Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 717-730

 ตอนที่ 717

 

ท่านเทพออกมาสตรีมอีกแล้ววว…

วันถัดมาในเช้าวันอาทิตย์


ผู้จัดการของเว็บกรีนเปปเปอร์ ผู้ช่วยสนับสนุนงานถ่ายภาพและคนอีกจำนวนหนึ่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดสด(สตรีม)ได้มาที่บ้านของซูจิ้ง ที่นั่นได้มีเว่ยเสี่ยวหยวนและหลิวฉิงรออยู่ด้วยเช่นกัน เว่ยเสี่ยวหยวนทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการทำสัญญาของซูจิ้ง ส่วนหลิวฉิงนั้นมาเพราะว่าได้ยินข่าวว่าซูจิ้งจะจัดการสตรีมขึ้นอีกครั้งเขาเลยอยากเข้ามาดูด้วย ซึ่งหลิวฉิงเองค่อนข้างจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้เพราะว่าตอนที่ซูจิ้งสตรีมครั้งก่อนนั้นเขาพลาดโอกาสไปทำให้เขาจิตตกจนจะเป็นบ้าตาย คราวนี้ซูจิ้งต้องการสตรีมด้วยตัวเองเพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน ถ้าพลาดคราวนี้ไปเขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต


 


“คุณซูครับ คุณอยากจะสตรีมที่นี่จริงๆหรอครับ ผมอยากพาคุณไปสตรีมที่บริษัทมากกว่านะ เพราะเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมกว่า การที่ผมต้องขนของพร้อมคนมา…” ผู้จัดการหวังยังไม่ทันพูดจบดีซูจิ้งก็พูดออกมาว่า


 


“อย่างกังวลเรื่องที่จะสตรีมที่นี่เลยครับ อินเตอร์เน็ตผมก็น่าจะเร็วพอนะ เอาจริงการสตรีมของผมคราวนี้ไม่เหมาะกับการไปนอกสถานที่น่ะ ถ้าอยู่ๆสัญญาณตัดไปผมยอมไม่เอาค่าจ้างเลยเอ้า” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจ


 


“ก็ได้ครับ” ผู้จัดการหวังมันปัญญาที่จะค้าน


 


“น่าๆอย่าตื่นเต้นไปเลย เรายังมีเวลาอีกตั้งชั่วโมงครึ่ง เอางี้เรามานั่งดื่มชากันก่อน” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“เอาล่ะงั้นไปทำการติดตั้งพร้อมเตรียมอุปกรณ์ประกอบให้พร้อมซะ” ผู้คนของบริษัทกรีนเปปเปอร์ต่างเริ่มทำงานตามหน้าที่ของตนเอง พวกเขาเองก็มืออาชีพพอตัวที่จะจัดการสตรีมนอกบริษัทของพวกเขา ยิ่งกว่านั้นซูจิ้งไม่ใช่คนดังทั่วๆไป เขานั้นนอกจากจะโดดเด่นกว่าใครแล้วยังมีฐานแฟนคลับของตัวเองก่อนจะเป็นดาราไม่ใช่น้อย


 


ในเวลาเดียวกันนั้นข่าวการสตรีมของซูจิ้งเผยแพร่ออกไปบนอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าบริษัทกรีนเปปเปอร์ได้โฆษณาไว้ตั้งแต่เมื่อคืน แค่ลงพาดหัวไว้ไปเดียวข่าวก็แพร่ไปยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง เพราะนอกจากเขาจะเป็นที่นิยมแล้ว ทุกๆการกระทำของเขามีค่ายิ่งกว่าทองเพราะมีแต่ความน่าตื่นเต้นในทุกครั้ง พอจะกล่าวได้ว่าช่องแชทของช่องสตรีมทั่วไปนั้นจะมีข้อความพิมพ์พูดคุยตลอดเวลา แต่สำหรับซูจิ้งช่องแชทของเขานั้นแทบไม่กระดิกเพราะการพิมพ์ข้อความแชทจะทำให้เสียเวลาในการที่จะดูเขาสตรีมเลยก็ว่าได้


 


ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่มีการโฆษณาเมื่อคืนมีฟุตเตจตอนที่ซูจิ้งเล่นกู่เจิ้ง(กู่ฉิน)​ในงานเลี้ยงและตอนที่เล่นเอ็กซ์ตรีมช่วยบ้านหมินถัง ยิ่งกระตุ้นให้คนอยากติดตามมากขึ้นไปอีก


 


“เซี่ยนเอ๋อ ผู้จัดการเจ้าโทรมาเรื่องวาไรตี้โชวที่….” มีคนคนหนึ่งเข้ามาเพื่อจะพูดธุระกับมู่หรงเซียนเอ๋อ


 


“ไม่มีใครอยู่ทั้งนั้น ไม่มีคนอยู่เลยรับโทรศัพท์ไม่ได้ เธอไม่เห็นใครทั้งนั้นนะ” มู่หรงเซียนเอ๋อในตอนนี้เอาแต่จับจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งใจ เธอตอบคนที่เข้ามาโดยไม่หันไปมองซักวิเดียว หน้าจะนั้นเป็นหน้าจอที่เว็บเปปเปอร์กรียเตรียมไว้เพื่อที่จะสตรีมซูจิ้ง ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีภาพอะไรขึ้นมาทั้งสิ้น


 


ผู้จัดการของเธอทำได้เพียงยิ้มออกมาก่อนที่จะโทรกลับไป โทรออกพร้อมพูดขอโทษกับเจ้าเต๋าพร้อมบอกไปว่าค่อยคุณกันโอกาสหน้า หลังจากเธอวางสายเธอได้มานั่งรออยู่ข้างๆมู่หรงเซียนเอ๋อพร้อมกับรอดูการสตรีมไปด้วยกัน เธอเข้าใจความรู้สึกของเซียนเอ๋อดี เธอเองก็ได้เคยดูตอนที่ซูจิ้งแสดงกู่เจิ้งมาแล้ว มีผลงานเพลงสองถึงสามชิ้นที่ซูจิ้งส่งมาให้เซียนเอ๋อ เอาจริงๆเธอก็ไม่รู้ว่าซูจิ้งช่วยเซียนเอ๋อมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว ยิ่งเขาช่วยเธอค่าตัวเธอก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทุกครั้งและนี่ไม่ใช่เหตุบังเอิญแน่นอน ผลงานเพลงชิ้นใหม่ของซูจิ้งคราวนี้ต้องสวยงามไม่น้อยกว่าก่อนหน้านี้แน่นอน


 


“นาลัน ไหนว่าเธอจะไปยิมไม่ใช่รึไง” ในบ้านหรูหลังหนึ่งมีผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับผู้หญิงอีกคนด้วยความสนิทสนม


 


“ไม่ไปแล้ว มันจะใกล้เวลาสตรีมแล้ว” นาหลานเฟยเองก็กำลังจับจ้องไปที่ช่องการสตรีมเช่นเดียวกัน


 


“ฉันไม่รู้เลยจริงว่าวันนี้ซูจิ้งจะเล่นเพลงแบบไหนออกมา” ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะออกมา


 


“ใครจะไปรู้ล่ะ แค่คอยดูก็พอน่า” นาหลันเฟยจับจ้องไปที่หน้าจอด้วยสายตาที่เปี่ยมล้นไปด้วยความหวัง


 


“เสี่ยวหญิง วันนี้เธอไม่สตรีมหรอ แถมยังมาเฝ้ารอคนอื่นสตรีมอีกเนี่ยนะ”  ในห้องส่วนตาสีชมพู เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเด็กอีกคนหนึ่งที่นั่งเฝ้าหน้าจอคอมอยู่ในห้อง เธอพูดพลางทำหน้าประหลาดใจ


 


“ฉันอยากรู้ว่านายคนนี้จะสตรีมอะไรออกมาน่ะ” หญิงสาวในชุดนักเรียกตอบกลับไป


 


“นั่นมันซูจิ้งเลยนะ คนที่เปรียบได้ดั่งเทพ พวกเราจะไปเทียบได้ยังไง แล้วทำไมเธอถึงได้ดูโกรธขนาดนั้นเนี่ย”


 


“ฮืมมม ยัยสำส่อนถังเซียวหยูน่ะซิ หล่อนใช้สัตว์เลี้ยงในการสตรีมครั้งก่อนจนทำให้ได้รางวัลไปมากกว่าฉัน และซูจิ้งเป็นคนให้สัตว์ตัวนั้นไปฉันเลยไม่ชอบซูจิ้งเลยจริงๆ” ตอนนี้หญิงสาวที่พูดโกรธจนลมออกหูแล้ว


 


“สตรีมแล้ว”  ณ หอพักหญิงของโรงเรียนมัธยมอันดับหนึ่งแห่งเมืองจงหยุน ถังเซียวหยู ซือหยา และคนอื่นๆต่างมานั่งล้อมวงหน้าคอมกัน


 


“อาปิน มาดูนี่เร็ว ซูจิ้งจะสตรีมอีกแล้ว” ในห้องๆหนึ่ง เทียนซีได้ตระโกนออกมา


 


“หมอนี่จะทำอะไรอีกเนี่ย” ติงปิน​พูดออกมาในขณะที่เดินมาเพื่อดูการสตรีม


 


ในเวลาเดียวกันนั้น คุณครูและนักเรียนของโรงเรียนสอนร้องเพลงทะเลคราม อย่างเช่น กู่เยว่ กู่หยุน หลี่ซวน ดาราบางคนอย่างเล่าชง กัวไปถิ้ง หลินฉีหยู่ ฉินซูหลาน นักเรียนอย่าง จูเจียนหัว เป็งหมิง หลินฮัว เซี่ยวรุย ฉือเล่ย แฟนคลับอย่าง เต็งหมินถัง เต็งหมินจิ้ ปันเสวี่ย ล้วนแล้วแต่เฝ้ารอคอยอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ทั้งคนที่ว่างและไม่ว่างต่างก็ละทิ้งทุกอย่างเพื่อมานั่งเฝ้ารออยู่หน้าคอมพิวเตอร์


 


ในขณะนั้น ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มสตรีมไม่นาน


ได้มีข่าวหนึ่งโผล่ออกมาว่าฉิวหยุนจินได้ทวิสแค่ความและเขียนเพลงบรรเลงกู่เจิ้งไว้พร้อมติด@ซูจิ้งและเบ่ยเจี่ยฮัวเอาไว้


ทุกคนต่างรู้จักซูจิ้งดีแต่พวกเขาไม่รู้จักเบ่ยเจี่ยฮัว บางคนลองหาข้อมูลในเน็ตดูแล้วผมว่าคนๆนี้ก็มีความสามารถด้านกูเจิ้งเหมือนกัน


และเป็นที่รู้จักกันดีในวงการกู่เจิ้ง และถูกเชิญชวนให้เข้าร่วมในการแสดงงานดนตรีหลายครั้งหลายครา แถมยังได้รับคำชมจากคุณมู่หรงที่ยกย่องให้เขาเป็นหนึ่งในสามของนักกู่เจิ้ง “เสียงธรรมชาติ”


 


ทุกคนต่างรู้ดีว่าคุณมู่หรงเป็นนักแต่งเพลงชั้นยอดที่เคยมอบกู่เจิ้งให้อัจฉริยะแต่สามคนเท่านั้น


เขานั้นมอบมันให้แก่ศิษย์ของเขา และคนที่ได้รับกู่เจิ้งของเขาไปล้วนไม่มีใครไม่ยอมรับความสามารถของคนพวกนี้


เขานั้นถือได้ว่าเป็นจักรพรรดิแห่งวงการกู่เจิ้งซึ่งแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในสาม “เสียงธรรมชาติ” ทำให้สถานะของเขาในวงการกู่เจิ้งไม่ธรรมดา


จนกระทั่งทำให้ฉิวหยุนจินอ้างเป็นศิษย์ของมู่หรง มาในตอนงานวันเกิดของมู่หรงเซียนเอ๋อ แถมยังกล้ามาท้าทายซูจิ้งซึ่งหน้าๆแบบนี้อีก


แต่คุณมู่หรงเองยังไม่ได้ยอมรับ เขาจึงได้ท้าทายซูจิ้งอีกครั้ง และถือโอกาสท้าทายเบ่ยเจี่ยเฮาไปด้วยเลย


 


เพลงใหม่ของฉิวหยุนจินมีชื่อว่า เพื่อน ซึ่งมันได้ส่งผลต่อจิตใจของมุ่หรง เพราะว่าตอนนี้มันเหมือนเป็นวันครบรอบ 50 ปี ที่คุณมู่หรงได้รู้จักกับเพื่อนเก่าที่ซื่อว่า ซี่ ในอีกไม่กี่วันนี้


พวกเขาต่างก็สนใจในกู่เจิ้งเหมือนกันจนสามารถพูดได้เลยว่าเป็นเพื่อนแท้สำหรับในเรื่องกู่เจิ้ง


ผลงานเพลงชิ้นนี้บรรเลงได้ดี ท่วงทำนองก็ดี และแนวคิดก็ดี แค่ปล่อยออกมาไม่นานก็มีคนกล่าวถึงแล้ว


รวมถึงคนที่ไม่ชอบขี้หน้าซูจิ้งต่างก็ไปอวยเพลงนี้อย่างกับราวเป็นเพลงแห่งสรวงสวรรค์ พร้อมสำทับมาว่าเมื่อเพลงนี้ออกมาผมงานเพลงก่อนหน้านี้ของซูจิ้งด้อยค่าไปเลย


ซึ่งแน่นอนว่าแฟนคลับของซูจิ้งนั้นทนไม่ได้จนต้องตอบโต้กลับไป(ในโลกอินเตอร์เน็ต) จนมีหลายคนอยากให้ซูจิ้งเล่นแพลงที่มีท่วงทำนองคล้ายๆกันจะได้ดีเท่าฉิวหยุนจินเลยด้วยซ้ำ


 


“คุณซู เรามาเล่นเพลงของพวกเราอย่าไปสนชาวเน็ตคอมเม้นดีกว่านะครับ” ผู้จัดการหวังพูดในขณะที่กำลังอ่านค้อมเม้นต์แบบเซ็ง


 


“ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรหรอกน่า เอาจริงๆเพลงที่ผมเตรียมมาก็มีส่วนคล้ายอยู่นะ แค่เปลี่ยนลำดับขั้นการบรรเลงนิดหน่อยแค่นั้นเอง เอาหล่ะใกล้ได้เวลาแล้วเรามาเริ่มกันดีกว่า” ซูจิ้งยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมแตะไปที่กู่เจิ้งของเขาที่วางอยู่บนโต๊ะ

 

 

 


ตอนที่ 718

 

ความสนิทสนม

บทเพลง “เสียงเพรียกถึงเพื่อนเก่า”  ชายแก่สองคนได้นั่งดื่มชาในขณะฟังเพลงนี้ไปด้วยกัน หนึ่งคือมู่หรงฉิน หนึ่งคือผู้เฒ่าซี่ พวกเขาวางคอมพิวเตอร์ไว้ข้างๆเพื่อที่จะมีดูการสตรีมของซูจิ้งที่เว็บกรีนเปปเปอร์ ในขณะที่ผู้เฒ่าซี่นั้นได้เปิดเพลงเสียงเพรียกถึงเพื่อนเก่าให้มู่หรงฉินฟัง


 


“ฮ่าฮ่า ความสามารถของเด็กนี่ถือว่าใช้ได้ แต่จิตใจแข็งกระด้าง ยากที่จะสอนสั่งได้จริงๆ” มู่หรงฉินพูดพร้อมรอยยิ้มแหยๆ


 


“ไม่รู้ว่าซูจิ้งจะยอมประลองกับเขาหรือเปล่านะ” ผู้เฒ่าซี่ยิ้มขณะพูดเหมือนอยากเห็นการประลอง


 


“หยุดพูดได้แล้วน่า สตรีมเริ่มแล้ว” มู่หรงฉินสายตาเป็นประกายในทันทีเมื่อเห็นจอคอมเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ผู้เฒ่าซี่เองก็ได้หันไปดูด้วยเช่นกัน


 


พวกเขาเห็นภาพที่กำลังสตรีมอยู่ตอนนี้เปลี่ยนไป โดยมีคนๆหนึ่งได้ออกมากล่าวแนะนำว่าที่นี่คือห้องของซูจิ้ง


แล้วซูจิ้งก็เข้ามาในหน้าจอซึ่งนั่นเรียกเสียงฮือฮาจากผู้รับชมจนบางคนให้ของขวัญผ่านช่องทางของเว็บโดยที่ซูจิ้งยังไม่ได้ทำอะไรเลย


 


“ลูกพี่จิ้งรีบเล่นเพลงใหม่เร็วเข้า ฉันรอต่อไปไม่ไหวแล้ว”


 


“รีบเล่นเพลงเสียงเพรียกถึงเพื่อนเก่าเร็วเข้า ฆ่าฉิวหยุนจินไปเลยจะได้ดีดดิ้นโวยวายเข้าไปอีก”


 


“ไม่ว่าจะเล่นเพลงอะไรก็รีบเถอะ ผมรอจนดอกไม้จนเฉาหมดแล้ว”


 


ซูจิ้งมองไม่ที่ข้อความแชทที่ขึ้นนมาที่จอ คนพวกนี้บางคนน่าจะเป็นแฟนคลับของเขา เขารู้สึกคุ้นๆชื่อกับภาพแสดงอยู่บ้าง


 


เขาเห็นดังนั้นจึงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ได้งั้นผมจะไม่พูดมากความหล่ะนะ ผมขอมอบบทเพลงนี้ให้คุณมู่หรงและคุณซี่”


 


หลังจากได้ยินดังนั้น ทุกคนที่ได้ยินต่างคิดว่าเขาจะเล่นเพลงเสียงเพรียกถึงเพื่อนเก่าจริงๆ ซูจิ้งยอมรับคำท้าประลองจากฉิวหยุนจินงั้นหรอ เหล่าแฟนคลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


 


ฉิวหยุนจินที่กำลังดูการสตรีมอยู่ก็ได้สบถออกมา เขาคิดไปว่าถ้าซูจิ้งเลือกที่จะเล่นเพลงที่เขาเตรียมไว้ตอนแรกก็คงจะพอเทียบเคียงกับเขาได้ แต่ถ้าซูจิ้งเลือกที่จะเล่นเพลงเสียงเพรียกถึงเพื่อนเก่าในแบบฉบับของซูจิ้งเอง ไม่มีทางที่จะดีเท่าเพลงที่เขาบรรเลงไว้อย่างแน่นอน อย่างมากก็คงแค่เทียบเคียงได้เท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพร้อมถอนหายใจออกมาอย่างดูถูก


 


ในตอนนั้น มือของซูจิ้งได้วางลงบนกู่เจิ้ง พร้อมดีดกู่เจิ้งสองเส้นเสียงที่ออกมาราวกับเสียงน้ำไหลที่แสนนุ่มนวล


หลังจากนั้นเสียงดีดอันหนักแน่นได้บรรเลงออกมาให้ความรู้สึกประดุจดั่งยอดเขาที่ค่อยๆพุ่งสูงตั้งตระหง่านสูงเทียบฟ้าตามกาลเวลารายล้อมไปด้วยหมู่เมฆทำให้คนที่ฟังรู้สึกตัวเองกำลังล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า


หลังจากนั้นท่วงทำนองได้เปลี่ยนไปดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ให้ความรู้สึกเย็นสบายเหมือนดั่งมีน้ำไหลเทออกมาจากหมู่เมฆลงไปบนยอดเขา


 


เว่ยเสี่ยวหยวน หลิวฉิง ผู้จัดการหวัง และคนอื่นๆที่กำลังฟังเพลงผ่านการสตรีมได้รู้สึกดำดิ่งไปตามท่วงทำนองแห่งเพลง พวกเขาได้นึกภาพตามท่วงทำนองแห่งเพลงแต่ละช่วงได้อย่างชัดเจน


บินไปบนยอดเขา ไหลลงไปบนภูเขาไล่ไปตามลำธารลงสู่แม่น้ำ


ให้รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาอยู่ในสายน้ำจนเปียกปอนจริงๆ จนเหมือนกับเปียกจนไปชำระล้างจิตใจได้เลย


 


ทันใดนั้นทุกคนที่ได้ยินต่างนึกถึงความทรงจำมากมาย


 


ความทรงจำของเพื่อนสนิทสมัยเด็ก ความทรงจำของเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต เพื่อรู้จักกันทุกอย่างเหมือนกับแค่มองตาก็รู้ใจ เพื่อนที่มีความรู้สึกดีๆร่วมกัน


 


ถ้าจะให้บอกว่าเพลงเสียงเพรียกถึงเพื่อนสนิทเป็นการบรรเลงถึงเพื่อนสนิทแล้วละก็ ความรู้สึกที่ได้ก็ช่างผิวเผินอย่างมาก


แต่กับเพลงของซูจิ้งให้ความรู้สึกเหมือนใช้เท้าเตะไปที่จิตใจเพื่อเรียกให้ความทรงจำดีๆเหล่านี้ผุดขึ้นมา


บอกได้เลยว่าเทียบกันไม่ติดเลยซักนิด


 


สักพักใหญ่เสียงบรรเลงกู่จิ้งก็ค่อยๆเบาลงแต่มันไม่ใช่แค่การบรรเลง ความเงียบนี้ยังลามไปถึงผู้ที่กำลังดูการสตรีมทั้งหมดด้วย หลังจากนั้นสักพัก ช่องแชตได้เด้งกันขึ้นมารัวๆ


 


ใบหน้าของมู่หรงฉินและผู้เฒ่าซี่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจพร้อมทั้งหลั่งน้ำตาออกมา เพลงของซูจิ้งนั้นได้ส่งไปถึงจิตใจของคนทั้งสอง


พวกเขานั้นคาดหวังในตัวของซูจิ้งมาตั้งนานแล้วแต่พวกเขาไม่คิดว่าจะมาได้ไกลถึงขนาดนี้


 


“เจ้าหนูนี่ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” ผู้เฒ่าซี่ถอนหายใจ


 


“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้อวยเขาเกินไป ซูจิ้งมีความสามารถเป็นถึงขั้นจักรพรรดิแห่งกู่เจิ้งได้เลย ความสามารถของเขาไร้ขีดจำกัดจริงๆ” มู่หรงฉินได้พูดสำทับออกมา เขานั้นผมเจอการบรรเลงกู่เจิ้งมาหลากหลายรูปแบบในช่วงชีวิตของเขา แต่ไม่เคยมีใครเที่ยบเคียงเขาได้นอกจากกู่เจิ้งที่ดูเหมือนกำลังจะไล่เขาทัน


 


“สุดยอด คุณปู่ต้องหลงรักเพลงนี้แน่เลย” มู่หรงเซียนเอ๋อดีใจมากจนเหมือนเล่นออกมาเอง


 


“ดูเหมือนฝึมือกู่เจิ้งของเขาจะเพิ่มขึ้นนะเนี่ย” นาลันเฟยมีท่าทีตกตะลึงในขณะที่พูดออกมา


 


“ดีมาก ดีจริงๆ” กู่เยว่พูดชมออกมาไม่หยุดปาก พร้อมทั้งตบไปที่ต้นขาของเขาทำให้กู่หยุนและหลี่ซวนต้องดีใจจนน้ำตาไหล


มันเป็นภาพที่หาดูได้ยากที่จะทำให้เขาแสดงท่าทีแบบนี้ออก และแน่นอนว่าพวกเธอเองก็ดีใจไม่แพ้กัน


ถึงแม้พวกเขาจะได้ยินเพลงใหม่ของซูจิ้งมาหลายครั้งแล้วแต่ในทุกๆครั้งก็ยังตกตะลึงในทุกๆครั้งที่ได้ยิน นั่นก็เพราะความสามารถของซูจิ้งดีขึ้นเรื่อยๆทุกครั้งที่เล่น


 


บรรยากาศในห้องสตรีมตอนนี้อยู่สภาพตกตะลึง ไม่ว่าคนคนๆนั้นจะเข้าใจในการบรรเลงกู่เจิ้งดีหรือไม่


แต่คนต่างก็ตกตะลึงในเวลาเดียวกัน นั่นก็เพราะพวกเขาได้ล่องลอยไปตามท่วงทำนองเช่นเดียวกับคนอื่นๆ


แฟนคลับของซูจิ้งเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่ได้ยินเพลงนี้ เพราะแค่เพลงนี้บรรเลงออกมา


เหล่าข้อความที่ถูกส่งมาดูถูกดูแคลนซูจิ้งก่อนหน้า คนที่พิมข้อความพวกนั้นไม่มีใครกล้าพิมอะไรออกมาอีกราวกับได้หายวับไปจากที่นี่แล้ว ถ้าใครยังกล้าพิมบอกได้เลยว่าสิ้นคิดอย่างแรงกล้า


 


“พี่จิ้งเพลงนี้ดีมากๆเลย เพลงนี้ชื่อว่าอะไรเหรอ”


 


“ฉันร้องไห้ออกมาเลย ฉันจะฟังมันอีกแน่นอน”


 


“ทำไมฉิวหยุนจินหายไปซะหล่ะ ฟังเพลงของพี่จิ้งแล้วเป็นยังไงบ้าง นายควรจะรู้ตัวแล้วนะว่าอะไรคือเพลงเพรียกหาเพื่อนเก่าที่แท้จริง อะไรคือเพลงที่ส่งไปได้ถึงจิตวิญญาณ อะไรคือการต่อสู้ในบทเพลงที่แท้จริง ไม่ใช่เพลงเหยาะแหยะแบบนั้นแน่นอน”


 


“อย่าไปเทียมกับเพลงเพรียกหาอะไรนั่นเลยน่า เทียบกันไม่ได้อยู่แล้ว”


 


“นี่สินะคนละระดับชั้น”


 


ถ้าเอาเพลงเสียงเพรียกถึงเพื่อนเก่าของฉิวหยุนจินเป็นบรรทัดฐานการประเมินหล่ะก็


ตอนแรกก็ฟังดูดีอยู่บ้าง แต่หลังจากที่ฟังเพลงของซูจิ้งไปแล้วบอกได้เลยว่าอย่าไปฟังเพลงของฉิวหยุนจินเลยดีกว่า


มันให้ความรู้สึกเหมือนจานสวยๆที่เอาไว้ใส่อาหารอร่อยๆที่มันดูดีแต่ก็กินไม่ได้


 


หลังจากฉิวหยุนจินอ่านคอมเม้นต์ของชาวเน็ตแล้วเขาได้เขวี้ยงเม้าคอมพิวเตอร์ทิ้งอย่างโกรธสุดๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ไม่ใช่คอมเม้นต์ของชาวเน็ตแต่เป็นตัวเขาเอง เขานั้นได้ฟังเพลงของซูจิ้งและได้จมดิ่งไปกับท่วงทำนองนั้นจริงๆทำให้เขานั้นยอมรับไม่ได้


 


หลังจากซูจิ้งอ่านคอมเม้นต์แล้วเขาก็ได้บอกไปว่าเพลงนี้มีชื่อว่า “ภูผาสูงและน้ำที่ไหลริน” ถึงเพลงนี้จะเลียนแบบขึ้นมาแต่ดูเหมือนทุกคนจะชอบกันนะ


 


ซูจิ้งในตอนนี้ไม่ได้เขินอายอีกต่อไปที่จะพูดว่าเขานั้นเล่นเพลงของคนอื่น เพลง”ภูผาและสายน้ำไหลริน”นี้เป็นบทเพลงของเอี้ยหยินจู มันเป็นเพลงที่ทรงพลังเพลงหนึ่ง


บทเพลงนี้จะทำให้เหล่าศัตรูอ่อนแรงและเพิ่มกำลังใจให้กับเพื่อนร่วมรบ อันที่จริงเพลงต้นฉบับนั้นบรรเลงได้ยากมากๆ


ต่อให้เป็นในอนาคตอันใกล้นี้ซูจิ้งก็ยังเชื่อว่าเขายังไม่สามารถที่จะแสดงพลังที่แท้จริงของบทเพลงออกมาได้


นั่นก็เพราะว่าทักษะด้านกู่เจิ้งของเขายังอ่อนแอเกินไปแถมยังไม่ค่อยพัฒนาอีกด้วย


อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับเพลงของโลกมนุษย์แล้วยังดีกว่าหลายขุมเลยก็ว่าได้


 


ทุกคนที่กำลังดูการสตรีมนี้ต่างจดจำชื่อ “ภูผาและสายน้ำไหลริน” นี้ไว้ในใจ ตอนนี้ไม่มีใครคิดว่าเป็นเพลงเลียนแบบคนอื่นมาอีกต่อไป แต่คิดว่าเป็นเพลงของซูจิ้งแท้ๆไปแล้ว เหล่าแฟนคลับต่างชื่นชอบจนต้องวนกลับไปฟังอีกรอบ ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้มีรางวัลส่งมาตามช่องทางข้อความสตรีมกระหน่ำจนข้อความเริ่มกระตุกไปแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 719

 

มาเพื่อต่อยตี

ตอนนี้ฉิวหยุนจินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันทันทีเมื่อเห็นความร้อนแรงในการสตรีมของซูจิ้ง ส่วนอีกคนที่ฉิวหยุนจินได้ท้าทายไว้นั่นก็คือเบ่ยเจี่ยฮัวได้ออกมาเคลื่อนไหวแล้วโดยเขาได้ส่งข้อความในไมโครบลอกว่า


“ผมเพิ่งจะได้ฟังเพลงยอดภูผาและสายน้ำที่ไหลรินไป ทำให้ตอนนี้ผมปลื้มพี่ซูมากเลย ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมปู่มู่หรงและน้องมู่หรงถึงปลื้มพี่ขนาดนั้น


ผมเองก็ได้เตรียมเพลงไว้ชิ้นหนึ่งเหมือนกัน มันเป็นเพลงที่ผมแต่งกับอาจารย์มาในการนี้โดยเฉพาะเพื่อจะประลองกับศิษย์ผู้พี่ของผม


แต่ทันทีที่ได้ฟังเพลงของพี่ซูแล้วผมเลยว่าจะเปลี่ยนท่วงทำนองนิดหน่อยเพื่อให้เหมาะสมกับการประลองนี้ ถึงแม้จะสู้ไม่ได้แต่ผมก็ของลองเล่นดูหน่อยก็แล้วกัน”


 


ชาวเน็ตในตอนนี้เมื่อได้เห็นข้อความรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ช่างเป็นวันที่ดีต่อวงการดนตรีจริงๆ


 


“เฮ้ เบ่ยเจี่ยฮัวออกมาแล้วล่ะ”


 


“นี่ถึงกับข้ามหัวฉิวหยุนจินมาท้าซูจิ้งเลยแหะ”


 


“นั่นก็หมายความว่าในฉิวหยุนจินไม่คุณสมบัติพอสินะ”


 


ไบ่เจียเฮาอธิบายเพียงว่า “ตอนนี้ผมแค่ต้องการเปรียบฝีมือกับพี่ซูจิ้งเท่านั้น และไม่สนใจสิ่งรบกวนใดๆ แต่ให้พูดอีกอย่างก็คือผมนั้นขอท้าประลองกับพี่ซูจิ้งก่อน ส่วนคนอื่นค่อยว่ากันอีกที”


 


เมื่อฉิวหยุนจินได้ยินดังนั้นเขาแทบจะกระอักเลือดออกมาทางปาก เบ่ยเจี่ยฮัวไม่ได้ใสใจเขาเลยซักนิดตอนนี้ในใจเขารู้สึกรังเกียจทั้งสองเป็นอย่างมาก


 


ชาวเน็ตเองในตอนนี้เต็มไปด้วยความสุขอย่างมาก คนที่ดูการสตรีมไม่น้อยที่เฝ้าคอยฟังเพลงของเบ่ยเจี่ยฮัวอย่างคาดหวัง


โดยตอนนี้กลายเป็นว่าเหล่าคนที่เฝ้าดูการสตรีมของซูจิ้งได้เปิดช่องของเบ่ยเจี่ยฮัวขึ้นมาอีกห้องหนึ่งเพื่อเฝ้าดูการสตรีมของเขาเช่นกัน


แม้แต่ซูจิ้งเองก็ยังเปิดขึ้นมาดู เจ้าหนุ่มคนที่มาท้าเขาสู้คนนี้มีฝีมือดีไม่ใช่น้อยและยังมีแววพัฒนาต่อไปได้ ยิ่งถ้าได้คุณมู่หรงและเทียนเล่ยเป็นอาจารย์ล่ะก็ยังพัฒนาได้อีกไกล สำหรับในด้านกู่จิ้งแล้วคนๆนี้มีค่าพอจะประลองฝีมือกับเขาได้


 


บทเพลงที่เบ่ยเจี่ยฮัวบรรเลงออกมานั้นถือได้ว่าดีมาก ถึงจะดีไม่เท่าของซูจิ้งแต่ก็ยังดีกว่าของฉิวหยุนจิน ความรู้สึกจากเพลงของเบ่ยเจี่ยฮัวให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งดื่มชากับเพื่อนเก่า


รู้สึกได้ถึงชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งไปเลยทำให้เกิดความรู้สึกสงบสุขทางใจ เหมือนได้อาบแสงสวรรค์ก็ไม่ปราน ถึงแม้จะไม่ได้ดีมากแต่ก็ยังถือได้ว่าฟังแล้วรู้สึกผ่อนคลาย ถ้าให้เทียบเพลงทั้งสามเข้าด้วยกันแล้ว


บทเพลงของฉิวหยุนจินั้นดูดีกว่าก็จริง แต่การบรรเลงกับด้ายกว่ามากเพราะการบรรเลงของเบ่ยเจี่ยฮัวให้ความรู้สึกสบายและสงบสุขทางใจ


 


มีคนบางส่วนได้ค้นหาประวัติของเบ่ยเจี่ยฮัวแล้วพบว่าเขานั้นได้เติบโตในครอบครัวที่มีชื่อเสียง เขานั้นได้รับอิทธิพลมาจากพ่อที่นับถือนิกายเซ็นและชอบสวดมนต์บูชาพระพุทธเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก


แน่นอนว่าการทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องโง่ๆอย่างที่คนทั่วไปคิดกัน เขานั้นไม่ได้แค่สักแต่จะกราบไหว้บูชาเคารพไปตามธรรมเนียม แต่เขานั้นใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องมือในการฝึกตนของเขา


สิ่งนี้ช่วยส่งเสริมให้ตัวเขานั้นไม่สนใจในชื่อเสียง ลาภ ยศ เกียรติยศ เงิน ทองต่างๆ ถึงขนาดที่ว่าแฟนคลับของเขาบางคนออกมากร่นด่าเพราะไม่ได้ฟังผลงานจนจะแห้งตายกันไปเลย


โดยมีอยู่ครั้งหนึ่งได้มีแฟนคลับคนหนึ่งอดรนทนไม่ไหวแอบตามเขาไป จนกระทั่งเขาถึงตัวเขาได้และหาเรื่องเขาอย่างบ้าคลั่งอาละวาทใส่จนเขาหัวล้างค่างแตกเพราะเขาไม่ยอมมีผลงานใหม่ๆออกมาซักที


แต่เขาเพียงแค่พูดปลอบประโลมแฟนคลับคนนั้นด้วยคำพูด และสอนวิธีการคลายโทสะในใจ โดยไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่แฟนคลับคนนั้นทำกับเขาเลยซักนิด


 


หลังจากที่เพลงได้เล่นจนจบลง ชาวเน็ตได้กล่าวชมเชยเขาอย่างมาก


 


“ถึงแม้ไม่รู้ว่าทำไมฉันฟังแล้วรู้สึกได้ถึงศาสนาพุทธก็ไม่รู้นะ แต่ถึงเป็นอย่างนั้นฉันก็ยังว่าเป็นเพลงที่ดีอยู่ดี”


 


“ใช่แล้วหล่ะ ถึงแม้จะเทียบไม่ได้กับยอดภูผาและน้ำไหลรินของซูจิ้ง แต่ดีกว่าเสียงเพรียกถึงเพื่อนสนิทหลายขุมเลย”


 


“แถมยิ่งฟังแล้วยิ่งรู้สึกปลอดโปล่งจนอดไม่ได้ที่จะฟังซ้ำเลยนะ”


 


“คนคนนี้ไม่เพียงแค่เล่นกู่จิ้งได้ดี ยังมีแนวคิดในการดำเนินชีวิตที่ดี ไม่เลวเลยแหะ”


 


ทันทีที่เล่นจบเบ่ยเจี่ยฮัวได้กล่าวออกมาว่า “ขอบคุณที่รับฟังครับ”


 


“ฮ่าฮ่า เด็กคนนี้มีความสามารถจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นคนติดดินมากๆ เขามีความรู้สึกมุ่งมั่นจนสามารถที่จะส่งความรู้สึกนั้นมาให้ฉันอย่างง่ายดายเลย เขามุ่งมั่นถึงขนาดที่ว่าเอาไฟไปเผาคิ้วของเขาเขาก็ยังไม่มีท่าทีอะไรเลยทีเดียว” มู่หรงฉินพูดด้วยรอยยิ้มออกมา


 


“เด็กนี่มีพัฒนาที่ดีแต่ถึงขั้นกล้าท้าทายอาจิ้งช่างเป็นเด็กที่กล้าเหลือเกิน” มู่หรงเซียนเอ๋อยิ้มออกมา


 


หลังจากฟังเพลงจบแล้ว ซูจิ้งได้ถามออกมาในห้องสตรีมว่า “เพลงที่น้องชายเล่นนับว่าดีมากเลยนะ ฉันชอบมากเลย แถมยังรู้สึกว่ามีอีกหลายๆคนที่ชอบเพลงนี้เหมือนกัน ว่าแต่เพลงนี้ชื่อเพลงอะไรหล่ะ”


“ยังไม่ได้ตั้งชื่อครับ” ในช่องคอมเม้นต์มีคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่าเบ่ยเจี่ยฮัวได้พิมตอบกลับมา


 


“คุณซูครับ คนนี้คือเบ่ยเจี่ยฮัวจริงๆพวกเราตรวจสอบแล้ว” ผู้จัดการหวังรีบดำเนินการทันทีที่เห็นโดยไม่ต้องรอให้ใครบอกทัก


ส่วนหนึ่งมาจากตอนนี้เขากำลังรู้สึกตื่นเต้นมากในการจัดการสตรีมนี้ทำให้เขาตื่นตัวเป็นพิเศษ


นี่ขนาดเพิ่งจะสตรีมไปได้ไม่เท่าไหร่แต่คนดูกลับล้นหลามมากมายขนาดนี้แถมยังพุ่งขึ้นไม่หยุดด้วย โดยตอนนี้คนเข้ามาดูแตะขอบอยู่ที่ห้าแสนคนแล้ว


ถึงแม้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างเรื่องของฉิวหยุนจินและเบ่ยเจี่ยฮัวแต่นั่นยิ่งทำให้เรตติ้งพรุ่งขึ้นสูงไปอีก ใครจะไปคิดว่าคนระดับนี้จะมาสู้กันได้ง่ายๆอย่างนี้ ช่างหาดูได้อยากจริงๆ


 


“ถ้างั้นก็ตั้งชื่อเพลงมาซะ ฉันไม่ต้องการประมือกับบทเพลงไร้ชื่อหรอกนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งดื่มน้ำเพื่อเตรียมพร้อมบรรเลงเพลงต่อ


 


เมื่อได้ยินดังนั้นทุกคนในห้องต่างรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแบบออกนอกหน้า นี่พวกเขาจะได้มีโอกาสได้เห็นซูจิ้งเล่นเพลงต่ออีกหรอเนี่ย


ทันใดนั้นเบ่ยเจี่ยฮัวได้ตอบกลับมาว่า “ดีงั้นผมขอตั้งชื่อว่า “สวัสดีลูกพี่เรามาตีกันดีกว่า” ก็ละกัน”


เห็นดังนั้นซูจิ้งแทบจะพ่นน้ำออกมาทันที บรรยากาศโดยรอบตอนนี้บอกได้เลยว่าหัวเราะกันลั่นห้องเลยทีเดียว เบ่ยเจี่ยฮัวตอบกลับมาแบบนี้เหมือนกับเขาขี้เกียจจะตั้งชื่ออย่างไงอย่างนั้น


ต่อให้เขาตั้งใจจริงๆแต่ชื่อชวนท้าตีท้าต่อยแบบนี้ช่างขัดกับท่วงทำนองที่พาเข้าไปฝักใฝ่ในรสพระธรรมจนทำซูจิ้งแทบจะพูดอะไรไม่ออก


 


“ไอ้หนุ่ม อันนี้นายยวนฉันเล่นใช่รึเปล่าเนี่ย” ซูจิ้งส่ายหัวทันทีพลางยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า


 


“ก็ได้ ถ้าถึงขนาดนายยอมตั้งชื่อชวนตีแบบนี้ให้กับเพลงที่ดีขนาดนี้ ฉันก็จะประลองกับนาย เพลงที่นายบรรเลงนี่ให้ความรู้สึกลึกซึ้งในรสพระธรรมและความสงบนิกายเซนสินะ ฉันเองก็จะลองดูซักตั้ง”


 


“รอฟังอยู่นี่แหล่ะ” เบ่ยเจี่ยฮัวพิมข้อความตอบแบบเนิบๆแต่ใส่ไอคอนแสดงความรู้สึกตื่นเต้นเข้าไปด้วย


ตอนนี้เหล่าคนที่กำลังดูการสตรีมต่างเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อ ต่อก็มีบางส่วนส่งข้อความโต้ตอบกันว่า


 


“ซูจิ้งเคยเล่นเพลงแนวนั้นด้วยหรอ”


 


“คิดว่าไม่เคยนะ ดูเหมือนจะไม่ใช่แนวที่ชอบด้วย”


 


“ไม่ว่าจะเป็นแนวไหน พี่จิ้งต้องเล่นได้ดีอยู่แล้ว รอฟังกันดีกว่า”


 


ซูจิ้งยกมือไปแตะที่สายกู่จิ้ง เมื่อเขาดึงสายไปหนึ่งทีแล้วเขาก็หยุดไปชั่วขณะหนึ่งพลางนึกได้ในทันที่ว่าเพลงแนวนี้เหมาะที่จะนำพลังจากตราเทวฑูตมาใช้ที่สุดแล้ว เขาใช้พลังจิตเข้าไปสัมผัสเหรียญตราเทวฑูตพร้อมทั้งให้มันแสดงพลังออกมาทันที ถึงแม้ปกติตอนใช้งานเหรียญตราจะส่องแสงจ้า แต่ถ้าแค่ใช้งานเพิ่มเสริมพลังศรัทธาจะไม่ส่องแสงจ้าจนเป็นที่สังเกตุได้ง่าย


 


ซูจิ้งค่อยๆสั่งให้เหรียญตราเทวทูตแสดงพลังออกมาทีละน้อย และค่อยๆให้เสาร์แสงปล่อยออกมา คนส่วนใหญ่ที่เห็นต่างเริ่มรู้สึกว่าบรรยากาศรอบตัวซูจิ้งเปลี่ยนแปลงไป ทันใดนั้นซูจิ้งได้วางมือบนสวยและดีดขึ้นมาอีกครั้ง คราวหน้าท่วงทำนองให้ความรู้สึกถึงความสวยงาม อบอุ่น เย้ายวน แทบจะบอกได้ว่าเข้าไปจับใจลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณของผู้คนในทันที

 

 

 


ตอนที่ 720

 

ลำนำแห่งพระเจ้า (1)

เสียงของกู่จิ้งค่อยๆกระจายออกไปจากการดีดอย่างช้าในโทนเสียงที่ทุ่มต่ำแทบจะขีดสุดที่มนุษย์จะได้ยินประดุจดั่งเสียงร้องแห่งพระเจ้า สร้างความรูสึกน่าหลงไหลแก่ทั่วทุกคนที่ได้ยินเสียงนี้ จิตใจของทุกคนที่ได้ยินเหมือนดั่งได้อาบด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์จนชำระล้างจิตใจสู่ความสุขสงบ


 


“ปึ้ก ปึ้ก” หลิวฉิง ผู้จัดการหวัง และคนอื่นๆโดยรอบต่างคุกเข่าลงโดยหันไปทางที่ซูจิ้งอยู่ มือของพวกเขาประกบมาไว้ละยื่นไปห่างหน้าเพียงเล็กน้อยประหนึ่งดังพวกเขากำลังทำความเคารพบูชาเทพเจ้าด้วยการไหว้


 


ถึงแม้คนที่กำลังดูการสตรีมอยู่นั้นจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่ากับคนที่อยู่ในห้องของซูจิ้ง


แต่ก็ยังมีหลายๆคนได้คุกเข่าลงต่อหน้าคอมพิวเตอร์ที่ใช้เปิดสตรีมอยู่ พวกเขาทำไปโดยไม่รู้ตัวเหมือนกับร่างกายและจิตใจของเขากำลังได้รับการชำระล้าง


 


ในหอพัก ณ ห้องๆหนึ่งที่มีรูมเมตด้วยกันสี่คนที่กำลังเล่นเกมกันอยู่ อยู่ๆหนึ่งในนั้นก็ได้ทรุดลงไปคุกเข่าลงกับพื้น


คนอื่นๆที่เห็นก็แซวออกมาว่า “เฮ้เจ้าสามถึงแม้นายจะกำลังดูท่านเทพ(ซูจิ้ง)สตรีมอยู่ก็ไม่เห็นต้องลงไปคุกเข่าเคารพจริงๆเลยนี่นา” ถึงเขาจะพูดไปดังนั้นแต่เขาก็เห็นเพื่อนไม่สนใจ


เขาคิดว่าเป็นเพราะเขาเสียบหูฟังอยู่จึงได้แกล้งดึงที่เสียบออกจากเครื่องคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้นเขาและเพื่อนอีกสองคนได้ทรุดลงไปคุกเข่าในสภาพที่ไม่ต่างกันแทบจะในทันทีที่ได้ยินเสียงกู่จิ้ง


 


ในรถบัสคันหนึ่ง มีเด็กผุ้ชายคนหนึ่งในขณะที่เขากำลังโหนรถอยู่นั้นอยู่ๆ เขาก็ทรุดลงไปกับพื้นในท่าคุกเข่าพร้อมประกบมือต่อหน้ามือถือที่เขากำลังเสียบหูฟังรับฟังการสตรีมอยู่ เพื่อนเขาที่เห็นในต่างแรกก็นึกว่าเขาเป็นลมเลยทรุดลงไปเลยพยายามที่จะพยุง


แต่เขาพยามพยุงขึ้นมาแล้วแต่เขาไม่ขยับตัวเลยซักนิด เมื่อเขาสังเกตดูดีๆแล้วเห็นว่าเพื่อนของเขากำลังคุกเข่าเคารพบูชามือถืออยู่ แถมเห็นคนอื่นที่หันมามุงอย่างสนใจเขาเลยตัดสินใจว่าจะทำเป็นว่าไม่รู้จักแล้วยืนสังเกตุการณ์แทน


เหตุผลที่คนเหล่านี้ไม่ทำตามเป็นเพียงเพราะเด็กคนนี้ใช้หูฟังเสียบเอาไว้ ไม่งั้นพวกเขาก็คงทำไม่ต่างกัน


 


ในคาเฟ่ห้องหนึ่งมีคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังทะเลาะกัน พวกเขาในตอนนี้ต่างคนต่างเล่นมือถือของตัวเองเหมือนกำลังทำสงครามประสาทกันอยู่


ทันใดนั้นเด็กหนุ่มได้ผลักเก้าอี้ออกและทรุดลงคุกเข่าลงบนพื้นโดยนำมือทั้งสองจับไว้ที่ขอบโต๊ะ


ทำให้แฟนของเขาตกใจขึ้นมาทันทีเธอตกใจมากเมื่อเห็นพร้อมร้อนลนพูดออกมาว่า “ถึงเราจะโกรธกันแต่ให้เวลาฉันเตรียมตัวหน่อยสิ จะให้ฉันสัญญากับนายก่อนก็ได้ ไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลย”


หลังจากเธอพูดออกแบบนั้นแต่พอผ่านไปซักพักเธอก็ยังไม่เห็นชายหนุ่มพูดอะไรออก


ทำให้เธองงไปในทันที แต่ทันทีที่เธอเริ่มสังเกตุเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่ได้มองเธอแต่กลับไปมองที่มือถือเธอเลยเริ่มโวยวายขึ้นมา


 


เหล่าผู้ที่กำลังรับชมการสตรีมนี้อยู่ทั่วทั้งโลกต่างประสบเหตุการณ์เดียวกันนั่นก็คือการทรุดลงไปคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมพนมมือคล้ายกำลังรับศีลล้างบาป สร้างความแตกตื่นตกใจให้กับผู้ที่พบเห็นโดยรอบ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ได้คุกเข่านั่นก็คือเหล่าผู้คนที่ค่อนข้างคุ้นเคยกับซูจิ้งมาในระดับหนึ่งแล้วอย่าง มู่หรงเซียนเอ๋อ นาลันเฟย กู่เย่ว กู่หยุน มู่หรงฉิน ซี่เหลา และคนอื่นๆ หรือก็คือเหล่าผู้คนที่คุ้นเคยกับเรื่องแปลกพิศดารที่ซูจิ้งเป็นต้นเหตุจนปลงตกเกี่ยวกับซูจิ้งได้แล้ว


 


ในขณะเดียวกันนั้นซูจิ้งก็รู้ได้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์(พลังวิญญาณ)ในร่างกายเขากำลังเพิ่มมากขึ้น


ห้วงทะเลวิญญาณของเขาขยายตัวออกในทุกทิศทาง รวมไปถึงเหรียญตราเทวฑูตที่มีพลังมากขึ้นและส่งผลไปเสริมความแข็งแกร่งของจิตใจของซูจิ้งโดยการปล่อยพลังแทรกซึมเข้าไปในสมองของเขา เหมือนกับไฟฉายที่กำลังส่องแสงตรงไปยังสมองของเขา


ตามปกตินั้นพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาจัดว่าเป็นพลังที่ได้รับการพัฒนาได้น้อยที่สุดเมื่อเทียบกับพลังอื่น


แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ในร่างเขาเพิ่มพูนจนแทบจะบอกได้ว่าพลังด้านอื่นของซูจิ้งไม่แข็งแกร่งเท่า


นี่ได้ทำให้ซูจิ้งมีความสุขและยินดีอย่างมากในการตัดสินใจใช้ประโยชน์ของเหรียญตราเทวฑูตอย่างเต็มประสิทธิภาพซักที


นอกจากนั้นบทเพลงที่เขาบรรเลงได้เกื้อหนุนพลังของตราเทวฑูตให้มีศัพยภาพสูงขึ้นไปอีก


 


ท่วงทำนองที่เขากำลังเล่นอยู่ตอนไม่ได้เล่นในท่วงทำนองปกติ


แต่เป็นการเล่นที่เสริมพลังศักดิ์เข้าไปทำให้ทุกคนต่างรู้สึกถึงพลังของเทพแฝงอยู่ทุกท่วงทำนองของกู่จิ้ง


จนทำให้เหล่าคนที่ฟังเชื่อว่าเป็นเทพเทวาที่กำลังเล่นกู่จิ้งอยู่


 


เหมือนกับตอนที่ผู้คนกราบไหว้ดวงจันทร์ยอมที่มันส่องแสงสีคราม(เทศกาลไหว้พระจันทร์) ในขณะที่ทุกคนในห้องของซูจิ้งคุกเข่าอยู่นั้นพวกเขาคาดเดาได้ทันทีเลยว่าคนที่กำลังฟังอยู่กำลังประสบเหตุการณ์แบบเดียวกัน ถึงมันอาจจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่แต่ซูจิ้งกำยังคงเล่นต่อไปเรื่อยๆ


 


ไม่นานนักประมาณสองนาที เสียงกู่จิ้งค่อยแผ่วเบาลงจนกระทั่งเงียบไป ผู้คนในห้องของซูจิ้งนิ่งอึ้งไปซักพักก่อนที่จะถยอยรู้สึกตัวและเริ่มลุกขึ้นมา พวกเขาในตอนนี้ต่างจ้องมองไปยังซูจิ้งราวกับเห็นผีอยู่ก็ไม่ปาน และหน้าของพวกเขาเริ่มแดงหลังจากนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น พระเจ้าพวกเขาจะทำยังไงต่อเนี่ย ทำไมพวกเขาถึงได้คุกเข่าให้กับซูจิ้งกัน


 


“พี่จิ้ง เพลงที่พี่เล่นนี่คือเพลงอะไรกันแน่ มันไม่ธรรมดาเลยซักนิด พี่ได้เตรียมเล่นมันเอาไว้แล้วใช่ไหมเนี่ย” หลิวฉิงรู้สึกสลดเล็กน้อยที่เขาต้องคุกเข่าให้คนอื่น แต่ก็ไม่ได้สลดมากมายอะไรเพราะคนที่เขาคุกเข่าให้เป็นซูจิ้ง แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่ามันดี


 


“ไม่ตลกเลยนะ” เว่ยเสี่ยวหยวนเองก็หน้าแดงเหมือนกันที่ต้องคุกเข่า


 


“….” ผู้จัดการหวังที่รู้สึกไม่ต่างกันก็พูดอะไรไม่ออก พวกเขานั้นไม่รู้จะจัดการกับความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้ยังไง ต่อให้มันดูขัดกับสามัญสำนึกที่ต้องคุกเข่าให้ใครซักคน


แต่การคุกเข่าให้กับซูจิ้งกับทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองได้รับการชำระบาปแถมยังทำให้จิตในสุขสงบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นี่พวกเขาเป็นพวกรสนิยมเอ็ม(S&M)กันงั้นหรอเนี่ย


 


เด็กในหอพักชายในตอนนี้พวกเขาได้กระแอมออกมาสองทีเพื่อแก้เขินกันเอง


เด็กชายในรถตู้ทันทีที่รู้ตัวว่าเขากำลังคุกเข่าอยู่เขารีบกดกริ่งแล้วรีบลงจากรถด้วยสีหน้าที่แดงไม่แพ้กัน เพื่อนของเขาเห็นดังนั้นจึงหัวเราะออกมาก่อนที่จะรีบตามลงไปจับตัวในทันทีกลัวว่าเด็กชายจะทำอะไรไม่คิดอีก


เด็กหนุ่มที่คุกเข่าอยู่ในร้านอาหารทันทีที่รู้สึกตัวเห็นแฟนเขาเตรียมตัวจะอาละวาดใส่


เขารีบพุ่งตรงไปคุกเข่าตรงหน้าเธอในทันทีพร้อมพูดออกมาอย่างเสียงดังว่า “เซี่ยวหนิงจ๋า ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรไปโกรธคุณเลย ให้อภัยผมเถอะนะคนดี”


 


ตอนนี้คนที่ต้องคุกเข่าในที่สาธารณะทุกคนนั้นต่างสาปแช่งซูจิ้งขึ้นมาทันที สำหรับคนที่ดูการสตรีมอยู่ที่บ้านพวกเขาไม่ได้ทำแบบนั้นแต่พวกเขาทำได้แค่อึ้งได้อย่างเดียว คล้ายกับคนที่ไม่ได้คุกเข่าแต่พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับงงจนเป็นไก่ตาแตก


 


“พระเจ้า เพลงอะไรกันเนี่ย” มู่หรงเซียนเอ๋อเองก็ตกใจไม่น้อยเหมือนกัน


 


“เพลงบ้าอะไรเนี่ย” ผุ้จัดการของเธอตกใจไม่น้อยไปกว่าเธอจนต้องสบถออกมา เพลงๆนี้ของซูจิ้งเหนือกว่าเพลงใดๆที่จะสามารถทำความเข้าใจได้(เหนือความคาดหมายกว่าเพลงทั่วไป)


ความจริงตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะติดต่อขอซื้อลิขสิทธิ์จากซูจิ้งสักเพลงก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มสตรีม


แต่หลังจากที่ฟังเธอได้โยนความคิดนี้ทิ้งไปทันที เพลงแบบนี้อย่าว่าแต่มู่หรงเซียนเอ๋อเลย ระดับปรมาจารย์จะเล่นได้รึเปล่าก็ยังไม่รู้ ซื้อมาก็เหมือนซื้อรถหรูมาจอดทิ้งขว้างเท่านั้นเอง


 


“นี่สินะมนต์เสน่แห่งเสียงเพลง” หลังจากได้ยินเพลงนี้แล้วนาลันเฟยรู้สึกได้เปิดหูเปิดตาเพลงขึ้นมาอีกหนึ่งอย่างเลยทีเดียว


 


“เพลงนี้สมควรเป็นเพลงที่คงอยู่ไปอีกนับพันปี” กู่เย่วและกู่หยุนพูดออกมาด้วยความประหลาดใจและตื่นเต้น ช่างเป็นท่วงทำนองที่ดูเก่าแก่และศักดิ์สิทธิ์ จนทำให้ทรงพลังยิ่งนัก พวกเขาเองก็เกือบจะคุกเข่าไปแล้วเหมือน ทั้งสองเริ่มกลัวเพลงนี้จนแทบจะไม่อยากฟังอีก


 


“กลายเป็นว่ากูจิ้งสามารถเล่นบทเพลงที่ทรงพลังได้ถึงขนาดนี้” ซี่เหลาที่นั่งอยู่ในห้องดื่มชาถึงกับตบเข่าฉาดเสียงดังด้วยความตื่นเต้น


 


“ไม่ต้องมาทำเป็นพูดดีเลย ควรจะเป็นฉันเองที่เป็นคนพูดสิ ฉันก็เพิ่งจะเคยได้ยินเพลงแบบนี้นี่ล่ะ ไม่คิดเลยว่ากู่จิ้งจะบรรเลงเพลงที่ทรงพลังได้ถึงขนาดนี้  มู่หรงฉินได้แต่พึมพำคำนี้ออกมา เขานั้นเมื่อได้ยินเวลาคนเรียกว่าเขาเป็นที่หนึ่งในเหล่าปรมาจารย์ด้านกู่จิ้ง เขาดีใจมาก ต่อพอมาฟังเพลงของซูจิ้ง เขากับรู้สึกว่าเพลงที่เขาเคยเล่นมาชั่วชีวิตนี่เด็กน้อยชัดๆ”

 

 

 


ตอนที่ 721

 

ลำนำแห่งพระเจ้า (2)


 


“พี่ชิง แฟนของพี่โคตรแย่เลย” ณ ร้านขายเสื้อผ้าของฉือชิงได้มีหญิงสาวคนหนึ่งโกรธจนควันออกหู


 


“ฮ่าฮ่า เขาก็แค่เล่นกู่จิ้งเอง ใครใช้ให้เธอฟังแล้วลงไปคุกเข่ากองกับพื้นอย่างนั้นหล่ะ” ตงเจี๋ยหัวเราะออกมา คนอื่นๆต่างก็พากันหัวเราะตาม แต่ในใจจริงนั้นพวกเธอแอบดีใจที่ฝืนไม่ให้คุกเข่าได้สำเร็จ หรืออย่างน้อยๆก็เฉพาะตอนอยู่ที่สาธารณะล่ะนะ


 


“น่า อย่าไปหัวเราะเสี่ยวลี่สิ” ฉือชิงที่อยู่นอกวงสนทนาได้เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม


 


“ชิงชิง ท่านเทพของเธอนี่สุดยอดจริง แค่เล่นเพลงหน่อยเดียวถึงกับทำให้หญิงสาวยอมศิโรราบได้ เธอต้องจับตาดูเขาไว้ดีๆนะ” ตงเจี๋ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้มหยอกเล่น ฉือชิงได้ยินดังนั้นก็ยิ้มรับโดยไม่พูดอะไร ทันใดนั้นเธอพลันไปนึกเรื่องที่ซูจิ้งเตรียมงานแต่งของเธอกับเขาไว้ทำให้เธอเขินหน้าแดงขึ้นมา เธอเองก็ได้ฟังเพลงของเขาด้วยเหมือนกันพร้อมกับนึกไปว่าฝึมือการเล่นของเขาเพิ่มขึ้นอีกแล้วสินะ ได้แต่หวังว่าเหล่าแฟนคลับของเขาจะไม่มาติดแจจนเกินไป


 


“เสี่ยวหยา พี่ชายของเธอคงไม่ใช่พวกกลับชาติมาเกิดใหม่แบบในนิยายใช่ไหมเนี่ย” ภายในหอพักหญิงแห่งหนึ่ง หญิงสาวในห้องรวมถึงถังเซี่ยวหยูถามออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“ถ้าเขาเป็นเทพจริงฉันก็คงเป็นเทพเหมือนกันแหล่ะ” ซูหยานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดกับเพื่อนร่วมห้องของเธอก็ทำให้เธออึ้งไปเหมือนกัน ความจริงเธอก็ชอบเพลงนี้เหมือนกันแต่ด้วยการที่เธอเติบโตมาพร้อมซูจิ้งทำให้เธอขึ้นเคยกับเขาดีเลยไม่ได้คุกเข่าไปด้วย


 


ในห้องของซูจิ้งตอนนี้แตกตื่นราวกับระเบิดลงเพราะคนที่เข้ามาดูการสตรีมตอนนี้ขึ้นไปอยู่ที่แปดแสนคนเรียบร้อยแล้วและยังคงพุ่งสูงขึ้นไปอีก


 


“พระเจ้า เพลงนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยพลังจริงๆ”


 


“ใช่แล้ว เพลงนี้ไม่สามารถจัดอยู่ในเพลงทั่วไปได้แล้ว ทั่วทั้งร่างและจิตใจของฉันเหมือนได้ชำระบาปเลย”


 


“ฮ่าฮ่า เพื่อนของฉันนี่ถึงกับคุกเข่าเลย ไม่ได้เวอร์นะ เขาคุกเข่าจริงๆ”


 


“ลองดูในข่าวตอนนี้สิ มีคนมากมายเลยที่คุกเข่าทันทีที่ฟังเพลงนี้ และพวกเขาล้วนเป็นคนที่ดูการสตรีมของพี่จิ้งทั้งนั้นเลย”


 


“ตอนแรกฉันก็นึกว่าบ้าไปแล้วนะที่มาพูดเรื่องแบบนี้ในช่องแชท แต่พอเห็นข้อความคนอื่นนีดถึงกับอึ้งไปเลยด้วยซ้ำ”


 


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ได้เห็นเพลงที่ทำให้คนถึงกับต้องยอมคุกเข่าให้ ลูกพี่จิ้งนี่กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติไปแล้วสินะ”


 


“พี่จิ้ง พี่คงไม่ได้กำลังจะไปอยู่ในสวรรค์ใช่ไหม”


 


“โอ้ ลืมไปเลยนะเนี่ยว่าเบ่ยเจียฮัวได้ท้ากันไว้ เบ่ยเจียฮัวรีบออกมาเลยนะนำอย่ามัวแต่อึ้งอยู่”


ตอนนี้ทุกคนที่เห็นข้อความพลันนึกได้ว่าที่พวกเขาบางคนต้องคุกเข่าเป็นเพราะเบ่ยเจียฮัวนั้นดันไปท้าทายซูจิ้งด้วยเพลงลูกพี่เรามาต่อยกันดีกว่า


พวกเขาจึงเริ่มเรียกให้เบ่ยเจียฮัวออกมา ถึงเพลงเขาจะมีกลิ่นอายแห่งเซนและพลังธรรมอยู่เต็มเปี่ยม แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วทำให้ดูธรรมดาไปเลย ต่อให้เบ่ยเจียฮัวยอมออกมาจริงๆพวกเขาก็ไม่ประหลาดใจอะไรเลยซักนิด


 


“เบ่ยเจียฮัว ออกมาเร็วเข้าน่า นายยอมรับหรือยัง”


 


“เบ่ยเจียฮัว ออกมาเดี๋ยวนี้นะถ้านายแน่พอ”


 


ตอนนี้ทุกคนที่กำลังดูสตรีมอยู่ต่างพิมข้อความในทำนองเดียวกันคือให้เบ่ยเจียฮัวพิมอะไรออกมาซักอย่าง หลังจากนั้นมีใครซักคนพูดมาในห้องแชทด้วยข้อความเสียงจนทำให้ทุกคนได้ยินว่า “ทุกคนหยุดพิมข้อความก่อน ฉันอยากเห็นข้อความของเบ่ยเจียฮัว แต่ฉันมองไม่ทัน” ถึงแม้ข้อความของเขาเองจะถูกดันขึ้นไปอย่างรวดเร็วสักพักข้อความถึงค่อยๆช้าลงจนแทบจะหยุดนิ่ง และอีกพักใหญ่ข้อความที่ยาวๆมากๆได้ปรากฎออกมาให้ทุกคนเห็น “พวกนายนี่น้ารอหน่อยไม่ได้รึไงกัน ที่ช้าก็เพราะมัวแต่พิมนี่หล่ะ มันยากนะที่จะบรรยายความรู้สึกในใจของฉันออกมาเป็นคำพูดน่ะ ฉันพิมข้อความไปเป็นร้อยแล้วนะแต่พวกนายพิมซะจนข้อความฉันหายไปในพริบตา ถ้าฉันไม่อารมณ์ดีอยู่ล่ะก็ฉันจะไปถล่มพวกนายรายตัวแน่นอน” ข้อความนี้พิมซ้ำๆกันหลายครั้งจนเขาเห็นว่ามีแต่ข้อความของเขาปรากฎเลยเปลี่ยนข้อความที่พิมไป


 


“อา….. ในที่สุดข้อความของฉันก็ขึ้นซักที พบปะลูกพี่เพื่อท้าต่อยตีงั้นหรอ พอฉันมานึกทีหลังก็ยังนึกแปลกๆเหมือนกันนะว่าทำไมฉันถึงบอกไปอย่างนั้น ถ้าเอาเรื่องนี้ไปบอกพ่อคงโดนเล่นแหงๆ แต่ถ้าบอกสาเหตุกับผลที่ได้รับหวังว่าเขาคงไม่ว่าอะไรมากหล่ะนะ”


 


เบ่ยเจียฮัวยังคงพิมต่อไปว่าเขานั้นยอมรับความพ่ายแพ้ แพ้อย่างหมดหัวใจแต่ก็ยังได้รับความสนใจอยู่ดี


 


ในขณะนั้นมีอีกคนที่ทุกคนเลิกสนใจไปแล้วและรู้ตัวว่าไม่ควรจะพิมอะไรออกไปนั่นคือฉิวหยุนจินและในตอนนั้นเองเขาก็รู้ด้วยว่าแฟนคลับของเขาได้กลายเป็นแฟนคลับของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว และเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลย


 


หลังจากดูข้อความพวกนั้นซูจิ้งรู้สึกได้เลยว่าการสตรีมครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการต่อสู้ได้เลย


นอกจากนั้นเรื่องในครั้งนี้ยังทำให้เขารู้สึกได้ว่าพลังสมองของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมากซึ่งรวมถึงพลังจิตของเขาด้วยเช่นกัน


ตราบใดที่พลังจิตของเขาได้รับการพัฒนาถ้าเขาต้องเจอเรื่องแบบนี้บ่อยๆเขาก็คิดว่าคุ้มค่า ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “เพลงนี้มีชื่อว่าลำนำแห่งพระเจ้า”


 


ผลงานเพลงชิ้นนี้เป็นเพลงจากในห้วงเวลาฯบังสวรรค์ ถึงแม้มันจะไม่ได้แสดงผลเหมือนลำนำของพระเจ้าของจริงก็ตาม


เพลง “ลำนำแห่งพระเจ้า” ที่แท้จริงไม่แสดงผลออกมาแบบนี้พูดได้ด้วยซ้ำว่าแสดงผลไม่ได้ซักเศษเสี้ยวของของจริง


เพลงของจริงนั้นไม่เพียงแค่ให้ความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกยิ่งกว่านี้ แต่ยังทำให้เกิดความรู้แจ้งในความจริงแท้แก่ชีวิต(เต๋า) สามารถทำได้แม้กระทั่งเปลี่ยนแปลงสรรพสิ่ง


ขับเคลื่อนได้แม้กระทั่งจักรวาลรวมไปถึงก่อกำเนิดชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ


ในตำนานแห่งห้วงเวลาฯบังสวรรค์กล่าวไว้ว่าเพลงลำนำแห่งเพราะเจ้านี้เป็นพระเจ้าเองที่แต่งขึ้นมามันจึงเป็นเพลงแห่งพระเจ้าอย่างแท้จริง นั่นทำให้เพลงนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานศักดิ์สิทธิ์


 


แม้แต่ในห้วงเวลาฯบังสวรรค์​ เพลงลำนำแห่งพระเจ้านี้อยู่ในระดับขั้นชั้นอมตะก็ว่าได้ เป็นเพลงที่ต้องให้นักบวชชั้นสูงในการเล่นถึงจะแสดงผลได้อย่างทรงพลัง


ซูจิ้งเองก็ยังสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมเพลงอันแสนมีค่านี้ถึงได้ถูกทิ้งลงมา


ซูจิ้งนั้นที่เล่นได้ก็เพราะเขานั้นเข้าใจเพียงหลักการแต่ก็ยังไม่สามารถเข้าใจได้ถึงแก่นแท้ของเพลง


พอเขานึกถึงพลังที่แท้จริงของเพลงแล้วเขาจะรู้สึกเซ็งทุกครั้งเพราะเมื่อเทียบกับผลจากเพลงที่เขาเล่นได้ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว


เขานั้นยังขาดในหลายๆด้านทั้งทักษะการเล่นกู่จิ้ง พลังวิญญาณ พลังจิต ฯลฯ ทักษะเหล่านั้นเป็นทักษะที่เขาปล่อยปะละเลยไม่ยอมตั้งใจฝึกให้ดี เขาได้แต่นึกว่าต้องหาโอกาสพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้หมดให้จงได้


 


ถึงจะบอกมาอย่างนั้นแต่บนโลกมนุษย์หาได้มีนักบวชชั้นสูงที่เดินขวักไขว่กันเป็นเวลาเล่นแบบในห้วงเวลาฯบังสวรรค์


ที่นี่มีเพียงมนุษย์ธรรมดาผลกระทบที่เกิดจากการเล่นเพลงนี้แม้จะเทียบไม่ได้กับของจริงแต่ก็ยังส่งผลต่อผู้ที่ได้ยินอย่างมหาศาล


นอกจากนั้นซูจิ้งยังใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ไปกระตุ้นให้เหรียญตราเทวฑูตแสดงอำนาจของมันออกมา ส่งผลให้เพลงนี้ดูศักดิ์สิทธิ์กว่าที่ควรจะเป็นจึงทำให้ทุกคนต้องยอมคุกเข่า


 


“ลำนำแห่งพระเจ้า” ช่างเป็นชื่อที่ท้าทายสวรรค์จริงๆ แต่ก็ถือได้ว่าเหมาะสมสุดๆเช่นกัน


 


“ฉันจะจำเพลงนี้ไว้จนวันตายเลย”


 


“พี่จิ้งเล่นอีกซิ ฉันยังฟังไม่จุใจเลย”


 


“เอาไว้ค่อยย้อนไปฟังที่หลังแล้วกันนะ เดี๋ยงบนอินเตอร์เน็ตก็คงจะมีหล่ะ ไม่ก็กดรีเพย์ไปพลางก่อนละกัน”


 


สิ่งที่ปรากฏขึ้นหลังจากเพลงนี้ถูกอัพขึ้นอินเตอร์เน็ตไว้ก็คือทั้งเพลง “ภูผาสูงและสายน้ำไหลริน” และเพลง “ลำนำแห่งพระเจ้า” ได้ส่งไปให้คนในวงการเพลงฟัง นั่นทำให้เพลงนี้ติดลิสต์รายชื่ออย่างรวดเร็วจนกระทั่งต้องแข่งอันดับกันเองในลิสต์รายชื่อยอดนิยม


 


ถ้าเทียบกันจริงๆแล้วเพลงลำนำแห่งพระเจ้านั้นน่ากลัวที่สุดแล้ว เพราะเมื่อเพลงนี้มีคนได้ยินคนที่ได้ยินก็จะคุกเข่าคุกเข่าเสร็จก็จะบอกความน่าอัศจรรย์ต่อไปยังคนอื่นให้ลอง และวนไปอย่างนี้ไปเรื่อยๆจนนำโด่งมาอย่างรวดเร็ว


แต่ในไม่ช้าเพลงภูผาสูงและสายน้ำไหลรินก็ค่อยๆตามมาในเวลาชั่วโมงครึ่งเพลงนี้ก็ขึ้นมาเป็นเพลงลำดับที่ห้าของรายการแต่ก้ยังแพ้ลำนำแห่งพระเจ้าที่ขึ้นเป็นอันดับหนึ่งภายในไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง


ทุกคนในห้องของซูจิ้งต่างก็ตกใจทันทีที่ได้ยินข่าวแม้แต่แฟนคลับของซูจิ้งก็ตกใจไม่แพ้กันจนกระทั่งพวกเขารู้สึกยินดีจนต้องกระหน่ำส่งรางวัลในช่องแชทอย่างไม่เคยมีมาก่อนจนทำให้ระบบข้อความในห้องสตรีมล่มเป็นที่เรียบร้อย

 

 

 


ตอนที่ 722

 

ขอให้คู่รักได้แต่งงานกัน


 


“พี่จิ้ง ขออีกเพลงเถอะนะ”


 


“อย่าเพิ่งหยุดเลย พวกเรายังฟังไม่เต็มอิ่มเลย”


 


“ถ้าเป็นเพลงรักล่ะ ฉันชอบ ฟีนิกซ์คู่รัก การกลับมา แล้วก็ ณ ชั่วขณะแห่งความรัก มากๆเลย”


 


“ฉันคิดว่าพี่จะต้องเพลงที่ทรงพลังแบบเดียวกับเพลงลำนำแห่งพระเจ้าแต่เป็นเนื้อหาแห่งความรักแน่ๆ มาทำให้โลกเต็มเปี่ยมด้วยความรักกันดีกว่า”


 


ซูจิ้งยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า “ถ้าไม่มีใครมาท้าประลองฉันอีกฉันก็ไม่อยากจะเล่นหรอกนะบอกไว้ก่อน”


 


ทันทีที่เขาพูดจบ เบ่ยเจียฮัวมองอย่างจนปัญญา ส่วนฉิวหยูจินทำได้แต่คิ้วขมวดพร้อมหัวเราะแหยๆออกมา


ใครจะไปหาญกล้าท้าสู้อีกได้หลังจากเพลงภูผาสูงและสายน้ำไหลริน กับลำนำแห่งพระเจ้าออกมา


แม้แต่นักดนตรีจริงๆยังต้องสยบด้วยซ้ำ


 


ซูจิ้งเห็นดังนั้นจึงพูดต่อไปว่า “สงสัยจะไม่มีแหะ งั้นฉันจะเล่นอีกเพลงแล้วกัน เพลงสุดท้ายนี้เป็นเพลงที่ฉันจะบรรเลงให้กับคู่หมั้นของฉัน แต่ก็ขอส่งเพลงนี้ให้กับทุกคนที่มีความรัก ขอให้ผู้คนทั้งโลกที่มีคู่รักจบลงด้วยการแต่งงานอย่างมีความสุขนะ”


 


ในห้องสตรีมตอนนี้ข้อความวิ่งกันให้พล่านไปหมด ในขณะเดียวกันที่ห้องเสื้อของฉือชิง ตงเจี๋ย และคนอื่นที่กำลังดูสตรีมของซูจิ้งหันไปมองฉือชิงด้วยความอิจฉาริษยาตาร้อนในทันที


ฉือชิงเองถึงกับผงะเล็กน้อยเมื่อเห็นคนหันมา แต่ทุกคนก็ปล่อยผ่านไปหันไปมองหน้าจอต่ออย่างรวดเร็ว


มู่หรงเซียนเอ๋อ นาลันเฟย กู่หยุน หลี่ซวน ถังเซียวหยู และหญิงสาวคนอื่นต่างทำสายตาเป็นประกายออกมา และพวกเธอพยายามตั้งใจฟังอย่างดี


 


ซูจิ้งไม่พูดอะไรอีกต่อไป มือของเขาวางลงบนกู่จิ้ง ขณะเดียวกันคนอื่นๆรอบๆอย่างหลิวฉิง  เว่ยเสี่ยวหยวน และคนในห้องต่างเงียบกริบ เหมือนกับไร้ตัวตนไปเลยทีเดียว


 


เสียงกู่จิ้งค่อยๆดังขึ้นด้วยทำนองที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวา ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังมีฝนตกอยู่ท่ามกลางคืนในฤดูร้อนอันอบอ้าว เสียงของกู่จิ้งกระจ่างใสเหมือนกับได้ยินเสียงน้ำกระทบลงบนดอกบัวบาน เหมือนกับเสียงหยดน้ำฝนสัมผัสและไหลลู่ลงไปตามกิ่งของใบไม้จนไหลลงไปในบ่อ แล้วเกิดน้ำกระเด้งขึ้นมาบนผิวน้ำ


 


เสียงของกู่จิ้งไหลไปอย่างข้าเหมือนกำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ ทำให้ทุกคนที่ได้ยินต่างรู้สึกมีความสุขและรู้สึกหวานชื่น เหมือนกับหัวใจที่แห้งเหี่ยวกำลังเติมเต็มด้วยหัวใจที่นุ่มนวล


 


นานพอสมควรที่เพลงได้บรรเลงไป เว่ยเสี่ยวหยวนจ้องไปที่ซูจิ้งแบบจ้องเขม็ง ตอนนี้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกเลือดลมสูบฉีด หลิวฉิงมองไปบนท้องฟ้าทำมุมสี่สิบห้าองศาก่อนที่จะคิดในในว่าตอนนี้อยากหาแฟนให้ได้ซักคน ส่วนผู้จัดการหวังและคนอื่นๆในตอนนี้ดวงตาของพวกเขาเริ่มเปียกชื้นน้ำตาคลอ


 


“เพลงนี้เป็นเพลงที่ดีจริงๆ เหมาะกับเซียนเอ๋อยิ่งนัก” ผู้จัดการของเธอที่นั่งอยู่ข้างๆเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา


แต่เมื่อเธอหันไปมองมู่หรงเซียนเอ๋อกลับพบว่าเธอนั้นไม่แสดงท่าทีอะไรทั้งๆที่ตอนแรกเธอคิดว่ามู่หรงเซียนเอ๋อในตอนนี้ต้องรู้สึกตื่นเต้นสุดขีดเมื่อเซียนเอ๋อได้ยินเพลงนี้เหมือนเธอ


 


“ช่างเป็นเพลงที่น่าประทับใจจริงๆ ฉันล่ะอิจฉาแฟนของซูจิ้งขึ้นมาทันทีเลยนะ” นาลันเฟยกล่าวชมออกมา


 


“ด้วยเพลงนี้ของซูจิ้งต้องทำให้ผู้หญิงหลายๆคนหลงรักเขาแน่นอน” ผู้จัดการสาวที่อยู่ข้างนาลันเฟยก็พูดออกมาอย่างเข้าใจความรู้สึกของลันเฟย ถ้ามีชายซักคนแต่งเพลงแบบนี้ให้เธอซักเพลง เธอเองจะรีบตกลงปลงใจในทันที


 


“พี่ชิง ฉันล่ะอิจฉาพี่จริงๆ” ณ ห้องเสื้อของฉือชิงเหล่าเด็กสาวต่างก็รู้สึกอิจฉาตาร้อนขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้พวกเธอรู้สึกอยากให้มีใครซักคนมอบบทเพลงให้เธอบ้าง แต่เมื่อทุกคนหันไปมองที่ฉือชิงกลับพบว่าตอนนี้ฉือชิงเอาแต่จ้องหน้าจอคอมเขม็งโดยไม่รู้สึกหรือได้ยินอะไรทั้งสิ้น ทำให้พวกเธออดหัวเราะออกมาไม่ได้


 


ตอนนี้เหล่าเด็กสาวทั้งหลายที่รู้จักซูจิ้งอย่าง กู่หยุน หลี่ซวน ถังเซียวหยู และหลินฉีหยูต่างเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา


แน่นอนว่าพวกผู้ชายเองก็ไม่เว้น


ถ้าคนๆนั้นมีแฟน คนๆนั้นจะรีบโทรไปหาแฟนของเขาทันที


ถ้าไม่มีคนคนนั้นจะเกิดความรู้สึกอยากรีบหาให้ได้ซักคน


เพลงนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกสูงสง่าเท่าเพลงภูผาสูงและสายน้ำไหลริน


หรือทำให้ตกอยู่ในภวังค์อย่างเพลงลำนำแห่งพระเจ้า


แต่ก็ทำให้จิตในของผู้คนสั่นไหวและชุ่มชื้นเหมือนรดน้ำบนดินที่แห้งผาก


 


“ฉันร้องไห้แล้วอ่ะ”


 


“ฉันล่ะอิจฉาคู่หมั้นของพี่จิ้งจริงๆ”


 


“ฉันเสียใจมากเลย ทำไมคู่หมั้นของพี่จิ้งถึงไม่ใช่ฉันกันหล่ะ”


 


“สาวน้อยบรรทัดบนอ่ะ อย่าไปสนพี่จิ้งเขาเลยเขาน่ะมีคู่หมั้นแล้ว มาสนใจฉันดีกว่านะ”


 


ตอนนี้ห้องสตรีมได้กลับมาคึกคักกันอีกครั้งและมีการแจกรางวัลกันกระจายเต็มช่องแชท โดยส่วนมากคนที่ให้รางวัลเป็นผู้หญิง


 


ในขณะเดียวกัน ณ ภัตตาคารหรูแห่งหนึ่ง รถบีเอ็มดับบิวสีขาวได้วิ่งเข้ามาจอดหน้าร้าน


มีชายหนุ่มหน้ายาวคนหนึ่งในชุดสูท เขาเข้าจัดสูทของเขาที่กระจกมองหลังก่อนที่จะก้าวออกมาจากรถพร้อมดอกไม้ช่อใหญ่และเดินตรงไปในร้าน


 


เมื่อเข้าไปในร้านบริกรได้ถามเขาว่า “ท่านมากี่ที่คะ”


 


“ผมมาหาคุณหวังหยานครับ” ชายหน้ายาวบอกออกไป


 


บริกรถึงกับอึ้งไปในทันที ทันใดนั้นพนักงานสูงวัยอีกคนได้ก้าวเข้ามา ดูเหมือนเธอจะรู้จักชายหน้ายาวเป็นอย่างดี เธอได้เดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นว่า “สวัสดีครับคุณจาง ดิฉันเกรงว่าคุณหนูจะยังไม่ต้องการพบคุณใจตอนนี้ คุณกลับทีหลังจะได้ไหมคะ”


 


“ทำไมเธอไม่เดินขึ้นไปถามซะก่อนหล่ะ บางทีเธออาจจะลงมากินมื้อค่ำกับฉันก็ได้นะ” ชายหน้ายาวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่มีทางเป็นไปได้ค่ะ เพราะว่าเธอกำลังร้องไห้อยู่”


 


“เกิดอะไรขึ้น” ชายหน้ายาวตกใจในทันทีที่ได้ยินพร้อมถามกลับไปด้วยความเป็นห่วง “ใครรังแกเธอกัน บอกฉันมาสิฉันจะไปจัดการมันเอง หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น รีบบอกฉันมาเร็ว”


 


“ดิฉันก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรมากเหมือนกันค่ะ รู้แค่ว่าคุณหนูดูรายการถ่ายทอดสดอะไรซักอย่างหลังจากนั้นเธอก็ร้องไห้ออกมา”


 


“งั้นก็ไปถามเธอเซ่” ชายหน้ายาวเริ่มขึ้นเสียง


 


“ในเมื่อคุณอยากรู้มากกว่านี้งั้นดิฉันขอให้คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะขึ้นไปถามรายละเอียดดู


แต่คุณเองก็อย่าหวังให้มากนักล่ะ” สาวบริกรสูงวัยได้เดินขึ้นชั้นสองในส่วนสำนักงานแทบจะในทันทีเธอได้ลงมาพร้อมบอกกับชายหน้ายาวว่า “คุณหนูไม่ต้องการจะเห็นหน้าคุณค่ะ”


 


ชายหน้ายาวทำได้แต่เดินออกไปนอกร้านด้วยใบหน้าเซ็งๆ


เขาอยากรู้ว่ารายการถ่ายทอดสดอะไรที่ทำให้หวังหยานร้องไห้ได้ขนาดนี้เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อดูว่าตอนนี้มีรายการอะไรที่กำลังถ่ายทอดอยู่บ้าง


ไม่นานนักเขาก็พบว่ามีเพื่อนเขาบางคนกำลังส่งข้อความหนึ่งซ้ำๆกันจึงเปิดดูก็พบว่าเป็นการบรรเลงเพลงด้วยกู่จิ้งด้วยใครซักคนหนึ่ง


แต่เมื่อเขาเห็นข้อความว่า “ซูจิ้งสตรีมการบรรเลงเพลงจากกู่จิ้ง” เขาก็แทบจะเข้าใจในทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น


 


เขาพบว่ามีเพลงสามเพลงที่ซูจิ้งได้สตรีมเอาไว้ เขาไล่ฟังเพลงพวกนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งเมื่อเขาได้ฟังเพลงสุดท้าย ใบหน้าของเขาโกรธจนเปลี่ยนสี เขาได้เขวี้ยงช่อดอกกุหลาบที่ถืออยู่ในมือลงพื้นในทันทีพร้อมตะโกนออกมาว่า “ซูจิ้ง แกจะล่อลวงผู้คนมากเกินไปแล้ว”


ถ้าจะให้พูดตามความจริงก็มีแต่เพลงสุดท้ายเท่านั้นที่เป็นปัญหาสำหรับชายหน้ายาว เฉพาะเพลงสุดท้ายเท่านั้นที่ทำให้เขารู้ในทันทีว่าทำไมหวังหยานถึงร้องไห้จะต้องเป็นเพราะท่วงทำนองของเพลงนี้แน่ๆ เขานึกไปถึงตอนที่ซูจิ้งเล่นเพลงที่ท่วงทำนองที่คล้ายๆกันอย่าง ณ ช่วงขณะแห่งรัก(ณ ช่วงขณะแห่งความสวยงาม) ทำให้เธอต้องร้องไห้เป็นบ้าเป็นหลัง


 


ซูจิ้งไม่มีทางรู้อยู่แล้วว่าหวังหยานนั้นได้ดูการสตรีมของเขาด้วย


และยิ่งไม่รู้เข้าไปอีกว่าการที่เขาทำอย่างนั้นทำให้ใครคนหนึ่งเกลียดเขาอย่างสุดหัวใจ


เขาก็แค่อยากจะใช้เหรียญตราเทวฑูตในการเสริมสร้างพลังจิตของเขาแค่นั้นเอง


ในขณะเดียวกันเขาได้พูดในช่องสตรีมว่า “เพลงนี้มีชื่อว่า ”วันที่รักสองเราบรรจบ” ก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะชอบกันนะ”


เพลงนี้ซูจิ้งได้มาจากห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน เป็นเพลงที่บาเอี้ยแต่งให้กับนางฟ้ากู่หยิง


 


“ฉันชอบมัน ไม่สิรักดีกว่า”


 


“ชื่อเพลงอะไรนะ”


 


“ดีจริงๆที่ได้ฟัง เล่นต่อเถอะนะ เล่นอีกซักเพลง”


 


“ไม่เล่นแล้วหล่ะ สำหรับกู่จิ้งวันนี้ขอพอแค่นี้แล้วกัน” ซูจิ้งพูดขึ้นมาในห้องสตรีม ซึ่งตอนนี้มีแต่ข้อความคนที่ร้องขอให้เล่นเพลงต่อ บางคนส่งมาเป็นคำพูดเลยด้วยซ้ำ เอาจริงๆคือต่อให้ต้องฟังซูจิ้งเล่นกู่จิ้งทั้งวันก็ไม่มีทางพอได้เลย แต่ไม่ว่าจะยังไงซูจิ้งก็ไม่เล่นเพลงของเขาต่ออย่างแน่นอน ถ้าเล่นมากไปทุกคนจะเริ่มชินกับเขาและจะทำให้เหรียญตราเทวฑุตดูดซับพลังได้น้อยลง แถมจำทำให้ความสามารถของเหรียญตราจะไม่ค่อยได้ผลด้วย


 


“ตอนนี้อารมณ์ของฉันถึงขีดจำกัดแล้วล่ะ และตอนนี้ฉันก็ไม่มีอารมณ์เล่นเพลงใหม่ออกมาแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าก็แล้วกันนะ” ซูจิ้งหยุดเล็กน้อยก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงจะบอกอย่างนั้นไปแต่ไม่ได้หมายความว่าการสตรีมในวันนี้จะจบลงหรอกนะ เรามาหาอะไรที่มันตื่นเต้นทำกันดีกว่า แต่ก่อนหน้านั้นขอเตือนไว้ก่อนนะว่าคนที่หัวใจไม่ดีอย่าได้ดูเป็นอันขาด”

 

 

 


ตอนที่ 723

 

เรื่องอันตรายในประวัติศาสตร์ของมนุษย์


 


“นี่พี่จิ้งจะสตรีมกีฬาเอ็กซตรีมน่ากลัวๆนั่นอีกแล้วหรอ”


 


“ฮ่าฮ่า สุดยอดไปเลย จะเป็นกู่จิ้งก็ดี จะเป็นเอ็กซตรีมก็ยอด”


 


“อย่าไปพูดอย่างนั้นสิ เดี๋ยวนายก็ได้เห็นพี่จิ้งเล่นกู่จิ้งระหว่างเอ็กซตรีมหรอก”


 


“ฟังๆดูก็ไม่เลวนะ”


 


ถ้าเทียบกันแล้วคนส่วนใหญ่เหมือนจะอยากฟังซูจิ้งเล่นกู่จิ้งต่อซะมากกว่า อย่างไรก็ตามการที่เขานั้นได้เล่นกู่จิ้งไปแล้วถึงสามเพลงทำให้เหรียฐตราเทวฑูตดูดซับพลังได้น้อยลงตามลำดับ


ถ้าเขายังเล่นต่อไปจะยิ่งได้รับพลังงานน้อยลงอย่างแน่นอน สำหรับเขาแล้วได้ไม่คุ้มค่ากับการเสียเวลา


เขาวางแผนไว้ว่าจะเว้นช่วงการเล่นกูจิ้งไปอีกพักใหญ่ก่อนที่จะแต่งเพลงใหม่ออกมา เพราะเขาเองก็เริ่มสังเกตุได้เหมือนกันว่ายอดคนดูการสตรีมเริ่มมีน้อยลงตามลำดับเหมือนกัน


ถึงจะเล็กน้อยแต่สำหรับเขาถือได้ว่ามันสำคัญมาก


 


“เอาหล่ะเก็บของแล้วไปทะเลกัน” ซูจิ้งพูดกับทีมงานของผู้จัดการหวัง


 


“ห้ะ ไปทะเล ไม่ใช่ว่าเราจะเล่นกีฬาเอ็กซตรีมกันหรอ” ผู้จัดการหวังงงเป็นไก่ตาแตกทันที


 


“แล้วใครบอกว่าผมจะเล่นเอ็กซตรีมล่ะ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“พี่จิ้ง แล้วจะสตรีมอะไรกันหล่ะนั่น” หลิวฉิงถามแทนทุกคนในห้องทันที


 


“เดี๋ยวไปถึงก็รู้น่า” ซูจิ้งพูดแบบผ่านๆอีกครั้งหนึ่ง ทีมงานจึงทำได้แค่เก็บของแล้วไปที่ชายหาด พวกเขาได้นั่งเรือหาปลาแล้วแล่นออกไป ซูเซียวหลินและซูเหลียงเองก็ได้แต่จ้องมองไปยังเรือที่แล่นลอยออกไปไกล


 


“คุณซู ต่อให้คุณใช้การ์ดไวเลสแต่ผมก็ยังกลัวว่าสัญญาณจะไม่ถึงถ้าเราไปไกลเกินไปนะ” ผู้จัดการหวังเริ่มกังวล


 


“อย่ากังวลไปเลยครับ เราไม่ได้ไปไกลขนาดนั้น ผมลองดูแล้ว สัญญาณยังดีอยู่เลย” ซูจิ้งยิ้มเล็กน้อย ดูเหมือนว่าซูจิ้งเองก็ได้เตรียมตัวมาก่อนหน้านี้แล้ว ผู้จัดการหวังก็เลยพูดอะไรไม่ได้มากนัก เรือไม่ได้แล่นไปไกลมากนะ เขาได้ขับเรือไปยังแนวปะการัง ซึ่งเห็นหมู่บ้านของซูจิ้งอยู่ริบๆ


 


หลิวฉิง เว่ยเสี่ยวหยวน ผู้จัดการหวัง และคนที่ติดตามการสตรีมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าซูจิ้งจะทำอะไรกันแน่ ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ชี้ไปตรงหน้าเขาแล้วตะโกนว่า “รีบถ่ายเจ้านั่นไว้”


 


ชายตากล้องได้ยินดังนั้นถึงเขาจะยังงงๆอยู่บ้างแต่ก็รีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายตามคำสั่ง ทุกคนต่างมองไปทิศทางที่ซูจิ้งชี้เพื่อดูว่าซูจิ้งให้ดูอะไรเพราะเขาเห็นว่าตากล้องยืนแข็งค้างไปแล้ว ทันทีที่พวกเขาเห็นก็ทำได้แค่ยินแข็งค้างตามไปเนื่องจากพวกเจาได้เห็นวัตถุสามเหลี่ยมสีดำขนาดใหญ่ยื่นขึ้นมาบนน้ำ และมันกำลังพุ่งตรงมาทางนี้


 


“พระ พระเจ้า นั่นมันฉลามไม่ใช่หรอ”


 


“ไม่มีทางน่า เราจะมาเจอฉลามง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไง”


 


“พวกเรากำลังตกในอันตรายนะ รีบหันเรือกลับเร็ว เรือของเราเล็กเกินไปที่จะเผชิญหน้ากับมันนะ”


 


เมื่อเทียบกับขนาดของเรือแล้วบอกได้เลยว่าฉลามตัวนี้ใหญ่กว่ามาก หลิวฉิง เว่ยเสี่ยวหยวน ผู้จัดการหวังและทีมงานต่างตกใจกลัวอย่างเห็นได้ชัด


แต่พวกเขาไม่ได้สังเกตุเลยว่า ซูจิ้ง ซูเซียวหลินและซูเหลียง ต่างจ้องตาไม่กระพริบ


 


“ต่อให้นายอยากหนีไปจริงๆ แต่ต่อหน้าฉลามขาวแบบนี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีทางหนีพ้นหรอกน่า


ถ้าจะหนีได้คงต้องใช้ดวงทั้งหมดในชีวิตหล่ะนะ ว่ามาขนาดนี้ยังจะอยากหนีอีกรึเปล่า


จับภาพไว้ให้ดีๆหล่ะ อย่าพลาดแม้แต่น้อย” ซูจิ้งพูดออกมาพอนึกได้ว่าตากล้องน่าจะกำลังกลัวอยู่


แต่กลายเป็นว่าเขานั้นกำลังตื่นเต้นที่จะได้จับภาพฉลามก่อนที่ซูจิ้งจะบอกอะไรเขาซะอีก


 


ฉลามยักษ์ตัวนั้นได้ว่ายตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว บริเวณน้ำใสกระจ่าง ทะเลคลื่นลมสงบ


ทำให้สามารถเห็นฉลามยักษ์ที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาได้อย่างถนัดตา


ขนาดของมันในขณะที่ว่ายผ่านเรือไปกะขนาดด้วยสายตาอยู่ที่ประมาณห้าเมตร ฟันของมันใหญ่โตจนงุ้มออกมานอกปาก ช่างน่าสะพรึงเป็นยิ่งนัก


 


เหล่าคนที่กำลังดูสตรีมอยู่ตื่นเต้นขึ้นมาทันที


 


“พระเจ้า นั่นมันฉลามขาว”


 


“โชคร้ายจริงๆที่ไปเจอมันได้ เพิ่งจะออกทะเลไปเอง”


 


“อันตรายนะพี่จิ้ง รีบหนีเร็วเข้า”


 


“พี่จิ้งก็บอกเองไม่ใช่หรอว่านั่นมันคือฉลามขาวนะ ไม่ว่าจะอยู่บนเรือที่ดีแค่ไหน หนียังไงก็หนีไม่พ้นหรอก”


 


“โว่…. ภาพเช่นนี้หาดูได้ยากยิ่งนัก”


 


ทุกคนในตอนนี้ต่างประหลาดใจอย่างมากเนื่องจากตรงที่เรืออยู่นี้ไม่ถือว่าไกลจากชายฝั่งมากนัก แต่พวกซูจิ้งกลับพบฉลามขาวได้อย่างง่ายดาย ความจริงแล้วไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกแต่เป็นซูจิ้งที่ได้สั่งหมึกจักรพรรดิ์และวาฬเพชฌฆาตที่เขาได้เลี้ยงเอาไว้ให้ไปไล่ต้อนเจ้านี่มา


 


“พี่จิ้งไอ้การสตรีมสดกับฉลามขาวครั้งนี้ พี่รู้อยู่แล้วใช่รึเปล่า” หลิวฉิงเข้าไปกระซิบถาม


 


“ถ้าให้พูดจริงๆคือฉันจะไม่แค่สตรีมเจ้าฉลามนี่เฉยๆหรอกนะ” ซูจิ้งหยุดพูดก่อนที่จะถอดเสื้อผ้าของเขาออกเหลือแต่กางเกงว่ายน้ำขาสั้นอวดให้เห็นร่างกายที่ดูแข็งแกร่งและทรงพลังสร้างเสียงฮือฮาให้กับผู้ชมได้อย่างดี เขานั้นหันมามองที่กล้องแล้วพูดว่า “ฉันจะสตรีมการจับฉลามขาวด้วยมือป่าวมาเลี้ยง”


 


หลิวฉิง เว่ยเสี่ยวหยวน ผู้จัดการหวัง และทีมงานถึงกับตกตะลึง เช่นเดียวกับทุกคนที่กำลังดูการสตรีมอยู่ที่นิ่งเงียบพูดไม่ออกไปพร้อมกัน นั่นรวมถึง มู่หรงเซียนเอ๋อ นาลันเฟย มู่หรงฉิน ซี่เหลา เบ่ยเจียฮัว กู่เยว่ และกู่หยุน ด้วยเช่นกัน พวกเขานั้นแทบจะไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน


 


“จิ้ง พี่จิ้ง พี่ พี่พูดว่ายังไงนะ” หลิวฉิงตกใจถึงกับกัดลิ้นตัวเองในขณะที่พูด


 


“สตรีมการจับฉลามขาวมาเลี้ยงด้วยมือเปล่า” ซูจิ้งทวนให้หลิงฉิงฟังอีกรอบ


 


“พี่จิ้งพูดจริงอย่างนั้นหรอ งวดนี้ฉันช่วยอะไรพี่ไม่ได้นะ” หลิวฉิงใบหน้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดด้วยความหวาดกลัว ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะแข็งแกร่งมากๆ และได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์ได้การฝึกสัตว์ และสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่ของเขาก็มีไม่น้อยที่เป็นสัตว์อันตราย แต่กับฉลามขาวก็ไม่น่าจะไหวนะ ถ้าเทียบกับแล้วสัตว์จำพวกอย่างหมา แมว เสือ สิงโต และจระเข้ ก็ยังพอจะดูมีแววว่าเลี้ยงได้แต่นี่คือฉลามขาวเลยนะ มันเป็นสัตว์ที่เลี้ยงได้ด้วยเหรอ


 


“พี่จิ้งล้อกันเล่นรึเปล่า” เว่ยเสี่ยวหยวนเองก็กำลังกลัวไม่น้อยเหมือนกัน ส่วนคนอื่นๆที่ได้ยินต่างจ้องไปที่เขาตาเขม็ง พวกเขาอยากได้ยินซูจิ้งพูดออกมาในตอนนี้ว่าเขาล้อเล่นแต่ซูจิ้งกลับพูดออกมาว่า “คิดว่าฉันล้อเล่นงั้นหรอ” เกิดความแตกตื่นขึ้นมาทันทีในช่องสตรีม


 


“อย่าก่อเรื่องเลยน่าพี่จิ้ง พี่ทำไม่ได้หรอก”


 


“พี่จิ้งมันอันตรายเกินไปนะ”


 


“พี่จิ้งอย่าเอาตัวไปเสี่ยงเลยนะ พี่ควรจะรู้บ้างว่าเรื่องไหนทำได้เรื่องไหนทำไม่ได้”


 


“ช่วยหยุดพี่จิ้งที”


 


“แค่สตรีมเฉยๆก็พอน่า ไม่ต้องทำอะไรพิเศษหรอก”


 


เหล่าแฟนคลับเร่งรีบขอร้องไม่ให้ซูจิ้งทำเรื่องอย่างที่พูด ใครที่ไม่รู้เรื่องแล้วจู่ๆเขามาเห็นนี่ก็ต้องตกใจไม่ต่างกัน ทุกคนที่ซูจิ้งรู้จักนั้นต่างพยายามกระหน่ำโทรหาซูจิ้งทันที แต่ซูจิ้งคาดการณ์เรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วจึงได้ทำการปิดโทรศัพท์ไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


“อย่ากังวลไปเลยน่า ไม่ต้องไปแจ้งตำรวจหรือภาครัฐด้วย ไปกวนเขาเปล่าๆ อย่าลืมสิว่าฉันเองก็ถือได้ว่าเป็นปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์คนหนึ่ง” ซูจิ้งยิ้มกว้าง


พูดจบแล้วทำการกระโจนลงไปในทะเลทันที หลิวฉิงและเว่ยเสี่ยวหยวนพุ่งเข้าไปหาซูจิ้งตั้งแต่ก่อนที่เขาจะพูดประโยคเมื่อกี้ด้วยซ้ำแต่ก็ยังคว้าไว้ไม่ทัน


ทันทีที่ซูจิ้งกระโดดลงไป เขาได้ดำลงไปในท้องทะเลที่สวยงามจนหน้าหลงใหล


เมื่อเจ้าฉลามได้ยินเสียงกระโจนน้ำของซูจิ้ง มันได้หันหัวกลับมาตามเสียงนั้นทันที


ณ ขณะนั้น หลิวฉิง เว่ยเซี่ยวซวน และผู้จัดการหวางลุ้นระทึกแทบจะหยุดลมหายใจ


เหล่าแฟนคลับและใครก็ตามที่กำลังเห็นภาพที่กำลังสตรีมอยู่ตอนนี้ก็ต้องอยู่ในสภาพเดียวกันอย่างช่วยไม่ได้ประหนึ่งดังได้เผชิญหน้าด้วยตัวเอง


พวกเขาต่างเคยเห็นการสตรีมแปลกๆมาหลากหลายรูปแบบอย่างการกินข้าวโพดที่กำลังหมุนอยู่บนสว่านไฟฟ้า การปล่อยให้มดกระสุนกัด หรือเอาน้ำผึ้งไปทา…ม้า แม้แต่การลองให้เต่าจระเข้กัด


แทบจะพูดได้ว่าทุกอย่างล้วนถึงตายได้ทั้งสิ้น


แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนจะได้เห็นมนุษย์ที่กล้าเข้าไปจับสัตว์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องจักรสังหารที่มีชีวิตที่อันตรายที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติพันธุ์ของมนุษย์นับตั้งแต่มีการบันทึกเหตุการณ์มา

 

 

 


ตอนที่ 724

 

เทพ


“พี่จิ้ง หนีเร็ว”


 


“จะทำยังไงดี ฉลามขาวมาแล้ว”


 


“พระเจ้า มันจบลงแล้วล่ะ”


 


“หึ้ยย่ะ” หลิวฉิงได้เขวี้ยงสิ่งของทุกอย่างบนเรือเท่าที่เขาจะหาได้ใส่ไปยังฉลามขาวแบบไม่ยั้งเพื่อพยายามเบี่ยงเบนความสนใจ แต่เจ้าฉลามขาวนั่นกับไม่สนใจเขาเลยซักนิด


 


“พี่จิ้งจับเชือกนี่เอาไว้” เว่ยเสี่ยวหยวนและคนอื่นๆต่างพยายามต่อเชือกให้ยาวพอที่จะดึงซูจิ้งกับขึ้นมาแต่เจ้าฉลามขาวเองก็ว่ายเข้ามาใกล้แล้วในทุกขณะ


 


หลิวฉิง เว่ยเสี่ยวหยวน ผู้จัดการหวัง และคนอื่นๆต่างรีบหาวิธีช่วยซูจิ้งประหนึ่งดังมดตกลงไปหม้อน้ำร้อน เหล่าผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมอยู่อย่าง มู่หรงเซียนเอ๋อ นาลันเฟย มู่หรงฉิน ซี่เหลา เบ่ยเจียฮัว ต่างก็ลุ้นระทึกไม่แพ้กัน


พวกเขารีบโทรไปแจ้งความในทันทีแต่ก็ช้าไปซะแล้วเพราะภาพที่ทุกคนอยู่ในตอนนี้คือฉลามขาวอ้าปากเตรียมจะเขมือบซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไอ้เด็กนี่หาที่ตายจริงๆ” ฉิวหยุนจินดูไปที่การสตรีมได้หัวเราะออกมาอย่างสะใจ


 


“เยี่ยมมาก ไอ้เวรนี่ตายได้ซักที” ไม่นานหลังจากที่ชายหน้ายาวได้เข้าไปในห้องสตรีมเขาก็ได้เจอเรื่องที่ทำให้เขาสะใจในทันที


 


“ฉลามกินเข้าไปเลย” เว่ยหยินผู้ที่อิจฉาซูจิ้งอย่างสุดหัวใจในตอนนี้ได้ตื่นเต้นขึ้นมา


ผู้คนที่รักและชื่นชอบซูจิ้งในตอนนี้ต่างเป็นกังวล ผู้คนที่รังเกียจเดียดฉันท์เขาต่างตื่นเต้นยินดี


ซูจิ้งนั้นถือได้ว่าเป็นคนพิเศษ ซึ่งนั่นทำให้เหล่าผู้คนที่เกลียดเขาไม่กล้าจะลงมือทำอะไรแต่นี้มันต่างกันเพราะเป็นซูจิ้งเองที่หาเรื่องเพื่อจะกลายเป็นอาหารฉลามอย่างยินดี


เขาฆ่าตัวตายเองต่อให้อยากจะโทษก็ได้แต่โทษตัวซูจิ้งเท่านั้น


 


ในขณะนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นว่าที่ท้ายเรือในตอนนี้นั้น ซูเซียวหลินและซูเหลี่ยงต่างหยอกเล่นกันอยู่ท้ายเรือแก้เบื่อ บางจังหวะก็ทำท่าเหมือนรู้สึกสงสารฉลามขาวตัวนั้นอย่างออกหน้าออกตา พวกเขารู้แทบจะในทันทีว่าที่ฉลามขาวโผล่มาที่นี่นั้นเป็นเพราะเจ้าเสือ(วาฬเพชฌฆาต)ไล่มาแหงๆ


 


“พี่ฉิง พวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะ” ณ ร้านขายเสื้อผ้าของฉือชิง ส่วนน้อยคนหนึ่งตกใจกับภาพที่เห็นจนร้อนรนวิ่งวุ่นไปทั่ว


 


“ซูจิ้งช่างงี่เง่าจริงๆ ชิงชิงงงง…” ตงเจียได้เป็นกังวลจนต้องบ่นออกมา แต่เมื่อหันไปเห็นฉือซิงจ้องมองไปยังหน้าจอคอมฯเฉยๆไม่มีท่าที่กังวลหรือร้อนรนอะไรทำให้เธอต้องแปลกใจจนต้องหยุดพูดออกมา แล้วเปลี่ยนเป็นไปถามฉือชิงแทนว่า “ทำไมเธอดูไม่กังวลเลยหล่ะ”


“ใช่ๆพี่ชิงทำไมพี่ดูไม่กังวลเลยหล่ะ” เหล่าสาวน้อยทั้งหลายที่กระโดดโลดเต้นด้วยความตกใจเมื่อครู่นี้หันหน้าเขาหาฉือชิงด้วยความสงสัยอย่างหมดหัวใจ


“ฉลามขาวนี่ไม่ทำอะไรซูจิ้งหรอก อย่างกังวลไปเลย” ฉือชิงพูดพร้อมยิ้มแหยๆเหมือนรู้อะไรบางอย่าง


“ไม่เชื่อหรอก นั่นฉลามขาวเลยนะ” ตงเจียและคนอื่นๆแสดงท่าทางไม่เชื่อออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน


“มันไม่เป็นไรจริงๆนะ ไม่เชื่อก็รอดูต่อไปแล้วกัน” ฉือชิงพูดออกมาเพราะเธอนั้นเคยเห็นซูจิ้งขี่วาฬเพชรฆาตมากับตาของเธอเองแล้ว


 


ถ้าให้เทียบกันแล้วระหว่างปลาฉลามขาวกับวาฬเพชฌฆาตนั้น บอกได้เลยว่าการเจอฉลามขาวสำหรับซูจิ้งแล้วเปรียบได้ดังกล่าวนั่งกินขนมอยู่ในบ้าน (ในบ้านซูจิ้งยังมีตัวอันตรายกว่านี้ซะอีก) การที่ทุกคนคิดว่าฉลามขาวคือจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารในน้ำทะเลถือว่าทุกคนคิดผิดเพราะว่าวาฬเพชฌฆาตนั้นมีความสามารถเหนือกว่าฉลามขาวในทุกๆด้าน รวมถึงขนาดตัวและความปราดเปรียว แม้กระทั่งความฉลาดก็ยังเหนือกว่า บอกได้เลยว่าวาฬเพชฌฆาตสามารถกินฉลามขาวได้ทุกเมื่อที่มันต้องการเลยก็ว่าได้ นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเจ้าเสือน้อย(วาฬเพชฌฆาตของซูจิ้ง) ที่ฉลาดกว่าและทรงพลังกว่าตัวอื่นเป็นสิบเท่าก็ยังเสร็จซูจิ้งมาแล้ว แค่ฉลามขาวที่อยู่ตรงหน้าตัวนี้เปรียบได้ดั่งหนูหลุดเข้ามาอยู่ตรงหน้าเสือโคร่งก็เท่านั้น


 


ฉือชิงเชื่อว่าซูจิ้งต้องปลอดภัยแน่นอนเพราะถึงขนาดออกคำสั่งวาฬเพชฌฆาตกระโดดรอดห่วงได้หยั่งกับปลาโลมาขนาดนั้นแค่ฉลามขาวตัวเดียวไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงแม้แต่น้อย


แถมเธอยังเห็นซูเซี่ยวหลินและซูเหลียงอยู่บนเรือในตอนนี้เธอจินตนาการออกได้เลยว่า


ตอนนี้เสี่ยวหูจะต้องคอยว่ายรอบๆคอยระวังเรือไว้แล้ว ซึ่งในสายตาคนนอกในตอนนี้ต่างก็เชื่อว่าซูจิ้งเป็นเต่า


รอเชือดกิน แต่ความจริงคือเจ้าฉลามนั่นต่างหากที่ต้องเป็นเต่ารอเชือดกินอย่างไม่ต้องสงสัย


 


ภาพที่ทุกคนเห็นอยู่ตอนนี้ฉลามขาวกำลังว่ายวนรอบๆซูจิ้งเหมือนกำลังรอจังหวะยังไม่ทำการจู่โจมใดๆ


ส่วนซูจิ้งเองก็ลอยแค่เล่นเฉยๆอย่างสบายอารมณ์แต่กลายเป็นคนอื่นที่กังวลจนแทบจะหยุดลมหายใจไปแทน


 


ซูจิ้งค่อยยกมือขึ้นไปสัมผัสผิวบนลำตัวฉลาม ด้วยอารามตกใจมันสะบัดตัวหนีและพุ่งเข้ามาพร้อมอ้าปากไปยังซูจิ้งทันที ซูจิ้งได้หัวและใช้มือง้างปากปลาฉลามไว้ก่อนที่จะดิ่งลงไปใต้น้ำพร้อมฉลามด้วยสภาพนั้น ความแรงในการดิ่งลงนั้นแรงจนทำให้เกิดน้ำวนตามมาในทันที


 


“อา… มันจบลงแล้ว”


 


“เราทำอะไรไม่ได้เลยหรอ”


 


“ไม่จริงน่า พี่จิ้งจะตายได้ยังไง”


 


ในบริเวณที่คลื่นน้ำที่ไล่ตามแรงของฉลามที่พุ่งลงไปจนกลายเป็นน้ำวนนั้น ตอนนี้เปลี่ยนกลายเป็นผิวน้ำกระเพื่อมขึ้นลงอย่างบ้าคลั่งและรุนแรง ประหนึ่งดังจะให้ทุกคนได้รู้ว่าตอนนี้ทั้งซูจิ้งและฉลามขาวกำลังต่อสู้กันอยู่จริงๆใต้น้ำ เริ่มมีคนสังเกตเห็นภาพดังกล่าวจนเขาทักในช่องแชทออกมา


 


“ทำไมไม่มีเลือดล่ะ”


 


“นั่นสิ น้ำไม่เป็นสีแดงเลย”


 


“อย่าบอกนะว่า…”


 


ทันใดนั้นมวลน้ำบริเวณนั้นก็ได้ดันขึ้นมาอีกครั้ง เป็นซูจิ้งที่โผล่ขึ้นมาในตอนนี้เหมือนเขาค่อยโผล่ขึ้นมาทีละน้อยทีละน้อยจนเผยให้เห็นว่าเขานั้นกำลังนั่งอยู่บนหลังของสิ่งมีชีวิตบางอย่าง นั่นคือฉลามขาว เขานั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้า และมีร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์ดีไม่มีร่องรอยโดนกัดแม้แต่น้อย ไม่มีแม้แต่รอยฉลามข่วน ซูจิ้งได้สั่งให้ฉลามขาวว่ายไปเทียบเรืออย่างช้าๆและนุ่มนวลโดยไม่มีเค้าโครงความดุร้ายให้เห็นเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้มันได้ทำให้ตัวมันเองลอยอยู่ข้างเรือประหนี่งดังมันกลายเป็นเรืออีกลำหนึ่งไปแล้ว


 


หลิวฉิง ผู้จัดการหวัง และคนอื่นๆตอนนี้นิ่งอิ้งเงียบไป พวกเขาจ้องซูจิ้งตาไม่กระพริบจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งโพล่งออกมาว่า “พระเจ้า พี่จิ้งยังอยู่ดี พี่จิ้งสามารถจับฉลามมาฝึกได้จริงๆ” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดอย่างดังพร้อมหายใจมาอย่างหนักพลางเอามือไปปาดน้ำตาตัวเองที่หางตา


 


“พระเจ้าพี่จิ้งยังไม่ตาย”


 


“แถมยังฝึก ฝึกฉลามขาวได้จริงๆซะอีก”


 


“ดูนั่นสิ เขาขี่มันได้เหมือนเป็นม้าตัวนึงเลย”


 


“ฉันต้องกินหญ้าแล้วแน่ๆ พี่จิ้งต้องมาจากสวรรค์แหงๆ”


 


“ช่างน่ามหัศจรรย์พันลึกยิ่งนัก 666”


 


“พี่จิ้งงงง… ไม่สิท่านเทพ โปรดน้อมรับการคารวะ”


 


ในตอนนี้เหล่าผู้คนที่เป็นห่วงซูจิ้งจนทำอะไรไม่ถูกอย่าง มู่หรงเซียนเอ๋อ นาลันเฟย มู่หรงฉิน ซี่เหลา เบยเจียฮัว และคนอื่นๆในตอนนี้ต่างตะโกนกู่ร้องดังก้องไปทั่วต่อหน้าคอมพิวเตอร์ทันทีที่เห็นว่าซูจิ้งปลอดภัยดี ต่างกับพวกตงเจียและสาวๆในร้านของฉือชิงที่ได้แต่ทำหน้างงงวยแล้วหันไปมองฉือชิง พวกเธอเข้าใจในทันทีว่าทำไมฉือชิงไม่มีท่าทีกระวนกระวายใจใดๆ สำหรับเรื่องแบบนี้แล้ว ถ้าเป็นท่านเทพนั้นไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลยซักนิด


 


“นี่คืออออ…เรื่องจริงหรอ” ฉิวหยุนจิน ชายหน้ายาว เว่ยหยิน และคนที่กำลังดูสตรีมอยู่ที่เกลียดซูจิ้งจนกระทั่งอยากให้เขาตายๆไปซะต่างรู้สึกไม่อยากยอมรับสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ฯ ซูจิ้งที่กระโดดจากเรือลงทะเลเพื่อที่จะจับปลาฉลามขาวยักษ์มาเลี้ยง ปรกติมันควรจะถูกกัดจนตาย ถูกกินไม่เหลือซากไปแล้วนี่ ทำไมไม่ถูกกัดเลยสักนิด จะบอกว่าเขาจับมันมาฝึกได้จริงๆอย่างนั้นหรอ


 


“ให้ฉันแสดงให้ดูแล้วกันนะว่ามันทำอะไรได้บ้าง เรามีดูกันว่าอะไรขี่ทะยานฟ้าและอะไรคือผ่าเกลียวคลื่น” ซูจิ้งพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ดังก้อง ทันใดนั้นเขาได้ตบลงไปบนหลังของฉลามขาวแล้วพูดออกมาว่า “เจ้าขาวใหญ่ ว่ายวนรอบเรือให้เร็วที่สุดเลยนะ”


 


ทันทีที่สิ้นเสียงซูจิ้ง ฉลามขาวยักษ์ได้ว่ายออกไป มันทำตามที่ซูจิ้งอย่างไม่มีรอโดยการว่ายรอบเรือเป็นวงกลมโดยเรือเป็นจุดศูนย์กลาง ด้วยการที่ฉลามขาวยักษ์ว่ายเร็วมากจึงทำให้น้ำกลายเป็นร่องและกระจายออกจนเหมือนเจ็ทสกีแล่นวนไปรอบๆก็ไม่ปาน


 


“แ-งเอ๊ย สุดยอด โคตรเท่เลย”


 


“นั่นมันเจ็ทสกีชัดๆ”


 


“เจ็ทสกีก็บ้าแล้ว นั่นมันฉลามขาวชัดๆ”


 


“ฉันอยากขี่มันบ้างจัง”


 


“ห้ะอย่างนายเนี่ยนะจะไปขี่ฉลามขาว”


 


ในตอนนี้ห้องแชทที่ซูจิ้งกำลังสตรีมอยู่นั้นราวกับระเบิดลงเพราะว่าเต็มไปด้วยของรางวัลที่กระหน่ำส่งมาให้ ตอนนี้ยอดคนดูพุ่งสูงขึ้นตามจังหวะหายใจเลยก็ว่าได้ ข้อความในช่องแชทก็ขึ้นไม่ขาดสายจนอ่านไม่ทันเช่นกัน การที่ซูจิ้งทำการจับสัตว์อย่างเจ้าฉลามขาวตัวนี้เลี้ยงได้จนสำเร็จ ส่งผลให้ชื่อเสียงพุ่งสูงขึ้นราวกับโดนถีบขึ้นไปบนสวรรค์เลยทีเดียว

 

 

 


ตอนที่ 725

 

สะกดจิตได้ซักที


 


ตอนนี้ในช่องสตรีมของซูจิ้งได้มียอดผู้เข้าชมอยู่ 1.5 ล้านคนเป็นที่เรียบร้อยและยังพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ


วิดีโอของซูจิ้งได้ถูกปล่อยออกไปบนอินเตอร์เน็ตเป็นวงกว้าง


แค่วิดีโอการเล่นกูจิ้งสามเพลงนั่นก็สร้างความฮือฮาไม่ใช่น้อยแล้ว


นี่ยังไม่ต้องพูดถึงการจับปลาฉลามขาวยักษ์เลยซักนิดที่ทุกคนที่เห็นในครั้งแล้วต่างนิ่งอึ้งไปในทันที


 


“พระเจ้าทรงโปรด ไม่จริงใช่รึเปล่านี่เขาจับฉลามขาวมาเลี้ยงได้ด้วยมือเปล่าเนี่ยนะ”


 


“ซูจิ้ง หลังจากที่เขาขี่อินทรีทองและหมาป่าสงครามแล้ว นี่เขายังขี่ฉลามขาวยักษ์อีก บนโลกนี้ยังจะมีคนสู้กับเขาได้อีกหรอ”


 


“ช่างน่ามหัศจรรย์จริง ตอนนี้เขาสตรีมที่ไหนกัน ฉันชักอยากจะไปให้เห็นกับตาซะแล้วสิ”


 


ตอนนี้ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาดูการสตรีมของซูจิ้ง


ผู้คนที่เข้ามาดูต่างเรียกร้องให้ซูจิ้งสตรีมต่อไป


แต่ในตอนนี้เอง ซูจิ้งได้เปิดโทรศัพท์ขึ้น เขาได้รับโทรศัพท์ที่กระหน่ำโทรเข้ามาอย่างมากมาย


ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ของเขา มู่หรงเซียนเอ๋อ  จูเจียนฮัว และคนอื่นๆ


เพราะพวกเขานั้นต่างตกใจในสิ่งที่ซูจิ้งได้ทำลงไป โดยเฉพาะพ่อแม่ของเขาที่บ่นเขาจนหูชาและให้เลิกเล่นแบบนี้ได้แล้ว


 


ความจริงนั้นซูจิ้งอยากจะสตรีมต่ออีกซักหน่อยแต่คิดไปคิดมาเขาก็คิดว่านี่คงจะถึงที่สุดของการสตรีมนี้แล้ว


เพราะว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะทำเรื่องแผลงๆแบบนี้ต่อให้มันปลอดภัยก็ตาม


ยกตัวอย่างเช่นการสตรีมจับฉลามขาวยักษ์ตัวนี่มาเลี้ยง


เขานั้นสามารถทำได้อย่างง่ายๆอยู่แล้วเพราะเขามีพลังจิตที่จะทำให้เจ้านี่เชื่องและเชื่อฟังเขาอย่างว่าง่าย


พอทำอะไรนิดหน่อยก็ทำให้คนตื่นเต้นและศรัทธาเคารพบูชาเขาจนทำให้มีพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลมาเทมาอย่างไม่ขาดสาย


แต่เขาก็ได้ทำให้พ่อแม่ของเขากังวลอย่างที่สุด ต่อให้เขาบอกว่าไม่มีทางเป็นอันตรายยังซะก็ไม่มีพ่อแม่ที่ไหนอยากให้ทำเรื่องแผลงๆแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม


เขาเลยคิดว่าจะหยุดสตรีมซะดีกว่า


 


หลังจากรับสายเหล่านั้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาหันไปบอกกับกล้องว่า “เอาเป็นว่าเราจบการสตรีมดีกว่าเนาะ แล้วพบกันใหม่นะ” ซูจิ้งพูดเสร็จทำให้เหล่าผู้ชมที่เข้ามาต่างทำเสียงโห่ร้องในช่องแชททันที


ส่วนคนที่ตามมาด้วยอย่างผู้จัดการหวังและทีมงานต่างก็ยังหวังอยู่ว่าซูจิ้งจะสตรีมต่อไป


แต่ไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องเรตติ้งผู้ชมที่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่เปิดเว็บของพวกเขามาเท่านั้น


แต่ตอนนี้พวกเขาจะได้เห็นอะไรที่เจ๋งพอๆกับการจับฉลามขาวยักษ์ด้วยมือเปล่าแบบนี้อีก หรือไม่ก็เจ๋งกว่านี้ก็ยิ่งดี


 


“พี่จิ้ง คนอื่นสามารถขี่เจ้าฉลามขาวยักษ์นี่ได้รึเปล่า” หลิวฉิงถามพร้อมจ้องไปยังฉลามขาวตัวเท่าเรือที่ลอยคอรอซูจิ้งอยู่ด้วยสายตาใสแหนว


 


“แน่นอนสิ แค่นายกระโดดลงไปแล้วปีนขึ้นหลังมันแค่นั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมา


 


หลิวฉิงมองลงไปที่ฉลามขาวยักษ์นั่น ใจของเขาตอนนี้ใจเต้นระส่ำระสาย


เขานึกถึงตอนที่ซูจิ้งขี่ฉลามขาวตัวนี้ช่างเท่ซะเหลือเกิน เขาเองก็อยากลองดูบ้าง สำหรับเขามันดูเหมือนเรือใบมากกว่าเจ็ทสกีซะอีก ถ้าเขาขี่มันได้มันต้องเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่ดีแน่ๆ


 


ปัญหาคือยังไม่ต้องนึกถึงการที่กระโดดลงไปเลย เจ้านี่ถูกจับมาโดยซูจิ้ง แต่เขาไม่ใช่ซูจิ้ง


ถ้าอยู่ๆกระโดดลงไปแล้วมันตกใจกระโดดงาบเขาเข้าไป ไม่ต้องเคี้ยวหรอก มันกลืนเขาลงไปได้ทั้งตัวในทีเดียวก็ยังได้


ตอนนี้ภาพในหัวเขามีต่อภาพปากกว้างๆนั้นกำลังเคี้ยวด้วยความเอร็ดอร่อยจนชุ่มปาก


 


“เอ้าถ้านายไม่ขี่มันฉันไล่มันไปแล้วนา… เอาหล่ะเจ้าขาวใหญ่ ไปได้แล้ว แล้วอย่าได้ไปกัดคนเข้าอีกหล่ะ”


ซูจิ้งพูดไปอย่างนั้น ฉลามขาวยักษ์ก็ได้หันหัวออกไปและดำดิ่งลงไปยังท้องน้ำจนหายไปจากระยะสายตา ระหว่างทางมันไปเจอเข้ากับเจ้าเสือมันก็เลยตามเจ้าเสือไป


ซูจิ้งพลางนึกไปว่าต่อให้ฉลามขาวจะอ่อนแอก็จริง แต่ถ้าขุนมันซะหน่อยก็คงจะช่วยเจ้าเสือขนสมบัติได้บ้าง


 


การสตรีมในตอนนี้ได้จบลงแล้ว แต่แค่วิดีโอการเล่นกู่จิ้งสามเพลง และวิดีโอการจับฉลามขาวยักษ์ของซูจิ้งยังไม่ได้จบลงแต่อย่างใด


ชาวเน็ตได้พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องราวของซูจิ้งทั้งวันทั้งคืนซึ่งนั้นถือได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่แก่ซูจิ้ง ตอนนี้พลังศักด์สิทธิ์ที่ได้มานั้นถือได้ว่ามากที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยได้รับมา หลังจากดูดซับเสร็จแล้วทำให้ตอนนี้พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นไปเป็นอยู่ 520 ชั่ง


“ตอนนี้สมควรแก่เวลาที่ฉันจะควบคุมหวู่หลิวหยิงได้แล้วนะ” คืนนั้นตอนกลางดึกซูจิ้งได้เข้าไปในโรงพยาบาลตอนนี้เขาอยู่ข้างๆเตียงของหวู่หลิวหยิง


ตอนนี้หวูหลิวหยิงฝันร้ายขนาดหนัก เหนื่อยหอบ เหงื่อแตกเต็มกาย ข้างๆเตียงก็ได้มีหมอและพยาบาลประจำตระกูลยืนอยู่ซึ่งทั้งสองได้ถูกสะกดเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน


ตอนนี้ซูจิ้งไม่รอให้หวู่หลิวหยิงจนตื่นแน่นอนเขาได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปยังสมองของหวู่หลิวหยิงอย่างช้าๆ


 


โดยปกติแล้วถ้าคนทั่วไปโดนสะกดจิตจะต้องมีการต่อต้านจากจิตใจบ้างซักเล็กน้อยก่อนที่จะถูกครอบงำได้อย่างสมยูรณ์ ซึ่งการต่อต้านนี้ถ้าถูกฝืนบังคับมากๆจะเข้าสู่โหมดทำลายตัวเอง ทำให้สมองเสียหายจนกลายเป็นตุ๊กตาปัญญาอ่อนตัวหนึ่ง การที่จะทำให้การสะกดจิตสำเร็จได้นั้นจะเป็นต้องให้ระบบต่อต้านนี้ยอมรับกระแสจิตที่ส่งเขาไปเหมือนเป็นเจ้าของบ้านให้ได้จึงจะสำเร็จ


 


เนื่องจากซูจิ้งไม่ได้ต้องการตุ๊กตาโง่ๆเขาต้องการให้ผู้นำตระกูลหวู่เป็นตุ๊กตาที่ยังมีปัญญาอยู่ทำให้เขาต้องใช้ความระมัดระวังในการสะกดจิตอย่างดี


 


ช่วงหลายวันมานี้หวู่หลิวหยิงถูกหลอกหลอนโดยเจ้าผีร้ายอยู่แทบจะทั้งวัน


ทำให้ในตอนนี้พลังใจ(พลังจิต)ของเขาอ่อนแอลง ซึ่งหมายถึงว่าความสามารถในการป้องกันทางด้านจิตใจของเขาได้อ่อนแอตามไปแล้ว


บวกกับในตอนนี้พลังจิตของซูจิ้งแข็งแกร่งขึ้นมาก เขามั่นใจได้เลยว่าวันนี้เขาต้องควบคุมหวู่หลิวหยิงได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน


 


อย่างที่เขาคิดไว้เลยหวู่หลิวหยิงมีแรงใจที่แข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป


ขนาดถูกหลอกหลอนด้วยเจ้าผีร้ายแทบจะทั้งวันก็ยังไม่ลดลงเท่าไหร่แต่อย่างน้อยๆก็ยังเกิดช่องว่างทางจิตใจอยู่


ซูจิ้งอาศัยจังหวะนี้ในการแทรกซึมกระแสจิตเข้าไปตามช่องว่างดังกล่าว


ทันทีที่เขาควบคุมหวู่หลิวหยิงได้อย่างสมบูรณ์


เขาสั่งให้ร่างกายและจิตใจของหวู่หลิวหยิงรู้สึกผ่อนคลายประดุจดั่งได้รับเวทมนต์ฟิ้นฟูร่างกาย


เหมือนกับซูจิ้งได้มอบนมอุ่นๆแค่แก้วเดียวในขณะที่หวู่หลิวหยิงร่างกายและจิตใจกำลังหนาวสั่นเย็นสุดขั้ว


 


อย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ หวู่หลิวหยิงในตอนนี้ยอมรับกระแสจิตของซูจิ้งอย่างสมบูรณ์ ไม่คิดขัดขืนใดๆ


ซูจิ้งจึงอาศัยจังหวะนี้ส่งกระแสจิตเข้าไปในสมองอีกของหวู่หลิวหยิงอีกครั้ง ถึงแม้จะมีการต่อต้านอยู่บ้าง


แต่ก็ยังช้าเกินไปเพราะกระแสจิตของซูจิ้งเข้าไปในสมองส่วนสำคัญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


ยี่สิบนาทีต่อมาซูจิ้งค่อยๆรีบตาขึ้นโดยมีหวู่หลิวหยิงค่อยๆลืมตาขึ้นตามอย่างช้าๆ


เมื่อเห็นซูจิ้ง หวู่หลิวหยิงได้ลุกขึ้นนั่งในทันทีพร้อมพูดคำว่า “นายท่าน” นั่นหมายความว่าซูจิ้งสามารถสะกดจิตหวู่หลิวหยิงได้อย่างสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว


 


“จากนี้ไปนายไปข้ารับใช้ของฉัน ทำงานให้ฉัน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเราจะต้องทำเป็นปกติ อย่าได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา รวมถึงต่อภรรยาและลูกของนายด้วย” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“เข้าใจแล้วครับ” หวู่หลิวหยิงพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน


 


“บอกฉันเกี่ยวกับตระกูลหวู่ทั้งหมดหน่อยสิ ทั้งเรื่องธุรกิจ และเงินที่สามารถดึงมาใช้จ่ายได้” ซูจิ้งถามหวู่หลิวหยิงที่ถูกสะกดจิตสมบูรณ์แล้ว


ซึ่งแน่นอนว่าหวู่หลิวหยิงไม่มีทางหมกเม็ดแม้แต่น้อย เมื่อซูจิ้งได้ยินข้อมูลทั้งหมดเขาถึงกับต้องถอนหายใจยาวๆทันที


ตระกูลหวู่นั้นถึงแม้จะดูดีจากคนภายนอกแต่ข้างในกำลังถึงจุดวิกฤตทางการเงิน


ถึงธุรกิจแต่ละอย่างจะทำรายได้มหาศาลก็จริงแต่กลับไม่มีเงินทุนหมุนเวียนมากพอ


แม้แต่เงินที่หวู่หลิวหยิงสามารถดึงออกมาใช้จ่ายได้ก็มีเพียงน้อยนิดเท่านั้น


 


ในที่สุดแล้วซูจิ้งจึงได้สั่งให้หวู่หลิวหยิงหาทางยักย้ายถ่ายเทของตระกูลมาลงที่ศูนย์วิจัยของเขาให้ได้เดือนละหนึ่งร้อยล้านหยวน ส่วนเรื่องวิธีการนี่เขาก็คงต้องปล่อยให้คุณหัวหน้าตระกูลผู้นี้หาทางเอาเอง


“อ้อ แล้วก็พรุ่งนี้ช่วยแนะนำฉันให้โอวฉิงหยุนหน่อยสิ” ซูจิ้งพูดออกไป


ถึงแม้เขากับโอวฉิงหยุนรู้จักกันแล้วก็จริงแต่ก็แค่คำพูดแค่นั้น เรียกว่าแค่รู้ชื่อซะยังจะถูกต้องซะกว่า


ถึงแม้ตระกูลหวู่นั้นจะส่งโอวฉิงหยุนมาในฐานะสปายแต่เมื่ออัจฉริยะอยู่หน้าบ้านแล้วจะไม่เอามาใช้งานก็กระไรอยู่


ที่ซูจิ้งต้องทำอย่างนี้เพราะว่าครั้งก่อนเขาได้ลองสะกดจิตโอวฉิงหยุนดูแล้วแต่ไม่สามารถสะกดจิตแบบสมบูรณ์ได้


เขาจึงอยากให้หวู่หลิวหยิงทำให้โอวฉิงหยุนมีความเชื่อถือในตัวเขาจนลดการป้องกันทางด้านจิตใจจะได้สะกดจิตง่ายขึ้น


 


“อา… ดูเหมือนว่าการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารจะทำได้มากกว่าที่คิดแหะ” ซูจิ้งเม้มปากเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง ช่วงไม่นานมานี้ หวังซือหยาและหวังเจ้าได้แบ่งส่วนแบ่งให้เขาเพิ่มเติม ถ้าได้เงินจากหวู่หลิวหยิงและมีโอวฉิงหยุนเข้ามาทำงานให้ น่าจะพอขยายได้อยู่

 

 

 


ตอนที่ 726

 

ขยะล็อตใหม่


 


วันต่อมาหวู่หลิวหยิงได้แนะนำซูจิ้งกับโอวฉิงหยุนตามที่ซูจิ้งได้สั่งไว้นั่นทำให้โอวฉิงหยุนประหลาดใจเล็กน้อย เขาคิดว่าหวู่หลิวหยิงจะไม่ยอมให้เขาแสดงพิรุธเพื่อที่จะเข้าไปขุดข้อมูลจากสถาบันวิจัยของซูจิ้งซะอีก แต่นี่เขากลับมาแนะนำเขาให้กับซูจิ้ง หรือว่าหวู่หลิวหยิงได้ร่วมงานกันเรียบร้อยแล้วนะ


 


ถึงแม้จะสงสัยอยู่บ้างแต่ตระกูลหวู่ทั้งหมดในตอนนี้ได้หวังเพิ่งโอวฉิงหยุน


แต่หัวหน้าตระกูลหวู่อย่างหวู่หลิวหยิงมาทำแบบนี้เขาก็ไม่กล้าจะถามอะไรมากกลัวเป็นพิรุธ


จริงได้เผลอคิดยอมรับการร่วมงานครั้งนี้ไปทำให้ซูจิ้งอาศัยจังหวะนี้ส่งกระแสจิตเข้าไปแทรกซึมในสมองทำให้เขาควบคุมโอวฉิงหยุนได้อย่างสมบูรณ์


 


หลังจากสะกดสมบูรณ์แล้วซูจิ้งให้โอวฉิงหยุนไปทำงานในสถาบันวิจัย โดยเขาได้เพิ่มเงินเพื่อขยายกำลังการผลิตปฏิสสารเพิ่มเติมจนตอนนี้แผนดังกล่าวได้ขยายมากกว่าตอนแรกสี่เท่าตัว


 


ความจริงแล้วมีแต่ซูจิ้งที่รู้เรื่องหวู่หลิวหยิงและโอวฉิงหยุน เอาจริงๆแม้แต่หวู่ฉิงติงก็ยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น


ยังคิดว่าโอวฉิงหยุนเข้าทำงานที่สถาบันได้เป็นเรื่องปกติและยังรอคอยความลับของสถาบันวิจัยแห่งนี้ด้วยความหวังที่เต็มเปี่ยม


แถมตอนนี้ทุกคนในตระกูลต่างดีใจกันทั่วหน้าเพราะว่าในที่สุดแล้ว


ผู้นำตระกูลอย่างหวู่หลิวหยิงได้หายจากอาการฝันร้ายโดยไม่ได้สงสัยอะไรว่าเป็นสาเหตุเลยซักนิด


แม้แต่คนที่คอยบงการให้ตระกูลหวู่ทำแบบนี้ก็ยังไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย


 


ไม่กี่วันต่อมาเฉิงหนานได้คัดคนที่มีความสามารถมาได้สามคน พวกเขานั้นค่อนข้างมีความรู้พอสมควรและน่าจะพอช่วยเหลืองานในสถาบันวิจัยได้บ้าง


แต่สำหรับซูจิ้งนั้นแทบจะบอกได้เลยว่าไร้ค่าเพราะเหล่าผู้คนเช่นนี้ คนที่ไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีความแค้น ไม่มีผลประโยชน์


ทำให้ไม่สามารถสะกดจิตได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน ถ้าเขาใช้ธงหลอนจิตอีกครั้งก็อาจเป็นจุดสังเกตุได้


ถ้าไม่ใช้การสะกดสำเร็จก็เป็นไปได้ยาก ตอนนี้เขาคงทำได้แค่เพียงเก็บคนพวกนี้ไว้เป็นตัวสำรองไปก่อน


 


ในตอนเช้าซูจิ้งได้รับโทรศัพท์จากหวังซือหยาโดยเธอได้โทรมาบ่นกับซูจิ้งว่า “อาจิ้งถ้านายจะแสดงกู่จิ้งสดฉันก็ไม่ว่าหรอกนะ แต่ไอ้การจับฉลามขาวยักษ์นั่นมาเลี้ยงมันอะไรกัน อันตรายเกินไปแล้ว”


เธอนั้นเมื่อวานมีแต่เรื่องวุ่นๆก็เลยไม่มีเวลาสนใจอะไรจนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าซูจิ้งแสดงสดไป


วันนี้เธอถึงมีเวลาว่างดูอินเตอร์เน็ตจึงเพิ่งรู้เรื่องและได้รีบโทรหาทันที


เธอนั้นชอบเพลงทั้งสามอย่างไม่ต้องสงสัยแต่ไอ้การไปตีกับฉลามขาวนี่สำหรับเธอมันเกินไป


 


“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไรหรอกน่า ลืมไปแล้วหรอว่าผมเป็นปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“ยังจะมายิ้มอีกนี่พูดจริงๆจังนะ ก็ใช่ที่นายเป็นปรมาจารย์นักฝึกสัตว์แต่มันก็ยังโอกาสผิดพลาดกันได้ แถมนั่นมันฉลามขาวเลยนะ แค่กัดทีเดียวก็ตายได้แล้ว อย่ามั่นใจในความสามารถของนายจนประมาทดีกว่า” หวังซือหยาพูดออกมา


“จ้าๆ ไว้คราวหลังจะระวังครับ  ว่าแต่คุณโทรมาเพื่อจะบ่นผมแค่นี้อ่ะนะ”


ซูจิ้งไม่สามารถได้บอกอย่างหมดเปลือกหรอกว่าได้เตรียมการเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนแถมวิธีการฝึกของเขาไม่ใช่การฝึกทั่วไปแต่เป็นการทำพันธสัญญา


ซึ่งโอกาสผิดพลาดแทบไม่มีเลย ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยร่างกายของเขาที่กินผลชาถังเข้าไป 5 ผล


ตัวเขาเปรียบได้ดั่งสัตว์น้ำตัวหนึ่งเลยก็ว่าได้ ต่อให้เขาต้องทะเลาะต่อยตีกับฉลามขาวทั้งวันทั้งคืนก็ไม่มีปัญหา


แต่ก็อีกนั่นแหล่ะเรื่องพวกนี้เขาอธิบายไปก็เท่านั้น ไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดีทำให้ต้องยอมจำนนต่อไป


 


“อ้ะใช่ๆ ยังมีเรื่องอื่นอีกนี่นา” หวังซือยาทำได้แต่ยอมถอดใจเปลี่ยนเรื่องพูด “ฉันมีเรื่องอื่นจะบอกด้วย อย่างแรก ผงเสริมทรวงอกผลิตเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะมีงานเปิดตัวพรุ่งนี้ นายสนใจจะเข้าร่วมไหม”


“จะให้ไปเพื่อ….. มันเป็นงานเปิดตัวสินค้าสำหรับผู้หญิงไม่ใช่รึไง” ซูจิ้งพูดไปพร้อมเกาจมูกอย่างสงสัย


 


“หึหึหึ ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ทั้งหมดที่เราลงทุนร่วมกันนี่ก็มีแต่ของผู้หญิงทั้งนั้นนี่นะ ทั้งผงเหม่ยหยาน ผงลดน้ำหนัก ผงลบเรือนริ้วรอย ของพวกนี้ใครคิดค้นล่ะ ก็นายไม่ใข่หรอ นี่ยังไม่รวมชั้นในกระชับซัดส่วน ชุดว่ายน้ำและอย่างอื่นอีก แทบจะบอกได้ว่านายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผู้หญิงเลยนะ ยังไม่รวมถึงตอนนี้นายเป็นดาราแล้วอีก ถ้านายไปล่ะก็ลดค่าใช้จ่ายโปรโมทได้เยอะ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


ซูจิ้งนึกไปนึกมาพรุ่งนี้เขาเองก็ไม่ได้มีอะไรทำอยู่แล้วแถมทั้งหวังซือหยาและดงซุนเองก็ยังเป็นคนคอยหาเงินให้เขาอีก


นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลิตภัณฑ์ทุกอย่างของบริษัทซือหยาคอสเมติกที่ล้วนมาจากเขา


ถึงเขาไปก็คงไม่ดูน่าเกียจหรอกมั้ง ซูจิ้งจึงตอบตกลงกับซือหยาไป


และทั้งสองก็ได้พูดคุยกันต่ออีกนิดหน่อยก่อนที่จะวางสายไป


 


ผลจากการที่ซูจิ้งสตรีมไว้เมื่อวานแม้จะจบไปนานแล้วแต่ผู้คนในโลกอินเตอร์เน็ตก็ยังพูดถึงเรื่องนี้กันอยู่ดี


แถมกลายเป็นว่ายิ่งพูดคุยกันยิ่งกว่าเมื่อวานซะอีก การพูดคุยร้อนแรงถึงขั้นที่ว่าซูจิ้งไม่อยากจะออกจากบ้านกันเลยทีเดียว


ซูจิ้งจึงเลือกที่จะนำเหรียญตราเทวฑูตออกมาเพื่อดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์


และทำการบ่มเพาะพลังวิถีแห่งใต้หล้า ฝึกฝนเพลงมวย ฝึกฝนเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ


และทำการฝึกฝนทักษะการใช้แบบผสมผสานระหว่างพลังจิต พลังร่างกาย และพลังภายใน ในไม่ช้าเขาก็รู้สึกตัวว่าถึงตอนเย็นแล้วเขาจึงได้หยุดฝึกฝน


 


ตอนนี้ซูจิ้งจะต้องเผชิญกับปัญหาที่น่ารื่นรมย์อีกครั้ง นั่นก็คือฉือชิงมาค้างที่บ้านเขาอีกแล้ว ความจริงนั้นพ่อแม่ของเธอก็ไม่อยากให้มานักหรอกเพราะสำหรับคนรุ่นเก่าแล้วการที่ผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงานไปนอนค้างบ้านผู้ชายค่อนข้างที่จะเป็นผู้หญิงที่ไม่รักนวลสงวนตัว กลัวเป็นขี้ปากชาวบ้าน แต่ในไม่ช้าพ่อแม่ของเธอก็ยอมรับได้เพราะว่าที่ลูกเขยของพวกเขาในตอนนี้เปรียบได้ดั่งเต่าทองคำที่มีแต่คนคอยจับจ้องจะตีหัวลากเข้าบ้าน การที่ให้เธอมานอนค้างบ้านเขานอกจากจะไม่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านแต่กลับเป็นได้รับความอิจฉาอย่างช่วยไม่ได้ พวกเขาจึงต้องยอมทำเป็นปิดตาไว้ข้างหนึ่งเพราะกลัวว่าเต่าทองของพวกเขาจะหนีหายไป


ช่วงประมาณตีสองถึงตีสามฉือชิงยังคงหลับอยู่ ในมือเธอได้มีเศษหินวิญญาณ​ที่ซูจิ้งแอบยัดใส่ไว้กับเธอ หลังจากนั้นไม่นานเศษหินวิญญาณ​ก็หมดพลังลง และที่สำคัญตอนนี้เขาเหลือเจ้าแร่นี้น้อยมากๆ


“ส่วนหนึ่งเก็บไว้ให้พ่อแม่ อีกส่วนให้น้องสาวตัวแสบ อีกส่วนเก็บไว้ให้ฉือชิง นี่ฉันผลาญเศษแร่ไปเร็วเหมือนกันแหะตอนนี้ก็ใกล้หมดแล้ว ตอนนี้เหลือแค่เศษแร่นิดหน่อยกับแก่นหินแร่นิดหน่อยเอง คงต้องหยุดใช้ซักพักหล่ะนะ นอกซะจากว่ามีความจำเป็นจริงๆ เฮ้ออออ” ซูจิ้งรู้สึกเซ็งๆเล็กน้อย เขานั้นเข้าใจถึงความล้ำค่าของเศษแร่หินวิญญาณ​และแก่นกำเนิดวิญญาณ​เหล่านี้ดี ถ้าพวกมันหมดไปจริงๆล่ะก็เมื่อถึงคราวจำเป็นล่ะก็ต้องวุ่นวายแน่นอน


 


ทันใดนั้นเสียงนาฬิกาก็ได้ดังขึ้น โดยเสียงนั้นเป็นเสียงเบาๆแค่นั้น บวกกลับด้วยการสะกดจิตของซูจิ้งทำให้ฉือชิงยังคงนอนหลับอยู่อย่างสบายอารมณ์ ทันใดนั้นตาของซูจิ้งสว่างโล่ขึ้นมาทันที เขานั้นหยิบโทรศัพท์และปิดนาฬิกาปลุกรีบเปลี่ยนเสื้อผ้านำบรรดาสัตว์เลี้ยงลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว


 


พวกเขาเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ได้เห็นหลุมมิติหมุนวนอยู่กลางท้องฟ้า


พร้อมทั้งค่อยๆมีสิ่งของล่วงหล่นลงมาและมากขึ้นตามลำดับ ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตออกไปสำรวจในทันที


พร้อมทั้งคอยให้เหล่าสัตว์เลี้ยงคอยลาดตระเวนอยู่ใกล้ๆ


หลังจากที่กองขยะถมกันจนมีความกว้างและยาวอยู่ที่เจ็ดร้อยเมตรและสูงเกินกว่าสามร้อยเมตรการไหลของขยะจากประตูก็ได้หยุดลง


หลุมมิติค่อยๆเลือนลางจางหายไป หลังจากประเมินคร่าวๆแล้วขยะคราวนี้มากกว่าคราวก่อนพอสมควร


 


ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตโหมกระหน่ำเข้าสู่กองขยะเพื่อเป็นการกระตุ้นให้สิ่งมีชีวิตที่อาจติดมาด้วยเคลื่อนไหวซึ่งเขาก็ยังไม่การเคลื่อนไหวใดๆ หลังจากนั้นซูจิ้งจึงได้เริ่มสำรวจจัดการแยกแยะกองขยะใหม่นี้ ขยะกองนี้ในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่เต็มไปด้วยฝุ่นผง โคลน เศษผ้า ดาบหัก ใบไม้ ขนไม้กวาด ฯลฯ เท่าที่ดูจากสภาพเขาคาดการณ์ว่าขยะกองนี้น่าจะมาจากห้วงเวลาฯที่บรรยากาศค่อนข้างจะเก่าแก่พอสมควร แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่ามาจากห้วงเวลาฯไหน


 


ซูจิ้งได้เริ่มทำความสะอาดโดยการคัดแยก จัดหมวดหมู่ หยิบแปรงออกมาปัดๆ กวาดๆ พบเจอขนจำนวนหนึ่งถูกเก็บไว้ในหม้อแตกๆ


หยิบเศษผ้าออกมาจากกองก็เจอขนสัตว์อีกบางส่วนแถมยังเจอมูลสัตว์นิดหน่อย คล้ายๆกับขี้แมว เขายังเจอที่นอนผืนเล็กๆเหมือนที่นอนแมว


หยิบม้วนกระดาษขึ้นมา เขาไม่รู้เหมือนกันว่ามันคืออะไรเพราะกลิ่นข้างในม้วนกระดาษนั้นมันแรงมาก


ตอนนี้ซูจิ้งได้แต่คิดอย่างหนักแน่นว่า ความสุขทั้งหลายในโลกหล้าล้วนมาจากความเจ็บปวดทรมานทั้งสิ้น

 

 

 


ตอนที่ 727

 

ชิ้นส่วนกล่องชิ้นหนึ่ง


 


ซูจิ้งไม่รีบเร่งแม้แต่น้อย เขายังคงค่อยๆหาและรวบรวมต่อไป เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว


ภายในขอบเขตพลังจิตที่ซูจิ้งคอยปลดปล่อยเอาไว้เฝ้าระวังสังเกตุการณ์นั้น


ตอนนี้เขาเห็นว่าฉือชิงได้ตื่นพร้อมทั้งกำลังจัดเตรียมอาหารเช้าอยู่ ตอนที่เธอลงมาหาเพื่อเรียกซูจิ้งไปกินข้าวด้วยกันนั้น ซูจิ้งยอมผละออกจากเรื่องทุกอย่างเพราะเขาถือว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ


เขาเดินขึ้นไปพร้อมกินอาหารเช้ากับฉือชิง หลังจากนั้นฉือฉิงก็ได้ไปยังร้านขายเสื้อผ้า ส่วนซูจิ้งก็ตรงไปจัดการกับขยะของเขาต่อ


หลังจากนั้นไม่นาน เขาได้พบกล่องขนาดใหญ่จำนวนมาก


ซูจิ้งหยิบแต่ละกล่องขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดแต่เขาก็คิดว่ามันเป็นเพียงกล่องธรรมดาเขาจึงได้โยนมันเอาไว้กองรวมกันกับขยะประเภทไม้ชิ้นอื่นๆ


เขาโยนไปหลังตรวจสอบทีละกล่องทีละกล่อง พอเขาโยนไปได้ซักหกถึงเจ็ดกล่องเขาก็นึกอะไรบางอย่างได้พร้อมด้วยสายตาที่ส่องประกายแล้วหันไปมองกล่องพวกนั้นอีกครั้งหนึ่ง


เอาจริงๆแล้วกล่องพวกนั้นมันก็ดูคล้ายๆกัน ออกแบบได้ดูค่อนข้างประณีตแถมวัสดุที่ใช้ก็ดูไม่ธรรมดา ถึงแม้เขาจะไม่ใช่เหล่านักสำรวจหาสมบัติแต่ความสามารถของเขาก็เพิ่มขึ้นพอสมควรสำหรับเรื่องพวกนี้


 


“พระเจ้านี่มันกิ่งไม้แดงไม่ใช่หรอ” ซูจิ้งตกใจทันทีที่เขาดูกล่องนั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ที่มันถูกเรียกว่าไม้เปรี้ยวแดงนั้นเป็นเพราะว่าเมื่อตอนที่ตัดมัน เนื้อไม้จะส่งกลิ่นเปรี้ยวเหม็นอย่างรุนแรง


ไม้เปรี้ยวแดงนี้อยู่ในไม้สกุลเดียวกับไม้จันทร์ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งแต่น้ำหนักเบา ถึงขนาดที่ว่าลอยน้ำได้เลย และปกติแล้วกว่าไม้นี้จะสามารถนำมาใช้ได้ต้องเป็นไม้ที่อายุมากกว่าห้าร้อยปีขึ้นไป และยังมีสิ่งที่แตกต่างจากไม้ชนิดอื่นนั่นก็คือลายไม้ ลายของไม้แดงนั้น


โดยส่วนใหญ่จะมีลวดลายที่สวยเป็นเอกลักษณ์ซึ่งมีทั้งสีแดง น้ำตาลเข้ม จนไปถึงสีดำ และดำแดง นั่นทำให้คนต่างก็คิดว่ามันเป็นงานศิลปะจากธรรมชาติ


 


“ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ฉิงนั้น ไม้เปรี้ยวแดง ไม้จันทน์แดง และไม้ลูกแพรเหลือง ถูกรู้จักในนาม


“ยอดไม้สามอย่าง” ซึ่งในปัจจุบันก็ยังถือได้ว่าเป็นไม้ยอดนิยมหนึ่งห้า ทำให้ราคาของมันมีมูลค่าสูง”


 


แน่นอนว่าไม้เปรี้ยวแดงเองก็มีการแบ่งเกรดไว้เหมือนกัน ยิ่งลายไม้เป็นสีเข้ม ยิ่งผิวไม้เมื่อขัดแล้วมัน


ยิ่งมีลายถี่เท่าไหร่ ราคาก็ยิ่งสูงมากขึ้น ซึ่งต่อหน้าซูจิ้งในตอนนี้ถ้าเขาประเมินไม่ผิดไม้ที่ใช้ทำนี่คือไม้แดงที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในโลกใบนี้เลยก็ว่าได้


ซูจิ้งลองเปรียบเทียบกล่องไม้ที่ทำจากไม้เปรี้ยวแดงบนอินเตอร์เนตแล้ว เขาไม่เจอกล่องของที่ไหนที่สวยเท่านี้เลยสักนิด


เอาจริงๆคือต่อให้สรรหาไม้แดงชั้นดีบนโลกนี้มาทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีทางนำมาทำกล่องพวกนี้ได้สักใบเพราะไม้แดงชั้นหนึ่งที่มีการค้นพบนั้นน้อยมาก


ไม่ต้องพูดถึงการนำมาทำกล่องเก็บของ มันเหมาะกับการนำไปทำเครื่องเรือนหรูๆราคาแพงมากกว่า บอกได้เลยว่าถ้าเฉินฮงกับซงเหลาเห็นเข้านี่ต้องรู้สึกเสียดายแบบออกนอกหน้าแน่นอน


 


“นี่ทำให้ฉันนึกถึงเจ้ากล่องไม้ทองที่ได้จากห้วงเวลาฯการผันแปรของดวงดาวเลยแหะ” ซูจิ้งค่อนข้างประหลาดใจในเรื่องการนำไม้เปรี้ยวแดงมาทำกล่องเก็บของเหมือนกัน แต่เขาก็ยอมรับได้อย่างรวดเร็ว


ความจริงที่ว่าเขาเคยเห็นกล่องไม้ของจินสิหนานมาแล้ว  แต่สำหรับโลกใบนี้การนำไม้แดงมาทำกล่องใส่ของนี่ค่อนข้างเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่น้อยเหมือนกัน


 


ซูจิ้งยังคงคุ้ยขยะของเขาต่อไปเขานั้นเริ่มๆที่จะตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะเขาค่อยๆเจอไม้อย่างอื่นมากขึ้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นกล่องไม้ มีทั้งไม้ปีกไก่และไม้ชิงชัน แม้แต่วัสดุที่ใช้ประกอบเองก็เป็นของดีไม่น้อยเลย


ไม้ปีกไก่นี้ที่ถูกเรียงอย่างนี้ก็เพราะว่ามีลายไม้คล้ายกับปีกของไก่


ลักษณะลายไม้เป็นซี่ประกอบกันเป็นเส้น ผิวเรียบ และมีสีที่เป็นเอกลักษณ์ มีลำต้นตรงแต่ไม่มีวงปีต้นไม้ ถือได้ว่าเป็นไม้ที่สวยแปลกตาอีกชนิดหนึ่ง


สำหรับไม้ชิงชันนั้นเป็นชื่อเรียกของไม้ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า ดัลเบอเจีย โอดอริเฟเรีย มีเนื้อไม้สีเหลืองอ่อน ลักษณะเนื้อไม้หลวมเล็กน้อย มีแก่นไม้สีน้ำแดง เนื้อแน่น


นอกจากนี้ยังมีกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์พิเศษ นำไปใช้เป็นน้ำหอมได้ชื่อสามัญภาษาอังกฤษคือโรสวู้ด(ไม้กุหลาบ) ด้วยลักษณะพิเศษแบบนี้ซูจิ้งจึงมั่นใจได้ว่าเขาเข้าใจไม่ผิดแน่นอน


 


เจ้ากล่องไม้พวกนี้นี่ถ้าเหล่าช่างไม้ได้เห็นต้องร้องโอดโอยไม่น้อยนั่นก็เพราะว่าด้วยขนาดความยาวของกล่องแต่ละกล่องอยู่ที่ประมาณ 1 เมตร และดูเหมือนว่าจะไม่ใช่การนำไม้มาต่อกันซะด้วย


ดูเหมือนว่าห้วงเวลาฯของคนที่สร้างกล่องพวกนี้เจ้าไม้นี่คงจะค่อนข้างไร้ค่าน่าดูเลย ถ้าเกิดว่าไม้ท่อนนี้หลุดมายังโลกล่ะก็ บอกได้เลยว่าต้องการเฟอร์นิเจอร์ไม้สุดหรูมูลค่ามหาศาลมากมายนัก


 


“เจอไม้ชั้นเลิศเยอะขนาดนี้ดูเหมือนว่าขยะห้วงเวลาฯในครั้งนี้จะไม่ธรรมดาเลยแหะ” ซูจิ้งนึกไปพลางหันไปคุ้ยกองขยะต่อทันใดนั้นเขาก็ค้นพบกล่องเล็กๆกล่องหนึ่งซึ่งมีลวดลายแกะสลักที่ดูดีทีเดียว


 


ทุกๆด้านของกล่องนั้นมีลวดลายแกะสลักสุดแสนวิจิตรงดงามอยู่รอบด้าน เมื่อมองแวบแรกก็รู้ได้ในทันทีว่าช่างไม้ที่ทำต้องไม่ใช่ช่างที่มีฝีมือธรรมดา แถมไม้ที่ใช้ทำกล่องก็ยังเป็นไม้จันทน์แดง


ถึงแม้มันจะแตกไปแล้วก็ตาม ทันใดนั้นซูจิ้งสายตาเป็นประกายในทันที เขาหมุนไปที่ด้านหน้าของกล่องซึ่งมีลวดลายที่สวยงามกว่าด้านอื่นๆ ผู้แกะสลักยังฝังคริสตัลรูปวงรีเอาไว้สามเม็ด


โดยตรงกลางเป็นสีแดงส่วนอีกสองด้านเป็นสีน้ำเงิน ซึ่งมันสวยงามขนาดที่ว่าถ้ามองเผินจะเหมือนอัญมณีมีค่าได้เลย


“มันไม่ควรจะเป็นอัญมณีนะ เพราะว่ามันดูค่อนข้างไม่ค่อยสมเหตุสมผลเลยที่จะใช้ของจริงฝังไว้ในกล่อง”


 


ซูจิ้งปลดปล่อยพลังจิตในการดันคริสตัลทั้งสามก้อนให้หลุดออกมาจากภายใน คริสตัลทั้งสามนี้มีความกระจ่างใสและละมุนลูกตาอย่างมาก ซูจิ้งนำแว่นขยายและอุปกรณ์อย่างอื่นมาตรวจสอบดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ทันใดนั้นเจ้านกเล็กกับเจ้านกใหญ่ก็ได้ตะโกนลั่นอยู่หน้าประตูว่า “ถังฮ่าวมาหา” “ถังฮ่าวมาหา” (ถังเฮา)​


 


“ห้ะ เขามาทำอะไรกัน” ซูจิ้งถึงกับงงเพราะไม่รู้ว่าเขามาด้วยธุระเอาไรแต่เขาก็ยังคงออกไปต้อนรับอยู่ดี


ซูจิ้งพบถังฮ่าวพร้อมกับชายชราอายุประมาณ 50-60 ปี ยืนอยู่หน้าบ้าน


ถังฮ่าวยิ้มออกมาทันทีที่เห็นซูจิ้งพร้อมพูดว่า “ซูจิ้ง ช่วงนี้เหมือนจะก่อวีรกรรมไว้เยอะเหมือนกันนะเนี่ย ฉันได้ยินคนพูดถึงนายไม่หยุดปากเลย ฉันดูวิดีโอแล้วเหมือนกัน นั่นทำให้ฉันได้แนวคิดการทำวิดีโอใหม่ๆหลายอย่างเลยนะ ฉันขอคารวะขอบคุณนายเลย”


 


“ฮ่าฮ่า เรื่องเล็กน้อยน่า เข้ามาก่อนคุณหวู่คุณถัง พวกคุณคงมาไม่ใช่เพียงเพราะเรื่องแค่นี้แน่นอนใช่ไหมล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่ใช่แค่นี้ ตอนนี้นายได้เปิดโรงประมูลของตัวเองแล้วแถมก็ดีเป็นไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว ฉันค่อนข้างมั่นใจเลยว่าในของประมูลพวกนั้นต้องมีอัญมณีอยู่บ้างนะ ถ้าเป็นไปได้พวกเราเองก็อยากจะซื้ออัญมณีบางอันตัดมาก่อนน่ะ ถ้านายไม่ยอมกิจการของฉันก็คงชะงักแน่นอน” ถังฮ่าวทำหน้าบอกบุญไม่รับ


“ไม่ต้องพูดแบบนี้เลย” ซิ้งถึงกับพูดไม่ออก ชายคนนี้ชอบเล่นใหญ่ไปซะทุกครั้งจริงๆ


ลองนึกเล่นๆต่อให้ร้านของเขาโดนโจรปล้นก็ตามยังซะไม่มีทางเลยที่ธุรกิจของเขาจะล้มลงได้ ต่อให้อัญมณีชั้นสูงที่คนอื่นยากจะหาได้มาขาย แต่เขาเองกลับหามาได้ครอบครองไม่ยากเย็น


แถมขังขายต่อจนได้กำไรไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว คนแบบนี้จะไปล้มได้ยังไงกัน


อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังพอจะมีอัญมณีอยู่ในมีอีกจำนวนหนึ่ง ถ้าเขานำมันออกมาแล้วร่วมธุรกิจกับถังฮ่าวก็ถือว่าไม่เลวสำหรับเขาเช่นเดียวกัน


ดีไม่ดีนี่สำหรับเรื่องอัญมณีนี่เขาน่าจะได้กำไรมากกว่าเอาออกประมูลซะด้วยซ้ำ


 


ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “เอาจริงๆฉันก็ยังพอมีเหลือนะ เราไปพูดกันข้างบนดีกว่า” ถังฮ่าวเองในตอนนี้สายตาเป็นประกายพลางนึกไปว่าการมาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวจริงๆ


ซูจิ้งได้พาถังฮ่าวและหวู่เหลาไปยังชั้นสี่ ถังฮ่าวได้เห็นพรมทองคำที่พื้นชั้นสี่ โซฟาไม้จากไฮ่หนาน และของอื่นๆอีกมากมาย


ซึ่งสำหรับถังฮ่าวเคยเห็นมาบ้างแล้วก็เลยไม่ค่อยเท่าไหร่แต่กับหวู่เหลานี่ยังไม่เคยจึงได้แต่ตกตลึงไปบ้าง “แล้วนายมีอัญมณีอะไรเหลืออยู่บ้างหล่ะ” ถังฮ่าวอดใจไม่ได้จนต้องถามออกมา


 


“ฮ่าฮ่าอย่าเพิ่งไปพูดถึงของพวกนั้นเลยน่า เอาจริงๆชั้นมืออย่างอื่นน่าสนใจมากกว่า ผมมีพลอยสามเม็ดอยู่ในมือตอนนี้ ในเมื่อผู้อาวุโสหวู่มาอยู่นี่ช่วยตรวจสอบให้ผมหน่อยสิ” ซูจิ้งบอกออกมา


เอาจริงๆแล้วเหตุผลที่ถังฮ่าวพาคุณหวู่มาเป็นเพราะต้องการให้เขาตรวจประเมินถ้าซูจิ้งมีอัญมณีอยู่กับมือเพื่อเสนอราคา กลายเป็นว่าเข้าทางซูจิ้งซะอย่างนั้น


 


ซูจิ้งได้เดินไปและได้นำอัญมณีที่ดันออกมาจากกล่องก่อนหน้านี้ทั้งสามเม็ดออกมาให้หวู่เหลาดู นั่นก็เพราะหวู่เหลานั้นเป็นมืออาชีพรู้เรื่องอัญมณีมากกว่าเขาอยู่พอสมควร


ถ้าเป็นเรื่องอัญมณีล่ะก็ขนาดซงเหลาและเฉินฮงเองก็ยังถือได้ว่าคนละชั้นกัน เพราะทั้งสองถนัดเครื่องลายครามและของเก่ามากกว่าอัญมณี


“รีบเอาออกมาดูเร็วเข้า” ทั้งถังฮ่าวและหวู่เหลาต่างสงสายตาเป็นประกาย


 


“รอสักพักนะ” ซูจิ้งเดินลงไปที่ชั้นหนึ่งและได้นำอัญมณีทั้งสามมาและนำพวกมันลงมาวางไว้บนพื้นโต๊ะ ทั้งถังฮ่าวและหวู่เหลาในตอนนี้ได้จ้องมองเข้าไปยังอัญมณีทั้งสามด้วยสายตาเลื่อนลอย

 

 

 


ตอนที่ 728

 

กรามลั่น


 


“พระเจ้า ฉันไม่ได้เข้าใจผิดใช่รึเปล่า” ถังฮ่าวหลุดปากออกมาแทบจะทันทีที่เห็นคริสตัลสีแดงนั้น เขาจ้องจนตาแทบถลนออกมา


 


“ขอผมตรวจดูใกล้ๆก่อนนะ” คุณหวู่นั้นแสดงท่าทางตกใจยิ่งกว่า เขาแทบจะควักเอาเครื่องมือต่างๆของเขาออกมาในทันทีในขณะที่จ้องคริสตัลตาไม่กระพริบ ยิ่งเขาดูมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้นเท่านั้น จนในที่สุดเมื่อตัดสินการประเมินแล้วคางของเขาก็อ้ากว้างจนแทบจะตกไปตามพื้น มือของเขาสั่นเทิ้มด้วยความตื่นเต้น


 


“ใช่แล้วมันเป็นของจริง มันคือเลือดนกพิราบแดง แถมดูเมื่อเหมือนว่าจะเป็นเลือดนกพิราบแดงที่สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยพบมา พระเจ้า น้ำหนักขนาดนี้อย่างน้อยก็ 50 กะรัตได้เลย มันไม่ควรจะมากกว่านั้นนะ ถ้ามากกว่าล่ะก็…” ตอนที่คุณหวู่มาที่นี่นั้นเขาเองก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้บ้างเหมือนกันเพราะเขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงของซูจิ้งมาก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่พอพบแล้วเขาบอกได้เลยว่าแค่คำพูดไม่ได้สิ่อเท่าเห็นกับตาเลยจริงๆ


 


“งั้นฉันก็ดูไม่ผิดจริงๆสินะ” ซูจิ้งยิ้มแหยๆกับความงี่เง่าของตัวเองก่อนหน้านี้


 


“ซู คุณซู ถ้างั้นคุณก็รู้จักเพชรนี่อยู่แล้ว แล้วทำไมคุณยังทำตัวปกติได้อีกหล่ะ” ทั้งถังฮ่าวและหวู่เหลามองซูจิ้งด้วยท่าทางที่ยากจะยอมรับได้


 


พลอยแดง(รูบี้)แค่เอ่ยชื่อก็คงคุ้นหูกันบ้าง


แต่มีสิ่งหนึ่งที่น้อยคนจะรู้นั้นก็คือพลอยแดงอีกเกรดหนึ่งที่เรียกว่าพลอยเลือดนกพิราบแดง


เจ้าพลอยเลือดนกพิราบแดงนี้ที่เรียกกันอย่างนั้นก็เพราะสีแดงที่เข้มและลักษณะที่สวยงาม


ราคาของมันค่อนข้างแพงนั่นก็เพราะว่าผลชนิดนี้ในท้องตลาดมีจำนวนที่น้อยมาก


ส่วนใหญ่จะมาจากเหมืองพลอยในพม่า


บางคนก็บอกว่าเจ้าพลอยแดงเลือดนกพิราบนี่มีค่าพอๆกับเพชรเลยทีเดียว


ในปัจจุบันนี่มีผู้จำหน่ายพลอยหลายเจ้าที่ยินยันว่าพลอยของเขาคือพลอยแดงเลือดนกพิราบ


ซึ่งในความจริงแล้วพลอยเกรดนี้จำเป็นต้องดูในปัจจัยหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นสี ความบริสุทธ์ โทนสี และเฉดสี


ซึ่งในปัจจุบันราคาของพลอยแดงเลือดนกพิราบจะอยู่ที่สองหมื่นถึงสามหมื่นดอลล่าต่อหนึ่งกะรัต


ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาซื้อได้ตามช่องทางปกติหรือห้างร้านทั่วไป


 


ในปี2011 โรงประมูลแห่งหนึ่งในภาคกลางได้ประมูลพลอยแดงชั้นยอดจำนวนสองก้อนที่ได้มาจากเหมืองพลอยในหมู่บ้านหมากู่


โดยบริษัทเบาเกอลี่ ได้ประมูลไปเม็ดหนึ่งมีน้ำหนัก 27.67 กะรัต มันเป็นแหวนพลอยแดงประดับเพชรมูลค่าเริ่มจาก 12 ล้าน สิ้นสุดการประมูลที่ 20 ล้านดอลล่าฮ่องกง ซึ่งในตอนนั้นถือได้ว่าเป็นพลอยแดงเลือดนกที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีการบันทึกเอาไว้


พลอยแดงเลือดนกอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า คาร์เมนลูเซีย เป็นพลายจากพม่าในช่วงปี 1930 มันถูกจัดให้เป็นพลอยชั้นหนึ่ง


โดยพิพิธภํณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติในสหรัฐเองก็ได้มันมาจำนวน 1 กะรัต ส่วนราคานั้นมีแต่พิพิธภัณฑ์เท่านั้นที่รู้


 


และตรงหน้าของพวกเขาในตอนนี้คือพลอยเลือดนกพิราบที่มีความโปร่งใสและสวยมากกว่าทุกชิ้นที่กล่าวมาแถมยังมีน้ำหนักมากกว่า 50 กะรัต ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมทั้งคู่ถึงตกใจอย่างเห็นได้ชัดเกินกว่าจะควบคุมได้ เอาจริงๆไม่จะเป็นต้องรู้เรื่องอัญมณีแค่เห็นขนาดก็ต้องตกใจกันหมดเช่นกัน


 


“คุณซูพอจะมีที่ชั่งดิจิทอลรึเปล่าครับ” หวู่เหลาถามอย่างกระตือรือล้น


 


“มีนะ” ซูจิ้งนำที่ชั่งดิจิทอลออกมา และหวู่เหลาได้บรรจงชั่งอย่างระมัดระวัง ข้อมูลที่ขึ้นแสดงให้เห็นว่าน้ำหนักอยู่ที่ 12 กรัมหรือก็คือ60 กะรัต ทำให้หวู่เหลาเมื่ออ่านตาชั่งแล้วต้องตกใจจนผงะไปเล็กน้อย


 


“คุณซู อัญมณีก้อนนี้…” ถังฮ่าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นเพื่อที่จะคุยเรื่องการค้า แต่เขาก็ต้องหยุดชะงักเพื่อหาเหตุผลที่จะทำให้ซูจิ้งยอมปล่อยอัญมณีเม็ดนี้ให้เขา แต่พอนึกถึงว่าการจะขายอัญมณีพวกนี้จำเป็นจะต้องกรีดเลือดตัวเองไปก่อนอย่างลึกมากแล้วล่ะก็ กว่าจะทุนคืนก็น่าจะนานไม่ใช่น้อยเพราะด้วยขนาดและความสวยงามนี้ต่อให้มีคนอยากได้ทั่วหล้าแต่ราคาอยากหยั่งถึงได้


 


“ฮ่าฮ่า เอาเป็นเรามาดูเม็ดอื่นกันก่อนดีกว่านะ” ซูจิ้งชี้ไปที่อีกสองเม็ดที่เหลือ


 


ถังฮ่าวนั้นมัวแต่สนใจพลอยแดงเลือดนกพิราบมากเกินไปเพราะความเด่นสะดุดตาจนเขาไม่ได้สังเกตุไพลินอีกสองเม็ดไปเลย เขานั้นได้ค่อยๆตั้งใจดูไพลินได้ซักพักเขาก็แสดงอาการตกใจออกมา เช่นเดียวกับหวู่เหลาที่หยิบไพลินอีกก้อนไปดูแล้วก็ทำท่าตกใจไม่ต่างกัน


 


พวกเขานั้นในตอนแรกดูไพลินทั้งสองก้อนโดยไม่ได้แตะต้องก็เห็นแค่ว่าเป็นไพลินน้ำงามธรรมดาเท่านั้น แต่เมื่อสังเกตุดีๆก็พบว่าในไพลินมีจุดดาวข้างในอยู่หกจุด ซึ่งมันสวยงามมาก พอพวกเขาลองหมุนไพลินดูก็พบว่าจุดดาวพวกนั้นขยับตาม ในไม่ช้าก็มีคนหนึ่งอุทานออกมาว่า


 


“พระเจ้า นี่มันไพลินดาวชั้นเลิศ” หวู่เหลาอุทานมาด้วยความตกใจ


 


“ทั้งความเปล่งประกาย ความโปร่งแสง แสงดาวเป็นประกายสมบูรณ์ การหักเหของแสงดีเยี่ยม กระจ่าง และสว่างจ้า แถมยังขนาดใหญ่ขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เคยได้เห็นไพลินประกายดาวใหญ่ขนาดนี้” ถังฮ่าวแสดงความตื่นเต้นออกมาไม่แพ้กัน


 


“มันเรียกว่าไพลินประกายดาวงั้นหรอ มันพิเศษยังไงหล่ะ” ซูจิ้งนั้นจะถามในสิ่งที่เขาไม่เข้าใจทุกครั้ง เข้ารู้จักไพลินดี แต่เขาไม่ค่อยคุ้นหูกับไพลินประกายดาวมาก่อน ทำให้เขาไม่รู้ว่ามันวิเศษตรงไหน


 


“เอาง่ายๆก็คือเป็นไพลินที่ให้กำเนิดแสงได้ด้วยตัวมันเอง เหตุผลก็เพราะมันมีแร่เซริไซตอยู่ภายใน


ในขั้นตอนการเจียระไนนั้นเมื่อใดก็ตามที่เจียระไนผิวของอัญมณีในองศาที่จำเพาะเท่านั้นถึงจะเกิดแสงประกายดาวขึ้น


และการทำให้เกิดแสดงประกายดาวได้ถึงหกจุดแสดงว่าผู้เจียระไนต้องมีความแม่นยำอย่างสูงทำจะทำให้เกิดมุมตกกระทบกับแร่เซริไซตที่อยู่ตรงกลางก้อนแร่


เคยมีข่าวลือมาก่อนว่ามีคนเจียระไนได้สองจุดประกายแสงแต่การหักเหของแสงประกายดาวไม่สมบูรณ์พอทำให้ราคาตกไป” หวู่เหลาเว้นพักหายใจพักหนึ่งก่อนที่จะพูดต่อ


 


“มาตรฐานของประกายแสงดาวในอัญมณีถือได้ว่าเป็นเรื่องสำคัญในวงการอัญมณี ยกตัวอย่างเช่นในกรณีการที่มีประกายแสงดาวในอัญมณีถึงหกจุดก็ต้องดูว่าแสงในแต่ละจิตนั้นมีการส่องประกายเชื่อมถึงกันรึเปล่า ถ้าเช่นถึงกันแล้วมีความชัดแค่ไหน แล้วมุมในการเชื่อมถึงกันมีความสมดุลกันหรือไม่ ยิ่งชัด ยิ่งเชื่อมถึง ยิ่งราคาดี และบอกได้เลยว่าไพลินสองเม็ดนี้ไม่ได้ต่ำการมาตรฐานเลยซักด้าน”


“น้ำหนักเท่าไหร่กัน” ถังฮ่าวพูดเสร็จก็ค่อยๆบรรจงวางไพลินทั้งสองเม็ดในตาช่างดิจิทัล พวกมันทั้งสองหนักเท่ากันนั่นก็คือ 15 กรัม หรือก็คือ 75 กะรัต


 


“ฉันยังสติดีอยู่สินะ” ทั้งถังฮ่าวและหวู่เหลาในตอนนี้ตื่นเต้นเล็กน้อย ด้วยตัวของน้ำหนักนั้นไม่ได้ทำให้เขาตกใจเท่าไหร่นักเพราะว่า อัญมณีแห่งอินเดียที่ตั้งอยู่ในพิพิธภัณฑ์นิวยอร์กนั้นมีขนาดถึง 563 กะรัตซึ่งถือได้ว่าเป็นสมบัติหายากอย่างหนึ่งแต่ เมื่อเทียบกับไพลินคู่นี้ที่มีน้ำหนักน้อยกว่ามาก แต่ฝีมือการเจียระไนต่างกันหลายขุมนัก


 


“เดี๋ยวก่อนนะ ผมขอลองอะไรบางอย่าง” หวู่เหลาเปลี่ยนสีหน้าก่อนที่จะหยิบโคมไฟขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า แล้วให้มันส่องแสงสีเหลืองให้ตกกระทบบนไพลิน ไพลินเองก็ได้เปลี่ยนสีเป็นสีม่วง เมื่อเขาใช้แสงยูวี ไพลินก็เปลี่ยนเป็นสีแดง “พระเจ้านี่มันไม่ใช่ไพลินประกายแสงธรรมดา แต่เป็นไพลินประกายแสงที่เปลี่ยนสีได้”


 


โดยปกตินั้นไพลินประกายแสงที่เปลี่ยนสีได้นั้นหาได้ยากยิ่งกว่าไพลินประกายแสดงนับพันเท่า ส่วนใหญ่ที่พบจะเป็นน้ำหนัก 3 กะรัต ถ้ามีเจอที่น้ำหนักมากกว่า 5 กะรัตถือได้ว่าหาได้อยากยิ่ง ถ้าขนาดใหญ่กว่า 10 กะรัตถือได้ว่าเป็นของขวัญจากพระเจ้าเลยก็ว่าได้ ก้อนที่ใหญ่ที่สุดที่ได้รับการบันทึกไว้คือปี 2013 ช่วงเดือนพฤศจิกายน ได้มีการจัดแสดงเพชรดวงดาวม่วงครามขึ้น ซึ่งผลงานการออกแบบของนักเจียรไนอัญมณีของจีน ซึ่งถือได้ว่าเป็นไพลินเปลี่ยนสีก้อนที่ใหญ่ที่สุดน้ำหนักอยู่ที่ 67.98 กะรัต ซึ่งเป็นข่าวดังไปทั่วโลก


 


ไม่ต้องพูดถึงสองเม็ดนี้ที่มีน้ำหนัก 75 กะรัต แถมยังเป็นไพลินเปลี่ยนสีได้ทั้คู่ ตอนนี้ หัวใจ ของถังฮ่าวและหวู่เหลาเต้นไม่เป็นส่ำ หายใจติดขัด มึนงง หน้ามืดไปชั่วขณะ

 

 

 


ตอนที่ 729

 

หนูวิเศษ


 


ถังฮ่าวและหวู่เหลาทั้งสองแสดงท่าทางตื่นเต้นออกมาอย่างออกหน้าออกตา แต่พวกเขาไม่ได้ถามถึงราคาเพราะพวกเขารู้ดีว่าร้านของเขานั้นไม่มีทางที่จะได้อัญมณีทั้งสามนี้มาครองอย่างแน่นอน ต่อให้ร้านของพวกเขาจะหาอัญมณีชั้นยอดจากโรงประมูลอื่นมาได้แต่ก็บอกได้เลยว่ายังไม่คู่ควร


 


ในที่สุดซูจิ้งก็ได้นำอัญมณีที่เคยประมูลออกมาแทน พวกนี้คืออัญมณีที่ทั้งสองหมายตาไว้แต่แรก เหมือนเขาเห็นอัญมณีพวกนี้พวกเขาได้แสดงความตื่นเต้นออกมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุผลก็คือเขาได้พบเห็นของที่ดีกว่าถึงสามชิ้นไปก่อนหน้านี้แล้วทำให้ต่อมความตื่นเต้นเกิดความด้านชา


 


หลังจากที่ถังฮ่าวและหวู่เหลาเดินทางกลับไป ซูจิ้งก็ได้ตรงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯในทันที ตัวเขาเองก็ตื่นเต้นไม่น้อยที่ขยะรอบนี้ดูมีมูลค่าสูงกว่าที่เขาคิด นี่แค่เพิ่งจะเริ่มจัดการเองนะ เขาทนรอไม่ไหวที่จะจัดการขยะส่วนอื่นต่อแล้ว


 


อย่างไรก็ตามทันทีที่เขาเข้ามาในสถานีต้องตกใจอย่างมาก เขาเห็นเหล่าหมาๆขู่กรรโชก หมาป่าสงครามวิ่งอย่างรวดเร็วเพื่อไล่เจ้าสิ่งมีชีวิตสีน้ำตาล มองแวบแรกมันก็ดูเหมือนหนูทุกประการ เพียงแต่มันมีขนาดตัวที่ใหญ่มากและขนที่หางยาวสุดๆ ยาวพอๆกับหูกระต่ายได้เลย มันดูเหมือนจะน่ารัก แต่ด้วยความเร็วที่พวกมันกำลังวิ่งไล่กันนั้นเร็วมากทำให้มองไม่ถนัดเท่าไหร่ เจ้าหนูด้วยการที่มีที่หลบมากมายและหมาป่าสงครามก็ไม่อยากทำลายกองขยะทำให้มันไม่สามารถจับเจ้าหนูยักษ์นี่ได้ซักที


 


อย่างไรก็ตามถ้าเป็นหมาและแมวปกติก็คงไม่สามารถ แต่สัตว์เลี้ยงของซูจิ้งได้รับการฝึกฝนจนมีสติปัญญาที่มากกว่าสัตว์ธรรมดา พวกมันเริ่มร่วมมือกันปิดเส้นทางหนีของเจ้าหนู และค่อยๆบีบวงเข้าไปจนจับมันได้


 


“ดูเหมือนเจ้าหนูนี่จะติดมากับขยะห้วงเวลาฯนะ เป็นไปได้ว่าขนาดของมันเล็กและกลัวจนไม่กล้าขยับตัวเลยตรวจไม่พบก่อนหน้านี้” ซูจิ้งพูดในขณะที่ออกคำสั่งให้เหล่าสัตว์เลี้ยงหยุดคุกคามและปล่อยกระแสจิตเข้าไปเพื่อทำพันธสัญญา ถ้าไม่รีบคงโดนหมาป่าสงครามฟัดกระจุยเป็นแน่


 


แต่ไม่ทันที่จะทำอะไรได้ เจ้าหนูได้แสดงท่าทีแก้มป่องเหมือนมันกำลังโกรธ ทันใดนั้นได้มีเมฆสีครามปรากฎอยู่ที่ข้างหน้าของมัน


 


“ปึ้ก” หมาของซูจิ้งโดนโจมตีเหมือนมีร่องรอยถูกน้ำแข็งปาใส่ ร่างกายบริเวณนั้นมีเกล็ดน้ำแข็งเกาะ และมันค่อยๆเคลื่อนไหวช้าลงอย่างเห็นได้ชัดเพราะว่ามันคอยวิ่งวนรอบๆไม่อยู่เฉย เมื่อซูจิ้งเห็นดังนั้นเขารีบกระโดดออกมาแล้วหันไปมองพบว่า เจ้าหนูยังพ่นอะไรบางอย่างสีเหลืองออกมาด้วย ซึ่งเขาสัมผัสได้ว่ามันค่อนข้างอันตรายทีเดียว


 


“ไม่ดีแล้ว พวกหมาๆออกไปก่อน” ซูจิ้งรู้สึกกลัวในทันที หนูบ้าอะไรกันเนี่ย แล้วเมื่อกี้มันทำอะไรกัน พ่นอะไรออกมา เหล่าหมาๆรีบวิ่งออกมาอยู่แนวหลัง ซูจิ้งเองก็รีบวิ่งเข้าไปเพื่อดูอาการของเจ้าหมาที่โดนเล่นงานพร้อมปฐมพยาบาลในทันที


 


“อวู้” หมาป่าสงครามโกรธแล้ว ในสายตาของมัน เจ้าหนู่นี่ได้ทำร้ายหนึ่งในลูกน้องใต้อาณัติของมัน ด้วยร่างกายที่เสริมสมรรถภาพมาจากการกินชาถังเข้าไปเต็มพิกัด หมาป่าสงครามรุกคืบเข้าไปด้วยความเร็วสูงสุด ขนของมันตั้งขึ้นจนเห็นเป็นเข็มสีทองรอบตัว


 


“ปังปัง” เจ้าหนูสีน้ำตาลได้ทำให้เกิดก้อนเมฆสีครามสามก้อนข้างหน้าของมัน สองอันแรกหมาป่าสงครามสามารถหลบได้ แต่อันสุดท้ายนั้นหลบไม่พ้น ซึ่งตอนนี้ความเร็วของหมาป่าสงครามเริ่มลดลงแต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะไม่เกือบจะถึงตัวของเจ้าหนูแล้ว


เจ้าหนูรู้สึกกระวนกระวายในทันที


 


เจ้าหนูรีบกุลีกุจอหันซ้ายหันขวาก่อนที่จะมุดไปในช่องของกองขยะที่มันเห็น สำหรับมันแล้วกองขยะนี่ก็เหมือนเต้าหู้นิ่มๆที่แหวกไปทางไหนก็ง่ายดาย ผิดกับหมาป่าสงครามที่ร่างกายใหญ่โตถ้าจะเข้ามาต้องเสียเวลาขุดเจาะ


 


“พอได้แล้วหมาป่าสงคราม” ซูจิ้งบอกมาดังนั้นทำให้หมาป่าสงครามหยุดในทันที มันเองก็ตะโกนไปยังซูจิ้งเหมือนไม่เต็มใจมากนักเพราะเจ้าหนูนี่มาหาเรื่องพวกมันก่อนในตอนแรก แถมทำให้มันเสียหน้า แถมตอนนี้ยังทำให้พวกมันโกรธอีก


 


“คิดดีๆนาถ้าแกเข้าไปขยะมากมายต้องโดนทำลายแหงๆ ถ้าหนึ่งในนั้นเป็นสมบัติหล่ะจะทำยังไง” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมทั้งวางหมาที่ถูกโจมตีในตอนแรกวางไว้กับพิ้นแล้วให้หมาอีกตัวคอยป้องกันไว้พร้อมพูดออกมาว่า “ปกป้องอาซือด้วยหล่ะ”


 


ตอนนี้ซูจิ้งได้ตรวจสอบอาซือแล้วพบว่าไม่ได้บาดเจ็บร้ายแรงอะไรเพียงแค่หนาวจนตัวชาไปแค่นั้นเอง หลังจากทำการรรักษาไปแล้วตอนนี้ก็เกือบหายดีแต่ซูจิ้งยังไม่อยากให้ลุกขึ้นมาในตอนนี้เท่านั้นเอง มันจึงยกหัวมาเลียมือเพื่อบอกว่ามันดีขึ้นแล้ว


 


“เจ้าหนูน้อยตัวนี้ฉันจัดการเอง เมื่อฉันทำพันธสัญญากับมันแล้วจะให้มันมาขอโทษนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นเขาได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปในกองขยะตรงหน้าในทันที ในไม่ช้าเขาก็พบที่ซ่อนของเจ้าหนูตัวนี้ ต่อให้มันออกไปได้จริงแต่ด้วยเรดาห์พลังจิตของซูจิ้งไม่มีทางที่มันจะหนีออกไปได้เลย


 


ที่ตรวจพบได้เร็วขนาดนี้ก็เพราะว่าแทนที่เจ้าหนูนี่จะอยู่นิ่งๆซ่อนตัวแต่มันกับวิ่งวุ่นขุดหาทางไปต่ออยู่ไม่หยุด หลังจากนั้นไม่นานมันไปหยุดอยู่ที่มุมๆหนึ่งด้วยสภาพที่เหนื่อยอ่อน หมดแรง หวาดกลัว เมื่อซูจิ้งสำรวจดูรอบๆเหมือนตรงนี้จะเป็นรังของมัน


 


“เจ้าหนูนี่เป็นตัวอะไรกันแน่นะ แถมสารที่มันพ่นออกมานั่นอีก” ซูจิ้งค่อนข้างจะจริงจังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาค่อยๆปลดปล่อยแระแสจิตเข้าไปยังหนูนี่ เจ้าหนูนี่มีพลังจิตที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป เท่าๆที่ประเมินคร่าวๆนี่พอๆกับคนธรรมดาคนหนึ่งเลย อย่างไรก็ตามมันไม่มีทางจะต่อต้านเขาได้ ในไม่ช้าซูจิ้งก็ทำพันธสัญญากับเจ้าหนูนี่ได้ มันค่อยๆออกมาจากกองขยะ ทันทีที่ออกมาเมื่อเห็นบรรดาหมาๆกับหมาป่าเทพสงครามจ้องมองมันอย่างสายตาไม่กระพริบ มันกลัวมากจนต้องวิ่งไปที่เท้าของซูจิ้งแล้วไต่ขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ มันได้ทำแก้มพองและแลบลิ้นปลิ้นตาใส่หมาป่าสงครามทันที ดูเหมือนเจ้าหนูนี่ทำตัวเหมือนคุ้นชินกับซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว หนึ่งคือมันถูกพันธสัญญาและอีกหนึ่งคือมันค่อนข้างฉลาดเลยทีเดียว


 


“เฮ่ๆ นี่แกต้องขอโทษพวกเขานะรู้รึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาเชิงติเตียน


“ฮอว” เจ้าหนูร้องออกมาอย่างไม่อยากจะขอโทษเหล่าหมาๆและหมาป่าสงคราม ถ้าไม่ใช่ซูจิ้งล่ะก็ไม่มีทาง ทันใดนั้นเจ้าหนูก็ได้กระโดดลำดำดิ่งลงไปยังรังของมัน ก่อนที่จะยกคอลเล็กชั่นที่มันเก็บสะสมเอาไว้ เท่าที่ดูจากสีหน้าบอกได้เลยว่าต้องเป็นคอลเล็กชั่นสุดรักแน่นอน


แม้แต่หมาป่าสงครามและหมาตัวอื่นๆเห็นก็ยังต้องหัวเราะออกมาหลังจากนั้นเจ้าหนูได้ไต่กลับไปอยู่ที่ไหล่ของซูจิ้งตามเดิม


“ไหนลองแสดงการโจมตีที่นายใช้มาก่อนหน้านี้สิ” ซูจิ้งพูดพร้อมทำหน้าตาบอกบุญไม่รับในทันทีที่เจ้าหนูไต่มาอยู่บนไหล่


“ฮอว” เจ้าหนูร้องออกมาทันใดนั้นมันก็ทำปากขมุบขมิบจนแก้มมันพองโต ทันใดนั้นก็มีสายลมแรงพัดออกมาตรงหน้าของมัน มันเหมือนมีคนยกซีนพายุหิมะตัดมาไว้ตรงหน้าของเขา เหมือนอยู่ก็มีตู้เย็นมาวางอยู่ก็ว่าได้


 


“ฉันขอลองหน่อย” ซูจิ้งถึงกับงงเลยทีเดียว พอดูๆไปแล้วมันช่างเหมือนกัยการโจมตีของเวทมนต์น้ำแข็งในตำนานที่ไม่มีสอนในโรงเรียนเวทมนต์ทั่วไปแน่นอน หรือว่านี่จะเป็นสัตว์วิเศษในตำนานกันนะ

 

 

 


ตอนที่ 730

 

โลกเวทมนต์


 


ซูจิ้งถามคำถามเจ้าหนูตัวนั้นบางอย่าง และได้พบว่ามันมีการโจมตีนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั่น นอกจากการปล่อยไอเย็นแล้วมันก็ไม่สามารถโจมตีรูปแบบอื่นได้เลย ซูจิ้งยังถามถึงโลกที่มันจากมาว่ามีสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร แต่เจ้าหนูนี่รู้เรื่องเหล่านี้น้อยมาก มันจำได้แต่ว่าที่ๆมันอยู่มีอาหารดีๆให้มันกินแค่นั้นเอง ส่วนโลกภายนอกเป็นอย่างไรบ้างนี่มันไม่มีทางรู้ได้เลย แต่ถ้านี่มาจากห้วงเวลาฯวอคราฟ์หล่ะก็ ขยะนี่น่าจะมาจากฝั่งตะวันตกแน่นอน


 


“เดี๋ยวก่อนนะ ถ้าสมมติว่าขยะกองนี้มาจากห้วงเวลาฯวอคราฟท์ฝั่งตะวันตกจริงก็ควรจะมีพลังเวทย์เจือปนอยู่ในอากาศสิ” เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขารู้สึกใจเต้นขึ้นมาในทันที


เหตุผลที่เขาไม่ได้ตระหนักเรื่องนี้ในตอนแรกเพราะอณุภาคเวทมนต์ถือได้ว่าเล็กเสียยิ่งกว่าฝุ่น สำหรับคนที่ไม่ได้อาศัยในโลกนั้น การจะตรวจจับเวทมนต์เป็นเรื่องที่ยากยิ่ง แต่ในตอนนี้พลังจิตของซูจิ้งแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ความสามารถในการตรวจจับของเขาย่อมดีขึ้นเพียงแต่ต้องรู้ว่าตรวจจับอะไรเท่านั้น ไม่มีทางที่จะหนีพ้นเขาได้แน่นอนถ้าของสิ่งนั้นยังคงอยู่ ไม่นานนักซูจิ้งก็ค้นพบธาตเวทมนต์ได้ มันคือธาตุไฟ


“ขยะกองนี้สมควรมาจากห้วงเวลาฯวอคราฟจากฝั่งตะวันตกอย่างไม่ต้องสงสัย ดีจริงๆ” ซูจิ้งมีความสุขขึ้นมาทันที เขานั้นไดจับภูติธาตุไฟเป็นอย่างแรก และยังไล่จับเหล่าภูติธาตุอื่นๆอีก โดยภูติที่ได้ทั้งหมดถูกจับแยกขังไว้แบ่งเป็นประเภทกันไป เขานั้นได้ทดลองติดต่อสื่อสารกับธาตุไฟก่อน แต่ไม่ว่าจะทดลองยังไงเขานั้นก็ไม่สามารถสื่อสารกับภูติธาตุไฟได้ ในตอนนี้ซูจิ้งทำได้เพียงปลดปล่อยพลังไฟออกมาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


หลังจากผ่านไปซักสองชั่วโมง ซูจิ้งได้หยุดการค้นหาและจับตัวภูติแห่งธาตุเวทมนต์ เขานั้นจับมาได้ทั้งหมด 240 ตน มากกว่าตอนที่ได้จากห้วงเวลาฯตำนานเทพแห่งความชั่วร้ายสามเท่า โดยแบ่งออกเป็นธาตุไฟ 73 ตน และธาตุอื่นๆ อีก 108 ตน


 


ซูจิ้งในนำภูติแห่งเวทมนต์ทั้งหมดใส่ลงไปในกระเป๋ากักอสูร เขาค่อยๆทำพันธะสัญญากับภูติไฟทีละตัวจนครบ และเมื่อควบคุมพวกมันได้ทั้งหมดแล้ว เขาได้ทดลองใช้พลังเวทไฟอีกครั้ง คราวนี้ มีเปลวเพลิงของจริงออกมาจากมือของเขา มันขนาดใหญ่พอๆกับปากชามข้าว และยังคงลุกไหม้อยู่นานพอสมควร มันช่างดูเท่ดีจริงๆ เมื่อซูจิ้งลองถ่ายเทพลังวิญญาณลงไป ไฟได้พุ่งออกไปเป็นระยะทางประมาณ 5 เมตร และได้ทิ้งรอยไหม้สีดำเอาไว้ ถ้าหากว่าได้ใช้กับมนุษย์หล่ะก็ต้องเป็นแผลไฟไหม้ที่สภาพหนักเอาการเลย


 


“อืมมมม ไม่เลวเลยแหะ ดูเหมือนต้องลองเพิ่มอีกหน่อย” ก่อนหน้านั้นซูจิ้งได้ทดลองใช้บอลไฟดูแล้วแต่มันไม่ยอมพุ่งตรงออกไป แต่ตอนนี้เขานั้นทำให้มันสมกับที่เป็นบอลไฟซักที “เอาล่ะ ไหนลองจุดกับน้ำมันดูดีกว่า” ซูจิ้งได้นำถังที่มีเชื้อเพลิงบรรจุเอาไว้อยู่เต็มเปี่ยม เขานั้นได้ลองปล่อยเวทมนต์ไฟออกมาพร้อมๆกับบังคับเชื้อเพลิงให้เป็นรูปร่างจนทำให้ตอนนี้เกิดมังกรไฟขนาดใหญ่ขึ้นมา มังกรไฟได้บินอย่างดูเป็นธรรมชาติจนเหมือนกับมีมังกรอยู่จริงๆกลางอากาศ


 


หลังจากมันบินไป 7-8 วินาทีมันก็หายไป


 


“ฮ่าฮ่า พอใช้งานร่วมกับเชื้อเพลิงนี่ได้ผลดีเป็นสองเท่าเลยแหะ” ซูจิ้งรู้สึกมีความสุขอย่างมาก ตอนนี้เขาได้กลายเป็นผู้ใช้เวทมนต์ไฟที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไปปรากฎอยู่ในห้วงเวลาฯวอคราฟท์ที่โลกเวทมนต์ฝั่งตะวันออกล่ะก็จะต้องคิดว่าเขานั้นเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่แน่นอน


 


หลังจากนั้นซักพักซูจิ้งได้หยิบถุงสีดำออกมา เมื่อเปิดปากถุงออกมา กลิ่นของมันค่อนข้างแรงเหมือนยาจีนโบราณ ในนั้นมีขวดยาอยู่หลายขวดแต่ส่วนใหญ่แล้วล้วนแตกหมดแล้ว ผงยาได้ฟุ้งกระจายไปทั่วถุง แถมยังผสมปนเปกันจนหมด


 


ซูจิ้งยิ้มออกมา เจ้าผงพวกนี้สมควรมีประโยชน์อยู่เพราะยังไงซะพวกมันก็น่าจะเป็นผงยาจากฯห้วงเวลาวอคราฟย่อมไม่ธรรมดา ต่อให้มันผสมกันจนปนมั่วไปหมดแต่สำหรับเขาแล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรแน่นอน


 


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตเข้าไปคัดแยกผงยาเหล่านั้นได้โดยดูจากรูปร่าง ส่วนผสม สี และอื่นๆ จนได้ยามาห้าขนานด้วยกัน เขานั้นได้ทำความสะอาดพวกมันเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะนำพวกมันใส่ลงไปในขวดที่อยู่บนมือของเขาอย่างนุ่มนวล


 


ในตอนที่เขานั้นกำลังเก็บขวดยานี้เข้าไปเขานั้นได้เห็นขวดยาจากห้วงเวลาฯศึกท้ารบสวรรค์ เขานั้นรู้สึกเข็ดขยาดกับผงแห่งความโกลาหลขวดนี้อย่างมาก แต่ในตอนนั้นก็เป็นเพราะตัวเขาเองยังมีสภาพที่อ่อนแอเกินกว่าจะรับมือได้เช่นกัน ถึงแม้แต่นี้เขาจะแข็งแกร่งขึ้นมาแล้วแต่ก็ยังถือว่ายังรับมือได้ยากอยู่ดี เขาได้เทผงจากขวดนี้ออกมาและทำการคัดแยกอย่างพิธีพิถันจนเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงเขาก็ได้ยาขวดเล็กๆออกมาอีกสามขวด


 


ในกระบวนการขัดแยกนี้ซูจิ้งต้องประสบเหตุการณ์อันน่าแปลกประหลาดต่างจากขวดอีก ทุกๆผงของยาตัวนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่ยากจะอธิบายได้ แถมพอยากจะอธิบายทำให้จัดประเภทของมันยากตามไปเช่นกัน แม้แต่หลังจากแยกเสร็จแล้วเขาเองก็ยังบอกไม่ถูกว่าเขาแยกได้ถูกต้องรึเปล่า


 


“เฮ้อ คงได้แต่ต้องให้หนูลองยาก่อนหล่ะนะ” ซูจิ้งนึกได้ดังนั้นจึงให้หลี่น้อยกับอาลี่ไปจับหนูมาสองตัว เขาได้กรอกยาให้หนูไปเล็กน้อย เมื่อเจ้าหนูกินเข้าไปสภาพของพวกมันเปลี่ยนไปในทันที ขนที่สกปรกกับเงางามและกระจ่างใส ร่างกายที่ผอมแห้งจนเห็นกระดูกกลับกลายเป็นอ้วนท้วนสมบูรณ์ดี แถมยังมีแววตาที่ดูกระจ่างใสถ้านับเฉพาะในหมู่หนูๆด้วยกันถือว่ามันหล่อสุดๆได้เลย


“พระเจ้า จะเปลี่ยนเร็วไปแล้ว นี่ไม่เหมือนกับกินเนื้อสัตว์วิเศษ​เลยแหะที่ค่อยๆปรับเปลี่ยนร่างกาย นี่มาจากโลกเวทย์มนต์ฝั่งตะวันตกในห้วงเวลาฯวอคราฟ หรือว่ามันจะคือการเปลี่ยนร่างในตำนานนั่นกัน”


 


ซูจิ้งตกตะลึงไปพักใหญ่ก่อนที่จะนึกถึงผงเวทมนต์นั่น เอาจริงๆเขาก็รู้สึกคุ้นๆอยู่เหมือนกันแต่ยังนึกไม่ออก


 


“ในตำนานเรื่องราวของโลกแห่งเวทมนต์ของพวกชาวตะวันตกนั้น คนบางคนสามารถกลายร่างเป็นสัตว์ และสัตว์บางตัวสามารถกลายร่างเป็นคนได้ เทียบกันแล้วพลังของเจ้าผงยาตัวนี้ช่างห่างไกลจากเรื่องนั้นมากนัก ถึงแม้จะไม่ได้ทรงพลังมากเท่ากันแต่ก็ยังน่าตื่นตาตื่นใจอยู่ดี” ซูจิ้งมีความสุขแล้วให้ความสนใจเรื่องนี้อย่างมาก


 


เขานั้นได้รอคอยจนกระทั่งผ่านไปประมาณห้านาที ร่างกายของหนูได้เปลี่ยนแปลงอีกครั้ง คราวหนี้ร่างกายของมันค่อยๆผอมแห้ง เส้นขนชี้ฟู ดูสกปรกเหมือนดังเดิม เขานั้นได้ลองให้ยามากขึ้นปรากฎว่าเจ้าหนูตัวนี้กลายเป็นสภาพที่ดูดียาวนานขึ้นตาม แต่สำหรับเขาเมื่อลองดูกลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไร ในตอนนี้เขาได้ไอเดียมากมายที่จะใช้เจ้าผงยานี่แล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)