Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 764-767
GGS:บทที่ 764 การต่อสู้ผ่านอากาศ
ตอนแรกนั้นแฟนคลับของซูจิ้งก็ดีใจที่ซูจิ้งกำลังจะสตรีม แต่เมื่อเห็นว่ามู่หรงเซียนเอ๋อจะสตรีมด้วยทำให้ท่าทีของพวกเขาเปลี่ยนไป
“พี่จิ้งและมู่หรงเซียนเอ๋อจะสตรีมด้วยกันงั้นหรอ ไม่นะ พี่จิ้งไม่รู้รึไงว่าตอนนี้มู่หรงเซียนเอ๋อมีชื่อเสียงที่ไม่ดีน่ะ พี่เขาควรจะอยู่ห่างเธอเอาไว้นะไม่งั้นเธออาจจะทำให้พี่ตกต่ำไปด้วย”
“ที่พี่จิ้งออกมาสตรีมคู่กับมู่หรงเซียนเอ๋อแบบนี้แสดงว่าเขามีความตั้งใจช่วยเธออยู่แล้ว”
“พี่จิ้งนั้นใจดีกับมู่หรงเซียนเอ๋อมากเลยนะ เขาเองยังเคยให้เธอเล่นเพลงกู่จิ้งที่เขาแต่งเอาไว้ก่อนหน้าอีกด้วย การที่เขามาออกหน้าแบบนี้ช่างเสี่ยงต่อการโดนเล่นงานไปด้วยจริงๆ”
“มู่หรงเซียนเอ๋อนั้นเป็นทั้งคนที่สวยและต้องคำสาป เธอไม่ควรจะมาทำแบบนี้เลย”
เหล่าผู้คนที่ติดตามโลกอินเตอร์เน็ตในตอนนี้แม้กระทั่งอดีตแฟนคลับของมู่หรงเซียนเอ๋อเองก็ยังออกมาเรียกร้องในสิ่งเดียวกัน นั่นคือการขอให้ซูจิ้งละทิ้งมู่หรงเซียนเอ๋อไปซะปล่อยให้เธอตายลงไปอย่างช้าๆแบบที่พวกเขาทำ
ตอนนี้เหล่าชาวเน็ตที่ยังคงเป็นแฟนคลับของเซียนเอ๋อก็ได้รู้เรื่องนี้แล้วเหมือนกัน
ตอนแรกพวกเขาก็รู้สึกดีใจเมื่อเห็นซูจิ้งประกาศการสตรีมออกมา
แต่เมื่อเห็นคำพูดของแฟนคลับซูจิ้งทำให้พวกเขาโกรธมากและก็อยากไปโต้ตอบกับคนพวกนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามพวกเขาเองก็รู้ตัวดีว่าตอนนี้ชื่อเสียงของเซียนเอ๋อไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว จะบอกว่าแทบจะเสียคนเลยก็ว่าได้
พวกเขาเองก็ทำได้แต่กดข่มความรู้สึกเอาไว้ไม่ต่อล้อต่อเถียงด้วย พวกเขาไม่อยากก่อปัญหาให้พันธมิตรที่เหลืออยู่คนเดียวของพวกเขา
นาหลันเฟย เลาชง หลินฉีหยูและดาราคนอื่นๆเองก็ตกตะลึงกับข่าวนี้เช่นกันเมื่อรู้ข่าว
พวกเขาต่างรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นเป็นคนที่มีเกียรติแค่ไหนและทำแบบนี้เพราะอะไร
แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ในเรื่องที่กลัวว่าชื่อเสียงของเซียนเอ๋อจะทำให้ชื่อเสียงของซูจิ้งต้องมัวหมองตาม
เว่ยหยิน ฉิวหยุนจินและดาราคนอื่นๆเองก็ตื่นเต้นเช่นกันเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งจะออกมาสตรีม
พวกเขาต่างรอคอยมานานแล้วที่จะได้เห็นซูจิ้งเล่นเพลงดีๆให้พวกเขาฟัง
แต่ไม่ว่าใครก็ตามเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งจะเล่นเพลงกับเซียนเอ๋อนั้นต่างก็คิดออกมาในทำนองเดียวกัน
และเรื่องนี้ได้กลายเป็นประเด็นพูดคุยในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างร้อนแรง เมื่อถึงเวลาชาวเน็ตได้เข้าไปดูในห้องสตรีมของซูจิ้ง
โดยตอนนี้จำนวนคนที่กดเข้ามาดูอยู่ที่ประมาณห้าแสนคนและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึง
ชื่อเสียงของซูจิ้งในตอนนี้ทำให้เขาขึ้นไปอยู่อันดับหนึ่งของดาราระดับสองเรียบร้อยแล้ว
แม้กระทั่งมู่หรงเซียนเอ๋อที่กำลังผจญข่าวฉาวอยู่นั้นก็ยังขึ้นไปอยู่ในรายการชั้นหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งไม่ได้สนใจว่าตอนนี้โลกภายนอกจะคิดอะไรกันอยู่
เขาได้ทำการเปิดกล้องวิดีโอและทำการจัดมุมกล้องโดยไม่ได้สนใจข้อความในช่องแสดงความคิดเห็นเลยซักนิด
เขายังหันกลับไปพูดกับเซียนเอ๋อด้วยว่า “เธอจำทำนองเพลงได้แล้วใช่รึเปล่า”
“ฉันจำได้แล้วแต่มันค่อนข้างจะยากมากเลยนะ ฉันกลัวว่าจะเล่นได้มีดีเลยล่ะ” เซียนเอ๋อเองพยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีหวั่นใจในขณะที่พูด
มู่หรงฉิน มู่หรงจิงเทียน ฉินซิว และผู้ช่วยสาวของเซียนเอ๋อเองก็ได้นั่งจ้องมองด้วยความหวั่นไหวเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าพวกเขาในตอนนี้อยู่หลังกล้องทำให้ผู้ชมไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้
พวกเขาเองก็ได้เห็นทำนอง(โน๊ต)เพลงแล้วเหมือนกันพร้อมทั้งได้เห็นทั้งคู่ลองเล่นด้วยกันมาแล้ว ตอนนี้พวกเขาก็ยังตกตะลึงกับเพลงไม่หายเลย
“อย่ากังวลเลยน่า ฉันอยู่ตรงนี้นะ เรามาเริ่มกันดีกว่า” ซูจิ้งค่อยๆยกมือขึ้นมาอย่างนิ่มนวล
และค่อยๆปล่อยให้มันร่วงลงไปยังสายกู่จิ้งสายหนึ่งอย่างช้าๆ
บังเกิดเสียงที่กระจ่างใสและหนักแน่น เซียนเอ๋อเองก็ได้ทำการสูดลมหายใจลึกๆ ก่อนที่จะเริ่มดีดสายเล่นเพลงอย่างแน่วแน่
เสียงที่เกิดขึ้นเต็มไปด้วยความกระจ่างใส ทรงพลัง และก้องกังวาล
ความรู้สึกเหมือนเสียงสั่นระฆังในวัดเล่ยหยิน เสียงที่เกิดขึ้นส่งตรงเข้าไปยังจิตใจของผู้คนที่ได้ยินทีละน้อย
ทีละน้อย ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
แต่นั่นไม่ได้ทำให้คนที่ฟังอยากจะปิดช่องการสตรีมหนีแต่อย่างใด
พวกเขาต่างรู้สึกไม่อยากจะพลาดที่จะได้ฟังท่วงทำนองที่บรรเลงออกมาขาดตกไปแม้แต่ตัวโน๊ตเดียว
ความรู้สึกด้านลบที่เหล่าคนที่ฟังในตอนนี้ค่อยๆหายไปจนกระทั่งหายไปหมดสิ้นจากจิตใจคนทุกคนที่ได้ยิน
ต้องบอกว่าเพลงนี้เหมือนดั่งมีมนต์วิเศษที่สะกดให้ทุกคนไม่สามารถหนีหายออกไปได้
บทเพลงนี้หากฟังดีๆแล้วจะรู้ได้ทันทีว่าเหมือนจะเป็นการเล่นวนซ้ำไปซ้ำมา แต่นั่นกลับยิ่งทำให้คนฟังรู้สึกตื่นเต้น ตกตะลึง เหมือนค่อยๆเติมเต็มจิตใจและจิตวิญญาณของผู้คน และค่อยๆส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ
ความรู้สึกเหมือนกับเวลาที่คนฟังเพียงเสียงเปียโนแต่ทำให้รู้สึกสุดยอดขึ้นมาได้
หากเป็นเปียโนนั้น เพลงของซูจิ้งก็จะเปรียบเหมือนเสียงเปียโนที่ไหลบ่าเหมือนกับสายน้ำหลากที่เข้าไปกระแทกจิตใต้สำนึกของผู้ชมจนทำให้หัวหมุนแล้วปัดเป่ามารมณ์ขุ่นมัวในจิตใจจนหายไปทั้งหมด
“อา…….” เหล่าผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมอยู่ตอนนี้อดไม่ได้ที่จะร้องออกมาเสียงดังลั่น
เหมือนกับพวกเขาได้ปลดปล่อยกำลังภายในที่แทรกแซงและแปรปวนอยู่ภายในร่างกายออกมาได้
และตอนนี้จิตใจของทุกคนได้ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง
“สุดยอด เพลงนี้จะสุดยอดเกินไปแล้ว”
“ช่างเป็นเพลงที่ทำให้ใจเต้นขึ้นมาได้เลย”
“ทำไมจู่ๆฉันก็รู้สึกว่ามู่หรงเซียนเอ๋อดูไม่ค่อยมีความสุขเลยหล่ะ”
“เดี๋ยวนะ เรื่องข่าวฉาวของมู่หรงเซียนเอ๋อนั่น ไม่ว่าดูยังไงก็เป็นข่าวปลอมแน่นอน นี่ฉันเชื่อเข้าไปได้ยังไงกันเนี่ย”
“จริงด้วย ไอ้คนที่กล้าใส่ร้ายเธอด้วยเรื่องพวกนี้ช่างกล้าอย่างไม่น่าเชื่อเลย”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เชื่อข่าวนี้เหมือนกัน ช่างโง่เง่าจริงๆ”
“ฮ่าฮ่า ฉันไม่เชื่อตั้งแต่แรกแล้ว พวกนายตาสว่างซักที”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ก่อนหน้านี้ฉันเชื่อทันทีที่เห็นเลย”
“พระเจ้า พวกเราไม่น่าทำเรื่องไม่ดีกับเซียนเอ๋อเลย ก่อนหน้านี้พวกเราทำอะไรลงไปเนี่ย”
“ฉันยังคงเชื่อมั่นในตัวของเซียนเอ๋อและเป็นแฟนคลับของเธอนะ การที่ไปเชื่อข่าวเฮงซวยอย่างนี้มันช่าง….”
เหล่าชาวเน็ตที่ก่อนหน้านี้เคยว่าร้ายเซียนเอ๋อในตอนนี้ต่างโทษตัวเองในสิ่งที่ได้กระทำลงไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหล่าแฟนคลับของเซียนเอ๋อที่ได้ตัดสินใจเลิกติดตามเธอไปก่อนหน้านี้
พวกเขารู้ตัวแล้วว่าเซียนเอ๋อนั้นถูกใส่ร้าย พวกเขาต่างส่งข้อความขอโทษไปยังช่องทางสื่อสารของเซียนเอ๋อ
ไม่ว่าจะเป็นไมโครบล็อก ฟอรุ่ม วีแชท และช่องทางอื่นๆที่น่าจะพอสื่อสารความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้ต่อเธอได้
และในทำนองเดียวกัน เมื่อเพลงที่ซูจิ้งบรรเลงร่วมกับเซียนเอ๋อแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ด้วยมนต์วิเศษที่ไม่มีโอกาสได้ยินง่ายๆแบบนี้ ทำให้ส่งต่อกันไปเรื่อยๆ แม้แต่คนที่ไม่เคยสนใจเพลงแนวนี้ก็ยังมีโอกาสได้ยิน ทำให้หลายๆคนเริ่มตื่นจากภวังจนทำให้เหล่าประชาชนทั้งหลายมีความคิดที่เปลี่ยนไป
แน่นอนว่าเรื่องข่าวฉาวที่เกิดขึ้นกับดาราคนอื่นและผู้ว่าการเมืองกงหลิงหมิงเองก็ได้รับผลกระทบด้วยเหมือนกัน เหล่าคนที่เชื่อในเรื่องพวกนี้เปลี่ยนท่าทีของพวกเขาในทันที
“พระเจ้า” ผู้ช่วยของเซียนเอ๋อถึงกับอุทานออกมาเมื่อเห็นกระแสลมที่เปลี่ยนทิศของความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อข่าวฉาวของเซียนเอ๋อจนทำได้แต่นิ่งอึ้งตะลึงไปในทันที เธอไม่คิดว่าแค่เพลงๆเดียวจะทำให้ความคิดของผู้คนเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
“อาจิ้ง เพลงนี้เป็นเพลงอะไรกันแน่” เซียนเอ๋อเองก็แทบจะไม่อยากเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเลย
เธอรู้ดีว่าการบรรเลงของเพลงของเธอซูจิ้งเมื่อครู่นี้เธอเพียงแค่คนบรรเลงประกอบเท่านั้น
คนที่เล่นจริงๆจนทำให้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ก็คือซูจิ้งคนเดียวเท่านั้น
สำหรับเธอนั้นเป็นเรื่องยากมากที่จะบรรเลงได้จนถึงแก่นแท้ของเพลงนี้และทำให้เกิดผลอันแสนวิเศษนี้ขึ้น
หากเธอบรรเลงคนเดียวไม่มีทางทำได้เลย
มู่หรงฉิน มู่หรงจิงเทียน และฉินซิวตอนนี้มองซูจิ้งเหมือนกับเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว
มู่หรงฉินนั้นถึงแม้จะอยู่ในวงการนี้มานานและช่ำฉองจนถูกจัดว่าไปที่หนึ่งในวงการกู่จิ้งจนได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์
แต่เขาเองก็ยังรู้ตัวดีว่าไม่สามารถเขาถึงแก่นแท้ของเพลงนี้ได้
“ผลงานเพลงชิ้นนี้มีชื่อว่า เฉียนจินฉิง(ส่งต่อท่วงทำนองแห่งรัก)” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นี่เป็นหนึ่งในเพลงประจำตัวของกลุ่มฉินที่ปรากฎอยู่ในห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณ
ตัวเพลงจะส่งผลในการชำระล้างจิตใจและปัดเป่าความรู้สึกด้านลบที่เกิดขึ้นในจิตใจของผู้คน
ถ้าเพลงนี้ถูกเล่นด้วย เย่หยินจู ล่ะก็ แม้แต่ความรู้สึกด้านลบที่ฝังลึกลงไปในจิตใจผู้คนก็ยังหายไปได้อย่างง่ายดาย
แต่ด้วยฝีมือของซูจิ้งในตอนนี้ไม่สามารถสื่อถึงพลังออกมาได้ขนาดนั้น
เขาทำได้เพียงแค่ปัดเป่าความรู้สึกด้านลบที่เกิดจากคลื่นพลังที่ออกมาส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้คนที่ใช้งานคอมพิวเตอร์และมือถือได้เพียงเท่านั้น
โชคดีที่คลื่นพลังเหล่านั้นมีผลแค่เพียงผิวเผินและยังไม่ได้ฝังลึกทำให้เขาสามารถปัดเป่าความรู้สึกเหล่านั้นออกไปได้
ในขณะเดียวกันนั้น ในอพาร์ทเมนต์แห่งหนึ่ง ชายหนึ่งคนหนึ่งได้หน้ามู่ทู่ออกมาเมื่อเขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมของชาวเน็ต
มันผิดจากที่เขาคาดจนต้องขมวดคิ้วออกมาและแสดงใบหน้าที่ผิดหวังอย่างสุดขีด
เขารีบหาต้นเหตุจนพบสาเหตุอย่างรวดเร็ว เขาได้กดเม้าส์เพื่อเข้าไปฟังเพลง “ส่งต่อท่วงทำนองแห่งรัก” ที่ถูกบรรเลงโดยซูจิ้ง
เพียงแค่ฟังเพลงนี้ไปเพียงแค่ครึ่งเพลง ใบหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที ใบหน้าของเขาในตอนนี้แสดงความรู้สึกที่ดูพะอืดพะอมและทุกข์ทรมายจนต้องบังคับตัวเองให้ปิดเพลงนี้ลง หลังจากนั้นเขาก็ได้กระอักเลือดออกมาจากปากจำนวนหนึ่ง
“ซูจิ้งคนนี้เป็นใครกันแน่ มันทำได้ยังไงกันกับอีแค่เล่นเพลงๆเดียวแต่ทำลายทักษะของฉันได้”
ชายหนุ่มคนนี้ไม่ยอมเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หลังจากนั้นซักพักเขาได้สบถออกมาว่า “ฉันไม่เชื่อเรื่องนี้เป็นอันขาด ทุกสิ่งบนโลกนี้จะอยู่หรือเป็นมันขึ้นอยู่กับฉันเพียงแค่พลิกฝ่ามือเท่านั้น”
ชายหนุ่มได้ปิดตาลง ทันใดนั้นคีย์บอร์ดที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ขยับได้เอง ทันใดนั้นข้อมูลข่าวฉาวก็ได้ปรากฎออกมายังหน้าจอคอมพิวเตอร์ในทันที
GGS:บทที่ 765 การต่อสู้ผ่านอากาศ (2)
“ไม่จริงน่า มีข่าวฉาวออกมาอีกแล้วหรอ” ผู้ช่วยสาวของมู่หรงเซียนเอ๋อที่กำลังติดตามดูข่าวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด ทันทีที่เธอเห็นข่าวฉาวเกี่ยวกับมู่หรงเซียนเอ๋อออกมาเธอได้เผลออุทานออกมาพร้อมสีหน้าตกใจ
“ไม่เป็นไรน่า ฉันกำลังกลัวอยู่ว่ามันจะไม่ออกมาด้วยซ้ำ เซียนเอ๋อเธอออกไปก่อนนะ คุณปู่และคุณป้ามู่หรงเองก็ออกไปจากห้องก่อนเหมือนกันนะครับ แล้วก็ขอให้ทุกคนเอาสำลีอุดหูไว้ด้วยล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์
ด้วยเมื่อเพลงส่งต่อท่วงทำนองแห่งรักนี้ได้แพร่กระจายออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตแล้วส่งผลตามที่คาดไว้อย่างดี
ทำให้เขาไม่ได้เกรงกลัวต่อคนที่ปล่อยข่าวฉาวนี้อีกต่อไป
แต่ยังซะเขาเองจะไม่ยอมเพียงแค่ตกเป็นฝ่ายรับเพียงฝ่ายเดียวแน่นอน
คำพูดของซูจิ้งทำให้ทั้งมู่หรงฉิน มู่หรงเซียนเอ๋อ และคนอื่นๆเมื่อได้ยินต่างก็นิ่งอึ้งในทันที
ถ้าเป็นคนอื่นมาพูดอย่างนี้ล่ะก็พวกเขาจะตราหน้าว่าคนๆนั้นแค่อยากจะทำเท่เฉยๆ
นั่นก็เพราะตระกูลมู่หรงถือได้ว่าเป็นเจ้าแห่งกู่จิ้งเพราะไม่เพียงแค่มู่หรงฉินและเซียนเอ๋อเท่านั้นที่เล่นกู่จิ้ง
แม้แต่มู่หรงจิงเทียนและฉินซิวเองก็เล่นกู่จิ้งได้ดีและมีชื่อเสียงในวงการกู่จิ้งไม่ต่างกันมากนัก บอกได้เลยว่าพวกเขานั้นรู้ในศาสตร์แห่งกู่จิ้งเป็นอย่างดีและไม่มีทางถูกหลอกได้ง่ายๆถ้าเป็นเรื่องของกู่จิ้ง
อย่างไรก็ตามเมื่อได้ยินคำพูดของซูจิ้ง พวกเขาไม่เพียงแค่เชื่อฟังอย่างดีเท่านั้น ยังปฏิบัติตามทุกอย่างเป็นอย่างดีเพราะพวกเขารู้ดีว่าซูจิ้งไม่เพียงแค่จะเข้าใจในศาสตร์แห่งกู่จิ้งเท่าพวกเขา แต่เขาได้นำหน้าเกินกว่าพวกเขาจะเข้าใจได้ไปแล้ว
เหล่าชาวเน็ตที่กำลังดูการสตรีมนี้ต่างก็ออกจากห้องอย่างว่าง่าย โดยพากันเดินตรงไปยังห้องข้างๆและได้หาสำลีมาอีดหูไว้อย่างแน่นหนา
ซูจิ้งสูดหายใจเขาลึกๆ เขายังสัมผัสคลื่นพลังที่ถูกส่งออกมาจากคอมและมือถือที่ทำการเปิดข่าวฉาวอยู่ในเวลานี้ นั่นหมายความว่าคนที่อยู่เบื่องหลังก็น่าจะยังอยู่หน้าจอเช่นเดียวกัน
ซูจิ้งปลดปล่อยลมหายใจพร้อมทั้งได้วางมือลงบนกู่จิ้งของเขาทันใดนั้นได้บังเกิดเสียงที่ฟังดูน่าหลงไหลออกมา เสียงนั้นเหมือนกับดังออกมาจากข้างใน
มันไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ มันเหมือนกับเป็นความรู้สึกจริงแท้(วิถีแห่งเต๋า)
ซึ่งเสียงนี้ไม่ได้ส่งผลเสียต่อคนที่ฟังแต่อย่างใดแต่ยังช่วยเติมเต็มความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจของคนที่ได้ฟัง
จนบอกได้เลยว่าเป็นการบรรเลงแนวใหม่อย่างแท้จริงสำหรับคนบนโลกนี้
ในห้องข้างๆ เซียนเอ๋อ มู่หรงฉิน และคนอื่นๆเองที่ได้ยินแม้จะยังเอาสำลีอุดหูอยู่นั้น ต่างรู้สึกตกตะลึงในทันทีเมื่อได้ยินเสียงนี้
ถึงแม้พวกเขาจะได้ยินเพียงเสียงบางเบาแต่ก็ยังรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของเพลงๆนี้
ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ยังรู้สึกว่าอยากฟังอยู่ดีเพราะยิ่งฟังยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นเรื่อยๆ
“ทำไมมันไม่ได้ผลล่ะ” ชายหนุ่มคนนั้นได้ส่งเรื่องชาวออกไปในระบบอินเตอร์เน็ตแต่ผลตอบรับกับเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นนั่นทำให้คิ้วของเขาขมวดจนชนกันในทันที ยิ่งเขารอผลนานเท่าไหร่เขายิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเขาหาสาเหตุนั่นทำให้เขาพบว่าทุกคนยังคงมัวแต่ฟังเพลงของซูจิ้งอยู่เลยไม่ได้สนใจข่าวฉาวของเขา
เขาคิดขึ้นมาได้ว่าหากว่าคนพวกนี้ยังคงฟังเพลงอยู่แบบนี้ไม่มีทางที่คลื่นพลังของเขาจะทำอะไรได้แน่นอน
“ฮืมมมมม งั้นถ้าเป็นอย่างนี้ฉันก็แค่ป้ายสีเพลงนี้ตรงๆเลยก็พอสินะ
ถ้าทำลายเพลงของมันได้ ชื่อเสียงของมันจะฉาวโฉ่ในทันที ไม่มีทางที่มันจะต่อกรกับฉันได้หรอกน่า”
ชายหนุ่มได้สบถออกมา
เขารีบเข้าไปดูการสตรีมของซูจิ้งในทันที
หลังจากฟังไปซักครู่เดียวในตอนนั้นคีย์บอร์ดที่อยู่ตรงหน้าเขาได้ขยับเองอีกครั้งและปรากฎข่าวฉาวของซูจิ้งออกมา
เหตุผลที่เขานั้นต้องเสี่ยงตัวเองโดยกลับมาฟังเพลงของซูจิ้งทั้งๆที่เพิ่งจะกระอักเลือดไปก่อนหน้านี้นั่นเป็นเพราะการจะสร้างข่าวป้ายสีได้นั้นจำเป็นต้องมีข้อมูลของเป้าหมาย ซึ่งในที่นี้คือเพลงของซูจิ้ง
เขาจะต้องทำความเข้าใจเพลงของซูจิ้งก่อนถึงจะสร้างข่าวป้ายสีออกมาได้
ถ้าอยู่ๆเขาก็กุเรื่องขึ้นมาโดยไม่มีเรื่องที่เกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย ความสามารถของเขาจะไม่มีผลอะไรมากมายนัก
ยิ่งเนื้อหาข่าวส่วนใหญ่เป็นจริงมากเท่าไหร่ ผลของความสามารถของเขาก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นตามไปด้วย
ต่อให้ไม่มีหลักฐานมายืนยันความผิดหรือมีหลักฐานมาหักล้างอย่างดีก็ตาม ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดผู้คนที่หลงเชื่อข่าวป้ายสีที่เขาได้เลย
แน่นอนว่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่เขาเผลอฟังเพลงโดยไม่ได้เตรียมใจจนทำให้ต้องกระอักเลือดออกมานั้นทำให้เขาได้เรียนรู้อย่างมาก
เขาได้ทำการควบคุมอารมณ์ตัวเองอย่างดี และพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่คล้อยตามบทเพลงไป เขาใช้ความมุ่งมั่นทางจิตใจโดยตั้งใจมั่นว่าจะหาวิธีก่อกวนเพลงนี้แทน
อย่างไรก็ตามไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขามั่นใจตัวเองมากไปหรือดูถูกซูจิ้งมากเกินไปก็ไม่อาจจะรู้ได้ หลังจากที่เขาได้ฟังเพลงที่ซูจิ้งบรรเลง ความตั้งมั่นทุกอย่างก่อนหน้านี้ได้หายไปในทันทีและกลายเป็นว่าเขาตั้งในฟังจนไม่สามารถทำอะไรได้เลย
ในตอนนี้ยิ่งเขาฟังมากเท่าไหร่เขายิ่งรู้สึกหลงไหลจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ในตอนนี้เขาแทบจะลงไปคุกเข่าและกลายเป็นบริวารของซูจิ้งแล้ว
ในเวลาเดียวกันในขณะบรรเลงเพลงนี้ เสียงของซูจิ้งก็ได้ประสานเข้ากับเสียงเพลงของกู่จิ้งอย่างสอดคล้อง
โดยเขาพูดออกมาว่า “คนที่กุข่าวฉาวป้ายสีเหล่านี้คือเหล่าคนที่เลวชาติอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำการใส่ร้ายกับเพียงแค่เด็กสาวคนหนึ่ง
ถ้าเจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้าสื่อสารผ่านบทเพลงนี้ จงแอดชื่อของข้า qq3947 แล้วจงบอกที่อยู่ของเจ้ามา
แล้วข้าจะไปพูดคุยกับเจ้าตัวต่อตัว”
ถ้อยคำของซูจิ้งที่พูดออกไปนั้นเหมือนแฝงออกไปพร้อมท่วงทำนองของกู่จิ้งที่เขากำลังบรรเลง เหมือนเป็นข้อความวิเศษที่ส่งตรงไปยังใครบางคน พวกเขาล้วนแล้วแต่กลายเป็นบริวารของซูจิ้งและยอมทำตามต่อโดยดี
เหล่าคนทั่วไปที่ได้ฟังเพลงนี้พวกเขาล้วนแล้วแต่ติดเพลงนี้ในทันทีจนแทบจะสูญเสียความเป็นตัวเองไปเลย แต่ด้วยการที่พวกเขาไม่ใช่คนที่สร้างข่าวฉาวต่างๆขึ้นมาทำให้พวกเขาไม่ได้ทำอะไร ได้แต่ฟังเพลงนี้เฉยๆ
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยหนวดเคราครึ้มจนแทบจะบังตาของเขา เขาได้ทำการแอดเพื่อนตามเลขที่ซูจิ้งบอกโดยQQด้วยท่าทางที่โง่งม พร้อมทั้งส่งข้อความโดยมีเนื้อหาคือ “ผมอยู่ที่…ถนน…เขต….ในเมืองจงหยุน…”
ซูจิ้งที่กำลังเล่นกูจิ้งอยู่นั้นเมื่อเห็นข้อความเข้ามา ตาของเขาสว่างวาบในทันที
บทเพลงที่ซูจิ้งกำลังบรรเลงอยู่นั้นคือเพลงวิถีเซียนที่มาจากห้วงเวลาฯบังสวรรค์ ที่ทรงพลังมากๆ และเพลงนี้ไม่ทำให้เขาผิดหวังเลยจริงๆ
แน่นอนว่าเพลงนี้คือหนึ่งในเก้าเพลงที่ทรงพลังเทียบเท่ากับเพลงลำนำแห่งพระเจ้า นั่นคือเพลงนี้เขาทำได้เลียนแบบเท่านั้นเอง
เพลงวิถีเซียนที่แท้จริงนั้นกล่าวได้ว่าเป็นเพลงเปิดของเพลงแห่งเซียนทั้งเก้าเสมือนเป็นเพลงที่ใช้เปิดทางไม่ให้เกิดเภทภัยแก่ผู้ที่ได้ฟัง
แม้แต่ในห้วงเวลาฯบังสวรรค์ก็ไม่ได้มีการเล่นบ่อยซักเท่าไหร่นักเลยไม่เป็นที่แพร่หลาย
เพลงนี้กล่าวได้ว่าเป็นบทเพลงที่มักบรรเลงเปิดก่อนเพลงลำนำแหล่งพระเจ้า และเมื่อเพลงทั้งสองได้เล่นออกมาเสร็จสิ้นล่ะก็
แม้แต่คนในโลกแห่งห้วงเวลาฯบังสวรรค์ก็ยังต้องรับรู้ได้ในทันที
ด้วยการที่เพลงนี้เมื่อเล่นจะปลดปล่อยรังสีฆ่าฟันออกมาได้อย่างไม่มีสิ้นสุด
ประหนึ่งดังหมายจะทลายทรวงสวรรค์นั่นจึงถือว่าเพลงนี้แฝงเอาไว้ความมหัศจรรย์พันลึกท้าทายกฎเกณฑ์สวรรค์ที่มีต่อโลกแห่งนั้นจนแทบจะเรียกได้ว่าทำลายถึงกฎเกณฑ์ที่สวรรค์ตราประทับเอาไว้บนโลก
ต้องขอบคุณความทรงพลังของเพลงๆนี้ทำให้แม้แต่ฝีมือในระดับอ่อนด้อยของเขาก็ยังสามารถทำให้เกิดผลลัพท์อันทรงพลังออกมาได้บ้าง ไม่เช่นนั้นเขาก็คงเล่นได้แต่เสียงต๋องแต๋งกลายเป็นเพลงขยะเพลงหนึ่ง
เมื่อซูจิ้งได้เห็นที่อยู่ที่ส่งมาทางQQเขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา เขายังเล่นต่อไปเรื่อยๆ
เขาได้ใช้กระแสจิตในการขยับเม้าส์และคีย์บอร์ดเพื่อหาที่อยู่ตามข้อความที่ได้ส่งมาก็พบที่อยู่พร้อมทั้งระยะทาง
เขาต้องการจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
หลังจากที่เขาเล่นเพลงเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้รีบยืนขึ้นและเร่งออกไปในทันที “ฉันจะต้องรีบไปจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดนะ” เขาพูดกับตัวเอง
เมื่อเขาวิ่งไปถึงประตู อินทรีย์ทองได้ล่อนลงมาจากท้องฟ้า ซูจิ้งได้รีบกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันและสั่งให้มันไต่ระดับขึ้นไปในทันที ไม่นานนักมู่หรงฉิน เซียนเอ๋อและคนอื่นๆได้วิ่งตามออกมาในทันทีแต่ก็ไม่ทันได้ถามไถ่อะไรก็เห็นซูจิ้งบินออกไปไกลแล้ว ทำได้แค่คอยยืนส่งมองเห็นแค่แผ่นหลังของเขาที่กำลังขี่อินทรีย์ทองออกไป พอนึกถึงตอนที่ได้ยินว่าซูจิ้งได้ขี่อินทรีย์ทองไปช่วยคนบนเครื่องบินนั้น พวกเขาเองเมื่อได้ยินก็แค่รู้สึกประหลาดใจเฉยๆและสงสัยว่าเป็นเรื่องจริง จริงๆหรอ ไม่คิดว่าจะมาได้เห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้
ในขณะเดียวกันทุกคนที่กำลังดูการสตรีมอยู่ก็ได้รู้สึกตัวพร้อมทั้งเกิดอาการตกใจกับเพลงๆนี้
“พระเจ้า เพลงอะไรกันเนี่ย ฟังแล้วรู้สึกดีมากเลย”
“แต่ก็เป็นเพลงที่น่าสะพรึงกลัวเหมือนกันนะ ฉันเองก็เกือบจะคุกเข่าลงไปแล้วเนี่ย”
“ฮ่าฮ่า เพลงของพี่จิ้งช่างสุดยอดเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ ฉันคุกเข่าลงตั้งแต่เพลงแรกแล้ว”
“เหมือนกัน ฉันก็เคยคุกเข่ามาแล้วเมื่อครั้งก่อน ฉันไม่มีปัญหากับเรื่องนี้นะ”
แน่นอนว่ากิติศักดิ์ของเพลงนี้ได้โจษจันไปทั่วอย่างรวดเร็วผ่านทางอินเตอร์เน็ต และเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
นอกจากนั้นเพลงนำพาท่วงทำนองแห่งรักเอง ถึงแม้ว่าผลของเพลงที่ได้ฟังจากบันทึกย้อนหลังจะไม่ได้ผลเหมือนตอนที่ฟังตอนสตรีม
ถึงแม้ความเห็นของมวลชนต่อข่าวฉาวของเซียนเอ๋อจะไม่เปลี่ยนไป แต่ในครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนตรงที่เหล่าแฟนคลับของเธอได้แสดงพลังออกมาเพื่อต่อสู้เรื่องนี้อย่างพร้อมเพียง
ในเวลาต่อมาสองเพลงนี้ได้ทำให้ซูจึงได้รับความนิยมอย่างล้นหลาม
ตลอดจนทำให้แฟนคลับของเซียนเอ๋อก็ยังรู้สึกปลาบปลื้มในตัวซูจิ้งจนทำให้แฟนคลับบางส่วนกลายเป็นแฟนคลับซูจิ้งด้วยเช่นกัน
อันดับในรายการดาราของวูจิ้งเองก็ได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วประหนึ่งดังติดจรวดเลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ตามไม่มีชาวเน็ตคนไหนรู้ตัวเลยว่าในระหว่างการสตรีมได้มีรังสีฆ่าฟันอันไร้สิ้นสุดออกมาระหว่างการสตรีมด้วย
ต่อให้การทำเช่นนี้ควบคู่ไปด้วยแต่เหรียญตราเทวฑูตของซูจิ้งก็ยังได้รับพลังงานศักดิ์สิทธิ์จากแรงศรัทธามาอยู่ดี
แต่ไม่ว่าเขาจะได้มามากมายขนาดไหนก็ตามเขาไม่มีเวลาดูดซับพวกมันเลยสักนิด เพราะเขากำลังรีบเร่งมุ่งตรงไปยังที่อยู่ของศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้
GGS:บทที่ 766 ผู้มีพลัง
ซูจิ้งขี่อินทรีย์ทองอยู่เหนือหมู่บ้านหนึ่งในเมืองจงหยุน เขาได้ทำการปลดปล่อยกระแสจิตออกมาจนได้พบตึกที่คนที่ก่อเรื่องข่าวฉาวอย่างรวดเร็ว เขาได้รีบให้อินทรีย์ทองล่อนลงไปจอดบนยอดตึกนั้น
“พระเจ้า ช่างเป็นอินทรีย์ที่ตัวใหญ่จริงจัง”
“พระเจ้าช่วย ที่อยู่บนหลังมันนี่ซูจิ้งไม่ใช่หรอ เขามาทำไมที่นี่กันหล่ะ”
“ท่าทางตอนร่อนลงมาพร้อมอินทรีย์ทองนี่โคตรเท่เลยล่ะ”
“เร็วเข้า เรารีบเข้าไปขอลายเซ็นกัน”
“เอ่ออออ ฉันว่าอย่าดีกว่านะ ดูหน้าตาแล้วดูเหมือนจะไม่พร้อมกับเรื่องลายเซ็นนะ ถ้าเข้าไปตอนนี้มีหวังโดนเล่นแหงๆ”
“ก็จริงแหะ ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นปรมาจารย์ด้านการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน แถมอินทรีย์ทองนั่นก็ตัวใหญ่โคตร คงดูน่ากลัวจริงๆเวลาอยู่ใกล้ๆ”
การปรากฎตัวของซูจิ้งอย่างกระทันหันได้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนที่อยู่ใกล้ๆ
แทบจะพูดได้ว่าทั้งหมู่บ้านต่างก็รู้เรื่องนี้
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งแสดงสีหน้าไม่รับแขกแถมยังมีอินทรีย์ทองอย่างค่อนข้างๆทำให้ดูมีท่าทีน่าเกรงขามเกินกว่าจะเข้าใกล้ได้
ซูจิ้งรีบลงไปยังชั้นสี่ ตรงไปยังห้อง 402 แล้วถีบประตูเข้าไป
ในตอนนั้นลุงเจ้าของตึกได้วิ่งมาถึงพร้อมทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในทันที
เขากำลังจะอ้าปากเพื่อพูดอะไรบางอย่างแต่ทำได้แค่อ้าค้างไว้เหมือนเห็นใบหน้าอันขึงขังของซูจิ้ง
เขาไม่อยากจะโดนอัดเลยเลือกที่รีบวิ่งลงไปเพื่อโทรหาตำรวจแทน
ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจกับลุงเจ้าของตึกแม้แต่น้อย และไม่ได้พยายามที่จะหยุดเขาจากการเรียกตำรวจแต่อย่างใด
ซูจิ้งไม่ได้ออกจากห้องนั้นไปไหน เขาตรงไปยังห้องๆหนึ่งในห้องนั้นทันที
เขาเห็นชายหนุ่มร่างผอมติดกระดูกนั่งอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์
ก่อนหน้านี้เขายังคงเปิดหน้าจอสตรีมของซูจิ้งอยู่อย่างนั้นทั้งที่ไม่มีอะไรแล้วด้วยหน้าตาที่แสดงหน้าเอ๋อๆอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเขาได้ยินเสียงถีบประตูเข้ามาดังโครม
เขาก็ตื่นจากภวังค์ในทันที
เขามองไปยังข้อความที่เขาส่งคาเอาไว้ในQQ และเมื่อเห็นซูจิ้งปรากฏกายต่อหน้าเขา หน้าของเขาเปลี่ยนสีในทันที
เขารีบยืนขึ้นมาพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อออกจนชุ่ม เขาได้ถามซูจิ้งออกมาว่า “นาย นายต้องการอะไร”
ซูจิ้งไม่เร่งรีบที่จะตอบแต่อย่างใด เขามองไปในห้องอย่างรวดเร็ว สภาพในห้องค่อนข้างรก มีกลิ่นถุงเท้าโชยหึ่ง กองผ้าสกปรก และกล่องที่วางเกลื่อนอยุ่ในห้อง มีถึงขยะสองใบที่มีขยะอยู่เต็มวางอยู่ที่มุมห้อง
ถึงสภาพห้องจะเป็นอย่างนั้นแต่คอมพิวเตอร์ คีย์บอร์ด และเม้าส์ ทุกอย่างล้วนดูดี รวมทั้งคอมพกพาที่ตั้งอยู่ข้างๆเขาด้วยเช่นกัน
ถ้าแค่ดูจากสภาพบ่งบอกได้ว่าคนๆนี้เป็นเพียงคนที่ติดอืนเตอร์เน็ตธรรมดาคนหนึ่งแค่นั้นเอง ถ้าไม่ได้มีข้อมูลจากQQที่กำลังปรากฎอยู่ตรงหน้าคอมพิวเตอณืยืนยันอยู่ล่ะก็ ซูจิ้งแทบจะนึกในทันทีเลยว่าพังเข้ามาผิดห้องแน่ๆ
อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังไม่สามารถแน่ใจแน่นอนได้ว่าเขาไม่ได้โดนหลอก ชายคนนี้คือคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมดจริงๆอย่างนั้นหรอ เขาเริ่มรู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าคนนี้ใช่คนที่เขากำลังล่าตัวและส่งข้อความให้เขาจริงๆรึเปล่า ซูจิ้งได้เดินเข้าไปหาชายหนุ่มเคราดกคนนี้ที่กำลังตะคอกกลับมาที่เขาว่า “แกต้องการอะไร ทำไมแกถึงมาที่นี่ ฉันจะยอมปล่อยแกไป ถ้าแกยังกล้าเข้ามาอีกฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่นอน”
ซูจิ้งยังไม่ขยับไปไหน เขายังคงก้าวเข้าหาเด็กหนุ่มเคราดกทีละก้าว พร้อมทั้งได้ปลดปล่อยกระแสพลังจิตออกมาแบบเต็มพิกัด ในกรณีนี้เขาไม่อาจที่จะดูแคลนคนตรงหน้าเขาได้เลย โดยเฉพาะถ้าคนตรงหน้าเขาหากว่าเป็นคนที่ก่อเรื่องใส่ร้ายจริงๆล่ะก็ยิ่งไม่สามารถประมาทได้เลย
ใบหน้าของหนุ่มเคราดกใจตอนนี้เต็มไปด้วยอาการร้อนลน
ทันใดนั้นตาของชายหนุ่มเคราดกได้เหลือกจนขาวโพลน และนอกจากสิ่งนี้จะทำให้ซูจิ้งรู้สึกประหลาดใจแล้ว เขายังรู้สึกได้ว่ามีเงาบางอย่างคลื่นไหวอยู่ข้างหลังของหนุ่มเคราดก อันที่จริงซูจิ้งไม่ได้เห็นหรอกแต่เขารู้สึกได้จากสัมผัสของกระแสจิตที่เขาส่งออกมาคลุมไว้เมื่อครู่นี้ หากเป็นคนธรรมดาล่ะก็จะไม่มีทางเห็นเงาดำนี้ได้เลย
ซูจิ้งรู้สึกตกใจจนแทบไม่เชื่อเหมือนกัน ตอนแรกเขาก็นึกว่าเป็นภูตผี เขาเกือบจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเลย
แต่เมื่อเขาลองตรวจสอบด้วยกระแสจิตดีๆก็พบว่ามันเหมือนจะเป็นร่างวิญญาณมากกว่า เป็นร่างที่เกิดจากการก่อรูปของพลังจิต
รูปร่างของมันดูเหมือนคน เอาจริงๆมันก็ดูผอมๆกร่องๆเหมือนกับชายหนุ่มเคราดกติดเน็ตคนนี้เหมือนกัน
เมื่อร่างนี้ปรากฎออกมาทำให้อุณหภูมิห้องลดลงในทันที
ทันทีที่ร่างวิญญ่าณของหนุ่มเคราดกก่อตัวเสร็จ ร่างวิญญาณนั้นได้ส่งระลอกคลื่นบางอย่างออกมาก
ในเวลาเดียวกันนั้นหนุ่มเคราดกได้ตะโกนมายังซูจิ้งว่า “ซูจิ้ง แกหยิ่งผยองคนทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองทั้งที่ตัวเองไม่ใช่ดารา แต่ก็ยังทำตัวเหมือนดารา
ทำให้เหล่าหญิงสาวที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่มากมายถึงกับยอมฆ่าตัวตายเพื่อเพราะแกเลิกเรียนไปกลางคันตั้งหลายคน เป็นเพราะแกเลยทำให้…”
ร่างวิญญาณของหนุ่มเคราดกได้พูดกร่นด่าออกมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังช้ากว่าวิถีแห่งใต้หล้าของซูจิ้ง
เอาจริงเขาสามารถฆ่าหนุ่มเคราดกคนนี้ได้โดยไม่ต้องขยับตัวซะด้วยซ้ำ
แต่เขาก็ยังจ้องมองไปยังหนุ่มเคราดกอย่างสงบนิ่งไม่ไหวติงอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเองเขาก็ได้เข้าใจความสามารถทั้งหมดของชายผู้นี้
ซูจิ้งตอนนี้หันไปมองยังร่างวิญญาณที่อยู่ข้างหลังหนุ่มเคราดกแล้วพูดออกมาเบาๆว่า “นี่คือความสามารถของแกซินะ หาข้อมูลมาแล้วทำการใส่ความ
ในขณะเดียวกันก็ปล่อยพลังเข้าปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกให้คนทั่วไปเชื่อข่าวฉาวอย่างจริงจัง”
“ทำไม ทำไมแกไม่เป็นอะไรเลยล่ะ ทักษะของฉันยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไหร่ยิ่งมีผลมากเท่านั้น แล้วทำไมแกที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันถึงไม่เป็นห่าอะไรเลย”
“เพราะว่าแกอ่อนแอเกินไปยังไงล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาเล็กน้อย
ตอนนี้เขาอย่างห่างจากหนุ่มเคราดกเพียงแค่เอื้อมมือเท่านั้น
ความจริงพลังที่หนุ่มเคราดกออกมานั้นรุนแรงมาก มากกว่าตอนที่ส่งออกมาผ่านคอมพิวเตอร์และมือถือนับสิบเท่า
แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นสำหรับซูจิ้งแล้วก็ยังอ่อนแอเกินไปอยู่ดี
ต่อให้เขาไม่ได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกมาป้องกันก็ยังทำอะไรกำแพงทางจิตใจของซูจิ้งไม่ได้เลยแม้แต่ลอยขีดข่วน
ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ต้นซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังออกมาสิบสองส่วนเพื่อเตรียมพร้อมต่อสู้ตลอดเวลา
ซูจิ้งได้ก้าวเท้าด้วยความเร็วในระดับเสือชีต้า ตอนนี้เขาเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหนุ่มเคราดกในระยะประชิด
นั่นทำให้หนุ่มเคราดกหน้าเปลี่ยนสีในทันที ร่างวิญญาณของเขาได้คว้าคีย์บอร์ดที่อยู่ข้างๆมาฟาดใส่ซูจิ้ง
ถ้าเป็นสายตาของคนภายนอกในตอนนี้จะเหมือนกับอยู่ๆคีย์บอร์ดก็ลอยมาใส่ซูจิ้งอย่างแรง
ซูจิ้งยังคงจ้องด้วยสายตาที่ไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย กระแสจิตของเขาได้ชนเข้ากับคียบอร์ดจนเกิดเสียงดังสนั่นกลางอากาศจนดูเหมือนกับว่ามันได้ชนเข้ากับอะไรบางอย่างที่แข็งมากๆ
เมื่อคีย์บอร์ดระเบิดออกนั่นทำให้มือขวาของร่างวิญญาณของหนุ่มเคราดกได้กระเด็นออกมา
ในขณะเดียวกันทั้งร่างวิญญาณ และร่างจริงของหนุ่มเคราดกดูเหมือนถูกกระหน่ำโดยอะไรบางอย่าง
เหมือนกับว่าร่างวิญญาณของหนุ่มเคราดกจะไม่เหมาะกับการสู้ในระยะประชิด ด้วยความแข็งแกร่งอันแสนอ่อนด้อยแบบนี้ทำให้ถูกโจมตีได้อย่างง่ายดาย
“เอื้ออออ” ชายหนุ่มเคราดกกระอักเลือดออกมา เขามองซูจิ้งที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
เขาได้เงื้อหมัดต่อยไปยังซูจิ้ง
ซูจิ้งได้ใช้มือของเขาคว้าหมัดของหนุ่มเคราดกและได้ใช้อีกมือคว้าเข้าไปที่คอของหนุ่มเคราดกแล้วยกเขาขึ้นโดยใช้มือข้างเดียว
ซูจิ้งนั้นประหลาดใจยิ่งขึ้นเมื่อพบว่าทั้งความแข็งแกร่งทางร่างกายและพลังจิตแปลกๆนั้น
มันเหมือนกับหนุ่มเคราดกเป็นพวกบ้านั่งเล่นเน็ตไปวันๆ
ไม่ยอมทำอะไรเอาแต่นั่งกินข้าวอยู่หน้าคอมฯ
เพราะความสามารถทั้งสองช่องอ่อนด้อยซะจนบอกได้ว่าแค่เอานิ้วจิ้มทีเดียวก็ตายแล้ว
“ทำไมแกถึงโจมตีร่างวิญญาณของฉันกัน แกไม่สมควรจะทำได้สิ หรือว่าแกเป็นผู้ที่ถูกเลือกเหมือนกับฉัน”
ชายเคราดกได้มองไปยังซูจิ้งด้วยท่าทีหวาดกลัวและมองด้วยสายตาวิงวอนว่า “ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ
ฉันเพิ่งจะเริ่มทำเรื่องพวกนี้เท่านั้นเอง ถึงแม้มันจะดูรุนแรงไปหน่อยที่เป็นการเล่นกับจิตใจคน
แต่ฉันก็ยังไม่เคยก่อเรื่องร้ายแรงเลยนะ”
ซูจิ้งไม่อยากเปลืองน้ำลายอีกต่อไป เขาปลดปล่อยกระแสจิตออกมาแล้วกระแทกเข้าไปยังสมองโดยตรงเพื่อสะกดจิตเขา
กำแพงทางจิตใจของหนุ่มเคราดกสมควรจะแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปแต่ก็เท่านั้น
เพราะพลังซูจิ้งเหนือกว่าคนทั่วไปอยู่หลายขุมมากๆจึงไม่มีทางที่เขาจะทนกระแสจิตของซูจิ้งได้เลย
ทันที่ซูจิ้งสะกดจิตได้ ซูจิ้งได้ถามออกมาว่า “บอกฉันมาหน่อยสิว่าแกเป็นใครและแกได้พลังแบบนี้มาจากไหนกัน
ฉันไม่เชื่อหรอกว่าแกจะมีพลังนี้อยู่กับตัวแต่ต้นเป็นอันขาด”
มันเป็นเรื่องยากสำหรับซูจิ้งที่จะเชื่อได้ว่าคนแบบนี้จะมีพลังจิตอันแสนประหลาดแบบนี้ เขาคิดออกได้อย่างเดียวว่าจะต้องมีอะไรอยู่เบื้องหลังแน่นอน
GGS:บทที่ 767 ความจริง (1)
หนุ่มเคราดกได้ถูกซูจิ้งสะกดจิตเรียบร้อยร้อย ซูจิ้งได้ถามคำถามต่างๆไปและเขาก็ได้บอกความจริงแก่ซูจิ้งออกมาทุกประการ
เขานั้นมีชื่อว่า หยางเฉียนรุย เมื่อตอนสมัยวัยรุ่นพ่อแม่ของเขาตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ และญาติปฏิเสธที่จะอุปการะเขา
เขาจึงเลือกที่จะออกจากสังคมและไม่คิดจะกับเข้าไปยุ่งเกี่ยว ด้วยการที่เขาเป็นคนที่ไม่มีอะไรโดดเด่นและนิสัยที่เข้ากับคนไม่ได้ทำให้เขาไม่ได้เขาสังคมจริงๆมาหลายปีแล้ว
นอกจากนั้นหยางเฉียนรุยยังเป็นหนอนอินเตอร์เนต วันๆหนึ่งเขาก็จะหมกตัวอยู่แต่ในห้อง
เมื่อเข้ารู้ว่าในโลกแห่งอินเตอร์นั้นมีมืออาชีพด้านการสร้างข่าวอยู่
เขารู้สึกขึ้นมาในทันทีว่าเหล่าคนที่มีอาชีพแบบนี้ช่างดูเจ๋งซะเหลือเกิน แถมยังหาเงินจากเรื่องพวกนี้ได้อีก บางคนทำเงินได้มากกว่าคนที่ออกไปทำงานนอกบ้านซะอีก
เขานั้นจึงเรียกที่จะออกจากงานและกลายเป็นนักสร้างข่าวมืออาชีพดูบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้เงินมากมายอะไรนัก
ถ้าจะให้พูดไปแล้วสำหรับเขางานนี้ก็ถือได้ว่าเป็นงานที่ดีงานหนึ่ง
ถึงแม้รายได้จะต่ำไปหน่อย แต่ด้วยการที่เขาอาศัยอยู่แต่ในห้องที่ค่าเช่าถูกแสนถูกทั้งวันโดยไม่ต้องไปไหน
ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็มีแค่ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากิน ค่าน้ำดื่ม เขาก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่อยากได้แล้ว
แค่นี้สำหรับเขาก็พอแล้ว
เวลาส่วนใหญ่ของเขานั้นหมดอยู่ไปกับชีวิตแบบนี้ เขาไม่ชอบการพบปะผู้คน
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่เมื่อเขาเข้าไปดูในอินเตอร์เน็ตได้เห็นบางคนอวดโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ อวดแฟนสวยๆ บางคนก็อวดรถหรู นั่นทำให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาบ้าง
เมื่อไม่นานมานี้ได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งได้มาหาเขาถึงหน้าบ้าน เคาะประตูและบอกว่ามีงานมาเสนอให้ทำ ถ้าเขาผ่านการทดสอบได้จะมีรางวัลให้อย่างแน่นอน
ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วว่ามันดูไร้เหตุผลอย่างสิ้นเชิง แต่การได้เงินจากคนอื่นมันย่อมได้มามากกว่าหาเงินเองอยู่แล้ว แถมเงินรางวัลที่เขาเสนอมาก็ไม่ได้น้อยๆทำให้อยากที่จะปฏิเสธได้
และตอนนั้นเองเขาก็ไม่ได้มีเงินเหลือเก็บอะไร มีอะไรที่เขาต้องสนอีกล่ะ
เขาก็มีแต่เท้าเปล่าๆอยู่แล้ว ไม่กลัวที่จะลองสวมรองเท้าซักข้างสองข้างหรอก เขาเลยตอบตกลงไป
หลังจากนั้นเขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องที่ดำมืดอย่างน่าประหลาด
เขาตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้น เขารีบสำรวจทั่วร่างกายทันทีเผื่อว่ามีอวัยวะใดหายไปรึเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแทบจะบอกได้เลยว่าได้ไม่คุ้มเสียแน่นอนเพราะถึงจะเห็นอย่างนั้นแต่เขาก็ถือว่าเป็นคนสุขภาพดีคนหนึ่ง
ไม่นานนัก ชายวัยกลางคนคนนั้นก็ได้เปิดประตูเข้ามา พร้อมบอกว่าเขาได้ผ่านการทดสอบแล้วพร้อมทั้งโอนเงินหนึ่งแสนหยวนให้เขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อเขาเช็คดูก็พบเงินหนึ่งแสนหยวนจริงๆ อย่างไรก็ตอบชายคนนั้นไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมว่าเขาได้ผ่านการทดสอบได้ยังไง
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนได้บอกเขาว่าต้องการเปรียบฝีมือกับเขา แน่นอนว่าเขานั้นปฏิเสธไปนั่นก็เพราะว่าเขานั้นพอจะต่อกรกับคนทั่วไปได้อยู่แล้ว
กับคนๆเดียวเขานั้นไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้วและเชื่อว่ายังไงก็ชนะก็เลยบอกปัดไป
แต่ชายวัยกลางคนดูไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเลยแม้แต่น้อย เขาตรงเข้ามาโจมตีโดยหยิบมีดที่เหน็บเอาไว้มาฟันใส่เขา
หยางเฉียนรุยตกใจจนเกือบทำอะไรไม่ถูก ในชั่วขณะนั้นก็ได้มีเงาสีดำปรากฏขึ้นจากข้างหลังเขา
ทันใดนั้นชายวัยกลางคนคนนั้นหยุดในทันทีและชี้ไปที่เงานั่นพร้อมพูดขึ้นว่า
“เจ้านั่นคือหลักฐานว่านายผ่านการทดสอบแล้ว ฉันแค่ต้องการขู่นายเพื่อให้เจ้านี่ออกมาแค่นั้นเอง”
หยางเฉียนรุยถึงกับโง่งมต่อสิ่งที่เกิดขึ้น อยู่ๆทำไมเขาถึงมีเงาดำอยู่ข้างหลังได้กัน มันเป็นผีงั้นหรอ
เขาไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
นี่เขาคงไม่ได้ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไปทดลองใช่ไหมเนี่ย
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนก็ได้สอนเขาควบคุมร่างวิญญาณนั้น
พร้อมทั้งได้สอนวิธีการใช้โดยเฉพาะการใช้งานทักษะที่ชื่อว่า “บุคคลแห่งความมืด” ที่มีความสามารถในการบิดเบือนข้อมูลความจริงให้คนเชื่อในสิ่งที่เขาต้องการผ่านพลังงานที่ส่งออกมาจากร่างวิญญาณนี้
เริ่มจากการสกัดข้อมูล การอ่านอารมณ์ของข้อมูล ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของข้อมูล
เขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแค่ข้อมูลก็สามารถสื่อสารและส่งผลกระทบต่อผู้คนได้ขนาดนั้น
นึกๆไปแล้วความสามารถนี้ช่างเหมาะสมกับงานของเขาซะจริงๆ และมันยังใช้ได้ดีในยุคที่ข่าวสารแพร่ถึงได้แทบจะทุกคนแบบนี้
ชายวัยกลางคนเองก็ดูเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อยเหมือนกันเมื่อรู้ว่าร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยมีความสามารถแบบไหน
หลังจากคิดไปซักพักเขาก็เลยแนะนำแนวทางฝึกฝนทักษะนี้
โดยให้เป้าหมายในการเล่นงานกงหลิงหมิงหรือก็คือนายกของเมืองจงหยุน หากเขาทำสำเร็จจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านหยวน
เมื่อได้ยินดังนั้นมีหรือที่คนอย่างเขาจะปฏิเสธเงินก้อนโตที่รออยู่ตรงหน้าได้ เขารีบตอบตกลงในทันที
เมื่อได้ยินดังนั้นชายวัยกลางคนจึงซัดเขาจนสลบ พอดื่นขึ้นมาก็พบตัวเองอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้แล้ว
“สรุปก็คือหมอนี่ไม่รู้อะไรเลยนี่หว่า มันเหมือนกับว่าหมอนี่ได้รับพลังมาในขณะที่อยู่ในจุดวิกฤตของชีวิตแค่นั้นเอง”
ซูจิ้งถึงกับขมวดคิ้วแสดงท่าทีผิดหวังในข้อมูลที่เขาได้รับมาจากหยางเฉียนรุย พลางนึกไปว่า “สงสัยคงได้แต่ใช้หมอนี่เป็นเหยือล่อชายวัยกลางคนคนนั้นออกมาแหะ ชายคนนั้นน่าจะรู้ความจริงทั้งหมดแน่ๆ”
ทันใดนั้นเองก็ได้มีเสียงฝีเท้าพุ่งตรงมาที่ๆซูจิ้งอยู่อย่างรวดเร็ว
นั่นคือเสียงฝีเท้าของตำรวจจำนวนหนึ่งที่ตรงมาที่นี่พร้อมทั้งปืนช็อตไฟฟ้าและกระบองไฟฟ้า
แต่เมื่อพวกเขาเห็นว่าคนที่มาก่อความวุ่นวายนั้นคือซูจิ้ง พวกเขาทำได้แต่หยุดยืนตะลึง
แต่เจ้าของห้องเช่าก็ได้เข้ามาทางประตูพร้อมชี้ไปยังซูจิ้งพร้อมบอกว่า “ไอ้เนี่ยแหล่ะ”
ตำรวจส่วนหนึ่งได้แต่หัวเราะเสียงหึๆออกมา เจ้าของที่ไม่รู้จักคนๆนี้จริงๆสินะว่าเขาเป็นใครน่ะ คนๆนี้คือนายคนที่สี่ของตระกูลหวัง
แม้แต่ผู้อำนวยการของพวกเขายังเกรงใจเขาเลย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ซูจิ้งกับหัวหน้าเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ
มีหรือที่พวกเขาจะกล้าจับคนๆนี้ได้กัน
ตำรวจวัยกลางคนที่มาจากตระกูลเว่ยได้พูดด้วยใบหน้าที่เกือบจะเป็นปกติว่า “ซู เอ่ออ คุณซูผมคิดว่าน่าจะมีเรื่องเข้าในผิดกันนะ ว่าแต่คุณมาที่นี่ทำไมหรือครับ หากมีเรื่องจริงจะให้ผมตามเจ้าหน้าที่หวังให้ไหม”
ซูจิ้งพยักหน้าพร้อมพูดว่า “ให้พี่หวังมาดีกว่า”
ตอนนี้ตำรวจวัยกลางคนเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากลแล้ว
เขารีบโทรหาหวังเซียวในทันที ไม่นานนักหวังเซียวก็มาถึง
ตอนนี้หวังเซียวได้แต่ทำหน้านิ่งทำตัวไม่ถูกเพราะอยู่ต่อหน้าธารกำนัลจึงได้ถามออกมาว่า
“อาจิ้ง นายทำอะไรกันเนี่ยทำไมอยู่ๆถึงพังบ้านคนอื่นแบบนี้หล่ะ”
ซูจิ้งชี้ไปยังหยางเฉียนรุยพร้อมพูดว่า “หมอนี่คือคนที่ใส่ร้ายดาราหลายๆคน รวมถึงเพิ่งจะสร้างเรื่องใส่ร้ายผู้ว่าการเมืองมาหมาดๆนี่เอง”
หวังเซียวถึงกับนิ่งอึ้งไป เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดในทันที
เขาเองก็รู้จักผู้ว่าการเมืองในฐานะที่เขาสนิทกับตระกูลหวังเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็ไม่ได้เป็นความลับแต่อย่างใด
ในเมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหวังละก็เขาไม่แปลกใจเลยที่ซูจิ้งถึงต้องออกตัวรุนแรงขนาดนี้ ถึงเขาจะแปลกใจอยู่บ้างที่แค่เรื่องการป้ายสีเล็กน้อยแค่นี้จะส่งผลต่อตระกูลหวังได้ยังไง
หวังเซียวจ้องไปยังคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดอยู่และทำการตรวจสอบพร้อมพูดว่า “หลักฐานทั้งหมดอยู่ที่นี่ คนคนนี้คือผู้ร้ายจริงๆ นำตัวเขาไปยังกรมตำรวจก่อนดีกว่า”
ซูจิ้งพยักหน้าตอบในเชิงเห็นด้วย นั่นก็เพราะตอนที่เขามาที่นี่ทุกคนต่างรู้เรื่องนี้ดี
หากไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยละก็คงจะเป็นเรื่องแปลกแน่นอน
ดังนั้นเขาจึงยอมปล่อยให้หยางเฉียนรุยถูกจับเข้ากระบวนการยุติธรรม
ยังไงซะข้อหาหมิ่นประมาทแบบนี้จะหนักหรือเบามันก็ขึ้นอยู่กับมุมมอง
คนทั่วไปตัดสินโดยไม่รู้ความร้ายกาจในพลังจิตของหยางเฉียนรุยล่ะก็ย่อมต้องมองว่าคนๆนี้เป็นแค่คนกระจอกๆธรรมดาคนนึง โทษไม่ได้หนักหนาอะไร
หลังจากที่หยางเฉียนรุยถูกปล่อยตัวออกมาเขาจะแอบติดตามอย่างลับๆรอการติดต่อระหว่างเขาและชายวัยกลางคนคนนั้น
หวังเสี่ยวได้เดินไปยังเบื้องหน้าของหยางเฉียนรุยเพื่อใส่กุญแจมือ
ทันใดนั้น ดวงตาของหยางเฉียนรุยได้แปลเปลี่ยนเป็นสีลม เขาล้มลงไป พร้อมชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น
หวังเซียว ซูจิ้ง และคนอื่นๆตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าจนทำอะไรไม่ถูก
ซูจิ้งนั่งชันเข่าหนึ่งข้างอยู่ข้างหยางเฉียนรุยและทำการปลดปล่อยพลังสัมผัสแห่งใบไม้ฯเพื่อทำการรักษา
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
ตอนนี้เองร่างวิญญาณของหยางเฉียนรุยก็ได้เริ่มมีรอยปริแตก และอ่อนแอลงทีละน้อยทีละน้อย คล้ายๆกับว่าพลังวิญญาณหลุดออกจากร่างไปอย่างรวดเร็วทำให้สภาพร่างคงอยู่ไม่ได้จนเริ่มจะสลายไป
เหตุผลที่หยางเฉียนรุยเป็นอย่างนี้ไม่ใช่เป็นที่ร่างกายแต่เกิดจากร่างวิญญาณกำลังเสื่อมสลายนี่ถึงกับให้ซูจิ้งจนปัญญาเลยทีเดียว
“นี่การโจมตีของฉันทำให้เกิดอาการบาดเจ็บทางจิตวิญญาณขนาดนี้เลยหรอเนี่ย
ฉันควรจะไปปล่อยอย่างนี้รึเปล่านะ
ไม่สิ ถ้าเกิดเป็นเพราะฉันจริงมันควรจะแสดงอาการออกมาตั้งนานแล้ว ไม่น่าจะทิ้งช่วงนานขนาดนี้
ดูจากสภาพแล้วน่าจะเกิดจากการถูกดูดพลังวิญญาณออกไปอย่างรวดเร็วจนร่างกายรับไม่ไหวมากกว่า”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น