Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 735-738
ตอนที่ 735
เสริมความงาม
งานเปิดตัวสินค้าของบริษัทชิไลเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปทั่ว ตอนนี้คนของบริษัทแทบจะกู่ร้องออกมาด้วยความเครียดสุดกู่
พวกเขาเองนั้นยังจับต้นชนปลายไม่ถูกรู้เพียงแต่ว่าเมื่อวิดีโอและภาพถ่ายในงานถูกออกไปล่ะก็จะถูกโจมตีอย่างหนักอย่างแน่นอน
พวกเขาพยายามจะเคลียทุกอย่างพยายามอธิบายสาเหตุออกไป
แต่แขกในงานรวมถึงนักข่าวไม่ใช่คนโง่ที่จะเชื่อทุกอย่างที่พูดเพราะหลักฐานต่างๆปรากฏแก่สายตาพวกเขา พวกเขายังเรียกร้องให้หญิงสาวคนนั้นออกมาอธิบายด้วยตัวเองด้วยซ้ำ
สถานการณ์ในงานตอนนี้ถือได้ว่าโกลาหลอย่างที่สุดแล้ว
ซูจิ้ง หวังซือหยา ดงชุ่น และ โจวเสวี่ย ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่ต่อแล้ว พวกเขาออกไปในทันที ถึงแม้จะยังมีแค่สงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง
โดยซูจิ้งเองก็ได้อธิบายไว้เพียงว่า “ผมใช้เทคนิคแต่งหน้าแบบเดียวกับที่ทำให้เซียวหลูน่ะ ตอนนั้นผมมาถึงผมแอบไปห้องน้ำแล้วใส่ยาบางอย่างลงในถังเก็บน้ำของที่นี่”
ความจริงแล้วซูจิ้งไม่เคยทำแบบนั้นเลยซักนิด เขายังไม่ได้แอบไปห้องน้ำซะด้วยซ้ำไป
เขานั้นได้สั่งให้แมลงที่เขาเลี้ยงไว้นำยาที่พวกนั้นแอบใส่ไว้ในแป้งเม่ยหยานขวดนั้นใส่ไปในเครื่องสำอางของชิไลเหมือนกับที่พวกนั้นทำก็แค่นั้นเอง
แต่ที่แตกต่างกันก็คือเขานั้นได้สะกดจิตให้นางแบบของชิไลกลายเป็นพวกหวาดวิตกขนาดหนักชั่วคราว เมื่อใดก็ตามที่เธอเห็นใบหน้าตัวเองเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เมื่อตัวเธอเชื่อไปว่ามันหน้าเกลียดมาก ใบหน้าของเธอก็แค่เปลี่ยนไปตามที่เธอเชื่อ
“ที่นายทำน่ะเธอจะกลับมาเป็นปกติใช่รึเปล่า” หวังซือหยา ดงชุ่น และ โจวเสวี่ย ต่างก็สงสับแบบเดียวกัน
พวกเธอนั้นไม่ใช่พวกใจไม้ไส้ระกำ ต่อให้เป็นพวกเธอที่โดนกระทำก่อนแต่ก็ยังรู้สึกใจอ่อนกับเรื่องที่อ่อนไหวต่อผู้หญิงมากอยู่ดี เพราะพวกเธอเข้าใจลูกผู้หญิงด้วยกันว่าใบหน้านั้นสำคัญเพียงใด
“อย่างกังวลไปเลย เธอจะกลับมาเหมือนเดิมโดยที่ไม่เป็นอันตรายใดๆอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มพลางคิดไปว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ยานั้นหมดฤทธิ์ลงแล้ว
เธอจะหายเป็นปกติแทบยังไม่เหลือร่องรอยใดๆไว้บนร่างกาย แต่เรื่องแผลใจนี่ก็อีกเรื่องนึง
ซูจิ้งทำได้แค่เสียใจกับเธอในเรื่องนี้อย่างเดียวเท่านั้น
“งั้นก็ดีแล้ว หึหึ ถ้าคนของชิไลรู้ว่านายเป็นคนทำลายแผนการของพวกเขาแถมยังมาป่วนงานเปิดตัวอีกหล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าต้องเกลียดนายเข้ากระดูกดำแหงๆ
พวกนั้นก็ช่างโชคร้ายจริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นแมวกะจับหนู ดันเจอหนูตัวใหญ่เท่าเสือซะได้
ในเมื่อทุกอย่างจบแล้วก็กลับกันเถอะ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม ซูจิ้งเองก็ได้ตามซือหยากลับไปยังสำนักงานและตรงเข้าไปที่ชั้นสอง
แต่เมื่อเห็นเซียวหลูกำลังรอเขาอยู่ ข้างๆเธอคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูค่อนข้างหน้าเกลียด ดูจากเสิ้อผ้าของเธอแล้วก็พอจะเดาได้ว่าเธอเองก็เป็นพนักงานของซือหยา
“พี่ซือหยา คุณซู..” เซียวหลูได้รีบเดินมาหาซูจิ้งในทันที พร้อมทั้งมีผู้หญิงคนนั้นเดินตามมาติดๆ
“เซียวหลู ทำไมเธอยังอยู่อีกหล่ะ ยังมีอะไรต้องทำอีกหรอ” ซือหยาถามด้วยความสงสัยเพราะในเมื่องานเสร็จแล้วเธอก็ไม่น่ามีอะไรต้องทำอีก
“เรื่องนั้น… คนๆนี้คือพี่สาวที่แสนดีของฉัน เธอชื่อว่าหลี่ฮวน เธอนั้นอิจฉาฉันที่ได้รับโอกาสสำคัญในชีวิต
เธอนั้นกำลังจะมีนัดบอดกับหนุ่มคนหนึ่ง แต่เธอไม่มั่นใจตัวเองเลย…”
เซียวหลูเองก็รู้ว่าสิ่งที่เธอจะขอต่อไปนี้ค่อนข้างจะสร้างความลำบากให้ซูจิ้งอย่างไร้เหตุผล
เธอเลยอึกอักเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจพูดออกมา
“อาจิ้งไม่ใช่นักแต่งหน้ามืออาชีพนะเธอก็รู้ อีกอย่างที่เขาช่วยเธอในงานก็เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น
และที่สำคัญการแต่งหน้าเพื่อจะได้ออกเดทได้อย่างมีความมั่นใจมันก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่หลังจากนั้นหล่ะ ความมั่นใจตัวเองมันมีผลมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอกนะรู้ไหม”
ซือหยาพูดออกมาซึ่งเซียวหลูก็รับรู้เรื่องพวกนี้อยู่ก่อนแล้ว
แต่เธอเองก็อยากจะลองขอร้องดูซักครั้ง
หลี่ฮวนที่อยู่ข้างๆเธอในตอนนี้ทำได้แต่ก้มหน้าก้มตารับฟังพร้อมน้ำตาคลอเบ้าแต่โดยดี
“แปบนึงนะ” ซูจิ้งได้พูดออกมาขัดจังหวะ
เขานั้นมองไปที่หลี่ฮวนเหมือนจะคิดอะไรอยู่ซักพักก่อนจะพูดออกมาว่า
“ฉันลองคิดดูแล้วนะกลัวว่าแค่การแต่งหน้านั้นมันมีผลน้อยเกินไป และสมมติว่าการออกเดทเป็นไปด้วยดีแต่หลังจากนั้นฉันบอกได้เลยว่าฉันไม่มีเวลาว่างที่จะแต่งหน้าให้เธอทุกวันหรอก ทำไมเธอไม่คิดที่จะลองเป็นคนที่สวยขึ้นมาจริงๆดูบ้างหล่ะ” หลี่ฮวนได้ยินถึงกับนิ่งพูดอะไรไม่ออก
เธอนั้นไม่เข้าใจว่าซูจิ้งพยายามจะสื่อถึงอะไร แม้แต่หวังซือหยา ดงชุ่น โฉวเสวี่ย และเซียวหลูเองก็ได้แต่ทำหน้างงเหมือนกัน
กลายเป็นคนที่สวยจริงๆ หมายความว่ายังไงกัน หรือซูจิ้งจะสื่อว่าให้เธอไปทำศัลยกรรมใบหน้า
“ฉันค่อนข้างจะมีความรู้เรื่องแพทย์แผนจีนโบราณอยู่บ้าง แน่นอนว่าฉันนั้นสามารถปรับเปลี่ยนใบหน้าคนให้สวยขึ้นด้วยด้วยการแพทย์แขนงนี้
ถึงแม้มันจะฟังดูไม่น่าเชื่อถือก็ตาม เธออยากจะลองหน่อยรึเปล่าหล่ะ” ซูจิ้งถามด้วยใบหน้าจริงจัง
“อาจิ้ง นายพูดจริงหรือแค่หยอกเล่นเนี่ย” ซือหยาพูดพร้อมกับประหลาดใจเมื่อได้ยิน
“ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยนะว่าแพทย์แผนจีนโบราณจะศัลยกรรมเสริมความงามได้น่ะ” แม้แต่ดงชุ่นเองก็ยากที่จะเชื่อเมื่อได้ยิน
“ไม่ๆ มันไม่ใช่การศัลยกรรมพลาสติกอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
พูดถึงเรื่องใบหน้าคนน่ะนะ ตำราแพทย์ที่ฉันศึกษาบอกไว้ว่าปกติแล้วการทำให้ใบหน้าของคนสวยขึ้นได้
โครงหน้าควรที่จะเรียว ขมับนูนเล็กน้อย บริเวณด้านข้างของใบหน้าควรจะดูแหลมคม
แต่ที่สำคัญที่สุดคือเรื่องของจิตวิญญาณ คนๆนั้นต้องมีจิตวิญญาณที่หนักแน่นในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองและเชื่อมั่นในแพทย์แขนงนี้
นี่ถึงจะทำให้การใช้แพทย์แผนจีนโบราณในการศัลยกรรมได้ผล แน่นอนว่าฉันก็ไม่รับประกันว่ามันจะได้ผลจริงๆ เรื่องนี้ต้องขึ้นอยู่กับคุณหลี่เองแล้วหล่ะว่าอยากจะลองดูรึเปล่า
“ฉันยินดีลองค่ะ” ถึงแม้หลี่ฮวนนั้นจะไม่เคยได้ยินว่าแพทย์แผนจีนโบราณจะศัลยกรรมความงามได้แต่เธอนั้นก็ทำงานอยู่ในร้านเสื้อผ้าของซือหยา และได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆนาๆที่ซูจิ้งได้ทำให้เกิดขึ้น
อย่างการที่ผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งได้ลองชุดชั้นในกระชับสัดส่วนจนหุ่นดีมากๆ ไม่สิต้องบอกว่าเซ็กซี่เลยก็ว่าได้
เธอนั้นเชื่อว่าวิธีการของซูจิ้งนั้นไม่ว่าจะเป็นอะไรแต่ที่แน่ๆคุ้มค่ากับการลองดูอย่างแน่นอน
“ดี เธอไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากนักหรอกนะ มันไม่เจ็บหรอก” ซูจิ้งพูดให้หลี่ฮวนผ่อนคลายความกังวลใจพลางหันไปยังซือหยาแล้วบอกไปว่า “พี่ซือหยา ฉันขอใช้ห้องแต่งตัวนี้สักพักนะ ฉันจะใช้แพทย์แผนจีนในการเสริมความงามให้เธอ”
หวังซือหยาเองก็ยังไม่เชื่อซูจิ้งในเรื่องนี้ แต่เมื่อเธอลองนึกถึงความสามารถในการแต่งหน้าขั้นเทพนั่น
ยังไงซะมันก็ยังเป็นแค่การแต่งหน้าที่มีข้อจำกัดเรื่องเวลา และการใช้แป้งแต่งหน้าแบบพิเศษ
ขนาดเซียวหลูเองก้ยังไม่หายดีเลย
แล้วการจะเปลี่ยนคนๆหนึ่งแบบถาวรด้วยการแพทย์แผนจีนโบราณกับการนวดเนี่ยนะ เป็นไปได้ด้วยหรอ
หวังซือหยาเองก็อยากจะคัดค้านอยู่เหมือนกันแต่ในเมื่อหลี่ฮวนเองอยากจะลองดูเธอก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธที่จะขัดขวางไม่ให้ซูจิ้งใช้ห้องแต่งตัวนี้เลย
ความจริงเธอก็รู้ว่าหลี่ฮวนนั้นต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองขนาดไหน เธอกังวลจนทำให้ร่างกายเธอแย่ไปเลย ถึงแม้จะเล็กน้อยแต่มันก็ไม่ดีต่อหลี่ฮวนอยู่ดี ถ้าทำได้จริงมันจะดีต่อหลี่ฮวนมากๆ
ซูจิ้งไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติมเพียงแต่พาตัวหลี่ฮวนเข้าไปในห้องแต่งตัวกันแค่สองคน โดยที่ หวังซือหยา ดงชุ่น โจวเสวี่ย และเซียวหลูรออยู่ข้างนอกห้อง หวังซือหยาก็ได้พูดออกมาว่า “เซียวหลูฉันไม่อยากจะถามเธอเท่าไหร่หรอกนะแต่อาจิ้งแต่งหน้าให้เธอได้ยังไงน่ะ”
“เขาแค่นวดฉันนะ แล้วเขาก็ใช้ผงยาบางอย่างบนใบหน้า แถมยังให้ฉันกินยาบางอย่างเข้าไปด้วย” เซียวหลูพูดตามความจริงเท่าที่เธอรับรู้ได้ เธอเองก็รู้ว่าซือหยาและซูจิ้งมีความสนิทสนมกันดีจึงไม่จำเป็นที่เธอต้องปิดบัง
“จะบอกว่าแค่ใช้ผงยาและการนวดด้วยมือเนี่ยอ่ะนะ ไม่มีแปรง ที่ดัดขนตา หรืออุปกรณ์อย่างอื่นเลย” ดงชุ่นแปลกใจออกมาอย่างเห็นได้ขัด
“ฉันคิดว่าอย่างนั้นนะ” ความจริงแม้แต่เธอเองก็อยากที่จะยอมรับเรื่องนี้เหมือนกัน
ก่อนเหตุการณ์ในวันนี้ เธอไม่เคยเชื่อในความอัศจรรย์พันลึกของซูจิ้งตามที่เธอเคยได้ยินข่าวลือมาเลยแม้แต่น้อย
แต่เมื่อเจอได้สัมผัสเรื่องอัศจรรย์เหล่านั้นด้วยตัวเอง เธอเชื่อมั่นในซูจิ้งอย่างหมดหัวใจไปแล้ว
จะไม่เชื่อได้ยังไงก็ในเมื่อรูปถ่ายตัวเธอที่สวยที่สุดในชีวิตเธอเองก็ยังถ่ายเก็บไว้ แถมวิดีโอวันงานก็ยังปล่อยกันให้ว่อนในอินเตอร์เน็ต
แถมยังมีการเป็นหัวข้อข่าวอีก รูปถ่ายของเธอกลายเป็นที่โปรดปรานของเหล่าแฟนคลับของเธอทำให้เธอมีชื่อเสียงพุ่งขึ้นไปอีก
นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเธอเลยที่เธอร่วมงานเปิดตัวแล้วได้รับคำชมอย่างไม่ว่างเว้น
พอนึกตอนที่ผลจากการแต่งหน้าหายไป แต่ร่องรอยจุดแดงเหล่านั้นเองก็หายไปแทบจะทั้งหมด
ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะซูจิ้งแน่นอน และเธอก็รู้ว่าซูจิ้งไม่ทำเพียงแค่การแต่งหน้า แต่ยังช่วยรักษาแผลเป็นบนใบหน้าให้เธอด้วย ช่างเป็นชายขั้นเทพซะจริงๆ
“งั้นก็เป็นเรื่องจริงที่อาจิ้งสามารถใช้การแพทย์แผนจีนโบราณในการเสริมความงามสินะ” หวังซือหยาทำได้แค่พูดออกมาได้แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวเท่านั้น
“มันก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้ซะทีเดียวนะ แน่นอนอยู่แล้วว่าการเสริมความงามกับการแต่งหน้ามันแตกต่างกัน
แต่เธอก็เห็นหน้าของเซียวหลูแล้วนี่ เขาไม่ใช่แค่แต่งหน้าได้ขั้นเทพ แต่เขายังเสริมความงามได้อย่างน่าเหลือเชื่อเลยนะ” ดงชุ่นเองถึงไม่อยากเชื่อแต่ก็ต้องจำใจเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น
ตอนที่ 736
ไม่อยากจะเชื่อ
เมื่อดงชุ่น หวังซือหยา โจวเสวี่ย และ เซียวหลู ต่างรอกันอยู่ข้างนอกประตู
ช่างแต่งหน้าบางคนที่ไม่รู้ว่าไปได้ยินเรื่องการเสริมความงามของซูจิ้งมาจากไหนก็ได้ค่อยๆแอบเข้ามารออย่างรวดเร็ว
หนึ่งในนั้นถามพวกเธอว่า “ดิฉันได้ยินมาว่าคุณซูกำลังทำการเสริมความงามผ่านศาสตร์การนวดและแพทย์แผนจีนโบราณใช่รึเปล่าคะ”
“เอ่ออออ ก็ใช่นะ” โจวเสวี่ยพยักหน้ารับเล็กน้อย
“คุณซูทำได้ด้วยหรอ” เหล่าช่างแต่งหน้าที่มาเมื่อได้ยินก็ทำท่าประหลาดใจ
“พวกเราน่ะคิดว่าเขาแค่เห็นหลี่ฮวนแล้วอยากลองดูเฉยๆน่ะ เลยรอดูกันอยู่นี่แหล่ะ”
หวังซือหยาพูดออกมาเมื่อเหล่าช่างแต่งหน้าได้ยินก็ยิ่งสงสัยจนทำให้พวกเธอขออยู่ดูด้วยเช่นกัน
หวังซือหยาเองก็เข้าใจความรู้สึกของพวกเธอดี อีกอย่างพวกเธอก็เสร็จงานแล้วตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำแล้วเธอจึงไม่ได้ว่าอะไร
ในขณะเดียวกันภายในห้อง ซูจิ้งได้นำขวดผงยาเล็กๆออกมาขวดหนึ่ง
ขวดนี้เป็นยาขวดเดียวกับที่ใช้แก้ปัญหาของเซียวหลูและใช้ก่อปัญหาให้กับบริษัทชิไล
แต่เขานั้นไม่ได้ให้หลี่ฮวนกินแต่เขาเลือกที่จะโปรยลงไปที่หน้าของหลี่ฮวนแทน
หลังจากใบหน้าของหลี่ฮวนเต็มไปด้วยผงยาจนทั่วใบหน้า
ใบหน้าของเธอก็ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น แต่หลังจากซูจิ้งเริ่มใช้นิ้วกดลงไปบนใบหน้า
ทันใดนั้นใบหน้าของเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
ตอนนี้ใบหน้าของเธอดูเหลวจนเหมือนแอ่งโคลน
ตอนนี้ใบหน้าของเธอแทบจะบอกได้เลยว่าเปลี่ยนสภาพไปเลย จนแทบไม่เห็นเค้ารางเดิมด้วยซ้ำ
นี่คือวิธีการใช้ยาอีกรูปแบบหนึ่งที่ซูจิ้งค้นพบ ผลของยามีอยู่ด้วยกันสองแบบขึ้นกับวิธีใช้
วิธีแรกคือการกิน ยาตัวนี้เมื่อกินเข้าไปแล้วรูปร่างของผู้กินจะเปลี่ยนแปลงไปตามที่จิตใจคาดหวังไว้ ซึ่งให้ผลในระยะสั้นๆช่วงเวลาหนึ่งตามปริมาณของยา
อย่างที่สองคือการใช้ทา เมื่อใช้ทาภายนอกตัวยาจะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกายแต่จะมากหรือน้อยนั้นไม่อาจคาดเดา อีกทั้งต้องใช้ปริมาณยาที่มากกว่าการกินพอสมควร
แต่ผลของยาจะคงอยู่จะบอกว่าถาวรเลยซูจิ้งก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆนับจากเขาทดลองกับหนูด้วยการใช้ภายนอก แม้แต่ตอนนี้เจ้าหนูทดลองก็ยังไม่คืนสภาพเลย
โดยการเปลี่ยนแปลงรูปร่างนี้เขาใช้เพียงแค่การนวดและการถูเพียงเท่านั้น
ซูจิ้งยังคงถูไปบนใบหน้าของหลี่ฮวนทีละเล็กทีละน้อยอย่างละเอียดละออ
จมูกของเธอนั้นค่อนข้างใหญ่และแก้มที่กว้าง ผิวหน้าเธอดูสดใส และคิ้วที่ค่อนข้างบาง
หากมองในภาพรวมแล้วนั้นก็พอจะบอกได้เลยว่าหน้าเธอแมนมากๆ แต่พอเป็นผู้หญิงทำให้ดูน่าเกลียดไปเท่านั้นเอง
นี่จึงทำให้เธอนั้นไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเธอนั้นมันรู้ว่าควรจะดูแลใบหน้าของเธอยังไงดี หรือเธอสิ้นหวังกับใบหน้าของเธอจนปล่อยให้ดูแมนขึ้นเรื่อยๆ
แต่ที่แน่ๆคือเธอในตอนนี้เธอนั้นได้ทำลายความมั่นใจของตนเองไปจนหมดสิ้นแล้ว ความจริงถ้าเธอสังเกตุดีๆก็จะพบว่าเพียงแค่เธอเสริมคิ้วนิดหน่อยและแต่งหน้าเล็กน้อยเธอจะดูดีขึ้นในทันที
ซูจิ้งยังคงลงมือทำการเสริมความงามของเขาต่อไป ในตอนนี้เข้าไม่เพียงแค่ทำการนวดและถูใบหน้าของหลี่ฮวนเท่านั้น
เขายังตรวจสอบใบหน้าของเธอด้วยการใช้พลังจิตของตัวเองตลอดตั้งแต่เริ่มลงมือ
แทบจะบอกได้ว่าทุกๆการขยับปลายนิ้วของซูจิ้งได้เปลี่ยนโฉมใบหน้าของหลี่ฮวนละเอียดพอการกับการประมวลผลของคอมพิวเตอร์
และด้วยการเสริมพลังจิตลงไปที่ปลายนิ้วในทุกการนวดถูบนใบหน้า
ทำให้โครงหน้าในส่วนที่เปลี่ยนแปลงได้ยากด้วยการผ่าตัดแต่ซูจิ้งสามารถเปลี่ยนได้ภายในไม่กี่นาที
ตอนนี้น่าของหลี่ฮวนบางส่วนก็เล็กลง บางส่วนก็ใหญ่ขึ้น บางส่วนก็หายไปเลยก็มี
ความจริงนั้นเรื่องความสวยนั้นก็เข้าใจง่ายอย่างเหลือเชื่อ หลายๆคนพยายามทำให้บางสวยของใบหน้าดูดีขึ้นและดูสวยขึ้นอย่างเช่น ตา ใบหู จมูก แก้ม หรือไม่ก็ริมฝึปาก
แต่พวกเขานั้นมองผิดที่ คนจะสวยหรือดูดีไม่ใช่เกิดจากเพราะส่วนใดส่วนหนึ่งของใบหน้า แต่เป็นการดูภาพรวมของใบหน้า
นี่คือสิ่งที่ทำให้บางคนนั้นต่อให้ไม่มีอะไรสวยเลยแม้แต่สักส่วนเดียว แต่พอมองแล้วก็รู้สึกสวยขึ้นมาได้ นั่นก็เพราะว่าคนพวกนั้นไม่เคยคำนึงถึงเรื่องพวกนี้และรู้สึกสบายกับใบหน้าของตัวเองที่ดูพอเหมาะ เมื่อไม่ได้กังวลอะไรความสวยก็จะตามมาเอง
ซูจิ้งนั้นไม่ได้ต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงใบหน้าของหลี่ฮวนให้สวยขึ้น
เขานั้นเลือกที่จะเปลี่ยนในส่วนที่เขาคิดว่าทำให้หลี่ฮวนเป็นกังวลให้ดูมีการเปลี่ยนแปลงนิดหน่อยแค่นั้น
นั่นด้วยเหตุผลสองอย่างคือตัวยานี้เปลี่ยนแปลงรูปร่างของใบหน้าได้ไม่มากนัก
สองคือเขานั้นคิดว่าปัญหาของเธอคือการกังวลก็บางส่วนของใบหน้าที่ไม่ดีมากเกินไปจนทำให้ส่วนอื่นของใบหน้าแย่ตามที่เธอคิดไว้แค่นั้นเอง
หรือจะพูดให้ถูกที่สุดก็คือการทำให้ใบหน้าของหลี่ฮวนดูกลมกลืนก็เท่านั้น
ถ้าจะให้พูดว่าเป็นงานที่ยากหรือไม่นั้นก็พอจะบอกได้ว่าไม่ยาก
แต่เป็นเรื่องของจุดที่เธอเกิดความกังวลนั้นมากเกินไปแค่นั้นเอง
บางจุดของใบหน้าของเธอบ้างก็ใหญ่เกินไป บางก็น้อยเกินไป บ้างก็เล็กเกินไป บ้างก็มากเกินไป หรือให้พูดก็คือแค่ไม่ได้สัดส่วนเท่านั้น
เพื่อให้เกิดความสมดุลของใบหน้านี้ ซูจิ้งถึงกับต้องใช้พลังจิตของเขาในการคำนวนใบหน้าที่ดูเหมาะสมกับหลี่ฮวน แล้วทำการสร้างแบบเอาไว้ หลังจากนั้นเขาจึงค่อยๆปรับ ลด เพิ่ม ลบ จุดที่เป็นปัญหาเหล่าตามแบบที่เขาร่างเอาไว้ภายในหัว ถ้าจะให้บอกอีกครั้งว่ายากหรือไม่ก็บอกได้เลยว่าไม่ยากแต่ยุ่งยากมากกว่า ยุ่งยากชนิดที่ว่าต่อให้เป็นการผ่าตัดศัลยกรรมบนใบหน้าก็ไม่ทางจะแก้ได้หมดในทีเดียวแน่นอน
หลังจากใช้เวลาไปเกือบหนึ่งชั่วโมงนั้น ในที่สุดซูจิ้งที่ตอนนี้อยู่ในสภาพที่เหงื่อทั่วทั้งตัวก็ได้หยุดมือ
ผลของผงยานั้นได้หมดฤทธิ์ลงแล้ว ซูจิ้งนั้นมองไปยังใบหน้าของหลี่ฮวนที่ทำการเปลี่ยนแปลงแล้วด้วยความพึงพอใจก่อนที่เขาจะพูดออกมาสั้นๆพร้อมรอยยิ้มภูมิใจในผลงานว่า “ใช้ได้แล้ว”
“เสร็จแล้วหรอ” หลี่ฮวนได้สูดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะลืมตาขึ้นมา เธอเองก็ค่อนข้างตกใจกับสภาพของซูจิ้งในตอนนี้
แต่พอเธอเห็นรอยยิ้มของซูจิ้ง เธอได้นิ่งไปเล็กน้อยก่อนที่จะปิดตาลงอีกครั้ง
หลังจากนนั้นเธอค่อยๆหันหน้าตัวเองไปทางกระจกแล้วค่อยหรี่ตาขึ้นข้างหนึ่งเพื่อแอบดูหน้าของเธอในกระจก แต่เมื่อตาข้างนั้นเห็นเธอ เธอได้มองค้างด้วยท่านั้นไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะรีบปิดตาเหมือนคิดอะไรบางอย่าง เธอขยี้ตาเล็กน้อยก่อนจะเปิดตาดูด้วยตาทั้งสองข้างของตัวเอง
เธอจ้องมองอย่างตื่นตะลึงจนลืมหายใจ สายตาเธอจ้องมองภาพตัวเองในกระจกอย่างไม่กระพริบแต่หัวใจของเธอกลับเต้นแรงมากยิ่งขึ้น
เธอค่อยเอามือสัมผัสกับแก้มของตัวเอง ก่อนที่จะลองจับไปทุกส่วนที่เธอเคยคิดว่าทำให้เธอน่าเกลียดมากๆ
ไม่นานนักเธอได้ตะโกนกู่ร้องออกมาด้วยความดีใจอย่างที่สุดในชีวิต
นั่นทำให้หวังซือหยา ดงชุ่น โจวเสวี่ย เซียวหลู และช่างแต่งหน้าคนอื่นๆที่เฝ้ารอดูผลการแปลงโฉมของซูจิ้งวิ่งเข้ามาทันที
ทันทีที่พวกเธอเข้ามาพวกเธอได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
พวกเธอมองค้างอยู่ซักพักเพราะไม่แน่ใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือใคร
แต่เมื่อได้ยินเสียงดีใจซ้ำๆพวกเธอก็แน่ใจแล้วว่าเธอคนนั้นคือหลี่ฮวน แต่เธอไม่ใช่หลี่ฮวนที่พวกเธอเคยเห็นอีกต่อไปแต่เป็นหลี่ฮวนที่สวยมากๆ
ด้วยนิสัยของหลี่ฮวนทำให้เธอนั้นคอยให้คะแนนใบหน้าของคนอื่น รวมถึงของตัวเองด้วย เธอได้ให้คะแนนกับหน้าตาของตัวเองเอาไว้ว่าไม่มีทางได้คะแนนเกินกว่าสามจากสิบแน่นอน
แต่ตอนที่แวบแรกที่เธอเห็นใบหน้าของเธอในตอนนี้นั่นก็คือตอนที่เธอหรี่ตามองข้างเดียวแวบแรกในกระจก
อยู่ๆในใจเธอก็บอกว่าคนที่เห็นได้คะแนนไม่ต่ำกว่าหกหรือเจ็ดคะแนนเลยทีเดียว ถึงจะไม่ได้สวยแต่ก็ดูดีและให้ความรู้สึกสบายๆ
แต่เมื่อเธอตระหนักได้ว่าคนที่เธอเห็นนั้นเป็นหน้าของเธอเอง นั่นทำให้เธอตกตะลึงและดีใจจนกระโดดโลดเต้นจนเหงื่อโทรมกายตามซูจิ้งไป
“คุณซู คุณแต่งหน้าให้หลี่ฮวนอย่างนั้นหรอ” เซียวหลูถามอย่างงงๆ
“แน่นอนเลยอาจิ้ง ถึงนายจะแต่งหน้าให้เธอดียังไงแต่เดี๋ยวก็หมดสวยอยู่ดี แล้วนายจะแต่งไปทำไมเนี่ย” ดงชุ่นเองก็ถามออกมาในทำนองเดียวกัน
“ใช่แล้วต้องเป็นการแต่งหน้าแน่ๆ เธอจะสวยขึ้นโดยไม่ได้ผ่าตัดศัลยกรรมได้ยังไง แถมยังเร็วขนาดนี้อีก”
เหล่าช่างแต่งหน้าที่ก็ยังคงอยู่นั้นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะรอไปนานเท่าไหร่ ผลของการแต่งหน้าที่พวกเธอเชื่อนั้นไม่ยอมหายไปแบบตอนของเซียวหลูซักที
พวกเธอก็ได้แต่พูดงึมงัมอะไรบางอย่างพร้อมท่าทางเหมือนกำลังจะสติแตกไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น
“คุณซูนี่คุณเสริมความงามจริงๆให้ฉันอย่างนั้นหรอ” หลี่ฮวนเองก็รู้สึกอดไม่ได้ที่จะถามออกมา เธอนั้นแค่หวังให้แค่ซูจิ้งแต่งหน้าให้เธอดูสวยแต่ไม่เคยคิดเลยว่าซูจิ้งจะทำถึงขนาดเสริมความงามจริงๆให้กับเธอ
“ฉันเองก็พูดได้แค่ว่าจะเป็นการแต่งหน้าหรือจะเป็นการเสริมความงามจริงๆนั้นแล้วแต่เธอจะเชื่อก็แล้วกัน” ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะพูดแบบนั้นออกมาเพราะเขาเองก็ยังไม่แน่ใจว่าผลของยานั้นจะอยู่ได้ถาวรรึเปล่า ก็เลยไม่กล้าที่จะตอบคำถามนี้
หวังซือหยา ดงชุ่น โจวเสวี่ย เซียวหลู และช่างแต่งหน้าคนอื่นๆต่างเอานิ้วของตัวเองไปจิ้มที่หน้าของหลี่ฮวนอย่างสงสัยใคร่รู้อย่างหนัก
พวกเธอนั้นไม่พบร่องรอยการแต่งหน้า ไม่พบร่องรอยของผงแป้ง พวกเธอถึงขนาดถูใบหน้าของหลี่ฮวนอย่างหนักแล้วลากเธอไปล้างหน้าซ้ำๆ
แต่ไม่ว่าพวกเธอจะทำยังไงใบหน้าของหลี่ฮวนเองก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
เหล่าหญิงสาวทั้งหลายที่ร่วมกันกระทำการดังกล่าวค่อยๆตกใจมากขึ้นเป็นลำดับหลังจากทำการพิสูจน์ไปทีละอย่าง ประหนึ่งดังพวกเธอค่อยๆก้าวเท้าไปยังนรกทีละก้าว
ถึงจะขนาดนั้นแล้วพวกเธอก็ยังไม่เชื่อ พวกเธอได้เลือกวิธีการทดสอบสุดท้ายนั่นคือการรอเวลา หวังซือหยาและดงชุ่นได้ชวนซูจิ้งไปเลี้ยงข้าว
ซูจิ้งรีบตอบรับทันทีเพราะเขาใช้พลังงานไปมากสำหรับเรื่องนี้แต่สำหรับสองคนนั้นที่ชวนก็เพราะว่ากันซูจิ้งแอบมาแต่งหน้าหลี่ฮวนเพิ่มเพราะพวกเธอคิดว่าซูจิ้งกำลังแกล้งพวกเธอเล่น
หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วซูจิ้งจึงขอตัวกลับบ้านก่อน
เมื่อหวังซือหยาและดงชุ่นกลับมาบริษัทเธอก็ยังเห็นว่าหน้าของหลี่ฮวนยังคงสวยเหมือนเดิม โดยมีคนอื่นๆแอบๆเฝ้าดูอยู่แทบจะไม่ห่าง พวกเธอแกล้งชวนหลี่ฮวนทำอะไรไปเรื่อยจนถึงเย็นหน้าของหลี่ฮวนก็ยังเหมือนเดิม
ในตอนนี้ทุกคนเริ่มเชื่อขึ้นมาแล้ว แม้แต่เหล่าช่างแต่งหน้าเองก็ยังเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเธอในตอนนี้พยายามจะไปหาซูจิ้งในทันทีเพื่อที่จะขอให้เสริมความงามแบบหลี่ฮวนบ้างเพราะว่าการเสริมความงามจริงๆโดยไม่ใช้มีดผ่าตัดนั้นล้วนเป็นความฝันของผู้หญิงทุกคน
ตอนที่ 737
ผงทั้ง 5
ในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง หลี่ฮวนที่อยู่ในชุดเดรสยาวชุดใหม่ที่เธอเพิ่งไปซื้อมาและกำลังเป็นที่ดึงดูดสายตาของคนในร้านด้วยความสวยนิดๆและท่าทางที่ดูดีมีชีวิตชีวา
เธอนั้นกำลังนั่งอยู่ที่นั่งฝั่งริมกระจกด้วยท่าทีที่ดูตื่นเต้นน้อยๆจนดูน่ารักเลยทีเดียว ที่เธอแสดงออกมาอย่างนั้นก็เพราะว่าตอนนี้ถึงเวลาตามที่คู่นัดบอดของเธอได้นัดกันไว้แต่ก็ยังไม่มีใครมาซักที
“สวัสดีครับ ขอถามซักนิดนึงได้ไหมครับว่าคุณใช่คุณหลี่ฮวนรึเปล่า” ชายร่างเล็กแต่ดูดีคนหนึ่งได้มายืนอยู่ตรงที่นั่งฝั่งตรงข้ามของโต๊ะโดยจ้องมองหลี่ฮวนอย่างไม่ละสายตา
“ใช่ ใช่ ใช่แล้วค่ะ แล้วคุณคือคุณหวัง…” หลี่ฮวนยืนขึ้นด้วยท่าทางตื่นเต้นในขณะที่ตอบออกไป
“สวัสดีครับ เอ่ออออ เป็นยังไงบ้างครับ ผมไม่คิดว่าคุณจะสวยขนาดนี้ สวยจนผมไม่กล้าจะเข้ามาทักคุณเลย” ชายหนุ่มคนนั้นได้พูดออกมาด้วยท่าทีเขินอายพร้อมทั้งเกาหัวและยิ้มออกมา ตอนนี้หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความสุขจนล้นออกมา
ความจริงแล้วในตอนแรกที่เขาได้เห็นรูปของคู่นัดบอดที่ครอบครัวของเขาหามาให้ เขานั้นแทบจะทรุดลงไปกับพื้นตั้งแต่ตอนที่เห็นรูป
แต่คนที่เขากำลังเจออยู่ตอนนี้แทบจะไม่เหมือนคนในรูปเลยซักนิดทำให้เขาไม่แน่ใจว่าเป็นคนๆเดียวกันรึเปล่า แม้กระทั่งในตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าเขากับคนในรูปใครคือตัวจริงกันแน่
ในตอนนั้นตัวเขาเองก็รู้ตัวดีเหมือนกันว่าตัวเขาเองก็ไม่ได้หลอเหลาอะไร
เขาไม่ได้มีตัวเลือกมากมายอะไรนักจึงได้ตัดสินใจมาก็เพราะว่าถ้าไม่เคยเจอตัวซักครั้งก็ยากที่จะปฏิเสธทางครอบครัวได้ อีกอย่างต่อให้หน้าตาไม่ดีจริงๆแต่ถ้านิสัยดีล่ะก็ต่อให้ไม่ได้คบกันจริงก็คงพอจะเป็นเพื่อนคุยกันได้เพราะน่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน
เขานั้นไม่คิดไม่ฝันเลยว่าหลี่ฮวนตัวจริงนั้นจะสวย สวยมาก สวยจนคนในรูปนั้นเทียบไม่ติด
จะให้พูดความจริงล่ะก็จริงๆแล้วก่อนที่จะมาเจอกันในครั้งนี้
เขานั้นได้ดูรูปของหลี่ฮวนหลายรอบมากเพิ่มทำใจและเตรียมตัวไม่ให้ตัวเองทำเรื่องน่าเกลียดและเสียมารยาทต่อหน้าเธอ
แต่ทำไมไม่รู้ยิ่งเขาดูก็ยิ่งรู้สึกว่าเธอสวยขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือความจริงที่ว่าจริงๆแล้วหลี่ฮวนไม่ใช่ผู้หญิงที่ดูน่าเกลียดมากมายอะไร
แค่เพียงมีหลายส่วนของใบหน้าที่ดูแล้วขาดไปนิด เกินไปหน่อยจนเด่นสะดุดตาทำให้แวบแรกที่เห็นเลยดูหน้าเกลียดหน้ากลัว
แต่เมื่อคุ้นชินและดูดีแล้วก็ถือได้ว่าเธอดูดีระดับนึง ซึ่งนั่นทำให้เขามีความรู้สึกเต็มใจที่จะคบหาด้วยอย่างน้อยก็เป็นเพื่อนกันก็ยังดี
แต่ที่เขาไม่รู้ก็คือซูจิ้งนั้นได้ทำการปรับเปลี่ยนส่วนที่เกินนิดขาดหน่อยเหล่านั้นไปเรียบร้อยแล้วจนทำให้เธอนั้นดูสวยยิ่งกว่าตอนใช้แป้งเม่ยหยานแล้วถ่ายรูปส่งให้ครอบครัวของเขาดูอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
“ไม่จริง ไม่จริงหรอกค่ะ คุณชมฉันเกินไปแล้วค่ะ” หลี่ฮวนรู้สึกเขินอายอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับคำชมว่าสวย นั่นทำให้เธอรู้สึกดีมากๆ
“ก็คุณสวยจริงๆนี่ครับ ผมไม่ได้ชมเลยนะ คุณสวยกว่ารูปที่คุณส่งมาให้ดูมากๆเลย” เขานั้นก็ยังกล่าวชมหลี่ฮวนต่อไป ทันใดนั้นบ๋อยก็ได้นำลาเต้มาเสริฟ์ให้แก่หลี่ฮวน เธอได้ตกใจในทันที
“เอ่อลาเต้แก้วนี้ฉันไม่ได้สั่งนะคะ” เมื่อได้ยินดังนั้นบ๋อยจึงได้ชี้ไปยังชายหนุ่มหน้าตาน่ารักคนหนึ่งที่นั่งห่างไปไม่ไกลพร้อมบอกออกมาว่า “คุณผู้ชายคนนั้นสั่งมาให้คุณครับ” หลี่ฮวนทำหน้าโง่งมในทันที นี่เองก็เป็นครั้งของเธอเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน ณ สุดขอบอีกด้านหนึ่งของร้าน หวังซือหยาได้โทรหาซูจิ้งเมื่อเขารับสายเธอได้รีบพูดออกไปทันทีด้วยความตื่นเต้นว่า “อาจิ้ง การเสริมความงามของนายนี่เจ๋งจริงๆ ถึงขนาดที่ว่ามีผู้ชายหล่อๆเริ่มไล่จีบเธอแล้วนะ นายทำได้ยังไงกัน” ถึงแม้เธอจะพยายามทำน้ำเสียงให้ดูนิ่งสงบแค่ไหนแต่ก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นในขณะที่คุยกับซูจิ้งได้เลย
“เฮ้เฮ้ เธอพูดอะไรของเธอเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาพยายามจะปัดเรื่องนี้ออกไปให้พ้นตัว
“อย่ามาทำเป็นลืมนะ นายพอจะเสริมความงามให้ฉันได้รึเปล่า” หวังซือหยาถามออกไป
“คุณพี่สาวซือหยาครับ คุณเองก็สวยอยู่แล้วนะครับ จะเสริมความงามไปเพื่อ เท่าที่ดูไม่เห็นมีตรงไหนที่ผมจะต้องลงมือเลยซักนิด
เอาจริงๆเลยนะผมน่ะยังไม่อยากจะหลอกตัวเองเพราะว่าผมนั้นยังไม่แน่ใจว่าการเสริมความงามที่ผมทำให้หลี่ฮวนไปหน่ะจะอยู่ได้นานถึงเมื่อไหร่ เรื่องนี้ยังคงต้องมีการติดตามผลต่อไปก่อน” ซูจิ้งพูด
ที่เขาพูดออกมาล้วนเป็นความจริงทั้งในเรื่องที่หน้าของซือหยานั้นสวยอยู่แล้วจนไม่ต้องพึ่งเรื่องพวกนี้ แถมเธอก็ยังใช้แป้งเม่ยหยานไปอีก มันช่างดูไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อยที่จะทำการเสริมความงามให้เธอ
ส่วนอีกเรื่องก็คือเรื่องใบหน้าของหลี่ฮวน เท่าที่ซูจิ้งดูนั้นเรื่องใบหน้าของหลี่ฮวนที่ทำให้เธอรู้สึกว่าหน้าเกลียดนั้น สิ่งที่สำคัญมีเพียงจุดเดียวก็คือรูปหน้า รูปหน้าของเธอนั้นสั้นนิดหน่อยทำให้ดูเหลี่ยมจนเหมือนผู้ชายแค่นั้นเอง ต่อให้ไม่ต้องเสริมความงามแค่เพียงเธอทำให้บริเวณด้านข้างของใบหน้าลดลงแค่นั้นก็เหลือแหล่มากพอจะเจอผู้ชายดีๆซักคนอยู่แล้ว จะให้พูดอีกอย่างก็คือถ้าลดลงได้ไม่ทางที่ใครจะมองเธอว่าน่าเกลียดได้เลย เขาจริงแค่ลดแก้มให้มันเล็กลงนิดหน่อย แต่พอเธอเห็นหน้าของเธอได้รูปกว่าเดิมเธอก็มีความมั่นใจในตัวเอง พอเธอมั่นใจในตัวเองความสวยในแบบฉบับของเธอก็ตามมาแค่นั้นเอง
“ฮ่าฮ่า ก็ได้ก็ได้” ซือหยาเองก้ไม่รู้ว่าคำว่าสวยของซูจิ้งนั้นเขาจะหมายถึงคำว่าสวยแบบเดียวกับที่ผู้ชายชมผู้หญิงว่าสวยรึเปล่า แต่เธอก็ยังมีความสุขที่คนอย่างซูจิ้งชมเธอแบบจริงจังอยู่ดี เธอจึงได้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขหลังจากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “แล้วการเสริมความงามแบบฉบับของนายนี่คนอื่นพอจะเรียนรู้ได้รึเปล่าน่ะ ถ้าใครซักคนที่เป็นคนของฉันได้เรียนรู้ไว้ล่ะก็จะช่วยฉันได้มากเลยล่ะ”
“ผมกลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้เรื่องน่ะสิ ถ้าคุณต้องการให้ผมแต่งหน้าให้ใครซักคนจริงๆล่ะก็โทรหาผมได้นะ
อีกอย่างคุณสามารถออกเรื่องนี้ไปบอกต่อได้นะ แล้วถ้าเกิดว่าเห็นใครดูดีล่ะก็ผมก็ไปแต่งหน้าให้ได้
ถ้าเกิดเป็นคนที่ดูมีแววแต่ไม่ใช่พวกดาราเต็มตัวหรืออะไรพวกนั้นล่ะก็ผมคิดว่าจะยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
ซือหยาก็ได้ตอบตกลงทันทีที่ได้ยิน
เธอเองก็คิดไว้แล้วว่าวิธีการของซูจิ้งนั้นคนทั่วไปไม่ทางเรียนรู้หรือเรียนแบบได้เลย เอาจริงๆต่อให้เป็นมืออาชีพเองจะเรียนรู้จากซูจิ้งได้ซักเสี้ยวนึงรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย
หลังจากวางสายได้ไม่นาน ซูจิ้งก็ได้รับข้อความจากบรรดาสาวๆที่เป็นสักขีพยานในตอนที่เขาแต่งหน้าให้หลี่ฮวนมาในทำนองเดียวกันว่าอยากจะให้ซูจิ้งเสริมความงามจริงๆให้กับพวกเธอ
ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกในทันทีที่เห็นข้อความเหล่านี้ เขาได้ส่งข้อความไปตอบทุกคนด้วยประโยคเดียวกันว่า เขานั้นไม่ใช่มืออาชีพ ขอฝึกกับคนที่ไม่สวยก่อนนะ
ในช่วงเย็น เขานั้นได้แบ่งผงยาบางอย่างออกจากกันจนได้ทั้งหมดห้าขวด ห้าชนิด เขารู้คุณสมบัติของมันแล้วหนึ่งขวด แต่อีกสี่ขวดที่เหลือนั้นเขายังไม่รู้ว่ามันจะใช้ทำอะไรได้บ้าง
เขาได้ให้ไฮ่หลี(ตัวบีเวอร์,หนูตัวเท่าหมาที่ตีกับหมาๆและหมาป่าสงตรามใช้เวทความเย็นได้)ไปจับหนูมาจำนวนหนึ่งเพิ่มที่จะเริ่มทดลองผงยาที่เหลือ
เขาได้เลือกหนูมาจำนวนสี่ตัวเพื่อลองยาทั้งสี่ขวด เขานั้นได้ป้อนยาแก่พวกมันและเฝ้ารอคอยดูผลลัพท์ ไม่นานนักหนูสองในสี่ตัวเริ่มมีอาการบางอย่าง ตัวหนึ่งมีอาการเจ็บปวดแสนสาหัสจนกระทั่งนอนนิ่งไปบนพื้น อีกตัวหนึ่งมีอาการคล้ายกับดื่มเหล้าเดินโซซัดโซเซจนชนนู่นชนนี่ไปทั่ว
“ฮอว” เสียงๆหนึ่งดังขึ้นมันดังจากพิ้นก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า ซูจิ้งหันไปมองไปทันที เขาเห็นไฮ่หลีและหนูอีกตัวที่กองอยู่กับพื้นกอดขาไฮ่หลีเอาไว้พร้อมเอาหัวไปถูที่เท้า ซูจิ้งได้ยินเจ้าหนูพูดออกมาว่า “โอ้….ยิ้มหน่อยสิจ้ะสาวน้อย”
ไฮ่หลีนั้นไม่ได้รู้จักเจ้าหนูตัวนั้นเลยแม้แต่น้อย มันตบเจ้าหนูที่อยู่ตรงหน้ามันจนกลิ้งโค่โล่ไปกับพื้นแล้วมันก็เดินไปแอบหลังซูจิ้งแล้วเช็ดมือกับรองเท้าซูจิ้งทันทีพร้อมเปยๆออกมาว่า อี๋เจ้าหนูสกปรก เจ้าหนูที่กลิ้งลงไปกับพื้นได้กระอักเลือดออกมาซักสามหยดหลังจากนั้นมันก็ได้หันมาจ้องที่ไฮ่หลีตาเป็นมัน
อย่างไรก็ตามเจ้าหนูที่โดนไฮ่หลีตบไปนั้นไม่ได้มีท่าทีเจ็บปวดแม้แต่น้อย มันจ้องกลับมาที่ไฮ่หลีอย่างไม่วางตาพร้อมสงเสียงจี๊ดๆมาที่ไฮ่หลีสองสามครั้ง ซูจิ้งแปลได้ความว่า “สาวน้อย ช่างแรงดีจริง แรกๆเจอพี่ก็เห็นอย่างนี้กันหมด เจอพี่ไปทีก็เห็นมาคลอเคลียกันทุกตัว”
ทั้งไฮ่หลีและซูจิ้งทำหน้าโง่งมออกมาทันที เจ้าหนูนี่บ้าไปแล้วเรอะ แกเป็นหนูนะเว้ย แล้วไอ้ที่แกไปเต๊าะเขาอยู่น่ะมันเป็นบีเวอร์นะเฮ้ย มันเหมือนคนที่โดนไปแค่ไหนก็ไม่รู้จักหลาบจำ เหมือนกับคนที่เห็นคนรูปถ่ายแล้วก็บอกออกมาว่าคนในรูปนี่ตัวจริงคงตัวลีบแบนแต๊ดแต๋
ถึงจะโดนไปขนาดนั้นเจ้าหนูตัวนั้นก็ยังไม่หยุด มันยังคงคอยวนเวียนไปรอบเมื่อคอยหาจังหวะเข้าหา
ไฮ่หลี ไม่สิต้องบอกว่ามันคอยวนเวียนแทะโลมเหล่าสัตว์เลี้ยงของซูจิ้งทุกตัวในบริเวณนั้น
ไม่ว่าจะเป็นหมาๆทั้งหลาย หมาป่าสงคราม เหล่าหมาๆ และสัตว์ตัวอื่นๆ
ถ้าซูจิ้งไม่คอยปรามเหล่าสัตว์เลี้ยงของเขามันคงโดนรุมกินโต๊ะไปแล้ว
จนสุดท้ายมันก็เจอเป้าหมายใหม่นั่นก็คือพวกหนูอีกสามตัวที่ยังไม่มีอาการอะไร
พวกมันไม่ได้มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อยจนสุดท้ายเจ้าหนูตัวที่ตามจีบชาวสัตว์ไปทั่วก็ค่อยๆพูดเสียงอ้อแอ้แล้วก็เมาหลับไปเฉยๆซะอย่างนั้น
“ไอ้ผงนี่มันผงอะไรกันเนี่ย ทำไมออกฤทธิ์ได้แปลกประหลาดขนาดนี้
ดูๆไปนี่ไม่ใช่จะแค่ทำให้เมาอย่างเดียวซะแล้วสิ” ซูจิ้งถึงกับบ่นอุบไม่หยุดเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เมื่อเจ้าหนูตัวนั้นตื่นขึ้นมาเขาก็ได้ทำการตรวจสอบมันอย่างหนักแล้วเขาก็พบผลข้างเคียงหลังจากยาหมดฤทธิ์สองอย่าง
หนึ่งคือเมื่อกินไปแล้วจะทำให้มึนงง สับสน ขาดสติ ผลอีกอย่างก็คือทำให้ไม่รู้สึกเจ็บปวด พอรู้อย่างนั้นนี่เขาถึงกับคิดไม่ออกเลยว่าจะเอายานี่ไปใช้ยังไงดี
หลังจากนั้นเขาได้ไปตรวจสอบเจ้าหนูอีกสามตัวที่เหลือ ส่วนหนูตัวแรกที่มีอาการเจ็บปวดนั้น
ตอนนี้อาการของมันยังดูเหมือนเจ็บปวดอยู่แถมยังดีเจ็บปวดมากกว่าเดิมเสียอีก
หลังจากซูจิ้งลองถามมันดูมันพูดออกมาได้สองสามคำอย่างหมดแรงเหมือนใกล้จะสิ้นลมไปตรงนั้น
ซูจิ้งก็ทำได้แต่เสียใจสวดส่งมันให้ไปสู่สุขคติ ยาที่เจ้าหนูตัวนี้กินคือยาพิษ
ซูจิ้งพลางคิดไปว่าถ้ามันเป็นยาพิษจริงๆคงต้องน่าเสียดายแน่ๆเพราะเขานั้นไม่มีแผนการที่จะใช้พิษใดๆเลย แม้กระทั่งพิษบนโลกเขาก็ไม่อยากจะใช้มันแม้แต่น้อย
“ไม่อยากเชื่อเลยจริงๆว่าอีกสี่ขวดนั้นไร้ประโยชน์สุดๆ ทั้งๆที่ผงแปลงโฉมช่างวิเศษสุดๆ” ถึงเขาจะบ่นอย่างนั้นออกมาแต่เขาก็ยังไม่รีบด่วนตัดสินใจจะทิ้งพวกมัน
ตอนนี้เขาเพียงแค่ทำเครื่องหมายไว้บนขวดว่าขวดไหนใช้กับหนูตัวไหน เขาเลือกที่จะรอดูผลต่อไป เป็นไปได้ว่าตัวยาที่ใช้อาจจะยังไม่แสดงผลในเวลาสั้นๆ
ซูจิ้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพื่อดูเวลาหลังจากเห็นเวลาเขากำลังคิดอยู่ว่ากำลังจะจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ
แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นหน้าต่างป๊อปอัพของข่าวๆหนึ่งเด้งขึ้นมา เมื่อเขาเห็นตาเขาเบิกกว้างในทันที
เขารีบเปิดมันอ่านดู ตอนนี้ข่าวๆนี้กำลังร้อนแรงไปบนโลกอินเตอร์เนตจนทำให้ซูจิ้งมองดูด้วยความงงงวย
ตอนที่ 738
ตัวจริงของฮีโร่โดนเผยโฉม
ตอนนี้ได้มีข่าวๆหนึ่งพาดหันอย่างร้อนแรงบนอินเตอร์เน็ต
“มนุษย์แมงมุมตัวจริงโดนเผยโฉมแล้ว”
“ไคจิ้งรู้จักมนุษย์แมงมุมดี”
“ไคจิ้งเคยเจอมนุษย์แมงมุมด้วย”
“ไคจิ้งได้บอกว่ามนุษย์แมงมุมคนนั้นมาจากเมืองจงหยุน”
ซูจิ้งดูโง่งมขึ้นมาในทันที ไคจิ้งนี่มันอะไรกัน แล้วการกินมื้อคำกับมนุษย์แมงมุมนี่อีก
ถึงฉันจะรู้ว่ามนุษย์แมงมุมในที่นี่คือใครแต่ไคจิ้งนี่ใครกัน ขอลองนึกก่อนนะว่าไคจิ้งนี่คือใคร
ตอนนั้นที่พวกมนุษย์งูจับตัวประกันเอาไว้ และมนุษย์แมงมุมได้เข้าไปช่วยคนเหล่านั้น
ตอนนั้นคนที่อยู่ในเหตุการณ์จะมีนาลันเฟยกับเลาชงแค่นั้นนี่นา ไม่มีใครชื่อไคจิ้งเลยซักคนเดียว
ซูจิ้งได้ขับเคลื่อนวิถีแห่งใต้หล้าภายในหัวสมองของเขา จำลองเหตุการณ์ในวันนั้นอย่างละเอียดยิบ
เขาจำลองแม้แต่ความสูงของผู้คน หรือแม้แต่รายละเอียดยิบย่อยของสภาพแวดล้อมในตอนนั้น
ทำได้แม้แต่นึกหน้าของคนในภาพที่ติดไว้บนฝาผนังออก เขานั้นมั่นใจได้เลยว่าเขาสามารถจดจำทุกๆคนที่เขาช่วยในวันนั้นได้อย่างดี และไคจิ้งที่ว่าต้องเป็นหนึ่งในคนพวกนั้นแน่นอน
ซูจิ้งได้กดเข้าไปดูวิดีโอหนึ่งที่นักข่าวกำลังสัมภาษณ์ไคจิ้ง ไคจิ้งก็ได้พ่นออกมาว่าเขานั้นรู้จักมนุษย์แมงมุมอย่างดีและรู้ถึงตัวจริงของมนุษย์แมงมุมเป็นอย่างดี เมื่อนักข่าวพยายามถามมากขึ้น
ไคจิ้งก็ยังคงตอบคำถามได้ในทุกข้อ เขายังแสดงให้ดูภาพที่เขาได้ถ่ายกับมนุษย์แมงมุม
ซึ่งคนในรูปก็เป็นคนที่ใส่ชุดมนุษย์แมงมุม ซูจิ้งเองก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนกันแต่พอเป็นการมองจากด้านหลังเขาเลยไม่แน่ใจเท่าไหร่
ซูจิ้งเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไคจิ้งถึงได้พูดออกมาแบบนั้น เขาได้เปิดอ่านข่าวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเรื่องนี้
รวมถึงคอมเม้นต์ที่มีคนได้แสดงความคิดเห็นเอาไว้
พอนึกว่าเรื่องนี้ก็ได้ผ่านมาพอสมควรแล้วแต่ชาวเน็ตก็ยังจดจำได้เป็นอย่างดี
นั่นก็เพราะว่าวีรกรรมที่มนุษย์แมงมุมได้ก่อไว้แต่ละอย่างนั้นดีมากจนทำให้จดจำเขาได้อย่างขึ้นใจ
ถึงขนาดที่ว่าต่อให้พวกเขาลืมดาราบางคนได้แต่ไม่สามารถลืมมนุษย์แมงมุมได้เป็นอันขาด
“พระเจ้า ไคจิ้งและมนุษย์แมงมุมเป็นเพื่อนกันแหะ ฉันโชคดีจริงๆ”
“ถึงว่าสิทำไมมนุษย์แมงมุมถึงดูรีบๆตอนนั้น เพราะว่ารีบไปช่วยเขานี่เอง”
“มนุษย์แมงมุมอยู่ในเมืองจงหยุนนี่เองเหรอ หรือว่าจะเป็นคนข้างหลังฉันกันนะ”
“ไคจิ้งนี่ก็จริงๆเลย พูดครื่งๆกลางๆ ไม่บอกซักทีว่ามนุษย์แมงมุมเป็นใคร”
“นั่นสิ ไม่ใช่แค่เขาอยากดังหรอกหรอ”
“ดูจากรูปแล้วแถมเขายังมีลายเซ็นอีก น่าจะรู้จักกันจริงนะ”
เหมือนเห็นคอมเม็นท์นั่นแล้ว ซูจิ้งได้ลองเข้าไปดูเว่ยป๋อของไคจิ้งก็ถึงกลับโกรธจนหายใจเป็นไอเย็นออกมา “เมื่อปีก่อนไคจิ้งไม่ได้รับความนิยมอะไรเลยซักนิด และดูจากสภาพจะไม่มีทางรุ่งได้เลย
แต่ตอนนี้ความนิยมของไคจิ้งเพิ่มทะลุสูงขึ้นจนติดอันดับยอดการค้นหาหนึ่งใจห้าแถมยังสูงขึ้นอีก
เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าไอ้หมอนี่พยายามสร้างกระแสเกาะมนุษย์แมงมุมเพราะอยากดัง”
ซูจิ้งในตอนนี้อารมณ์เสียอย่างมาก ไคจิ้งทำแบบนี้เท่ากับได้ล้อเขาเล่นก็ว่าได้
นาลันเฟยและเลาชงที่คลั่งไคล้เขาในร่างมนุษย์แมงมุมมากๆเพราะได้ช่วยชีวิตพวกเธอไว้ จะไม่ยอมให้ใครใช้เขาเป็นเครื่องมือในการทำให้ตัวคนพวกนั้นเด่นดังแน่ๆ
ไคจิ้งในตอนนี้แค่ยังอยุ่ในช่วงดวงดีอยู่แค่นั้นหล่ะ แต่พอนานเข้าทุกคนจะเริ่มรู้สึกตัวและโกรธแค้นเขาจนเป็นฟืนเป็นไฟอย่างแน่นอนที่ใช้มนุษย์แมงมุมที่พวกเขาเคารพ รัก และศรัทษามาเป็นเครื่องมือแบบนี้
ตัวเขาเองนั้นก็แค่หวังให้ทุกคนลืมภาพจำในสิ่งที่มนุษย์แมงมุมได้ทำเอาไว้ตามกาลเวลาเท่านั้น แต่ในตอนนี้เขาไหนได้ฟิวส์ขาดเพราะไคจิ้งเรียบร้อยแล้ว
ตอนนี้ไคจิ้งเปรียบได้ดั่งกำลังเดินดี้ด้าหลับตาเข้าหาพายุไปแล้ว
“ไคจิ้ง แกตายแน่ ใครก็ตามที่กล้าพาเรือฟ่าเกลียวคลื่นโดยไม่รู้ว่าคลื่นลูกนั้นสูงแค่ไหนล้วนดับอนาถทุกคน” ซูจิ้งสบถออกมา เขานั้นไม่ได้มีความสนใจซักนิดเลยว่าไคจิ้งจะเป็นหรือตาย เขาแค่ไม่ต้องการให้หมอนี่ก่อปัญหาอะไรอีกต่อไป
“เดี๋ยวนะ หรือว่าไคจิ้งกำลังโดนหลอก จะเป็นไปได้ไหมว่าคนที่แอบอ้างว่าเป็นมนุษย์แมงมุมคนนั้นกำลังทำลายไคจิ้ง” ซูจิ้งได้นึกถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งขึ้นมาทันที
ในตอนนั้นมีใครบางคนที่พยายามจะบอกว่าเขาคนนั้นเป็นมนุษย์แมงมุม ถึงขนาดทำการโหนใยเพื่อพิสูจน์
แต่พอคนๆนั้นพลาดตกลงมาตาย ด้วยการที่ว่าโลกนี้ไม่มีกฎแห่งนิรันด์จึงไม่มีทางที่เขาจะฟืนคืนชีพได้
นั่นทำให้ไม่มีใครกล้าทำอีก
“ฉันว่าฉันคงต้องหาเวลาไปคุยกับหมอนี่ให้เคลียกันไปเลยแหะ ถ้าไม่ยอมฟังก็คงได้แต่ปล่อยไปตามโชคชะตาหล่ะนะ” ซูจิ้งนึกดังนั้นเลยลองหาข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับไคจิ้งดูก็พบว่าอีกสองวัน เขาจะร่วมงานจัดแสดงสมบัติโดยทางพิพิธภัณฑ์เป็นคนเชิญเขาเข้าไป
“ห้ะ เอาจริงดิ ผู้อาวุโสนั่น…” ซูจิ้งมองไปยังชื่อเจ้าของพิพิธภัณฑ์ถึงกับอึ้งในทันที
เพราะมันเขียนไว้ว่าเชี่ยชุน คนคนนี้คือผู้อาวุโสเชี่ย (ซี่เหลา)คนที่เป็นเพื่อนกับมู่หรงฉินมาอย่างยาวนานและนั่งอยู่ข้างๆมู่หรงฉินตอนวันเกิดนั่นไม่ใช่หรอ
ตอนนั้นฉิวหยุนจินได้ถ้าประลองดวลเพลงกับเขาแล้วพ่ายแพ้แบบจมดินไปแบบไม่เห็นแม้แต่เงาหัวเลยสักนิด
“อย่างนี้ก็ง่ายเลยแหะ” ซูจิ้งได้วางแผนการที่จะทำให้เขาได้พบกับไคจิ้งในทันที และเขาเองก็จะใช้สมบัติบางชิ้นในการเปิดทางในการเข้าร่วมงานแสดงครั้งนี้ด้วย
นอกจากจะได้เพิ่มมูลค่าของสมบัติด้วยแล้วยังทำให้โรงประมูลของเขามีชื่อเสียงมากขึ้นไปในตัว
ซูจิ้งได้ทำการโทรหามู่หรงฉินก่อนเพื่อที่จะขอเบอร์โทรบ้านของเชี่ยชุน แล้วเขาจึงลองโทรไปดู
เมื่อโทรแม่บ้านได้รับสายเขาเลยแนะนำตัวเองไป ไม่นานก็ได้มีเสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้นมาพร้อมคำพูดว่า
“คุณซู ลมอะไรทำให้คุณโทรมาหาฉันผู้นี้ได้กัน เพลงที่คุณได้เล่นไว้นั้นช่างทรงพลังมากเลยนะ
ฉันกับผู้อาวุโสฉินตอนนั้นได้ฟังด้วยกันจนร้องไห้ออกมาเลยนะ ว่าแต่มีอะไรรึเปล่า”
“ฮ่าฮ่าถึงขนาดนั้นเลยหรอครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและได้พูดต่อว่า “ผู้อาวุโสเชี่ย ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสจะเปิดพิพิธภัณฑ์พร้อมจัดงานแสดงวัตถุโบราณในอีกสองวันใช่รึเปล่าครับ ไม่เห็นชวนผมเลย นี่ผมชักสงสัยเลยนะเนี่ยว่าตัวเองคงมีคุณสมบัติไม่พอทีจะทำให้ผู้อาวุโสเชิญชวนผมได้”
“แหม่ พูดมาอย่างนี้คุณทำให้ฉันรู้สึกขึ้นมาเลยนา ถ้าคุณไม่มีคุณสมบัติแล้วจะมีใครมีคุณสมบัติได้อีกหล่ะ ฉันเองยังอิจฉาคุณเลยนะที่มีสมบัติน่าหลงไหลมากมายขนาดนั้น แถมยังเคยได้ยินกิตติศักดิ์จากฉายาคุณมาไม่น้อยเลย แต่ฉันก็พอรู้มาด้วยว่าคุณนั้นเป็นคนที่ยุ่งมาก ฉันเลยไม่อยากจะกวนคุณน่ะ” เชี่ยชุนพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่กวนครับ ไม่เป็นการกวนผมเลยแม้แต่น้อย ผมจะไปแน่นอนถ้าผมว่างนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ถ้าคุณมาได้ฉันจะดีใจมากเลยนะ พวกเด็กๆ(สมบัติทั้งหลาย)ของคุณน่าจะสร้างสีสันให้กับงานได้แน่นอนเลย ถ้าคุณยอมนำสมบัติมาด้วยล่ะก็ ฉันจะตั้งบูธให้คุณเลยฟรีๆ” เชี่ยชุนพูดออกมาอย่างอารมณ์ดี
“งั้นนนน… ผมขอซักสามล็อกนะครับ” ซูจิ้งคิดซักพักก่อนจะพูดออกไป
“ดีๆ งั้นฉันจะเตรียมไว้ให้คุณสามล็อกนะ”
“งั้นวันมะรืนผมจะพาเด็กๆของผมไปให้คุณยลโฉมแน่นอน”
“ดีๆ แล้วค่อยเจอกันวันมะรืน”
หลังจากวางโทรศัพท์ ซูจิ้งได้อ่านข่าวของไคจิ้งและมนุษย์แมงมุมในอินเตอร์เน็ตอีกครั้ง พอเห็นว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่อีกเขาเลยปิดมือถือและจัดการขยะของเขาต่อไป เขาคิดว่าของทั้งหลายที่เจอในรอบนี้ค่อนข้างคุ้มค่าพอสมควร
แต่ยังไงซะขยะส่วนใหญ่ที่เขาเจอก็ยังไร้ประโยชน์อยู่ดี หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง พอเขาคัดของออกมาได้พอสมควรแล้ว เขาก็ได้ใช้แผ่นโกยขยะมาเกลี่ยขยะเพื่อให้กองขยะส่วนที่อยู่สูงไหลลงมา แต่ทันใดนั้นก็มีส่วนหนึ่งของกองขยะส่งเสียงออกมา เขาได้ปล่อยกระแสจิตออกมาในทันทีพร้อมทั้งใช้พลังจิตกดลงไปตรงนั้นทันทีพร้อมมองตาไม่กระพริบ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น