Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 739-743

ตอนที่ 739

 

งานแกะสลักหิน


 


ตอนนี้สายตาของซูจิ้งกำลังจับจ้องไปยังสิ่งๆหนึ่ง เขานั้นกำลังมองรูปปั้นมนุษย์ แต่พวกมันได้แตกหักหมดแล้ว บางอันแขนหัก บางอันขาหัก


แต่ซูจิ้งก็ยังรู้สึกตื่นหูตื่นตาอยู่นั่นก็เพราะรูปปั้นเหล่านั้นช่างดูมีพลังเสมือนกับเป็นคนจริงๆ


ไม่ว่าจะเป็นส่วนลำตัว ต้นแขน ขา ใบหน้า ดวงตา เส้นผม แม้กระทั้งลวดลายของเสื้อผ้า แม้แต่ร่องรอยบนร่างกาย ทุกอย่างล้วนดูสมจริง เขาคิดออกมาว่ารูปปั้นพวกนี้จะต้องแกะสลักโดยปรมาจารย์ช่างแกะสลักเป็นแน่


 


ซูจิ้งได้เข้าไปใกล้ๆรูปปั้นเหล่านั้น และได้คัดส่วนที่แตกออกไปทั้งหมด หลังจากเสร็จแล้วเขาก็ได้พบว่ารูปปั้นเหล่านี้เป็นรูปปั้นผู้ชายสองคนและผู้หญิงหนึ่งคน โดยทั้งหมดได้สวมใส่เครื่องแบบของทหาร มันเป็นชุดหนังที่เน็บดาบเอาไว้


เขากำลังจ้องมองไปยังเหล่าแขนขาของรูปปั้นที่หักกองอยู่ เอาจริงๆแค่เฉินฮง ซงเหลา หรือคนอื่นๆล่ะก็เห็นเข้าคงจะโวยวายซูจิ้งกันยกใหญ่เป็นแน่


 


ซูจิ้งเองนั้นไม่ได้รู้เกี่ยวกับงานแกะสลักมากมายอะไรนัก


ความรู้ของเขาเกี่ยวกับรูปปั้นก็เทียบได้กับคนไม่เคยกินเนื้อหมูแค่เคยเห็นหมูวิ่ง


เขาเข้าใจแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เขาก็กล้าบอกได้เลยว่ารูปปั้นพวกนี้ดูดีมีชีวิตชนิดที่หาที่ไหนใดโลกมาเปรียบก็ไม่ได้ แม้จะเอาไปเทียบกับรูปปั้นวีนัสก็ตาม


 


ซูจิ้งกำลังเพ่งมองไปที่รูปปั้นเหล่านั้นโดยการปล่อยกระแสจิตออกมาเพื่อตรวจสอบดู เขาค้นพบในสิ่งที่หน้าเหลือเชื่อมากๆ เพราะรูปปั้นพวกนี้มีแม้แต่รายละเอียดของเส้นขนตลอดจนเส้นผมทุกเส้นเสมือนเป็นคนจริงๆ มันอยากที่จะเชื่อได้ว่าจะมีคนที่สามารถแกะสลักงานแบบนี้ได้อยู่ในโลกหล้า ที่มีความลเอียดแม้แต่การแกะสลักเส้นขนและเส้นผมได้ พวกเขาคงต้องมีเทคนิคชั้นฟ้าเทียมสวรรค์แน่ๆ แม้แต่ดวงตาเองก็ยังดูเหมือนจ้องมองดูอยู่เลย


 


“พระเจ้า รูปปั้นพวกนี้มาจบที่กองขยะแบบนี้ได้ยังไงเนี่ย เป็นเพราะมันแค่หักเท่านั้นน่ะหรอ”


ซูจิ้งได้ผลักรูปปั้นไปไว้ข้างๆ แล้วทำการจัดการขยะของเขาต่อไป


เขายังหวังว่าจะมีของดีๆพอกับรูปปั้นเหล่านี้ ขออันที่สมบูรณ์ซักชั้นก็ยังดี


 


กองขยะที่สูงท่วมหัวเขาได้นั้นไม่ได้คณามือของซูจิ้งอีกต่อไป เขาได้จัดการพวกมันอย่างรวดเร็ว


ซักพักเขาก็ได้เจอรูปปั้นมนุษย์อึกหลายอัน รูปปั้นสองอันดูเหมือนจะยังแกะสลักไม่เสร็จดี


เป็นไปได้ว่าหินที่ใช้เป็นโครงนั้นแข็งเกินไป เหล่าช่างแกะสลักเลยยอมแพ้แล้วทิ้งพวกมันมา


โชคดีพวกมันหล่นไปบนกิ่งไม้และใบไม้ทำให้พวกมันไม่ได้หักแบบอันอื่นๆ


 


“เยี่ยมเลย ในที่สุดก็เจออันที่ยังคงดีๆอยู่บ้าง รูปปั้นอันอื่นถ้าติดกาวต่อกันซะหน่อยคิดว่าก็ยังคงทำอะได้บ้างหล่ะนะ”


ซูจิ้งในตอนนี้อารมณ์ดีมากๆ เขานั้นยังคงสงสัยถึงห้วงเวลาฯของขยะกองนี้อยู่ดีว่ามาจากที่ไหนกันแน่


ยิ่งเขาคุ้ยขยะมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจอทั้งเศษไม้และรูปปั้นมากยิ่งขึ้น


ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจไม้พวกนี้มากนัก แต่ยิ่งคุ้ยเขายิ่งเจอไม้ชิ้นที่ใหญ่ยิ่งขึ้น


จนกระทั่งเจอต้นไม้ชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งทำให้เขานั้นจ้องแบบไม่กระพริบตาเลย


 


ไม้ชิ้นนี้ยาวประมาณหกถึงเจ็ดเมตรเห็นจะได้ พอเห็นแล้วทำให้เขาจินตนาการไม้ต้นนี้เป็นรูปร่างคนแก่ได้ยังไงก้ไม้รู้เหมือนกัน มันดูมีร่องรอยส่วนใบหน้าของมนุษย์ มีดวงตา มีกิ่งเป็นเหมือนแขน มีโคนคล้ายขา และมีรากดูคล้ายเท้า มันไม่ได้ดูเหมือนท่อนไม้ยักษ์ธรรมดาแม้แต่น้อย มันดูเหมือนมนุษย์ต้นไม้ที่อยู่ในเรื่องเล่า


 


“เพราะเจ้า นี่มันต้นไม้จริงๆหรอ” ซูจิ้งรู้สึกได้ถึงหัวใจที่กำลังเต้นเร็วขึ้น เขาเองก็มีเต็งเต็งมาตั้งนานแล้ว ถึงแม้ว่าเต็งเต็งจะดูต่างออกไปจากมนุษย์ต้นไม้ก็ตาม มนุษย์ต้นไม้ในเรื่องเล่าต่างๆนั้นไม่ใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดา พวกมันคือต้นไม้ที่มีชีวิตอยู่มานานนับพันๆปีจนเกิดสติปัญญาและความรู้จนพอๆกับมนุษย์


 


อย่างไรก็ตามซูจิ้งได้ลองปล่อยกระแสจิตตรวจสอบมนุษย์ต้นไม้ดูแล้ว เขาค่อนข้างมั่นใจว่ามนุษย์ต้นไม้ตนนี้ตายแล้ว เพราะว่าในระหว่างตรวจสอบไม่พบคลื่นกระแสจิตสะท้อนกลับมา ในเมื่อเป็นเช่นนั้นทำให้มันกลับกลายเป็นไม้ธรรมดาเหมือนเดิม ถึงจะว่าอย่างนั้นแต่ไม้ที่อายุเป็นพันปียังไงซะก็ยังถือว่าเป็นสิ่งพิเศษ เขาจิงได้ตัดกิ่งก้านของมันออกแล้วลองเอาไปชำดูเพื่อมันจะโตขึ้นมาอีกครั้ง เขาหวังอยู่ลึกๆว่ามันจะเติบโตกลับมาเป็นมนุษย์ต้นไม้อีกครั้งหนึ่ง


 


ซูจิ้งพลางนึกในใจไปว่าถ้าฉันอยากได้มนุษย์ต้นไม้นี่เขาต้องรอเป็นพันปีรึเปล่านะ


 


“ช่างน่าเสียดายจริง ถ้าแกเป็นมนุษย์ต้นไม้จริงๆล่ะก็สมควรเป็นกำลังรบชั้นเลิศให้กับฉันได้เลย


เคยมีคนกล่าวว่ามนุษย์ไม้มีความสามารถในการทำให้ต้นไม้ธรรมดากลายเป็นทหารขึ้นมาได้


มันน่าจะมีเงื่อนงำอะไรบางอย่างนะ ไหนลองหาดูอีกหน่อยดีกว่าเพื่อว่าจะเจอพวกนี้อีก”


ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อไปอีก เขายังเจอกิ่งไม้มากชึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งเขาพบมนุษย์ต้นไม้อีกต้น


แต่พอตรวจสอบดูอีกครั้งก็พบว่ามันตายแล้วเช่นกัน ถึงจะเป็นอย่างนั้นต่อซูจิ้ง ก็ยังคงไม่ลดละ


ยังคุ้ยขยะต่อไป เขาพบมนุษย์ต้นไม้อีกจำนวนหนึ่งแต่พวกมันก็ได้ตายหมดแล้วเช่นเดียวกัน


ตอนนี้ซูจิ้งเริ่มตระหนักอะไรบางอย่าง เขาเก็บข้อมูลจากการสังเกตุสิ่งต่างๆเพื่อคาดการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ต้นไม้พวกนี้


โดยจากสภาพที่ไม่มีร่องรอยของเลือดสดอยู่ และด้วยสภาพแตกหักเกือบทุกต้นแล้วเป็นไปได้ว่าพวกนี้อาจเข้าร่วมสงตรามจนตายในสนาบรบมาพักใหญ่แล้ว


เท่าที่เขารู้มามนุษย์ต้นไม้ในห้วงเวลาฯวอคราฟท์ล้วนรักสงบ ทำไมพวกมันถึงโดนกำจัดล่ะ


 


“แล้ว นี่คือ” ซูจิ้งได้สังเกตุเห็นเห็ดจำนวนมากเติบโตอยู่บนรากของมนุษย์ต้นไม้ต้นหนึ่ง


พวกมันมีสีชมพูจ๋าดูแล้วน่าลิ้มลอง แต่หลังจากมองซักพักซูจิ้งก็ได้สติพร้อมคิดว่าเจ้าเห็ดพวกนี้คือเห็นอะไรกันแน่ แน่นอนว่าซูจิ้งไม่กินมันแน่นอน


โดยทั่วไปแล้วหากเราเจอเห็ดอะไรซักอย่างที่ไม่รู้จักเราไม่ควรกินสุ่มสี่สุ่มห้าเพราะเห็นบางชนิดมีพิษแถมบางชนิดมีพิษอย่างรุนแรงอีกด้วย


 


ซูจิ้งจึงได้ทำเหมือนปกติคือให้หลี่น้อย กับอาลี่ไปจับหนูมา แต่คราวนี้เขาสั่งให้ไปหามาให้มากที่สุด ทั้งสองได้ต้อนหนูมาถึงแม้จะไม่ได้มาเป็นร้อยตัวอย่างที่เขาหวังไว้แต่ก็หามาได้ประมาณแปดสิบตัว ถ้ามีคนทั่วไปมาเห็นล่ะก็ต้องสะพรึงกับภาพที่เห็นแน่นอน หนูนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่ได้ชื่อว่าขยายพันธุ์ได้เร็วที่สุดต่อให้ตายไปแค่นี้อีกพักก็กลับมามากกว่าเดิมแล้วเพราะฉะนั้นจำนวนแค่นี้ไม่ได้ถือว่ามากมายอะไรเลย ความจริงแถวนี้มีเยอะกว่านี้อีกแต่หลังจากที่เหล่าสัตว์เลี้ยงของเขามาทำให้ส่วนใหญ่ย้ายไปแดนข้างๆแทน


 


ซูจิ้งบรรจงเห็ดสีสดใสที่พบให้หนูทีละตัว ผ่านไปซักพักหนูทำตัวสั่นและชักตาตั้ง ตอนแรกเขาก็นึกว่ามันเจ็บปวด แต่พอมองไปเรื่อยๆแล้วเหมือนจะไม่ใช่ เขาเลยนำเลือดของมันหยดเข้าหยกหมื่นอสูร ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงมันหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ”


 


เหล่าหนูหัวเราะตลอดเวลา แทบจะบอกได้ว่าหัวเราะซ้อนหัวเราะเลยก็ว่าได้ ดูๆไปแล้วมันเหมือนกับการถูกทรมานโดยการหัวเราะต่อให้พยายามหยุดก็หยุดไม่อยู่ หลังจากพวกมันหัวเราะไปได้ซักห้านาทีพวกมันก็หยุดลงและลงไปนอนกองกับพื้นด้วยความอ่อนแรง


 


“ผลจากการกินเห็ดพวกนี้ช่างพื้นๆซะจริง มันคือเห็ดหัวเราะ” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา นี่คือเห็ดหัวเราะตามตำนานเรื่องเล่า มันฟังดูแล้วน่าสนุกและไม่มีพิษภัย สามารถกินมันได้ตอนที่รู้สึกอารมณ์ขุ่นมัวก็พอจะใช้ได้บ้าง


 


ซูจิ้งได้ดึงเห็ดออกมาพยายามให้เหลือรากไว้แล้วเอาไปปลูกในกระถางเอาไว้ หลังจากนั้นเขาก็จัดการขยะของเขาต่อไป หลังจากคุ้ยไปได้อีกพักใหญ่เขาก็ได้เจอเอกสารบางอย่าง หลังจากนำมากองๆไว้ด้วยกันเขาทำการอ่านแล้วเริ่มสังเกตุเห็นว่ามีชื่อหลายๆชื่อที่เขาคุ้นหูคุ้นตาอย่างมากอย่าง อาณาจักรโรแลนด์ เมืองครึ่งเทพ ป่าให้ความเย็นยะเยือก เผ่าพันธุ์มังกร และเผ่าพันธุ์ออร์ค


 


รวมไปถึงเขายังพบตราสัญลักษณ์บางอย่าง หนึ่งคือวงกลมที่มีดาบไขว้อยู่ข้างในและอีกหนึ่งคือธงที่มีรูปมงกุฎอยู่ข้างบนกองเพลิง ซูจิ้งจ้องไปที่พวกมันด้วยตาเบิกกว้าง เขารู้แล้วขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากไหน

 

 

 


ตอนที่ 740

 

จากห้วงเวลาฯแห่งนั้น


 


หลังจากจ้องมองไปยังคำที่คุ้นเคยและตราสัญลักษณ์ทั้งสอง ซูจิ้งได้นึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาได้เห็นในระหว่างจัดการขยะกองนี้ออกมาจากความทรงจำของเขา ก่อนที่ตาของเขาจะเป็นประกายเพราะรู้แล้วว่ามาจากไหนเขาจึงได้พูดเบาๆอกมาว่า “ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ขยะห้วงเวลาฯกองนี้น่าจะมาจากห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนะ”


 


ห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นจากที่เขาเคยอ่านมานั้นเขาคาดการณ์ได้ว่ามันทรงพลังยิ่งกว่าห้วงเวลาฯวอร์คราฟท์ได้ถึงห้าถึงหกเท่า นอกจากเป็นห้วงเวลาฯที่เต็มไปด้วยเวทมนต์ การรบราฆ่าฟัน เหล่าออร์ค มังกร และมนุษยต้นไม้เหมือนห้วงเวลาฯวอคราฟท์แล้ว ที่นั่นยังมีพระเจ้าลงมาเดินเล่นอยู่ทั่วไป มีอาณาจักรมนุษย์ที่ชื่อว่าอาณาจักรโรแลนด์มีผู้นำชื่ออรากอนโรแลนด์


 


ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้น เหล่าผู้วิเศษถือได้ว่าเป็นตัวตนที่ทรงคุณค่ามากที่สุดนั่นก็เพราะว่ามีพวกเขาเป็นกำลังรบที่สำคัญ


ผู้วิเศษหนึ่งคนเทียบได้กับทหารหนึ่งกองทัพถ้าพวกเขาได้เรียนรู้เวทมนต์ระดับกลาง


นั่นทำให้เหล่าผู้วิเศษส่วนใหญ่ขวนขวายหาวิชาความรู้ด้านเวทมนต์หรือไม่ก็คิดค้นทฤษฎีเวทมนต์ใหม่ๆอยู่เสมอ


แต่ผู้วิเศษที่นั่นไม่ใช่พวกหลงไหลในเงินทองซักเท่าไหร่นัก เพราะว่ามีเวทมนต์อย่างจำพวกการเล่นแร่แปลธาตุที่ให้พวกเขาเสกทองได้เท่าที่พวกเขาต้องการ


 


ตอนนี้เขาจึงไม่ได้แปลกใจอะไรที่กล่องที่เขาเจอก่อนหน้านี้เต็มการประดับประดาและสร้างจากสิ่งหรูหรา แม้กระทั่งฝังอัญมณีเอาไว้ประดับประดา


กล่องพวกนั้นสมควรมีไว้เก็บอุปกรณ์เวทมนต์เฉยๆต่อให้แตกหักไปซักร้อยใบก็แค่โยนทิ้งแล้วหาใหม่แค่นั้นเอง


อัญมณีพวกนั้นเองก็สมควรจะเป็นอัญมณีเกรดต่ำสำหรับในสายตาเหล่ผู้วิเศษที่นั่นเช่นเดียวกันเพราะว่าพวกมันไม่ได้ให้ความรู้สึกว่ามีเวทมนต์แฝงอยู่ภายในแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับในห้วงเวลาฯวอคราฟท์เพราะพวกมันไม่ได้มีเวทมนต์แฝงอยู่เหล่าจอมเวทย์ที่นั่นก็ไม่ได้สนใจเช่นเดียวกัน


รวมถึงการที่กล่องพวกนั้นทำจากไม้มีมูลค่าและหายากสำหรับโลกมนุษย์แต่สำหรับที่นั่นแล้วก็แค่ไม้ธรรมดาทั่วไป หาได้ง่ายๆ หักทิ้งหักขว้างก็ยังได้


 


เจ้าหนูยักษ์ที่ใช้เวทความเย็นนั่นได้เองแน่นอนว่ามันไม่ได้มาจากห้วงเวลาฯวอคราฟท์ มันสามารถใช้เวทน้ำแข็งได้น้ำสมควรจะมาจากกฎแห่งดินแดนน้ำแข็งที่มันได้อาศัยอยู่


ด้วยกฎนี้มันไม่ได้อยู่สูงสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างแน่นอน มันสมควรอยู่ในจุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารในดินแดนของมันถึงได้ตกมาพร้อมกองขยะห้วงเวลาฯชุดนี้ได้


ต่อให้มันใช้เวทมนต์ความเย็นที่ดูทรงพลังในโลกนี้แต่กับที่นั่นก็เปรียบได้แค่ลมหายในเย็นๆธรรมดาที่สิ่งมีชีวิตอื่นๆก็สามารถทำได้ตราบใดที่พวกมันอาศัยอยู่บริเวณเดียวกันแต่กำเนิด


ขยะห้วงเวลาฯกองนี้สมควรมาจากดินแดนที่ค่อนข้างธุรกันดารไม่น้อยเลย นั่นก็เพราะว่าที่ห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจนั้นมีธาตุเวทมนต์ถึง 24 ธาตุ แต่กองขยะห้วงเวลาฯกองนี้กลับพบแค่ไม่กี่ธาตุเท่านั้น


 


ผงยาที่เขาเจอก่อนหน้านี้เองก็สมควรจะเป็นผงเวทมนต์เช่นกันสำหรับในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ


ความรู้ด้านยานั้นถือได้ว่าคนละระดับกับที่นี่เลย ผงเวทมนต์เหล่านี้คือของเล่นทั่วไปสำหรับคนที่ไม่มีความสามรถด้านเวทมนนต์ แม้แต่ตูเว่ยที่เป็นตัวเอกเองก็ยังพกติดตัวเอาไว้เนื่องจากเขาขาดทักษะด้านเวทมนต์


 


อย่างไรก็ตามต่อให้ผงยาเหล่านี้สำหรับในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจเป็นของเล่นแต่ก็ยังใช้งานได้หลากหลายและดีพอที่จะเอาไว้ใช้สู้กับเหล่าผู้วิเศษได้


นอกจากผงยาแล้วยังมีน้ำยาเวทมนต์อยู่อีกที่มีผลทางเวทมนต์อยู่ในน้ำยาเหล่านั้นเทียบเท่ากับการใช้เวทมนต์แรงๆเวทหนึ่งได้เลย


ที่จะง่ายๆหน่อยก็อย่างเช่นน้ำยาเวทมนต์ที่ได้จากลูกตากบและไส้เดือนไม้ม่วงที่พอสกัดแล้วน้ำยาที่ได้จะมีผลทำให้เป็นใบ้ไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง


นอกจากนี้ที่นั่นยังมีผงเวทมนต์ชั้นสูงที่ทำจากวัตถุดิบจำพวกชิ้นส่วนมังกร ต้นโครเวอร์ ชิ้นส่วนปลา ที่พอสกัดแล้วจะได้ผงเวทมนต์ที่ทำให้เกิดไฟลุกโหมกระหน่ำได้เพียงถูกสัมผัสเท่านั้น


 


ซูจิ้งนั้นรู้คุณสมบัติของผงวิเศษหนึ่งในห้าแล้วนั่นก็คือผงแปลงโฉม ซึ่งระดับของมันที่อยู่ในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจเองก็ถือว่าไม่ธรรมดาแม้แต่น้อย


การใช้ผงแปลงโฉมนั้นถ้าคิดก่อนใช้จะได้ประโยชน์มากมายมหาศาลตัวอย่างเช่นตัวละครในเรื่องที่ชื่อเก็กหวู่


เขานั้นเป็นจอมมารยา นักพนัน และจอมเวทย์ เขานั้นมักใช้ผงแปลงโฉมแปลงเป็นสัตว์อยู่บ่อยครั้ง


มีอยู่หนหนึ่งที่เขาแปลงเป็นหนูแล้วเผลอตกลงไปในบ่อน้ำพุแห่งชีวิตนั่นทำให้ชีวิตที่เหลือของเขาต้องกลายเป็นหนูไปตลอด


 


“เดี๋ยวนะ หรือว่าผงที่เจ้าหนูที่กินเข้าไปแล้วไม่เจ็บไม่ปวดนั่นคือผงเบอรี่น้ำแข็ง” ซูจิ้งนึกไปถึงผลอีกอย่างของผงเบอรี่น้ำแข็งในทันที ยิ่งคิดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งนึกถึงวิธีใช้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เบอรี่น้ำแข็งนั้นเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ เอาจริงๆก็ไม่มีคนสนใจมันมากนักเพราะมันไม่ได้มีผลอะไรต่อคนทั่วไปแต่มีผลกับปีศาจมากกว่า


 


เจ้าสิ่งนี้ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆก็เหมือนฝิ่นที่กินแล้วก็ยิ่งติดแต่เจ้าสิ่งนี้มีผลแรงกว่าฝิ่น100เท่า


เบอรี่น้ำแข็งนี้ซูจิ้งคิดว่ามันไม่ใช่ยาเสพติดถ้าเกิดใช้ดีๆมันสามารถช่วยชีวิตคนได้เลย


อย่างภายในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจชายคนหนึ่งที่ชื่อว่าฮัสเสียนผู้ทรงพลังคนหนึ่งที่ถูกขับไล่ไปยังป่าน้ำแข็งและได้รับบาดเจ็บหนัก ตูเว่ยได้ปฐมพยาบาลและให้เบอรี่น้ำแข็งเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด


ในตอนหลังเขาเองก็ติดมันอยู่ไม่น้อยจนต้องคายความลับบางอย่างออกมาเพื่อแรกกับการได้รับเบอรี่น้ำแข็งเป็นการตอบแทน


ต้องรู้ไว้ก่อนว่าเขาคนนี้เกือบจะขึ้นระดับเป็นพาลาดินได้แล้วซึ่งถือได้ว่าเขาแข็งแกร่งมาก


แต่คนแข็งแรงขนาดนั้นก็ยังต้องยอมพ่ายแพ้ให้เบอรี่น้ำแข็งลูกเล็กๆนี้


ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเจ้าหนูนี่หลังจากกินแล้วทำกล้าไปจีบชาวสัตว์ไปทั่ว


 


ในส่วนของรูปปั้นเหมือนจริง มนุษย์ต้นไม้ และเห็ดหัวเราะ ทุกอย่างล้วนไม่ได้แปลกตาหรือหายากเลยในห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ


ที่นั่นมีจอมเวทที่คอยสร้างรูปปั้นที่มีชีวิต มีชายตัดฝืนที่คอยล่ามนุษย์ต้นไม้ในป่าทุ่งน้ำแข็ง


พวกเขาสามารถใช้เวทปลุกเสกต้นไม้ธรรมดาให้เป็นมนุษย์ต้นไม้ได้และใช้พวกมันเอาไปทำอย่างอื่น


พวกเขายังปลูกอย่างอื่นที่ดีกว่าเห็นหัวเราะนี้ซะอีก


 


“เดี๋ยวนะ ฉันคิดว่าฉันพลาดอะไรบางอย่างนะ อืมมมมม รูปปั้นพวกนั้นอยู่ในพื้นที่เดียวกับมนุษย์ต้นไม้และพวกนี้มาจากป่าเยือกแข็ง


ถ้าอย่างนั้นพวกนี้ไม่สมควรเป็นรูปปั้น แต่ควรเป็น….” ซูจิ้งหันควับไปจ้องที่เหล่ารูปเหมือนจริงนั่นทันที ตอนนี้ปากของเขาค่อยๆอ้าออกอย่างช้าๆและไม่มีท่าทีว่าจะหุบลงเลย


 


เขานั้นได้นึกถึงความเป็นไปได้ เพราะเขาจำได้ว่าในป่าน้ำแข็งที่ตูเว่ยเคยเข้าไปนั้นได้มีราชินีประจำป่าอยู่นั่นคือเมดูซ่า


สิ่งมีชีวิตร่างสุดท้ายที่พัฒนามาจากงูตาสีทอง เธอเป็นสาเหตุที่ทำให้เก็กวูต้องแปลงร่างเป็นหนูแล้วตกลงไปในน้ำพุแห่งชีวิต


เธอนั้นรังเกียจทุกครั้งที่ใครก็ตามพยายามทำอันตรายเธอเธอจึงสาบให้คนพวกนั้นกลายเป็นหินไปซะ


นั่นจึงบอกได้แล้วว่าทำไมรูปปั้นเหล่านี้ถึงได้ดูมีชีวิตขนาดนี้ถึงดูดีมีชีวิตนักนั่นเป็นเพราะว่าเคยเป็นมนุษย์จริงๆมาก่อน


 


ถ้าสังเกตุดีๆแล้วจะเห็นใบหน้ารูปปั้นแต่ละตัวนั้นแสดงสีหน้าที่เจ็บปวด ทรมานหรือไม่ก็ตกตะลึง ถ้าจะบอกให้ถูกก็คือรูปปั้นเหล่านี้คือศพนั่นเอง


นี่แสดงถึงความร้ายกาจของเมดูซ่า ไม่ว่าเธอจะสวยแค่ไหนก็ตามแต่เธอก็ยังหน้ากลัวอยู่ดี


 


“มันคงจะดีกว่าที่จะไม่คิดถึงที่มาที่ไปของรูปปั้นพวกนี้แหะ คิดซะว่าเป็นรูปปั้นเฉยๆแล้วกัน”


ซูจิ้งปลอบใจตัวเองอย่างหนักแล้วก็ทำการจัดการขนะของเขาต่อไป


 


ตอนนี้เขาสามารถแยกแยะของได้มากกว่าเดิมแล้วหลังจากรู้ที่มาของขยะห้วงเวลาฯของขยะกองนี้


สักพักใหญ่อยู่อะไรดลใจเขาสักอย่างหนึ่งเขาได้รีบหันไปมองเจ้าหนูลองยาอีกสี่ตัวนั่นทันทีและนั่นทำให้เขาตกตะลึงในทันที


พวกมันได้มีอาการแปลกๆที่เขาคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 741

 

งานแสดงที่พิพิธภัณฑ์


 


ในช่วงเช้าซูจิ้งได้จัดเตรียมเด็กๆ(วัตถุโบราณ)ของเขาใส่รถตู้แล้วได้ขับรถตรงไปยังพิพิธภัณฑ์


ที่นั่น ผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉินและเจ้าหน้าอีกจำนวนหนึ่งได้ออกมาพบเขาทันทีที่เขาไปถึง


มู่หรงฉินเองได้มาที่นี่เพื่อจะช่วยเพื่อนของเขาเป็นที่แน่นอนอยู่แล้ว


ซูจิ้งได้โค้งคำนับก่อนจะพูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย อาจารย์มู่หรง ไม่เห็นต้องออกมาต้อนรับกันขนาดนี้เลย ออกมาต้อนรับกันขนาดนี้ผมมีความสุขมากเลยครับ”


“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆที่พวกเรารีบออกมาเพราะอยากเห็นเด็กๆของคุณเร็วๆน่ะ” ผู้อาวุโสเซี่ยยิ้มกว้างออกมา


 


“รีบๆเอาเด็กๆของคุณมาให้พวกฉันยลโฉมหน่อยสิ พวกฉันจะได้ตื่นตาตื่นใจเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง” มู่หรงฉินเองก็พูดทำนองเดียวกันพร้อมยิ้มกว้างออกมา


 


“ไม่ต้องรีบร้อนที่จะตื่นตาตื่นใจขนาดนั้นหรอกครับ พอดีผมปิดผนึกมาดีไปหน่อย ต้องใช้เวลาจัดเตรียมซักพัก เอาไปรอผมจัดเสร็จก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งยิ้มออกมาหลังจากพูดออกมาแบบถ่อมตัว เพราะถ้าเอาออกมาตอนนี้เลยเขากลัวว่าจะไม่ได้จัดแสดงกันพอดี และยิ่งมีคนรายรอบเยอะขนาดนี้เขากลัวเกิดปัญหาหยุมหยิมขึ้นได้


 


“ตราบใดที่มันสร้างความตื่นตาตื่นใจล่ะก็ เรารอได้แน่นอน” ผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน และคนอื่นๆเองก็แสดงความกระตือรือล้นอย่างออกหน้าออกตา


แต่ยังไงซะพวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทางแบบคลั่งมากมายเท่าไหร่


พวกเขาพอจะอดในรอเห็นตอนแสดงทีเดียวเลยก็ได้เพราะพวกเขาเองก็เพิ่งรู้สึกตัวว่าอาจเกิดปัญหาหยุมหยิมขึ้นได้


ผู้อาวุโสเซี่ยจึงได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยซูจิ้งขนสมบัติเขาไปยังพื้นที่จัดแสดงของซูจิ้ง


 


ในตอนนี้เหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงถึงจะได้เวลาจัดแสดงสมบัติ ซูจิ้งจึงต้องรีบลงมานิดหน่อยเพราะเหลือเวลาไม่มากแล้ว หลังจากซูจิ้งเตรียมพร้อมเสร็จแล้วผู้อาวุโสเซี่ยก็ได้พอซูจิ้งไปเดินดูรอบๆนิดหน่อยนี่สร้างความประทับใจให้แกเขาพอสมควร ที่พิพิธภัณฑ์นี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก พาให้นึกถึงว่ามันดูเล็กและของน้อยเกินไปเลยด้วยซ้ำ ของส่วนใหญ่ที่จัดแสดงเป็นของสะสมของผู้อาวุโสเซี่ย และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นเหล่าเพื่อนๆของเขาให้ยืมมา


ความจริงนั้นที่ผู้อาวุโสเซี่ยมาเปิดพิพิธภัณฑ์แบบนี้เขานั้นไม่ได้หวังผลกำไรอะเลย เขาก็แค่คนที่หลงรักวัตถุโบราณและเครื่องลายครามทั่วไป


เขาหวังเพียงแค่จะเพิ่มจำนวนคนที่หลงรักในสิ่งเดียวกันกับเขาแค่นั้นเอง แน่นอนว่าวิธีที่เขาเลือกในก็คือการเปิดพิพิธภัณฑ์เพื่อให้ผู้คนได้รับประสบการณ์ที่ได้รับจากสิ่งสิ่งเหล่านี้


นอกจากนี้ยังมีความรู้ความสามารถมากพอที่จะมอบความรู้ในสมบัติและเครื่องลายครามเหล่านี้ให้แก่ทุกคนที่สนใจโดยยอมบอกทุกอย่างโดยไม่เก็บงำความรู้เอาไว้แม้แต่น้อย นี่แสดงให้เห็นว่าเขาหลงไหลในสมบัติและเครื่องลายครามไม่น้อยเลย


 


เวลา 9 โมงเช้า ผู้คนจำนวน 66 คนได้เข้ามาร่วมงานเปิดตัว ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของผู้อาวุโสเซี่ยและอีกส่วนหนึ่งเป็นคนที่เข้ามาเพื่อสัมภัษณ์ประสบการณ์จากสมบัติเหล่านี้


ด้วยการที่เป็นช่วงเช้าทำให้ไม่มีคนเข้ามามากนักแต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเป็นงานเปิดตัวที่ดูอลังการอยู่ดี


แม้แต่ผู้อาวุโสเซี่ยเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันนั่นก็เพราะว่าตัวเขาเองก็ยังไม่ได้เห็นของทั้งหมดเพราะมีบางส่วนที่มีคนอื่นนำมาและพวกเขาล้วนอยากจะเปิดตัวตอนเปิดงานเลยเช่นกัน


 


แม้แต่ซูจิ้งเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเพราะคนแรกที่เขาเห็นดันเป็นหลิวฉิงและหลิวฮง แต่พวกเขานั้นดูไม่แปลกใจเท่าไหร่นั่นก็เพราะหลิวฮงรู้เรื่องมาจากผู้อาวุโสเซี่ยและมู่หรงฉินที่รู้จักกันมานาน


 


“พี่จิ้งพี่มาทำอะไรที่นี่เนี่ย” หลิวฉิงนั้นค่อนข้างรู้สึกประหลาดใจ ความจริงแล้วเขานั้นมีสนใจในพวกเครื่องลายครามอยู่พอสมควร แต่เขาอยากได้สัตว์เลี้ยงแบบซูจิ้งมากกว่าเท่านั้นเอง


เขาถูกปู่ของเขาดึงมาที่นี่เพียงเพราะปู่ของเขาสนใจพวกสมบัติและเครื่องลายครามทำให้ไม่ได้ทำงานทำให้เขาอารมณ์เสียนิดหน่อย แต่พอเขาเจอซูจิ้งเขาเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดีทันที


“ฮ่าฮ่า เป็นไง ตกใจล่ะสิ” หลิวฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ฮ่าฮ่า ผมก็ไม่คิดเหมือนกันนะครับว่าจะได้พบผู้อาวุโสที่นี่” ซูจิ้งยิ้มออกมา


 


หลังจากนั้นซักพักเฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงก็ได้เข้ามาเหมือนกัน นั่นทำให้ซูจิ้งประหลาดใจไม่น้อย พวกเขามาทำอะไรกันล่ะนั่น


ดูเหมือนพวกเขาจะรู้เหมือนกันว่าซูจิ้งเองก็มาด้วยเพราะไม่มีท่าทีจะประหลาดใจแบบหลิวฉิง


เฉียนหยินหนิงได้พูดขึ้นมาว่า “ผู้อาวุโสเซี่ยและคุณปู่ของพวกเราเป็นเพื่อนกันน่ะ แต่ท่านปู่มาไม่ได้เลยให้พวกเรามาแทน”


ซูจิ้งก็นึกขึ้นมาได้ทันทีว่าผู้อาวุโสเซี่ยและมู่หรงฉินนั่นเป็นคนมีชื่อเสียงและมีเพื่อนเยอะแยะมากมาย


ถึงขนาดที่ว่าพวกเขามัวแต่วุ่นต้อนรับผู้คนจนไม่มีโอกาสเข้ามายังบู๊ธของเขาเลย


แน่นอนว่างานแบบนี้เป็นโอกาสที่เขาจะได้พบเจอเพื่อนเก่าทั้งหลาย


 


“คุณซู” มีเสียงๆหนึ่งดังออกมาเหมือนตกใจอะไรบางอย่างจากหลังซูจิ้ง ซูจิ้งหันไปมองก็ได้เห็นชายแก่คนหนึ่งกับเด็กสาวหน้าตกกระคนหนึ่ง พวกเขาดูตกใจมากกว่าคนอื่น และนี่ให้ซูจิ้งตกใจมากเช่นเดียวกัน


 


“ผู้อาวุโสเต๋า” ซูจิ้งรูสึกตกใจจริงๆ ผู้อาวุโสเต๋าคนนี้คือปรมาจารย์ด้านงานแกะสลัก


เขามีความถนัดในด้านการแกะไม้ไผ่และซ่อมงานไม้โบราณรวมไปถึงสมบัติและเครื่องลายครามต่างๆ


ซูจิ้งเองนั้นเคยได้เจอกับเขาตอนทำเมนูอาหารเป็ดผัดเหยื่อไผ่ เขานั้นได้ช่วยซูจิ้งซ่อมแซมลูกประคำไม้


ซูจิ้งตอบแทนเขาด้วยการมอบไม้ไผ่ที่ได้มาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณซึ่งถือว่าเป็นความสัมพันธ์อันดีสำหรับเขาทั้งคู่


หลังจากนั้นก็ยังติดต่อกันบ้างแต่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอกันที่นี่ บางทีโชคชะตาก็ช่างประหลาดดียิ่งนัก


 


“ฮ่าฮ่าไม่ได้พบกันนานเลย” ผู้อาวุโสเต๋าพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ใช่แล้วหล่ะครับ ไม่ได้ผมกันนานเลย” ซูจิ้งยิ้มแล้วเขาได้พูดต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าผู้อาวุโสบรรลุเป้าหมายในการแกะสลักแล้ว แถมยังชนะจนได้รางวัลมาไม่น้อยเลยนี่ครับ”


 


“นั่นก็ต้องขอบคุณไม้ไผ่ของคุณหล่ะนะ เพราะไม้ไผ่ของคุณทำให้งานแกะสลักของฉันบรรลุได้ซักที”


ผู้อาวุโสเต๋าพูดออกมาก่อนจะเดินมาจับมือ เขาเองก็ได้งานแกะไม้ไผ่มาให้ผู้อาวุโสเซี่ยด้วยเช่นกัน


หนึ่งเพื่อแสดงความยินดีในการเปิดพิพิธภัณฑ์ อีกหนึ่งคือนำมาแสดงผลงานของเขา ตัวอาวุโสเต๋าก็พอจะบอกได้เหมือนได้เกิดใหม่เป็นครั้งที่สอง เพราะว่าเขานั้นได้บรรลุทุกสิ่ง และได้เผยแพร่แนวคิดของเขาผ่านผลงานได้จนเป็นที่เลื่องลือ


 


เวลาผ่านไปคนเริ่มเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งคนที่ซูจิ้งอยากเจอที่สุดก็มาถึงนั่นคือไคจิ้ง


ตอนแรกเขาเองก็โกรธไคจิ้งเหมือนกัน คนๆนี้ต่อให้เดินสวนกันก็ไม่ได้มีอะไรน่าสังเกตุ ต่อให้สังเกตุเห็นก็ไม่มีอะไรน่าจดจำ แต่ตอนนี้นั้นต่างกันนั่นก็เพราะเรื่องมนุษย์แมงมุมที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้น


 


ไคจิ้งนั่งรถสปอร์ตมา เขานั้นอยู่ในชุดสูทพิเศษ ใส่แว่นกันแดด หน้าค่อนข้างเรียว ดูแล้วค่อนข้างหนุ่ม


ตามีตีนกาที่หางตา แต่เหมิอนเขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้น เขาเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มด้วยรอยยิ้ม


เดินอย่างกวนโอ๊ย ข้างหลังเขาเองก็มีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวแนวคล้ายๆกันเดินตามเข้ามาเหมือนจะเป็นผู้จัดการของเขา


 


“นั่นมันไคจิ้งไม่ใช่หรอ เขามาได้ไงกัน”


 


“เขาไม่น่าใช่คนที่จะสนใจเรื่องประวัติศาสตร์หรือวัฒนธรรมอะไรพวกนั้นนะ” ทุกคนที่นั่นต่างจ้องมองเขาด้วยท่าทีที่โกรธเกรี้ยว และดุดัน ไม่ว่าเดินไปตรงไหน ไม่มีใครที่จะไม่เขม่นเขาซักคนเดียว ความจริงก็ไม่ได้มีคนสนใจเขาเช่นนี้มาหลายปีแล้วแต่เพิ่งเป็นที่เขม่นตาผู้คนเมื่อไม่นานมานี้ เขาคิดไปเองคนเดียวเป็นเพราะเขานั้นดูโดดเด่นจึงได้ไปร่วมงานจนทั่ว ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ที่สาบสูญ หรือแม้แต่พื้นที่ทางประวัติศาสตร์


 


“ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักมนุษย์แมงมุมจริงๆนะ”


 


“ก็อาจจะแต่หมอนี่ไม่ยอมบอกว่าตัวจริงของมนุษย์แมงมุมเป็นใคร”


 


ซูจิ้งมองไคจิ้งอยู่ไกลๆเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกระโตกกระตากเพียงถามว่า “นี่คุณรู้จักไคจิ้งด้วยหรอถึงชวนเขามาได้”


เฉียนไจบิงได้ตอบไปว่า “ฉันว่าฉันไม่รู้จักเขานะ ได้ยินมาว่าเขาบอกว่าถูกชวนนะแต่ก็เพิ่งมา


ดูเหมือนจะกะจังหวะมาตอนหลังจากที่ผู้อาวุโสเซี่ยเปิดงานเสร็จแล้วซะด้วย


ฉันคิดว่าเขาเลือกมาที่นี่เพียงเพื่อโปรโมทตัวเองเท่านั้น ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเซี่ยไม่อยากไล่เขาไปนะแต่ด้วยที่เขาเป็นที่นิยมในช่วงนี้เลยทำอะไรมากไม่ได้


เขาแค่จะให้มาช่วยสร้างชื่อเสียงนิดหน่อยแต่ไม่คิดว่าจะทำตัวแบบนี้”


 


ซูจิ้งพยักหน้าพลางนึกว่าถ้าผู้อาวุโสเซี่ยรู้จักไคจิ้งจริงเขาสมควรเข้าไปคุยด้วย แต่นี่ไคจิ้งกลับเดินผ่านไปหน้าตาเฉย ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงคนไม่หักหน้ากันขนาดนี้ ถ้าผู้อาวุโสไม่รู้จักล่ะก็เขาก็ไม่ต้องไว้หน้าแล้วหล่ะ

 

 

 


ตอนที่ 742

 

สมบัติ


 


“ขอบคุณทุกคนที่มากันในวันนี้ ขอให้ฉันได้เป็นผู้แนะนำความพิเศษของสมบัติแต่ละชิ้นก็แล้วกันนะ


หากพวกคุณสนใจฟังล่ะก็เชิญได้เลย แต่หากว่าไม่ พวกคุณก็สามารถเดินชมได้ตามอัธยาศัยนะครับ”


ผู้อาวุโสเซี่ยได้แนะนำสมบัติแต่ละชิ้นอย่างออกรสออกชาติ เขาเองนั้นก็ถือได้ว่ามีความรู้ในสมบัติส่วนใหญ่เป็นอย่างดี เขาพูดได้อย่างน่าฟัง สบายหู และคล่องแคล่ว


 


สมบัติที่อยู่ในบริเวณนี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องเงิน แจกันลายคราม เหรียญตราต่างๆ ตราหยก และเครื่องกระจก ซึ่งทุกอย่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งประวัติศาสตร์


 


ผู้อาวุโสเซี่ยได้แนะนำสมบัติจำพวกชุดก่อนเป็นอันดับแรกๆ ของเหล่านี้มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มาจากยุคราชวงศ์ชิง เป็นของสะสมแสนรักของเฉียนหลงนั่นคือแจกัน


แจกันนี้ไม่ใช่แจกันธรรมดาอย่างแน่นอนเพราะว่าผู้อาวุโสเซี่ยเป็นคนขอเองเลย นั่นก็เพราะว่าแจกันนี้มีเพียงหนึ่งพันหนึ่งร้อยชิ้นในโลก และส่วนใหญ่เฉียนหลงเองเป็นคนเก็บเอาไว้ นี่เท่ากับว่าเขายอมปล่อยสมบัติทางประวัติศาสตร์ออกมาให้ยลโฉมกันเลย


 


นอกจากนั้นยังมีมีดพกที่ส่งมาจากคนอื่นซึ่งก็เป็นสมบัติในสมัยราชวงศ์ชิงที่เป็นของจักรพรรดิ์เฉียนหลง


ตัวมีดมีความสมดุลและโค้งเป็นรูตัวเอส ใบมีดมีความแหลมและคมอย่างมาก ตัวมีดถูกฝังเอาไว้ด้วยหยกขาว


ด้ามจับถูกห่อเอาไว้ในม้วนผ้า ส่วนตรงกลางด้ามจับถูกแกะสลักเป็นรูปกลีบดอกไม้ 6 กลีบ


ตรงส่วนโคนกลีบดอกทั้ง 6 ถูกเจาะเอาไว้เป็นรูแล้วร้อยด้วยเชือกไหมถักสีเหลืองทองส่องสว่าง


ตัวสายคาดเองก็มีการประดับไปด้วยดอกไม้ปักเลื่อมสีทองแดง เงิน และทอง และยังถักทอเป็นลวดลายมังกรดั้นเมฆอยู่ใกล้ๆ หันหน้าเข้าหากลางเข็มขัด


ตรงกลางปักคำเอาไว้ว่าเป๋าเต็มด้วยเส้นไหมสีทองและทำกรอบคำด้วยได้สีเงิน และมีหมายเลขอยู่ข้างๆปักเอาไว้ว่าจักรพรรดิลำดับที่ 17


อีกฝากหนึ่ง อีกฝั่งหนึ่งในตำแหน่งเดียวกันปักเอาไว้ว่า ระบบปีเฉียนหลง ฝักมีดทำด้วยไม้จากต้นพีช


ส่วนห่วงคล้องเคลือบด้วยทอง มีเชือกเหลื่อมสีทองคล้องเอาไว้ถักทออย่างประณีต


โดยรวมแล้วดูสง่างามและแฝงไว้ด้วยความหมาย ดูทรงคุณค่า เทียบได้กับงานศิลปะระดับชาติและแฝงไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่งเลยทีเดียว


นั่นหมายความว่าผู้ทำตองเป็นช่างฝีมือระดับสูง อาจจะสูงที่สุดในยุคนั้นเลยก็ว่าได้


 


หลังจากแนะนำอธิบายสมบัติชิ้นนี้ไปซักพัก ผู้อาวุโสเซี่ยได้นำกล่องแก้วที่คลุมไว้ด้วยผ้าสีดำออกมา


ก่อนที่ผู้อาวุโสเซี่ยจะทำการเปิดกล่องเขาได้หันไปหาผู้อาวุโสเต๋าก่อนจะพูดออกมาว่า


“คนที่สร้างสมบัติชิ้นนี้นั่นก็คือ เต๋า ฉินจู คุณเต๋าเป็นช่างแกะสลักร่วมสมัยแห่งยุคนี้ ขอบคุณเขาจริงๆที่นำของชิ้นนี้มาร่วมแสดงที่นี่”


 


ทุกคนหันไปทางผู้อาวุโสเต๋าก่อนที่จะปรบมือให้ทำให้เขาต้องยิ้มออกมาอย่างภูมิใจ หลังจากนั้นผู้อาวุโสเซี่ยได้เปิดผ้าคลุมสีดำนั่นออก


แสดงให้เห็นถึงกล่องแก้วกล่องหนึ่ง เมื่อผู้คนเห็นของในกล่องแก้วนั้นต่างพากันตื่นตาตื่นใจ


แรกเห็นนั้นพวกเขากลับเห็นเป็นน้ำตก ภูผา สายน้ำไหล พวกเขามองเห็นความละเอียดแม้กระทั่งคลื่นที่เกิดจากน้ำตก


ความแตกต่างของหินแต่ละก้อน ทุกอข่างล้วนดูสมจริงทั้งนั้นเหมือนพวกเขากำลังจ้องมองไปดูภาพถ่ายสามมิติ


แต่เมื่อเขาเริ่มสังเกตุเห็นพวกเขายิ่งประหลาดใจกว่าเดิม นั่นก็เพราะว่าทุกอย่างที่เห็นล้วนเกิดภายในลำไม้ไผ่ที่ถูกเจาะทะลุทั้งสองข้าง


 


“พระเจ้า ช่างดูมีชีวิตชีวา”


 


“ช่างมหัศจรรย์จริงๆที่การแกะสลักไม้ไผ่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ขึ้นมาได้”


 


“งานแกะของผู้อาวุโสเต๋านี่นับวันยิ่งคาดไม่ถึงจริงๆ”


 


ผู้คนในตอนนี้ต่างรู้สึกตื่นตาตื่นใจ ในขณะนั้น ซูจิ้ง หลิวฉิง หลิวฮง เฉียนหยินหนิง เฉียนไจบิง และคนอื่นๆเองก็เช่นกัน แม้แต่ไคจิ้งเองก็ยังต้องตบมือให้


เต๋าฉินจูนั้นถึงแม้เขาจะได้รับคำชมต่อหน้าสาธารณะชนแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงยิ้มเพียงเล็กน้อย ดูสงบสุขุม แสดงออกถึงการควบคุมตนเองได้อย่างดี


 


ซูจิ้งรู้ว่าฝีมือในการแกะสลักของผู้อาวุโสเต๋าที่ว่าดีมากแต่ก็ไม่คิดว่าจะดีมากยิ่งกว่าที่เขาคิดเอาไว้


ครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาเขาแล้ว และเขาก็รู้ในทันทีที่เห็นว่าสมบัติชิ้นทำมาจากไม้ไผ่ที่เขาได้รับมาจากห้วงเวลาฯราชาแห่งพิณ


 


ผู้อาวุโสเซี่ยยังคงบรรยายต่อไปซักพักเขาก็ได้บอกออกมาว่าสมบัติชิ้นต่อไปที่จะแสดงเป็นของที่ถูกส่งมาโดยผู้อาวุโสตระกูลเฉียน นั่นก็คือแจกันในสมัยราชวงศ์ชิง


หลังจากแนะนำเสร็จเขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เขาให้ทุกคนดูด้วยตาตนเอง


ผ่านไปซักพักได้มีชายหนุ่มตัวสูงหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเขามาโดยมีกล่องๆหนึ่งอยู่ในมือ เขาเดินเค้าไปหาผู้อาวุโสเซี่ยพร้อมคำนับแล้วพูดว่า “คุณเซี่ย ผมเพิ่งรู้ได้ไม่นานว่าคุณได้มีงานเปิดพิพิธภัณฑ์ในวันนี้ทำให้ผมมาส่งของเพื่อร่วมจัดแสดงมาไม่ทัน ผมก็เลยไปหาซื้อของพวกนี้มาจากถนนขายวัตถุโบราณแทน หวังว่ามันคงพอจะช่วยสร้างสีสันที่นี่ได้”


 


“ไหนลองดูสิ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดออกมาด้วยท่าทีสนใจ


 


“โปรดลองดู” เมื่อชายหนุมหน้าหล่อได้ยินดังนั้นเลยตั้งใจเดินผ่านหน้าเฉียนหยินหนิงพร้อมชำเลืองมอง เธอเองก็ทำหน้าไม่หือไม่อือ แต่ชายหนุ่มหน้าหล่อคนนั้นกับส่งยิ้มให้บางๆ ก่อนที่จะตรงไปยังผู้อาวุโสเซี่ย


 


ซูจิ้งเองก็สังเกตุได้เหมือนกันแต่เขาไม่ได้สนใจ เขาเพียงคิดว่าชายคนนี้คงรู้จักเฉียนหยินหนิงระดับหนึ่ง อาจเป็นคุณชายตระกูลตระกูลใดสักตระกูล หลิวฉิงเองก็ทำท่าเหมือนจะพูดอะไรซักอย่างแต่พอไปสบตากับเฉียนหยินหนิงแล้วเขาเลยไม่พูดอะไรออกมา


 


หนุ่มหล่อคนนั้นได้เปิดกล่องออก ข้างในเป็นพระพุทธรูปหินโดยด้านหลังพระพุทธรูปนั้นแบนราบเหมือนโดนตัดออกมา มองดูแล้วดูเหมือนเป็นพระพุทธรูปหินธรรมดาทั่วไป


 


“หึ นึกว่าเป็นสมบัติที่ไหนแต่ดูเหมือนจะเป็นงานแกะสลักทั่วไปจากช่างธรรมดาทั่วไปแต่เขายังกล้าเอามาอีกอ่ะนะ” หลิวฉิงบ่นพึมพำออกมา พร้อมหน้าตาดูไม่ค่อยพอใจนั่นทำให้ซูจิ้งที่เห็นถึงกับพูดไม่ออก พลางนึกไปว่าหมอนี่ดูออกแค่เครื่องลายครามแล้วยังกล้าพูดออกมาอีกเนี่ยนะ


 


ผู้อาวุโสเซี่ยสวมถุงมือแล้วหยิบพระพุทธรูปขึ้นมาดูแล้วค่อยพิจารณาดูอย่างตั้งใจก่อนที่จะถามออกมาว่า “เจ้าเพื่อนตัวน้อย สี่งนี้เท่าไหร่กันรึ”


 


“สามพันครับ” ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


ผู้อาวุโสเซี่ยไม่ได้พูดออกมาตรงๆแต่กลับร่ายคำพูดออกมาว่า “ผมคิดว่าทุกคนคงรู้จักรูปปั้นพระพุทธรูปที่อยู่ในในวัดหินเป็นอย่างดีว่าพระพุทธรูปเหล่านั้นมีทั้งแบบเต็มตัวและแบบครึ่งตัว


และพระพุทธรูปเหล่านั้นในส่วนผมจะม้วนกลมๆอยู่ซึ่งส่วนนั้นเป็นผม


โดยจะมีทั้งเล็กและใหญ่ และจำนวนที่มากน้อยแตกต่างกันไป พอจะตามที่ผมพูดทันกันนะครับ”


 


“ในความจริงแล้วพระพุทธศาสนาได้เข้ามาเผยแพร่ในช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่น และได้รับความนิยมนับถือกันมากในส่วนของภาคตะวันออก ภาคเหนือ และภาคใต้ของจีนในยุคนั้น


แต่หลังจากเผยแพร่เข้ามาแล้ว ชาวจีนในสมัยนั้นก็ได้รับอิทธิพลจนเกิดการแต่งกายเลียนแบบไม่ว่าจะเป็นการใส่เสื้อผ้าหลวมและมีสายคาดเอว


บางครั้งก็มีสายพาดบ่าลงมาด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเทคนิคการแกะสลักในสมัยนั้นเองก็ได้รับอิทธิพลด้วยไม่น้อยเช่นเดียวกัน


ไม่เพียงแต่จะมีการแกะสลักเป็นองค์พระนูนธรรมดา แต่ยังออกแบบถึงขั้นสร้างรัศมีไว้ด้านหลังองค์พระ แม้แต่เป็นเชิงเทียนเพื่อแสดงสัญญาลักษณ์แห่งปัญญาก็มี”


 


“พอมาลองนึกตามเหตุผลทั้งหมดที่ผมกล่าวมาแล้ว สิ่งนี้คือพระพุทธรูปหินจากทางใต้องค์นี้แน่นอนว่ามันควรค่าแห่งการสะสมอย่างยิ่ง ซื้อมาด้วยราคาสามพันงั้นหรอ ของทรงคุณค่าขนาดนั้นกลับได้มาครอบครองโดยการจ่ายเงินเพียงเท่านี่ ช่างน่าเหลวไหลจริงๆ”


 


หนุ่มหล่อได้ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า “ขอบคุณสำหรับการชี้แนะครับ ดูเหมือนว่าสายตาและโชคของผมนี่น่าจะดีพอสมควรเลย หากท่านผู้อาวุโสเซี่ยรู้ถึงคุณค่าของของสิ่งนี้ขนาดนี้ ผมก็ขอมอบให้ท่านนำมาจัดแสดงไว้ที่นี่แล้วกันครับ”


“ฮ่าฮ่า ขอบคุณมาก ขอบคุณมาก นายสามารถเชื่อใจฉันได้เลยในเรื่องนี้ หากนายต้องการจะนำกลับคืนไปก็บอกนะ ฉันยินดีส่งคืนทุกเมื่อเลย” ผู้อาวุโสเซี่ยได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วให้คนนำพระพุทธรูปนี้นำไปไว้ที่แท่นจัดแสดง


 


หนุ่มหล่อหันมาส่งยิ้มให้กับเฉียนหยินหนิงอีกครั้งพร้อมท่าทีชวนหลงใหล แต่หยินหนิงก็ยังคงทำเป็นไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เขารู้สึกจิตตกไปเล็กน้อย


หน้าของหลิวฉิงในตอนนี้ยิ่งเลวร้ายไปกว่าเดิมซะอีก เขาเองไม่คิดว่าแค่พระพุทธรูปหินธรรมดาจะกลายเป็นของเก่าไปได้ เขาคิดมาตั้งแต่ตอนที่เห็นรอยแตกตั้งแต่แรกว่าเป็นของทำขึ้นเอง


ใครจะไปอยากได้พระพุทธรูปหินหน้าตาอย่างนี้เป็นของสะสม แต่หลังจากที่ได้ยินคำบรรยายของผู้อาวุโสเซี่ยแล้วนั่นทำให้เขาหมดคำพูดไปเลย


 


หลิวฉิงนั้นได้รีบออกไปจากงานตรงไปที่รถพร้อมกลับมาด้วยกล่องเล็กๆกล่องหนึ่ง เมื่อเข้าเขารีบจนลืมหยิบติดเข้างานมาด้วย เมื่อเดินเข้ามาเขารีบไปหาผู้อาวุโสเซี่ยแล้วพูดออกมาว่า “ผู้อาวุโสเซี่ย ผมได้ซื้อของนี้มาเมื่อนานมาแล้ว รบกวนท่านผู้อาวุโสเซี่ยช่วยตรวจดูสิ่งนี้ให้ผมกระจ่างใจหน่อยได้รึเปล่าครับ”

 

 

 


ตอนที่ 743

 

ประชันขันแข่ง


 


หลังจากที่ทุกคนได้เห็นหลิวฉิงเข้าไปนำของบางอย่างมามอบให้ผู้อาวุโสเซี่ยเพื่อร่วมงานเปิดพิพิธภัณฑ์ พร้อมทั้งขอให้เขาช่วยบอกรายละเอียดของของที่เขานำมามอบให้นั้น


ทุกคนในตอนนี้ต่างหันไปดูพร้อมรู้สึกได้ว่าน่าจะมีเรื่องน่าสนุกเกิดขึ้นแน่ๆ หลิวฮงเองในตอนนี้เขารู้สึกตกใจเล็กน้อย


เขาไม่คิดว่าหลิวฉิงจะเตรียมอะไรมาด้วยเพราะตอนที่เขาบอกหลิวฉิงไปเห็นทำท่าไม่อยากจะมาซักเท่าไหร่


เขานั้นรู้สึกมีความสุขอยู่บ้างที่เจ้าหนูตระกูลของเขาเริ่มทำตัวเป็นผู้เป็นคนซักที


แต่ก็แอบเสียใจเล็กๆอยู่เหมือนกันที่หลิวฉิงไม่ได้เอาของที่จะมอบให้มาให้เขาดูก่อน


ใครจะรู้จักหลิวฉิงดีไปกว่าเขาว่าเจ้าเด็กนี่ไม่ได้มีความรู้ด้านนี้ดีซักเท่าไหร่ เขาอาจนำของปลอมมาร่วมงานก็ได้ซึ่งนั่นไม่เป็นผลดีต่อหลิวฉิงเลยซักนิด


 


ผู้อาวุโสเซี่ยยิ้มออกมาก่อนจะหันไปมองหลิวฮงและหันกลับมามองหลิวฉิงพร้อมพูดขึ้นมาว่า “งั้น ฉันขอดูหน่อยก็แล้วกันนะ”


หลิวฉิงค่อยๆเปิดกล่องออกช้าๆ ข้างในเป็นหยกสี่ชิ้น สามชิ้นเป็นหยกรูปร่างประหลาดแต่ก็ดูดีไม่เลว ส่วนอีกชิ้นนั้นดูเหมือนจะเป็นรูปกบสามขาที่ทำมาจากหยก หยกทุกชิ้นนั้นดูๆไปแล้วช่างดูสว่างไสวและมีสีผิวที่สวยงาม และดูเหมือนมาว่าจะเก่าพอสมควร


 


ผู้คนที่เห็นต่างทำตาลุกวาวแม้แต่หลิวฮงและเต๋าฉินจูก็ไม่เว้น


ของเก่าของสะสมที่เป็นหยกนั้นถือได้ว่าเป็นที่นิยมเลยทีเดียว นั่นก็เพราะหยกชั้นดีจะมีราคดีตามไปด้วย และหากหยกชิ้นนั้นเป็นงานแกะสลักหรือมีอะไรซักอย่างที่ช่วยบอกเล่าเรื่องราวได้ราคาของมันก็จะสูงขึ้นไปอีก


เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปหินที่หนุ่มหล่อคนก่อนหน้านำมาแล้วถือได้ว่าหยกสี่ชิ้นนี้สำหรับนักสะสมมีคุณค่ามากกว่า


 


ผู้อาวุโสเซี่ยหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมาดูพร้อมพิจินพิเคราะห์ก่อนจะถามออกมาว่า “ฉิงน้อย เจ้ารู้รึไม่ว่าพวกมันคืออะไร”


 


เขานั้นเป็นเพื่อนกับหลิวฮงมานาน เคยเห็นหลิวฉิงมาตั้งแต่เล็กย่อมรู้จัดเด็กคนนี้ดีพอสมควร


 


หลิวฉิงเองก็ได้ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า “แน่นอนครับ พวกมันเรียกว่า “ยูไค”(เหรียญตราที่ทำจากหยก)”


 


“แล้วนายรู้รึเปล่าว่ามีของในสมัยใดกัน” ผู้อาวุโสเซี่ยถามออกมา


 


หลิวฉิงจึงตอบไปว่า “ราชวงศ์ชางรึเปล่าครับ”


 


“โฮ่ ดูเหมือนจะทำการบ้านมาพอสมควรนะ มันก็จริงที่ตราหยกพวกนี้เริ่มใช้กันแพร่หลายในช่วงราชวงศ์ชาง แต่ที่ฉันมีนั้นมันมีขนาดเพียง 6.5 ซม. โดยขนาดของเหรียญพวกนี้เท่าที่รู้จะอยู่ระหว่าง 1.2 ซม. – 17.8 ซม.”


“ยิ่งไปกว่านั้น ตราหยกส่วนใหญ่จะทำมาจากหยกฮิเตียน ซึ่งมีความเหมาะสมในการนำมาทำตราพวกนี้มากที่สุดแล้ว พวกมันถูกเรียกว่า จิซินเป่ย


ในช่วงต้นของราชวงศ์ชางนั้น ยูไคเหล่านี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วยเหลือในการดึงสายธนูและหน้าไม้ทำให้พวกมันค่อนข้างหนา


ต่อมาใจช่วงสมัยราชวงศ์ฮั่นทางตอนใต้และตอนเหนือได้นิยมใช้หยกพวกนี้กันอย่างแพร่แหลายเช่นกันจนทำให้เริ่มมีการใช้ในการยิงธนูน้อยลงแต่นำไปใช้ในงานแกะสลักมากยิ่งขึ้น


นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ราคาของยูไคมีราคาสูง แต่เมื่อเห็นของเจ้านำมาแล้วเมื่อลองพิจารณาในเรื่องของคุณภาพหยก ความหนา และรวดลายการแกะสลักแล้ว มันช่างดูไม่สอดคล้องกันเลยซักนิด”


 


“ในเรื่องของรูปร่างนั้น ตราหยกทั้งหมดนั้นมีลวดลายแกะสลักอยู่ทั้งสองข้าง ยิ่งไปกว่านั้นด้วยวิธีการที่เอาเนื้อหยกออกมาจนทิ้งล่องลอยไว้โดยรอบในช่องว่าง ปกติควรจะต้องเรียบเนียนไม่ตะปุ่มตะปั่มแบบนี้ ซึ่งทั้งสามตรานี้เป็นเหมือนกันหมด


ถึงแม้หยกนี้จะดูสวยงามและสว่างสดใสแต่พอพูดถึงว่ามาจากยุคราชวงศ์ชางแล้วมันก็ดูจะขัดๆกันไปซะหน่อยเพราะผิวหยกไม่ควรจะสดใสขนาดนี้ เป็นไปได้ว่าอาจจะรมควันเคมีเพื่อที่จะกลบผิวตอนซื้อเพื่อไม่ให้สว่างมากเกินไปแต่ตอนนี้เคมีพวกนั้นสมควรหลุดออกหมดแล้ว”


 


“พอหันมามองดูเจ้ากบสามขาหยกตัวนี้ มันถูกเรียกว่าหลิวไฮ่เรียกทรัพย์(ทอง)


มันเริ่มเป็นที่นิยมในช่วงปลายราชวงศ์ซ่ง และยังคงเป็นที่นิยมต่อไปล่วงเลยไปถึงราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ฉิง


แต่ลวดลายของเจ้ากบนี่บ่งบอกว่ามันกำลังเล่นอยู่ในสวนที่เต็มไปด้วยใบไม้ทั้งๆที่ควรจะเป็นกองเงินหรือกองทอง


การแกะสลักให้ฐานเป็นรูปใบไม้หรือสวนแบบนี้ได้รับความนิยมในยุคอื่น มันก็เหมือนกับว่ามีผู้ชายใส่สูทยืนอยู่ในตลาดยุคราชวงศ์ฮั่นนั่นแหล่ะจะเป็นไปได้อย่างไร


 


พอถึงตรงนี้แล้ว หลิวฉิงเริ่มประมวลผลตามไม่ทันแล้ว แต่เขาก็พอเลาๆได้ว่าทั้งหมดนี้เป็นของปลอม ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นของปลอมที่เขาจ่ายไปกว่าสองแสนหยวนอีกด้วย


ตอนนี้หน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนสีรู้สึกอายจนแทบจะมุดดินหนีไปซะพ้นๆ นั่นก็เพราะว่าเขาถูกหลอกด้วยการตบตาง่ายๆเพียงเท่านั้น


 


หลิวฮงเองก็แทบจะอยากยิงหลิวฉิงทิ้งซะตรงนั้นเลย หลิวฉิงนั้นมีความมั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนทำให้เขาคิดว่าเขาศึกษาของเก่าและเครื่องลายครามมากพอแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะหยิบมาแม้กระทั่งหยกที่แกะสลักห่วยซะจนเป็นรูเต็มไปหมดมาซะได้ ถ้าเขาเรียนรู้เพิ่มอีกสักนิดหล่ะก็คงไม่ถูกหลอกง่ายๆแบบนี้หรอก


 


หนุ่มหน้าหล่อเองก็ได้ยิ้มและถามออกมาว่า “หยกสี่ชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่หรอ”


 


หลิวฉิงหันไปยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่ได้มากมายอะไรหรอกแค่ไม่กี่พันหยวนเอง”


 


หนุ่มหน้าหล่อทำเพียงหัวเราะแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คนอื่นที่ได้ยินเองก็มีน้อยคนนักที่จะเชื่อว่าซื้อมาไม่กี่พัน นั่นก็เพราะว่าถ้าเขาอยากจะขายหยกโบราณไม่มีทางที่จะตั้งไว้หลักพันแน่นอน อย่างน้อยๆก็ควรจะหลักแสนไม่ก็สองแสนแน่ๆ


 


“ตอนฉันเป็นหนุ่มเองก็เคยเจอแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ก็เลยไม่พลาดน่ะ” ผู้อาวุโสเซี่ยพูดออกมา


 


“นั่นคือเหตุผลที่ไม่ว่าจะศึกษาสิ่งต่างๆมาดีแค่ไหน จนถูกนับถือมากมายเพียงใดก็ไม่เคยเพียงพอสินะ หากไม่อยากถูกหลอกอีกก็ต้องใฝ่เรียนรู้ให้มากขึ้น ไม่ก็ยอมให้เขาหลอกต่อไป หรือไม่ก็เลิกสนใจไปเลย มีตัวเลือกอยู่แค่นี้เท่านั้นเอง”


 


หลิวฉิงพูดออกมาด้วยความอ่อนใจ เขานั้นไม่มีหน้าเหลือในพื้นที่แห่งนี้อีกแล้ว เขาได้มองไปที่ซูจิ้งอย่างหมดแรงใจ เขาเองก็อยากเปลี่ยนเรื่องคุยแล้วเลยถามซูจิ้งไปว่า “ตอนนี้ผมเซ็งมากเลยล่ะ พี่จิ้งเองก็เอาสมบัติมาใช่รึเปล่า ผมขอดูหน่อยสิ”


 


ซูจิ้งยิ้มออกมา ซูจิ้งเองก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นที่ทั้งสองพยายามทำตัวให้หยินหนิงสนใจจนต้องมีเหตุให้ปะทะกัน พวกเขาต่างก็ชอบเฉียนหยินหนิงทั้งคู่


ก็ไม่น่าแปลกอะไรเพราะหยินหนิงนั้นถือได้ว่าสวยทีเดียว ผู้คนล้วนแต่ชอบสิ่งสวยงามกันอยู่แล้ว


เมื่อตอนที่ยังเรียนอยู่มหาลัยนั้น เด็กมหาลัยแทบจะทุกคนต่างก็ตกหลุมรักเธอ


แม้แต่หลินเฮาที่เป็นเพื่อนร่วมห้องก็ยังหลงหยินหนิงหัวปักหัวปำ ถึงขนาดส่งจดหมายรักให้


แต่จดหมายรักนั้นก็ไม่ได้รับความสนใจ เหมือนส่งจดหมายไปกลางทะเลซะอย่างนั้น


เขาเลยถอดใจเพราะคิดว่าไม่มีโอกาสแล้ว


 


ซูจิ้งไม่ได้สนใจความขัดแย้งระหว่างหลิวฉิงและหนุ่มหล่อนั่นหรอกแต่เขาก็ตั้งใจนำสมบัติมาแสดงอยู่แล้ว ก็ถือได้ว่าได้จังหวะพอดี หลิวฉิงเองในตอนนี้ก็อายจนพูดอะไรไม่ออกแล้วถือว่าเป็นการช่วยเขาไปละกัน


 


ผู้อาวุโสเซี่ยเองก็ได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า “อาจิ้ง ไหนขอดูหน่อยสิว่านายเตรียมอะไรมา พวกเราอยากจะเห็นมันแล้วล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับก่อนพูดออกมาว่า “ได้ครับ เดี๋ยวผมจะแสดงให้ดู”


 


ผู้คนในที่นี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่รู้จักซูจิ้ง โดยเฉพาะผู้อาวุโสเซี่ย มู่หรงฉิน เฉียนไจบิง เฉียนหยินหนิง เต๋าฉินจู หลิวฮง และคนอื่นๆเองต่างก็ตามซูจิ้งไปในทันที ส่วนไคจิ้งนั้นได้กระซิบกับตัวแทนของเขาบางอย่างก่อนที่จะเดินตามไปดูเช่นกัน


หลิวฉิงเองเมื่อเห็นทุกคนเดินตามซูจิ้งก็ทำได้เพียงถอนหายใจยาว ก่อนที่จะหยิบยกสี่ก้อนนั้นกลับลงไปในกระเป๋า


หลิวฮงสังเกตุเขาทุกรายละเอียดด้วยสายตาที่เฉือดเฉือน บ่งบอกได้เลยว่าโกรธมาก


เขาตั้งใจที่จะเรียกหลิวฉิงมาคุยเป็นการส่วนตัวทีหลัง ถ้าหลิวฉิงฉลาดกว่านี้ก็ควรจะเอามาให้เขาดูซะก่อนจะได้ไม่ขายหน้าขนาดนี้


 


“ซูจิ้งคนนั้นคือคนที่คุณเฉียนพูดถึงบ่อยๆครับ” ชายคนหนึ่งเข้ามากระซิบข้างหนุ่มหล่อ


 


“รู้แล้วล่ะ ฉันเองก็รู้จักเขามานานพอสมควรแล้วแต่ไม่ได้เจอหน้ามาพักใหญ่แล้วเหมือนกัน วันนี้สมควรเป็นวันแห่งการคืนชีพสินะ ได้เวลาที่เราจะได้พบกันอีกแล้ว” หนุ่มหล่อพูดออกมาด้วยรอยยิ้มน้อยๆ


 


ต่อหน้าสาธารณะชนในตอนนี้ ซูจิ้งได้เดินไปยังพื้นที่จัดแสดงสามจุด โดยด้านซ้ายมือเป็นจุดจัดแสดงที่ใหญ่ที่สุดโดยมีผ้าสีดำคลุมทับไว้ มันสูงจนรู้ได้เลยว่าของที่ซูจิ้งนำมาต้องขนาดใหญ่มากแน่ๆ ซูจิ้งได้ดึงผ้าผืนนั้นออกไปเพื่อให้ทุกคนได้เห็นสิ่งที่ถูกปกคลุมไว้


 


หลังจากเห็นสมบัติชิ้นแรก ทุกคนต่างตกตะลึงในทันที เมื่อทุกคนได้สติมันเหมือนดั่งเขื่อนทำนบที่แตกแล้วน้ำไหลพวยพุ่ง ทุกคนเหมือนจะพบยายามรีบเข้าไปหาสมบัตินี้ให้ใกล้ที่สุด แม้แต่ผู้อาวุโสเซี่ยเองก็ไม่เว้น แต่เหนือสิ่งอื่นใดนั้น เต๋าฉินจูพุ่งไปก่อนใครเพื่อนด้วยท่าทีสุดแสนจะตื่นเต้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)