขยะจากห้วงเวลาฯโจโจติดมาด้วย ไม่งั้นเขาจะใส่ใจเป็นพิเศษแน่นอน
เพราะปกติแล้วขยะห้วงเวลาฯ ไม่เคยมีการผสมกันแบบนี้มาก่อน
แน่นอนแล้วว่าหยางเฉียนรุยไม่ใช่คนเดียวที่ติดไวรัสนี้
ถึงแม้อัตราการรอดชีวิตของคนที่โดนธนูแทงจะต่ำมากก็ตาม
ที่ซูจิ้งถามไปว่าช่วงนี้มีคนหายตัวไปเยอะรึเปล่า
เป็นไปได้ว่าคนส่วนนั้นน่าจะถูกนำตัวไปจากคนกลุ่มเดียวกับชายวัยกลางคนคนนั้นเพื่อนำไปทดลอง และแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่จะตายและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ซูจิ้งคาดการณ์ไว้ว่าคนที่หายตัวไปสมควรจะมากกว่านี้แต่ไม่มีการรายงาน
หยางเฉียนรุยเองก็สมควรถูกเลือกโดยเฉพาะเจาะจงแน่นอนเพราะเขาอยู่ตัวคนเดียวในห้องเช่า
ไม่มีการติดต่อคบค้าสมคมจากใคร ถ้าตายไปก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้ว
ซูจิ้งยังคาดการณ์สาเหตุที่หยางเฉียนรุยตายด้วย
จะต้องเป็นไวรัสที่เข้าไปเปลี่ยนแปลงร่างกายจนไปปลุกสแตนด์นั่นออกมาแน่นอน
ด้วยในกระบวนการปลุกสแตนด์ไวรัสจะไปดึงพลังงานจากจิตสำนึก(พลังจิต)ในร่างต้นทั้งหมด
หลังจากนั้นจะใช้พลังเหล่านั้นในการเสริมพลังวิญญาณจนกลายเป็นสแตนด์ออกมา
นั่นก็หมายความว่าคนที่โดนไวรัสจะมีพลังกายที่ต่ำ แต่จะมีพลังวิญญาณค่อนข้างสูง
อย่างน้อยๆก็เป็นช่วงที่เกิดหลังจากถูกปลุกพลังใหม่ๆ
และต่อให้ปลุกสแตนด์ได้สำเร็จก็จริงแต่หากเผลอใช้ทักษะจนพลังวิญญาณไม่เพียงพอ
เมื่อพลังวิญญาณหมดลงก็จะไปดึงพลังงานอื่นที่ใกล้เคียงนั่นก็คือพลังจิต
แต่ด้วยการที่พลังจิตที่ถูกใช้ไปอย่างหนักน่วงในการปลุกสแตนด์ทำให้ส่งผลต่อร่างกายอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับกรณีของหยางเฉียนรุยที่น่าจะเพิ่งถูกปลุกสแตนด์ได้ไม่นาน
แถมยังโดนเขากระหน่ำโจมตีเข้าไปอีกทำให้บาดเจ็บทั้งในด้านพลังวิญญาณและพลังจิต
ย่อมไม่มีทางที่ร่างกายจะรับไหวอยู่แล้วจึงได้ตายลงไป
“ต้องเร่งเก็บกู้เจ้าชิ้นส่วนนั่นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ ไม่งั้นต้องเกิดปัญหามากมายแน่นอน”
ซูจิ้งถึงกับปวดในทันที
เป็นเพราะว่ามีใครบางคนเก็บเจ้าเศษหัวธนูนั้นได้และพบวิธีใช้งานมัน
ยิ่งไปกว่านั้นหยางเฉียนรุยเองก็ไม่ได้มีเบาะแสอะไรของคนพวกนั้นเลย
นั้นหมายความว่าองค์การนี้จะต้องรัดกุมมากแน่ๆ น่าจะยากต่อการสืบสวน
ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือเป็นไปได้ว่าในองค์กรมีคนที่ถูกปลุกสแตนด์เรียบร้อยแล้ว
และชายวัยกลางคนคนนั้นก็สมควรจะเป็นผู้ที่ถูกปลุกสแตนด์แล้วเช่นกันไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีทางสอนหยางเฉียนรุยได้แน่นอน
แต่ยังไงซะต่อให้อีกฝ่ายเป็นกลุ่มคนผุ้ใช้สแตนด์เขาก็ไม่ได้กังวลที่จะปะทะด้วยซักเท่าไหร่
ต่อให้ต้องสู้กันจริงยังไงซะเขาก็เชื่อว่าพลังจิตของเขาเหนือกว่าผู้ใดในโลกนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน
แต่ที่สำคัญคือทักษะของสแตนด์ที่ล้วนแล้วแต่พิศดารพันลึก
ง่ายต่อการซ่อนและยากต่อการป้องกัน
ซูจิ้งนั่งลงในทันทีและเข้าได้นำจิตสำนึกของตัวเองเข้าไปสู่วิถีแห่งโลกหล้า
ตอนนี้เขารู้สึกสงบอย่างแท้จริง ความผิดพลาดของเขาที่เกิดไปแล้วต่อให้กังวลไปก็เท่านั้น
เกรงกลัวไปก็เท่านั้น
หวั่นไหวไปก็เท่านั้น
ปวดหัวไปก็เท่านั้น
สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือการเตรียมการรับมือด้วยความสุขุมและรอบคอบ
ทันใดนั้น เขาจ้องมองไปยังลูกธนูที่อยู่ในมือของเขาพลางนึกไปว่า
“เอาล่ะฉันจะเลือกอะไรดีระหว่างการปลุกสแตนด์ของตัวเองหรือสร้างทีมผู้ใช้สแตนด์ขึ้นมาดีล่ะ
***(เอาล่ะ โจโจ้ ก็มา555)
GGS:บทที่ 770 ลองดู
ซูจิ้งจ้องมองไปยังธนูที่อยู่ในมือของเขาด้วยสายตาที่หนักอึ้ง
มันไม่ใช่ว่าเขาไม่กล้าปลุกสแตนด์หรอก แต่ความเสี่ยงของมันสูงสุดขีด ถ้าเขาใช้ธนูแทงลงไปนั่นหมายความว่าเขาจะต้องติดไวรัส ต่อให้รอดมาจนสามารถปลุกสแตนด์ขึ้นมาได้ ถ้าไม่ได้ก็คือตายแน่นอน
ถ้านึกถึงระดับความแข็งแกร่งทางกายภาพ พลังวิญญาณ และพลังจิตของเขาล่ะก็ เขาก็คิดว่าน่าจะเพียงพอต่อการปลุกสแตนด์อย่างแน่นอน แต่ปัญหาก็คือมันอาจมีปัจจัยอย่างอื่นที่เขายังไม่รู้ มันสมควรมีปัจจัยบางอย่างที่ทำให้คนที่ถูกธนูแทงแล้วสามารถปลุกสแตนด์ขึ้นมาได้ บางคนก็ว่าเป็นที่คุณสมบัติเฉพาะตัว แต่บางคนก็บอกว่าไม่เกี่ยวคุณสมบัติเฉพาะตัวหรอก มีแต่ต้องลองถึงจะรู้เท่านั้น
ซูจิ้งไม่ต้องการใช้มันทั้งๆที่ไม่รู้อะไรเลย เพราะยังไงซะมีโอกาสที่จะกลายเป็นกองเลือดเน่าๆมากกว่าอยู่แล้ว
เขาก็ได้คิดขึ้นมาได้ว่า “พวกที่ปลุกสแตนด์ได้สมควรจะไม่จำกัดอยู่แค่เผ่าพันธุ์มนุษย์ พวกสัตว์เองก็น่าจะปลุกสแตนด์ได้เช่นกัน
ฉันสามารถทำพันธสัญญากับสัตว์ เสริมพลังให้พวกมัน แล้วค่อยลองดูก็ได้นี่นา
ถ้าเป็นอย่างนั้นฉันน่าจะพอหาปัจจัยที่แท้จริงที่มีผลต่อการปลุกสแตนด์ได้ แถมยังไม่ต้องกังวลปัญหาที่ตามมาอีกด้วย”
ในระหว่างการคิดหาวิธีทดลองอยู่นั้น
ซูจิ้งพลันนึกได้ว่ามีห้วงเวลาฯอื่นที่มีทฤษฎีคล้ายๆกับการปลุกสแตนด์เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ว่าคนที่มีพลังแบบเดียวกับสแตนด์จะไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีจนกว่าจะได้เจอคนที่ถูกปลุกพลังแล้วเหมือนกัน
ถ้าเป็นที่นั่นสมควรจะหาคนที่มีพลังได้อยู่
แต่ก่อนอื่นเขาต้องมีใครสักคนที่ปลุกสแตนด์ได้ซะก่อน ถ้าเขามีเหล่าผู้ที่ปลุกพลังแล้ว การตามหาเศษหัวธนูก็ไม่ยากอีกต่อไป
ซูจิ้งเองเมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้เรื่มเคลื่อนไหวแล้ว แน่นอนว่าเขายังไม่ลองธนูนั่นด้วยตัวเองแต่เขาก็ไม่มีทางที่จะพลาดโอกาสในการมีสแตนด์เป็นของตัวเองอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเขาจะทำเมื่อลบความเสี่ยงทั้งหลายไปหมดแล้วเท่านั้น
ครั้งนี้เขาไม่ได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมาอีกต่อไป เพราะเขาต้องการตัวทดลองมาจำนวนมากสุดๆ
เขานำถุงใบใหญ่ๆออกมาแล้วไปยังลานขยะที่อยู่ใกล้ๆชายหาด
ที่แห่งนี้เขาจะนำเศษอาหารที่เหลือจากภัตตาคารมาวางกองที่นี่บ่อยๆ
แล้วเจ้าถิ่นของที่นี่ก็จัดการเรียบเสียทุกครั้ง
ถึงแม้เขาจะเห็นพวกมันมาบ่อยแค่ไหนก็ตามก็ยังทำใจชินกับพวกมันไม่ได้ พวกมันก็คือเหล่าหนูท่อทั้งหลาย
ซูจิ้งได้เทเนื้อสัตว์วิเศษออกมา เขาเองก็ไม่ได้กินพวกมันมาได้พักใหญ่แล้ว แน่นอนว่าพวกมันยังไม่เสียเพราะถูกเก็บเอาไว้ในกระเป๋ามิติ
ตอนนี้เข้ามีเนื้อสัตว์วิเศษเหลือหากเทียบเป็นน้ำหนักก็จะซักประมาณ 100 ชั่งได้
เขาได้หยิบมันออกมาชิ้นหนึ่ง กลิ่นของมันได้โฉยออกไปทั่ว
ไม่นานนักก็ได้มีหนูจำนวน 66 ตัวพุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง แน่นอนว่ายังมีสัตว์และแมลงอย่างอื่นด้วยเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเป็นตัวอะไรก็ตามที่ออกมา ทันทีที่ซูจิ้งเห็นเขาก็จะทำการทำพันธะสัญญากับสิ่งมีชีวิตพวกนั้น
เขาไม่มีทางที่ให้สัตว์แบบนี้ได้มีโอกาสลิ้มลองเนื้อสัตว์วิเศษนี้อย่างแน่นอน
เขาได้สั่งให้พวกหนูไปยืนรออยู่ข้างๆ และไล่แมลงที่พยายามเข้ามากินออกไป
พวกหนูที่ได้กลิ่นก็ยังทยอยวิ่งเข้ามาเรื่อยๆ ด้วยกลิ่นของเนื้อสัตว์วิเศษที่โชยไปไกลทำให้มีหนูเข้ามามากกว่าตอนที่เขาเทเศษอาหารจากภัตตาคารซะอีก
ไม่นานนักก็มีหนูมาหนึ่งร้อยตัว สองร้อยตัว สามร้อยตัว สี่ร้อยตัว แน่นอนว่าทั้งหมดโดนซูจิ้งทำพันธะสัญญาทั้งหมด โดยส่วนใหญ่เป็นหนูบ้าน ไม่ก็หนูท่อ มีส่วนน้อยเท่านั้นที่เป็นหนูพุก
“จะเยอะไปไหนเนี่ย แค่มองก็สยองจนทำให้ตายได้เลยแหะ”
“อาจิ้ง นายทำอะไรอ่ะ”
มีชาวบ้านส่วนหนึ่งที่ผ่านมาและพวกเขาก็ตกใจสุดขีดต่อภาพที่เห็น
หนูนับร้อยตัวตะเกียกตะกายยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ช่างเป็ภาพที่สุดแสนจะน่าขนลุก
ซูจิ้งก็ยิ้มและได้บอกออกไปว่า “ฆ่าหนูน่ะ พอดีผมได้ยาฆ่าหนูตัวใหม่มา ถ้าหนูกินเข้าไปจะทำให้พวกมันฟังคำสั่ง แล้วผมจะได้จัดการพวกมันได้ง่ายๆทีหลัง”
“ยากำจัดหนูแบบนี้สมควรจะมีตั้งนานแล้วนะเนี่ย ปลาตากแห้งของฉันเองก็โดนพวกมันกินไปไม่ใช่น้อยเลย
แม้แต่ฟาร์มที่อยู่ใกล้ๆก็เจอปัญหาคล้ายๆกันจนแถบจะล่มจมไปเลย” เหล่าชาวบ้านเอ่ยชมซูจิ้งทันทีที่คิดยาแบบนี้ขึ้นมาได้
มันเป็นเรื่องจริงที่หนูพวกนี้สร้างปัญหาและสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่เห็นเวลาพวกมันรวมตัวกันข้ามถนน และมันไม่ใช่เรื่องตลกเลยแม้แต่น้อยถ้าพวกมันได้รวมตัวกัน
แต่ก็ยังมีบางคนที่อยากปกป้องมันให้ไปอยู่ในที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์
คนพวกนั้นก็ได้แต่พูดเท่านั้นเพราะไม่เคยประสบปัญหาที่เกิดจากหนูด้วยตัวเองทำได้แต่พูดคำสวยหรูออกมาเท่านั้น
หลังจากที่ชาวบ้านเดินจากไป ซูจิ้งได้นำหนูทั้งหมดใส่เข้าไปในถุงทีละตัวจนมีถุงหนูอยู่หลายถุง เขาได้ให้อินทรีย์ทอง หมาป่าสงคราม และหมาเลี้ยง ขนพวกมันกลับไปที่บ้าน
หลังจากพากันเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ซูจิ้งได้เทถุงหนูถุงหนึ่งใส่ตุ่มแก้วใบใหญ่
และเขาได้เริ่มการทดลองทีละหลายๆตัวพร้อมกัน หนูแต่ละตัวได้ถูกจิ้มด้วยธนู หลังจากจิ้มไปได้ซักสิบสองตัว หนูตัวแรกก็ได้กลายเป็นแอ่งเลือดเน่าๆไปแล้ว
หลังจากผ่านไปได้ซักพัก หนูกว่า 400 ตัวได้ถูกแทงและหนู 66 ตัวกลายเป็นแอ่งเลือดอยู่ในตุ่มแก้วนั้น
ช่างเป็นฉากที่น่าสะอิดสะเอียดอย่างยิ่ง
จำนวนหนูที่มีชีวิตอยู่ค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆ จากหลักร้อย เหลือหลักสิบ สี่สิบ สามสิบ ยี่สิบ สิบ เก้า แปด เจ็ด สาม สอง หนึ่ง
หนูตัวสุดท้ายยังคงชักกระตุกอยู่อย่างนั้น มันได้ถูกแทงด้วยธนูและท้ายที่สุดมันก็รอดมาได้ ช่างเป็นเรื่องยากจริงๆที่จะเหลือรอดมาได้ซักตัว
ซูจิ้งเองก็จ้องมองเจ้าหนูนี่ด้วยท่าทีที่ดูตื่นเต้นอย่างมาก
แต่ยังดีใจได้ไม่ทันไร อยู่ๆเจ้าหนูตัวสุดท้ายก็แสดงท่าทีก้าวร้าว ซักพักมันก็อ้วกของเหลวสีขาวออกมา แล้วแน่นิ่งไป หลังจากนั้นร่างกายก็เริ่มเสื่อมสลายและกลายเป็นแอ่งเลือดตามไปเหมือนตัวอื่นๆ
“หนูสี่ร้อยตัวแต่ไม่มีสำเร็จเลยซักตัว อัตราความสำเร็จของมันช่างต่ำเสียจริง” ซูจิ้งไม่เหลือทางเลือกอีกต่อไป
เป็นไปได้ว่าพวกหนูเหล่านี้น่าจะอ่อนแอกว่าเหล่ามนุษย์ นั่นจึงอาจเป็นเรื่องยากที่พวกมันจะมีความสามารถในการปลุกพลังขึ้นมาได้
ส่งผลให้ความสำเร็จของมันถึงได้ต่ำเตี้ยเรี่ยดินขนาดนี้
ถึงแม้เขาจะรู้เรื่องนี้แต่ซูจิ้งก็ยังไม่คิดจะหาคนมาทดลอง ถ้าจะให้พูดก็คือหามาไม่ได้มากกว่า
นอกจากจะโหดร้ายเกินไปแล้ว ต่อให้สำเร็จแต่ถ้ามีคนรู้คงกลายเป็นเรื่องใหญ่
ยังไม่ต้องพูดถึงหากสำเร็จล่ะก็ เป็นไปได้ยากที่จะควบคุมคนที่ปลุกพลังได้แล้วอีก
หากเกิดเหตุมีการทรยศขึ้นละก็ ต้องเกิดปัญหาในระดับนึงแน่นอน
ไม่เพียงมนุษย์เท่านั้น แม้แต่เหล่าหมาแมวเขาก็ยังทำไม่ลงเช่นเดียวกัน
“ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะไม่สำเร็จไปตลอดได้หรอก ทดลองต่อดีกว่า มันต้องมีหนูบางตัวที่มีคุณสมบัติพอที่จะปลุกได้ล่ะน่า” พอบ่นเสร็จ ซูจิ้งก็ออกไปและกลับมาพร้อมหนูอีกจำนวนเยอะมากๆ
สิ่งมีชีวิตจำพวกหนูที่มีอัตราการแพร่พันธุ์สูงนั้นทำให้พวกมันเสียเงินซื้อได้ในราคาที่ค่อนข้างถูก
ซูจิ้งได้จ่ายเงินไปเล็กน้อยในการเหมาหนูจนหมดฟาร์มหนู เขาทำแม้กระทั่งประกาศรับซื้อหนูทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นหนูบ้านหรือหนูท่อ
ยิ่งไปกว่านั้นซูจิ้งยังไปล่อหนูมาจากท่อน้ำของเมืองด้วยเนื้อสัตว์วิเศษมาอีกด้วย
หลังจากจัดการกว้านหาหนูมาจนหมดเมืองแล้ว ซูจิ้งส่งคนไปช่วยเขาคนหนูกลับเพื่อทำการทดลองต่อ จากร้อยเป็นพัน จากพันเป็นหมื่น เวลาทดลองจากชั่วโมงเป็นวัน จากวันเป็นสองวัน
ตอนนี้ซูจิ้งฆ่าหนูไปชนิดที่ขี้เกียจจะนับจำนวนแล้ว ถ้าเขาฆ่าคนไปเท่ากับชีวิตหนูพวกนี้ บอกได้เลยว่าถ้าเขาตายไปต้องโดนถีบลงนรกขุมที่สิบแปดในทันที
ซูจิ้งยังคงจิ้มหนูด้วยธนูต่อไปจนกระทั่งถึงตอนเย็นของอีกวันด้วยสายตาแบบปลาตายที่บ่งบอกว่าเขากำลังจะถอดใจแล้ว
คราวนี้เป็นคราวเคราะห์ของหนูขาวตัวน้อยๆตัวหนึ่ง
หลังจากเขาจิ้มธนูเข้าไปยังตัวหนู
สุดท้ายแล้วไม่ก็ไม่ได้เปลี่ยนกลายเป็นแอ่งเลือด
ซูจิ้งที่เห็นภาพตรงหน้าในตอนนี้แทบจะร้องไห้ออกมาเป็นสายเลือด
“เจ้าเพื่อนตัวน้อย แกมันสุดยอดหนูจริงๆ” ซูจิ้งมองเจ้าหนูตัวที่รอดด้วยความตื่นเต้น
มันเป็นหนูที่น่าจะยังโตไม่เต็มที่ มันยังดูมีสีชมพูอยู่เลย จะให้บอกว่าน่ารักก็ยังได้ มันไม่ได้ดูแข็งแรงไปกว่าหนูตัวอื่นเลย
แน่นอนว่าถ้าเอามันไปวางเทียบกับหนูบ้านหรือหนูท่อ มันจะต้องโดนเหยียบตายในทันที
แต่มันก็ยังรอดออกมาได้ เจ้าหนูนี่จะต้องมีอะไรบางอย่างที่แข็งแกร่งกว่าหนูพวกนั้นแน่ๆ
“เห้เจ้าตัวน้อย ขอดูหน่อยสิว่าสแตนด์ของนายมีความสามารถอะไร” ซูจิ้งพูดออกมา การที่เจ้าหนูนี่รอดมาได้เขาเชื่อว่ามันต้องปลุกสแตนด์ออกมาได้แน่ๆ เขาได้ทำพันธะสัญญากับมันก่อนจะทดลองแล้ว เขาจึงไม่ต้องกลัวมันจะทำอันตรายเขาได้
หลังจากได้ยินเสียงซูจิ้งพูด เจ้าหนูยกหัวขึ้นแล้วทำปากขมุบขมิบ แปลได้ว่า “ทำอย่างนี้มันเจ็บนะ อย่ามาเอาอะไรมาแทงฉันแบบนี้อีกนะ ว่าแต่สแตนด์นี่มันคืออะไรอ่ะ กินได้รึเปล่า”
GGS:บทที่ 771 สแตนด์
ซูจิ้งก็ยังคิดว่าท่าทางที่เจ้าหนูแสดงออกมาถือว่าถูกต้องแล้ว
ต่อให้เจ้าหนูนี่ได้รับการปลุกพลังก็ไม่รู้วิธีใช้เป็นเรื่องปกติอยู่ดี
เมื่อเขานึกไปถึงเรื่องราวในโจโจ้ที่เคยอ่าน
สแตนด์จะแสดงพลังออกมาก็ต่อเมื่อมีความตั้งใจที่จะโจมตีใครสักคน หรือต่อเมื่อตัวผู้ใช้ตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น
เจ้าหนูน้อยตัวนี้ไม่มีทางที่จะโจมตีใครอยู่แล้ว งั้นเอาเป็นให้มันรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตรายแทนก็แล้วกัน
ซูจิ้งได้ปล่อยหนูท่อตัวเคื่องที่ยังไม่ได้ทดลองแล้วสั่งให้มันโจมตีเจ้าหนูขาว หนูขาวกลัวจนลนลานหนีไปทั่ว ถึงขนาดปีนหนีขึ้นมาบนขากางเกงของซูจิ้ง
แต่พอปีนขึ้นมาได้ซักสิบเซนฯ มันก็พลาดล่วงกลับลงไป มันวิ่งหนีไปอีกทางพลางตะโกนอย่างสุดชีวิตว่า “ท่านเจ้าชีวิตได้โปรดรีบๆช่วยฉันหน่อยเถอะ”
ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก เจ้าหนูนี่ได้รับการปลุกพลังแล้วจริงๆงั้นหรอ
อย่างไรก็ตามในตอนนั้นหลังของหนูขาวก็ได้มีเงาบางอย่างโผล่ออกมา
เงานั่นดูเหมือนหนูขาวทุกประการแต่มันดูแข็งแกร่งกว่าเท่านั้นเอง
ทันทีที่ซูจิ้งเห็นถึงกับตาส่องเป็นประกาย
ซูจิ้งได้เห็นว่าสแตนด์ที่ออกมาจากหนูขาวจับไปที่คอของหนูท่อตัวนั้น
หัวของเจ้าหนูนั่นหดตามแรงไปเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นมากกว่านั้น
หนูท่อพุ่งเข้าไปหาหนูขาวแล้วจับมันทุ่มลงไปกับพื้น
หนูขาวนอนชักกระตุกเล็กน้อยอยู่อย่างนั้นไม่ลุกขึ้นมา เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นยันถึงตอนนี้ดูเหมือนว่าสแตนด์ของหนูขาวแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย
“อะไรกัน ทำไมสแตนด์ถึงได้อ่อนแออย่างนี้ล่ะ” ซูจิ้งแสดงท่าทีนิ่งๆออกมาเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่อให้มันจะยังอ่อนแอยังไงก็สมควรทำอะไรได้บ้าง แต่นี่ทำอะไรไม่ได้แม้แต่หนูธรรมดาเลยด้วยซ้ำ
“ห้ะ ไม่เป็นอะไรเลยหรอ” ซูจิ้งสั่งให้หนูท่อถอยออกไป
หนูขาวเองก็พยายามลุกขึ้นมาอย่างเหนื่อยหอบ ถึงจะผิดหวังไปหน่อยแต่อย่างน้อยก็ยืนยันได้ว่าหนูขาวมีสแตนด์แน่นอนแล้ว
เขาลองสั่งให้หนูขาวบังคับสแตนด์ให้ลองทำหลายๆอย่างดูแต่ทุกครั้งที่ลองใช้สแตนด์
เจ้าหนูขาวมีท่าทีเหนื่อยหอบทุกครั้งหลังใช้สแตนด์
ดูเหมือนว่าหลังจากปลุกสแตนด์ขึ้นมาได้ หนูขาวจะมีพลังจิตที่แข็งแกร่งกว่าสัตว์ทั่วไป
แต่เมื่อเทียบกับมนุษย์แล้วก็ยังดูปกติอยู่ดี คงต้องเสริมแกร่งเจ้าหนูนี่ซะก่อนแหะ
“มา มา ดื่มน้ำนี่ซะก่อนนะ”
“กินปลาเขี้ยวหยกนี่อีกซะหน่อยซี่”
“มานี่ซิ เดี๋ยวฉันฝึกสอนการทำสมาธิให้”
ซูจิ้งได้ให้หนูขาวดื่มใบชาใบไม้ร่วงที่ได้มาจากห้วงเวลาฯโลกเซียน กินปลาเขี้ยวหยก และทำการสะกดจิตมันให้ใช้อัญมณีพลังจิต ฝึกฝนพลังวิญญาณ และทุกอย่างเจ้าหนูนี่ล้วนเป็นไปได้ด้วยดี
เวลาผ่านไปสองชั่วโมง เจ้าหนูขาวดูแข็งแกร่งมากขึ้น
“อืมมมม ตอนนี้ก็น่าจะเหลือร่างกายที่ยังอ่อนแออยู่สินะ และดูเหมือนมันก็ยังไม่แสดงพลังพิเศษออกมา ลองดูอีกทีแล้วกัน”
ซูจิ้งบอกให้เจ้าหนูขาวลองทำอะไรบางอย่าง ถึงแม้เจ้าหนูขาวในตอนนี้มันไม่อยากจะทำอะไรอีกต่อไปก็ตาม
การโจมตีของสแตนด์ก็ยังโจมตีได้อ่อนแออยู่ดี แถมหนูขาวก็ยังลงไปกองกับพื้นเหมือนปกติ
ด้วยสภาพนี้อย่าว่าแต่โจมตีศัตรูเลย แค่โดนกระดาษปาใส่ก็ยังร่วง
เจ้าสแตนด์นี่มีความสามารถพิเศษอะไรกันแน่ ทำไมเขายังหามันไม่เจอซักที
สแตนด์บางตัวสามรถใช้รีโมทคอนโทรลควบคุมทีกสิ่งได้ บางตัวสามารถแบ่งร่างออกมาได้มากมาย บางตัวสามารถก่อกวนศัตรูโดนแผงร่างกายโดยตรง ซูจิ้งจึงลองให้หนูขาวใช้ความสามารถทุกอย่างที่เขารู้จักแต่
ไม่เป็นผล
“เจ้าหนูนี่คงไม่ใช่ว่าไปปลุกสแตนด์ที่ใช้พลังฮ่วยๆได้ออกมาหรอกนะ” ทันทีที่ซูจิ้งนึกอย่างนี้เขาแทบจะร้องไห้แบบไม่มีน้ำตาออกมา
คราวนี้เมื่อเจ้าหนูขาวเห็นท่าทางของเจ้านายตัวเองมันก็รู้สึกโกรธขึ้นมา
มันควบคุมสแตนด์ออกมาทันที ทันใดนั้นสแตนด์ได้จับกระดาษที่อยู่ตรงหน้าและฉีกออกสองส่วน
ซูจิ้งเกือบจะเอ่ยปากออกไปแล้วว่ามันก็แค่การฉีกกระดาษ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจเลย แต่ยังไม่ทันได้พูดออกไป เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อก็ได้ปรากฎออกมา
กระดาษที่ถูกฉีกออกมานั้นได้คืนกลับมาอยู่ในสภาพเดิมอย่างไร้ร่องรายที่ถูกฉีกออกก่อนหน้านี้
“ห้ะ” ซูจิ้งประหลาดใจในสิ่งที่เกิดขึ้น หรือว่านี้คือพลังย้อนคืน
ซูจิ้งก้าวออกมา เขาทำการฉีกกระดาษอีกครั้งแล้วพูดออกมาว่า “ลองดูอีกทีซิ”
เจ้าหนูขาวได้ใช้สแตนด์ไปจับที่กระดาษอีกครั้ง ต่อมากระดาษได้ประสานตัวเองกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยที่ไม่เหลือร่องรอยใดๆ
“ฉันคิดว่ามันน่าจะมีพลังในการย้อนคืนสภาพนะ
ด้วยความสามารถนี้บอกได้เลยว่าถ้าใช้ในการต่อสู้ล่ะก็ แทบจะเป็นอมตะเลยทีเดียว”
ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจในทันที เข้าไม่แปลกใจอีกต่อไปแล้วว่าทำไมพลังโจมตีของมันถึงได้อ่อนแอนัก
กลายเป็นว่าสแตนด์ตัวนี้ไม่ใช่สายโจมตีแต่เป็นสายฟื้นฟู และความสามารถประเภทนี้คือการฟื้นฟูทุกอย่างได้
ยกเว้นตัวเองซึ่งน่าจะคล้ายกับตัวเอกในเรื่องโจโจ้ที่อยู่ภาค4
แน่นอนว่ามันมีข้อจำกัดอื่นก็คือจะฟื้นฟูสภาพไม่ได้หากขาดชิ้นส่วนและคืนชีพสิ่งที่ตายไปแล้วไม่ได้
ซูจิ้งแสดงความดีใจออกมาอย่างออกนอกหน้า กลายเป็นว่าเจ้าหนูขาวมีพลังที่ทรงพลังอย่างมาก เขายังลองให้หนูขาวทดลองต่อไปด้วยความตื่นเต้น และเจ้าหนูขาวเองก็ยินดีที่จะให้ความร่วมมือเพราะมันก็แสดงความตื่นเต้นออกมาไม่น้อยกว่ากัน ยิ่งทดลองซูจิ้งก็ยิ่งรู้สึกว่าความสามารถฟื้นคืนสภาพของหนูนี่คล้ายคลึงกับในเรื่องโจโจ้มากยิ่งขึ้น แต่ก็ยังเทียบระดับกันไม่ได้อยู่ดี
อย่างแรกที่ซูจิ้งค้นพบก็คือ อย่างแรก สแตนด์ตนนี้สามารถทำให้วัตถุคืนสภาพก่อนที่จะถูกทำลายก็จริง
แต่ก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ อย่างกระดาษที่เขาใช้หากแค่ฉีกเป็นสองส่วน สแตนด์สามารถคืนสภาพมันได้ในทันที
แต่ถ้าเป็นการคืนสภาพกระดาษที่ถูกฉีกเป็นหลายชิ้นจะต้องใช้เวลาพอสมควร
เขาได้ลองให้หนูขาวคืนสภาพประตูที่พัง มันใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเลยทีเดียว
ในส่วนนี้น่าจะเป็นเพราะพลังวิญญาณของเจ้าหนูขาวยังน้อยอยู่ด้วยจึงทำให้ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วโมง
นอกจากนี้ถ้าเป็นสิ่งมีชีวิตก็ไม่สามารถฟื้นคืนสภาพได้
ถ้าจะบอกให้ถูกคือ เป็นทักษะในการซ่อม ไม่ใช่การรักษา
“อืมมม เป็นไปได้ว่าเพราะเจ้าหนูนี่ยังอ่อนแออยู่จึงยังทำไม่ได้
ไม่ก็เพราะเจ้าหนูนี่ตัวเล็กเกินไปทำให้ซ่อมสิ่งที่ใหญ่เกินตัวไม่ได้ ยังไงซะมันก็ยังถือว่าใช้ได้อยู่ดี”
ซูจิ้งก็ยังคงสงบอยู่ดี ทันใดนั้นเขานึกถึงงานแกะสลักหินพวกนั้นขึ้นมาในทันที
ถ้าสามารถซ่อมให้สมบูรณ์ได้ อย่างน้อยๆก็น่าจะพอลบลอยแตกร้าวได้
ถึงแม้แต่นี้จะใช้ประโยชน์ได้แค่นี้ แต่ถ้าใช้ดีๆก็ทำอะไรได้หลายอย่างเลยทีเดียว
นอกจากนี้ในระหว่างการทดสอบเพิ่มเติม ซูจิ้งได้นึกวิธีการใช้ประโยชน์ความสามารถของเจ้าหนูนี่ได้มากมาย และหลังจากที่หนูขาวได้รับการปลุกพลังขึ้นมา ดูเหมือนว่ามันเองก็มีไอคิวที่สูงขึ้นจนเทียบเท่ากับเหล่าสัตว์เลี้ยงของเขาได้แล้ว ทั้งที่ไม่ได้กินปลาเขี้ยวหยก ดื่มชาใบไม้ร่วง หรือทำการฝึกจิตใจเพิ่มเติมก็ตาม
“ฉันว่าฉันลองทดลองปลุกพลังหนูต่อดีกว่า ฉันอาจเจอสมบัติเพิ่มก็ได้นะเนี่ย”
เช่นเดียวกับที่หมอม้าเห็นม้าตายยังมีชีวิตอยู่(รักษาจนตายก็ยังรักษาแบบเดิมต่อไป)
ซูจิ้งทำการจิ้มพุงหนูเพิ่มอีกหนึ่งหมื่นสองพันตัวด้วยธนู ผลที่ออกมาก็ไม่ได้เกินกว่าที่เขาคาดหมายแต่อย่างใด พวกมันตายเรียบ
จากผลการทดลองนี้นอกจากหนูขาวที่รอดมาได้ตัวเดียวนั้น
ซูจิ้งบอกได้อย่างเดียวว่าไม่ได้อะไรเลยซักนิด ต่อให้ปลุกสแตนด์มาได้หนึ่งตัวแต่ก็ไม่ได้อะไรจากเจ้าหนูที่รอดเพิ่มเติมเลย
ถ้าจะให้บอกคืออัตราความสำเร็จไม่ได้ขึ้นอยู่กับร่างกาย จิตใจ หรือสายพันธุ์ที่พิเศษของหนูตัวนี้
ซูจิ้งใจตอนนี้รู้สึกท้อใจเล็กน้อย ซูจิ้งทำการกำจัดเลือดทั้งหมดของหนูที่หลงเหลือจากการทดลอง
เขาไม่ได้ทำการทดลองแต่อย่างใด นั่นก็เพราะว่าการทดลองนี้เป็นงานที่หนักมาก
เขาเรียกที่จะทำการเลี้ยงดูหนูขาวที่รอดมาได้ก่อนเพราะว่าถ้าเกิดมันตายตามไปอีกตัวหล่ะก็
เขาจะไม่เหลืออะไรเลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น