Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 748-763

ตอนที่ 748

 

ลางร้าย


 


ในห้องน้ำ ไคจิ้งที่เข้าห้องน้ำเสร็จแล้วและกำลังเตรียมตัวจะออกจากห้องน้ำ เขาเดินไปที่อ่างล้างมือก่อนที่จะออกไป ในตอนนั้นซูจิ้งได้เดินเข้าไปล้างมือที่อ่างข้างๆ เมื่อไคจิ้งเห็นซูจิ้ง เขาหรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาว่า “สวัสดี คุณซู”


 


“สวัสดีคุณไค” ซูจิ้งยิ้มออกมา


 


“รู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่คุณซูจำผมได้” ไคจิ้งน้อมคำนับเล็กน้อยพลางนึกไปว่าเขานั้นเข้าวงการมาก่อนซูจิ้งก็ถือได้ว่าเขาเป็นรุ่นพี่ แต่ทำไมเขาถึงได้โด่งดังน้อยกว่าซูจิ้งกัน ถ้าให้พูดตามจริงแล้วซูจิ้งไม่ใช่ดาราด้วยซ้ำ แต่ด้วยการที่เขารู้ตัวเองดีว่าภูมิหลังของเขาเลวร้ายมาก การที่สร้างสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งเอาไว้ได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเยี่ยม เพราะถ้าทำได้เขาก็จะได้ช่วยให้เขาไปได้ถึงดวงดาวอีกทางหนึ่ง เคยได้ยินข่าวมาว่ามีดาราคนหนึ่งไปสร้างปัญหาให้กับซูจิ้งจนต้องเข้าคุก และทุกวันนี้เขาก็ยังคงอยู่ในนั้นอยู่


 


“คุณไคก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ ผมเองซะอีกที่เป็นเกียรติที่ได้พบคุณ นั่นก็เพราะว่าคุณไคเองเป็นผู้ที่ได้รับความสนิทสนมจากมนุษย์แมงมุมมาอย่างยาวนาน ผมเองก็อยากรู้จักเขาเหมือนกันก็เลยอยากให้คุณช่วยเหลือผมในเรื่องนี้ซะหน่อย” ซูจิ้งพูดออกไป เขาเล่นละครโดยการถามเขาในสิ่งที่ทุกคนก็ถามเขาในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นสำหรับไคจิ้งแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร และไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าตัวจริงของมนุษย์แมงมุมคือเขา


 


“ขอโทษด้วยครับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ผมก็อยากนะแต่เพื่อนผมคนนี้ไม่อยากถูกใครรบกวน” ไคจิ้งยกมือทำท่าปางห้ามญาติก่อนที่จะบอกปฏิเสธออกมา


 


“งั้นขอถามหน่อยนะครับว่าเป็นไปตามข่าวลือจริงๆรึเปล่าที่คุณเคยเห็นหน้าจริงของมนุษย์แมงมุม” ซูจิ้งถาม


 


“ถ้าให้เล่าแล้ว ก่อนที่เขาจะถูกเรียกว่ามนุษย์แมงมุมนั้น เขาเองก็เคยเป็นเพื่อนของผมมาก่อน เคยเรียนรู้วิชาปากัวร์ด้วยกัน เขาเองก็ชอบกีฬาแปลกๆอย่างปีนเขาด้วยมือเปล่า หรือทำอะไรแบบสุดขั้ว จนทำให้ความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นถึงขีดสุด” ไคจิ้งพูดออกมาเพื่อให้ดูเหมือนว่าเป็นความจริง


 


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาเพื่ออ่านพลังวิญญาณของไคจิ้ง เขาตรวจพบได้ว่าพลังวิญญาณของไคจิ้งมีความผิดปกติอยู่โดยมันไม่เสถียรอย่างมาก นี่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นกำลังโกหกอย่างชัดเจน ซึ่งอย่างๆน้อยก็พอจะสรุปได้ว่าหมอนี่รู้เห็นเป็นใจเรื่องมนุษย์แมงมุมอย่างแน่นอน แต่ว่าไม่รู้ว่าเต็มใจหรือถูกบังคับนี่สิ


 


“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรจะระวังตัวหน่อยนะ พอนึกว่ามนุษย์แมงมุมนั้นเป็นเพื่อนของคุณ ด้วยการที่เขาเป็นฮีโร่ นั่นย่อมหมายความว่าเขานั้นมีศัตรูอยู่มากมาย และเป็นไปได้ที่คุณอาจโดนลูกหลงไปด้วย” ซูจิ้งได้ชี้แนะเขาตามสมควร เขานั้นก็ทำได้แต่หวังว่าไคจิ้งจะยอมฟังแล้วถอนตัวจากเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน


 


“หึหึ วายร้ายที่ไหนมันจะกล้ามาก่อเรื่องกันหล่ะครับ” ไคจิ้งไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแล้วเขายังตอบกลับซูจิ้งอีกว่า “ต่อให้เกิดเรื่องแบบนั้นจริง มนุษย์แมงมุมเพื่อนของผมก็ต้องมาช่วยเหลือผมอย่างแน่นอน”


 


“ก็หวังว่าอย่างนั้นนะครับ” ซูจิ้งทำได้แต่พยักหน้า เขานั้นไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปทำเพียงเดินออกมาจากห้องน้ำเท่านั้น นั่นก็เพราะว่าตอนที่กำลังคุยกันอยู่เมื่อกี้ ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตออกมาตรวจจับพลังวิญญาณของไคจิ้งตลอดเวลา แม้แต่ประโยคสุดท้ายทำให้ซูจิ้งรู้ว่าไคจิ้งมีความมั่นใจในตัวมนุษย์แมงมุมของเขา เพราะพลังวิญญาณของเขาแสดงออกถึงความเสถียร เขาเองก็อยากจะสะกดจิตให้รู้แล้วรู้รอดไปแต่เขาเองก็ไม่อยากเสี่ยงอะไรมากมายขนาดนั้น ถ้าพลาดมันไม่ดีกับทั้งตัวซูจิ้งและไคจิ้งเลยแม้แต่น้อย


 


ซูจิ้งจึงตัดสินใจที่จะเฝ้ามองไคจิ้งต่ออีกหน่อย พลางคิดไปว่าเขาอาจจะไม่ตามเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะยังซะไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่าเรื่องจะใหญ่ยังไง น่ารำคาญแค่ไหน เรื่องของพวกนั้นก็ไม่เกี่ยวกับเขา ใครก่อเรื่องอะไรไว้ก็ต้องจัดการเรื่องของตนเอง


 


เมื่อซูจิ้งกำลังเดินกลับไปที่เดิม เขาพบหลิวฉิงที่กำลังทำหน้าเศร้า เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัยเลยถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้นหล่ะนั่น”


 


หลิวฉิงเองก็ได้หันไปมองซูจิ้งพร้อมถอนหายใจยาวๆออกมา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “พี่จิ้ง พี่รู้รึเปล่าว่าพี่ทำอะไรไว้”


 


“ว่ามาสิ” ซูจิ้งถามออกไปพร้อมความสงสัยที่มากกว่าเดิม


 


“พระเจ้าทรงโปรด พี่ได้ทำให้มาตรฐานผู้ชายในสายตาของผู้หญิงเพิ่มระดับขึ้นมากกว่าที่ผู้ชายทั่วไปจะไปถึงได้เลยนะ แล้วอย่างนี้จะทำให้ผู้ชายทั่วไปมีชีวิตอยู่ได้ยังไงกัน” หลิวฉิงทำท่าสลดลง เขารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ถึงแม้ว่าการที่หยินหนิงจะรู้จักซูจิ้งนั้นโดยปกติก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะเขาจะได้มีโอกาสเข้าหาหยินหนิงผ่านซูจิ้ง แต่การที่พวกเขารู้จักกันดีนั้นมันไม่ดีเลยซักนิดเพราะนั่นทำให้รสนิยมด้านผู้ชายของเธอนั้นสูงมากๆ สูงชนิดที่เขาเองไม่มีทางเทียบติด


 


“โดนปฏิเสธงั้นหรอ” ซูจิ้งจ้องมองไปที่เฉียนหยินหนิงจากระยะไกลแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“อย่าไปพูดเรื่องเศร้าสร้อยอยู่เลยครับ เดี๋ยวผมจะไปหาคนอื่นที่อย่างๆน้อยๆก็ไม่รู้จักพี่ดีเอาดาบหน้าก็แล้วกัน” หลิวฉิงถึงปากจะพูดอย่างนั้นก็ยังคงดูเศร้าสร้อยอยู่ดี


 


ซูจิ้งเองก็ไม่ได้ให้กำลังในหลิวฉิงเพราะเขาเองก็รู้จักเฉียนหยินหนิงดี ที่เขาทำมีเพียงรู้สึกชื่นชมในทักษะด้านการมองคนของเธอก็แค่นั้น


 


ด้วยลักษณะท่าทางของหลิวฉิงนั้นถ้าเป็นการพบกันในครั้งแรก ไม่มีทางที่เขาจะจีบหยินหนิงติดได้เลยซักนิดเดียว เอาจริงๆก็เขาเองก็อยากจะแนะนำให้หลิวฉิงถอยซะดีกว่าถ้ายังถอนตัวได้อยู่


 


หลังจากนั้นซักพัก เฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงเห็นซูจิ้งเดินตรงมา เฉียนไจบิงก็เลยถามออกไปว่า อาจิ้งเราจะกลับกันแล้วนะ แล้วนายล่ะ


 


“ผมก็ว่าจะกลับแล้วเหมือนกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“ถ้างั้นเราไปกินข้าวเที่ยงกันหน่อยไหมหล่ะ” เฉียนไจบิงพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ซูจิ้งรู้สึกตกใจในทันที นั่นก็เพราะว่าพลังวิญญาณที่ไจบิงปล่อยออกมานั้นลุกโชนจนบอกได้ว่าเรื่องที่จะคุยกับเขานั้นต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆ ซูจิ้งจึงได้พยักหน้าพร้อมพูดว่า “งั้นไปกันเลยแล้วกัน”


 


ซูจิ้งเดินออกจากงานพร้อมๆกับผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน หลิวฮง หลิวฉิง เต๋าฉินจู และคนอื่นๆที่สนิทกับเขา หลังจากนั้น ซูจิ้ง เฉียนไจบิง และเฉียนหยินหนิง ไม่ได้ไปกินข้าวร่วมกับทุกคนแต่แยกออกมาแล้วไปขึ้นรถยนต์คันหนึ่ง บนรถ เฉียนไจบิงได้นำเอากล่องออกมากล่องหนึ่ง กล่องนั้นค่อนข้างใหญ่และมีจดหมายอยู่ในเต็มไปหมด ไจบิงได้พูดขึ้นว่า “อาจิ้ง ลองดูสิ่งนี้ก่อนสิ”


 


ซูจิ้งถึงกับหัวหมุนเลยทีเดียว เขาได้หยิบจดหมายขึ้นมาแล้วรีบเปิดอ่านมันอย่างไว เขาขมวดคิ้วในทันที หลังจากนั้นเขาได้เปิดโหมดวิถีแห่งใต้หล้าในห้วงจิตสำนึกของเขาขึ้นมา เขารีบอ่านมันด้วยความรวดเร็วอีกครั้งหนึ่ง เร็วจนเหมือนหยุดนิ่งจ้องมองเฉยๆ


 


“นายคิดว่าไงบ้าง” ไจบิงถาม


 


ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเซ็งๆว่า “นี่คือจดหมายที่รายงานเรื่องของฉันทั้งหมดเลยสินะ ว่าแต่พวกมันจะไปไหนต่อ” เฉียนไจบิงเลยพูดต่อว่า “ตามปกติก็จะส่งให้สถาบันป้องกันประเทศ สถาบันป้องกันภัยสาธารณะ ผู้ว่าการเมืองอะไรพวกๆนั้นหล่ะ แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วยังก็ต้องมาจบอยู่ที่สถาบันป้องกันประเทศอยู่ดี ฉันก็เลยเก็บมันเอาไว้เป็นพิเศษ ขอพูดตามตรงเลยนะ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้เห็นคนที่ถูกรายงานจากคนจำนวนมากขนาดนี้เลยทีเดียว นี่แสดงให้เห็นว่ามีคนอิจฉาริษยานายอย่างมากเลยนะ”


 


ซูจิ้งในตอนนี้รู้ในทันทีเลยว่าไจบิงต้องการจะสื่ออะไร ถึงแม้ว่าไจบิงจะเป็นทหารยศสูงที่มีอำนาจในสถาบันป้องกันประเทศแต่ก็ไม่ใช่ยศสูงสุด ในตอนนี้เขายังสามารถช่วยซูจิ้งไว้ได้แต่ มันก็อาจจะมีปัญหาบางอย่างที่ทำให้เขาไม่สามารถช่วยซูจิ้งไหวได้เช่นกันเนื่องก็เพราะผู้คนที่ส่งจดหมายรายงานมาเหล่านี้ ไม่ได้มีเพียงคนทั่วไป แต่ยังมีเหล่าคนที่มาจากตระกูลใหญ่ และคนที่มีอำนาจอยู่ในมือ


 


ด้วยการที่ว่าระบบรายงานนี้ไม่ต้องเปิดเผยชื่อของตัวเองทำให้บางคนก็ใช้ชื่อจริง บางคนก็ไม่ได้ใส่ บางคนก็ใช้ชื่อปลอม แม้แต่เฉียนไจบิงเองก็ไม่สามารถหาตัวคนส่งรายงานได้ครบง่ายๆ


 


เฉียนไจบิงเองได้พูดต่อว่า “ฉันกลัวว่าในไม่ช้าฉันจะช่วยอะไรนายไม่ได้แล้ว กลัวว่าต้องทนดูนายโดนเล่นงานเฉยๆ กลัวตะกูลหวังจะเริ่มเคลื่อนไหวหนักข้อขึ้นมา เอาจริงฉันคิดว่านายควรเลิกทำตัวเด่นดังซักพักนะ”


 


ซูจิ้งเองในตอนนี้ก็รู้สึกเห็นด้วยขึ้นมาเล็กน้อย ความจริงมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เขาจะทำตัวไม่เด่นไม่ดัง แต่ประเด็นคือถ้าเขาทำอย่างนั้นเขาจะไม่มีแหล่งพลังงานศักดิ์สิทธิ์ในการดูดซับ และไม่มีเงินจากการประมูลสมบัติ ถ้าไม่มีพลังงานและเงิน สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ก็จะไม่สามารถพัฒนาต่อไปได้ นั่นจะทำให้โลกนี้เข้าสู่ความวายป่วงได้อย่างไม่ต้องสงสับ


 


หลังจากทำท่าคิดไปซักพักซูจิ้งก็ได้ส่งจดหมายทั้งหมดคืนให้กับไจบิงพร้อมพูดว่า “นอกจากจดหมายที่เขียนชื่อเอาไว้นั้น พวกจดหมายนิรนามทั้งหลายนี่ผมขอได้รึเปล่า


 


“เธอจะทำอะไรกับพวกมันอย่างนั้นรึ” ไจบิงตกตะลึงจนต้องถามออกไป


 


“ค้นหาพวกมัน คุณก็เห็นนี่ว่าจำนวนพวกนี้น้อยกว่าจดหมายลงนามอย่างมากเลยนะ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม


 


ทั้งไจบิงและหยินหนิงเองก็ทำได้แต่เงียบกริบ พวกเขาทำได้แต่มองหน้ากันอย่างงุนงง เพราะต่างก็ไม่รู้ว่าซูจิ้งคิดจะทำอะไรกันแน่แต่ในที่สุดไจบิงก็ได้พยักหน้าพร้อมพูดว่า “จดหมายพวกนี้มันไร้ค่าน่ะ เอาไปเถอะ”

 

 

 


ตอนที่ 749

 

ความหวาดวิตกของคนไร้นาม


 


หลังจากกล่าวคำลากับไจบิงและหยินหนิงแล้ว ซูจิ้งได้กลับไปที่บ้านพร้อมกล่องที่เต็มไปด้วยจดหมาย เขานั้นไม่ได้ดูรายละเอียดของจดหมายใดๆทั้งสี้น แต่จดหมายของพวกนิรนามแบบนี้มักจะมีลายเซ็นต์อยู่ โดยจดหมายไร้นามเหล่านี้มีรูปแบบที่เหมือนกันอยู่นั่นคือ กระดาษลายนกพิราบ ถ้าไจบิงและหยินหนิงเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้คงจะต้องมึนพร้อมตกตะลึงในสิ่งที่ซูจิ้งกำลังจะทำ


 


ซูจิ้งได้หยิบขวดยาออกมาหนึ่งขวด ขวดยานี้เป็นหนื่งในห้าผงยาที่ซูจิ้งได้มาจากห้วงเวลาฯ วิถีแห่งจอมปีศาจ ในตอนแรกซูจิ้งก็ยังไม่แน่ใจในผลของยาตัวนี้ซักเท่าไหร่นักจนกระทั่งในที่สุดเขาก็พบผลทางเวทมนต์ที่ยานี้ทำให้เกิดขึ้นได้ และความวิเศษของมันเองก็ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผงยาตัวอื่นๆเลย


 


เขาค่อยๆเทตัวยาที่ละเล็กทีละน้อยจนเต็มไปทั่วทั้งฝ่ามือ หลังจากนั้นเขาก็ใช้พลังไฟเผาจดหมายไป หลังจากนั้นเขาก็ได้คลุกผงยาเข้ากับกระดาษจดหมายที่เพิ่งเผาไป ไม่นานนัก กระดาษที่เป็นผงถุลีนั้นดูเหมือนจะมืปีกงอกออกมา พวกมันรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างจนดูแล้วท่าทางแข็งแกร่งไม่น้อยเช่นเดียวกับฝูงบินที่ดูทรงอำนาจ และพวกมันทั้งหมดต่างบินไปในทางทิศทางเดียวกัน


 


ผลจากการใช้ยานี้ ในกรณีหน้าที่ของมันก็คือการทำให้สิ่งของกลายเป็นสิ่งมีชีวิตและให้พวกมันกลับไปหายังเจ้าของของตนเอง ถึงแม้ว่าจะดีขนาดนั้นแต่มันก็ยังมีข้อจำกัดคือถ้าตกถึงพื้นเมื่อไหร่ พวกมันจะเป็นกระดาษธรรมดา


 


แน่นอนว่าวิธีแบบนี้ ถึงแม้จะถูกทำลายระหว่างทางมากมายเพียงใด แต่เขายอมเสียเวลาเพื่อจัดการทุกอย่างอย่างเต็มที่ไม่ยอมให้พวกไร้นามนี้หลุดมือไปง่ายๆแน่นอน


 


หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง


 


ณ ตึกๆหนึ่งในเมืองฉิงหยุนที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้านในเมือง ในสำนักงานที่ว่าการหมู่บ้าน กระดาษเขียนจดปมายจำนวนหนึ่งได้ลอยมากองอยู่บนโต๊ะของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ชายวัยกลางคนๆนั้นรู้สึกประหลาดใจในทันที เขานั้นได้รีบเดินไปส่องดูที่หน้าต่างแต่ก็ไม่เจอใครซักคน เขาได้หยิบกระดาษเหล่านั้นขึ้นมา จัดการขยำแล้วโยนทิ้งถังขยะไปแต่ เมื่อเขาเห็นลายมือบนกระดาษกับเนื้อหาเขาก็ต้องตกตะลึงในทันที


 


นั่นก็เพราะเขาพบว่าเนื้อหาในจดหมายนั่นคือจดหมายที่เขาเขียนรายงานเรื่องของซูจิ้งไปนั่นเอง


 


“ผู้อาวุโสจางเป็นอะไรรึเปล่าครับ”


 


“เหมือนคุณไม่ดีเลย เป็นอะไรรึเปล่าครับ” ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไรอีก


เขายังคงจ้องมองไปยังจดหมายที่อยู่ในมือเขา ตอนนี้หน้าตาของเขามีการเปลี่ยนสีหน้าอย่างชัดเจน


และดูซีดเซียวไปในทันที แน่นอนว่าจดหมายที่อยู่ในมือเขาคือจดหมายที่รายงานพฤติกรรมของซูจิ้งที่เขาเขียนเองกับมือแล้วส่งให้รัฐบาล


ซูจิ้งกับเขานั้นไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวหรอกแต่เขาเพียงหมั่นไส้ซูจิ้งที่ได้ดีกว่าเขาก็แค่นั้นเอง


ที่เขาเขียนรายงานไปแบบนิรนามนั่นก็เพราะว่าเขาไม่อยากให้ซูจิ้งย้อนกลับมาเล่นงานเขาจึงปิดบังตัวตนไป


แต่ไม่คิดว่าจดหมายนี้จะกลับมาอยู่ในมือเขาอีกครั้งซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้เลย นอกจากจะไม่ดูไม่เป็นเหตุเป็นผลแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือซูจิ้งรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร นี่คือการเตือนงั้นรึ


 


ในเมืองจงหยุนนั้น กระดาษจำนวนหนึ่งได้ร่วงหล่นไปทั่ว นะหน้าแมนชั่นตระกูลซ่ง ซ่งจุนยี่ได้แต่ทำหน้างุนงงเมื่อเห็น เขาได้เดินออกมาหยิบและพบว่าลายมือในจดหมายเป็นเขาแน่นอน เขานั้นได้รับหน้าที่จากผู้นำของตระกูลจ้าวเพื่อติดตามการเคลื่อนไหว แต่ก็อยากให้ตระกูลซ่งไปทำให้ตระกูลจ้าวเริ่มรู้สึกเซ็งอีกแล้ว


 


ณ หน้าแมนชั่นแห่งหนึ่งในเมืองจงหยุน ได้มีกระดาษที่ร่วงโรยมาจากฟ้าและปลิวไปที่หน้าแมนชั่นแห่งหนึ่ง ที่นั่นคือแมนชั่นของตระกูลซ่ง ซ่งจุนยี่รู้สึกตกใจทันทีที่เห็น เขาเดินเข้าไปหยิบกระดาษฉบับนั้นขึ้นมา เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อยว่าทำไมที่หน้าแมนชั่นของตระกูลถึงได้มีกระดาษปลิวไปทั่วแบบนี้


 


เมื่อเขาลองดูข้อความที่เขียนอยู่ในกระดาษ ยิ่งทำให้เขานั้นหน้าเปลี่ยนสีไม่ในทันที


เขาจ้องมองในขณะที่มีของเขากำลังสั่นเทิ้มไปด้วยความหวาดกลัว


นี่คือจดหมายที่เขาเขียนเรื่องของซูจิ้งเพื่อรายงานไปยังภาครัฐอย่างไม่ต้องสงสัย


เขาเองก็เป็นอีกคนที่มีเรื่องขัดแย้งกับซูจิ้ง ก่อนหน้านี้เจ้าตระกูลจ้าวได้ให้เขาคอยสอดแนมซูจิ้งเอาไว้


ตอนนั้นเขายินดีพร้อมใจที่จะทำแต่ไม่ได้แสดงท่าทีออกมา เพราะถึงแม้เขาอยากจะแก้แค้นซูจิ้งมากแค่ไหนแต่ตระกูลซ่งยังไงก็ไม่เห็นด้วยกับเขาอยู่ดี


เพราะตระกูลได้ประกาศออกมาแล้วว่าห้ามใครไปก่อกวนซูจิ้งเป็นอันขาด ช่วงนั้นเขาได้สืบเรื่องทั้งหลายของซูจิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความนิยม


คนที่มีความสัมพันธ์ด้วย รวมถึงภูมิหลังชีวิตที่สืบยังไม่กระจ่างดีซักเท่าไหร่ และได้รู้ว่าซูจิ้งได้ทำให้หลายๆคนไม่พอใจ


เขาจึงได้ช่วยเหลือคนพวกนั้นนิดหน่อยโดยการรายงานในสิ่งเขารู้จากการคอยจับตาดูซูจิ้งแล้วรายงานไปยังภาครัฐแบบไม่ประสงค์ออกนามไปยังคนที่ไม่พอใจซูจิ้งรวมถึงบุคคลสำคัญต่างๆ


แต่ตอนนี้มันกลับมาอยู่ในมือของเขาอีกครั้ง


ซงจุนยี่ในตอนนี้มีสีหน้าหมองคล้ำอย่างเห็นได้ชัด เขาได้หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วโทรออกไป สิ่งที่เขากังวลได้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว ตอนนี้เหล่าผู้คนที่ได้เขียนหมายนิรนามขึ้นมาได้รับจดหมายที่พวกเขาที่เขียนกันขึ้นมาคืนอย่างทั่วหน้า และไม่มีการส่งคืนผิดคนแต่อย่างใด


 


ชายหน้ายาวคนหนึ่งกำลังทำงานอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่ง เขานั้นอารมณ์ไม่ดีอยู่ในตอนนี้นั่นก็เพราะหวังหยานปฏิเสธที่จะพบเขาและซูจิ้งก็ยังคงตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาวเช่นเคย แต่เขาก็ยังคิดว่าครั้งนี้ไม่มีใครช่วยซูจิ้งได้แน่นอน


ทันใดนั้นนกพิราบได้บินเข้ามาจากทางหน้าต่างร่อนลงมาบนโต๊ะ เขารู้สึกตะลึง และทำสายตาเบิกกว้างทันทีเขาจ้องมองไปยังตาของนกพิราบตัวนั้น


 


ในวิลล่าหรูแห่งหนึ่ง เว่ยหยินกำลังหลับไหลอยู่ นกพิราบตัวหนึ่งบินมาลงจอดอยู่บนหน้าของเขา


เว่ยหยินลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง เขาหยิบนกพิราบตัวนั้นขึ้นมาอย่างงงๆ เขาหยิบกระดาษที่นกพิราบนั้นนำมา เมื่อเขาอ่านเขารีบลุกขึ้นนั่งในทันทีเมื่อดั่งมีคนเอาน้ำเย็นมาลาดใส่หน้าเขา


 


ไม่กี่วันต่อมา เหล่าผู้คนที่เขียนจดหมายรายงานเรื่อของซูจิ้งในแบบจดหมายนิรนามนั้น พวกเขาก็ยังคงได้รับจดหมายที่พวกเขาเองเป็นผู้เขียนรายงานอยู่ทีละคนทีละคน พวกเขาต่างรู้สึกหวาดกลัวจากสิ่งที่ตัวเองทำลงไป พวกเขาไม่คิดว่าจะทำให้ซูจิ้งโกรธได้ขนาดนี้ ปกติไม่มีใครสามารถติดตามพวกเขากลับมาได้ไม่ว่าจดหมายของพวกเขาตราบใดที่ส่งไปแบบนิรนาม ไม่ว่าจดหมายที่ส่งจะสร้างความเดือดร้อนกับปลายทางยังไงก็ตาม แต่นี้เพียงไม่นานนักกลับเจอตัวซะแล้ว


 


ไม่กี่วันต่อมา ทุกคนที่รายงานซูจิ้งไปยังทางการแบบนิรนาม ต่างตกอยู่ในสภาวะจิตตกกันเป็นแถว กลัวจนกระทั้งไม่กล้าทำอะไรเลยซะด้วยซ้ำ แถมพวกเขายังกลัว กลัวว่าซูจิ้งจะเล่นงานพวกเขาถ้าหากว่าเรื่องที่เขารายงานออกไปทำให้ซูจิ้งเดือดร้อนอย่างมาก ตอนนี้พวกเขารู้สึกกังวลในเรื่องที่ทำไปแล้ว เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งรู้จักพวกเขาแล้ว เอาจริงๆพวกเขายังคิดว่าจะยังคงส่งจดหมายรายงานไปเรื่อยๆจนกว่าเรื่องจะเกิด แต่ในตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพวกเขาต่างก็ลุ้นว่า สิ่งตัวเองทำลงไปและคอยลุ้นว่าเรื่องของใครจะแจ็คพอตทำให้ซูจิ้งต้องเคลื่อนไหวจนล่าล้างตระกูล


 


ตอนนี้รายงานส่วนใหญ่ได้ถูกเก็บกลับมาอีกครั้งโดยฝึมือไจบิ้งเรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้สามารถบอกได้ว่าจำนวนจดหมายลดลงอย่างต่อเนื่อง


 


เฉียนไจบิงได้รีบโทรศัพท์หาซูจิ้งทันทีพร้อมถามออกไปด้วยความตื่นเต้นว่า “อาจิ้ง นายทำอะไรลงไปเนี่ย


ตอนนี้จดหมายร้องเรียนของนายลดลงไปถึง 80.9 เปอร์เซนต์นะ เรื่องแบบนี้ต่อให้มีนักการประชาสัมพันธ์ขั้นเทพแค่ไหนก็ยังทำไม่ได้เลย”


ซูจิ้งยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกไปว่า “เป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะเริ่มสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองทำลงไปล่ะนะ”


เฉียงไจบิงก็ยังถามต่อว่า “บอกมาเถอะน่า นายต้องทำอะไรบางอย่างแน่ๆ”


แต่ไม่ว่าไจบิงจะถามไปยังไงซูจิ้งก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดี จนสุดท้ายไจบิงจึงทำได้เพียงถอดใจเลิกถามไปเอง


หลังจากวางสายซูจิ้งได้หันกลับไปมองจดหมายที่รายงานเรื่องของเขาแบบลงชื่อผู้รายงานเอาไว้


เขารู้จักทุกคนที่รายงานเขาอยู่แล้ว และแน่นอนว่าคนพวกนั้นไม่ได้กลัวว่าซูจิ้งจะทำอะไรพวกเขาได้


ซูจิ้งเลือกที่จะไม่ได้ส่งจดหมายพวกนี้กลับไปหาเจ้าของแต่อย่างใดเพราะว่าส่งไปก็ไม่ได้ช่วยให้ข่มขู่พวกนี้ได้แม้แต่น้อย


 


ซูจิ้งจำชื่อคนทั้งหมดที่ส่งจดหมายรายงานได้แล้ว บางคนเขาจะต้องไปหาข้อมูลเพิ่มเติมซักหน่อย


แต่เขาก็ยังไม่ตอบโต้คนพวกนี้แน่นอนเพราะว่ายังไม่ถึงเวลา เขาเพียงแค่จะคอยระวังคนพวกนี้มากกว่าเดิมอีกซักหน่อย


เพราะสิ่งที่ดีที่สุดคือการที่ทำอะไรลงไปแล้วจะไม่มีสิ่งรบกวนอย่างเช่นจดหมายพวกนี้คอยกวนใจ


ถึงแม้จะมีบางคนที่เขาจะต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษก็ตาม แต่ยังไงซะเมื่อจดหมายพวกนี้ลดน้อยลงไป


แล้วพวกจดหมายที่เหลือนั้นสำหรับคนที่รายงานไปดูๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไจบิงน่าจะรับมือได้สบายอยู่แล้ว


 


อย่างไรก็ตามกว่าซูจิ้งจะเสร็จเรื่องก็ปาเข้าไปสองทุ่มเข้าไปแล้ว ก่อนที่เขาจะได้พักผ่อนเขาได้ก็ได้พบว่าตอนนี้มีเรื่องที่เกี่ยวกับเขาแพร่กระจายในอินเตอร์เนตเต็มไปหมด

 

 

 


ตอนที่ 751

 

จะทำอะไรดีล่ะ


 


เวลานั้นถึงแม้จะอยากให้มันผ่านไปอย่างช้าๆ ช้าจนอยากให้รู้สึกว่าผ่านเป็นปียังไงก็ตาม แต่ในโลกแห่งความจริงแล้วเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งชั่วโมงผ่านไปแล้วแต่มนุษย์แมงมุมก็ยังไม่ออกมา


 


เหล่าผู้คนที่ติดตามเรื่องการลักพาตัวนี้อย่างใกล้ชิดต่างเริ่มอยู่ไม่สุขแล้ว


 


“ได้ไงกัน ทำไมมนุษย์แมงมุมยังไม่โผล่ออกมาอีกล่ะ”


 


“ไม่ใช่ว่าไคจิ้งเป็นเพื่อนสนิทของมนุษย์แมงมุมหรอกหรอ ทำไมมนุษย์แมงมุมถึงไม่ออกมาล่ะ”


 


“เป็นไปได้รึเปล่าว่ามนุษย์แมงมุมจะไม่รู้เรื่องที่เกิดน่ะ”


 


“มนุษย์แมงมุมกลัวจนเป็นเต่าหดหัวไปแล้วรึเปล่า”


 


“ในความคิดฉันนะ ไคจิ้งไม่ได้รู้จักมนุษย์แมงมุมดีกว่าใครแน่นอน ไม่งั้นเขาคงออกมาแล้ว”


 


“ต่อให้ไม่รู้จักกันจริงก็ไม่ควรปล่อยให้เขาตายนะ”


 


“เอาไงดีล่ะ ดูเหมือนมนุษย์แมงมุมจะไม่ยอมมานะ” เจ้าหมิงเริ่มดูร้อนรนขึ้นมา


 


“ดูจากอารมณ์ของพวกคนที่ลักพาตัวแล้ว น่าจะเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ฉันว่าให้มนุษย์แมงมุม(ปลอมโดยตำรวจ)ออกมาได้แล้วล่ะ” หวังเซียวพูดออกมา เจ้าหมิงเลยรีบสั่งการออกไป


 


ไม่นานนัก มนุษย์แมงมุม(ปลอม) ได้ออกมาต่อปัญหาคือเขาจะทำให้คนร้ายลักพาตัวเชื่อได้ยังไง


ถ้าเป็นมนุษย์แมงมุมตัวจริงล่ะก็เขาก็คงโหนใยเข้าไปยังห้องแล้วอาจโดนบังคับให้เปิดหน้าออกมาเรื่องพวกนั้นก็ไม่เป็นปัญหาอะไรเพราะตัวปลอมของพวกเขาก็ไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว


แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดคือจะทำยังไงให้เชื่อว่ามนุษย์แมงมุม(ปลอม)ที่พวกเขาเตรียมไว้ว่าเป็นตัวจริง


เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะหาตัวคนที่มาปลอมเป็นมนุษย์แมงมุมอย่างสมบูรณ์แบบไม่ได้เพราะไอ้การที่จะให้คนทั่วไปมาโยนตัวโหนใยข้ามตึกแบบมนุษย์แมงมุมล่ะก็ร้อยทั้งร้อยต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว


เพียงแค่ตัวปลอมออกมาเท่านั้นทุกคนในโลกต่างก็ตราหน้าได้ว่าของปลอมแน่นอน


 


ซึ่งในขณะเดียวกับที่การเตรียมมนุษย์แมงมุม(ปลอม)ของตำรวจกำลังดำเนินการไปนั้น พร้อมทั้งบอกกับคนร้ายไปว่าเจอตัวแล้วแต่อาจนานหน่อยเพราะเขาอยู่ไกลทำให้ยืดเวลาออกไปได้บ้าง แต่บรรยากาศหลังจากนั้นยิ่งหนักอึ้งขึ้นไปอีก


ซูจิ้งเองในตอนนั้นยังคงอยู่บ้านและนั่งดูเหล่าแอพแชททั้งหลายที่เขามี


เขาได้คุยกับเพื่อนๆของเขาทุกคนในเรื่องที่เกิดขึ้น ซูจิ้งเองนั้นไม่อยากกลับไปใส่ชุดมนุษย์แมงมุมอีกต่อไปแล้ว


เขาจินตนาการถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นถ้าเขาใส่ชุดมนุษย์แมงมุมไปช่วยไคจิ้งล่ะก็


จะเกิดเหตุการณ์วุ่นวายเหมือนตอนที่เขาเคยใช้ชื่อมนุษย์แมงมุมมาก่อนหน้านี้เหมือนตอนที่ช่วยเหม็งเม่ยเอ๋อ จะทำให้หวังเซียวและคนอื่นๆตกอยู่ในอันตรายแน่นอน


 


แต่พอนึกถึงว่าเจ้าคนที่ลักพาตัวสองคนนี้เขายังไม่รู้ว่าเป็นใครอีก พวกมันโง่พอที่จะก่อเรื่องซึ่งๆหน้าแบบนี้จริงๆหรือจะมีคนอยู่เบื้องหลังอีกทีก็ไม่รู้ ไม่ว่าจะออกไปช่วยหรือไม่แต่เรื่องนี้ต้องเป็นกับดักอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างไม่ไคจิ้งจะอยู่หรือตายไปแล้วจะเกี่ยวอะไรกับเขา ทำไมเขาต้องเอาตัวไปเสี่ยง เขาเองก็เตือนไคจิ้งไปแล้วแต่หมอนั่นไม่ฟังเอง แล้วจะไปโทษใครได้ถ้าไม่โทษตัวเอง


 


“แ-งเอ้ย ป่านนี้แล้วมนุษย์แมงมุมก็ยังไม่โผล่หัวมาอีก” คนร้ายเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมา


 


“ไอ้หนู มนุษย์แมงมุมเพื่อนแกเป็นเต่าหดหัวไปแล้วรึไงกัน ป่านนี้ยังไม่มาอีก” คนร้ายอีกคนได้ตะคอกถามอย่างอารมณ์เสีย ดูเหมือนเขาเองคงต้องเติมเชื้อไฟอะไรซักหน่อยแล้ว


“รอ รอเขาอีกหน่อยนะ เขาต้องมาแน่นอน” ไคจิ้งเริ่มร้องไห้ออกมาจนเห็นเป็นน้ำตามไหลพราก ใบหน้าของเขาในตอนนี้ซีดขาว แต่ตากับแดงกล่ำและท่าทีรนลานอย่างมาก ตอนนี้เขาได้แต่ภาวนาขอให้มนุษย์แมงมุมยอมปรากฎตัวเพื่อช่วยเขา เขาก่อนยังมาเลย หวังได้เพียงมนุษย์แมงมุมจะยอมออกมาช่วยเขาอีกทีหนึ่ง


 


“ไม่คอยหว่ะ ฉันจะฆ่าแกเดี๋ยวนี้แหล่ะ” พูดจบ คนร้ายที่ถือปืนก็ได้หันปืนไปที่ไคจิ้งทันที


 


“ไม่ อย่า ได้โปรด ฉันบอกความจริงก็ได้ ฉันไม่รู้จักมนุษย์แมงมุมหรอก ฉันแค่อยากจะเกาะเขาดังแค่นั้นเอง ฉันรู้แล้วว่ามันผิด ปล่อยฉันไปเถอะนะ” ไคจิ้งร้องไห้จนหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเขียวจนคล้ำ เขารู้แล้วว่าได้ก่อปัญหาใหญ่จนไม่มีปัญหาใดในชีวิตเทียบได้เลย


 


“ห้ะ ก่อนหน้านี้แกบอกว่าแกรู้จักตอนนี้แกก็บอกว่าไม่รู้จักเอาง่ายๆแบบนี้แล้วจะมีคนเชื่องั้นรึ” คนร้ายลักพาตัวคนหนึ่งได้ตบไปที่หน้าไคจิ้งดังแปะๆในขณะที่พูดออกมา


 


“เอาเหอะ ไม่ว่าแกจะบอกอะไรมาก็ไม่สำคัญ เรื่องในตอนนี้มันมาไกลไปมากแล้ว ไม่ว่ายังไงพวกฉันก็จะใช้แกเป็นตัวประกันอยู่ดี ถ้าหมอนั่นไม่มาก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่เลย ตอนนี้ก็รอต่ออีกซักครึ่งชั่วโมงละกัน แล้วมารอดูกันว่าถ้ามันไม่มาล่ะก็ แกก็เตรียมตั๋วเที่ยวชมเมืองนรกได้เลย” คนร้ายอีกคนหนึ่งพูดขึ้นมาด้วยหน้าตาที่แสนบ้าคลั่ง


 


เมื่อคนร้ายตัดสินใจว่าจะยืดเวลาไปอีกครึ่งชัวโมง เหล่าตำรวจเองก็เริ่มเตรียมการแล้วเหมือนกัน นักแม่นปืนเองก็ได้ทำการส่องปืนไปยังเป้าหมายด้วยสายตาที่ไม่กระพริบ แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมงมนุษย์แมงมุมก็ยังไม่ปรากฎตัว คนร้ายก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


“ฮ่าฮ่า ในที่สุดมนุษย์แมงมุมมันก็แค่เต่าหดหัว เราชนะแล้ว”


 


“ฟังให้ดีนะ ไคจิ้ง แกตายเพราะมนุษย์แมงมุม เป็นแกที่ฆ่าไคจิ้ง แกไม่ใช่ฮีโร่อะไรนั่นหรอก แกมันก็ฆาตกรดีๆนี่เอง”


 


“ไม่ดีแล้ว” หลังจากได้ยินคนร้ายลักพาตัวทั้งสองคนตะโกนลั่นห้อง ไคจิ้งถึงกับหน้าเปลี่ยนสีในทันที และพวกตำรวจเองก็เช่นกัน อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีใครรู้ตัวได้มีเสียงปืนดังขึ้นที่ยอดตึก ปัง หัวของไคจิ้งมีรูกระสุนปูนหนึ่งนัด สายตาของเขาเปิดกว้างในทันที และเขาได้ตายลงในขณะที่ตายังไม่หลับด้วยซ้ำ


 


ปัง ปัง นักแม่นปืนเองก็ได้ยิงไปคนร้ายลักพาตัวทั้งสองในทันที แม้แต่คนที่กำลังติดตามดูเหตุการณ์อย่างใกล้ชิดต่างก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ชาวเนตไม่คิดว่าเหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นมา พวกเขาต่างก็ไม่คิดว่ามนุษย์แมงมุมจะไม่ยอมมาปรากฎตัวเลยซักนิดตั้งแต่ต้นยันจบแบบนี้


 


“พระเจ้า สรุปว่ามนุษย์แมงมุมกลายเป็นเต่าหดหัวไปซะอย่างนั้น”


 


“ฉันก็คิดมาว่าเขาเป็นฮีโร่มาตลอดเลยนะไม่คิดว่าเขาจะปล่อยให้เพื่อนเขาตายแบบนี้”


 


“ฉันคิดว่าคงมีคนเข้าใจผิดกันบ้างหล่ะนะ”


 


“สงสัยว่าคนพิมข้อความข้างบนต้องไปวัดไอคิวหน่อยแหะ ไคจิ้งเป็นบอกเองว่าเขากับมนุษย์แมงมุมเป็นเพื่อนกัน มันหมายถึงว่าเขาเป็นเพื่อนกันนะ ”


 


“เออออออ ก็ใช่ แต่ว่าฉันว่าไคจิ้งแค่เกาะมนุษย์แมงมุมดังเฉยๆ แกไม่เห็นหรอว่าไคจิ้งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นมาทันทีที่เขาบอกทุกคนเรื่องนี้ แล้วตอนนี้เขาก็ตายด้วยเรื่องนี้จะไปโทษใครได้”


 


“ก็จริงนะ ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงแล้วไม่ยอมออกมาช่วยแบบนี้ นายมีเพื่อนแบบนี้ด้วยหรอ”


 


“เฮ้ คนตายทั้งคนนะ อย่ามาทำเหมือนเขาสมควรตายสิ”


 


“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ในเมื่อมนุษย์แมงมุมไม่ยอมออกมา นับแต่นี้ฉันจะไม่คิดว่าเขาเป็นฮีโร่อีกต่อไป”


 


ทุกคนในตอนนี้เมื่อเห็นว่านาลันเฟยและเลาชงเองก็มาเคลื่อนไหวแล้วต่างก็ไม่คิดว่าทั้งสองจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้แบบนี้


นั่นก็คือทั้งสองได้มาอธิบายเหตุการณ์และชัดเจนในจุดยืนของทั้งคู่ว่ายืนอยู่ข้างมนุษย์แมงมุม


เหตุผลก็เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของมนุษย์แมงมุมเลยซักนิด


ถ้าพูดถึงสาเหตุของเหตุการณ์นี้จริงๆ ต้นเหตุมาจากไคจิ้งเองทั้งหมด


ทั้งๆที่รู้ความเสี่ยงนี้แต่ก็ยังทำทั้งๆที่เคยได้รับคำเตือนแล้วก็ยังเลือกที่จะเสียง พอผิดพลาดขึ้นมาแล้วมาโทษมนุษย์แมงมุมมันไม่ถูกต้องเลยซักนิด


แต่ยังไงซะสำหรับคนจีนแล้วเรื่องคนตายถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ว่าคนที่ตายจะเป็นคนเล็กๆแค่ไหนก็ตาม เรื่องแบบนี้ก็ยังเป็นข่าวแพร่ไปได้ทั่วอยู่ดี


 


แน่นอนอย่างที่สุดที่ต่อให้คนที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้จะไม่พูดอะไรอีก แต่เป็นที่นอนว่าเหล่าแฟนคลับของพวกเขาจะพูดเรื่องนี้ไปอีกนาน ต่อให้เหล่าผู้คนที่ยืนอยู่ข้างมนุษย์แมงมุมไม่ทำอะไรแต่เรื่องนี้ก็จะเป็นที่พูดถึงอยู่ดี


 


“ดูเหมือนว่าการจะเรียกให้มนุษย์แมงมุมออกมาปรากฎตัวนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ” ณ ยอดตึกสูงที่อยู่ข้างๆไม่ไกลนัก มีชายสองคนกำลังพูดคุยกันในขณะที่เกิดเหตุการณ์ไคจิ้งถูกฆ่า โดยคนหนึ่งกำลังส่องกล้องส่องทางไกลไปยังตึกเพื่อสังเกตุการณ์


 


“มันไม่มีทางง่ายอยู่แล้วหล่ะน่า ฉันก็ไม่ได้หวังกับเรื่องนี้มากนักหรอก ฉันก็แค่อยากลองดูแล้วก็อยากจะหาเป้าหมายที่ดูเป็นไปได้สำหรับครั้งถัดไปแค่นั้นเอง มานี่ ลองดูนี่สิ” ชายวัยกลางคนอีกคนเรียกให้อีกคนมาดูกล้องที่กำลังสอ่งไปยังที่ๆหนึ่งอยู่


 


“ประชิดเป้าหมาย” ชายคนที่อยู่กับกล้องส่องทางไกลได้พูดบางอย่างผ่านไมโครโฟน ทันใดนั้น บริเวณหลังคาบนตึกโดยรอบ แม้แต่บนถนน และในรถกันกระสุนก็ได้มีคนพูดออกมาอย่างพร้อมเพรียงว่า “ครับ”

 

 

 


ตอนที่ 752

 

กีดกัน


 


ไคจิ้งที่ถูกลักพาตัวได้ตายลงไปแล้ว ตำรวจเองก็เริ่มเข้าไปตรวจสอบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ประชาชนที่เห็นเรื่องนี้ผ่านอินเตอร์เนตเองก็นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นร้อนพูดคุยกันอย่างบ้าคลั่ง


 


ในช่วงที่เกิดเหตุนั้นไม่มีใครได้สังเกตเลยสักนิดว่า ในห้องที่เกิดเรื่องมีแมลงปอตัวหนึ่งกะอยู่บนต้นปาล์มที่อยู่ในกระถาง หลังจากที่ทั้งสามคนตายไปแล้วแมลงปอตัวนั้นได้บินออกนอกหน้าต่างไป และมันได้บินตรงกับไปยังเมืองฉิงหยุน


รวมถึงบริเวณอื่นๆที่อยู่ใกล้เคียงก็ล้วนแล้วแต่มีแมลงปอบินออกมาและตรงไปที่เมืองฉิงหยุนเช่นเดียวกัน


 


ในขณะเดียวกันที่บ้านของซูจิ้ง ซูจิ้งกำลังมองไปที่จอคอมพิวเตอร์อยู่ หน้าจอคอมพิวเตอร์หนึ่งจอที่อยู่ตรงหน้าคือภาพที่ได้มาจากแมลงปอหนึ่งตัวที่บินไปสำรวจที่เกิดเหตุก่อนหน้านี้ และก็มีอีกจอหนึ่งที่เป็นหน้าจอที่เต็มไปด้วยภาพข้อความที่ชาวเน็ตกำลังพูดคุยกันอยู่


 


ซูจิ้งตั้งใจมองไปยังข้อความที่ชาวเน็ตกำลังถกเถียงกันอยู่ หลังจากนั้นเขาก็ปิดหน้าจอและเลิกที่จะสนใจข้อความเหล่านั้น


ไคจิ้งถูกจับไปแล้วเขาต้องไปช่วยด้วยงั้นหรอ คิดว่าเขาเป็นตัวอะไรกันแน่


เขายังไม่คิดว่าตัวเขาเองเป็นฮีโร่เลยแล้วทำไมถึงยัดเยียดเรื่องแบบนั้นให้เขา


เขาเองนั้นก็ไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นอยู่แล้ว ใครจะเป็นก็เป็นแต่เขาไม่เป็นแน่นอนฮีโร่ที่ต้องวิ่งเต้นตามคนอื่นเนี่ย


 


ซูจิ้งพึมพำออกมาเบาๆว่า “ถ้าดูจากภาพที่แมลงปอถ่ายมาได้แสดงว่าเหตุการณ์นี้ต้องเป็นกับดักอย่างไม่ต้องสงสัย เจ้าคนร้ายสองคนนี่สมควรเป็นตัวหมากตัวหนี่ง และต้องมีผู้สังเกตุการณ์คอยจับตาดูจำนวนมากแน่นอน”


ซูจิ้งได้ประเมินแล้วเรียบร้อยว่าคนกลุ่มที่ก่อเรื่องในครั้งนี้จะต้องเป็นพวกกองโจรเกล็ดงูกลุ่มสุดท้ายอย่างแน่นอน


เหตุการณ์นี้สมควรจะสร้างขี้นมาเพื่อหาเบาะแสของเขาในฐานะมนุษย์แมงมุมอย่างไม่ต้องสงสัย


และยังมีความเป็นไปได้อีกที่ว่าพวกนี้จะก่อเรื่องแบบนี้อีกในอนาคต สงสัยเขาต้องจัดการเรื่องนี้ในฐานะคนนอกซะแล้ว


 


ครั้งสุดท้ายที่ได้ปะทะกองโจรเกล็ดงูเขานั้นได้จับหัวหน้ากลุ่มได้และทำการสะกดจิตไป


แต่ตอนนี้เจ้าหัวหน้ากลุ่มนั้นก็ไม่ได้มีท่าทีจะเตือนเรื่องนี้แสดงว่าองค์กรนี้สมควรมีความซับซ้อนมากกว่าที่เขาคิดเอาไว้


ต่อให้จัดการกองโจรกลุ่มนี้ได้แต่ก็ควรจะมีขุมพลังอื่นที่อยู่เบื้องหลังกองโจรนี้อีก


ฉะนั้นเขาจำเป็นต้องรู้ความเกี่ยวข้องทำหมดของขุมพลังที่เกี่ยวข้องกับกองโจรกลุ่มนี้ก่อนที่จะกวาดล้างให้สิ้นซาก


 


ซูจิ้งไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้มากมายอะไรเพราะเขายังไม่รู้สึกถึงภัยคุกคามจากเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะไม่ว่าจะเป็นปืนผาหน้าไม้อะไรก็ตามไม่มีทางทำอันตรายเขาได้โดยง่าย


สิ่งที่เขากังวลที่สุดก็คือความปลอดภัยของคนใกล้ชิดและพ่อแม่ของเขาเท่านั้น ซึ่งคนเหล่านี้แน่นอนว่ามีคุณค่ามากกว่าคนงี่เง่าทำอะไรไร้สาระแบบนั้น


 


ตอนนี้ใครอยากจะหาเรื่องมนุษย์แมงมุมมากนักก็ทำต่อไปแล้วกัน เขาไม่ได้สนใจอยู่แล้วเพราะยังไงซะมันก็แค่ฉากบังหน้าอันหนึ่งของเขาแค่นั้นเอง ตราบใดที่ยังไม่มีใครที่ใกล้ชิดกับเขาเดือดร้อนก็ไม่ใช่ปัญหา


 


ในโลกอินเตอร์เนตต่างพูดคุยเรื่องเหตุการณ์ลักพาตัวที่เกิดขึ้นอย่างร้อนแรง ชนิดที่เป็นประเด็นถกเถียงกันแบบข้ามวันข้ามคืนชนิดที่ทำให้หลายคนถึงกับนอนไม่หลับเพราะคุยกันเรื่องนี้ แต่กับซูจิ้งเขานอนหลับได้อย่างสบายใจ แต่เขาก็ไม่คิดว่าพอตื่นขึ้นมาแล้วเรื่องราวนี้ก็ยังไม่จบ ถามยังลามไปถึงวงการบันเทิงอีกต่างหาก ตอนนี้เหล่าผู้คนในวงการบันเทิงต่างก็ทำการขึ้นบัญชีดำ(แบนด์)นาลันเฟยและเลาชงเรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งหยิบสองคนนี้มาเป็นหัวข้อพูดคุยกันอย่างบ้าคลั่ง


 


“อะไรกัน เกิดอะไรขึ้นกับนาลันเฟยและเลาชง”


 


“นายไม่รู้หรอว่าผู้จัดการของซ่งเตียนเอ็นเตอร์เทนเมนท์เป็นลุงของไคจิ้ง เขาเป็นคนที่พยายามจะผลักดันไคจิ้งในวงการบันเทิงมาตลอด แม้ว่าทั้งฝึมือและชื่อเสียงจะไม่ได้ความแม้แต่น้อยก็ตามที เรื่องในครั้งนี้ทำให้ไคจิ้งตายไปนั่นทำให้ตระกูลไคถึงกับบ้าคลั่งถึงขนาดจะแจ้งความจับมนุษย์แมงมุมเลยนะแต่ตำรวจไม่รับแจ้งเพราะเหตุผลมีไม่พอ พอสองคนนี้ออกมาปกป้องมนุษย์แมงมุมอย่างเต็มที่แถมยังโจมตีการกระทำของไคจิ้งประมาณว่าสมควรแล้วด้วย จะไม่ทำให้ตระกูลไคโกรธได้ยังไง”


 


“ได้ข่าวมาว่าตระกูลไคถึงกับกดดันสื่อต่างๆให้ขึ้นบัญชีดำทั้งสองคนเลยนะ”


 


“ดาราที่มีสังกัดเป็นของตัวเองก็ยังพอว่า แต่นาลันเฟยหล่ะเป็นยังไงบ้าง เธอน่าจะได้ผลกระทบเรื่องงานไม่น้อยเลย”


 


“ได้ยินมาว่านาลันเฟยโดนดีดออกจากสังกัดเรียบร้อยแล้วนะ ตอนนี้เธอพยายามจะตั้งสังกัดของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นสังกัดของเธอจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับจงเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์แม้แต่น้อย”


 


“นาลันเฟยและเลาชงไม่น่าออกมายุ่งเลยน้า”


 


“แต่ฉันสนับสนุนพวกเขานะ มนุษย์แมงมุมได้ช่วยชีวิตพวกเขาไว้เลยนะ ถ้าเป็นฉันฉันก็จะออกมาพูดเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นมันก็เป็นความจริงด้วยที่เรื่องนี้จะไปโทษมนุษย์แมงมุมไม่ได้ ไม่ว่ายังไงแฟนคลับของพวกเขาเองก็เห็นพ้องกับเรื่องนี้และจะสนับสนุนพวกเขาให้ถึงที่สุดเหมือนกัน”


 


“อย่าอ่อนต่อโลกไปหน่อยเลยน่า ถ้าเกิดโดนขึ้นบัญชีดำแบบนี้ นายจะไปสนับสนุนพวกเขาได้ยังไง ถ้าโดนขึ้นบัญชีดำจากทุกสื่ออย่างนี้ บอกได้เลยว่าไม่มีทางที่เราจะให้เห็นทั้งสองคนอีก”


 


“พวกเขาสมควรได้รับผลจากการเลือกข้างแล้ว ครั้งนี้เป็นมนุษย์แมงมุมที่ผิดเห็นๆ ก็ถูกแล้วนี่นา หากพวกเขายังคงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับมนุษย์แมงมุมพวกเขานั้นเลือกข้างผิดแล้ว พวกเขาสมควรถูกกีดกันแบบนี้แล้วหล่ะ”


 


หลังจากเห็นข่าวนี้แล้วซูจิ้งถึงกับคิ้วขมวดในทันที เขาเองก็ไม่คิดว่าเรื่องทั้งหมดจะออกมาในรูปแบบนี้


เขาเองก็มีความสัมพันธ์อันดีกับเลาชงแค่ในระดับหนึ่ง เขาก็คิดว่าเลาชงนั้นถือว่าคบหาได้พอสมควร พอเห็นอย่างนี้เข้าทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนเป็นดีขึ้นอย่างมาก


สำหรับนาลันเฟยนั้นยิ่งแล้วใหญ่ ต่อให้เธอจะเคยพูดจาถากถางมนุษย์แมงมุมอยู่บ้างแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเรื่องอื่นเธอดีอยู่แล้ว


แต่เขาก็ไม่ได้คิดว่าทั้งสองคนจะออกมาประกาศตัวว่ายืนอยู่ฝั่งมนุษย์แมงมุมอย่างนี้ การที่ทั้งสองไม่ห่วงชื่อเสียงแล้วยังคงยืนอยู่ข้างมนุษย์แมงมุมเพราะมันถูกต้องแบบนี้ทำให้เขารู้สึกดียิ่งขึ้น


นี่ทำให้ซูจิ้งเองทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้อีกต่อไป แถมเขาเองก็ค่อนข้างจะเกลียดขี้หน้าไคจิ้งแบบสุดๆ


 


ซูจิ้งลองนึกหาวิธีช่วยเลาชงและนาลันเฟยอยู่ซักพัก ในเมื่อเรื่องทั้งหมดนี่มาจากซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมน ในสายตาของคนทั่วไปและดาราแล้วบริษัทนี้เป็นบริษัทใหญ่ยากจะต่อกรแต่สำหรับตระกูลหวังนั้นบริษัทนี้มีค่าไม่เท่ากับการผายลมเลยซักนิด


 


อย่างไรก็ตามเขานั้นก็ยังนึกไม่ออกว่าจะช่วยยังไงได้เขาจึงได้โทรหาหวังจ้าว แต่คนที่รับสายเป็นผู้ช่วยของเขาแทน ผู้ช่วยได้บอกซูจิ้งว่าหวังจ้าวกำลังคุยงานกับคนอื่นอยู่ ถ้าเขาคุยเสร็จจะให้รีบโทรหา


ทันใดนั้นต้ามู่และเสี่ยวมู่ก็ได้ตะโกนออกมาบอกว่า “มีแขกมา มีแขกมา ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”


“ชายหนึ่งหญิงหนึ่งหรอ…” ซูจิ้งพึมพำออกมาเล็กน้อยพลางติดไปว่าเช้าอย่างนี้จะมีใครมากัน เขาได้เดินลงไปเปิดประตู ทันทีที่เขาเปิดประตูไปก็เห็นชายและหญิงวัยกลางคนยืนอยู่หน้าประตู เมื่อเขาได้เห็นหน้าผู้หญิงชัดๆเขาถึงกับต้องยืนนิ่งไปนั่นก็เพราะผู้หญิงคนนี้คือคนที่ออกป่าว่าอยากจะได้ทารกรากไม้ในงานเปิดตัวของอาวุโสเซี่ย


 


“ขอโทษนะคะคุณซู วันนั้นฉันยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ดิฉันชื่อหลี่ฉิน ส่วนนี่สามีของฉันหลิวชานเฟิง” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“สวัสดีครับคุณซู ต้องรบกวนจริงๆนะครับ” ชายวัยกลางคนพูดด้วยท่าทีสงบ


“เข้ามาก่อนครับ” ซูจิ้งพูดออกมาต่อว่า “แล้ววันนี้พวกคุณมาเยี่ยมนี่เพราะ…”


“คุณซูดิฉันเองก็ไม่อยากจะรบกวนคุณมากขอพูดเข้าประเด็นเลยก็แล้วกัน


หลังจากวันนั้นที่ฉันเห็นทารกรากไม้นั่น ฉันก็ยังคงวนเวียนไปมองเด็กนั่นอยู่ทุกวัน


แล้วฉันก็เก็บมาคิดถึงบ่อยว่าทารกรากไม้นั่นต้องมีสายสัมพันธ์อะไรซักอย่างกับฉัน


อาจเป็นสัญญาณบางอย่างจากสวรรค์ที่ทำให้ฉันตั้งท้องกับสามีของฉันก็ได้


คุณซูได้โปรดเถอะค่ะ ฉันขอเขาไปดูแลได้รึเปล่า” หลีฉินพูดออกมา พลางก็ได้ดึงชายเสื้อของหลิวชานเฟิงไปด้วย


“คุณซู ได้โปรดเถอะครับ คุณสามารถเสนอราคามาได้เลย” หลิวชานเฟิงเองก็ขอร้องออกมาทั้งๆที่สีหน้าของเขาไม่อยากเลยสักนิด


ความจริงเขาไม่ใช่ว่าจะไม่อยากมีลูกหรอก แต่เขาไม่เชื่อว่าทารกรากไม้นั่นจะทำให้เขามีลูกได้แค่นั้นเอง แต่ภรรยาของเขาก็รบเร้าจนเขาจำเป็นต้องทำตาม


ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเธอไม่ท้องขึ้นมาจริงๆจะเก็บเรื่องนี้ไปทะเลาะกันอีกนานแสนนานแน่นอน


เขาเลยต้องจำใจคิดให้ได้ว่าต่อให้ทารกรากไม้นี้ไม่ช่วยเขาให้มีลูกได้จริงๆแต่มันเป็นของหายากอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว มีไว้ในการครอบครองก็ใช่ว่าจะเสียหลายอะไร เขาจึงยอมมาได้


 


“คุณนายหลี่นี่ช่างจิตใจยึดมั่นจริงๆ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก หญิงคนนี้ต้องการมีลูกมากจนถึงขั้นอยากได้ทารกรากไม้ไปจริงๆ แต่มันจะช่วยพวกเขาได้จริงๆงั้นหรอ


 

 

 


ตอนที่ 753

 

เบื้องหลังที่ยากหยั่งถึง

เบื้องหลังที่ยากหยั่งถึง


 


ซูจิ้งพอนึกถึงความเอาแต่ใจตัวของหลี่ฉินแล้ว พอเขาได้เห็นความอยากมีลูกของเธอเข้าไปด้วย ทำให้เขาเริ่มคิดไปว่าเขาเองควรจะปฏิบัติตนต่อทารกต้นไม้นั่นยังไงดี


 


“คุณนายหลี่ครับ นี่คุณต้องการเป็นเพราะคุณอยากมีลูกจริงๆงั้นหรอเนี่ย” ซูจิ้งได้ถามย้ำออกมาอีกครั้ง ถ้าเธอพยายามโกหกเพื่อจะได้ทารกรากไม้นั่นล่ะก็เขาจะไม่สนใจเธอซักนิดเดียว


 


“แน่นอนค่ะ อย่าหัวเราะฉันเลยนะคะ ถ้าคุณอายุล่วงเลยมาจนถึงอายุสามสิบไม่ก็สี่สิบแบบฉันล่ะก็ เรื่องการมีลูกไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาพูดกันเล่นๆได้หรอก” หลี่ฉินพูดออกมา


 


“ถ้าคุณต้องการจะมีลูกจริงๆ คุณก็ควรจะหาทางอื่นที่จะเอาแต่จ้องทารกรากไม้นี่นะครับ ผมไม่คิดว่าแค่นี้จะทำให้คุณท้องได้หรอก” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“แต่ฉันคิดอย่างนั้นจริงๆนะคะ” หลี่ฉินพูดออกมา


 


“คุณนายหลี่ครับ ฟังผมดีๆนะ อย่างแรกทารกรากไม้นั้นไม่สามารถช่วยคุณได้หรอก ที่ผมไม่ยอมขายให้นั่นก็เพราะว่าผมนั้นไม่อยากให้คุณต้องเสียเงินไปเหล่า


ต่อให้ผมยอมขายให้คุณโดยไม่นำออกประมูลล่ะก็ ยังไงซะมันก็ไม่ดีกับเราทั้งสองฝ่ายอย่างแน่นอน อีกอย่างผมก็มียาจีนดีๆที่ช่วยให้คุณตั้งท้องได้ คุณคิดว่าอยากจะลองหน่อยรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมา


 


หลี่ฉินและหลิวชานเฟิงเองได้แต่นิ่งเงียบไป ยาจีนที่ช่วยให้ตั้งท้องได้งั้นรึ นี่เขารู้ใช่รึเปล่าว่าพูดอะไรออกมา พวกเขาเองก็เลยลองพูดหยั่งเชิงดูนิดหน่อยโดยหลิวชานเฟิงได้พูดขึ้นมาว่า “คุณซู พวกเราเองก็ได้ทานยาจีนไปหลายขนานแล้วแต่มันก็ไม่ช่วยอะไรเลย”


 


“ยาจีนของผมนั้นไม่เหมือนยาจีนทั่วไปอย่างแน่นอนครับ ผมเคยลองใช้มาสองรอบแล้วมันได้ผลดีเกิดคาดด้วยซ้ำ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ


 


“จริงๆหรอคะ” หลี่ฉินจ้องมองด้วยสายตาอันเป็นประกาย


 


“ผมก็ไม่แน่ใจว่าคุณจะพอรู้จักกันรึเปล่านะ คนหนึ่งนั้นก็คือเจียงหนี่ อีกคนเป็นป้าของฉีหยู” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบง่าย


 


“เจนนี่งั้นหรอ ฉันรู้จักเธอนะ พระเจ้า เธอท้องเพราะว่ายาของคุณนี่เอง” หลี่ฉินรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที


เธอนั้นได้เข้าไปอยู่ในกลุ่มแชทของผู้หญิงที่มีบุตรยากทำให้เธอได้รู้จักเจียงหนี่


เธอรู้ว่าเจียงหนี่นั้นหมดหวังในเรื่องการมีลูกยิ่งกว่าเธอซะอีก


ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือสภาพร่างกายของเธอไม่พร้อมมีลูกเลยที่สุดในกลุ่มแล้ว แต่หลังจากนั้นไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงได้ตั้งท้องขึ้นมาแถมยังเป็นครรภ์ที่สมบูรณ์อย่างดีด้วยซ้ำ


นั่นทำให้เธออิจฉาจนเธอและทุกคนต่างถามเจียงหนี่เป็นการใหญ่ถึงความลับที่ทำให้เธอท้องขึ้นมา


แต่เจียงหนี่เองก็ปฏิเสธที่จะบอก นั่นทำให้หลายๆคนคิดจะเลิกเป็นเพื่อนกับเธอไปเลย


แต่เจียงหนี่ก็ยังยืนกรานว่าจะไม่บอก ไม่ใช่ว่าเธอไม่เข้าใจในความรู้สึกที่อยากมีลูกแต่ไม่มีหรอก


เธอเองก็อยากจะนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศให้ทุกคนที่อยากตั้งครรภ์ได้รู้ไว้แต่เป็นซูจิ้งที่ไม่ยอมให้เธอบอกเรื่องนี้กับใคร เธอจึงทำอะไรไม่ได้ได้แต่เก็บงำไว้ในใจ


แม้แต่ป้าของหลินฉีหยูที่มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับซูจิ้งยิ่งกว่าเธอก็ยังถูกสั่งห้ามพูดเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด


 


“งั้นผมจะวิดีโอคอลไปยังเจียงหนี่ก็แล้วกันเพื่อจะได้ทำให้คุณเชื่อขึ้นมาบ้าง” ซูจิ้งพูดพร้อมทำการวิดีโอคอลไปยังเจียงหนี่


เจี่ยงหนี่เองที่ตอนนี้ท้องโตมากแล้วพร้อมด้วยใบหน้าที่เปี่ยมสุข เมื่อเธอเห็นซูจิ้งโทรไปรีบรับสายทันที


เมื่อเขาถามเธอเธอก็กล่าวขอบคุณซูจิ้งเรื่องทำให้ร่างกายของเธอตั้งท้องอยู่พักใหญ่


เธอประหลาดใจในทันทีเมื่อสังเกตุเห็นหลี่ฉินอยู่ข้างๆซูจิ้ง เธอทำการขอโทษหลี่ฉินในทันทีพร้อมอธิบายเหตุผลที่ต้องปิดบังเพราะว่าซูจิ้งไม่ต้องการให้ใครรู้


ด้วยบุญคุณที่เขาช่วยเธอนั้นใหญ่หลวงมากเธอจึงไม่สามารถบอกใครได้


 


“คุณซู คุณยังมียาจีนที่ช่วยให้ตั้งครรภ์ได้อยู่รึเปล่าคะ” หลี่ฉินถามด้วยความตื่นเต้น


 


“คุณซู ได้โปรดเถอะครับ โปรดช่วยผมเรื่องนี้ที” หลิวชานเฟิงเองก็ได้แสดงท่าทีตื่นเต้นแบบนี้ออกมา นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขาได้แสดงสีหน้าออกมาเช่นนี้ เพราะเขานั้นไม่ได้เชื่อว่าทารกรากไม้จะช่วยให้เขามีลูกได้จริงเลยไม่มีอารมณ์ที่จะมา แต่เมื่อได้ยินหนทางที่จะมีลูกขึ้นมาเขาเองก็ไม่สามารถทำเป็นเฉยชาได้อีกต่อไป


 


“ด้วยของในขวดนี้จะทำให้คุณต้องครรภ์ได้อย่างง่ายดาย คุณอาจจะไม่เชื่อหรอกนะจนกว่าคุณจะได้ใช้มันจริงๆ” ซูจิ้งพูดพร้อมนำขวดเล็กๆขวกหนึ่งออกมามอบให้


 


หลี่ฉินเองได้ค่อยๆรับขวดยามาอย่างถนุถนอมประดุจดั่งสมบัติล้ำค่าที่สุดในชีวิต หลิวชางเฟิงก็ได้ถามออกไปว่า “คุณซูครับ ยานี่ราคาเท่าไหร่กัน”


 


“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงินหรอกครับ เอาแค่ความเป็นเพื่อนก็พอแล้ว” ซูจิ้งได้ยิ้มออกมาเล็กน้อย


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะเรียกเงินจำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน


แต่ด้วยปัจจุบันนี้ด้วยเงินแค่นี้สำหรับเขาไม่ได้มีค่าอะไรแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้นในวันเปิดงานพิพิธภัณฑ์ดูเหมือนไคจิ้งเองก็ยังเคารพหลี่ฉินไม่น้อยเลย


เธอสมควรจะมีเบื้องหลังที่ดีเหมือนกัน สำหรับมนุษย์แล้วสายสัมพันธ์นั้นมีค่ายิ่งกว่าเงินทองเป็นไหนๆ


 


“ถ้าอย่างนั้นขอบคุณมากครับคุณซู ถ้าภายภาคหน้าคุณต้องการอะไรหล่ะก็โทรมาหาผมได้ทุกเมื่อ” หลิวชานเฟยและหลี่ฉินเองต่างรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณซูจิ้งอย่างมาก


แถมความชื่นชอบในตัวซูจิ้งยังเพิ่มขึ้นสูงมากตามไปอีก ทั้งสองคนได้พยายามประคับประคองยาขวดนี้ไปอย่างดีเหมือนกับกลัวว่าจะเกิดอุปสรรคทำให้เขาพลาดโอกาสมีลูกไปอีกตลอดชีวิตก็ไม่ปาน


หลังจากซูจิ้งได้อธิบายวิธีการใช้ยาให้ทั้งสองฟังแล้ว อยู่ๆเสียงโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น


พอเห็นว่าเป็นหวังจ้าวเขาได้รีบรับสายในทันที หวังจ้าวได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “อาจิ้ง ฉันเพิ่งจะประชุมเสร็จน่ะเมื่อกี้ติดประชุมอยู่เลยรับสายไม่ได้ นายโทรมาเช้าขนาดนี้มีเรื่องอะไรหรอ”


 


“ก็นิดหน่อยนะ คุณได้ยินข่าวเรื่องไคจิ้ง นาลันเฟย และเลาชงรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกไปนั่นทำให้ทั้งหลิวชานเฟยและหลี่ฉินเองก็ได้ยินเช่นกัน ทำให้พวกเขาต้องมองหน้ากันในเรื่องนี้เลยทีเดียว


 


“อ้อ ได้ข่าวมาแล้วเหมือนกัน ใช่เรื่องมนุษย์แมงมุมนั่นรึเปล่า ทำไมหรอ” หวังจ้าวถามกลับมา


 


“นาลันเฟย เลาชง กับผมต่างก็ล้วนรู้จักกันดี พวกเขามีสิทธิที่จะพูดเรื่องนี้อยู่แล้วพวกเขาเองก็ไม่ได้ทำผิดอะไร แต่ตระกูลไคนั่นเห็นคนเป็นตัวอะไรถึงได้ทำเรื่องแบบนั้นกัน ผมเลยอยากจะช่วยพวกเขาน่ะแต่ไม่อยากจะเป็นจุดสนใจ คุณพอมีจะมีทางช่วยได้บ้างรึเปล่า”


ซูจิ้งได้ถามออกไป ความจริงนั้นหวังจ้าวกระหายที่ยากจะช่วยเรื่องนี้อยู่แล้วสำหรับเข้านั้นเรื่องนี่ง่ายยิ่งกว่าการฆ่าวัวเชือดคอไก่ซะอีก แต่ถ้าจะออกตัวแรงไปก็กลัวจะเสียหน้าเลยต้องวางท่าเล็กน้อย


 


“เดี๋ยวขอฉันคิดก่อนนะว่าตระกูลหวังพอจะมีธุรกิจร่วมกับบริษัทพวกวงการบันเทิงมั่งรึเปล่า เออ” หวังจ้าวทำทีเหมือนกำลังคิดออกมา


 


“คุณซู ให้พวกเราจัดการเรื่องนี้เองดีกว่าครับ” หลิวชานเฟิงได้แอบกระซิบออกมา


 


“ห้ะ คุณหลิวจะจัดการเอง” ซูจิ้งถึงกับงงในทันที


 


“ฮ่าฮ่า ฉันเองก็ลืมแนะนำตัวพวกเราไปเลย สามีของฉันเป็นผู้อำนวยการของ SARFT น่ะคะ” หลี่ฉินยิ้มออกมา


 


“ห้ะ” ซูจิ้งอุทานออกมาเบาๆพร้อมด้วยท่าทางตกตะลึง มิน่าไคจิ้งถึงได้ทำตัวนอบน้อมขนาดนั้น หลิวชานเฟิงเป็นถึงผู้อำนวยการองค์การวิทยุและโทรทัศน์นี่เอง เธอเองนั้นถือได้ว่าเป็นคุณผู้หญิงหมายเลขหนึ่งของวงการดาราเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าพวกเขานั้นมีอิทธิพลมากพอที่จะสั่งปิดบริษัทในวงการบันเทิงได้ง่ายๆ ไม่ว่าบริษัทนั้นจะใหญ่แค่ไหนก็ตาม เพียงแค่ทั้งสองออกมาพูดในทีวีและวิทยุเท่านั้นทุกอย่างก็จบ


 


ถ้านึกภาพไม่ออกให้ลองนึกถึงดาราเกาหลีทั้งหลาย ไม่ว่าพวกเขาเหล่านั้นจะโด่งดังคับฟ้าในโลกแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อเข้ามาในจีนแล้ว น้อยคนนักที่จะเด่นดังขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะทำตัวเด่นดัง เข้าร่วมงานหนักหักโหมแค่ไหนก็ตาม ถ้าไม่ได้ออกทีวีหรือวิทยุ ทำได้แค่เพียงม้วนเสื่อกลับเกาหลีเท่านั้นเอง


 


“เฮ้พี่น้องคุณไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ ผมมีเพื่อนที่อยู่ที่นี่ที่น่าจะพอช่วยผมได้แล้ว” ซูจิ้งพูดเสร็จก็รีบตัดสายไป


 


“เฮ้อออ นี่ก็ยังไม่ถึงเวลาที่ฉันต้องออกโรงอีกแล้วหรอเนี่ย” หวังจ้าวได้แต่บ่นพึมพำกับตัวเองด้วยรอยยิ้มเซ็งๆ


 


“คุณหลิว เรื่องนี้จะไม่เป็นการรบกวนคุณเกินไปหรอครับ” หลังจากเขาวางสายไปก็ได้หันไปถามทางหลิวชานเฟิงทันที


 


“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย เรื่องพวกนี้ช่างเล็กน้อยมากจริงๆ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงนาลันเฟยและเลาชงที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พวกเขาแค่พูดในสิ่งที่เขาคิดแค่นั้น แต่กลายเป็นว่าทางบริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์กลับเล่นงานซะขนาดนี้ ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด” หลิวชานเฟิงได้พูดออกมาอย่างหนักแน่น


 


“อย่ากังวลไปเลยค่ะคุณซู ที่สามีของฉันพูดมาถูกต้องแล้ว พวกเราไม่มีปัญหาในการจัดการเรื่องนี้แน่นอน” หลี่ฉินเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ถ้างั้นผมคงต้องรบกวนพวกคุณด้วยนะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาเองก็เห็นด้วยแล้วเหมือนกัน สำหรับผู้อำนวยการขององค์การวิทยุและการสิ่อสารแล้ว เรื่องนี้ถือว่าเป็นเพียงเรื่องขี้ผงแค่นั้นเอง

 

 

 


ตอนที่ 754

 

เรื่องยุ่งเหยิง


 


“พี่ชง ผมว่าพี่ลบข้อความในไมโครบลอกดีกว่าครับ แล้วทำเป็นว่าโทรศัพท์โดนขโมยไปแล้วดีกว่า ตอนนี้ต่อให้ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตระกูลไคก็คงไม่ทันแล้ว


 


“ไม่เปลี่ยนเฟ้ย ยังไงก็ไม่เปลี่ยน คิดว่าฉันกลัวพวกมันงั้นหรอ” เลาชงพูดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“ไม่ว่าจะกลัวหรือเปล่าก็เถอะ ยังไงซะตระกูลไคทรงพลังมากนะพี่ พวกคนในวงการบันเทิงก็ยังต้องไว้หน้า ช่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์เลย พวกเราเองควรจะร่วมกับเขาด้วยสิ ไม่ใช่ขวางทางพวกเขาแบบนี้ ที่พี่ทำนี่ตัดอนาคตตัวเองชัดๆ”


 


“ฉันว่าไม่ทันแล้วนา”


 


“ใช่แล้วหล่ะ แล้วถ้าอยู่ๆตอนนี้เขาเปลี่ยนข้างไป เหล่าแฟนคลับจะคิดยังไง”


 


“ตอนแรกฉันไม่ควรเชียร์ให้เขายืนอยู่ข้างมนุษย์แมงมุมเลยโธ่…”


 


“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ต่อให้ฉันไม่ได้อยู่วงการบันเทิงอีกต่อไปฉันก็จะไม่เปลี่ยนใจในจุดยืนของฉัน เพราะมันผิดหลักการของฉัน” เลาชงรู้สึกหัวเสียกับคนรอบข้างในทันที เขาไม่คิดว่าคนรอบตัวเขาจะมีนิสัยแบบนี้


 


“ที่รัก ต่อให้คุณไม่ยอมลบข้อความในไมโครบลอกคุณก็ควรจะประกาศออกไปว่าโทรศัพท์โดนขโมยก็ยังดีนะ” อีกด้านหนึ่งนั้นก็มีเหตุการณ์คล้ายๆกันเกิดขึ้นกับนาลันเฟยเช่นเดียวกัน


ตอนนี้เธอกำลังโดนผู้ช่วยของเธอกล่อมอย่างหนักหน่วง


“ไม่ลบเด็ดขาด” นาลันเฟยพูดออกมาด้วยสายตาที่แดงก่ำ


เธอพยายามที่จะไม่ร้องไห้ออกมา


เธอก็รู้ว่าที่เธอทำไปแบบนี้จะทำให้อาชีพในวงการบันเทิงของเธอต้องจบลง เพียงเธอพูดในสิ่งที่เธอเชื่อถึงกลับให้เธอต้องทัวร์ลงขนาดนี้


และความพยายามทั้งหมดของเธอที่ทำมาจะต้องสูญเปล่า แต่เธอก็ยังยึดมั่นในสิ่งที่เธอเชื่ออยู่ดี


“ถ้าเธอยอมเซ็นสัญญาประนีประนอมกับบริษัทและไม่เปิดบริษัทของตัวเองละก็มันอาจจะพอช่วยเธอได้นะ” ผู้จัดการของเธอถอนหายใจออกมานั่นทำให้เธอถึงกับต้องขมวดคิ้ว และตอนนี้สัญญาของเธอกับบริษัทกำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว


อย่างไรก็ตามบริษัทเองก็มีข้อเรียกร้องให้เธอร่วมงานที่หนักข้อขึ้นเรื่อยอย่างเช่นการไปดื่มกับลูกค้า ซึ่งนั่นทำให้เธออยากออกมากๆ จนเธอตัดสินใจว่าจะออกมาตั้งบริษัทของตนเอง


แต่เมื่อมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นถ้าเธอยอมอ่อนข้อละก็เธอกลัวบริษัทจะให้เธอทำมากกว่านั้น


“ฉันจะลองโทรไปถามดูก็แล้วกัน” เมื่อผู้จัดการของนาลันเฟยเห็นเธอเงียบไปเธอจึงลองโทรไปบริษัทดู หลังจากคุยกันเธอได้ทำหน้าน่าเกลียดในทันที


“พวกนั้นว่าไงบ้าง” นาลันเฟยถามออกมา


“พวกมันบอกว่าพวกมันเข้าข้างตระกูลไค ถ้าพวกมันไม่ยอมรับเธอมาทำงานสักคนล่ะก็มันก็จะเท่ากับทำให้พวกมันได้ความพึงพอใจจากบริษัทซ่งเตียนอินเตอร์เทนเมนต์”


ผู้จัดการของเธอพูดด้วยน้ำเสียงโกรธอย่างรุนแรง


 


ในขณะเดียวกันเหล่าแฟนคลับของเลาชงและนาลันเฟยได้รู้สึกถึงความอยุติธรรมและโกรธเกรี้ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับดาราของพวกเขา


พวกเขาได้พยายามแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาและเรียกร้องให้มีการประท้วงสิ่งที่บริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์ทำแต่ก็ไร้ผล


 


เหล่าดาราที่เคยมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งและขัดแย้งกับทั้งสองคนต่างก็เข้าข้างบริษัทซ่งเตียนและยินยอมเป็นม้ารับใช้ให้แก่ตระกูลไคอย่างยินยอมพร้อมใจ


พวกนั้นได้เข้าร่วมผสมโรงเพื่อเหยียบเลาชงและนาลันเฟยโดยการออกมาทวิตถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและส่งข้อความโจมตีไปยังทั้งสองคน


“ไคจิ้งที่ตายนั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาทำเพียงแค่เรียกร้องให้มนุษย์แมงมุมให้ช่วยเขาแค่นั้นเอง


แต่เลาชงกับนาหลันเฟยกับเห็นผิดเป็นชอบ พวกนั้นโง่งมอย่างมากที่เข้าข้างมนุษย์แมงมุม


คนแบบนั้นไม่มีค่าคู่ควรจะเป็นดาราและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เด็กได้เรียนรู้เอาไว้”


 


“ไคจิ้งเป็นนักแสดงที่ดีและเป็นเพื่อนที่ดีสำหรับหลายๆคน


พวกเรารู้สึกเสียใจอย่างมากในสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา


ทุกคนควรจะระลึกถึงเขาไว้ในความทรงจำ


แต่เลาชงกับนาหลันเฟยกับว่าร้ายไคจิ้งแถมยังเป็นคนที่จากไปแล้วซะอีก นี่มันถูกต้องแล้วหรือ”


 


“ฉันคิดว่าเลาชงและนาหลันเฟยเป็นคนดีมาตลอด ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนแบบนี้ ฉันสนับสนุนตระกูลไค”


 


“ต้องเป็นการตายของคนใหญ่โตเท่านั้นหรือไงพวกเราถึงจะให้เกียรติเขาได้น่ะ”


 


แม้แต่สำนักข่าวบางแห่งยังประกาศตัวออกมาว่าอยู่ข้างไคจิ้ง ทำแม้แต่กระทั่งละเลยความจริง ถอดทิ้งเนื้อหาที่สำคัญ และประกาศกร้าวพุ่งเป้าโจมตีไปยังเลาชงและนาลันเฟยว่าไม่ให้เกียรติคนตาย


ผ่านไปซักพักจนถึงขีดสุดที่ทั้งสองคนจะทนได้อีกต่อไป


ทั้งเลาชงและนาลันเฟยต่างประก้าวออกมาว่าจะสู้ในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด


มีเพียงเพื่อนพ้องดาราเพียงน้อยนิดที่ยังคงอยู่เคียงข้างพวกเขา ในขณะที่คนอื่นเลือกที่จะเงียบ


จะบอกว่าคนที่เงียบเหล่านั้นจะไม่ใช่เพื่อนก็ไม่ได้อยู่ดีเพราะพวกเขาเลือกที่จะช่วยทั้งสองอยู่ข้างหลังเนื่องจากไม่สามารถออกหน้าได้ด้วยเหตุผลหลายๆอย่าง


ทำให้ทำไม่ได้ทั้งต่อต้านบริษัทซ่งเตียนฯหรือสนับสนุนทั้งสองคน


 


ในตอนนั้นเองก็มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เว็บไซต์ของสํานักงานจัดการวิทยุ ภาพยนตร์ และโทรทัศน์แห่งชาติ(SARFT)ได้ออกมาเคลื่อนไหวโดยเว็บไซต์ได้ขึ้นพาดหัวเอาไว้ว่ “วงการบันเทิงต้องไม่ใช่วงการมืด”


 


ทุกคนที่เห็นข้อความนี้ต่างก็ถึงกับนิ่งอิ้งไปในทันที มันเป็นข้อความที่ค่อนข้างประหลาด ซึ่งมันแตกต่างจากสิ่งที่สำนักงานฯเคยเผยแพร่ออกมาตามปกติ


ผู้คนในวงการบันเทิงต่างกดเข้าดูในลิ้งนี้เหตุผลก็เพราะตำแหน่งของลิ้งในหน้าเว็บอยู่ในส่วนที่ใช้เผยแพร่ข่าวเกี่ยวกับการดำเนินงานหรือกฎเกณฑ์ของสำนักฯอยู่บ่อยๆ


ซึ่งกฎเหล่านั้นเป็นตัวกำหนดอนาคตของวงการบันเทิง เพราะทุกสื่อในวงการบันเทิงต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดอย่างเลี่ยงไม่ได้


เพราะดาราทุกคนได้เซ็นสัญญาว่าต้องปฏิบัติกฎจากสำนักฯอย่างเคร่งครัด คนที่ขัดขืนไม่เคยมีใครมีชีวิตในวงการที่ดีเลยสักราย ถ้าจะพูดให้ถูกคือฆ่าคนได้โดยไม่ต้องเห็นหน้ากันเลยทีเดียว


 


ตอนนี้เหล่าคนในวงการบันเทิงทุกคนต่างอ่านเนื้อหาดังกล่าวอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งพวกเขาอ่านก็ยิ่งตกตะลึงกับเนื้อหาของหัวข้อดังกล่าว


ทางสำนักได้บอกเอาไว้ว่าในตอนนี้พวกเขาได้ติดตามทุกการกระทำที่คนในวงการบันเทิงพยายามที่จะดับอนาคตของเลาชงและนาหลันเฟยโดยมีมีตระกูลไคเป็นหัวเรือหลัก


แค่อ่านแค่ข้อความนี้ก็พอจะรู้แล้วว่าพวกเขาจะพยายามสื่อสารอะไรออกมา


สำนักงานฯได้ยืนอยู่ข้างเลาชงและนาลันเฟยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


และพวกเขากำลังจะดำเนินการจัดการทั้งตระกูลไคและพวกที่ยอมเป็นม้าตามนายพวกนั้นอย่างเด็ดขาด


 


ต่อมาในภายหลังหลิวชางเฟิงผู้อำนวยการของสำนักฯได้ออกมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ในช่องคอมเม้นท์ว่า


“เลาชงและนาหลันเฟยนั้นถือได้ว่าเป็นดาราที่ประพฤติตนและเป็นแบบอย่างที่ดี ผมชอบพวกเขาทั้งคู่มากๆเลยล่ะ”


นี่ทำให้บริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์ถึงกับตกตะลึงทันทีที่เห็น


ไม่เพียงแค่นั้นเหล่าบริษัททั้งหลายในวงการบันเทิงที่ประกาศกร้าวว่าจะยืนอยู่เคียงข้างบริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์ทำได้แต่งงงวยสับสนกันเลยทีเดียว


นี่เท่ากับว่าบริษัทใดในวงการบันเทิงก็ตามที่เข้าข้างตระกูลไคเท่ากับรนหาที่ตายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


หนึ่งวันหลังจากนั้นทุกบริษัทในวงการบันเทิงแม้แต่บริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ทำการถอนคำสั่งฆ่าทั้งสองคน


แม้แต่ช่องสัญญาณโทรทัศน์ที่เคยปล่อยข่าวออกมาว่าร้ายในตอนนี้ถึงกับออกข่าวมาหักล้างแก้เก้อไปตามๆกัน เหล่าดาราที่ออกมาโจมตีทั้งสองคนต่างก็รีบลบคอมเม้นต์ต่างๆของพวกเขาในไมโครบลอก


 


ผู้ถือหุ้นและพนักงานทั้งหมดของบริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์ได้รวมตัวกันเพื่อที่จะโค่นล้มตระกูลไคที่ก่อเรื่องขึ้น


รวมไปถึงบริษัทลูก แม้แต่เจ้าของช่องสัญญาณต่างๆก็ถึงกับกร่นด่าตระกูลไคแทบจะไปถึงบรรพบุรุษของพวกเขา และแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่าเกลียดชังบริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์อย่างเข้ากระดูกดำไปแล้วที่กำลังจะลากพวกเขาลงนรกไปตามๆกัน


เหล่าดาราที่เคยซ้ำเติมเลาชงและนาหลันเฟยเองก็ตกใจในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน เหล่าผู้คนในวงการบันเทิงต่างก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมทั้งสองคนอยู่ถึงกลายเป็นคนมีเบื้องหลังขึ้นมาได้


 


ภายหลังเหล่าแฟนคลับของทั้งสองคนและเหล่าผู้ที่ติดตามเรื่องนี้ในอินเตอร์เนตก็ได้พบว่าบริษัทซ่งเตียนเอนเตอร์เทนเมนต์ได้ยกเลิกการขึ้นบัญชีดำ


เหล่าดาราที่มาซ้ำเติมต่างก็ลบไมโครบลอก และช่องสัญญาณต่างๆต่างเปลี่ยนหัวข้อข่าวว่าร้ายต่างๆ ทุกคนทำได้แต่งุนงงสังสัยไปต่างๆนานา


 


“เกิดอะไรขึ้น พวกเขาเลิกเล่นงานเลาชงกับนาหลันเฟยกันแล้วหรอ”


“เกิดอะไรขึ้นกัน อะไรที่ทำให้ลมเปลี่ยนทิศกันแน่”


“ลองไปดูข้อความที่สํานักงานจัดการวิทยุ ภาพยนตร์ และโทรทัศน์แห่งชาติ(SARFT)ดูสิ แล้วพวกนายจะได้พบความจริง”


“น่าแปลกจริงๆที่สำนักฯออกมามีส่วนในครั้งนี้”


“สำหรับฉันไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลยนะ นี่สิคือสื่งที่พวกเขาควรจะทำ พวกเขาควรจะออกมาเล่นงานพวกนอกกฎหมายแบบนี้ตั้งนานแล้ว”


“ฮ่าฮ่า การเผยแพร่ของสำนักงานฯโคตรเจ๋งไปเลย ถามยังพุ่งเป้าไปช่วยทั้งเลาชงและนาหลันเฟยโดยตรงซะด้วย”


 


หลังจากข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไป ที่สตูดิโอของเลาชงเองก็ได้ประหลาดใจและยินดีกันยกใหญ่


“นี่พี่รู้จักผู้อำนวยการของสำนักฯด้วยเหรอครับพี่ชง พี่ไปรู้จักคนใหญ่คนโตแบบนี้ได้ยังไงกัน”


แม้แต่ทางนาลันเฟยเองก็เกิดเหตุการณ์คล้ายๆกัน


“นาลัน เธอไปรู้จักผู้อำนวยการของ SARFT ได้ยังไงกันอ่ะ ”


อย่างไรก็ตามทั้งคู่ในตอนนี้ต่างก็งงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน พวกเขาไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมผู้อำนวยการของ SARFT ถึงได้ออกมาช่วยพวกเขากัน หรือว่าพวกตระกูลไคโชคร้ายกันเอง

 

 

 


ตอนที่ 755

 

สมบัติของหนู


 


หลังจากจัดการปัญหาความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นกับนาหลันเฟยและเลาชงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


ซูจิ้งไม่ได้สนใจสิ่งรบกวนภายนอกอีกต่อไป เขาได้เขาไปในโรงกำจัดขยะห้วงเวลาฯและได้เริ่มจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป


หลังจากที่เขายืนยันได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจได้แล้ว


เขานั้นก็ยังไม่พบอะไรที่มีค่าเพิ่มเติมเลยแม้แต่น้อย ไม่นานหลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้พบกับถุงสีดำที่มีลวดลายถุงหนึ่ง


เขาลองมองเข้าไปก็พบว่ามีบางสิ่งอยู่เขาจึงได้ลองเทมันออกมา ข้างในนั้นเขาพบหนังสือที่มีลวดลายอยู่บนปก มันดูสกปรกจนเหมือนเศษกระดาษไร้ค่า


เขาหยิบมันขึ้นมาดู เพียงพลิกหน้าแรกออกมาเท่านั้นความสงสัยของเขาทั้งหมดหายไปจากใบหน้าและมีหน้าที่เปี่ยมล้นไปด้วยความประหลาดใจเข้ามาแทนที่


“เยี่ยม นี่คือสมุดบันทึกของจอมเวทย์” ซูจิ้งรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งและได้รีบพลิกไปดูหน้าอื่นอย่างรวดเร็ว


ด้วยการที่เขานั้นมีทักษะในการอ่านอย่างดีเยี่ยมซึ่งเป็นผลพวงมาจากวิถีแห่งใต้หล้าที่เขาได้ฝึกไว้


หลังจากอ่านไปเรื่อยๆเขาพบว่าสมุดเล่มนี้สมควรเป็นบันทึกของผู้วิเศษไม่ก็พวกพ่อมดฝึกหัด


โดยเนื้อหาส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการปรุงยาเวทย์มนต์


และมีบางส่วนเป็นการบรรยายเกี่ยวกับประสบการณ์ในการใช้เวทย์มนต์แต่เท่าที่เขาดูแล้วสมุดเล่มนี้ไม่ได้บันทึกวงแหวนเวทย์หรืออักษรเวทย์ไว้แต่อย่างใด


 


ซูจิ้งเองก็ไม่ได้คิดว่าสมุดเล่มนี้ไร้ประโยชน์แต่อย่างใด เขารู้สึกว่านี่สมควรเป็นเรื่องปกติ


ถ้าเกิดมีการบันทึกวงแหวนเวทย์หรืออักษรเวทย์นี่ซิถึงจะน่าแปลกใจ เพราะว่าโดยปกติแล้วในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้น


เหล่าจอมเวทย์ ผู้วิเศษ หรือแม้แต่พ่อมดฝึกหัดจะไม่มีทางบันทึกวงแหวนเวทย์หรืออักษรเวทย์ลงในบันทึกธรรมดาแบบนี้


นอกจากจะเป็นตำราเวทย์ที่ถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษด้วยวิธีการเฉพาะ ซึ่งแน่นอนว่าจะไม่มีการจดบันทึกต่อให้เวทมนต์นั้นจะมีระดับที่ต่ำขนาดไหนก็ตาม แม้แต่เวทย์บอลเพลิงเองก็ไม่เป็นข้อยกเว้น


ด้วยวิธีนี้จะทำให้องค์ความรู้เรื่องเวทย์มนต์ไม่มีทางรั่วไหล และยังเป็นการสร้างระดับขั้นการนับถือให้กับเหล่าจอมเวทย์ได้อีกด้วย


โดยจอมเวทย์จะเป็นผู้สอนองค์ความรู้ให้กับเหล่าศิษย์ที่ได้รับการเลือกสรรแล้วว่าไว้เนื้อเชื่อใจได้


มันก็เหมือนกับการที่ใช้อาวุธข่มคู่ผู้คนแต่วิธีนี้ได้ผลกว่าเยอะ


 


“ถึงแม้ว่าสิ่งนี้จะไม่มีการบันทึกเวทมนต์เอาไว้ แต่กลับมีประสบการณ์และองค์ความรู้เกี่ยวกับน้ำยาเวทมนต์และการใช้เวทมนต์นี่ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว”


ซูจิ้งได้โยนสมุดบันทึกของจอมเวทย์ลงไปในกระเป๋ามิติและได้ลองเปิดซองที่เหน็บไว้ในสมุดบันทึกออกมาดู ข้างในนั้นไม่ได้มีสิ่งใดน่าในใจ


มีเพียงเมล็ดบางอย่างที่ดูเล็กมากๆและสีออกสีเทา ซึ่งในนั้นมีหลายช่องแต่ละช่องมีเมล็ดที่แตกต่างกันออกไป


 


“พวกนี้สมควรจะเป็นเมล็ดพืชเวทมนต์รึเปล่านะ” ซูจิ้งจ้องมองด้วยสายตาส่องประกาย ลวดลายของถุงที่บรรจุของเหล่านี้มีลวดลายบ่งบอกว่าเป็นของเหล่าพ่อมด


ต่อให้บันทึกเมื่อกี้ไม่มีบันทึกเกี่ยวกับเวทย์มนต์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าของเหล่านี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเวทย์มนต์ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกนี้คือเมล็ดของพืชเวทย์มนต์


ซูจิ้งไม่ลังเลเลยที่จะเก็บมันเอาไว้เพื่อจะลองนำไปปลูกเมื่อมีโอกาส


 


ถ้าเขาปลูกมันได้ล่ะก็และมันเป็นเมล็ดเดียวกับที่สมุดได้บันทึกไว้ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะทำโพชั่นได้หลากหลายแบบ นี่ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่จะทำให้เขาหาเงินได้


 


“ฮอว์” ในตอนนั้นเองเจ้าหนูหูกางได้ออกมาจากกองขยะที่ยังจัดการไม่เสร็จพร้อมทำท่าส่งเสียงมาที่ซูจิ้งแปลได้ว่า “รังของฉันอยู่ที่นี่ ถ้าลูกพี่รื้อที่นี่รังของฉันก็พังหมดสิ”


 


“ฮ่าฮ่า แกยังคิดว่าที่นี่เป็นรังอยู่อีกหรอ มันเริ่มหายไปบางส่วนแล้วนา” ซูจิ้งรู้สึกสนุกขึ้นมาในทันที


เมื่อจัดการขยะกองนี้ทั้งหมดแล้ว ยังไงซะรังของเจ้าหนูนี่จะหายไปทันที เขาเลยบอกกลับไปว่า “ต่อให้ฉันไม่จัดการขยะกองนี้ยังไงมันก็จะหายไปอยู่ดี


ในเมื่อยังไงมันก็ต้องหายอยู่แล้วทางที่ดีแกควรรีบย้ายรังของนายไปที่ชั้นสามในบ้านชั้นดีกว่า ที่นั้นทั้งแข็งแรงและสวยงามกว่าที่นี่เยอะเลย”


 


“จี๊ด” เจ้าหนูหูกางได้ผลุบหัวลงดินไปในทันที พอคิดถึงเสียงร้องของนกและกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ลอยออกมาจากชั้นสามที่ว่า


มันก็คิดว่าซูจิ้งเองก็น่าจะพอเชื่อถือได้มันจึงรีบกลับไปที่รังแล้วออกมาพร้อมถุงที่ใส่ลูกสนขนาดใหญ่


ซูจิ้งแอบลองหยิบมากินดูเล็กน้อยมันรสชาติดีใช้ได้เลยแต่มันไม่ได้ให้ผลต่อร่างกายใดๆ น่าจะเป็นผลลูกสนธรรมดา


 


เจ้าหนูหูกางได้ขนถุงลูกสนออกมากองข้างกองขยะห้วงเวลาฯ ได้สามถึงใหญ่แต่มันยังไม่มีท่าทีว่าจะหยุดขนของจนซูจิ้งต้องพึมพำออกมาว่าเจ้าหนูนี่เก็บอะไรไว้นักเนี่ย


 


รอบนี้ของที่เจ้าหนูขนออกมาไม่ใช่ถุงลูกสนอีกต่อไป มันดูคล้ายเป็นถุงผ้าขนาดใหญ่และดูเหมือนมันจะค่อนข้างหนักจนเจ้าหนูลากออกมาอย่างยากลำบาก


 


เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งเองก็หวังดีเพื่อจะเข้าไปช่วยแต่ทันทีที่เขาเข้าไปเห็นของที่อยู่ข้างใน


สายตาของเขาเป็นประกายในทันทีเพราะของที่อยู่ในถุงผ้านั้นดุส่องประกาย หลากเฉดสี มันดูเหมือนอัญมณีมากๆ


 


“ฮัวลา” ในที่สุดหนูหูกางก็ได้นำถุงผ้าอันนี้ไปวางไว้ข้างถุงลูกสน และแน่นอนว่ามันเป็นอัญมณีอย่างไม่ต้องสงสัย


เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งถึงกับมองด้วยสายตาโง่งมในทันที อัญมณีในถุงมีทั้งเล็กและใหญ่ บ้างก็ติดไว้บนผ้า บ้างก็เป็นอัญมณีอย่างเดียว


บางก้อนใหญ่กว่าเจ้าสามเม็ดที่ซูจิ้งแกะออกจากกล่องที่เคยเจอเมื่อตอนเริ่มจัดการขยะกองนี้ใหม่ๆซะอีก


 


“เฮ้ บิงบิง แกไปเอาเพชรมากมายพวกนี้มาจากไหนน่ะ” ซูจิ้งค่อนข้างประหลาดใจในสิ่งที่เห็น ชื่อบิงบิงนี่เขาตั้งให้เจ้าหนูหูกางตัวนี้เพราะมันพ่นละอองความเย็นได้เหมือนเครื่องปรับอากาศ


 


“ส่วนใหญ่ฉันก็ได้มาจากกองขยะนี่แหล่ะ มันมีอยู่ที่เลยนะตอนฉันไปหาอาหารนะ ลูกพี่ไม่คิดว่ามันสวยงั้นหรอทั้งๆที่มันส่องประกายมากมายซะขนาดนี้” บิงบิงพูดในขณะที่มองเหล่าเด็กๆของมัน(อัญมณี)ด้วยสายตาเป็นประกาย


 


“ของพวกนี้แกให้ฉันได้รึเปล่า ฉันชอบพวกมันน่ะ” ซูจิ้งพูดด้วยสายตากระพริบถี่รัวแสดงถึงความอยากได้อย่างออกนอกหน้า เขาในตอนนี้ดูไม่มีผิดมีภัยใดๆต่อสิ่งมีชีวิตในโลกหล้าไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ก็ตาม


 


บิงบิงถึงกับชะงักไปในทันที มันหันไปแล้วหยิบอัญมณีสามอันขนาดกลางๆแล้วส่งไปให้ซูจิ้งแบบขอไปทีแต่ก็ยังดูเหมือนไม่อยากให้ซักเท่าไหร่


ซูจิ้งก็ยังยิ้มหวานให้ก่อนจะพูดต่อไปอีกว่า “นายก็เห็นนี่ว่าฉันนั้นมอบรังที่ดีให้แก่นาย


แถมยังหาอาหารและน้ำอย่างดีมาให้เลยนา


นายเองก็มีอัญมณีพวกนี้ตั้งเยอะแยะ ให้มากกว่านี้ไม่ได้หรออออออ


ฉันไม่ได้ต้องการมากมายหรอกนะ หนึ่งในสาม ขอแค่หนึ่งในสามเอง


ไม่ได้มากมายอะไรเลยใช่ไหมล่ะ นายเองก็ยังมีเหลืออีกตั้งเยอะนี่นา”


 


บิงบิงถึงกับต้องชะงักอีกครั้ง สิ่งที่ซูจิ้งพูดมาเขานั้นก็ไม่อาจปฏิเสธได้


เพราะมันเป็นความจริงทั้งหมด ต่อให้แบ่งไปถึงแม้มันจะฟังดูไม่ได้เลวร้ายมากนัก


แต่จำนวนขนาดนั้นสำหรับบิงบิงก็ทำให้ต้องปวดหัวอยู่ดีเพราะมันเองนั้นไม่ได้เก่งเรื่องคำนวนเลยไม่รู้จะให้เท่าไหร่ถึงเลือกหนึ่งในสาม


ซูจิ้งเห็นดังนั้นถึงกับยิ้มร่า…ออกมาก่อนจะพูดต่อว่า “เอาอย่างนี้สิ ให้ฉันช่วยนายดีกว่า


หนึ่งในสามก็คือการแบ่งเป็นสามส่วน เรามาลองนับดูกันก่อนดีว่าว่ามีกี่ก้อน หนึ่ง สอง สาม สี่ ….


มีทั้งหมด สี่สิบเก้าก้อน ในเมื่อหารสามไม่ลงตัวก็ทำให้นำมาแบ่งได้ยาก


เพื่อให้ง่ายเราก็จะจำไว้เป็นมีทั้งหมดห้าสิบเอ็ดก้อน


ที่นี้เราก็จะแบ่งเป็นสามกองได้เท่าๆกันแล้วคือกองละสิบเจ็ดก้อน


แต่การที่จะจำว่ากองละสิบเจ็ดก้อนมันก็จะยากไปหน่อย


สมควรจำเป็นที่เราจะแบ่งกันที่กองละยี่สิบก้อน ทีนี้ฉันก็จะเลือกออกมายี่สิบก้อนนะ


งั้นฉันเอาอันนี้ กะอันนี้ แล้วก็อันนี้….”


ซูจิ้งทำการเลือกอัญมณีออกมายี่สิบก้อนอย่างพิถีพิถัน หลังจากที่ซูจิ้งเลือกออกมาแล้วบิงบิงในตอนนี้รู้สึกอึ้งจนดวงตาเบิกกว้าง ตอนนี้มันเริ่มตระหนักแล้วว่าน่าจะถูกโกงเรียบร้อยแล้ว


 


ในตอนที่ซูจิ้งกำลังเลือกอัญมณีออกมาทั้งหมดยิ่สิบก้อนนั้น


เขาได้ใช้กระแสจิตในการวิเคราะห์อัญมณีแต่ละก้อนไปด้วย


โดยส่วนใหญ่ก้อนที่ซูจิ้งเลือกนั้นล้วนมีขนาดใหญ่และคุณภาพดี


หลังจากที่เลือกออกมายี่สิบก้อนแล้ว หากเทียบกันที่น้ำหนักแล้ว


ยี่สิบเก้าชิ้นที่เหลือเบากว่าครึ่งนึงของที่ซูจิ้งเลือกไปก็ว่าได้


 


“ฮอวฮอวฮอวฮอวฮอวฮอวฮอวฮอว” บิงบิงในตอนนี้ถึงกับโกรธจนตัวสั่นพลางส่งเสียงร้องออกมารัวๆ


มันรู้ว่ามันโดนต้มจบกรอบและพยายามใช้ความคิดมากที่สุดในชีวิตของมันเลยก็ว่าได้เพื่อพยายามหาเหตุผลที่จะแย้งการขอส่วนแบ่งของซูจิ้ง


แต่ด้วยการที่มันไม่เก่งคำนวนทำให้นึกยังไงก็นึกไม่ออก ยิ่งนึกก็ยิ่งกลายเป็นเห็นด้วยกับวิธีการของซูจิ้งเข้าไปอีก ตอนนี้ดวงตาของมันเต็มไปด้วยน้ำตาที่คลอจนกระทั่งมันร้องไห้ออกมา

 

 

 


ตอนที่ 756

 

การค้นพบที่ตื่นตา


 


หลังจากที่เห็นบิงบิงเริ่มร้องไห้ออกมา


ซูจิ้งในตอนนี้กำลังรู้สึกว่าเขาเองกำลังเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กจนเริ่มอายออกมาเหมือนกัน


เขาเลยยื่นนิ้วไปเกาที่หัวของบิงบิงพร้อมพูดว่า


“โอ๋โอ๋ไม่ร้องนะจ้าเด็กดี ไม่ร้องนะ นิ่งซะนะ นิ่งซะ โอ๋โอ๋ เอางี้เรามาลองแบ่งกันใหม่อีกทีก็ได้นะ” เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้นำอัญมณีทั้งยี่สิบชิ้นคืนใส่ถุงไป


โดยมีสายตาของบิงบิงกำลังจ้องมองพร้อมทำแก้มขยุกขยิกแสดงถึงความโกรธและชิงชัง


แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร เขาเชื่อว่าบิงบิงจะไม่โกรธจนพ่นไอเย็นมาใส่เขาอีกรอบแน่นอน


ถึงจะไม่เต็มร้อยแต่ก็ได้แต่ลองดูเท่านั้น


ความจริงแล้วถ้าเป็นปกติก่อนที่บิงบิงจะพ่นไอเย็นออกมามันต้องทำให้แก้มป่องมากๆก่อนจนหน้าเกือบจะกลมเป็นบัลลูน เพราะฉะนั้นเขาเลยไม่กังวลเท่าไหร่


หลังจากแบ่งเสร็จอีกรอบซึ่งผลออกมาก็ไม่ได้ต่างจากเดิม


บิงๆก็ทำได้เพียงแค่คอตกแล้วทำการลากถุงของมันไปยังชั้นสามของบ้านด้วยท่าทีซังกะตายก่อนที่จะเลือกมุมๆหนึ่งของชั้นเป็นพื้นที่รังใหม่ของมัน


ซูจิ้งพลางนึกอะไรบางอย่างก่อนที่จะหยิบอัญมณีก้อนหนึ่งออกมาจากในถุงแล้วหันไปถามบิงบิงที่กำลังขนของอยู่ว่า


“นายคิดว่าอัญมณีก้อนนี้สวยรึเปล่าล่ะ” บิงๆพยักหน้าพลางถามออกมาว่า “มีอีกรึเปล่า มีอีกรึเปล่า”


ซูจิ้งจึงได้ทำการเทถุงที่หยิบอัญมณีก้อนนั้นออกมา พวกมันมีสีสันที่หลากหลาย ใสกระจ่าง หลากหลายรูปทรง เปล่งประกาย และไร้รอยขีดข่วน ดูสวยงามเสียยิ่งก่อนอัญมณีที่บิงๆเก็บเอาไว้ซะอีก


บิงๆเองเมื่อกี้นี้แค่ได้มองแค่ก้อนเดียวมันก็จ้องมองจนตาเขม็งแล้ว


แต่พอเห็นอัญมณีกองทั้งหมดนี่ สีหน้าของมันบ่งบอกได้ถึงความอิจฉาอย่างออกนอกหน้า


 


“นายต้องการอัญมณีพวกนี้ไหม” ซูจิ้งถามลองเชิงออกมา


 


“จี๊ด…” บิงบิงพยักหน้ารับทันทีเหมือนดั่งต้องมนสะกด


 


“ถ้างั้น และมาแลกเปลี่ยนกับของนาย นายว่าดีรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา


 


บิงๆทำการคิดอยู่เล็กน้อยก่อนที่จะพยักหน้าแล้วทำการลากถุงอัญมณีที่ซูจิ้งให้กลับไปยังรัง โดยมันได้ทิ้งถุงอัญมณีของมันเอาไว้


ซูจิ้งได้เก็บอัญมณีที่บิงๆเก็บเอาไว้ในทันที บิงๆก็ทำเพียงแค่หันมามองแล้วก้ไม่ได้สนใจพวกมันอีก


 


พวกอัญมณีให้ไปนั้นถึงแม้มันจะดูใหญ่กว่า สวยกว่า กระจ่างกว่า และใสกว่า


แต่อัญมณีพวกนั้นคืออัญมณีสังเคราะห์ บางก้อนเป็นอัญมณีปลอมด้วยซ้ำ


ถ้าเทียบราคาแล้วยังไม่เท่ากับอัญมณีก้อนนึงที่บิงๆเก็บสะสมเอาไว้เลยซักก้อน


 


หลังจากที่ซูจิ้งเก็บอัญมณีของบิงๆเสร็จเรียบร้อยแล้ว


เขาได้นำมันไปที่ชั้นหนึ่งของบ้านและได้ทำการตรวจสอบมันทีละก้อนทีละก้อน


ยิ่งเขาตรวจสอบก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ


หลายชื้นนอกจากจะมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาแงะออกมาจากกล่องแล้ว


คุณภาพของมันยังถือได้ว่าเป็นระดับสูงเลยทีเดียว ชิ้นอื่นเองก็สมควรมีคุณภาพไม่ต่างกันนัก


 


“นี่คือ” ซูจิ้งได้หยิบอัญมณีสีน้ำเงินขึ้นมาชิ้นหนึ่ง ขนาดประมาณนิ้วมือ


มันค่อนข้างจะพิเศษกว่าก้อนอื่นตรงที่เขานั้นสามารถตรวจจับได้ว่ามีพลังบางอย่างแผ่ออกมา


เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะว่าความรู้สึกที่เข้าสัมผัสได้มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับคลื่อนพลังเวทย์ใดๆ


 


“เจ้านี่คืออัญมณีเวทมนต์งั้นรึ” ดวงตาของซูจิ้งเปล่งประกายขึ้นมาในทันที


เขานั้นรู้สึกตื่นตาอย่างมาก ถึงแม้ว่าในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นถึงแม้อัญมณีเวทย์มนต์จะเป็นวัตถุดิบทั่วไปก็ตาม


ที่พวกมันถูกเรียกว่าคริสตัลเวทย์มนต์ก็เพราะว่าอัญมณีเหล่านั้นสามารถเก็บกักพลังเวทย์เอาไว้และสามารถนำออกมาใช้ได้เมื่อต้องการ


ถ้าเอาไปเทียบกับอัญมณีธรรมดาก่อนหน้านี้แล้วมีค่ามากกว่ามากนัก


อัญมณีชนิดนี้มักถูกใช้โดยจอมเวทย์


ถึงแม้ว่าอัญมณีเวทมนต์ก้อนนี้จะค่อนข้างเล็กไปหน่อยซึ่งมันไม่ได้มีค่ามากมายอะไรนักสำหรับที่นั่น


แต่กับซูจิ้งตราบใดที่มันเป็นอัญมณีเวทย์มนต์ก็มากพอทำให้เขาตื่นตาตื่นใจแล้ว


 


ซูจิ้งได้ลองไปพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปกระตุ้นเวทมนต์ในอัญมณีดู


เขาหวังว่าอัญมณีนี้จะเป็นเหมือนดังตู้เก็บพลังเวทย์ที่สามารถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ได้


ซึ่งมันก็จริงดังคาดเพราะสามารถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้จริง


แต่พลังงานก็เต็มอย่างรวดเร็วแสดงว่าอัญมณีนี้สมควรเป็นระดับต่ำ


 


ซูจิ้งได้ลองดูอีกครั้งว่ามันจะใช้ยังไงได้บ้างแต่เขาไม่ได้ลองแบบเต็มกำลังเพราะว่าเขานั้นยังไม่คุ้นเคยกับการใช้อัญมณีเวทย์อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้


 


“แล้วอัญมณีนี่เป็นของธาตุไหนกันล่ะ” ซูจิ้งได้เปิดถุงกักอสูรและปลดปล่อยเหล่าภูติแห่งธาตุเวทมนต์ทั้งหลายออกมาเพื่อจะใช้ในการทดสอบ


เนื่องจากซูจิ้งนำภูติธาตุไฟติดตัวไปไหนมาไหนแค่ธาตุเดียวเท่านั้นทำให้ยังไม่คุ้นเคยกับการใช้ภูติธาตุอื่นซักเท่าไหร่


ซูจิ้งต้องปลดปล่อยกระแสจิตเพื่อบังคับภูติเหล่านั้นตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นเหล่าภูติจะแอบหนีหายไป ซูจิ้งจึงเรียกที่จะกักเอาไว้ก่อน


 


หลังจากภูติทั้งหลายออกมาแล้ว พวกมันได้บินวนไปรอบๆซึ่งแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นคอยควบคุมพวกมันเอาไว้ หลังจากผ่านไปได้ซักพักมีภูติบางตนถูกดึงลอยเข้ามาอยู่ที่อัญมณีเวทย์มนต์ที่อยู่ในมือของเขา


ประหนึ่งดังพวกมันคุ้นเคยกับอัญมณีนี้อย่างดี


 


“อืมมมม อัญมณีธาตุลมสินะ” ซูจิ้งทำได้แต่ยอมรับเท่านั้นเพราะว่าจากภูตธาตุทั้ง18ชนิดมีเพียงธาตุลมเท่านั้นที่บินหาทำให้ไม่อยากเลยที่จะบอกได้อย่างขัดเจน มิน่าล่ะเขาถึงไม่สามารถใช้งานมันได้ก่อนหน้านี้ เพราะว่าสำหรับเวทย์ลมนั้นความรู้แทบจะติดลบเลยก็ว่าได้ เขาจะไปสู้คนที่เกิดมาพร้อมความเหมาะสมในแต่ละธาตุในตัวได้ยังไงกันล่ะ


 


“ยังไงก็เก็บเอาไว้ศึกษาก่อนก็แล้วกัน น่าจะพอมีทางใช้มันได้อยู่” ซูจิ้งได้เก็บอัญมณีเวทย์มนต์และเหล่าภูตเวทมนต์ทั้งหลายก่อนที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาต่อไป


หลังจากที่เขาจัดการขยะไปซักประมาณสองชั่วโมง เขานั้นก็ยังไม่พบของที่ดูมีค่าอะไร


เขาเจอดาบเหล็กกล้าหักๆอันหนึ่ง เขาได้โยนมันไปไว้อยู่บนกองเศษเหล็กอื่นๆที่เจอ


แต่หลังจากหันไปจ้องดีๆอีกครั้งเขาก็ต้องรู้สึกพิศวงกับลวดลายที่สลักอยู่บนดาบนั่น


ประหนึ่งดังมีมนต์สะกดคอยดึงดูดเอาไว้


 


“ลวดลายนี่สมควรไม่ใช่แค่เอาไว้ประดับเฉยๆแหะ ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้น


ผู้คนมากมายต่างของร้องให้เหล่าจอมเวทย์แกะสลักลวดลายบางอย่างลงบนอาวุธไม่ก็ชุดเกราะเพื่อเพิ่มความสามารถทางกายภาพบางอย่าง


อย่างการเพิ่มความเร็ว เสริมพลัง หรือแม้แต่ความสามารถในการตัด ลวดลายเหล่านี้สมควรมีไว้เพิ่มความสามารถแบบนั้น”


ซูจิ้งพลางนึกออกไป แน่นอนว่าเขารู้เกี่ยวกับลวดลาย การแกะสลัก และรู้ดีว่ามันเป็นลวดลายที่ทำให้เกิดผลจากเวทย์มนต์


แต่ยังไงซะในตอนนี้ก็ยังถือว่าไร้ประโยชน์อยู่ดี ซูจิ้งได้ไล่ดูไปยังเหล่า ดาบหัก กระบี่ และกระอ่อนที่เขาจัดการแยกเอาไว้อีกครั้งและได้พบว่าพวกมันบางชิ้นมีลวดลายเวทย์มนต์อยู่


 


“ลวดลายนี้ เกราะอ่อนของคนที่กลายเป็นหิน และอาวุธเหล่านั้นเองก็สมควรเป็นลวดลายเวทมนต์เหมือนกัน”  ซูจิ้งได้นึกถึงเหล่าคนที่ถูกสาปให้กลายเป็นหิน ที่ชุดที่พวกเขาใส่ก็มีลวดลายแบบนี้เช่นเดียวกัน


 


“ลวดลายเวทย์มนต์เหล่านี้น่าจะคุ้มค่าที่จะลองเสียเวลาศึกษาดูเหมือนกัน


ถ้าสามารถนำไปรวมกับความรู้ที่บันทึกไว้ในสมุดบันทึกของพ่อมดก่อนหน้านี้


เมื่อนำไปรวมกับพลังงานลมในอัญมณีเวทมนต์น่าจะพอสร้างอาวุธเวทมนต์ได้ ถ้าทำได้ล่ะก็เยี่ยมไปเลย”


สายตาของซูจิ้งเป็นประกายออกมา หลังจากที่เขาตัดสินใจได้แล้วว่าจะเวทมนต์ลมแบบไหนดีจึงได้เก็บของทั้งหมดเข้าไป


 


ซูจิ้งยังคงดำเนินการจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อไป ผลที่ออกมาคือขยะที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนเป็นอุปกรณ์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังเวทมนต์ทั้งสิ้น เขาจึงได้ทำการเก็บพวกมันไว้ทั้งหมด


 


หลังจากเก็บพวกมันมาได้มากพอสมควรแล้ว ทำให้ได้เห็นลวดลายพวกนั้นมาพอที่เขาจะเริ่มเข้าใจหลักการเบิ้องต้นของลวดลายเวทย์มนต์อยู่บ้าง


ลวดลายเวทย์มนต์สมควรจะมีหลักการที่คล้ายๆกันอยู่


ในส่วนอาวุธที่แตกหักเหล่านั้นล้วนมีการแกะลวดลายเอาไว้เหมือนกัน


และเหล่าเกราะอ่อนและเกราะแข็งเองก็มีลวดลายอีกแบบหนึ่งที่เหมือนกัน


ทำให้เขาพอจะอนุมานได้ว่าลวดลายที่แกะบนอาวุธเป็นลวดลายที่ใช้เสริมพลังโจมตี


และลวดลายบนเกราะเป็นลวดลายที่เอาไว้ใช้เสริมพลังป้องกัน

 

 

 


ตอนที่ 757

 

การค้นพบที่น่าแปลกใจ


 


สองวันต่อมา ซูจิ้งได้คัดแยกขยะได้ออกมาเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าขยะเหล่านั้นล้วนแล้วแต่มีลวดลายเวทย์มนต์ทั้งสิ้น


หลังจากเขาคัดแยกต่อไปเรื่อยๆ เขาได้ขยะที่มีลวดลายเวทมนต์มากขึ้นเรื่อยๆจนกระทั้งขยะที่เหลืออยู่อีกครึ่งเหล่านั้นได้เสียสมดลและพังลงมา


ทันทีที่เขาหันไปเห็นนั้นถึ้งกับต้องตกตะลึง ใบหน้าของซูจิ้งแสดงออกถึงความประหลาดใจอย่างมาก


 


ตรงหน้าของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสมัยใหม่ ถุงพลาสติก เศษกระทะ สิ่งพวกมันล้วนแล้วดูเหมือนของจากโลกที่เขาอยู่


 


“เดี๋ยวนะนี่ไม่ใช่ขยะจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนี่ ทำไมขยะของโลกยุคนี้ไปโผล่ได้ล่ะ


หรือว่าตูเว่ยเป็นคนสร้างขึ้นมา” ซูจิ้งมองพร้อมใบหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม


สิ่งแรกที่เขานึกได้ก็คือของเหล่านี้น่าจะเป็นของที่ตูเว่ย ตัวละครหลักในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจทำขึ้น


ตูเว่ยนั้นเป็นตัวละครหลักที่เคยอยู่ในโลกยุคปัจจุบันทำให้เขามีความรู้ติดไปด้วย เขาเคยสร้างบัลลูนไอร้อนและของอย่างอื่นที่ได้แนวคิดจากโลกยุคปัจจุบันหลายอย่างในเรื่อง


 


เมื่อคิดได้ดังนั้นเขารูปจัดการขยะในบริเวณนี้ในทันที ถูกต้องตามที่เขาคิดขยะพวกนี้เป็นขยะที่เกิดจากแนวคิดโลกยุคปัจจุบันแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่เจออะไรที่ดูมีประโยชน์เท่าไหร่นีก


 


“แล้ว นี่มันอะไรล่ะเนี่ย” ซูจิ้งได้ดึงชิ้นส่วนบางอย่างที่ท่าทางหนักๆออกมา มองแวบแรกมันดูคล้ายเหล็ก แต่เมื่อเห็นทั้งหมดแล้วจึงบอกได้ว่ามันเป็นแขนเหล็กแต่หักแล้ว


 


“เจ้านี่คือซากหุ่นยนต์ที่ตูเว่ยสร้างหรือว่าเป็นของพวกนักเล่นแร่แปรธาตุกันนะ” ซูจิ้งถึงกับมึนงงทันทีที่เห็นพร้อมตั้งคำถามขึ้นมา ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้แต่เพียงวางมันเอาไว้ข้างๆก่อนจะคุ้ยขยะต่อไป


 


หลังจากนั้นซักพักเขาก็พบธนูอันหนึ่ง นี่ทำให้ซูจิ้งประหลาดใจเล็กน้อยเพราะธนูนี่มันค่อนข้างกว้างและดูเป็นโค้งรูปทรงแปลกๆเหมือนกับรูปหัวใจผ่าครึ่งก็ว่าได้


เขาสงสัยขึ้นมาทันทีว่าธนูแบบนี้จะไปยิงศัตรูเข้าได้ยังไง อย่างไรก็ตามธนูนี้มีร่องรอยการแตกอยู่ทำให้มีบางส่วนหายไป


ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้ทำมาจากเหล็ก ตัวธนูเหมือนมีลวดลายอะไรบางอย่างแต่ว่าไม่ใช่ลวดลายเวทมนต์แบบก่อนหน้านี้


 


เขาจ้องมองอย่างตั้งใจตั้งแต่หัวจรดปลายแต่ก็ไม่พบความพิเศษอันใดจากเจ้าธนูนี่นอกจากรูปทรงที่ดูประหลาดกว่าปกติ


แน่นอนว่าต่อให้มันเป็นธนูที่ดีแค่ไหนแต่ยังไงซะมันก็มีรอยแตกแล้วไม่สามารถนำมาใช้ต่อได้แน่นอน


เขาได้นำมันไปรวมไว้กับอุปกรณ์ที่มีลวดลายเวทมนต์อื่นๆเพื่อที่ว่าจะได้หาโอกาสได้ลองศึกษาดูในอนาคต


 


หลังจากเขาเสียเวลาจัดการขยะสมัยใหม่เหล่านี้อีกสักพักจนหมด หลังจากนั้นเขาก็ไปจัดการขยะห้วงเวลาฯส่วนอื่นต่อ


แต่ก็ไม่เจออะไรที่มีประโยชน์มากมายนัก เขาทำการตรวจซ้ำอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ


หลังจากเขาใช้เวลาตรวจซ้ำอีกสองวันจนซูจิ้งมั่นใจแล้ว


เขาได้เก็บขยะที่ไม่มีประโยชน์ขนขึ้นรถบบรทุกแล้วทำการกวาดของเหล่านี้ลงในหลุมทิ้งขยะจนเกลี้ยง


ในที่สุดสถานีแห่งนี้ก็โล่งหมดจดอีกครั้งรอขยะลอตใหม่ส่งมา


 


ในช่วงเช้าหลังจากที่ซูจิ้งจัดการขยะไปหมดแล้ว เฉินฮงเฉินเจียเหยา และจูเจียนฮัวได้มาหาเขาด้วยกัน


เฉินฮงมาที่นี่เพื่อมารับอัญมณีทั้งสามไปที่โรงประมูลห้วงเวลาฯตามที่เขาบอกไว้


แต่เขาไม่รู้ว่าเฉินเจียเหยาและจูเจียนฮัวมาทำอะไรที่นี่เหมือนกัน


 


“อาจิ้ง อัญมณีอยู่ที่ไหนหรอ” ทันทีที่เฉินฮงมาถึงเขาได้รีบถามถึงอัญมณีในทันที


“อยู่ที่ชั้นสี่น่ะ” ซูจิ้งพูดพร้อมพาทุกคนขึ้นไปบนชั้นสี่ในทันทีไปยังที่เก็บอัญมณี


อัญมณีทั้งสามประกอบไปด้วยไพลินประกายดาวสองเม็ดและพลอยแดงเลือดนกพิราบหนึ่งเม็ด ส่วนก้อนอื่นๆนั้นยังไม่ถึงเวลาที่จะนำออกประมูล


 


ตาของเฉินฮงดูเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเห็นอัญมณีพวกนั้น


สายตาของเขาดูระมัดระวังและดูฉงนในสิ่งที่เห็น


เมื่อวานนี้เขาเองก็เพิ่งได้ยินข่าวเรื่องที่เกิดขึ้นในพิพิธภัณฑ์ของผู้อาวุโสซี่


เขาตกตะลึงทันทีที่ได้หินงานแกะสลักหินที่สวยงาม ทารกรากไม้ และหนูหยกฮีเทียน


ถึงแม้เขาจะเคยได้เห็นสมบัติมากมายมาชั่วชีวิตก็ยังต้องตื่นตาตื่นใจทันทีที่ได้เห็นของที่ซูจิ้งครอบครองเอาไว้


 


เฉินเจียเหยาเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ถึงแม้เธอจะมีความรู้เรื่องอัญมณีไม่สู้เฉินฮงแต่ก็ยังรับรู้ได้ถึงสวยงามของอัญมณีเหล่านี้


 


อย่างไรก็ตามพวกเขานั้นจะเริ่มรู้สึกชินในไม่ช้านักเพราะด้วยการที่พวกเขานั้นรู้จักซูจิ้ง เขาจะได้เห็นของพวกนี้บ่อยมาก แต่อย่างน้อยพวกเขาก็คงต้องมีเรื่องประหลาดใจซักนิดซักหน่อยก่อนจะยอมรับได้


 


“ว่าแต่ เจียนฮัวกับคุณเฉินมาที่นี่เพราะต้องการมาดูอัญมณีนี่อย่างนั้นหรอ” ซูจิ้งถามออกมา


 


“ก็คุณไม่ได้ส่งสัตว์ไปยังสวนสัตว์เลี้ยงเลยนี่นา จะทำให้สวนสัตว์เลี้ยงสมบูรณ์ได้ยังไง” เฉินเจียเหยาบ่นออกมา


 


“สวนสัตว์เลี้ยงอันสมบูรณ์แบบของเราก็คงต้องกลายเป็นร้านขายสัตว์เลี้ยงธรรมดาแล้วหล่ะนะ” จูเจียนฮัวเองก็พูดในเชิงแดกดันนิดหน่อย


 


ซูจิ้งอึ้งไปซักพักก่อนที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น เขาก็เกือบลืมไปเลยว่าเขาเป็นหุ้นส่วนอยู่สามสิบเปอร์เซนต์ในสวนสัตว์เลี้ยงนั่น เขาเองจะต้องไปที่สวนสัตว์เลี้ยงเพื่อที่จะฝึกสัตว์อยู่บ้างแต่เขาลืมไปแล้ว


 


มีอยู่หนหนึ่งที่ซูจิ้งส่งปลาเขี้ยวหยกไปให้พวกเขาช่วยเลื้ยงเพื่อทำให้สวนสัตว์เลี้ยงแห่งนั้นสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ถ้ามีสัตว์เลี้ยงไม่ครบประเภทจะเรียกได้ยังไงว่าเป็นสวนสัตว์เลี้ยงแสนสมบูรณ์


 


อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้ซูจิ้งได้ขอให้ทางสวนสัตว์เลี้ยงแสนสมบูรณ์ส่งเหล่าหมาแมวของที่นั่นไปยังสถาบันวิจัยเพื่อที่จะเอาไว้คอยระวังภัยให้ที่นั่น


หลังจากที่พวกเขาส่งพวกมันไปยังสถาบันวิจัยของซูจิ้งแล้ว ทำให้สัตว์เลี้ยงจำพวกหมาแมวที่เป็นหัวใจหลักของสวนสัตว์เลี้ยงนั้นขาดแคลน รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงประเภทชั้นยอดด้วยเหมือนกัน


 


“แหม่ แค่โทรหาผมก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องมาด้วยตัวเองเลย เอาเป็นว่าผมขอเวลาอีกสักสองวันละกันจะได้ส่งสัตว์เลี้ยงที่ฝึกแล้วไปให้”


ที่ซูจิ้งกล้าพูดอย่างนั้นไปก็เพราะว่าสำหรับเขาการฝึกสัตว์นั้นถือเป็นเรื่องง่ายมากๆ ด้วยการใช้การทำพันธะสัญญากัน และการฝึกอีกซักชั่วโมงเขาก็สามารถฝึกสัตว์สำเร็จได้ราวกับฝึกพวกมันมาเป็นปีแล้ว


 


“เอาจริงๆคือฉันได้ยินว่าปู่ของฉันมาฉันเลยอยากจะมาด้วยน่ะ พอดีฉันอยากจะได้สัตว์เลี้ยงที่มันดูพิเศษซักตัวหนึ่ง


สวนสัตว์เลี้ยงของเราตอนนี้ขาดแคลนดาวเด่นอยู่ตอนนี้ ถ้าเป็นไปได้นายก็ช่วยฉันหาให้หน่อยละกัน” เฉินเจียเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


เธออดไม่ได้ที่จะหันไปชำเลืองมองเหล่าหมาแมวที่อยู่นอกบ้านด้วยสายตาที่เป็นประกาย


แต่เธอก็ไม่ได้ถามเกี่ยวกับพวกมันมากนะเพราะเธอรู้ว่าสำหรับซูจิ้งแล้วสัตว์เลี้ยงที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นครอบครัว


ไม่มีทางขายอย่างแน่นอน


 


“เรื่องนั้น คิดก่อนนะ” ซูจิ้งทำท่านึกไปซักพักก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ความจริงก็มีสามตัวนะ ฉันขี้เกียจดูแลมันน่ะ เธอจะเอาไปแล้วขายก็ได้นะ”


 


“สัตว์เลี้ยงอะไรหรอ” เฉินเจียเหยาถามด้วยสายตาที่เป็นประกาย ทันทีที่คิดว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในบ้านของซูจิ้งแล้วพวกมันต้องมีความพิเศษอย่างแน่นอน


 


“แป็บนึงละกัน” ซูจิ้งได้ทำการเรียกหลี่น้อย หลี่น้อยได้รีบวิ่งลงมาที่ชั้นหนึ่งในทันที หลังจากนั้นซักพักก็มีหนูสามตัวตามมันมาเหมือนเป็นลูกน้องอย่างไงอย่างงั้น เจ้าหนูสามตัวหย่อนก้นนั่งลงข้างหลังหลี่น้อยที่นั่งอยู่


 


เมื่อเฉินฮงเฉินเจียเหยา และจูเจียนฮัวเห็นรู้สึกสนใจมันขึ้นมา เจ้าหนูพวกนี้ติดตามแมวช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากเหมือนกัน เหมือนเจ้าหนูสามตัวนี่เองก็จะถูกฝึกโดยซูจิ้งเหมือนกัน


 


หลังจากทั้งสามคนมองไปซักพักพวกเขาก็เริ่มตกตะลึง นั่นก็เพราะเจ้าหนูสามตัวนี้ถึงจะดูขนนุ่มสลวยสวยเก๋และแววตาที่ดูชาญฉลาดแต่จากรูปลักษณ์แล้วพวกมันคือหนูบ้านธรรมดา


แต่ทำไมพวกเขาถึงรู้สึกว่ามันดูน่ารักน่าฟัดพิกลก็ไม่รู้


 


“อาจิ้ง สัตว์เลี้ยงสามตัวที่ว่าคือเจ้าหนูสามตัวนี่อย่างนั้นหรอ” จูเจียนฮัวถามด้วยท่าทางอึ้งๆ


 


“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้า


 


“ไม่เอาด้วยหรอก เจ้าหนูสามตัวนี้น่าจะเป็นหนูบ้านต่อให้น่ารักยังไงก็ไม่มีใครสนใจจะเลี้ยงมันหรอก


หรือว่าเจ้าสามตัวนี้มีอะไรพิเศษ” จูเจียนฮัวถึงกับพูดไม่ออก


 


“คุณซู คุณต้องล้อเล่นแน่ๆ” เฉินเจียเหยาเองก็เกือบจะพูดไม่ออกเช่นเดียวกัน


 


เฉินฮงเองก็ได้มองอย่างสนใจเหมือนกัน แต่เขาก็ยังไม่เจออะไรที่ดูพิเศษจากหนูสามตัวนี้เลย ต่อให้ซูจิ้งฉลาดยังไงแต่ดูเหมือนเขาเองจะไม่ค่อยมีหัวการค้าซักเท่าไหร่


 


“ฮ่าฮ่า พวกนายเนี่ยน้า” ซูจิ้งยิ้มพร้อมทั้งพาทั้งหมดไปยังตู้ปลาที่มีน้ำอยู่เต็ม เขาสั่งให้หนูทั้งสามตัวกระโดดลงไปในน้ำ


 


ตอนแรกทั้งเฉินเจียเหยา เฉินฮงและจูเจียนฮัวยังไม่เห็นอะไรที่ดูพิเศษเลยซักนิด


ซักพักพวกเขาก็เริ่มประหลาดใจ ถึงแม้ว่าหนูทั่วๆไปจะสามารถว่ายน้ำได้ดีอยู่แล้วแต่หนูพวกนั้นจะไม่ดำผุดดำว่ายราวกับพวกมันเป็นสัตว์น้ำแบบนี้แน่นอน


ตามธรรมชาติของมันแล้วสมควรตะเกียกตะกายหาทางขึ้นจากน้ำมากกว่า แต่เจ้าหนูพวกนี้นอกจากจะไม่ทำท่าอยากจะขึ้นจากน้ำแล้ว


พวกมันยังดำลงไปน้ำเป็นว่าเล่น แถมยังว่ายน้ำกลับหลังเหมือนนักกีฬาทีมชาติซะอีก พวกมันเหมือนไม่ใช่แค่ว่ายน้ำได้แต่เหมือนมีชีวิตอยู่ในน้ำเลยก็ว่าได้


 


“พระเจ้า ดูเหมือนพวกมันจะชอบอยู่ในน้ำนะ” เฉินเจียหยาพูดออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“บ้าไปแล้ว นี่พวกมันคิดว่าพวกมันเป็นปลาอย่างนั้นรึ” จูเจียนฮัวมองด้วยสายตาโง่งม


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นไง เจ้าสามตัวนี้น่าสนใจจริงๆ” เฉินฮงเองก็ได้หัวเราะ และก็ยังบอกอื่นว่าอยู่มานานขนาดนี้แล้วเขาเพิ่งจะเคยเจอหนูที่ชอบน้ำมากขนาดนี้


แม้แต่จูเจียนฮัวก็ยังเปรยๆซ้ำออกมาอีกครั้งว่าพวกมันต้องคิดว่าตัวเองเป็นปลาไปแล้วแน่ๆ

 

 

 


ตอนที่ 758

 

อีกตัวหนึ่ง


 


เฉินเจียเหยา จูเจียนฮัว และเฉินฮงได้รู้ซึ้งถึงความแตกต่างของเจ้าหนูทั้งสามตัวนี่กับหนูบ้านธรรมดาเรียบร้อยแล้ว


ต่อให้มีผู้คนมากมายเลี้ยงหนูแบบนี้ไว้เป็นสัตว์เลี้ยง แต่รับรองว่าไม่มีหนูตัวไหนที่จะชอบน้ำเป็นชีวิตจิตใจแบบนี้


ต่อให้เรียกเจ้าหนูสามตัวนี้ว่าหนูน้ำก็ยังไม่แปลกเลยซักนิด


ดูเหมือนพวกมันมีชีวิตอยู่ในน้ำไม่ใช่แค่ชอบเล่นน้ำแบบธรรมดาทั่วไปเพราะพวกมันไม่มีทางอยู่ในน้ำได้นานแบบเจ้าหนูสามตัวนี้แน่นอน แถมยังว่ายน้ำได้เหมือนปลาซะอีก


 


“พวกมันเจ๋งมากเลย ต้องมีหลายๆคนชอบเจ้าหนูสามตัวนี้แน่ๆ” จูเจียนฮัวพูดออกมาอย่างมีความสุข


 


“ถ้าเอาไปโชว์ละก็ต้องเป็นที่สนใจของผู้คนมากมายแน่นอนเลย” เฉินเจียเหยาเองก็ดูมีความสุขไม่แพ้กัน


 


“ถ้างั้นก็พาพวกมันสามตัวไปได้เลย” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเจ้าหนูสามตัวนี้คือหนูที่เป็นตัวทดลองในการกินชาถังเข้าไป


หลังจากนั้นมันจึงกลายเป็นหนูที่มีความสามารถพิเศษแบบนี้


ซูจิ้งจึงไม่ได้ละทิ้งพวกมันไปแต่เขาก็ไม่ได้อยากดูแลพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงเหมือนกัน เอาจริงๆเขาก็ไม่ได้ชอบหนูแบบนี้นัก


เพราะว่าพวกมันชอบขโมยอาหารและแพร่เชื้อโรค เหมาะสมแล้วที่จะส่งให้สวนสัตว์เลี้ยงไปจัดการดูแลต่อ


 


“คุณซู แล้วคุณยังมีตัวอื่นอีกรึเปล่า” เฉินเจียเหยาถามออกมา


 


“ไม่มีแล้ว” ซูจิ้งส่ายหัว


 


“ฉันคิดว่าเต่าตัวนี้ก็ไม่เลวนะ นายเลี้ยงเจ้าเต่าแบบนี้ด้วยหรอ ถ้านายไม่อยากเลี้ยงแล้วก็ให้เราเอาไปโชว์ได้นะ” จูเจียนฮัวยืนอยู่ริมสระว่ายน้ำแล้วเขาชี้ไปที่เต่าที่อยู่กลางสระ


 


“ห้ะ นี่นายมองเห็นมันเป็นเต่าจริงดี” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออก ความจริงสระนี้ซูจิ้งเอาไว้ให้เขาและฉือฉิงว่ายน้ำเท่านั้น


แต่เจ้าเต่าที่เขาขุดออกมาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียนถือวิสาสะยึดเอาไว้หลังจากที่เขาเอามารักษาที่นี่แต่มันดันติดใจซะอย่างนั้น


ตอนแรกพอเขารู้ว่าเจ้านี่คือเต่าพันธุ์หายากและบาดเจ็บอยางหนักก็คิดเพียงแค่เอามารักษาก่อนค่อยหาที่อยู่ให้มันใหม่ ตอนนี้เขาก็ทำได้แค่ยอมแพ้ปล่อยเลยตามเลยไป


 


“อ้าว มันไม่ใช่เต่าหรอ” เมื่อจูเจียนฮัวเริ่มสังเกตุถึงความแปลกประหลาดของมันทำให้เขาตกใจขึ้นมา


 


“ไหนขอดูหน่อยสิว่าเต่าอะไร” เฉินเจียเหยาเริ่มสนใจเลยเพ่งมองดูบ้าง


 


“ไหนๆ แน่นอนว่ามันเป็นเต่า หืม เดี๋ยวนะ” เฉินฮงเองเมื่อเห็นมันได้ชัดขึ้น


เขานั้นเพ่งมองแบบตาไม่กระพริบในขณะที่เจ้าเต่านั้นว่ายน้ำอย่างสบายใจเชิบ


เมื่อเขาเห็นได้ชัดขึ้น สายตาของเขาเบิกกว้าง เขาขยี้ตาตัวเองก่อนที่จะมองดูอีกที


เขาพูดมาอย่างพยายามทำใจร่มๆว่า “พระเจ้า นั่นมันเต่า….”


 


“เต่างั้นหรอ” เฉินเจียเหยาเองก็รูสึกโง่งมขึ้นมา


หลังจากนั้นเขาคิดสักพักก่อนที่จะนึกได้ว่ามันคือเต่าอะไร เขาเองก็ถึงกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ปู่ เจ้าเต่านี้ใช่ตัวที่ปู่เคยบอกว่าเหลือแค่สามตัวบนโลกไม่ใช่หรอ”


 


“เจ้าก้อนยักษ์นั่นหายากขนาดนั้นเลยหรอ” จูเจียนฮัวถึงกับโง่งมเมื่อได้ยิน


 


“เคยมีอยู่สาม แต่ตัวหนึ่งที่อยู่ที่เวียดนามตายไปพักใหญ่แล้ว ตอนนี้เหลืออีกแค่สองตัวบนโลกเท่านั้น


อาจิ้งนี่นายขโมยมาจากสวนสัตว์ที่ชางชาหรือที่ซูโจวกันเนี่ย นายทำอย่างนี้ได้ยังไง


ต่อให้นายตายไปก็ไม่สามารถชดใช้ความผิดนี้ได้นะ” เฉินฮงพูดออกมาด้วยความโกรธ


 


“ปู่ อย่ากังวลไปเลย เมื่อเหล่าสรรพสัตว์มาอยู่ในมือซูจิ้ง ไม่มีวันที่พวกมันจะตายได้ง่ายๆหรอก


สุขภาพของมันจะดีวันดีคืนด้วยซ้ำ คุณซูน่าจะพามาเพราะว่ามันป่วยมากกว่านะ” เฉินเจียเหยาเองพยายามแก้ต่างให้


 


“นี่คุณเอาสมองส่วนไหนพูดออกมาเนี่ย ไปลองเช็คในอินเตอร์เนตก่อนไป เจ้าเต่าทั้งสองตัวนั่นสมควรมีการถ่ายทอดสดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงไม่ใช่หรอ มันหายไปรึไงกัน” ซูจิ้งเห็นทั้งสองออกตัวแบบออกนอกหน้า เขาเลยสวดกลับไปหนึ่งบท


 


เฉินเจียเหยาและจูเจียนฮัวเมื่อได้ยินดังนั้นจึงได้ลองเช็คดูด้วยมือถือ ปรากฎว่าเจ้าเต่าสองตัวที่ว่ายังอยู่ดีที่สวนสัตว์ทั้งสองแห่ง แถมยังมีทัวร์นักท่องเที่ยวพยายามถ่ายรูปมันอย่างตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ


 


“พระเจ้า อย่าบอกว่านี่คือเต่าตัวที่สาม” เฉินฮงมองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา


 


“คุณซู คุณไปได้มันมาจากไหนเนี่ย” เฉินเจียเหยาเองก็ถามออกมาพลางจ้องไปอย่างไม่เชื่อสายตาเช่นกัน


 


“ไปจับมาได้จากในป่ากลางภูเขาน่ะ” ซูจิ้งใช้นิ้วเกาจมูกระหว่างตอบออกไป


 


“ถ้าเจ้านี่ออกไปสู่สายตาชาวโลกจะต้องเป็นที่ฮือฮาแน่ๆ จิ้ง นายอย่าขายเจ้าเต่านี่เลยนะ มันค่อนข้างเสี่ยงเพราะผิดกฎหมาย” เฉินฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นในขณะที่จ้องมองเต่าด้วยสายตาไม่กระพริบ


 


“เฮ้อออออ แล้วใครบอกผมจะขายกัน มันบาดเจ็บอยู่ ตอนผมเจอมันก็บาดเจ็บหนักเลยพามารักษาเท่านั้น แน่นอนว่าโลกภายนอกไม่มีทางรู้หรอกตราบใดที่พวกคุณเก็บความลับนี้ไว้” ซูจิ้งพูดออกมา


 


หลังจากได้ยินซูจิ้งพูด เฉินฮงก็เบาใจขึ้นมา เขายังมองเจ้าเต่าว่ายน้ำอย่างสบายใจเฉิบ


แม้แต่เฉินเจียเหยาและจูเจียนฮัวเองก็มองอย่างสนใจ จูเจียนฮัวพลางคิดไปว่าน่าจะเอาเจ้าเต่านี่ไปโชว์ไม่ได้แหงๆเพราะเป็นถึงสมบัติที่เหลือเพียงสามตัวบนโลกใบนี้


 


สวนสัตว์เลี้ยงดูแลไม่ไหวแน่นอน


 


“อาจิ้ง เจ้าเต่านี่คงไม่ไหวอ่ะ ฉันว่านายลองหาสัตว์ตัวอื่นมาให้พวกเราเพิ่มก็ดีนะ


ถึงแม้เจ้าหนูสามตัวนั่นจะไม่เลวแต่ก็ยังไม่พออยู่ดี” จูเจียนฮัวพูดออกมา


ทันใดนั้นเขาก็เห็นสัตว์ตัวหนึ่งขนฟูๆคล้ายกระรอก มีหูใหญ่เหมือนกระต่าย


เขาเห็นมันวิ่งขึ้นบันไดมา เขาจ้องมันตาไม่กระพริบ เขาก็ว่าเขามาที่นี่บ่อยแล้วแต่ทำไมไม่เคยเห็นมันเลย


เขาคิดว่าเจ้านี่น่าจะเหมือนกับเจ้าหนูสามตัวนั่น แต่ทันทีที่เขาพูดออกมาซูจิ้งรีบยกมือมาอุดปากเขาไว้


 


ไม่ทันที่เจ้าสัตว์ตัวนั้นจะวิ่งผ่านไปพ้นสายตา


สิ้นคำของจูเจียนฮัวทำให้เจ้าหนูหูกางนั่นหยุดกึก


พร้อมหันมามองและจ้องด้วยความโกรธ


ด้วยการที่มันเป็นสัตว์สงคราม(สัตว์ที่มีสติปัญญา)เจ้าหนูนี่เข้าใจจูเจียนฮัวทุกคำพูด


ทันใดนั้นมันสูดลมเข้าปากทันที


 


“ฮ่าฮ่าดูสิเจ้านี่เหมือนจะโกรธนะ” จูเจียนฮัวพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮ่าฮ่า ช่างน่ารักซะจริง” เฉินเจียเหยาเองก็พูดด้วยรอยยิ้มออกมา


 


“บิงบิง หยุดนะ….” ซูจิ้งหน้าเปลี่ยนสีทันทีพร้อมตะโกนออกไป


แต่ก็สายไปเสียแล้ว บิงๆเปิดปากออกปล่อยไอเย็นออกมาในทันที มันพ่นไอเย็นไปทางจูเจียนฮัว


จูเจียนฮัวในตอนนี้มีสภาพที่เข็งเหมือนโดนแช่แข็งในห้องฟรีซตู้เย็น


เขาหายใจสั่นละรัว หลังจากนั้นก็หงายหลังล้มลงไป


 


ซูจิ้งรีบเข้าไปช่วยเหลือเขาในทันทีด้วยเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ผลิ


เฉินเจียเหยาและเฉินฮงต่างมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความโง่งม พระเจ้านี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่


โชคยังดีที่เวทมนต์ความเย็นนี้มีพลังไม่มาก ถึงแม้จะมีผลแช่แข็งแต่มันก็ส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างช้าๆทำให้เขาพอจะจัดการได้ทัน


หลังจากนั้นไม่นานจูเจียนฮัวก็กลับมาอยู่ในสภาพปกติ


 


ซูจิ้งพลางนึกขึ้นมาว่าบิงๆช่วยสอนบทเรียนแก่เขาเลยทีเดียว


ต่อให้หมอนี่จะตัวเล็กแค่ไหนแต่ยังไงซะมันก็ยังเป็นสัตว์สงคราม(มีสติปัญญา)


และเขาเองก็เพิ่งจะเริ่มทำพันธะสัญญาและยังไม่ได้ฝึกหมอนี่ซักเท่าไหร่ทำให้ยังคงหลงเหลือสัญชาตญานแห่งสัตว์สงครามอยู่


ดีไม่ดีต่อให้ฝึกอย่างดีแล้วก็อาจจะยังคงเผลอหลุดสัญชาตญาณป่าออกมาได้อยู่ดี


ในตอนนี้บิงบิงเริ่มรู้สึกตัวแล้วว่าได้เผลอทำสิ่งที่ไม่ดีออกไป มันมองซูจิ้งด้วยท่าทางสำนึกผิด


ตอนนี้มันช่างดูน่าสงสารอย่างมาก


อย่างไรก็ตามเมื่อจูเจียนฮัวได้สติเต็มที่แล้ว เขาไม่คิดว่าเจ้าหนูหูกองตัวนี้น่ารักอีกต่อไป


เขาถามออกมาด้วยความรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า “อาจิ้ง นี่นายเลี้ยงตัวอะไรกันแน่เนี่ย”


 


ซูจิ้งนึกซักพักก่อนจะพูดออกมาว่า “ถ้าจะให้พูดล่ะก็มันก็เป็นสัตว์จำพวกกระรอกก็ว่าได้ล่ะมั้ง


มันหายากมากๆและไม่มีทางที่จะได้พบเจอมันง่ายๆ มันมีความสามารถในการปล่อยไอเย็นออกมาแบบเครื่องปรับอากาศแต่รุนแรงกว่า


คล้ายๆกับพวกปลาไหลไฟฟ้ากับแมลงตดนั่นแหล่ะ ไม่มีอะไรน่าแปลกใจเลยสักนิด(เสียงสูง)


พวกนายจะตกใจทำไมกัน”


 


ทั้งเฉินฮง เฉินเจียเหยา และจูเจียนฮัวในตอนนี้เหลือกตามองซูจิ้งในทันที เชื่อเขาก็บ้าแล้วล่ะ


ต่อให้เด็กสามขวบมาเห็นก็ยังบอกได้เลยว่าเจ้าหนูนี่ไม่ได้ธรรมดาสามัญอย่างที่ซูจิ้งบอกเลยซักนิด


ซูจิ้งเองก็พูดความจริงไม่ออกเลยต้องอธิบายไปแบบมั่วๆ เขาเองก็ไม่ได้พยายามอธิบายเพิ่มเติมแต่อย่างใด


เขาคงได้แต่โทษตัวเองเท่านั้นที่มัวแต่วุ่นๆเลยยังไม่ได้สอนบิงๆให้ทำตัวดีๆซักหน่อย


แต่อย่างน้อยๆเขาก็มั่นใจได้อย่างนึงว่าทั้งสามคนนี้ไม่เอาเรื่องที่พบเจอทั้งหมดนี่ไปพูดที่อื่นแน่นอน

 

 

 


ตอนที่ 759

 

จุดเริ่มต้นแห่งความสยองขวัญ


 


เฉินฮงได้นำเพชรทั้งสามไปยังโรงประมูลฯ ส่วนเฉินเจียเหยาและจูเจียนฮัวก็ได้นำเจ้าหนูสามตัวกลับไปยังสวนสัตว์เลี้ยงโดยมีซูจิ้งตามไปด้วย


เนื่องจากวันนี้ซูจิ้งยังไม่มีเรื่องเร่งด่วนที่ต้องทำเขาเลยตัดสินใจไปฝึกสัตว์ซักหน่อย


เขาใช้เวลาฝึกสัตว์ที่สวนสัตว์เลี้ยงไปประมาณสองชั่วโมงจึงกลับบ้าน


หลังจากกลับมาแล้วเขาได้ทำการศึกษาสิ่งที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯต่อ นั่นก็คือลวดลายเวทมนต์และสมุดบันทึกของจอมเวทย์


 


วันนี้สำหรับซูจิ้งแล้วถือเป็นวันที่สุดแสนธรรมดาที่ดูสบายๆ เช่นเดียวกับอีกหลายๆคนในเมืองจงหยุน ในตอนเที่ยงวันในลานทิ้งขยะแห่งหนึ่งในเมือง มีคนสองสามคนกำลังคุ้ยขยะอยู่


 


ลานทิ้งขยะแห่งนี้ช่างสกปรกและมีกลิ่นเหม็นลอยคลุ้งไปทั่ว แม้แต่คนธรรมดายังไม่อยากจะผ่านเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย


ต่อให้คุณมั่นใจว่าสามารถทนกลิ่นเหม็นได้แค่ไหนแต่มั่นใจได้เลยว่าคุณจะไม่อยากเข้ามาใกล้ที่แห่งนี้แน่นอน


แต่ก็ยังมีคนบางส่วนที่ชีวิตเลือกเกิดไม่ได้ หรือคนที่ไม่มีอะไรจะเสียแล้วเข้ามาคุ้ยขยะในลานทิ้งขยะแห่งนี้


พวกเขาอาศัยการหาของที่ยังพอมีคุณค่าแล้วนำไปขายแลกกับเงินเพียงน้อยนิด


นอกซะจากว่าจะโชคไม่ดีจริงๆวันนั้นคุณจะได้ไม่เกินร้อยหยวน บอกได้เลยว่าคนพวกนี้ต้องใช้โชคยิ่งกว่าเสี่ยงโชคซื้อลอตเตอรี่ซะอีก


 


หลิวดาจูเป็นชายที่ถูกไล่ออกจากงาน เขาอายุประมาณสี่สิบถึงห้าสิบปี ร่างกายของเขาอ่อนแอและกำลังป่วย


ด้วยสภาพร่างกายแบบนี้ทำให้ไม่มีที่ไหนอยากได้เขาเข้าไปทำงาน เขานั้นเคยแต่งงานและมีลูกคนหนึ่ง


แต่ด้วยการที่ติดการพนันทำให้ภรรยาทิ้งเขาไปโดยพาลูกชายของเขาไปด้วย


ตอนนี้เขาเหลือตัวคนเดียวพร้อมทั้งมีหนี้สินก้อนโตอยู่แต่ก็เท่านั้นเพราะด้วยสภาพของเขาตอนนี้ไม่มีทางเคลียหนี้สินได้อยู่แล้ว


แค่เอาตัวรอดไปวันๆยังยากเลย


 


ในทุกวันเขาได้แต่เพียงวาดฝันว่าจะได้เจอแจ๊คพอตได้รวยเป็นเศรษฐีดูไบ หรือไม่ก็มีพวกทวงหนี้ซักคนมาแทงเขาให้ตายๆไปซะ เพราะตอนนี้เขานั้นเริ่มเหนื่อยหน่ายกับการใช้ชีวิตมากแล้ว


 


เขาได้หยิบบุหรี่ที่ถูกสูบไปแล้วครึ่งตัวที่อยู่กับพื้นขึ้นมาและเป่าลมใส่มันเล็กน้อย ถึงแม้มันจะดูสกปรกแต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกรังเกียจมันแม้แต่น้อย


เขาคาบมันไว้พลางหยิบไม่ขีดไฟขึ้นมาจุดมัน เขาสูบมันอย่างสบายอารมณ์ เสียสุขภาพรึ น่ารังเกียจรึ


เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นแม้แต่น้อย


 


เขาได้สังเกตุเห็นว่ามีกองขยะกองหนึ่ง มันเป็นกองที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนหน้านี้แสดงว่ามันเพิ่งถูกเทลงมาเมื่อไม่นานมานี้


เขารีบเดินเข้าไปเพื่อจะคุ้ยหาในทันทีเพราะว่ายิ่งกองขยะใหม่เท่าไหร่นั่นหมายความว่ายังมีของให้เขาสามารถหาได้มากเท่านั้น


ที่นั่นเขาเจอชายวัยกลางคนผอมจนเนื้อติดกระดูกอยู่คนหนึ่งที่ท่าทางดูแล้วไม่ต่างไปจากเขาแม้แต่น้อย พวกเขาต่างจ้องกันและกันโดยไม่พูดอะไรออกมาซักคำ


 


หลิวดาจูรู้สึกกดดันเล็กน้อย เขารู้สึกได้ทันที่ว่าต้องมีอะไรแปลกๆเพราะเขานั้นอยู่ที่นี่มานานและคนตรงหน้าเขานั้นดูไม่ปกติเลยซักนิด


ทันได้นั้นชายคนนั้นก็ได้กรีดร้องออกมานั่นทำให้หลิวดาจูตกใจกลัวในทันที


 


“ห่าเหวอะไรวะเนี่ย มันเป็นอะไรของมันกัน” หลิวดาจูรู้สึกอารมณ์เสียทันทีพร้อมพูดออกมาด้วยความโกรธ


เขาได้เห็นว่าชายร่างผอมตรงหน้ามีอะไรบางอย่างทิ่มอยู่ที่มือข้างขวา เขานั้นดูไม่ออกเหมือนกันว่ามันเป็นหิน หรือเหล็ก มันดูแบนๆ


แต่ที่แน่ๆคือมันเหมือนกับหักทิ่มคาอยู่ที่มือของชายคนนั้น มันเหมือนกับเขาโดนทิ่มในขณะที่กำลังใช้มือคุ้ยหาขยะเมื่อครู่นี้


 


“ฮ่าฮ่า แกสมควรโดนแล้วล่ะ” หลิวดาจูรู้สึกยินดียิ่งที่เห็นความโชคร้ายของคนที่อยู่ตรงหน้า บอกได้เลยว่าคนตรงหน้าเขากำลังอยู่ในอารมณ์ที่เสียอย่างมากจนคาดไม่ได้เลยทีเดียว


 


“อ๊า…” ชายร่างผอมคนนั้นได้แสดงท่าทางกลัวความเจ็บปวดออกมาเมื่อมองไปที่มือของตน


และตอนนี้ใบหน้าของขาแสดงให้เห็นถึงความเจ็บปวด และหวาดกลัว


เขาพยายามจะใช้มือซ้ายดึงสิ่งที่ทิ่มแทงอยู่บนมือขวาของเขา หลังจากที่เขาดึงมันออกแล้วเขวี้ยงเจ้าสิ่งนั้นเข้าไปในกองขยะ


หลังจากนั้นได้หยิบทิชชู่ออกมาจากกระเป๋าแล้วทำการซับเลือดที่ไหลออกจากแผลที่บาดเจ็บ หยิบเศษผ้าที่ดูสะอาดนิดหน่อยมาพันทับทิชชู่เพื่อห้ามเลือดเอาไว้


 


ความจริงแล้วถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติเรื่องแค่นี้แค่ทำแผลธรรมดาก็จบไปแล้ว แต่สำหรับครั้งนี้มันต่างออกไป


สำหรับชายร่างผอม ตอนนี้เขารู้สึกได้ทันทีว่าหัวเขาเริ่มวิงเวียนและตาเขาเริ่มลายไปหมด


กว่าที่เขาจะตั้งตัวได้เขาก็หมดสติไปแล้ว ตอนนี้เขามีอาการน้ำลายฟูมปาก ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า


และตาแหลือกจนขาวโพลน


 


“ฉิบละ ไอ้บ้านี่ป่วยงั้นหรอ” หลิวดาจูตกตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น


เขาหันไปมองไปรอบตัวแล้วเดินออกมา เขานั้นไม่อยากจะมีปัญหา และก็ไม่อยากจะเรียกรถพยาบาลเพราะเขาไม่ใช่คนดีขนาดนั้น


 


หลังจากเดินออกมาได้สักพัก หลิวดาจูได้ยินเสียงแปลกๆมาจากข้างหลังของเขาและเงียบลงไป


ทำให้เขารู้สึกแปลกๆเลยหันไปดู คราวนี้เมื่อเขาเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเขาแทบจะกระโดดออกมาจากตรงนั้นด้วยความกลัว


สิ่งที่เขาเห็นบอกได้เลยว่าเขานั้นจะไม่ลืมมันไปตลอดชีวิต เขานั้นเห็นชายร่างผอมเริ่มเน่าเละอย่างรวดเร็ว แม้แต่ใบหน้าในตอนนี้ก็ไม่เหลือเค้าลางเดิมอีกต่อไป


 


ร่างกายของชายผอมในตอนนี้บวมเป็นลูกบัลลูนและมีลมพุ่งฟู่ออกมา หลังนั้นเพียงไม่ถึงนาทีชายร่างผอมได้กลายเป็นของเหลวสีโคลน


เหมือนอย่างน้ำเกิดจากขยะเปียกที่ทิ้งค้างไว้ในครัว แม้แต่กระดูกและอวัยวะภายในก็ไม่เหลือให้เห็น


ถ้ามีคนมาเห็นสภาพตอนนี้ก็บอกได้เลยว่าไม่คิดว่าจะกองน้ำที่อยู่ตรงหน้านี้เคยเป็นคนมาก่อนแน่นอน


 


หลิวดาจูในตอนนี้หน้าซีดเผือด แข้งขาอ่อนแรงไปหมด เขานั้นอยากจะรีบออกไปจากที่นี่โดยเร็วแต่ขาของเขาไม่ยอมฟังคำสั่งแม้แต่น้อย


หัวใจของเขาเองก็รู้สึกหวิวจนแทบจะเหลวเป็นน้ำได้เลย เขาพูดกับตัวเองออกมาว่า “เกิดอะไรขึ้น เกิดห่าเหวอะไรขึ้นวะเนี่ย”


 


หลิวดาจูได้ปลุกแรงเฮือกสุดท้ายออกมา เขาใช้มือดันดัวเองขึ้นจากพื้นแล้วพยายามหนีออกไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว


แต่ทันใดนั้นเหมือนสมองของเขามีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา สิ่งที่เขาคิดได้นั่นคือเจ้าแผ่นเหล็กนั่นและโอกาสหาเงิน


 


หลิวดาจูได้คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนที่หัวสมองดีอะไร และไม่ได้รู้จักมักคุ้นอะไรกับชายร่างผอมคนนี้


ถึงแม้จะเคยเห็นบ่อยๆแต่เขาก็แค่คนธรรมดาแต่อยู่ดีๆเขาก็ลงไปกองกับพื้นแล้วเปลี่ยนสภาพกลายเป็นโคลนตมแบบนี้ มันต้องเกิดอะไรซักอย่างที่ไม่ปกติมากๆ


และความเป็นไปได้ที่เขานึกออกคือเจ้าแผ่นอะไรบางอย่างนั่นจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน


 


หัวใจของหลิวดาจูในตอนนี้เต้นอย่างระส่ำระสายและชีพจรเองก็เต้นเร็วไม่แพ้กัน


แต่ในเวลาเดียวกันเขาก็ได้คิดเรื่องบ้าๆออกมาได้เรื่องหนึ่งออกมา เขานั้นเกิดมาและมีชีวิตด้วยความยากแค้นและใกล้ตายอย่างแน่นอนแล้ว


เขาจะต้องกลัวอะไรอีกล่ะ


ถ้าเขาใช้ไอ้เจ้าแผ่นบ้าๆนั่นหาผลประโยชน์ล่ะก็ ไม่มีใครทำอะไรเขาได้เพราะเขาสามารถฆ่าใครก็ได้แทบจะในทันที


 


หลิวดาจูพยายามข่มความกลัวของตนเอง เขาเดินไปเดินมาทั่วบริเวณ แม้กระทั่งย่ำลงไปบนกองเลือดเน่าๆนั่น ไม่นานเขาก็พบเจ้าแผ่นที่เขาเห็นเต็มไปด้วยเลือด นั่นทำให้เขานั้นรู้สึกอยากจะอ้วกในทันที


 


เขานั้นหันไปมองรอบๆจนเห็นขวดๆหนึ่ง เขาจึงได้เอาปากขวดไปจ่อกับเจ้าแผ่นนั่นแล้วใช้ไม้เขี่ยเจ้าแผ่นนั่นเข้าไปในขวด เขารอดูซักพักหนึ่งพอเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง


 


เขาได้ทำการสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์โนเกียรุ่นเก่ามากๆออกมาและทำการโทรหาใครคนหนึ่ง


 


“หลิวดาจู ฉันไม่คิดว่าแกจะเป็นคนโทรมาหาเองเลยนะเนี่ย นี่แกจะจ่ายเงินคืนฉันงั้นหรอ”


 


“ลูกพี่ไบครับ ผมนั้นไม่มีเงินหรอก แต่ผมได้ของน่าสนใจมาชินหนึ่ง ลูกพี่ต้องลองดูด้วยตาของตัวเองนะ ผมคิดว่ามันทีค่ามากกว่าแสนหยวนแน่นอน” หลิวดาจูพูดออกไป


 


“อะไรล่ะ”


 


“ผมบอกไม่ได้ครับ ลูกพี่จะได้รู้เมื่อลูกพี่เห็นมันด้วยตาตัวเอง แต่เชื่อได้เลยว่าผมไม่ทำให้ลูกพี่ต้องผิดหวังน่านอน”


 


“ถ้าแกเล่นตุกติกกับฉันล่ะก็ ฉันจะทำให้แกร้องขอความตายแน่นอน”


 


“ลูกพี่ไบ ผมจะไปกล้าเล่นตุกติกกับพี่ได้ไงล่ะ ถ้าผมทำก็เหมือนผมไม่อยากจะมีชีวิตอยู่น่ะสิ”


 


“ก็ดี ถ้าแกว่าอย่างนั้นก็ไปเจอกันที่เก่าวันพรุ่งนี้ตอนสิบโมงเช้าแล้วกัน”


 


“ได้ครับ” หลิวดาจูได้วางสายลง ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นและหวั่นใจในเวลาเดียวกัน เขาจับขวดที่อยู่ในมือให้กระฉับไว้เหมือนจะกลัวขวดนั้นหลุดมือหล่นแตก


เขามองกลับไปที่แอ่งเลือดที่เน่าดำอยู่บนพื้นก่อนที่จะหาไม้มาเขี่ยกองขยะกลบมันจนหมด แล้วเขาก็เดินจากไป



GGS:บทที่ 760 เคลือบแคลงใจ


 


ซูจิ้งไม่ได้รับรู้เรื่องแปลกประหลาดที่ได้เกิดขึ้นในพื้นที่กองขยะภายในเมือง เขายังคงวุ่นอยู่กับการศึกษาขยะที่เขาได้เหลือเอาไว้นั่นก็มนุษย์ต้นไม้


พวกมันค่อนข้างกินพื้นที่ในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาพอสมควรเลย


 


ก่อนหน้านี้ตอนที่เจอซากของมนุษย์ต้นไม้ เขาได้ลองนำรากและกิ่งที่ได้จากซากพวกมันไปปักชำทั้งในดินธรรมดา เศษแร่หินวิญญาณ และดินจอมเขมือบ


แต่ไม่มีส่วนไหนเลยที่ดูจะมีชีวิตรอดได้เลยซักส่วนเดียว ถึงตอนแรกในส่วนกิ่งไม้จะดูมีท่าทีว่าจะรอดก็ตามแต่สุดท้ายมันก็ตายลงเมื่อไม่มีรากไว้คอยดูดซึมสารอาหาร


 


ซูจิ้งก็ยังคงไม่ยอมแพ้ที่จะเพาะเลี้ยงมนุษย์ต้นไม้ ถึงแม้จะมีโอกาสที่พวกมันจะกลายเป็นเพียงต้นไม้ธรรมดาแต่ยังคุ้มค่าถ้าพวกมันรอดมาได้


 


“เอ้อ นี่ฉันลืมเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯไปได้ยังไงกัน ไม่รู้ว่าจะใช้ได้รึเปล่าแหะ” ซูจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาในทันทีที่เขาคิดออก


เวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯนั้นถึงแม้ว่าจะเป็นเวทย์ที่ใช้ในการรักษาโดยอาศัยพลังงานจากธรรมชาติก็ตามแต่ยังไงซะมันก็ถือได้ว่าเป็นเวทย์ธาตุไม้แถมยังช่วยในการติดต่อสื่อสารกับต้นไม้ได้


เขานึกถึงความรู้สึกตอนที่เขาเคยฝึกในการดูดซับพลังธาตุไม้ที่อยู่ในต้นไม้และยังปรับเปลี่ยนรูปร่างของต้นไม้ได้อย่างใจนึก


ถ้าเขาทำแบบนั้นกับกิ่งก้านของมนุษย์ต้นไม้จะช่วยให้พวกมันรอดได้รึเปล่านะ


 


ซูจิ้งนึกได้ดังนั้นจึงได้ลองทำดู เขาปิดตา วางฝ่ามือทาบลงบนลำต้นของมนุษย์ต้นไม้


เขาได้รู้สึกถึงพลังธรรมชาติที่อยู่ในแก่นของมัน ถึงแม้พวกมันจะดูเหมือนตายแล้วแต่มันก็ยังคงมีใบที่ดูเขียวชะอุ่ม


เขาคิดว่าพวกมันยังไงก็ยังคงมีชีวิตอยู่เพียงแต่อาจจะหลับไหลแค่นั้นเอง


 


ทันใดนั้นรากของเศษซากมนุษย์ต้นไม้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง กิ่งก้านและใบไม้ของมันเริ่มมีการสั่นไหว


กิ่งก้านและใบบางส่วนเริ่มเหมือนส่งเสียงแห่งจังหวะหัวใจออกมา


และสีใบและกิ่งก้านดูเข้มมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนมันกลับมามีชีวิตอีกครั้ง


 


หลังจากนั้นซักพัก กิ่งก้านบางส่วนเริ่มมีเสียงแตกหักและได้มีรากงอกออกมา จนเหมือนกับเป็นต้นไม้อีกต้นหนึ่ง


 


“สำเร็จ ไม่นึกเลยว่าเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯจะใช้แบบนี้ก็ได้แหะ” ซูจิ้งแสดงท่าทีออกมาอย่างดีใจ เขาได้ทำการตัดกิ่งไม้ในส่วนที่มีรากออกมาแล้วนำมันไปปลูกลงในดินแล้วรถน้ำพวกมัน


 


ซูจิ้งก็ยังคงทำเช่นนี้กับซากของมนุษย์ต้นไม้ต้นอื่นๆ โดยเขาแยกไปปลูกในสถานที่ๆต่างกันไป บางส่วนปลูกลงบนชั้นสาม บางส่วนปลูกลงบนเกาะทะเลทราย วนเวียนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ


 


ในส่วนเมล็ดของพืชเวทย์มนต์เขาก็ทำอย่างนี้เช่นเดียวกัน และเขายังพวกมันบางส่วนไปปลูกลงในเศษแร่หินวิญญาณก็พบว่า 66 ต้นได้งอกออกมา พวกมันดูเหมือนจะไม่ได้ปลูกยากเหมือนดั่งที่เขากลัวไว้


 


หลังจากนั้นซูจิ้งได้ทำการศึกษาสมุดบันทึกของจอมเวทย์ อัญมณีเวทย์มนต์ จนกระทั่งได้ความรู้เพิ่มขึ้นพอสมควร


ถึงแม้จะดูเหมือนง่ายแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีอีกหลายอย่างที่เขายังไม่เข้าใจและยังไม่สามารถสร้างอาวุธเวทย์มนต์ได้ในตอนนี้ เขาทำได้เพียงเรียนรู้ไปอย่างช้าๆ


ไม่อย่างนั้นอาจจะเผลอไปทำลายอัญมณีเวทย์มนต์เอาได้


 


“ฉันจะซ่อมเจ้างานแกะสลักหินที่แตกออกมายังไงดีหว่า” ซูจิ้งเลือกที่จะคิดว่างานแกะสลักหินนั้นเป็นเพียงงานแกะสลักธรรมดาเท่านั้น


เขาเลือกที่จะมองข้ามความจริงไปว่าพวกมันเป็นคนมาก่อนเพราะมองจากภายนอกดูยังไงก็เป็นงานแกะสลักหินชั้นเลิศอยู่แล้ว


อย่างไรก็ตามปัญหาในการซ่อมแซมงานแกะสลักหินนี้ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือความละเอียดอ่อนเพราะงานแกะสลักหินนี้มีความละเอียดอ่อนระดับเห็นรูขุมขน


ถ้าเป็นงานแกะสลักหินทั่วไปแค่ให้ช่างธรรมดามาซ่อมแซมโดยนำส่วนที่หักมาต่อแค่นั้นก็พอ


แต่ด้วยความละเอียดระดับนี้ต่อให้เป็นช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ก็ไม่มีทางซ่อมได้เลย


ถ้าจะพูดให้ถูกคือบนโลกในตอนนี้ยังไม่มีวิธีการซ่อมแซมได้อย่างแน่นอน


ถึงแม้ซ่อมแซมได้แต่หากยังเหลือร่องรอยเอาไว้มูลค่าของพวกมันก็จะยิ่งลดลงกว่าไม่ซ่อมซะอีก


ไม่ว่าซูจิ้งจะอยากจะซ่อมแค่ไหนแต่เขาก็ยังนึกไม่ออกว่าควรจะซ่อมแซมยังไงดี


 


“เฮ้อ คงได้แต่เก็บเอาไว้ก่อนล่ะมั้ง ไม่แน่ว่าภายหน้าฉันอาจจะนึกวิธีออก


ไม่ก็อาจพบเทคนิคดีๆในการซ่อมก็ได้ ยังไงซะตอนนี้ฉันก็มีงานแกะสลักหินที่สมบูรณ์แล้วสองชิ้น


ถ้ามีมากกว่านี้น่าจะทำให้ด้อยค่าลง” ซูจิ้งคิดได้ดังนั้นจึงได้เก็บรูปแกะสลักหินลงไปในกระเป๋ามิติ


 


สุดท้ายซูจิ้งได้หยิบเอาลูกธนูและแขนกลออกมา หลังจากพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว


เขานั้นก็ยังไม่พบอะไรน่าสนใจในลูกธนูอันนั้น ลวดลายเองก็ไม่ใช่ลวดลายเวทมนต์เหมือนอุปกรณ์ชิ้นอื่นที่เจอ ส่วนแขนแกลนั้นเขายิ่งดูยิ่งงุนงงมากขึ้นเรื่อยๆ


นั่นก็เพราะว่ารูปลักษณ์และเทคนิคที่สร้างมันขึ้นมาล้วนมหัศจรรย์พันลึก


โดยเฉพาะในส่วนของข้อแต่ไม่ว่าจะเป็นข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้ว แต่ละส่วนล้วนแล้วแต่ดูยืดหยุ่นเหมือนกับใช้เทคนิคชั้นสูงในการผลิต


 


“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแขนกลสุดล้ำยุคเลยแหะ ไม่รู้เหมือนกันว่าตูเว่ยสร้างขึ้นมาได้ยังไง


เพราะตัวตูเว่ยก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องเทคโนโลยีสักเท่าไหร่


แถมยุคที่หลุดเข้าไปเป็นยุคบรรพกาลซะอีก เทคโนโลยีสมัยนั้นทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ


หรือว่าเขาจะใช้ความรู้บนโลกไปประยุคเข้ากับศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุบนห้วงเวลาฯนั้นกันนะ”


ซูจิ้งทำได้แค่สงสัยจนต้องตั้งสมมุติฐานขึ้นมา


 


หลังจากเขาดูแขนกลนั่นไปอีกพักใหญ่ เขายิ่งเกิดข้อกังขาขึ้นมาจึงตัดสินใจที่จะนำเจ้าแขนนี่ไปยังสถาบันวิจัยวัสดุเทียนซือเพราะที่นั่นน่าจะมีนักวิจัยที่น่าจะทำอะไรเจ้าแขนนี่ได้มากกว่าเขา


 


“หัวหน้า ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ” เจียงจื่อยิ้มทักทายเมื่อเขาเห็นซูจิ้งเข้าไปยังสถาบัน


 


“ฮ่าฮ่าเพราะผมเชื่อใจคุณยังไงหล่ะ” ซูจิ้งได้กล่าวยกยอเจียงจื่อ ยังไงซะการกล่าวยกยอผู้คนแบบนี้เขารู้สึกว่าให้ความรู้สึกดีกว่าการให้เงินหรือสิ่งของเป็นไหนๆ


 


“ว่าแต่วันนี้หัวหน้ามีอะไรรึเปล่าครับถึงได้มาที่นี่วันนี้” เจียงจื่อถามออกมาพร้อมชะเง้อมองเป้ที่ซูจิ้งสวมมาด้วยพร้อมความรู้สึกตื่นเต้นที่ค่อยๆออกมา


เหมือนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นประจำไปแล้วว่าเมื่อใดที่ซูจิ้งมาหา เมื่อนั้นเขาจะนำสิ่งน่าสนใจมาด้วยทุกครั้ง


 


“เอาจริงๆก็มีนะ วันนี้ผมมีของมาให้คุณช่วยศึกษาดูหน่อยน่ะ ยังไงก็เรียกติงบินและเทาจงมาด้วยก็ดีนะ” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“เยี่ยม” เจียงจื่อรีบโทรหาติงบินและเทาจงที่กำลังอยู่ในแล็บทันที


เทาจงกำลังศึกษาแผงพลังงานแสงอาทิตย์อยู่ในช่วงนี้เพื่อหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพของแผงนี่เพราะว่าเจ้าแผงพลังงานแสงอาทิตย์นี่ทุกครั้งที่มีการเพิ่มประสิทธิภาพ


ค่าใช้จ่ายในการผลิตก็เพิ่มเติมเขาจึงพยายามหาวิธีเพิ่มประสิทธิภาพโดยลดราคาค่าใช้จ่ายในการผลิตลงให้ได้ ความจริงเขาก็คิดเรื่องนี้มาได้พักใหญ่แล้วแต่เขาทำคนเดียวไม่ไหว


แต่เมื่อได้เทาจงมาช่วยทำให้เขานั้นคิดว่าโครงการนี้ต้องสำเร็จได้อย่างแน่นอน


และด้วยความน่าเชื่อถือของเทาจงทั้งในเรื่องความรู้และความไว้ใจได้ซูจิ้งถึงให้เขามาด้วย


 


“สิ่งนี้” ซูจิ้งได้เปิดกระเป๋าเป้ที่เขาสะพายออกมาและได้นำแขนกลออกมาให้ทุกคนดู


 


เมื่อทั้งสามคนได้เห็นแขนกลพวกเขาได้แต่ทำหน้านิ่งอึ้งไป


พวกเขาได้หยิบแขนกลนี้มาสำรวจในแต่ละจุด พวกเขาตกตะลึงในส่วนที่เป็นข้อต่อมากที่สุดเพราะว่ามันช่างดูยืนหยุ่นเหมือนแขนจริงๆ


นอกจากนั้นพวกเขาได้ลองทดสอบวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตแขนกลนี้


เมื่อผลออกมาพวกเขาก็ทำได้แค่ประหลาดใจ


 


“โลหะผสมนี้แข็งมาก แทบจะบอกได้ว่าพอๆกับโลหะผสมของพวกเราเลย”


 


“ดูเหมือนว่าจะมีส่วนผสมบางอย่างที่ดูแปลกตานะ ผมเองก็ไม่เคยเห็นส่วนผสมนี้มาก่อน”


 


“พวกคุณสามารถบอกได้เพียงแค่เห็นมันเฉยๆเนี่ยนะ แล้วมันใช่แขนกลล้ำยุครึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา


เขานั้นไม่ได้แปลกใจเรื่องส่วนผสมนักเพราะยังไงซะมันก็มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ


เป็นไปได้อยู่แล้วว่ามันต้องทำจากวัตถุดิบที่ไม่มีในโลกใบนี้ ด้วยความรู้เรื่องเล่นแร่แปรธาตุเป็นธรรมดาที่จะทำวัสดุที่แข็งกว่าโลหาผสมธรรมดาได้


แต่ที่ซูจิ้งสนใจก็คือวิธีการสร้างเจ้าสิ่งนี้ว่าพอจะเป็นไปได้รึเปล่า


 


“ก็เป็นไปได้ครับแต่เรายังไม่แน่ใจนัก พวกเราต้องทำการตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้ง”


ตอนนี้เหล่านักวิจัยทุกคนที่นี่ต่างเข้ามาให้ความสนใจที่จะมีส่วนร่วมในการวิจัยแขนกลอันนี้


เท่าที่ซูจิ้งประเมินแล้วน่าจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบพอสมควร ซูจิ้งจึงไม่ได้อยู่รอ


เขาออกมาจากที่นั่นและได้บอกเจียงจื่อไว้ว่าให้รายงานให้เขาทราบทันทีที่รู้ผล



GGS:บทที่ 761 ปรากฎการณ์แปลกๆ (1)


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งเดือนผ่านไป สำหรับช่วงเวลานี้แล้วซูจิ้งรู้สึกสงบสุขอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นช่วงเวลาดีๆที่สบายใจอย่างมาก


 


เช้าวันนี้ในขณะที่ซูจิ้งกำลังทำอะไรไปเรื่อยเปื่อยนั้น อยู่ก็ได้มีโทรศัพท์เข้ามาหาเข้า คนที่โทรมาคือผู้ช่วยของมู่หรงเซียนเอ๋อ


ซูจิ้งพลางนึกไปถึงคนสวยๆที่เขาเคยเห็นอยู่กับเซียนเอ๋อ ทำให้เขารู้สึกแปลกใจในทันทีที่เห็นว่าเธอโทรมา


 


เมื่อเขารับสาย ผู้ช่วยของเซียนเอ๋อได้พูดด้วยน้ำเสียงหวั่นไหวออกมาว่า “คุณซูขอโทษจริงๆค่ะที่โทรมารบกวน”


ซูจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรอ”


 


“คือ…ตอนแรกฉันคิดว่าจะจัดการเรื่องนี้ไหวเลยไม่คิดว่าจะรบกวนคุณค่ะ แต่ยิ่งจัดการเรื่องนี้ดูเหมือนจะยิ่งกลายเป็นเรื่องใหญ่ค่ะ” ผู้ช่วยของเซียนเอ๋อพูดต่ออีกว่า “ฉันเห็นว่าคุณซูและเซียนเอ๋อดูมีสัมพันธ์อันดี


และคุณซูสามารถแก้ปัญหาเรื่องโดนขมขู่ได้อย่างรวดเร็ว ฉันเลย…”


ซูจิ้งได้รีบพูดออกไปว่า “พูดออกมาเลยดีกว่าครับ เกิดอะไรขึ้น”


ผู้ช่วยฯจึงได้พูดออกมาว่า “ตอนนี้มีบางคนกำลังใส่ร้ายเธออยู่ค่ะ คุณสามารถดูได้จากสิ่งที่ฉันส่งให้คุณ”


ซูจิ้งนิ่งอึ้งไปพักนึงก่อนจะถามไปว่า “ไอ้พวกใส่ร้ายนี่ไม่ใช่เรื่องปกติของดาราเหรอ ว่าแต่ทำไมคุณจัดการเรื่องนี้ไม่ได้ล่ะ”


“เอาจริงๆคือเรื่องการใส่ร้ายในครั้งนี้ฉันไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงค่ะ” ผู้ช่วยฯพูดออกมาอย่างจนปัญญา “ครั้งนี้ปฏิกิริยาที่ประชาชนมีต่อเธอในครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง


พวกเราเองก็พยายามที่จะแก้ข่าวแล้วแต่กลายเป็นว่าทุกคนเลือกที่จะเชื่อคนที่ใส่ร้ายเธอมากกว่า


ทำให้ตอนนี้แฟนคลับของเธอเริ่มที่จะมีปัญหากับเธอเองแล้ว”


ซูจิ้งจึงรีบพูดออกมาทันทีว่า “ขอผมดูก่อนนะ”


เมื่อซูจิ้งได้เห็นข้อมูลที่มีการใส่ร้าย


เขานั้นถึงกับคิ้วขมวดในทันที


เขาสามารถบอกได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการใส่ร้ายธรรมดาแค่นั้นเอง


บางทีก็เป็นคนที่อิจฉา บางคนก็หมั่นใส้


แต่ครั้งนี้เขารู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรผิดปกติเลย


แทบจะดูไม่เหมือนมู่หรงเซียนเอ๋อถูกใส่ร้ายเลยซักนิดเหมือนเธอคิดไปเองมากกว่า


 


ข่าวแรกที่ออกมาเมื่อคืนนี้คือมู่หรงเซียนเอ๋อใช้เสน่ห์ยั่วยวนดาราชายคนหนึ่ง


หลังจากนั้นอีกข่าวที่ออกมาเมื่อตอนกลางดึกก็คือเซียนเอ๋อแอบเข้าไปหาผู้จัดรายการคนหนึ่งโดยมีภาพถ่ายออกมายืนยัน


อย่างไรก็ตามภาพนั้นเหมือนจะถูกเบลอไว้ไม่ก็ถ่ายออกมาไม่ชัดเลยไม่เห็นว่าเป็นใครกันแน่


 


ปกติแล้วข้อมูลที่ขาดความชัดเจนแบบนี้ไม่ง่ายเลยที่จะนำมาใช้โจมตีดาราซักคนได้ง่าย


โดยเฉพาะอย่างยิ่งดาราที่ไม่ค่อยตกเป็นข่าวนินทา และทำตัวดีมาตลอดแบบเซียนเอ๋อ


ถึงแม้จะมีพวกปากหอยปากปูเชื่อข่าวอย่างนี้อยู่บ้างแต่ไม่นานมันก็น่าจะถูกมองข้ามไป


แฟนคลับเองก็สมควรจะยืนอยู่ข้างดาราที่ตัวเองรักอย่างเหนียวแน่น และคอยต่อสู้กับข่าวแบบนี้


 


แต่ครั้งนี้ดูเหมือนจะแปลกไปจริงๆ ขนาดคนที่ไม่ได้ตามวงการดารายังผสมโรงเล่นงานเซียนเอ๋อด้วยเหมือนกัน แม้แต่แฟนคลับของเธอมากกว่าครึ่งก็เชื่อเรื่องนี้อย่างหมดใจ


 


“เรื่องอะไรกันเนี่ย เรื่องไม่มูลแบบนี้ควรจะตรวจสอบอย่างจริงจังซะก่อนแต่ทำไมทุกคนกลับเชื่อเรื่องนี้ทั้งๆที่เรื่องเพิ่งเกิดกัน”


ซูจิ้งถึงกับงงงวยในทันที เขาไม่เชื่อแน่นอนอยู่แล้วว่าเซียนเอ๋อจะเป็นคนแบบนั้นไปได้


 


ซูจิ้งรีบโทรกลับไปหาผู้ช่วยเซียนเอ๋อในทันทีพร้อมถามว่า “เซียนเอ๋อในตอนนี้เป็นยังไงบ้าง”


 


ผู้ช่วยฯได้บอกออกมาว่า “เธอค่อนข้างสงบนะ แม่และปู่ของเธอเองก็คอยเป็นกำลังใจให้เธออยู่ด้วยเหมือนกัน


แต่เรื่องในครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อเส้นทางดาราของเธอ


มันยังส่งผลต่อชื่อเสียงของลูกผู้หญิงคนนึงด้วย


แน่นอนว่าเรื่องนี้ทำให้พวกเขาไม่มีสุขกับเรื่องนี้แน่นอน”


 


ซูจิ้งจึงถามต่อว่า “ตอนนี้เธออยู่ไหน ฉันจะไปหาเธอ”


 


“อยู่ที่บ้านหลักของตระกูลน่ะ เดี๋ยวฉันจะส่งที่อยู่ไปให้”


 


หลังจากวางสาย ซูจิ้งได้โทรหาคนที่อยู่ในพื้นที่อันแสนห่างไกลอย่างซูฉือในทันทีเพื่อขอความช่วยเหลือในเรื่องนี้


ตอนที่ซูจิ้งโดนแฮ็คข้อมูลเธอได้ช่วยเหลือเขาเอาไว้อย่างมาก


ยิ่งไปกว่านั้นความสามารถของเขาตอนนี้ไม่สามารถใช้กับเรื่องนี้ได้เลย


และเธอเองก็ไม่มีใครบงการเธอได้แน่นอนว่าเชื่อถือได้


 


ซูจิ้งได้ขับรถตรงไปยังบ้านตระกูลมู่หรง ถ้าให้พูดจริงๆคือทั้งซูจิ้งและเซียนเอ๋อนั้นแทบจะไม่เคยจะต้องเข้าไปที่บ้านตระกูลหลักเลย


อย่างไรก็ตามด้วยการที่รู้จักกันมาอย่างยาวนาน แถมมู่หรงฉินและมู่หรงเซียนเอ๋อยังสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเขาและเขาก็รู้สึกดีด้วย


และเขาเองก็รู้สึกได้ว่าความรู้สึกเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแต่อย่างใด


เรื่องแบบนี้ความจริงก็เกิดได้บ่อยๆ การที่รู้จักใครมานานถึงแม้จะไม่ได้คุ้นเคยกัน


ต่อให้ไม่ได้รู้จักกันมานาน แต่เมื่อแรกเห็นก็รู้ได้ทันทีว่าคนๆนั้นเป็นคนแบบไหน


 


เมื่อซูจิ้งมาถึงที่ประตูบ้านตระกูลมู่หรง เขาได้พบผู้ช่วยสาวสวยคนนั้นรออยู่ที่หน้าประตู ผู้ช่วยคนนั้นได้พูดออกมาว่า “ฉันเองก็เพิ่งมาถึงเหมือนกัน และเซียนเอ๋อไม่รู้ว่าพวกเรามาที่นี่”


 


ซูจิ้งได้กดออดที่หน้าประตู ได้มีหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่หน้าตาคล้างกับเซียนเอ๋ออกมาพบเขา


เขาสามารถบอกได้ทันทีว่าคนๆนี้คือมู่หรงจิงเทียน พี่ชายของเซียนเอ๋อ


ครั้งสุดท้ายพวกเขาได้พบกันในงานเลี้ยงวันเกิด เขาเองก็ดูตกใจไม่น้อยที่ซูจิ้งมาถึงที่บ้าน เขายิ้มอย่างอบอุ่นและพูดออกมาว่า “คุณซู ไม่ได้พบกันมาซักพักเลยนะ”


 


“คุณมู่หรง อย่ากังวลเรื่องนี้ไปเลยครับ” ซูจิ้งก็พูดพลางยิ้มตอบกลับไป


 


“ดิฉันเป็นคนบอกเรื่องของเซียนเอ๋อเองค่ะ คุณซูมาที่นี่เพื่อช่วยในเรื่องนี้” ผู้ช่วยฯ ได้พูดออกมา


 


“ขอบคุณมากครับ ผมขอโทษจริงๆที่ต้องรบกวนคุณซูถึงกับต้องมาที่นี่ด้วยตัวเอง เข้ามาก่อนครับ


คุณปู่และน้องสาวคงดีใจมากที่ได้เห็นคุณ” มู่หรงจิงเทียนรู้สึกดีเป็นอย่างมาก


เขาเองก็พอจะรู้เรื่องของซูจิ้งมาบ้าง เขารู้ว่าซูจิ้งมีภูมิหลังที่สุดจะหยั่งถึง ถ้าได้ซูจิ้งมาช่วย เรื่องนี้ต้องคลี่คลายได้ด้วยดีแน่นอน


 


มู่หรงจิงเทียนได้พาซูจิ้งและผู้ช่วยฯเข้ามาในบ้านพร้อมพูดออกมาด้วยความโกรธว่า


“เรื่องใส่ร้ายในครั้งนี้ร้ายแรงอย่างมากและไร้สาระอย่างที่สุด ถ้าคุณรู้ว่าใครทำโปรดบอกผม


ผมจะฆ่าพวกมันด้วยมือตัวเอง”


 


“ไม่ต้องถึงมีคุณหรอกครับ ผมจะทำให้พวกมันได้รู้สำนึกในสิ่งที่ได้ทำไปแน่นอนเมื่อผมพบว่าใครทำ”


ซูจิ้งพยักหน้ายืนยันในสิ่งที่เขาพูด


 


เมื่อพวกเขาได้เดินเข้าไปในห้อง พวกเขาได้พบเซียนเอ๋อ มู่หรงฉิน และหญิงวัยกลางคนที่ดูมีท่าทีสง่างามคนหนึ่ง เมื่อพวกเขาหันมาเห็นซูจิ้งต่างก็รู้สึกแปลกใจในทันที


 


“สวัสดีครับคุณปู่และคุณป้ามู่หรง” ซูจิ้งโค้งคำนับทั้งสองคน


 


“พระเจ้าทรงโปรด อะไรทำให้นายมาที่นี่เนี่ย” เซียนเอ๋อถึงกับยืนขึ้นในทันทีด้วยความดีใจ


 


“จะบอกว่าไงดีล่ะ เอาเป็นนั่งก่อนแล้วกัน คุณซู” หญิงวัยกลางคนมองมาที่ซูจิ้งก่อนที่จะพูดทักทายและเชิญซูจิ้งนั่ง เธอคือฉินซิ่ว แม่ของเซียนเอ๋อ ดูเหมือนเซียนเอ๋อจะได้ความสวยมาจากแม่ของเธอมาเต็มๆ


 


มู่หรงจิงเทียนได้พูดเหตุผลที่ซูจิ้งมาทำให้คนใจตระกูลมู่หรงคนอื่นที่ได้ยินถึงกับใจชื้นขึ้นมาในทันที


ทุกคนเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งมาที่นี่ทุกคนต่างก็รู้กันทันทีว่าซูจิ้งมาทำไมโดยไม่ต้องอธิบายเพิ่มเติมเลยซักนิด


ในความจริงแล้วมู่หรงฉินนั้นก็ไม่ได้สนิทอะไรกับซูจิ้งมากนัก


แต่ด้วยการที่ซูจิ้งค่อนข้างพบปะเซียนเอ๋ออยู่บ่อยครั้ง


แถมตอนนี้ยังมาช่วยแก้ปัญหาให้อีกถึงขนาดมาที่นี่ด้วยตัวเองโดยที่พวกเขาไม่ได้ขอร้อง ทำให้พวกเขาประทับใจในตัวซูจิ้งในทันที


 


ซูจิ้งได้เข้าประเด็นในทันทีที่มาถึง เขานั้นได้ถามเซียนเอ๋อ มู่หรงฉิน และคนอื่นๆ


เขาอยากรู้ว่าช่วงนี้เซียนเอ๋อหรือทางตระกูลมีเรื่องบาดหมางกับใครมั่งรึเปล่า และเขาก็ยังได้ถามผู้ช่วยของเซียนเอ๋อในทำนองเดียวกัน


เขาก็ได้ข้อมูลบางอย่างจากเธอว่าเซียนเอ๋อในตอนนี้มีคู่แข่งอยู่


 


หลังจากซูจิ้งถามเสร็จไม่นานนัก ซูฉือก็ได้ส่งข้อมูลมาให้เช่นกัน


น่าเสียดายข้อมูลครั้งนี้ไม่ได้เป็นข้อมูลที่ชัดเจนแบบครั้งที่แล้ว


ดูเหมือนครั้งนี้คนที่ใส่ร้ายเธอจะระวังตัวมากเป็นพิเศษ เมื่อซูจิ้งนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์กับข้อมูลที่เขาได้มาจากความขัดแย้งที่เกิดกับตระกูลมู่หรงทำให้เขาได้คำตอบในทันที


โดยข้อมูลของซูฉือนั้นได้มาจากการรวบรวมข้อมูลมาจากข้อความที่พูดถึงเซียนเอ๋อในโลกอินเตอร์เนต


ซูจิ้งได้หลับตาและตั้งสมาธิพร้อมทั้งทำการขับเคลื่อนวิถีแห่งใต้หล้าในจิตสำนึกของเขา


แต่ผลที่ได้ออกมากลับไม่พบความสัมพันธ์ของข้อมูลทั้งสองกลุ่ม เหมือนกับอยู่เรื่องนี้ก็โผล่ขึ้นมาเอง


 


ซูจิ้งได้ลองคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อีกครั้ง คนที่ใส่ร้ายเรื่องนี้เองดูเหมือนจะทำให้เกิดเหตุการณ์แปลกๆขึ้นมาได้แบบพิกลๆ


ทันใดนั้นโทรศัพท์ของผุ้ช่วยฯได้ดังขึ้น เธอเปิดดูแล้วพูดออกมาว่า “บัดซบ ใครกันที่เอาเรื่องพวกนี้มาใส่ร้ายเซียนเอ๋อ ต้องเป็นคนเดียวกันแน่ๆ”


มู่หรงฉิน เซียนเอ๋อ มู่หรงจิงเทียนและฉินซิ่วหน้าเปลี่ยนสีทันทีที่ได้ยิน ซูจิ้งเองก็ได้ลืมตาขึ้นมาในทันทีพร้อมพูดว่า “ขอผมดูหน่อย”




GGS:บทที่ 762 ปรากฎการณ์แปลกๆ (2)


 


ซูจิ้งใช้มือถือเข้าไปในอินเตอร์เน็ตเพื่อจะดูข่าวป้ายสีเรื่องล่าสุดของมู่หรงเซียนเอ๋อ


เขาทำคิ้วขมวดและเม้มปากของเขาในทันทีที่เห็น


วันนี้เขากล้าบอกได้เลยว่าเขามีความพร้อมอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมบัติ ความรู้ หรือแม้แต่การใช้ทักษะต่างๆของเขาที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯ


แต่เพียงแค่เขาเห็นข่าวใส่ร้ายธรรมดาสามัญข่าวหนึ่งทำให้เขาถึงกับหน้าเปลี่ยนสี


 


เขาได้หันไปมองที่ผู้ช่วย ฉินซิ่ว มู่หรงเซียนเอ๋อ มู่หรงฉิน และมู่หรงจิงเทียน


พวกเขาต่างก็ก้มไปมองโทรศัพท์ที่กำลังเปิดข่าวป้ายสีดู


โดยผู้ช่วยฯ ฉินซี่ว และเซียนเอ๋อ กำลังดูมือถือ


และมู่หรงฉินและมู่หรงจิงเทียนดูจากคอมพิวเตอร์


 


ตอนแรกทุกคนต่างดูโกรธอย่างมาก แต่ผ่านไปซักพักสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป


ถึงขนาดที่ผู้ช่วยฯถึงกับหันมาถามเซียนเอ๋อเองว่า “เซียนเอ๋อ เธอไม่เคยแท้งลูกมาจริงๆใช่รึเปล่า” เซียนเอ๋อถึงกับทำหน้าเอ๋อในทันที


เธอรีบถามกลับไปว่า “เจ้ฉิน ทำไมถามฉันอย่างนี้เนี่ย เจ้น่าจะรู้ดีกว่าใครว่าเรื่องนี้ฉันไม่เคยมีปัญหา ไม่เคยมีอะไรกับผู้ชายมาก่อนด้วย


แล้วจะไปเอาที่ไหนมาทำแท้ง ตอนที่ฉันไปโรงพยาบาลนั่นก็เป็นเพราะปวดท้อง เจ้ก็อยู่”


 


ผู้ช่วยฯถึงกับทำหน้าโง่งมพร้อมกับตบลงไปที่หน้าผากตัวเองก่อนจะพูดออกมาว่า “เออใช่ ทำไมฉันถึงได้คิดโง่ๆแบบนั้นกัน”


 


ฉินซิ่วพูดออกมาว่า “นั่นซิ เซียนเอ๋อจะไปทำแท้งได้ยังไงกัน”


 


“นั่นสิไร้สาระจริงๆ” มู่หรงจิงเทียนพูดออกมาเช่นกัน


 


มู่หรงฉินพูดออกมาว่า “ก็ดีแล้วที่ไม่ใช่เรื่องจริง คนที่ไม่เคยทำเรื่องแบบนั้น


ต่อให้ถูกใส่ร้ายยังไงก็ยังบริสุทธิ์อยู่ดี”


 


ถึงแม้บทสนทนาเมื่อฟังผ่านๆจะเหมือนกับไม่มีปัญหาอะไร


แต่ไม่ใช่กับซูจิ้งผู้ซึ่งมีพลังอันแกร่งกล้า เขานั้นได้คอยใช้กระแสจิตตรวจจับโดยรอบอยู่


ทันทีที่เขาสัมผัสได้เขาถึงกับขนหัวลุกในทันที


 


เรื่องป้ายสีที่เห็นเมื่อสักครู่นี้ไม่มีหลักฐานอะไรเลยนอกซะจากรูปถ่ายที่มู่หรงเซียนเอ๋อถูกเข็นเข้าโรงพยาบาลแค่นั้นแล้วไปบอกว่าเซียนเอ๋อแท้งลูก


โดยปกติแล้วบอกได้เลยว่าข่าวแบบนี้ความน่าเชื่อคือต่ำแบบสุดๆ


คนทั่วไปและแฟนคลับไม่ควรจะเห็นว่าเป็นข่าวเสียด้วยซ้ำ


แต่เมื่อกี้ที่ข่าวหลุดออกมา อย่าว่าแต่แฟนคลับเลย แม้แต่ผู้ช่วยและครอบครัวของเธอก็เชื่อข่าวนี้ไปเกินครึ่งแล้ว


 


ถ้าจะให้บอกก็คือเรื่องนี้ค่อนข้างประหลาด


 


ซูจิ้งเองได้มองไปที่มือถือที่มือข่าวของเซียนเอ๋ออีกครั้ง อย่างไรก็ตามคราวนี้แทนที่เขาจะอ่านข่าวแบบปกติ


เขาได้ใช้กระแสจิตในการตรวจสอบ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นพลังในรูปแบบที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนออกมาจากมือถือ คลื่นนี้เท่าที่ดูก็เหมือนจะพยายามจะเล่นงานเขาเหมือนกันแต่ติดตรงที่เขามีพลังศักดิ์สิทธิ์อยู่


ด้วยคลื่นพลังระดับแค่นี้ไม่สามารถส่งผลอะไรต่อซูจิ้งได้ แต่กับคนทั่วไปแล้วคนที่จิตไม่แข็งพอไม่น่าจะรอดได้ และไม่ใช่แค่จากมือถือ แม้แต่การเปิดดูจากคอมพิวเตอร์เองก็มีไม่ต่างกัน


 


ซูจิ้งเองก็ไม่อยากเชื่อจนเผลอพูดออกมาว่า “ห่าเหวอะไรกันเนี่ย ช่างน่ามหัศจรรย์จริง เทคโนโลยีสมัยนี้ไม่สมควรมีเรื่องแบบนี้นี่นา การที่จะใช้อินเตอร์เนตเปลี่ยนความคิดของคนอื่นนี่มัน…”


 


ทันใดนั้นซูจิ้งได้ปลดปล่อยแมลงปออกจากถุงกักอสูร เขาได้ควบคุมพวกมันไปยังพื้นที่ต่างๆรอบตระกูลมู่หรงเพื่อตรวจสอบปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อข่าวนี้


ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังรอรถเมลล์อยู่หลังจากที่เขาอ่านข่าวนี้เขาสบถออกมาทันทีพร้อมพูดออกมาว่า


“กลายเป็นว่ามู่หรงเซียนเอ๋อเป็นนังร่านนี่เอง หึหึแต่ยังไงซะฉันก็ยังจะคอยติดตามเธอต่อไปนะจ้ะ ฮิฮิ”


 


เด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินและเล่นโทรศัพท์มือถือไปด้วยที่เปิดข่าวนี้อ่านในทันที


หลังจากเธออ่านแล้วเธอได้อ้าปากค้างด้วยความตกใจและได้พูดออกมาว่า


“นี่ซินะตัวตนที่แท้จริงของนางฟ้าอันแสนบริสุทธิ์ผุดผ่อง”


 


เหล่าคนหนุ่มสาวหลายๆคนได้พูดคุยเกี่ยวกับข่าวฉาวของเซียนเอ๋ออย่างมันปาก


มีชายหนุ่มอ้วนคนหนึ่งพูดออกมาว่า “ไม่คิดมาก่อนเลยว่ามู่หรงเซียนเอ๋อจะเป็นคนแบบนี้


ข่าวสามข่าวนี้ช่วยเปิดเผยความจริงของผู้หญิงคนนี้ได้อย่างดีเลย”


 


“แล้วมันแปลกครงไหนหล่ะ” ชายผอมแห่งคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาว่า “มันก็แค่ความจริงอันดำมืดที่อยู่หลังวงการบันเทิงหล่ะน่า


ไม่ว่าฉากหน้าจะดูบริสุทธิ์ผุดผ่องยังไง ยังไงซะเบื้องหลังก็คุณตัวดีๆกันทั้งนั้นหล่ะ ฉันจะเลิกตามพวกดาราแล้ว”


ชายตัวสูงผอมคนหนึ่งได้หันไปพูดกับชายคนนั้นพร้อมกับใช้นิ้วดันแว่นสายตาให้เข้าที่ว่า


“จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ถูกซะทีเดียวนักหรอก อย่างน้อยๆคนแบบมู่หรงเซียนเอ๋อใช่ว่าจะเป็นกันทุกคนซะเมื่อไหร่”


 


ซูจิ้งสามารถรับรู้ได้ทันทีโดยไม่ต้องเดาเลยว่า เมื่อข่าวนี้แพร่ออกไปแล้ว


ใครก็ตามที่ได้อ่านจะต้องปักใจเชื่อในทันทีโดยไม่สงสัยเลยซักนิดว่ามันเป็นข่าวใส่ร้ายอย่างแน่นอน


 


อย่างไรก็ตาม คลื่นพลังที่ส่งมาพร้อมกับข่าวนี้อยู่ๆก็ค่อยๆหายไป เหล่าผู้คนที่มัวแต่ยุ่งๆจนไม่มีเวลาอ่านข่าวนี้ทันทีที่บางคนเห็นถึงกับพูดออกมาว่า “นี่มันข่าวปลอมแน่นอนอยู่แล้ว นี่มันข่าวเรียกยอดคนดูชัด


ความจริงมู่หรงเซียนเอ๋อไม่เคยตกเป็นเป้าหมายของข่าวแบบนี้เลยนะ


แม้แต่แฟนคลับของเธอก็ยังทำตัวดีด้วยซ้ำ เธอเป็นดาราตัวอย่างที่ดีที่แสนหายากนะ


ทำไมถึงได้ใส่ความกันหน้าด้านๆแบบนี้ ต้องมีใครบางคนอิจฉาริษยาเธอแน่ๆ”


 


อย่างไรก็ตามไม่ว่าใครที่เคยเห็นข่าวนี้เมื่อวันก่อนแล้วเชื่อมั่นว่าเป็นความจริง พวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนเดิม


 


ซูจิ้งได้บังคับแมลงปอให้กลับเข้ามายังถึงกักอสูร


ในห้องตอนนี้ทุกคนพยายามปลอบใจมู่หรงเซียนเอ๋ออยู่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเชื่อข่าวฉาวนี้ไปแล้วก็ตาม


ผู้ช่วยของเซียนเอ๋อได้โทรกับไปที่สตูดิโอเพื่อให้พวกคนที่อยู่ที่นั่นหาหลักฐานให้ได้อย่างรวดเร็วแบะส่งมาให้เธอ


อย่างไรก็ตามดูเหมือนเธอจะไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวนี้ซักเท่าไหร่


หลายๆคนในสตูดิโอของเธอก็เช่นกัน พวกเขาได้หาหลักฐานมาให้เธอย่างรวดเร็วแต่ยังไงซะพวกคนทั่วไปกลับเชื่อข่าวป้ายสีนี้อยู่ดี


 


ซูจิ้งยังคงอยู่ตรงนั้นพร้อมทั้งยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


เขารู้สึกว่าเหมือนตนเองเป็นผีในตอนนี้เพราะทำอะไรไม่ได้เลย


ไม่มีใครรู้ตัวเลยว่ามีบางอย่างส่งผ่านมือถือและคอมพิวเตอร์ส่งผลต่ออารมณ์ของผู้คน


มีเฉพาะคนที่มีขวัญแข็งกล้าหรือมีความเชื่อในในตัวมู่หรงเซียนเอ๋ออย่างหมดใจเท่านั้นที่สามารถต่อต้านผลกระทบจากมันได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมหลายคนได้เชื่อเรื่องฉาวเหล่านั้นในทันที


 


แต่ยังไงซะเรื่องเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ดูไม่มีเหตุผลและแปลกประหลาด


 


ทันใดนั้นซูจิ้งได้ลองดูข่าวฉาวของดาราในช่วงนี้ เขาได้ลองหาข่าวที่ดูมีแนวโน้มเดียวกันคือเป็นข่าวที่ไร้เหตุไร้ผลแต่คนเชื่อกันอย่างมากตั้งแต่แรกเห็น


 


ที่น่าตกใจคือเขาพบจริงๆ มีคนหนึ่งที่โดนเรื่องทำนองแล้วมีคนเชื่อในทันทีโดยไม่มีใครเชื่อหลักฐานที่มายืนยัน แต่มีบางอย่างที่ต่างกันเล็กน้อย


 


โดยตอนแรกคนๆนั้นโดนป้ายสีด้วยเรื่องที่ดูเล็กมากจนดูปกติ อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องฉาวนั้นเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในกรณีของเซียนเอ๋อนั้นเปิดมาก็โดนหนักเลยทำให้ยิ่งแปลกเข้าไปอีก


 


ซูจิ้งลำพึงในใจว่า “ถ้ามีเทคโนโลยีหรือทักษะแบบนี้มาใช้กันแบบนี่แสดงว่าต้องมีพวกอื่นที่ทำการศึกษาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการเปลี่ยนแปลงสภาพอารมณ์ของคนอย่างแน่นอน


แต่พวกนั้นทำได้ยังไงกัน ทำไมโลกนี้ถึงมีเทคโนโลยีที่เลวทรามแบบนี้อยู่ในโลกได้กัน หรือว่าจะมีคนที่ทรงพลังนอกเหนือจากฉันอีก”


 


ทันทีที่ซูจิ้งแวบความคิดนี้ขึ้นมาในหัว เขาส่ายหัวเหมือนจะพยายามให้ตัวเองเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้


เขารีบตรงกับไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯทันที พลางนึกไปว่าก่อนที่จะมั่นใจว่าคนกลุ่มอื่นมีเทคโนโลยีหรือพลังสุดยอดแบบเขาอยู่ในโลก


เขาจำเป็นต้องมั่นใจให้ได้ซะก่อนว่าเขาไม่ได้ทำอะไรผิดพลาดไป


ยกตัวอย่างตอนที่เม็งเหมยเอ๋อที่หลุดออกไป แล้วมีคนใช้เกล็ดของเธอไปสกัดเป็นสุดยอดฮอร์โมน


และนำไปพัฒนาต่อโดยกองโจรเกล็ดงูจนทำให้พวกนั้นมีพลังอำนาจในด้านไบโอเทคโนโลยีเหนือกว่าความรู้ทั่วไปในโลกใบนี้




GGS:บทที่ 763 ยกระดับ


 


นอกจากซูจิ้งแล้ว


ทุกคนต่างก็คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้เป็นปกติในวงการบันเทิง


ใครที่เชื่อเรื่องฉาวนั่นก็เลิกติดตามมู่หรงเซียนเอ๋อไป


คนไหนไม่เชื่อต่างก็หาทางช่วยเหลือเธอในการแก้ข่าวไป


ถึงจะน่าแปลกไปบ้างที่พวกเขาเห็นว่ามีคนส่วนใหญ่เชื่อเรื่องนี้แต่ก็ไม่มีใครเข้าใจเหตุผลว่าทำไมพวกนั้นเชื่อ


มีแต่ซูจิ้งเท่านั้นที่รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติส่งผ่านมือถือและคอมพิวเตอร์ และเข้าใจวิธีการของคนที่อยู่เบื้องหลังว่าทำได้อย่างไร ซึ่งแน่นอนว่ามันไมง่ายเลยที่จะทำให้คนเชื่อวิธีการที่พวกเขาใช้ได้


 


“ตอนนี้คุณจะทำยังไงต่อคุณซู ครั้งก่อนที่คุณโดนใส่ร้ายคุณจัดการยังไงหรอ” มู่หรงจิงเทียนถามออกมา


 


“อาจิ้ง คุณต้องช่วยเซียนเอ๋อนะ” ฉินซิวขอร้างออกมา


 


“อาจิ้ง ถ้าคนแก่ๆแบบฉันโดนเรื่องแบบนี้ไปล่ะก็ฉันจะไม่สนใจอะไรเลย แต่นี่เซียนเอ๋อยังเยาว์นัก แถมยังต้องแต่งงานอีกในอนาคต” มู่หรงฉินได้พูดออกมาเชิงวิงวอน


 


“ท่านปู่ ท่านป้า อย่ากังวลไปเลย หนูจะพยายามจัดการเรื่องนี้ให้ดีที่สุด ข่าวสุดท้ายที่ออกมานี่บอกได้เลยว่าคนที่ป้ายสีหนูนั้นโง่มาก ตอนนี้หนูพอจะมีอกาสโต้แย้งได้บ้างแล้ว”


ซูจิ้งรู้ในทันทีว่าข้อแก้ต่างที่เซียนเอ๋อบอกว่ามีนั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง เขาเองนั้นไม่มีทางอธิบายให้พวกเขาเข้าใจได้ว่าสาเหตุที่ทุกคนเชื่อเป็นเพราะคลื่นพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากคอมพิวเตอร์และมือถือในระหว่างที่อ่านข่าวฉาวพวกนั้นกัน แม่แต่ซูฉือก็ยังอยากที่จะอธิบายได้


 


ในตอนนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น เป็นหวังซือหยาโทรหาเขา ทันทีที่เขารับสาย หวังซือยาได้พูดออกมาทันทีว่า “อาจิ้ง นายรู้จักกับมู่หรงเซียนเอ๋อดีใช่รึเปล่า”


 


“อืมใช่แล้ว” ซูจิ้งตอบออกไป


 


“งั้นฉันจะช่วยเธอเอง” ซือหยาพูดออกมาด้วยความกระตือรือล้น


 


“ไม่ได้ เธอห้ามเข้ามายุ่งเรื่องนี้เด็ดขาด” ซูจิ้งรีบห้ามเธอในทันที


เพราะซูจิ้งไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่าถ้าซือหยายื่นมือเข้ามาแล้วเธอจะไม่ได้ผลกระทบ


ก็จริงที่เธอมีขวัญ(แรงใจ)ที่แข็งกล้า และยังได้ดื่มชาจากใบชาของห้วงเวลาฯโลกเซียนอยู่บ่อยครั้ง


นั่นยิ่งทำให้จิตสำนึกของเธอค่อนข้างเสถียร


แต่ยังไงซะหากเธอเข้ามายุ่งในเรื่องเป็นไปได้คนที่สร้างข่าวฉาวนี้ขึ้นมาอาจเห็นว่าเธอเป็นศัตรูคนสำคัญจนเปลี่ยนเป้าหมายไปเป็นเธอได้ ซึ่งนั่นจะทำให้เธอตกอยู่ในอันตรายโดยใช่เหตุ


 


“ขนาดบริษัทในวงการบันเทิงของฉันโดนเจาะฉันยังจัดการได้เลย ให้ฉันจัดการเรื่องนี้ดีกว่า หากใช้วิธีของฉันรับรองได้ว่าไม่มีปัญหา ฉันรับประกันได้” หวังซือหยาพูดออกมาอย่างมั่นใจ


 


“คุณเจ้ซือหยาครับ ในกรณีของบริษัทของเจ้น่ะไม่มีปัญหา แต่กรณีนี้ผมขอจัดการเองนะขอร้องล่ะ ถ้าผมขอร้องแบบนี้คุณจะยอมฟังผมรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกไปด้วยน้ำเสียงห่วงใยมากๆ


 


“ถ้างั้นก็ได้ ถ้ามีอะไรให้ช่วยรีบบอกฉันทันทีนะ” หวังซือยายอมรับฟังซูจิ้งทันทีที่เธอได้ยินน้ำเสียงที่ซูจิ้งพูดออกมา แม้เธอเองจะรู้สึกแปลกใจแต่เธอก็ยอมฟังซูจิ้งอย่างไม่อาจปฏิเสธได้


 


หลังจากวางสาย ซูจิ้งเริ่มคิดหาวิธีจัดการข่าวฉาวนี้ในทันที แต่ในตอนนี้เขาเองก็ยังไม่เข้าใจเป้าหมายของคนกลุ่มนี้ และไม่มีหลักฐานให้สาวไปต่อได้


ตอนแรกเขาเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้เพราะคนที่น่าจะก่อปัญหาแบบนี้ในวงการบันเทิงค่อนข้างจะอยู่ในวงแคบๆเท่านั้น


ไม่คิดว่าตอนเที่ยงในวันนั้นก็มีข่าวฉาวออกมาอีกครั้ง


แต่ครั้งนี้คนที่ตกเป็นเป้าหมายคือผู้ว่าการเมืองที่ชื่อกงหลิงหมิง


 


เขาถูกกล่าวหาว่านอกใจภรรยา และถูกใส่ความเรื่องคอรัปชั่น


ถึงแม้ว่าตามปกตินั้นหากเรื่องแบบนี้ออกมาล่ะก็สามารถจัดการได้ง่ายมากๆ


นั่นก็เพราะเรื่องนี้หากไม่มีหลักฐานอย่างแน่หนาล่ะก็จะไม่มีคนเชื่อได้เลย


แต่นี่ทันทีที่มีคนเห็นข่าวพวกเขากับเชื่อในทันที


เรื่องนี้ทำให้การเมืองในเมืองจงหยุนเกิดความระส่ำระสาย ถ้าจะพูดให้ถูกคือทั้งประเทศเลยก็ว่าได้


ซูจิ้งสามารถบอกได้ในทันทีว่าในช่วงสิบนาทีแรกที่ข่าวออกมานั้นได้มีคลื่นพลังส่งออกมาตามโทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ของคนที่ดูข่าวนี้


 


เรื่องนี้ทำให้แม้แต่ผู้ว่าการมณฑลยังไม่อาจนิ่งนอนใจได้จนต้องเรียกสอบกงหลิงหมิงในทันที


ต่อให้ไม่มีการสอบสวนนี้ก็เชื่อได้เลยว่าพลังจากมวลชนจะทำให้ผู้ว่าการเมืองปลดออกจากตำแหน่งอยู่ดี


 


ซูจิ้งรู้ในทันทีว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ของจริงแน่นอน เมื่อเทียบกับเรื่องของมู่หรงเซียนเอ๋อและดาราคนอื่นที่ถูกใส่ร้ายแล้วเทียบกันไม่ติดเลย


 


ซูจิ้งยังรู้สึกว่าเป็นไปได้ที่เรื่องนี้อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกในเงามืด หรือไม่ก็คนกลุ่มอื่นที่กำลังทดลองศึกษาการใช้งานเทคนิคการเปลี่ยนอารมณ์ผู้คนนี้ ก่อนที่จะมั่นใจและใช้กับเป้าหมายที่แท้จริงของพวกมัน


แน่นอนว่าไม่ใครรับรู้เบื้องหลังที่เกิดขึ้นและไม่มีใครจะมองเห็นว่าเรื่องพวกนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกันได้เลย


 


ซูจิ้งนั้นรู้จักกงหลิงหมิงผ่านตระกูลหวัง เขานั้นรับรู้ถึงอันตรายที่อาจเกิดกับตระกูลหวังในทันที เขาจึงรีบโทรไปหาหวังซวนจี้ในทันที เมื่อหวังซวนจี้รับสายเขารีบถามไปทันทีว่า “ลุงจี้ ลุงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับกงหลิงหมิงรึเปล่าครับ”


หวังซวนจี้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า “รู้แล้ว เรื่องแค่นี้เล็กน้อยน่า เสี่ยวจ้าวได้โทรไปที่ที่ว่าการเมืองและได้จัดการเรื่องนี้แล้ว มันก็แค่เรื่องง่ายๆ เดี๋ยวมันก็จบแล้วน่า”


 


ซูจิ้งนิ่งนึกไปซักพักนึงก่อนจะพูดต่อว่า “ผมก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ยังไงดี แต่บอกได้เลยว่าเรื่องนี้ไม่ได้เล็กอย่างที่ลุงคิดหรอกนะ ทางที่ดีระวังตัวไว้ แล้วก็เป็นไปได้ก็ให้ทุกคนในตระกูลหวังระวังตัวไว้ด้วย โดยเฉพาะช่วงนี้”


 


หวังซวนจี้เมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับพูดไม่ออก ถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็เขาจะไม่มีทางเชื่อเลยซักนิด แต่นี้คือคำพูดของซูจิ้งทำให้เขาไม่อาจละเลยเรื่องนี้ได้เลย เขารีบถามกลับไปว่า “อาจิ้ง เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”


 


ซูจิ้งจึงตอบกลับไปว่า “ผมยังบอกไม่ได้ในตอนนี้ เอาเป็นระวังตัวไว้แล้วกันครับ”


 


หวังซวนจี้พยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ตกลง ฉันยอมฟังคำพูดของคุณ ฉันจะระมัดระวังตัวให้ถึงที่สุดในช่วงนี้”


 


ไม่นานหลังจากวางสาย หวังจ้าวได้โทรหาเขาในทันที เขาได้รับข้อมูลจากพ่อของเขาแล้ว เขาไม่เข้าใจว่ากะอีแค่เรื่องป้ายสีเล็กๆน้อยๆทำไมซูจิ้งถึงกังวลนัก


 


ซูจิ้งพูดกลับไปว่า “พี่ชายจ้าว นายต้องฟังฉันนะ นายต้องระวังตัวเต็มที่เลยตอนนี้ ฉันจะจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ แต่ไม่ว่าจะเร็วแค่ไหนฉันเองก็เกรงว่าจะไม่ทัน ตอนนี้ขอฉันไปเตรียมตัวก่อนแล้วกัน”


 


“นายจะทำอะไรกันแน่” หวังเจ้าถามอย่างสงสัย


 


ซูจิ้งยิ้มก่อนจะบอกไปว่า “สตรีมน่ะ”


 


“…………………………” หวังเจ้าเองตอนแรกคิดว่าเขาได้ยินผิดไป หลิงหมิงนั้นก็แค่โดนใส่ร้ายเท่านั้น


ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ซูจิ้งจะร้อนตัวไปทำไมกัน หลิงหมิงสิที่ควรร้อนตัว


ซูจิ้งเองก็พูดออกมาเองว่าจะจัดการเรื่องนี้เองแต่ทำไมเขากลับไปสตรีมหล่ะ


เขานั้นไม่สามารถเข้าใจได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


เขาได้พูดออกมาว่า “อาจิ้ง ขอถามหน่อยสิ นายไม่มีอะไรทำจนต้องแกล้งพวกเราเล่นเลยรึไงกัน”


 


“เฮ้อ ฉันไม่ได้หยอกนายเล่นหรอกนะ แล้วนายจะได้เห็นเอง ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันจะสตรีมก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งวางสายไป


เมื่อเซียนเอ๋อและคนอื่นๆได้ยินที่เขาคุยโทรศัพท์ทุกคนต่างจ้องมองเขาด้วยความประหลาดใจ พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาต้องสตรีมกัน แค่การสตรีมจะไปช่วยอะไรได้


 


“เซียนเอ๋อ เธอสนใจที่จะมาสตรีมการเล่นเพลงคู่กันซักเพลงรึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“จริงหรอ” เซียนเอ๋อถามออกมาพร้อมสายตาที่เป็นประกาย


ถึงแม้เธอจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าซูจิ้งจะต้องการทำอะไร แต่เมื่อเทียบกับความสงสัยนั้น


เธอให้ความสำคัญกับการได้เล่นเพลงคู่กับซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย


แทบจะบอกได้ว่าเป็นความฝันของเธอเลยก็ว่าได้


แต่เมื่อเธอคิดถึงชื่อเสียงของเธอที่ตกต่ำลงในเวลานี้ทำให้เธอเป็นกังวลขึ้นมาจึงพูดออกมาว่า


“ตอนนี้ชื่อเสียงของฉันไม่ดีแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนก็ยังพอบอกได้ว่าไม่มีใครคู่ควรจะเล่นกับนายนอกจากฉัน แต่พอเป็นตอนนี้ฉันกลัวว่า…..”


“ไม่เป็นไรน่า จะไปสนใจทำไมขนาดฉันยังไม่สนใจเรื่องพวกนี้แล้วจะไปสนใจคนอื่นทำไมกัน ไม่แน่นะหลังจากพวกเราสตรีมแล้ว คนพวกนั้นอาจไม่สนใจข่าวป้ายสีของเธออีกเลยก็ได้” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มหวานออกมา


 


เมื่อเซียนเอ๋อได้เห็นรอยยิ้มของซูจิ้งแล้วนั่นทำให้เธอรู้สึกสงบจนต้องขำออกมาแล้วพูดออกมาว่า “ก็ได้ ฉันเชื่อนาย แต่อย่ามาโทษฉันทีหลังนะถ้ามีคนโวยนายน่ะ”


 


มู่หรงฉิน มู่หรงจิงเทียน ฉินซิ่ว และผู้ช่วยสาวแสนสวยคนนั้นต่างก็มองด้วยความฉงนและคิดสงสัยอย่างหมดใจ


มู่หรงเซียนเอ๋อได้หยิบคอมพิวเตอร์พกพาออกมาจัดเตรียมพร้อมทั้งได้เตรียมกู่จิ้งแบบสายชิดออกมาตั้งเพื่อเตรียมเล่นเพลง


ซูจิ้งได้เดินกลับไปที่รถและได้หยิบกู่จิ้งแบบสายลอยออกมา


หลังจากนั้นเขากลับมานั่งข้างๆเธอพร้อมทั้งจัดท่าทางและตั้งกู่จิ้งเพื่อเตรียมตัวเล่น


หลังจากเรียบร้อยแล้วซูจิ้งได้เปิดช่องของเขาแล้วทำการล็อคอืน


และในเวลาเดียวกันก็ได้ทำการโพสต์ช่องทางการแสดงสดลงในเว่ยป๋อของทั้งสองคน


นั่นทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างมหาศาล


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)