Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 731-734
ตอนที่ 731
การประชุมผงแป้งเสริมทรวงอก
“ตอนนี้ 10 โมงเช้าแล้วหรอเนี่ย ฉันต้องไปประชุมเรื่องผงแป้งเสริมทรวงอกตอนเที่ยงสินะ” ซูจิ้งหยุดการจัดการขยะของเขาในทันที
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อเช็คเวลาอีกครั้งเพราะเมื่อวานเขาดันไปรับปากซือหยาไว้จะไปร่วมประชุมด้วย เขาเองก็ไม่อยากจะผิดสัญญากับเรื่องแต่นี้เลยต้องไป
ซูจิ้งได้พบว่ามีข้อความเข้ามา เมื่อเขาเปิดออกมาอ่านก็พบว่ามันเป็นข้อความของซือหยา เธอส่งลิ้งมาให้เขา
เมื่อกดไปตามลิ้งค์ถึงกับทำให้เขาต้องตกตะลึง นั่นก็เพราะว่ามันเป็นข่าวเกี่ยวกับผงเสริมทรวงอกของซือหยาที่ทำให้นักแสดงหญิงหลายคนที่มีปัญหาเรื่องหน้าอกได้รับการแก้ไขด้วยผงนี้
เห็นได้ชัดว่าเธอได้วางแผนการตลาดนี้มานานแล้วแถมยังทำได้ดีซะด้วย
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีภาพข้อความที่เหล่าดาราเหล่านั้นติดแฮ็ชแท็กขอบคุณซือหยา และคนอื่นๆอยู่ด้วย
หลินฉีหยูและนาลันเฟยเองก็อยู่ด้วยเช่นกัน พวกเธอคือดาราในสังกัดกลุ่มเจียนเซียนโอปาร่า
แต่พวกเธอก็ยังจำสัญญาทีเคยคุยกับซือหยาไว้ได้อย่างดีว่าหลังจากกินอาหารฝีมือซูจิ้งแล้วพวกเธอจะต้องโฆษณาให้กับบริษัทซือหยาเวชสำอางด้วย
เรื่องนี้ทำให้ชาวเน็ตที่ไม่รู้ที่มาที่ไปถึงกับงงจนไปกันไม่ถูก พวกเขาแค่คิดว่าแบรนด์ซือหยากำลังจะเป็นแบรนด์ที่ครองตลาดในไม่ช้าแค่นั้นเองเพราะทุกครั้งที่มีสินค้าตัวใหม่ออกมา
ก็จะมีเหล่าอดีตดารากลับมาแสดงหน้าค่าตาให้เห็นตามงานแสดงต่างๆ แต่เมื่อทุกคนได้รู้ว่าหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัทซือหยาเวชสำอางคือซูจิ้ง พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจอะไรอีกเลย
แทบจะบอกได้ว่าทุกคนเริ่มชาชินกับความสุดยอดไปแล้ว เรื่องแค่นี้จะไปเทียบกับการที่เข้าไปช่วยคนในกองเพลิง ช่วยตัวประกันบินเครื่องบิน และจับฉลามขาวยักษ์ด้วยมือเปล่าได้ยังไง
“ดูเหมือนว่าการเตรียมการจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ ฉันก็คงแต่ไปให้เห็นหน้าเฉยๆคงพอ” ซูจิ้งยิ้มก่อนที่จะหันไปบอกกับเหล่าสัตว์เลี้ยงว่าให้คอยเฝ้ากองขยะของเขาเอาไว้
เขายังบอกเสี่ยวหลี่(นกแก้วตัวเล็ก)อีกด้วยว่าให้บอกเขาทันทีถ้ามีอะไรเกิดขึ้นในระหว่างที่เขาไม่อยู่
ซูจิ้งได้ขึ้นไปอาบน้ำที่ชั้นสี่พร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ได้ขับปอเช่ของเขาไปยังพื้นที่ดาวน์ทาวน์
เมื่อไปถึงบริษัทก็ได้เห็นว่าในตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งมาก มีผู้คนมากมายรวมถึงนักข่าว โจวเสวี่ยเองเมื่อเห็นเขาก็ได้รีบเข้ามาหาเขาทันที ซูจิ้งจึงรีบถามออกไปว่า “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงดูร้อนลนกันขนาดนี้”
“ไม่ ไม่เชิงหรอกแต่มีบางอย่างเกิดขึ้น” โจวเสวี่ยพูดออกมาด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“แล้วอะไรกันล่ะ” ซูจิ้งถามย้ำไปอีกครั้ง
“มีดาราหญิงคนหนึ่งออกมาพูดว่าเธอได้ลองใช้ผงเสริมทรวงอกดูแล้วปรากฎว่าหน้าของเธอเป็นจุดแดงเต็มหน้าของเธอ เหมือนเธอจะแพ้มัน
เธอทำไม่ได้แม้แต่จะแต่งหน้ากลบรอยแดงพวกนั้นเลยด้วยซ้ำ เธอบอกว่าถ้าเราหาคนมาเปลี่ยนแทนเธอไม่ได้เธอยอมตายดีกว่า เธอไม่กล้าออกหน้ากล้องด้วยสภาพนี้แน่นอน” โจวเสวี่ยพูดด้วยท่าทางจนปัญญา
“เดี๋ยวนะ ทำไมอยู่ๆก็เกิดเรื่องล่ะ แล้วที่ฟังๆดูฉันยังไม่รู้เลยว่าเธอใช้อะไรกันแน่ระหว่างผงเหม่ยหยานหรือผงเสริมทรวงอก จะเป็นพวกแอบอ้างก่อเรื่องรึเปล่า” ซูจิ้งถามด้วยความสงสัย
“ไม่น่าใช่นะ เธอเป็นดาราในสังกัดของซือหยาชื่อว่าบริษัทหยุนหยินเอ็นเตอร์เทนเมนต์น่ะ
เธอเองก็ได้ใช้แป้งเม่ยหยานและโฆษณาแป้งบนเว่ยป๋อไปแล้ว การที่อยู่ๆจะให้คนเห็นหน้าเธอตอนนี้
ลองคิดดูสิว่าคนอื่นที่เห็นจะรู้สึกยังไง มันมีทางหรอกที่จะแยกการเปิดตัวสินค้าตัวหนึ่งโดยไม่สนใจผลจากสินค้าตัวอื่นของบริษัทที่เคยใช้มาก่อนหน้านี้หรอกใช่รึเปล่าหล่ะ” โจวเสวี่ยพูดอธิบายออกมา
“แล้วเธอได้ลองใช้ซุปเปอร์ผงเสริมความงามกับผงลบเลือนริ้วรอยรึยัง” ซูจิ้งถามเพราะว่าสินค้าตัวอื่นที่พวกเขาวางแผนจะขายนั้นก็มีประสิทธิภาพดีมากๆ และเขาเชื่อว่ามันน่าจะพอต่อการแก้ปํญหาได้แล้ว
“ลองแล้วสิ แต่ผลของมันอยู่แค่ชั่วโมงไม่เกินสองชั่วโมงเลยอย่างมาก” โจวเสวี่ยพูดออกมา
“งั้นลองพาฉันไปดูหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดกับโจวเสวี่ย โจวเสวี่ยได้รีบพาซูจิ้งไปยังห้องแต่งตัวทันที
ที่นั่นทั้งหวังซือหยาและดงซุ่นก็อยู่ได้ ช่างแต่งหน้าทั้งหลายกำลังช่วยกันกลบรอยแดงบนใบหน้าของหญิงสาวคนหนึ่งอยู่
รอยแดงบนใบหน้าของเธอในตอนนี้ดูเลวร้ายมากๆ มันไม่ใช่การแพ้เลยแต่มันเหมือนกำลังทำลายใบหน้าของเธอมากกว่า
ไม่แปลกใจเลยที่ตอนนี้ตาของเธอได้แดงกล่ำพอๆกับใบหน้าของเธอ การที่ผู้หญิงสวยๆคนหนึ่ง อยู่ๆหน้าก็เปลี่ยนไปกลายเป็นแบบนี้ เป็นใครก็รับไม่ได้ทั้งนั้น
“เป็นยังไงบ้าง การแพ้รุนแรงมากเลยหรอ” ซูจิ้งตกใจที่เห็นทุกคนกำลังร้อนรน
“อาจิ้ง นายมาแล้ว” หวังซือหยาถอนหายใจพร้อมพูดออกมาว่า “พวกเราจนปัญญาที่จะช่วยเธอแล้ว
เธอใช้แต่แป้งเม่ยหยานเท่านั้นเองนะ ในระหว่างนั้นเธอก็ไม่เคยแพ้มาก่อนเลย
แถมตอนที่ทดลองการแพ้ในห้องวิจัยก็ไม่เคยมีผลข้างเคียงเลยซักหนเดียว ถึงจะมีข่าวมาบ้างว่ามีคนแพ้แป้งนี้ในเน็ต แต่ก็ไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้งซึ่งก็น่าจะเป็นการกลั่นแกล้งทางการตลาดเท่านั้น”
“หรือว่าเจ้าแป้งขวดนี้จะหมดอายุกัน” ดงซุ่นหยิบแป้งเหม่ยหยานออกมา
“ขอดูหน่อยนะ” ซูจิ้งดูที่ขวดแป้งพร้อมดงเล็กน้อยก่อนจะทำคิ้วขมวดเล็กน้อย
“ทำไมทำท่าทางอย่างนั้นหล่ะ มีอะไรผิดปกติหรอ” หวังซือหยาถามทันทีเมื่อเห็นคิ้วซูจิ้งขมวด
“รู้สึกตงิดๆนิดหน่อยน่ะแต่ยังไม่แน่ใจ ไหนลองเอาแป้งเม่ยหยานขวดอื่นมาสิ” ซูจิ้งพูดออกมา ซือหยาจึงสิ่งขวดของเธอให้ไป ซูจิ้งรับไว้และเดินลงบันไดไป หวังซือหยา ดงซุ่น และโจวเสวี่ยก็ได้เดินตามไปด้วยความสงสัย
ซูจิ้งได้เดินไปที่ท่อระบายน้ำพร้อมทั้งหยิบเนื้อแห้งและเนื้อย่างที่เขาสำรองเอาไว้ออกมาก
ไม่นานนักก็มีสัตว์ท่อจำนวนมากมาวนเวียนรอบตัว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาอาจจะกลัวอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว เขาได้ส่งกระแสจิตบังคับสัตว์ท่อให้เชื่อฟังคำสั่งของเขา
หลังจากรออีกสักพักได้มีหนูจำนวนหนึ่งขึ้นมา เขานั้นได้ปล่อยเนื้อที่ได้จากห้วงเวลาฯวอคราฟท์ให้มันกินและทำการสะกดจิตหนูพวกนั้น
หลังจากนั้นให้หนูลองดมกลิ่นจากแป้งเม่ยหยานทั้งสองขวดเทียบกัน ความคิดของซูจิ้งนั้นถูกต้องที่สุดแล้วในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ดมกลิ่นแยกแยะได้ดีเท่าหนูพวกนี้อีกแล้ว
ช่องว่างในการพัฒนาทักษะการดมกลิ่นของหนูนั้นนำหน้ามนุษย์ไปนับพันปีแล้วยากจะเลียนแบบได้
หลังจากหนูดมขวดทั้งสองแล้วซูจิ้งได้ถามพวกมันสองคำถาม ก่อนที่เจ้าหนูจะทำปากขยุกขยิกตามทุกครั้งที่เขาถามคำถามจบลงเหมือนกับมันกำลังคุยกับซูจิ้งจริงๆ ทุกคนที่ตามมาต่างงงกับภาพที่เกิดขึ้น
พวกเขาก็พอรู้มาบ้างว่าซูจิ้งเป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์และได้เห็นวีดีโอที่ซูจิ้งจับฉลามขาวยักษ์มาแล้วแต่พวกเธอไม่คิดว่าซูจิ้งจะทำการจับหนูได้อย่างหน้าตาเฉยเพราะพวกทั้งสกปรกตัวเหม็นและหน้ารังเกียจ
แต่หลังจากที่ซูจิ้งจับมันพวกเธอกลับเห็นว่าเจ้าหนูนั่นดูน่ารักขึ้นมาซะอย่างนั้น มาน่ารักจนเห็นแล้วอยากกอดเลย
หลังจากซูจิ้งถามหนูเสร็จแล้วซักพักเขายยกมือไล่เจ้าหนูนั่น เจ้าหนูนั่นจึงค่อยๆเดินกลับท่อน้ำไป
ซูจิ้งหันกลับมาบอกคนอื่นๆ ว่า “แป้งเม่ยหยานไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ปัญหาคือมีคนใส่บางอย่างเข้าไป
จมูกมนุษย์แยกแยะไม่ได้แต่ไม่มีทางซ่อนจากจมูกหนูได้หรอก”
“อาจิ้ง หมายความว่า” หวังซือหยาตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
“โดนจัดฉากสินะ” ดงชุนพูดออกมาอย่างเลือดเย็น
ไม่ใช่ว่าพวกเธอจะไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อนเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเธอแลย
แต่ประเด็นคือตอนนี้เป็นงานเปิดตัวสินค้าครั้งแรกแถมอยู่ต่อหน้านักข่าวมากมาย ถ้าหากมีเรื่องผิดพลาดนั่นคือการขุดหลุมฝังตัวเองในทันที
ทุกคนให้ความสนใจแต่เรื่องผงกระชับทรวงอกทำให้เปิดช่วงโหว่เรื่องแป้งเม่ยหยานไปซะได้ นี่คือผลลัพธ์จากการประมาทมากเกินไป
ตอนที่ 732
เครื่องสำอาง
“แป้งเหม่ยหยานขวดนี้ไม่สมควรถูกสัมผัสจากบุคคลภายนอก ดูเหมือนว่าในหมู่พวกเราจะมีคนทรยศนะ
รีบคนไปหาคนทรยศเดี๋ยวนี้” ซือหยาพูดออกมาด้วยท่าทีโกรธสุดขีด เธอโกรธตัวเองที่หลงไว้ใจจนเกินไป ขนาดพนักงานทำเรื่องผิดพลาดเธอยังไม่เคยโกรธเลยซักครั้ง แถมยังไม่เคยเก็บไปคิดอะไรด้วย
แต่เธอเองได้รังเกียจการทรยศหักหลังอย่างมากและไม่เคยให้อภัยคนประเภทนี่เลยซักครั้งเดียว
“พี่ซือหยา ให้ผมจัดการเอง” ซูจิ้งพูดพร้อมนำคนทั้งหมดขึ้นไปยังห้องแต่งตัว เมื่อหนึ่งในช่างแต่งหน้าเห็นพวกเขา
เธอทำตัวปกติไม่มีท่าทีอะไร แต่กระแสวิญญาณ(ออร่า)ที่เธอปล่อยออกมาไม่เสถียรอย่างยิ่งนั่นทำให้ซูจิ้งรู้ในทันทีว่าเธอเป็นคนทรยศ
โดยเฉพาะในตอนนี้ความแข็งกลังของพลังวิญญาณของเขาสูงกว่าใครในที่แห่งนี้
“พี่ซือหยา ช่างแต่งหน้าคนที่รุ่นๆหน่อยคนนั้นเป็นคนทำ” ซูจิ้งเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของซือหยา
เธอก็ไม่รู้หรอกว่าซูจิ้งรู้ได้ยังไงแต่เธอเชื่อในตัวซูจิ้งอย่างหมดหัวใจ เธอพยักหน้าและได้เรียกช่างแต่งหน้าคนนั้นเข้าไปคุยในออฟฟิศ
หลังจากเข้าไปในออฟฟิศ ออร่าที่ผู้หญิงคนนั้นปล่อยออกมาแปรปรวนอย่างเห็นได้ชัดแต่เธอกับยังคงไม่แสดงท่าทีมีพิรุธออกมาแม้แต่น้อย
แต่ด้วยออร่าที่แปรปรวนนั่นทำให้ซูจิ้งสามารถส่งกระแสจิดเข้าไปสะกดจิตเธอได้อย่างง่ายดาย เมื่อเขาสะกดจิตแล้วจึงได้สั่งให้เธอพูดความลับออกมา
กลายเป็นว่าเธอนั้นถูกทาบทามโดยผู้จัดการบริษัทเครื่องสำอางที่อื่นที่ชื่อว่า ชิไล และเธอถูกสั่งให้แอบใส่บางอย่างในขวดแป้งเม่ยหยาน
เธอยังแอบถ่ายรูปใบหน้าของนางแบบที่เกิดเรื่อง พร้อมวางแผนว่าจะส่งไปยังผู้จัดการนั่นเพื่อจะใช้เป็นหลักฐานในการเล่นงานบริษัทของซือหยา
โดยแผนการคือถ้านางแบบคนนี้ไม่ออกมาก็จะโชว์ภาพในงานแถลงข่าว
เอาเข้าจริงๆเป้าหมายจริงๆที่บริษัทชิไลต้องการให้เกิดอาการแพ้ไม่ใช่นางแบบคนนี้แต่เป็นเหล่าดาราที่ออกมาพูดโฆษณาอย่างกัวไปถิ้ง นาลันเฟย และคนอื่นๆ แต่ว่าพวกเขาไม่มีโอกาสได้ลงมือ
หวังซือหยา ดงซุ่น และโจวเสวี่ยต่างโกรธเป็นอย่างมาก หวังซือหยานั้นไม่เคยไม่เอาใจใส่ช่างแต่งหน้าคนนี้เลยแม้แต่น้อยแต่เธอกับแทงข้างหลังซือหยาด้วยเงินเพียงน้อยนิด
“อะไรคือจุดขายของบริษัทชิไลผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรอ” ซูจิ้งถาม
“มันเป็นแบรนด์ที่รู้จัดกันดีเลยน่ะ เป็นแบรนด์เก่าแก่ที่ชื่อเสียงดีมาโดยตลอด อย่างน้อยๆก็ในเมืองจงหยุนแห่งนี้
ตอนที่วางขายแป้งเม่ยหยานเองแป้งจากบริษัทชิไลก็ถือว่าเป็นคู่แข่งที่ทัดเทียมกันเลย” หวังซือหยาพูดออกมา
“อ้อออ ถ้าอย่างนั้นที่พวกนั้นจัดงานแถลงข่าววันเดียวกัน กับผลิตภัณฑ์ที่คล้ายๆกับแป้งเหม่ยหยานนี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วหล่ะนะ
ก็ว่าอยู่ว่าทำไมถึงเลือกวันเดียวกัน วางแผนเตะตัดขาเอาไว้นี่เอง” ดงซุนสบถออกมา
“พวกนั้นจะแถลงข่าวตอนกี่โมง” ซูจิ้งถามอย่างยิ้มกลิ่ม
“ประมาณหนึ่งชั่วโมงหลังจากงานแถลงข่าวของพวกเราน่ะ ช่างเป็นจังหวะการแถลงข่าวที่ดีจริง
พอถึงเวลานั้นถ้าพวกเราไม่ได้ใส่ใจพวกมัน มัวแต่จัดการเรื่องคนทรยศ พวกเราคงโดนพวกมันเล่นงานไปแล้ว
ถ้าพวกนั้นประกาศขายของที่คล้ายกับของเราที่เกิดปัญหาล่ะก็จะไม่มีใครทำอะไรพวกมันได้แน่นอน”
“อย่างแรกกักตัวช่างแต่งคนนี้ไว้ที่นี่ก่อน ถ้าเธอไม่ได้ไปโผล่ในงานก็ไม่มีปัญหาอะไร
พี่ค่อยจัดการเธอทีหลังก็พอ” ซูจิ้งได้ถามหาภาพจากช่างแต่งหน้าก่อนที่จะลบรูปทิ้ง
“ก็ได้ เอาล่ะไปดูเซียวหลูดีกว่าว่าเธอเป็นยังไงบ้าง” หวังซือยากทำตามที่ซูจิ้งบอก
ทั้งหมดได้ไปยังห้องแต่งตัวเพื่อไปดูอาการของเซียวหลู พวกเธอนั้นทำได้แต่ถอนหายใจ
ช่างแต่งหน้าคนที่เหลือพยายามทำสุดความสามารถแล้วแต่ไม่ว่ายังไงพวกเธอก็ยังไม่สามารถแก้ปัญหาได้อยู่ดี
“พวกเราทำได้แค่นี้เองหรอ” หวังซือหยาถาม
“หน้าของเธอมีจุดที่ต้องลบมากเกินไป นอกซะจากเราจะหาอะไรมาปิดส่วนใบหน้าแล้วโชว์เฉพาะส่วนอื่นแทน” ช่างแต่งหน้าโดยรอบต่างพากันถอนหายใจ
“จะบ้าหรอ นั่นไม่ใช่ว่าจะเด่นไปกว่าเดินซะอีก” ดงซุ่นพูดออกมาแต่เธอก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ
ถ้าทำอย่างนั้นไม่เพียงจะทำให้คนอื่นรู้สึกแปลกๆ แถมจะเป็นจนที่บริษัทชิไลใช้เล่นงานพวกเธอได้อีก
ต่อให้ไม่มีรูปแล้วก็จริงแต่การแบบนั้นจะมีข้ออ้างให้เห็นใบหน้าที่มีปัญหาอยู่ในตอนนี้แทน
“ถ้าหาคนแทนล่ะ” หวังซือหยาเองก็ไม่อยากจะพูดแบบนี้ออกมา เพราะมีเพียงดาราไม่กี่คนที่ใช้ผงเสริมทรวงอก และต่อให้มีก็ไม่มีใครที่ใช้แล้วอกสวยเท่าเซียวหลูเลยสักคนเดียว
แถมยังต้องมีการเดินแบบด้วยท่าทางเซ็กซี่อีก ไม่มีทางที่จะหาใครเหมาะสมเท่าเธอไม่มีอีกแล้ว
“หรือจะให้ผมลองดูล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ลองอะไรล่ะ” ซือหยาถามมาอย่างงงๆ
“แต่งหน้าให้เซียวหลูไง” ซูจิ้งพูดออกมา
ทั้งหวังซือหยา ดงซุ่น โจวเสวี่ย เซียวหลู และช่างแต่งหน้าคนอื่นๆต่างพากันอิ้งจนเงียบกริบ
พวกเธอคิดว่าได้ยินผิดไป นี่ซูจิ้งจะแต่งหน้าจริงๆงั้นหรอ อย่าถามว่าจะแต่งยังไงนะแต่ควรจะถามว่าเขาแต่งหน้าเป็นรึเปล่า
ยิ่งสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ด้วยแล้วไม่ว่าจะเก่งยังไงก็ไม่มีทางช่วยได้
“อาจิ้ง ไม่ได้หลอกกันใช่ไหม” หวังซือหยาพูดพร้อมถลึงตาใส่
“หยอกก็ได้จ้ะ” ซูจิ้งยักไหล่ใส่
“ต่อให้นายรู้ว่าจะจัดการกับรอยจุดแดงยังไงแต่นายแต่งหน้าเป็นด้วยหรอ” ดงซุ่นถามอย่างเคลือบแคลงใจสุดๆ
“ผมก็ไม่รู้ว่าจะบอกยังไงเหมือนกันนะ ถามจะให้บอกตรงๆก็คือขอลองหน่อยแล้วกัน
แค่สิบนาทีเอง ถ้าผมทำไม่ได้ค่อยหาคนมาเปลี่ยนตัวก็ยังไม่สายนี่ ยังไงซะก็ยังไม่ถึงเวลา ถ้ามัวแต่ถามกันอย่างนี้เดี๋ยวก็ไม่ทันกันพอดี” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มกริ่ม
ถึงแม้ทุกคนในที่นั้นจะรู้สึกขัดใจอยู่บ้างแต่หลังจากฟังซูจิ้งแล้ว การที่ซูจิ้งขออะไรแปลกๆแบบนี้ออกมาในช่วงเวลาแบบนี้
แต่ให้ตัดสินใจเปลี่ยนตัวหรือให้คนอื่นมาทำแทนเซียวหลู ผลลัพท์ก็ไม่ได้ต่างกัน
ซึ่งตอนนี้ซือหยาก็เห็นด้วยแต่เธอไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เธอแค่อยากรู้ว่าซือจิ้งจะแก้ปัญหายังไงมากกว่า
“ซู คุณซู มันไม่เจ็บใช่ไหมคะ จะไม่เหลือรอยแผลเป็นจริงๆใช่ไหม”
ดาราหน้าอกใหญ่นามเซียวหลูค่อนข้างเป็นกังวล เธอนั้นไม่คิดว่าจะสามารถกำจัดรอยแผลแดงบนใบหน้าให้หมดไปในสิบนาทีได้เลย
ถ้าทำได้จริงคงต้องใช้วิธีพิเศษอย่างแน่นอนซึ่งนั่นน่าจะเจ็บมากแน่ๆ
แต่การที่เธออยู่ต่อหน้าซูจิ้งในตอนนี้ในระหว่างเกิดสถานการณ์แบบนี้
เธอยังรู้สึกกังวลน้อยกว่าเมื่อเทียบการเจอสถานการณ์เล็กน้อยแต่อยู่ต่อหน้าคนอื่นอย่างเพื่อน พ่อแม่ หรือครอบครัว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“ไม่ต้องกังวลหรอกครับ อย่างมากสุดก็เจ็บเพียงเหมือนเข็มจิ้มแค่นั้นเองส่วนเรื่องรอยแผลกับจุดด่างดำอะไรนั่นไม่ต้องสนใจหรอก อย่าลืมว่าเราเป็นผู้ผลิตสินค้าลบเลือนริ้วรอยสิ” ซูจิ้งพูดอย่างสบายๆ
พร้อมได้ทำการนวดให้เซียวหลูรู้สึกผ่อนคลายตาม ในตอนนี้ช่างแต่งหน้าได้ยกพื้นที่นี่ให้กับซูจิ้งเรียบร้อยแล้วและได้ลบเมคอัพออกจากใบหน้าของเธอตามคำขอของซูจิ้ง
“อ้ะ” ทันทีที่ซูจิ้งใช้มือสัมผัสมือของเซียวหลู เธอรู้สึกเจ็บนิดๆ จนต้องสะดุ้งถอนหายใจออกมา
ในไม่ช้าเธอก็ไม่รู้สึกเจ็บอีกต่อไป แถมยังรู้สึกเย็นสบายอย่างบอกไม่ถูก ทั้งๆที่ซูจิ้งไม่ได้ให้อะไรไว้ในมือเธอเลยแต่เธอกับรู้สึกอย่างนั้น
เธอเริ่มรู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าแค่นวดมือทำให้รู้สึกดีได้ขนาดนี้เลยหรอ
เธอนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยว่าตอนนี้ซูจิ้งได้ใช้เวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิกับเธอเพื่อใช้ในการรักษาอาการแพ้บนใบหน้า
รอยแผลจุดแดงบนใบหน้าเธอในตอนนี้เริ่มหายไปจากทีละน้อยแล้วทีละน้อยจนหายไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหมดไปทั้งใบหน้า
เอาจริงๆเวทย์ที่ซูจิ้งใช้นั้นไม่ได้ดีอะไรเพราะเขาฝึกแบบครึ่งๆกลางๆ
แถมพลังภายในยังน้อยนิดและอ่อนแอซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแผลต่างๆควรจะหายในทันทีที่ใช้เวทย์
ความสามารถที่แท้จริงของเวทย์นี้กับสิ่งที่ซูจิ้งทำได้ช่างห่างไกลซะเหลือเกิน
ตอนที่ 733
น่าอัศจรรย์
ซูจิ้งไม่แปลกใจอะไรเมื่อเห็นรอยแผลหลงเหลืออยู่บนใบหน้าเพราะเขารู้ดีว่าพลังของเขาที่ใช้ในการรักษานั้นยังอ่อนแอเกินไป
เขาได้หยิบผงลบเลือนริ้วรอยออกมาแล้วแต้มไปที่หน้าของเซี่ยวหลู จริงๆแล้วผงลบเลือนริ้วรอยก็เป็นแค่ชื่อทางการค้าของโลกนี้เท่านั้น จริงๆมันคือผงยารักษาจากห้วงเวลาฯจูเซียน
ซึ่งผลของผงยาคือรักษาชีวิตแต่กว่าจะส่งผลในการลบเลือนริ้วรอยค่อนข้างนาน ด้วยเหตุว่าตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วที่จะเปิดงานผงเสริมทรวงอก เขาจึงตัดสินใจนำยาตัวใหม่ออกมาใช้ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรอยแผลเป็นหลงเหลือไว้บนใบหน้าของเซียวหลู
แน่นอนว่าหลังจากที่ซูจิ้งรักษาเธอด้วยเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯหน้าของเซียวหลูยังคงหลงเหลือแผลเป็นน่าเกลียดไว้บนใบหน้า และแน่นอนว่าเธอไม่ยอมโผล่หน้าออกไปในงานเป็นแน่
ซูจิ้งได้นำยาตัวใหม่ออกมาแล้วมอบให้เซียวหลูพร้อมพูดว่า “ดื่มผงยานี่ซะ แล้วเธอจะดูดีสวยยิ่งกว่าเดิมซะอีก” เซียวหลูทำหน้าตาเหยเกทันทีเพราะไม่อยากทำอะไรผิดสำแดงอีก
แต่พอนึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างซูจิ้งกับหวังซือหยาที่สามารถเชื่อใจซูจิ้งได้แน่นอน
ต่อให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่แน่นอนว่าไม่มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นกับเธอแน่ๆ
เธอนึกได้ดังนั้นเธอจึงรับผงยามาใส่ปากและดิ่มน้ำตามลงไป
หลังจากนั้นไม่นานเธอมัวแต่หลับตาหลังกินยาเข้าไปพร้อมหลับตาปี๋ทำให้เซี่ยวหลูไม่เห็นว่าใบหน้าของเธอมีการเปลี่ยนแปลงนั่นคือรอยแผลของเธอนั้นหายไปอย่างรวดเร็วอย่างสังเกตุเห็นได้
ไม่เพียงแต่นั้น จุดด่างดำส่วนอื่นทั้งจากเรื่องในคราวนี้และร่องรอยเก่าๆบนใบหน้าของเธอกลายเป็นสะเก็ดแล้วหลุดลอกไปอย่างรวดเร็ว
เธอรู้สึกประหลาดใจเพราะเธอรู้สึกดีขึ้นในทันทีพลางว่าคิดไปไปเองรึเปล่า เพราะข่าวลือเกี่ยวกับซูจิ้งที่เธอเคยได้ยินมานี่ก็ล้วนเวอร์วังทั้งนั้น
ในตอนนั้นซูจิ้งได้วางมือบนหน้าของเซียวหลูพร้อมทำการนวดต่อไป ความจริงแล้วการนวดนี้ไม่จำเป็นอีกต่อไปเพราะแค่ผงยาที่เขาให้ไปก็ถือว่าเพียงพอแล้ว
เพราะเขาเองก็ได้ทดลองอยู่หลายหนจนมั่นใจประสิทธิภาพ แต่เหตุผลที่เขายังคงทำการนวดต่อไปก็เพื่อเป็นการตบตาเซียวหลูไม่ให้เธอรู้ว่าที่เธอหายดีจนกลายเป็นสวยมากๆอย่างในตอนนี้เป็นเพราะผงยาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตามด้วยความเร็วในการรักษาที่ดีเกินคาดทำให้ซูจิ้งที่กำลังแกล้งนวดไปที่ใบหน้าของเซียวหลูยังต้องหยุดดูผล
ไม่ใช่เพราะตะลึงกับผลของการรักษาแต่เป็นการตกตะลึงเพราะทำให้ผุ้ใช้สวยขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เขาพลางคิดไปว่าก่อนหน้านี้ที่เธอบอกกับใครต่อใครว่าสวยนี่คือแค่คิดไปเองหรอกหรอ
“เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้ผลหรอ” เซียวหลูเห็นซูจิ้งจ้องมองมาที่หน้าของเธอแปลกๆจนเธอต้องแปลกใจเลยถามออกไป
“อ่ะแฮ่ม ก็ไม่เลวล่ะนะ” ซูจิ้งกระแอมก่อนพูดออกมา
“ไหนขอดูหน่อยซิ” เซียวหลูหันหน้าไปมองกระจกในทันที เธอนิ่งแข็งค้างในทันทีที่เห็นภาพในกระจก เธอลองเอานิ้วค่อยๆจิ้มแก้มตัวเองเบาๆ
ก่อนที่จะใช้ฝ่ามือปะไปตามใบหน้าป่ะหนึ่งเป็นการตรวจเช็คว่าภาพที่เห็นในกระจกคือภาพสะท้อนของเธอจริงๆรึเปล่า เมื่อเธอแน่ใจแล้วเธอสูดหายใจเข้าลึกๆพร้อมกรี๊ดออกมาสุดเสียงทันทื
“เกิดอะไรขึ้น เป็นอะไรไปหน่ะ” เหล่าสาวๆทั้งหลายที่รออยู่นอกห้องรีบวิ่งกรูเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียง
หลังจากเห็นหน้าของเซียวหลูพวกเธอต่างจ้องมองเป็นตาเดียวกัน พร้อมทั้งขยี้ตาพร้อมๆกัน
เพราะพวกเธอต่างก็ไม่มีใครเชื่อเรื่องที่เกิดขึ้นเลยแม้แต่คนเดียว
“เป็นไปได้ยังไงกัน”
“คุณทำอะไรกันแน่น่ะ คุณซู”
เหล่าช่างแต่งหน้าทุกคนที่เห็นต่างก็ตื่นเต้นกันหมดทุกคน
ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาพวกเธอยิ่งนัก
“อาจิ้ง นายทำอะไรอีกเนี่ยบอกมาเลยนะ” หวังซือหยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยต่างหันไปมองซูจิ้งอย่างกับเห็นสัตว์ประหลาด
“ก็แค่แต่งหน้าน่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แต่งหน้าตรงไหนกันมิทราบ มองออกกันเห็นๆเลยนะ” หวังซือหยาพูดด้วยความตื่นเต้น
“มันต้องไม่ใช่แค่การแต่งหน้าธรรมดาแน่ๆ มันต้องเป็นผ่าตัดเสริมความงามแหงๆ” ดงชุ่นพูดพลางเอามือจิ้มๆบนใบหน้าของเซียวหลูไปทั่วใบหน้า
“อ่าวเฮ้ อย่าไปแตะสิ” ซูจิ้งทำท่าทางรีบห้ามดงชุ่นทันทีพร้อมพูดอีกว่า “อย่าไปแตะมั่วซั่วสิ
เดี๋ยวหน้าก็หลุดกันพอดี การแต่งหน้าของฉันมันบางมากเลยนะ เดี๋ยวก็เห็นแผลอีกหรอก เธอเองก็ควรระวังไว้เหมือนกันนะเซียวหลู”
“อื้มฮืม” เซียวหลูพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน และเห็นพ้องตามคำขอของซูจิ้ง ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอไม่อยากเสียงานเป็นนางแบบในงานเปิดตัวผงเสริมทรวงอกนี้ไป อีกหนึ่งเหตุผลคือเธอเสียดายใบหน้าที่ซูจิ้งแต่งให้เธอซะสวยเลิศเลอขนาดนี้
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่ผิวพรรณใบหน้าจะดูดีกว่าแต่ก่อนแล้ว แม้กระทั่งคิ้วของเธอก็ยังโค้งได้รูปเหมือนใบต้นหลิว ขนตาที่โค้งงอนยาวอย่างดูดีไม่มีด่างพร้อยแม้สักขนเส้นเดียว
สันจมูกที่โด่งขึ้นมานิดหน่อย มุมปากที่ดูเซ็กซี่เล็กๆ แก้มที่ดูพอเหมาะไม่มากหรือน้อยเกินไป และยิ่งไปกว่าหน้าโครงหน้าของเธอยังเปลี่ยนไปดูกระชับได้รูปมากกว่าเดิม
เมื่อดูรวมๆกันแล้วแค่พูดว่าสวยยังไม่ดีพอ ต้องบอกว่าสวยที่สุดในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้ เธอรู้สึกแบบนั้นจริงๆจนต้องหยิบกล้องโทรศัพท์ขึ้นมาเซลฟี่ตัวเองหลายรูปเพื่อพยายามเก็บช่วงเวลานี้ไว้ให้ได้มากที่สุด
“คุณซู นี่คือการแต่งหน้าจริงๆหรอ คุณทำได้ยังไงกัน” แม้แต่ช่างแต่งหน้ามืออาชีพยังไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นเลย
พวกเธอนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าจะมีใครในโลกที่ทำแบบนี้ได้อีก
เพราะพวกเธอไม่เห็นร่องรอยการแต่งหน้าเลยแม้แต่น้อยแต่ใบหน้าของเซียวหลูกลับเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้
“มันเป็นการแต่งหน้าจริงๆแหล่ะ แต่ทำยังไงนี่ขอไม่บอกนะ” ซูจิ้งพูดพลางหัวเราะ
“คุณซู สภาพของฉันที่สุดแสนเลิศเลอในตอนนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหนหรอ” เซียวหลูถามออกมา เธอตั้งใจว่าจะไม่ล้างหน้าไปซักปีนึงเลยเพื่อยอมให้ใบหน้านี้คงอยู่นานที่สุดเท่าที่จะนานได้
“นานแค่ไหนหรอ ถ้าคำนวณตามการสัมผัสกับอากาศแล้วน่าจะยู่ได้ราวๆครึ่งชั่วโมงไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้นเท่าไหร่ ทางที่ดีเธอไม่ควรจะใช้เวลาในงานนานเกินสี่สิบนาทีนะ” ซูจิ้งพูดตามความจริง เขานั้นได้ลองกับหนูตัวนั้นมาแล้ว และทำการคำนวณตามน้ำหนักตัวที่ต่างกันของทั้งคู่
“อย่างงั้นหรอ” เชียวหลูรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เธอรีบถ่ายรูปเก็บไว้มากขึ้นกว่าเดิม
แทบจะบอกได้ว่าถ่ายไว้ทุกอริยาบทและทุกมุมเท่าที่จะเป็นไปได้ ช่วงเวลาที่ดูดีที่สุดในชีวิตเธอขนาดนี้ต่างเก็บไว้ให้มากที่สุด เธออยากจะให้เขาเป็นช่างแต่งหน้าส่วนตัวของเธอเลยด้วยซ้ำแต่ก็รู้ดีว่าไม่มีทางเป็นไปได้
แต่เธอก็รู้สึกแล้วว่าอย่างน้อยๆการที่ได้มาอยู่ที่นี่ในวันนี้ภายใต้การดูแลของหวังซือหยาและบริษัทของซือหยาก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
“อาจิ้ง นายจะสุดยอดเกินไปแล้วนะ” หวังซูหยาพูดพร้อมแสดงความรู้สึกออกมาอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับเธอแทบจะอยากกระโดดจูบซูจิ้งซะเดี๋ยวนั้นเลย เธอพูดด้วยรอยยิ้มต่อว่า “งั้นเราไม่ต้องหาใครมาแทนแล้ว เริ่มงานเปิดตัวได้เลย เซียวหลู เธอเตรียมตัวไว้นะ”
“ฉันพร้อมทุกเมื่อเลย” เซียวหลูพูดออกมาอย่างมั่นใจ
ทันทีที่เซียวหลูออกไปปรากฏโฉมในงานเปิดตัว ทุกสายตาต่างจ้องมองอย่างตกตะลึง
แม้แต่นักข่าวก็ยังจ้องจนลืมถ่ายรูปไป ความจริงแล้ววันนี้เซียวหลูต้องมีการเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อเป็นนางแบบหลายชุดมากเพื่อแสดงให้เห็นความสวยงามหลังจากการใช้ผงเสริมทรวงอก
แต่ด้วยใบหน้าของเธอในตอนนี้นั้นแทบจะไม่มีใครสนตัวผงเสริมทรวงอกอีกต่อไป หลายคนอดไม่ได้ที่จะคิดว่าเธอไปทำการยกกระชับผิวหน้ามาแต่ก็ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะเมื่อวานเธอก็เพิ่งไปร่วมงานเลี้ยงมาหมาดๆ
ในพื้นที่เล็กๆแห่งหนึ่ง ได้มีผู้คนกำลังแอบกระซิบคุยกัน
“ช่างสวยจริงๆ ไม่คิดเลยว่าเซียวหลูจะสวยขนาดนี้มาก่อน”
“ช่าย สวยหมดทุกองศา จะบอกว่า 360 องศาเลยก็ว่าได้”
“จะไม่สวยเกินไปหน่อยหรอ ตอนนี้ไม่มีใครสนใจอกของเธอแล้วนะ มีแต่คนจ้องหน้าเธออย่างเดียวเลย” ดงชุ่นโวยวายเล็กน้อย
“ฮ่าฮ่า คิดซะว่าเป็นการเปิดตัวผงเสริมความงามไปในตัวก็แล้วกัน ดีซะอีก เวลามีคนพูดถึงเรื่องในวันนี้พวกเขาจะไม่แค่มองแค่หน้าอกของเซียวหลูอย่างเดียวแล้ว” หวังซือหยาหัวเราะจนตัวสั่น
ตอนที่ 734
คืนสนอง
“ใครบอกกันนะว่าเซียวหลูเป็นแค่นางโชวกัน เธอสวยมากเลยนะ”
“แถมยังดูอ่อนช้อย นุ่มนวลเลยทีเดียว”
“นี่ผลจากการใช้ผงเสริมความงามงั้นหรอ”
“นี่เป็นงานเปิดตัวผงเสริมทรวงอกหรือผงเสริมความงามกันแน่เนี่ย”
เหล่าแขกเหรื่อและนักข่าวที่เข้าร่วมงานเปิดตัวต่างรู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก ชายวัยกลางคนในชุดสูทคนหนึ่งกับหญิงสาวในชุดสูทสั่งตัดคนหนึ่งจ้องไปยังใบหน้าของเซียวหลูด้วยความตกตะลึงพร้อมทำคิ้วขมวด
ชายวัยกลางคนได้กระซิบถามหญิงสาวในชุดสูทว่า “ไหนว่าเรียบร้อยแล้วไง แล้วนี่มันอะไรกัน”
“ดิฉันก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ เธอแจ้งมายังทางเราว่าเธอจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางที่จะแก้ไขใบหน้าของเธอได้ทันการแน่นอน แม้แต่ต่อให้โปะหน้าหนาแค่ไหนก็ตาม แล้วนี่จะทำยังไงกันดีคะ” หญิงสาวในชุดสูทพูดพร้อมความงงงวยและรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาทันที
“พวกเราจะทำอะไรได้อีกล่ะ พวกเราต้องหยุดเรื่องนี้เดี๋ยวนี้” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือเต็มไปด้วยความโกรธ
ตอนนี้เซียวหลูได้ปรากฏสู่สายตาสาธารณะชนด้วยใบหน้าที่สวยเลิศเลออย่างไร้ที่ติ แม้แต่พวกเขาจะได้รูปตอนเสียโฉมมาแต่จะเอาไปทำอะไรได้กัน
รูปถ่ายเองก็เป็นของจริงแน่นอน เขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเซียวหลูถึงได้แปลงโฉมได้เร็วขนาดนี้
ในตอนนั้นเอง หวังซือหยา ดงชุ่น และซูจิ้งออกมาด้วยกัน ทันทีที่ซูจิ้งออกมาเหล่านักข่าวต่างถ่ายรูปกันอย่างจ้าละหวั่น
เขานั้นเด่นกว่าเซียวหลูในตอนนี้ซะอีก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าซูจิ้งเพิ่งจะสตรีมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน และยังคงเป็นเรื่องที่พูดถึงกันอยู่
หลังจากนั้นงานเปิดตัวก็ดำเนินต่อไปด้วยดี ไม่มีเรื่องอะไรอีก ซูจิ้งเองนึกเบื่อๆไม่รู้จะทำอะไรก็ได้ปลดปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาเล่นๆ
แต่กลับจับพิรุธที่คู่ชายวัยกลางคนในชุดสูทและหญิงสาวในชุดสูทตัดได้จึงได้คอยจับตาดูเอาไว้ จากออร่าที่พวกเขาปล่อยออกมานั้นดูไม่เสถียรมากซะจนเขารู้ได้ในทันทีว่าทั้งคู่ต้องมาจากบริษัทชิไลอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามซูจิ้งไม่ได้บอกใครในเรื่องนี้ งานเปิดตัวได้ดำเนินต่อไปจนเสร็จสิ้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา ตั้งแต่ต้นยันจบทั้งสองก็ยังไม่ได้ทำอะไรออกมา เมื่อเสร็จงานแล้วทั้งสองรีบเดินออกไปด้วยอารมณ์หมดอาลัยตายอยาก
เซียวหลูเองหลังจากเสร็จงานไปแล้วซักพักร่างกายของเธอก็คืนสภาพปกติตามที่ซูจิ้งบอก
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนวดเธอด้วยเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ
แถมยังใช้ผงลบเลือนริ้วรอยทำให้ใบหน้าของเธออาการดีขึ้นจนเหลืออีกนิดหน่อยก็หายแล้ว
ทั้งหวังซือหยาและดงชุ่นเห็นดังนี้ก็ดีใจมาก ทั้งสองรู้สึกดีใจที่ตัวเองชักชวนซูจิ้งมางานในวันนี้ไม่อย่างนั้นล่ะก็งานได้ล่มไม่เป็นท่าแน่นอน
ซูจิ้งพูดออกมาขณะที่ทุกคนกำลังดีใจว่า “ดูเหมือนว่าในระหว่างงานเปิดตัวมีคนจากบริษัทชิไลเข้ามาดูด้วยนะ เดี๋ยวผมขอไปดูบ้างก็แล้วกัน”
ทุกคนต่างตะลึงทันทีที่ได้ยิน หวังซือหยาได้พูดออกมาว่า “ฉันไม่เชื่อหรอกว่านายจะแค่ไปดูน่ะ”
ซูจิ้งเอานิ้วไปถูจมูกตัวเองก่อนจะพูดออกไปว่า “แค่ไปดูจริงจริ๊ง เพื่อว่าใครสักคนจะได้เรียนรู้ว่าการมาป่วนงานชาวบ้านเขาจะเป็นยังไง”
หวังซือหยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยรู้นิสัยของซูจิ้งดีว่าไม่จบแค่ดูแน่นอน
หวังซือหยาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็ดูดีๆก็แล้วกัน รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่ต้องกักตัวยัยช่างแต่งหน้านั้นไว้แล้ว ปล่อยตัวเธอไป”
ช่างแต่งหน้าสาวที่ถูกกักตัวไว้ก่อนหน้านี้ถูกปล่อยตัวออกจากสำนักงาน ซูจิ้งได้ถอนการสะกดจิตออกโดยไม่ได้ลบความทรงจำใดๆ
เมื่อเธอรู้สึกตัวเธอจำได้ว่าเธอบอกทุกอย่างให้ทุกคนได้รู้ ทันใดนั้นหน้าของเธอเปลี่ยนสีทันที
เธอขอโทษหวังซือหยากับเรื่องที่เธอทำ แต่หวังซือหยาไม่พูดอะไรแค่บอกให้หน่วยรักษาความปลอดภัยนำตัวเธอออกไปแค่นั้น
พร้อมทั้งให้นักกฎหมายจัดการเรื่องสัญญาจ้างของเธอและเตรียมฟ้องร้องจากสิ่งที่เธอทำ นั่นจะทำให้ช่างแต่งหน้าสาวคนนี้เจอปัญหาใหญ่ในชีวิตนี้แน่นอน
ซูจิ้ง หวังซือหยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยได้ไปงานเปิดตัวสินค้าของบริษัทชิไลด้วยกัน
งานจัดขึ้นไม่ไกลจากที่จัดงานของซือหยาเท่าไหร่นัก ใช้เวลาเพียง20นาทีก็ถึง เมื่อพวกเขาไปที่งานก็พบว่างานได้เริ่มไปแล้ว
พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้เวทีแต่อย่างใด เพียงมองอยู่ห่างๆแค่นั้นเอง
งานของบริษัทชิไลได้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายไม่มีอะไรหวือหวา พอดูๆไปแล้วเหมือนน่าจะไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่นัก
เป็นไปได้ว่าเพราะถือว่าตัวบริษัทเองเป็นบริษัทใหญ่ ก็เลยไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่มาดึงดูดสายตา
ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงเพลงดึงดูดจากบนเวที
ชายวัยกลางคนที่ซูจิ้งเห็นในงานเปิดตัวได้ยืนอยู่บนเวทีพร้อมพูดด้วยเสียงดังว่า
“ต่อไป พวกเราลองมาชมผลของครีมที่เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ของทางบริษัทชิไลกันนะครับ ตามภาพนี่คือสภาพผิวของเธอก่อนใช้ผลิตภัณฑ์ของเรา ผิวของเธอนั้นแห้งจนเรียกได้ว่าหยาบกระด้างเลยก็ว่าได้ ส่วนนี่คือภาพของผิวเธอหลังใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้ว
ที่ทุกท่านเห็นอยู่ตอนนี้เป็นสภาพผิวจริงที่ผ่านการแต่งหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าทุกคนไม่เชื่อผม
ผมจะให้หญิงสาวผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนนี้ ล้างเครื่องสำอางออกจากใบหน้า และล้างหน้าเพื่อให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเธอกันครับ”
หญิงสาวคนที่ถูกบอกว่าใช้สินค้าดูแลผิวภัณฑ์ของบริษัทชิไล ได้เดินขึ้นมาบนเวทีพร้อมใบหน้าที่ดูสวยงามและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ผิวพรรณของเธอก็ดูดีจริงๆ
โจวเสวี่ยได้พูดแบบดูถูกออกมาว่า “ไม่ต้องพูดเลย ดูจากรูปก็รู้ว่าภาพผิวก่อนการใช้ครีมนั่นทำขึ้นมาเห็นๆ ผิวเธอดูดีขนาดนี้ไม่มีทางสภาพแย่แบบนั้นได้แน่นอน”
หวังซือหยาและดงชุ่นก็ได้หัวเราะออกมาหลังจากที่ได้ยินโจวเสวี่ยพูดแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ซึ่งเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วในการโฆษณาพวกเธอก็ไม่ได้แปลกใจอะไรนัก ซูจิ้งเองก็ได้แค่ยิ้มๆแต่ไม่พูดอะไร แต่ถ้าคนที่อยู่ที่นั่นเห็นรอยยิ้มของซูจิ้งจะรู้สึกขนลุกทันทีที่สังเกตุแน่นอน
ตอนนี้ที่ทุกคนเห็นก็คือหญิงสาวที่ดูสุขภาพผิวดีคนนั้นได้ทำการลบการแต่งหน้า พร้อมล้างหน้าต่อหน้าทุกคนในขณะอยู่บนเวที ทุกคนต่างก็คิดว่าหลังเจอเธอล้างหน้าแล้วเธอต้องดูหน้าเกลียดแน่นอน แต่ด้วยสถานะของบริษัทใหญ่อย่างบริษัทชิไล ไม่มีทางที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องแบบนั้นเป็นแน่
แต่ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่หญิงสาวคนนั้นล้างหน้า และแสดงใบหน้าที่แท้จริงให้เห็น
ผู้คนในงานต่างกรีดร้องออกมาด้วยความตกใจ บางคนถึงกับกลัวจนต้องล้มพับลงไปในทันที ตอนนี้หญิงสาวที่เป็นนางแบบของงานที่เพิ่งล้างหน้าเสร็จ
ใบหน้าของเธอในตอนนี้เต็มไปด้วยริ้วรอย กระ จุดด่างดำ เหมือนกับเป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาราวสามสิบถึงสี่สิบปี
บอกได้เลยว่าสภาพผิวในตอนนี้แย่กว่าในรูปก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัทชิไลซะอีก
“พระเจ้า เป็นไปได้ยังไงกัน”
“โคตรน่ากลัวเลย”
เหล่านักข่าวต่างจับภาพเบื้องหน้าอย่างมันมี ประดุจดั่งได้หัวข้อข่าวใหม่ที่ร้อนแรงที่สุดในชีวิตเท่าที่เขาเคยได้ทำงานมา
“อย่าถ่ายนะ นี่มันแค่อุบัติเหตุเท่านั้น”
“หยุดก่อนนะ ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ”
เหล่าพนักงานจากบริษัทชิไลต่างทำอะไรไม่ถูกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
บางคนได้พยายามจับตัวหญิงสาวนางแบบที่กำลังยืนอึ้งอยู่กับเหตุการณ์
บางคนทำถึงขนาดพุ่งชนเธอให้ล้มแล้วรีบจับหน้ากดพื้นไว้
แต่เหล่านักข่าวก็ยังกระหน่ำถ่ายรูปทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
บอกได้เลยว่าเกิดความโกลาหลอย่างแท้จริง คนของทางบริษัทชิไลได้รีบออกมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่ประจักษ์ย่อมน่าเชื่อถือกว่าคำแก้ตัว แถมทุกคนเองก็ยังเห็นกับตาของตัวเอง
บางคนถึงกับถ่ายภาพด้วยมือถือของตัวเอง
ไม่ว่าจะแก้ตัวยังไงก็ฟังไม่ขึ้นอีกแล้ว คนของบริษัทชิไลเองล้วนรู้สึกอยากร้องไห้ออกมาเสียตรงนั้น
เกิดเรื่องขึ้นแบบนี้ได้ยังไงกัน ผิวของนางแบบนั้นแท้จริงแล้วก็ดูดีอยู่แล้วแถมยังดูดีตั้งแต่เกิดเลยด้วยซ้ำ
ไม่มีทางทีจะอยู่ๆก็แห้งกร้านขนาดนั้นได้แน่นอน พวกเขาไม่รู้เลยจริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หวังซือยา ดงชุ่น และโจวเสวี่ยต่างตกตะลึงในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมต้องคำถามในหัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทชิไลกันแน่
พวกเขายังไม่เริ่มโต้กลับเลยแต่บริษัทชิไลได้จบลงซะแล้ว
ทันใดนั้นหวังซือหยาก็เหมือนนึกขึ้นได้แล้วหันไปหาซูจิ้งใจทันทีพร้อมพูดออกมาว่า “อาจิ้ง ฝีมือนายรึเปล่า” คนอื่นๆที่ได้ยินซือหยาถามต่างหันขวับไปหาซูจิ้งในทันที
“เปล่านา…. ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลย” ซูจิ้งพูดพลางยักไหล่
“ไม่เอาน่า… ฉันไม่เชื่อหรอก ดูท่าทางก็รู้แล้ว” หวังซือหยาพูดพลางยิ้มออกมา
“ก็ แค่ การแต่งหน้าธรรมดาหล่ะ ผมแค่แอบใส่อะไรบางอย่างลงไปในน้ำเฉยๆ” ซูจิ้งสร้างเรื่องหลอกๆขึ้นมา
“นายใช้อะไรกันน่ะ” ทุกคนต่างประหลาดใจ พลางทึ่งในความสามารถของซูจิ้งที่ทำได้ตั้งแต่เสกหน้าหญิงสาวให้เลอโฉมแม้กระทั่งทำให้สาวหน้าตาดีการเป็นหน้าเกลียดหน้ากลัวได้ดั่งใจ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น