Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 744-747
ตอนที่ 744
ช่างแกะสลัก
“พระเจ้า นี่คืองานแกะสลักหินจริงๆหรอ”
“ทำไมมันดูเหมือนมีชีวิตขนาดนี้ คุณเห็นรูขุมขนนี่รึเปล่า”
“ดูที่ชุดสิ มีความละเอียดถึงลายผ้า แม้แต่ตะเข็บชุดก็ยังมี”
ทุกคนต่างตกตะลึงกันไปหมด สมบัติชิ้นแรกที่ซูจิ้งนำมาแสดงเป็นรูปแกะสลักหินที่เป็นรูปผู้หญิง
ใบหน้าของเธอช่างดูละเอียดและงดงาม เส้นผมยาวของเธอดูปลิวไสวทั้งๆที่เป็นหิน
รูปทรงของเธอนั้นเป็นคนตัวสูง สูงประมาณหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตร
ชุดที่แกะออกมาดูเข้ารูปและขนาดพอดีตัว จากลวดลายบอกได้ว่าเป็นชุดเกราะอ่อนที่มีลวดลายแปลกๆ
และส่วนหน้าอกเองก็แกะได้ดูสมจริง มีล่องลึกเหมือนเป็นหน้าอกจริงๆ ช่วงล่างก็เช่นเดียวกัน
เธอใส่กางเกงขาสั้นแสดงให้เห็นส่วนผิวที่จินตนาการได้เลยว่าถ้าเป็นคนจริงต้องผิวขาวมากแน่ๆ
และที่ขาขวาก็มีหินที่แกะสลักออกมาเป็นรูปมีดสั้นที่เหน็บไว้ในกระเป๋าที่น่อง
รูปปั้นหินที่ดูมีชีวิตราวกับของจริงที่มีรายละเอียดไปจนถึงรูขุมขน เส้นผม ลายผ้าเองก็ดูสมจริงถ้าบอกว่าเป็นคนจริงก็ไม่มีใครแปลกใจเลยสักนิด
แม้แต่ผู้ชายเองที่ได้เห็นก็บอกได้เลยว่ามืออยู่ไม่สุกกันซักคน
นั่นก็เพราะว่ารูปแกะสลักหินที่ดูมีชีวิตนี้แกะออกมาเป็นสาวสวยที่ดูน่าหลงไหลประหนึ่งดังมีสาวสวยตัวเป็นๆมายืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา
พวกเขาอดไม่ได้เลยที่จะใจหวั่นไหวอย่างช่วยไม่ได้จนอยากจะครอบครองเอาไว้เพียงคนเดียว
งานแกะสลักไม้ไผ่ของเต๋าฉินจูที่แสดงออกมานี้ก็คิดว่าสุดยอดแล้ว แต่เมื่อมาเทียบกับงานแกะสลักหินชิ้นนี้บอกได้เลยว่าเทียบได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่เต๋าฉินจูก็ยังตื่นเต้น
บอกได้เลยว่าสำหรับศิลปินนักแกะสลักแล้วงานแกะสลักหินชิ้นนี้ถือได้ว่าทำให้ตกตะลึงได้อย่างง่ายดาย
เต๋าฉินจูถึงกับนำเอาแว่นขยายออกมาส่องใกล้ สิ่งที่เขาเจอนั้นทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เขาพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “พระเจ้า เป็นไปได้ยังไง จะมหัศจรรย์เกินไปแล้ว คุณซูใครกันที่เป็นแกะสลักงานหินชิ้นนี้”
ไม่ใช่แค่เต๋าฉินจูเท่านั้นที่อยากรู้ คนอื่นๆเองก็อยากรู้เช่นเดียวกันว่าใครที่มีฝีมือดีจนแกะสลักงานหินออกมาได้อย่างละเอียดละออ และสวยงามขนาดนี้
สำหรับคนที่มางานนี้ พวกเขาต่างก็เคยเห็นงานแกะสลักหินชั้นเลิศมามากมายนับไม่ถ้วน แต่นี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นงานแกะสลักที่ดูดีราวกับมีชีวิตเช่นนี้
เทียบกับงานที่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตบอกได้เลยว่าไม่มีค่าอะไรเลย เพราะจะงานแกะสลักหินชิ้นนี้จะต้องใช้เทคนิคหรือเทคโนโลยีระดับสูงชนิดที่ไม่มีใครคาดได้อย่างแน่นอน
พอนึกถึงเหล่างานแกะสลักหินที่ขายกันตามท้องตลาดนั้นมีราคาสูงริบริ่วแล้วทั้งๆที่พวกนั้นไม่ได้ดูดีมีชีวิตชีวาขนาดนี้
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่างานแกะสลักหินชิ้นนี้จะราคาเท่าไหร่
งานแกะสลักหินเหล่านั้นเป็นงานศิลปะที่ศิลปินพยายามสื่อสารออกมาและก็น่าจดจำอยู่ไม่น้อยอย่าง “หัวแบนใหญ่” และ “หัวเรียวเล็ก” ออลเบอร์โต เกียโคเมทติ หรืออย่างงานหมาบัลลูนของเจฟคูน
พอนึกถึงงานพวกนั้นที่คนทั่วไปต่างชื่นชอบกันอยางเป็นบ้าเป็นหลัง แต่สำหรับคนที่ไม่เข้าใจพวกเขาก็จะมองดูอย่างขยาด แต่ก็ยังถือได้ว่าเป็นศิลปินที่เป็นที่นิยมจนมีคนยอมจ่ายเงินเป็นพันเป็นหมื่นเพื่อได้เห็น
แต่งานพวกนั้นก็ยังห่างไกลจากคำว่าดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก
นั่นก็เพราะว่าถ้าเขาทำออกมาเป็นคนจริงๆหรือสิ่งของเลียนแบบของจริง ราคาที่ได้ก็จะตกจนแทบไม่คุ้มค่าเหนื่อย เพราะเหล่าผู้มาชมต่างก็คิดกันว่าของแค่นั้นทำเองก็ได้อยู่แล้ว
แต่เมื่อเอามาเทียบกับงานศิลป์ที่เน้นการทำให้เหมือนจริงแล้ว แนวคิดที่ใช้บอกได้เลยว่าเป็นงานที่ต่างชั้นคนละระดับไปเลย งานแกะสลักหินที่อยู่หน้าของทุกคนในตอนนี้บอกได้เลยว่าเป็นการเปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับพวกเขา ไม่สิต้องบอกว่าช่างฝีมือที่แกะสลักงานหินนี้น่าจะมีฝีมือดีในระดับโลกเลยก็ว่าได้ พวกเขาจึงอยากรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของศิลปินผู้นี้เพื่อเอาไว้ติดตามผลงานต่อไปอีกในอนาคต
“ต้องขอโทษจริงๆครับ ช่างแกะสลักหินผู้นี้ไม่ประสงค์จะออกนามจริง” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
เต๋าฉินจูถึงกับต้องถามออกมาด้วยความสงสัยว่า “ทำไมล่ะ ด้วยเทคนิคการแกะสลักหินระดับน่ามหัศจรรย์ขนาดนี้น่ะนะไม่อยากเผยนาม งานละเอียดระดับนี้คงใช้เวลานานสินะกว่าจะสร้างได้ ใครกันล่ะ
เจียงจิเซียงั้นหรอเจ้าปรมาจารย์งานแกะสลักคนนั้น ไม่สิไม่น่าใช่ งานของหมอนั่นถึงจะสมบูรณ์แบบก็จริงแต่ไม่มีทางละเอียดละออได้ถึงขนาดนี้ งั้น”
ในขณะที่ยิ่งคำถามออกมาซักพักหนึ่ง เต๋าฉินจูนึกถึงชื่อศิลปินต่างๆที่อยู่ในหัวอย่างบ้าคลั่ง
และทุกชื่อที่เขาคิดออกต่างก็มีข้อดีข้อเสียในฝีมือแต่ละคนจนบอกได้เลยว่าคนที่แกะสลักงานนี้ไม่ใช่คนที่เขารู้จักแน่นอน
งานระดับนี้บอกได้เลยว่าต้องเป็นฟ้าประทานมาอย่างเดียวเท่านั้น
หลิวฉิงเองก็เข้าไปเหน็บแนมหนุ่มหล่อด้วยรอยยิ้มว่า “เป็นไง นี่แหล่ะสมบัติของจริง ของที่นายเอามาก็แค่ของเล่นล่ะนะ”
หนุ่มหล่อถึงกับพูดไม่ออก นี่เขาเล่นเอามาเทียบกันอย่างนี้เลยหรอ อย่างนี้แกล้งกันชัดๆ ยิ่งไปกว่านั้นของชิ้นนี้ยังไม่ได้มาจากหลิวฉิงซะด้วยซ้ำ นี่เขาก็ยังจะกล้ามาข่ม ยังไงซะเขาเองก็กลัวว่าหลิวฉิงจะก่อปัญหากับเขาอีก เขาแค่ต้องพยายามเปรียบเทียบพระพุทธรูปแกะสลักหินของเขากับงานแกะสลักของซูจิ้งเท่านั้น เขาต้องไม่สนใจหลิวฉิง
ช่ายวัยกลางคนหัวล้านเข้ามาถามซูจิ้งว่า “คุณซู งานชิ้นนี้ขายรึเปล่าครับ ผมยินดีจ่ายด้วยเงินหนึ่งแสนหยวนเลย”
ชายวัยกลางคนอีกคนพูดออกมาว่า “ผมยอมจ่ายหนึ่งแสนห้าหมื่นหยวนเลย”
ชายหนุมคนหนึ่งพูดว่า “ล้อเล่นรึเปล่า ผมให้หนึ่งล้าน”
ผู้คนมากมายต่างพยายามเสนอราคาจนตอนนี้ราคาพุ่งสูงไปอยู่ที่สามล้านหยวนแล้วเพียงการเสนอราคาต่อจากเมื่อกี้อีกไม่กี่ครั้งเท่านั้น
หน้าตาของทุกคนในตอนนี้แดงจนถึงหูไปแล้ว เหมือนทุกคนกำลังต่อสู้กันจริงๆเพื่อแย่งชิงหญิงามก็ว่าได้
ชายวัยกลางคนลงพุงคนหนึ่งยกมือก่อนตะโกนออกมาว่า “ผมให้สิบล้าน”
ณ ตอนนั้นทุกคนที่แข่งกันเมื่อกี้ต่างเงียบเสียงลง พวกเขาหยุดแล้วหันไปมองอย่างนิ่งเงียบในราคาที่ชายคนนั้นเสนอ
หญิงวับกลางคนคนหนึ่งยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ฉันเสนอที่ 15 ล้าน” ดูเหมือนภูมิหลังของผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ก่อนหน้านี้ซูจิ้งแอบเห็นว่าไคจิ้งไปอยู่ข้างๆเธอ พร้อมทั้งช่วยเธอแต่งหน้าด้วย
ชายวัยกลางคนลงพุงหันมามองแวบหนึ่งก่อนจะยกมือแล้วพูดว่า “ผมเสนอ 18 ล้าน”
ตอนนี้จากเสียงดังเซ็งแซ่แข่งกันเสนอราคากันอย่างอื้ออึงในตอนนี้เสียงเหล่านั้นกับเงียบลง ประหนึ่งเหมือนเหล่าเซียนที่สื่อสารกันโดยไม่ต้องพูด แต่ก็ยังเหลือเพียงเสียงของคนสองคนที่เสนอราคาแข่งกัน
ก่อนที่จะรู้ผลแพ้ชนะ ซูจิ้งได้เข้ามาห้ามทัพโดยพูดว่า “ที่นี่ไม่ใช่โรงประมูลนะครับ อย่ามาปล้นของผมไปเลยนะ
แล้วก็อีกอย่างงานแกะสลักหินชิ้นนี้ไม่ได้นำมาขายครับ ผมแค่นำมาแสดงให้ชมกันเพียงเท่านั้น
ถ้าผมอยากจะขายจริงๆผมคงเอาไปออกงานประมูลที่โรงประมูลของผมแล้ว ถ้าพวกคุณอยากจะซื้อจริงก็เอาไว้รอข่าวงานประมูลครั้งถัดไปของผมก็แล้วกัน”
ชายวัยกลางคนลงพุง กับหญิงสาววัยกลางคนที่ดูสง่างามต่างทำหน้าเซ็งในทันที เจ้าของมาบอกเองขนาดนี้
พวกเขาเองก็ทำได้เพียงถอดใจ พวกเขาเพียงอยากจะรีบชิงมาก่อนที่จะมีคนรู้เรื่องนี้
พวกเขามั่นใจเลยว่างานแกะสลักชั้นเลิศขนาดนี้อย่างน้อยคงไม่จบอยู่ที่ระดับสิบล้านแน่นอน
ผู้อาวุโสเซี่ยทำได้เพียงถอนหายใจยาวๆก่อนจะพูดออกมาว่า “อาจิ้ง ขนาดเตรียมใจไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าของๆนายที่นำมาจะต้องสร้างความสั่นสะเทือนอย่างแน่นอน
แต่พวกเราเองก็คงจะเตรียมตัวไม่พอหล่ะนะ ของที่นายนำมาก็ยังตื่นตาตื่นใจพวกเราอยู่ดี น่าเสียดายที่ไม่สามารถทราบได้ว่าใครที่สามารถสร้างผลงานที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้”
ซูจิ้งยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า “ช่างฝีมือผู้นี้เขาไม่ต้องการได้รับความนิยม หรือแม้แต่การรบกวนใดๆครับ
ดังนั้นผมจึงไม่สามารถบอกอะไรได้ แต่ผมก็จะพยายามทำให้เขาเปลี่ยนใจให้ได้นะครับ อย่างน้อยก็ยอมให้บอกชื่อเอาไว้ได้ ถ้าเขายอมเมื่อไหร่แล้วผมจะรีบบอกท่านผู้อาวุโสนะ”
“ฉันน่าจะรู้จักเขานะ แอบๆบอกฉันก็ไม่ได้รึ” ผู้อาวุโสเต๋าเองก็ถามอย่างใครรู้
ซูจิ้งยกแขนทั้งสองมาไขว้กันทำเป็นสัญญาลักษณ์กากบาทพร้อมบอกว่า “ไม่ได้จริงๆครับ”
แม้แต่หลิวฮงและเฉียนไจบิงเองก็ยังเข้ามาถามเช่นเดียวกับคนอื่นๆ
แต่ยังไงซะก็ไม่มีทางที่ซูจิ้งจะบอกความจริงได้เลยแม้แต่น้อย เขาจะบอกได้ยังไงว่าคนทำรูปแกะสลักหินนั้นไม่ใช่คนบนโลก เอาจริงๆก็ไม่ใช่คนด้วยหล่ะนะแต่เป็นนางพญาเมดูซ่าจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ แถมนี่ก็ไม่ใช่งานแกะสลักแต่เป็นคนจริงๆที่แข็งเป็นหิน ถ้ารู้ความจริงจะยังอยากได้กันอยู่อีกรึเปล่าเนี่ย
ซูจิ้งก็ยังพยายามเลี่ยงตอบจากคำถามคำถามเดียวแต่มาจากหลายคนจนค่อนข้างรำคาญแล้ว เขาจึงเปลี่ยนเรื่องพูดในทันทีพลางหันหน้าไปที่เป้าหมายพร้อมพูดออกมาว่า
“ทุกคนครับ ผมว่าเรามาดูสมบัติอีกชิ้นที่ผมเอามาดีกว่านะครับ”
ตอนที่ 745
ถ้าได้เข้าไปอยู่ข้างใน
“ถ้างั้น เรามาดูสมบัติชิ้นที่สองที่ผมนำมาดีกว่านะครับ” ภายใต้คำพูดเหล่านี้ของซูจิ้งได้ทำให้ทุกคนในที่นี้รู้สึกสนใจในทันที ทุกคนได้รับประสบการณ์อันน่ามหัศจรรย์จากของชิ้นแรกไปแล้ว นี่เขายังจะมีอีกชิ้นอีกงั้นหรอ
ตอนนี้ ซูจิ้งไม่พูดอะไรอีกต่อไป เขาได้ดึงผ้าออกมาในทันที ทันใดนั้นเหยือกแก้วใสขนาดพอประมาณได้ปรากฎออกมาให้ทุกคนได้เห็น ในเหยือกนั้นมีรากไม้ขดตัวเป็นรูปลูกบอลอยู่ ทุกคนต่างงุนงง
ยิ่งมองดีๆ พวกเขาก็ยิ่งงงมากกว่าเดิม มันมีรากปรากฎอยู่ในรากอีกที
รูปร่างของรากนั้นมันเหมือนทารกที่อยู่ในครรภ์มารดาอย่างไรอย่างนั้น
รากนั้นได้ขดออกมาจนเหมือนเป็นรูปทรงกลม ด้านนอกมีรากต่อออกมาเหมือนรก แถมรากที่คดออกมาจนเหมือนทารกนั้นยังดูออกมาเป็นทารกที่ดูมีหน้ามีตาเหมือนเด็กทารกจริงๆอย่างมาก
“พระเจ้า งานแกะสลักที่ดูเหมือนจริงอีกชิ้นงั้นหรอ”
“เทียบกับงานแกะสลักก่อนหน้านี้แล้วช่างน่าอัศจรรย์เหมือนกันจริงๆ”
“ช่างดูน่ารักซะจริงอยากตรงเข้าไปกอดเลย”
“ช่ายยย ดูน่ารักซะจนอยากเอากลับบ้านเลย”
ทุกคนในที่นี้ต่างรู้สึกมหัศจรรย์อีกครั้ง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีความเป็นแม่อยู่ในตัวกันอยู่แล้ว
แม้แต่เต๋าฉินจูเองก็ยังรู้สึกมหัศจรรย์เช่นกัน เขาได้หยิบแว่นขยายจึ้นมาอีกครั้งแล้วทำท่าเชิงขออนุญาตกับซูจิ้งก่อนซึ่งซูจิ้งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร
เต๋าฉินจูได้เดินเข้าไปส่องใกล้ๆพร้อมสัมผัสมัน แต่ทันใดนั้นหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นตกตะลึงเหมือนเห็นผีในทันที พลางพูดอีกมาว่า “นี่นี่นี่มัน พระเจ้า นี่ไม่ใช่งานแกะสลัก”
“ไม่ใช่งานแกะสลัก” เฉียนไจบิงอุทานออกมา
“อะไรคือไม่ใช่งานแกะสลัก” หลิวฮงเองก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“สิ่งนี้คือรากไม้จริงๆ” เต๋าฉินจูพูดออกมาอย่างราบเรียบ
“อะไรนะ” ผู้คนที่ได้ยินต่างตกตะลึง ถ้านี่เป็นงานแกะสลักก็ถือได้ว่าเป็นงานแกะสลักชั้นหนึ่งแน่นอน แต่มันก็ยังไม่ทรงคุณค่าเท่างานแกะสลักหินของซูจิ้งก่อนหน้านี้
ถ้าไม่ได้เห็นหน้านั้นมาก่อนทุกคนต้องยอมรับงานแกะสลักชิ้นนี้เป็นอันดับหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่ทุกคนในที่นี้ต่างประหลาดใจอย่างมากที่ได้ยินมาว่าเด็กทารกในโหลแก้วนี้คือรากไม้ที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ
“รากไม้ธรรมชาติจะเติบโตมาเป็นรูปทรงนี้ได้ยังไงกัน”
“ลองดูเอาเองสิ นี่มันไม่มีล่องลอยการแกะสลักเลยแม้แต่น้อยเลยนะ ลองดูที่รากตรงนี้สิยังมีขนรากอยู่เลย”
“ในความจริงแล้วนั้นแต่ให้แกะสลักได้ดูดีสมจริงยังไงแต่มันก็เป็นการยากที่จะปลอมแปลงในเรื่องสีสันและผิวสัมผัส”
“ถ้านี่เป็นรากไม้ธรรมชาติจริงๆมันก็น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ต้นไม้นี่มีทารกด้วยงั้นหรอ”
ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ตรงนี้ต่างรู้สึกพิศวงขึ้นมาในทันที พวกเขาต่างรู้สึกเหมือนได้เห็นของวิเศษก็ไม่ปาน
ก่อนหน้านี้ ซูจิ้งเคยได้นำรากไม้มาจากกองขยะห้วงเวลาฯมังกรที่แท้จริง(Panlong)
เจ้ารากไม้พวกนั้นวิธีการมองอยู่ ผู้มองต้องมองด้วยจิตใจที่ว่างเปล่า สำหรับเขาแล้วเมื่อเขามองไปที่ทั้งสามจะเห็นเป็นรูปร่างของวิถีแห่งการเป็นเซียน
แต่สำหรับคนทั่วไปได้มองออกมาเป็นเด็กทารก ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือเจ้ารากไม้นี่จะแสดงให้สมองเห็นในสิ่งที่คนผู้นั้นผูกพัน
นั่นย่อมทำให้เจ้ารากไม้นี่ดูเหมือนจริงเหมือนมีชีวิตมากยิ่งกว่างานแกะสลักก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
“มันคงรู้สึกดีนะถ้าได้เข้าไปอยู่ในนั้น” ยิ่งเต๋าฉินจูมองมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งรู้สึกตกอยู่ในภวังมากเท่านั้น
“ผู้อาวุโสเซี่ย รบกวนรีบเข้าไปวิเคราะห์หน่อยครับ” มีใครบางคนตะโกนขึ้นมา
“เจ้าเด็กน้อยเหล่านี้ อยู่เกินความรู้ของฉันไปแล้วน่ะ” ผู้อาวุโสเซี่ยยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาพร้อมพูดด้วยท่าทางยอมแพ้พร้อมรอยยิ้ม ของสิ่งนี้ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง เขาหันไปมองเหล่ารากไม้พวกนี้อีกครั้งพร้อมพูดออกมาคำหนึ่งว่า “ว้าว”
“ฉันนั้นไม่เคยเห็นรากไม้ที่น่าสนใจนี้มาก่อนเลย ถ้าจะพูดให้ถูกล่ะก็ตลอดชีวิตอันแสนยาวนานนี้ฉันไม่เคยเห็นเลยก็ว่าได้ แค่ได้มาเห็นเจ้าสิ่งนี้แต่ให้ต้องถ่อมาไกลขนาดนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว” มู่หรงฉินได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“โลกนี่ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” เฉียนไจบิงเองก็พูดพลางถอนหายใจ
“ซูจิ้ง นายได้รากนี่มาจากไหนกัน” เฉียนหยินหนิงถามออกมาด้วยอาการตื่นตาตื่นใจ
“ฮ่าฮ่า ผมว่าผมรู้นะ” หลิวฉิงพูดตัดหน้าในขณะที่จ้องมองไปยังทารกรากไม้
“โอ้” เฉียนหยินหนิงเองก็ได้หันไปมองที่หลิวฉิง
“ผมว่าพี่จิ้งก็คงจะบอกว่าตอนเดินออกไปฉี่พอเห็นก็เลยหยิบมาแค่นั้นเอง” หลิวฉิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นั่นทำให้ทุกคนที่ค่อนข้างรู้จักซูจิ้งเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็น เฉียนหยินหนิง เฉียนไจบิง หลิวฮง ผู้อาวุโสเซี่ย และมู่หรงฉิน ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ดูเหมือนคำพูดแนวๆนี้จะเป็นวิธีการเลี่ยงการบอกความจริงของซูจิ้งจนเป็นปกติไปแล้ว เขานั้นไม่อยากบอกใครเรื่องที่มาของสมบัติของเขาแม้แต่น้อย
ซูจิ้งเมื่อได้ยินถึงกับพูดไม่ออก นี่เขาเริ่มถูกดักทางได้แล้วหรอเนี่ย แต่ก็ยังถือว่าโอเคอยู่เพราะนี่จะทำให้ในอนาคตเหล่าคนที่สงสัยที่มาสมบัติของเขาลดการถามที่มาที่ไปลงอย่างมากแน่นอน
เอาจริงๆเขาก็ไม่ได้อยากจะเลี่ยงคำตอบแต่ไม่รู้จะบอกยังไงให้เชื่อมากกว่า
ยกตัวอย่างเจ้ารากไม้เด็กทารกนี่ เข้าได้มาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ รากนี้ไม่ใช่รากของมนุษยต้นไม้แต่เป็นรากของต้นไม้ธรรมดาที่ได้รับการปลุกให้ตื่นจากมนุษย์ต้นไม้
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับการปลุกอย่างสมบูรณ์เหมือนถูกยกเลิกไปกลางทางนั่นทำให้รากของมันออกมาแปลกประหลาดขนาดนี้
ซูจิ้งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ว่าถูกยกเลิกกลางคัน ถูกขัดขวาง หรือต้นไม้ต้นนี้พิเศษกว่าต้นอื่น แต่ยังไงซะดูเหมือนว่ามันจะตายระหว่างทางการถูกปลุกให้ตื่นมันเลยดูแปลกดี
ซูจิ้งเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกันในครั้งแรกที่เห็นตอนที่เจอเขาดึงออกมาจากกองขยะห้วงเวลาฯโดยบังเอิญ
ตอนที่เขากำลังเก็บเกี่ยวศพของมนุษย์ต้นไม้แล้วไปถอนออกมาแต่อยู่ๆดันมาเจอของแบบนั้นเขาแทบจะเขวี้ยงทิ้งไปไกลๆตัวอย่างสุดแรง
เขาเองตอนแรกก็ว่าจะเผาทิ้งแล้วเหมือนกันแต่พอนึกขึ้นมาได้ว่ามนุษย์ต้นไม้ค่อนข้างจะเหมาะต่อการเก็บสะสมเอาไว้ก่อนเขาเลยยกเลิกความคิดนั้นไป
“คุณซู คุณพอจะเสนอขายทารกรากไม้นี้ให้ฉันได้รึเปล่าคะ” หญิงวัยกลางคนที่ดูสง่างามคนนั้นได้พูดออกมาอีกครั้งหลังจากเงียบไปนาน แต่ครั้งนี้เธอดูจริงจังกว่าครั้งก่อน
“หรือว่าคุณจะให้พวกเราเฉยๆก็ได้นะ” ชายวัยกลางคนลงพุงเองก็เริ่มเปิดปากพูดแล้วเหมือนกัน
“ห้ะ ทำไมคุณซูถึงจะต้องมอบให้คุณเฉยๆล่ะ” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งพูดออกมา
“คุณเองก็ไม่ยอมให้เราได้ครอบครองรูปสลักหินแสนงามไปชิ้นหนึ่งแล้ว
อย่างน้อยก็ได้โปรดปล่อยทารกรากไม้นี้ให้ฉันเถอะนะ คุณซูคะ
ตัวฉันนั้นต้องการมีลูกมาตลอดแต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีซักที ฉันเองก็แค่อยากได้ทารกต้นไม้นี่ไปเป็นสิ่งแทนใจเท่านั้นเอง
หวังว่าพอนำไปไว้ที่บ้านแล้วจะนำพาข่าวดีเรื่องลูกมาให้ฉันได้ คุณซู คุณขายให้ฉันไม่ได้จริงๆหรอคะ” หญิงวัยกลางคนที่ดูสง่างามได้พูดออกมาอย่างจริงจัง
“มันก็แค่รากไม้น่า มันจะช่วยให้คุณท้องได้ยังไง” ชายลงพุงพูดพร้อมเบ้ปากใส่
“คุณจะคิดยังไงก็ช่าง อย่ามาแย่งฉันก็แล้วกัน ฉันคิดของฉันอย่างนี้จริงๆ อาจจะเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างสำหรับฉันก็ได้” หญิงวัยกลางคนยังคงยืนยันหนักแน่น
“ภรรยาของผมเองก็อยากได้ลูกคนที่สองเหมือนกัน” ชายวัยกลางคนคนนั้นก็พูดขึ้นมาเช่นกัน
เหล่าผู้คนที่มองอยู่ตอนนี้ต่างก็พูดไม่ออก พวกเขากำลังคุยกันอยู่ ถ้าจะให้พูดว่าแย่งสมบัติไปนั้นเอาจริงๆควรเป็นซูจิ้งไม่ใช่หรอ ซูจิ้งเองก็ถึงกับพูดไม่ออก ของแบบนี้จะทำให้ท้องได้จริงๆหรอ
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าหญิงคนนี้อยากท้องจริงๆหรือเป็นแค่ข้ออ้างที่จะได้ทารกรากไม้ไปแค่นั้น
ถ้าเธอยากท้องจริงๆเขาเองก็มีวิธีอื่นช่วยได้และได้ผลอย่างแน่นอน
แต่พอเขาคิดไปคิดมาก็ไม่อยากยุ่งอะไรมาก ปล่อยให้แต่ละสิ่งเป็นไปตามหนทางดีกว่า
“อย่ามาฝึนใจผมเลยครับ ผมไม่ขายรากไม้ในตอนนี้อย่างแน่นอน อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้ว่าของที่นำมาวันนี้แค่เอามาแสดงเท่านั้นผมไม่ขายอย่างแน่นอน อย่ามาตื้อผมให้ขายเลยดีกว่า
ถ้าคุณอยากได้จริงๆก็เหมือนเดิม รอฟังข่าวงานประมูลของโรงประมูลผมก็แล้วกัน”
การที่เขามาในวันนี้แทบจะบอกได้เลยว่าเป็นการโฆษณาอย่างดีให้กับโรงประมูลห้วงเวลาและกาลอวกาศของเขา
ทุกคนในที่นี้รู้สึกถึงหัวใจที่มีอาการเต้นอย่างรุนแรง ซูจิ้งนำสมบัติชั้นเลิศมาให้พวกเขาแต่เอามาเพียงแค่ตั้งโชวเล่นๆ ไม่ต่างจากการให้พวกเขามองจนแห้งตายเลยซักนิด แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่มองดูเท่านั้น
ตอนที่ 746
ไม่สามารถประเมินได้
ภายใต้การจับตามองของผู้คน ซูจิ้งได้ทำการดึงผ้าคลุมสีดำที่ปิดสมบัติชิ้นที่สามของเขาไว้
แสดงให้เห็นเหยือกแก้วเล็กๆเหยือกหนึ่ง และภายในเหยือกนั้นมีสิ่งๆหนึ่งอยุ่ข้างใน
นั่นคือหยกในรูปทรงหนู ทันทีที่ทุกคนเห็นได้พูดถึงเจ้าหนูหยกตัวนี้ทันที
หนูหยกตัวนี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ หนูตัวเป็นๆนั้นปกติจะมีขนาดน้อยกว่าเจ้าหนูตัวนี้ซักครึ่งหนึ่งได้
น้ำหนักของหนูหยกตัวนี้น่าจะอยู่ที่ประมาณครึ่งกิโลกรัม มันดูเหมือนมีชีวิตเช่นเดียวกับของสองชิ้นก่อนหน้านี้
สีของเนื้อหยกดูค่อนข้างขาว เมื่อจ้องมองแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น เนื้อหยกเองก็ดูดีมีคุณภาพ
อย่างไรก็ตามภายในหนูหยกนี้ ดูเหมือนจะมีสีแดงเข้มๆเป็นเส้นๆอยู่ข้างใน
มันเหมือนมีเส้นเลือดกำลังหล่อเลี้ยงร่างกายอยู่ข้างในจริงๆ ทำให้มันดูค่อนข้างน่ากลัวอยู่บ้าง ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่มันก็ยังดูน่าตื่นตาจนต้องหันกลับไปมองอีกครั้ง
“นี่มันนนน น่าจะเป็นหยกฮิเทียนใช่รึเปล่า”
“คิดว่าใช่นะ และดูเหมือนไม่ใช่เกรดธรรมดาแต่เป็นเกรดชั้นสูงสุดซะด้วยซิ”
“แล้วทำไมเจ้าหนูหยกตัวนี้มันถึงดูเหมือนสีเลือดเลยหล่ะ(หยกฮิเทียนปกติจะสีขาวไปถึงเหลือง)”
“หยกนี่ ไม่ใช่ว่าเป็นหยกเลือดในตำนานนั่นหรอกรึ”
“ช่างแกะสลักที่แกะเจ้าหนูหยกตัวนี้ช่างสุดยอดจริงๆ ช่างเหมือนจริงยิ่งนัก”
“ลองดูเส้นขนของมันสิ ไหนจะดวงตานี่อีก ถ้าให้บอกว่าเป็นหนูจริงฉันก็เชื่อนะ”
“สิ่งนี้ควรจะเป็นผลงานจากช่างแกะคนเดียวกับงานแกะสลักหินก่อนหน้านี้ ถูกต้องรึเปล่า”
ทุกคนในต่างนี้ต่างรู้สึกตื่นตะลึงอีกครั้ง รวมไปถึง ผู้อาวุโสเซี่ย หลิวฮง เต๋าฉินจู และคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกโง่งมขึ้นมาในทันที
นั่นก็เป็นเพราะว่า อย่างแรก วัตถุดิบที่ใช้แกะเจ้าหนูตัวนี้ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบเกรดสูงสุด ไม่ว่ามองจากมุมไหนก็ไม่พบร่องรอยการแตกหรือหักเลยแม้แต่น้อย
อย่างที่สองขนาด เจ้าหนูนี่ถือว่ามีขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับหยกฮิเทียนที่สามารถพบได้ทั่วๆไป เท่าที่รู้อย่างน้อยๆก็ไม่ค่อยได้เห็นก้อนขนาดนี้ในท้องตลาดซักเท่าไหร่
อย่างที่สาม ช่างแกะสลักที่แกะสลักหนูหยกตัวนี้สมควรจะมีเทคนิคท้าทายสวรรค์และเป็นคนที่พิเศษจริงๆ
ช่างแกะสลักคนนี้สามารถแกะหยกไปรูปสัตว์ได้อย่างเหมือนจริง ไม่ว่าจะเป็นรอยโค้งของเส้นขนที่ละเอียดแบบถี่ยิบเหมือนแกะออกมาในทุกเส้นขนที่หนูตัวหนึ่งควรจะมี
ต้องอย่าลืมว่านี่คือหยก กว่าจะแกะสักเส้นได้ต้องพิถีพิถันอย่างมาก นี่ยังไม่รวมถึงเส้นหนวด และหางที่ยาวนั่นอีก
ต้องมีการแกะหยกทิ้งไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่เพื่อให้ได้เส้นหนวดและหางเล็กๆพวกนั้น
แต่ถ้าทำแล้วมันดูเหมือนจริงขนาดนี้ก็คงบอกได้คำเดียวว่าคุ้มค่าแล้ว
และที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดนั่นก็คือเส้นเลือดที่อยู่ข้างในหยกหนูนี้ หยกก้อนนี้ดูเหมือนจะเป็นหยกเลือดจริงๆ แถมรอยเลือดพวกนี้ยังดูเชื่อมต่อกันจะดูเหมือนเส้นเลือดเลย ด้วยเหตุนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจสุดๆ
“ตาแก่เซี่ย นี่คือหยกเลือด(หยกเลือดพันปี)นั่นใช่รึเปล่า” หลิวฮงเอ่ยถาม
“ดูเหมือนว่าจะใช่นะ แถมดูๆไปแล้วยังไม่แห้งดีซะด้วย แต่มันก็ยังดูแปลกๆอยู่ดีที่สีแดงพวกนี้เชื่อมต่อกันจนเป็นเส้นๆแบบนี้” ผู้อาวุโสเซี่ยรู้สึกว่าใช่หยกพันเลือดในคำบอกเล่าเหมือนกัน เขารู้สึกขอบคุณหลิวฮงที่ทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ได้คิดไปเองคนเดียว
“นั่นสิ ถ้าเป็นหยกเลือดพันปีนั่น สีแดงสมควรจะซึมจากข้างนอกเข้าไปข้างใน แต่เจ้าหยกเลือดก้อนนี้สีแดงได้แพร่กระจายไปทั่วแบบทั่วถึงจนดูแทบจะเท่ากัน แถมวางตัวเป็นเส้นเหมือนเส้นเลือดอีก ช่างน่าประหลาดเสียจริง” ชายแก่อีกคนพูดขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ
“แต่เจ้าเส้นเลือดพวกนี้ทำให้หยกดูดีมากเลยนะ” เต๋าฉินจูพูดออกมา
“อะไรคือหยกเลือดพันปีคะ” เฉียนหยินหนิงอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“ที่มันถูกเรียกว่าหยกเลือดพันปีนั้นก็เพราะว่าหยกตามธรรมชาตินั้นไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตามหากมันมีสีแดงก็ถือได้ว่าคือหยกเลือดแล้ว
เหตุผลที่ไม่ได้มีการแยกแขนงออกไปตามคุณภาพหยกอีกทีนั่นก็เพราะว่าหยกเลือดนั้นหายากมากๆ
แม้แต่ในวงการหยกหรือวงการของเก่าเองน้อยครั้งนักที่จะได้เห็นมัน และส่วนใหญ่จะเป็นหยกโบราณที่อยู่ในผืนดินที่ลึกมากๆ จนบางคนเรียกสีแดงพวกนี้ว่า “เลือดจักรพรรดิ์”
หยกโบราณพวกนี้เริ่มเป็นที่นิยมตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง โดยพวกเขาได้เรียกหยกพวกนี้ว่าหยกเลือดจักรพรรดิ โดยพวกเขาชื่อว่าหยกพวกนี้ก่อเกิดมาจากเลือดของจักรพรรดิ์ที่เน่าเสียจนก่อรูปขึ้นมาเป็นหยก
ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อจนเกินไป
หากพูดตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว เลือดจริงๆนั้นเมื่อเสื่อมสลายแล้วจะกลายเป็นสารประกอบคาร์บอนและย่อยสลายหายไป ไม่มีทางซึมเข้าไปในเนื้อหยกได้
ที่พอเชื่อได้ก็จะเป็นหยกที่เกิดการออกซิเดชั่นกับธาตุประกอบของเหล็กในดินหรือรงควัตถุอื่นในดินจนทำให้เป็นสีแดงเหมือนเลือด
ถ้าจะให้พูดความจริงล่ะก็ที่เลือดสิ่งมีชีวิตเป็นสีแดงก็เป็นเพราะมีธาตุเหล็กจำนวนมากในเลือดเช่นเดียวกัน
และที่มันเปลี่ยนสีได้นั่นก็เพราะว่าเลือดเหล่านั้นเกิดการออกซิไดซ์กับอากาศจึงเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลแดงหรือสีน้ำตาลดำไป ” ผู้อาวุโสเซี่ยบรรยายออกมา
“หยกเลือดมีค่าขนาดนั้นเลยหรือครับ” หลิวฉิงถามออกมาด้วยความสงสัย
“แน่นอน ถ้าจะให้พูดว่ามันมีค่ายังไงนั้นต้องบอกว่าเป็นเรื่องของสีแดงพวกนี้
หยกเองก็มีสิ่งที่เรียกว่าเนื้อของหยกอยู่เหมือนกัน
การที่สีแดงพวกนี้จะเกิดขึ้นได้จำเป็นจะต้องเกิดการออกซิเดชั่นกับออกซิเจนในอากาศ เมื่อปฏิกิริยาดังกล่าวคงที่แล้ว ออกซิเจนถึงจะส่งต่อไปยังพื้นที่ที่ยังไม่เกิดปฏิกิริยา
ซึ่งแน่นอนว่าสีแดงเหล่านี้จะเกิดขึ้นโดยเริ่มจากพื้นผิวของหยกแล้วค่อยๆซึมลึกเข้าไปข้างใน
ถ้าหยกชนิดนั้นเป็นหยกเนื้อละเอียด สีแดงเหล่านั้นก็จิ่งใช้เวลานานในการก่อเกิด หยกก้อนเล็กบางก้อนยังใช้เวลานับพันปีถึงจะกลายเป็นสีแดงได้หมดทั้งก้อน
มันจึงถูกเลือดว่าหยกเลือดพันปี บางคนก็คิดว่าสีแดงของมันดูน่ากลัว แต่ส่วนใหญ่นั้นต่างหลงใหลในความสวยงามของสีแดงพวกนี้ ทำให้ยิ่งสีแดงเท่าไหร่ราคาก็ยิ่งสูงมากขึ้นเท่านั้น”
หลังจากทุกคนได้ยินแล้วจึงพอเข้าใจเรื่องหยกสีแดงที่แสนประหลาดนี้ขึ้นมาบ้าง
และเริ่มเข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสพูดคุยกันมาก่อนหน้านี้พอสมควร
สีแดงพวกนี้สมควรเป็นสีแดงที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาของธาตุเหล็กที่ซึมเข้าไปเมื่อตอนยังเคยฝังอยู่ในดิน
และปกติควรจะเริ่มแดงจากผิวหยกเข้าไปข้างใน
แล้วววว ทำไมเจ้าหนูนี่ด้านนอกถึงไม่เป็นสีแดงเข้มก่อนหล่ะ และทำไมสีแดงภายในของมันถึงเป็นเส้นเหมือนเส้นเลือดแบบนี้
หลังจากฟังคำของผู้อาวุโสเซี่ยแล้ว ซูจิ้งก็เริ่มคิดไม่ตกขึ้นมา ความจริงแล้วเหตุผลที่เขานำเจ้าหนูหยกนี่มานั่นก็เป็นเพราะว่าเขาอยากรู้ว่าในโลกนี้พอจะมีของแบบนี้บ้างรึเปล่า
เพราะว่าเขารู้ดีว่าหนูหยกตัวนี้ไม่ได้ทำมาจากหยกเลือดพันปีในตำนานอย่างแน่นอน ถ้าจะบอกให้ถูกคือหยกหนูตัวนี้มันคือหนูจริงๆ
ถึงมันจะฟังดูแปลกไปซักหน่อยแต่ในตอนที่ซูจิ้งให้หนูทดลองทั้ง 5 ตัว และแสดงผลออกมาสามตัวนั้น
ตัวหนึ่งได้รับยาแปลงโฉมเข้าไป
อีกตัวหนึ่งได้รับเบอร์รี่น้ำแข็งเข้าไป
ส่วนอีกตัวหนึ่งนั้นเจ็บปวดทรมานและสิ้นลมไปตอนไหนซูจิ้งก็ไม่รู้เหมือนกัน
หลังจากนั้นซักพักซูจิ้งได้เข้ามาติดตามผลเพราะคิดว่ามันยังชีวิตอยู่ ปรากฏว่าเจ้าหนูนั่นได้เปลี่ยนไปกลายเป็นหยกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือเจ้าหนูหยกที่อยู่ตรงนี้
นี่คือเหตุผลว่าทำไมหยกหนูชิ้นนี้ถึงได้ดูดีมีชีวิตชีวา นั่นเพราะมันไม่ได้มาจากการแกะสลักแต่เป็นหนูจริงที่กลายเป็นหยก ส่วนสีแดงที่เห็นนั่นก็คือเส้นเลือดของเข้าหนูนั่นจริงๆ ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้มันได้กลายเป็นหยกตามไปด้วย
ส่วนนี่คือเหตุผลที่เหล่าผู้วิเศษในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นถึงไม่ละโมบโลภมากในทรัพย์สินเงินทอง
นั่นก็เพราะว่า แค่เทผงแบบนี้ลงไปบนก้อนหินก็สามารถเปลี่ยนเป็นอัญมณีก้อนใหญ่ได้ง่ายๆ
“ผู้อาวุโสเซี่ยแล้วเจ้าหนูตัวนี้….” เฉียนไจบิงเอ่ยถามขึ้นมา
ผู้อาวุโสเซี่ยเองสุดท้ายก็ไม่สรุปผลไม่ได้ หลังจากที่พรรณนามาตั้งมากมายต่อหน้าธารกำนัลทั้งหลาย
บ้างคือเพื่อน บ้างคือพนักงานของที่นี่ บ้างก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาอื่นเอง พวกเขาจึงตัดสินใจเข้ามาร่วมให้ความเห็น
พวกเขาค่อยๆช่วยกันตรวจสอบตามหลักแนวคิดต่างๆทั้งในเรื่องที่ตนเองถนัดและตามที่ผู้อาวุโสเซี่ยได้กล่าวมาในก่อนหน้านี้
สุดท้ายแล้วพวกเขาก็สรุปได้ว่ามันไม่สามารถประเมินผลได้ นั่นก็เพราะพวกเขาไม่สามารถเจาะเข้าไปเพื่อตรวจวิเคราะห์ หรือสะกิดผิวด้านนอกเพื่อตรวจสอบ
แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็มั่นใจแล้วแน่นอนว่าหยกนี่คือหยกเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่เมื่อไม่รู้เหตุแห่งการณ์ก่อกำเนิดหยกเลือดในลักษณะจึงไม่อาจประเมินราคาได้อย่างถูกต้อง
เอาจริงต่อให้รู้ที่มาหรือเหตุแล้วก็ประเมินมูลค่าไม่ได้อยู่ดี เพราะเจ้าหนูหยกสีแดงเลือดตนนี้มีตัวเดียวในโลกอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนที่ 747
เพื่อนเก่า
หลังจากที่สมบัติทั้งสามของซูจิ้งได้อวดโฉมต่อสายตาผู้ร่วมงานพิพิธภัณธ์จนหมดแล้ว เหล่าผู้ร่วมงานเองต่างก็ตกตะลึงมากขึ้นไปอย่างเป็นระดับและในตอนนี้เหล่าผู้ร่วมงานต่างกับจับจ้องไปยังสมบัติทั้งสามโดยไม่อยากจะไปดูชิ้นอื่นอีก ประหนึ่งดั่งไม่อยากพลาดโอกาสที่จะได้เห็นเลยแม้แต่น้อย เหมือนอยากจะเก็บของทั้งหมดใส่กระเป๋าเอากับไปบ้านซะเดี๋ยวนั้น บางคนเอากล้องมือถือตัวเองขึ้นมาถ่ายให้ได้ทุกมุมเท่าที่จะถ่ายได้
พอคิดว่าซูจิ้งนั้นไม่ยอมขายของทั้งหมดในตอนนี้ ผู้คนส่วนใหญ่เลยเลือกที่จะทิ้งนามบัตรเอาไว้ให้เขาแทน โดยในนามบัตรนั้นได้เขียนชื่อสมบัติพร้อมราคาเอาไว้เพื่อว่าเขาจะเปลี่ยนใจ ซูจิ้งเองก็เลือกที่จะปฏิเสธที่จะรับนามบัตรนี้ทุกคนเพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งเล็กๆขึ้นได้
“อาจิ้ง ถึงแม้ในพิพิธภัณฑ์นี้มีสมบัตรอยู่มากมาย แต่ดูเหมือนจะเทียบกับสมบัติสามชิ้นของนายไม่ได้เลยนะ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดออกมาพร้อมสายตาชื่นชม
“ผู้อาวุโสเซี่ยก็ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ สำหรับผมแล้วแจกันเกลียวชมพูสมัยราชวงศ์ชิงใบนั้น กับมีดเหน็บเอวของจักรพรรดิสมัยราชวงศ์ชิงเล่มนั้นถูกใจผมมากเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแจกันใบนั้นเป็นใบที่ผู้อาวุโสเชี่ยเป็นผู้คนพบเอง ถือได้ว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่สมบัติของผมนั้นผมไม่ใช่ผู้ค้นพบแค่หามาส่งต่อไปแค่นั้นเอง ความสำคัญต่างกันเยอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาแบบนั้นนั่นก็เพราะว่าถ้าพูดถึงความหายากของสิ่งของนั้น ของๆเขาย่อมหาได้ยากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าพูดถึงความสำคัญและความรู้สึกแล้ว ของที่อาวุโสเซี่ยนำออกมาจัดแสดงนั้นย่อมให้ความรู้สึกที่ดีกว่ามากมายนัก แม้แต่สมบัติของซูจิ้งก็ยากที่จะเทียบได้
“อาจิ้ง นายบอกไม่ได้จริงๆหรอว่าสมบัติทั้งสามนั่นมีที่มายังไงกัน” มู่หรงฉินเองก็ยังคงสงสัยอยู่ดี
“เอาเป็นอย่างที่หลิวฉิงบอกแล้วกันครับ ผมก็แค่ไปเจอแล้วเก็บมาแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
นั่นทำให้ผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน หลิวฮง เฉียนไจบิง เฉียนหยินหนิง และคนอื่นๆอดไม่ได้ที่จะเหลือกตามอง สิ่งที่เขาเอามาแสดงนั้นล้วนแล้วแต่น่าเหลือเชื่อ แต่เขากลับทำเหมือนกับพวกมันเป็นแค่ของธรรมดาสามัญไม่หวังชื่อเสียงที่เป็นผู้ค้นพบ
หลังจากนั้ซักพักเหล่าผู้คนทั้งหลายก็พยายามที่จะเปลี่ยนเป้าหมายโดยเริ่มที่จะมองไปยังสมบัติชิ้นอื่นในพิพิธภัณฑ์แล้ว ทันใดนั้นหนุ่มหล่อก็ได้เดินเข้าไปหาหยินหนิงและไจบิงพร้อมพูดว่า “คุณเพื่อนร่วมห้องเฉียนหยินหนิงและคุณพี่ใหญ่เฉียนไจบิง ยินดีที่ได้พบอีกครั้งนะครับ ช่างเป็นโชคชะตาจริงๆ”
“สวัสดี” เฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงพยักหน้ารับเล็กน้อย
“ซูจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หนุ่มหล่อหันไปทักทายซูจิ้งพร้อมยกมือขวาขึ้นเล็กน้อยเพื่อจับมือทักทาย ซูจิ้งเองก็ตกใจเล็กน้อยพร้อมกำลังระลึกชาติอยู่ คนๆนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องงั้นหรอ เดี๋ยวนะเขารู้จักชื่อหยินหนิงเขาก็น่าจะเป็นเพื่อนร่วมห้องในมหาวิทยาลัยรึเปล่า
“สวัสดี” ซูจิ้งเองก็กล่าวทักทายตามธรรมเนียมในขณะที่กำลังนึกชื่อให้ออก เขาเองก็รู้สึกดีเล็กน้อยที่ได้เจอเพื่อนเก่าบ้าง แต่นึกยังไงเขาก็ยังนึกไม่ออก เอาจริงๆเขาไม่ค่อยได้สนใจจะจำเพื่อนร่วมห้องซักเท่าไหร่นัก เพราะในช่วงมหาลัยเองเขาก็มีแต่เรื่องจนรู้จักดีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ในขณะที่จับมืออยู่นั้นอยู่เขาก็เริ่มรู้สึกเหมือนมือของเขาถูกบีบ รู้สึกได้เลยว่าหนุ่มหล่อข้างหน้าเขาเหมือนอยากจะเปรียบความแข็งแกร่ง
แรงที่หนุ่มหล่อคนนี้ใช้ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องรู้สึกเจ็บปวดพอสมควรแล้ว มันไม่ใช่การจับมือทักทายธรรมดาอีกแต่ไปแต่เป็นการข่มขวัญศัตรู อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของซูจิ้งในตอนนี้ แรงที่หนุ่มหล่อข้างหน้าเขาบีบมาไม่ต่างอะไรกับแรงของเด็กน้อย
ตอนนี้ซูจิ้งเริ่มจะเซ็งเล็กน้อยแทน เขาเองนั้นไม่เคยอยากหาเรื่องใครก่อน แต่ถ้ามีใครเริ่มก่อนเขาก็พร้อมจะสนองไม่ไว้หน้าใคร เขาได้เพิ่มแรงบีบกลับไปทีล่ะน้อยเพราะกลัวอีกฝ่ายบาดเจ็บเกินจำเป็น หนุ่มหล่อตกใจเล็กน้อยในทันที เขาได้พยายามจะเพิ่มแรงเพิ่อตอบโต้ไปบ้าง แต่ซูจิ้งก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แรงของซูจิ้งในตอนนี้ต่อให้ต้องเจอคนตัวใหญ่กว่านี้บีบก็ไม่ใช่คู่มือของเขาเลย
ซูจิ้งค่อยเพิ่มแรงบีบของเขาเข้าไปอีก ถ้าเขาเอาจริงหล่ะก็คนบนโลกนี้น้อยคนนักที่จะสู้เขาได้ แรงของเขามีมากพอที่จะงอแท่งเหล็กหนาสิบเซนติเมตรได้สบายมือ แต่เขาเองก็ต้องประหลาดใจเหมือนกันเพราะไม่คิดว่าชายหน้าหล่อคนนี้จะทนแรงของเขาได้
หน้าตาของซูจิ้งในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจและหนุ่มหล่อคนนี้เองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน พวกเขามองหน้ากันก่อนที่จะตัดสินใจถอนมือออกมาพร้อมๆกัน ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทันใดนั้นหนุ่มหน้าหล่อก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ดูเหมือนว่าซูจิ้งจะยังจำฉันไม่ได้นะ ชื่อของฉันคือ ไป๋ฮิตู(ขาว ดอกบัวหรือแม่น้ำ แผนที่,แผนที่ดอกบัว(แม่น้ำ)สีขาว)”
“สวัสดีขาวน้อย(คนจีนชอบใช้เรียกชื่อหมาแมวสีขาว)” เมื่อซูจิ้งพูดออกไป หลิวฉิงถึงกับสำลักน้ำลาย เฉียนหยินหนิงเองก็ยิ้มพร้อมแอบขำออกมาพลางคิดว่า นี่ซูจิ้งเป็นพวกตั้งชื่อเล่นให้คนอื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“แค้กๆ เอ่อ อื้ม เอ่อ ชื่อขาวน้อยนี่ฉันไม่ค่อยจะได้ใช้หรอกนะ” ตอนนี้ไป๋ฮิตูเริ่มรู้สึกจุกขึ้นมาทันที ความรู้สึกเหมือนซูจิ้งยัดอะไรเข้ามาให้กินจนจุกแทบจะพ่นข้าวในท้องออกมา แต่เขาก็ยังพยายามทำหน้าตาปกติเข้าไว้พลางพูดออกมาว่า “ตอนมหาลัยนั้นเห็นนายกับหวังหยานเจอแต่ปัญหามากมาย ฉันก็คิดว่านายจะจิตตกจนถอดใจไปซะแล้ว ไม่คิดว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปีนายจะประสบความสำเร็จได้จนถึงขนาดนี้ วันนี้สมบัติทั้งสามชิ้นนั่นเปิดหูเปิดตาฉันจริงๆ”
“โฮ่โฮ่ ไม่เลวเลยแหะ” ในขณะที่ไป๋ฮิตูกำลังพูดอยู่นั้น ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาตรวจสอบออร่าของเขา ในขณะที่พูดออร่าของเขาดูเสถียรและสงบนิ่งจนแทบไม่รู้สึกถึงอะไรที่ผิดปกติ แต่ดูเหมือนว่าไป๋ฮิตูเองอยากจะลองใช้มือตีก้นม้าดูบ้าง นี่ทำให้เขารู้สึกรังเกียจเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจคือทำไมไป๋ฮิตูถึงแรงเยอะขนาดนี้ทั้งที่รูปร่างก็ไม่ใช่
หมอนี่มาจากไหนกัน
ไป๋ฮิตูไม่ได้สนใจซูจิ้งอีกต่อไป เขาหันไปคุยกับฉินหยิงหนิงว่า “เราไปกินข้าวกันซักมื้อได้รึเปล่า ฉันเป็นคนเลี้ยงเอง พอดีฉันรู้จักร้านอาหารดีๆอยู่ใกล้ๆนี้เอง”
“ไม่” เฉียนหยินหนิงตอบปฏิเสะอย่างไร้เยื่อใย หลิวฉิงเองก็จ้องมองไปอย่างไป๋ฮิตูด้วยสายตาเย็นชาอย่างเยือกเย็น เขาเองก็หวังไม่ให้หยินหนิงใส่ใจไป๋ฮิตูซักนิดเดียว
“งั้นเป็นโอกาสหน้าแล้วกัน” ไป๋ฮิตูเองจิตตกไปเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเองก็ยังอ่านบรรยากาศไม่ออก ดูเหมือนเขาจะพยายามชวนในทำนองนี่สองครั้งแต่ไม่เป็นผลก็เลยเดินจากไป
ซูจิ้งสังเกตุเห็นไกลๆว่าไคจิ้งกำลังจะไปห้องน้ำ เขาเลยพูดหลิวฉิงและเฉียนไจบิงถามทางไปห้องน้ำแล้วเดินออกไป
“หยินหนิง ไป๋ฮิตูเองก็ดูดีไม่เลวนะ ทำไมเธอไม่สนใจเขาล่ะ” ไจบิงถามหยินหนิงด้วยรอยยิ้มหยอกๆ
“หึ ไม่รู้สึกว่าดูดีอ่ะ” หยินหนิงหัวเราะหึออกมาแรงจนจมูกเธอขยับเลย
“เธอนี่น้า…. ฉันว่าเธอน่ะหัวสูงเกินไปแบบนี้ จะมีใครต้องตาบ้างเนี่ย”
“จะรีบไปทำไม เรื่องแบบนี้ตัดสินใจครั้งหนึ่งมีผลทั้งชีวิตนะ ว่าแต่พี่เหอะ พี่เองก็ยังไม่มีแล้วจะรีบไล่ฉันไปแต่งงานนี่เพื่อ…..”
“เธอเองก็จะ 24 แล้วนา…. ยังไม่มีคนรักเลย แล้วจะให้ฉันรีบแต่งไปทำไม”
“แค้กๆ” ตอนนั้นเองหลิวฉิงก็ได้กระแอมออกมาเล็กน้อย พร้อมทั้งหายใจเข้าลึกๆพลางพูดออกมาว่า “ผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ไม่ควรจะรีบนะครับ ถูกอย่างที่หยินหนิงว่ามานั่นหล่ะ เรื่องแบบนี้เกี่ยวพันไปถึงความสุขทั้งชีวิต ดูอย่างท่านปู่กับท่านแม่ของผมซิ พวกท่านเองก็เร่งอยากให้ผมหาคู่ครองเร็วๆแต่ชีวิตคู่ของพวกท่านก็ไม่ได้ดีซักเท่าไหร่เพราะรีบเร่งแต่งงาน ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ”
ทั้งเฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงเองได้หันไปมองยังหลิวฉิง สายตาของทั้งคู่ทำการประเมินหลิวฉิงตั้งแต่หัวจรดเท้าในทันที ด้วยสายตาแบบนี้ถึงกับทำให้เขาหวั่นไหวพอสมควร เอาจริงๆแล้วพวกเขานั้นก็เพิ่งจะเคยเจอกันเป็นครั้งแรก แต่เพราะทุกคนดูสนิทกับซูจิ้งทำให้เหมือนกับสนิทกันเองไปด้วยโดยปริยาย
วันนี้หลิวฉิงเองก็เพิ่งจะได้เห็นหยินหนิง ทันทีที่เขาเห็นหัวใจของเขาถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ และหวั่นไหวจนแทบจะทำตัวไม่ถูก ในตอนที่เขาเห็นไป๋ฮิตูพยายามจะเขาหาหยินหนิง นั่นทำให้การตัดสินใจของเขารวนในทันทีจนทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังซะก่อนจนเป็นเหตุต้องเสียหน้าในวันนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อเขาเห็นซูจิ้งดูสนิทกัน เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะทำตัวสนิทสนมเหมือนกัน เพราะคิดว่าเข้าทางซูจิ้งจะง่ายกว่า
“ฉันก็คิดอย่างนั้นนะ” เฉียนหนิงพยักหน้ารับเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวฉิง นั่นทำให้หลิวฉิงแอบดีใจอยู่เล็กๆ อย่างไรก็ตาม เธอนั้นก็ยังพูดอะไรออกมาที่ทำให้เขาถึงกับชะงักงั้นในทันทีนั่นก็คือ “ถ้าฉันจะหาใครซักคนฉันจะหาคนที่เก่งพอๆกับซูจิ้งให้ได้”
หลังจากได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้าไปอย่างนั้น ก่อนที่จะขอตัวออกมาเดินดูงานรอซูจิ้งฆ่าเวลา ตอนนี้เขานั้นเดินดูสมบัติไปพลางคิดไปพลาง ตอนนี้เขาหน้าแตกหมอไม่รับเย็บเรียบร้อยแล้ว นี่เธอคิดจะหาคนที่ดีและเจ๋งพอๆกับลูกพี่จิ้งงั้นหรอเนี่ย ความคิดของเธอนั้นสูงส่งจริง ตัวเขานั้นเทียบไม่ได้กับซูจิ้งเลยแม้แต่หนึ่งในสิบส่วนก็ตาม
เฉียนไจบิงก็มองตามหลิวฉิงไปพลางส่ายหัวพร้อมยิ้มออกมาเบาๆ ก่อนจะหันไปหาเฉียนหยินหนิง เขาเองก็รู้ว่าหยินหนิงเพียงต้องการดูท่าทีของเขาที่มีต่อซูจิ้งแค่นั้นเอง เพราะเธอน่าจะดูออกว่าหลิวฉิงนั้นเทิดทูนซูจิ้งอย่างมาก ถ้าเธอบอกเขาอย่างนั้นแล้วหลิวฉิงเดินจากเธอไป เธอจะไม่มีวันให้โอกาสเขาอีก เอาจริงๆเขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วเหมือนกันว่าหยินหนิงนันชอบผู้หญิงรึเปล่าเพราะหาผู้ชายถูกใจไม่ได้ซะที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น