Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 713-716
ตอนที่ 713
เรื่องน่าฉงนและการแต่งงาน
ใบหน้าของฉือชิงในตอนนี้ซีดลงเล็กน้อย หลังจากที่ถูกล้อมรอบด้วยหมาป่าและหมาของซูจิ้งทำให้ใจเธอชื้นขึ้นมาบ้าง ตอนนี้เธอจับจ้องไปที่เถาวัลย์นั่นอย่างไม่กระพริบตาจากระยะไกล เธอเองก็เข้าไปดูแลและรดน้ำเถาวัลย์นั่นอยู่หลายหนแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเคยเห็นมันขยับอย่างนี้ ตอนนี้เธอก็ยังเชื่อเลยว่าเจ้าเถาวัลย์นี่จะขยับได้ ถึงเธอเจอเรื่องแปลกๆของซูจิ้งมาพอสมควรแล้วแต่เธอก็ยังรู้สึกแปลกกับเรื่องนี้อยู่ดีเพราะยังซะมันก็คือพืช
ฉือชิงรีบหยิบโทรศัพท์โทรหาซูจิ้งทันที หลังจากซูจิ้งรับสายเธอรีบพูดออกไปทันทีว่า “อาจิ้งไม่ดีแล้วล่ะ เจ้าเถาวัลย์ที่ชั้นสามมันขยับได้เอง ฉันไม่ได้หลอกนายนะฉันเห็นจริงๆ มันยังจับฉันและยกฉันจนลอยเลยเมื่อกี้น่ะ”
ซูจิ้งทำหน้านิ่งในทันทีเมื่อได้ยิน เขานึกได้ทันทีว่าเป็นเพราะอะไรพร้อมถอนหายใจออกมา เต็งเต็งโดนเจอตัวแล้วซินะ โดนเจอตัวเร็วจริงๆ สงสัยจะเป็นเพราะมันเดินไปไหนมาไหนได้ทั่วแล้วแน่ๆเลยเดินไปซะทั่วจนโดนเจอตัวเข้าจนได้ เฮ้อ
“เดี๋ยวฉันกลับไปนะ รอแปบนึง” ซูจิ้งบอกอย่างนั้นพร้อมทำการขี่อินทรีทองกลับไปอย่างเร็วที่สุด
ในไม่ช้าเขาก็ได้ลงจอดที่ชั้นสี่ ซูจิ้งรีบเดินลงไปที่ชั้นสามทันทีและได้เห็นฉือชิงที่ทำท่าจดๆจ้องๆเต็งเต็งที่แกล้งอยู่นิ่งๆจากระยะไกลเท่าที่เธอจะทำได้
เพราะเธอกลัวจึงเรียกบรรดาหมาๆมาอยู่รอบๆ โดยพวกมันก็ยังงงอยู่ว่านายหญิงของพวกมันเรียกพวกมันมาเพื่ออะไร เมื่อพวกมันเห็นซูจิ้งจึงรีบรายงานสถานการณ์ในทันที
“อาจิ้งเจ้าเถาวัลย์นั่นมันขยับได้จริงๆนะ” ฉือชิงรีบฟ้องซูจิ้งอย่างตื่นเต้น เธอไม่คิดว่าซูจิ้งจะเชื่อเธอในเรื่องนี้
“จ้า รู้จ้ารู้” ซูจิ้งพูดปลอบไปด้วยรอยยิ้ม
“จริงๆนะ… เดี๋ยวนะนายรู้หรอ” ฉือชิงรีบวีนใส่ซูจิ้งทันทีที่ตั้งสติได้พร้อมท่าทางประหลาดใจ “นายรู้ว่ามันขยับได้ ได้ยังไงอ่ะ” มันไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกหรอที่เถาวัลย์จะขยับเองได้ เมื่อเธอมองไปที่ซูจิ้งดีๆเธอก็เห็นว่าซูจิ้งทำหน้าเหมือนมันเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา
ซูจิ้งเดินไปที่เถาวัลย์นั่น เขานั้นใช้นี้วเคาะไปที่เถาวัลย์นั่นพร้อมหัวเราะเล็กน้อยก่อนพูดออกมาว่า “ออกมาเถอะน่า โดนเจอขนาดนี้แล้วแกคิดว่าฉันจะช่วยอะไรแกได้ฟะ”
“อา อา” เต็งเต็งส่งเสียงร้องพร้อมกุลีกุจอออกมา มันปล่อยเถาวัลย์ไปถูบริเวณคอของซูจิ้งเพื่อจะอ้อนขอโทษ นั่นทำให้ฉือชิงมองด้วยความงงงวยอีกครั้ง
“เต็งเต็ง ไปแนะนำตัวกับนายหญิงหน่อยไป” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“อาอา” เต็งเต็งขานรับแล้วใช้รากต่างเท้าพร้อมก้าวเล็กๆดึงตัวเองออกมาจากดิน มันร้องไปด้วยในขณะนั้นซึ่งแม้แต่ซูจิ้งก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่ามันพูดว่าอะไร ส่วนฉือชิงนั้นได้ยินเพียงเสียงใบไม้ไหวเท่านั้น
ตอนแรกเธอก็ยังกลัวอยู่แต่เมื่อเธอเห็นว่าเจ้าเถาวัลย์นี่เชื่อฟังซูจิ้ง แถมซูจิ้งก็อยู่นี่เธอจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน
และตอนนี้เธอได้รู้สึกประหลาดใจในทันทีที่เห็นเต็งเต็งในรูปทรงคล้ายไม้เท้า เธอยังได้ลองจับมันในขณะที่เต็งเต็งปล่อยเถาวัลย์ไปจับที่ฉือชิง
“เจ้านี่เป็นต้นไม้ไม่ใช่หรอ ทำไมมันขยับได้น่ะ” ฉือซิงตอนนี้รู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมา เธอรู้สึกเหมือนว่าโดนเถาวัลย์นี่หลอกมาตลอด
“มันก็แค่ต้นไม้กินแมลงน่ะ ดอกไม้กินคนในตำนานนั่นก็ยังขยับได้เลยนี่ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่แปลกงั้นหรอ ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไปนี่มีหวังฮือฮากันทั้งโลกแหงๆ” ฉือซิงเริ่มทุบไปที่ซูจิ้งเบาๆหลายๆรอบเพราะซูจิ้งไม่ยอมบอกเธอก่อนหน้านี้ทำให้เธอกลัวตอนที่เจอมันจนมือสั่นไปหมด
สภาพเธอตอนนี้เหมือนเด็กที่กำลังโยเยอยากระบายความขุ่นเคืองออกมา
มื่อเธอทุบจนพอใจแล้วเธอก็หันไปจับที่เถาวัลย์พร้อมหัวเราะแล้วถามออกมาว่า “นายเรียกมันว่าเถาวัลย์หรอ”
“ขอโทษจ้า ส่วนเรื่องชื่อของเจ้านี่ชื่อเต็งเต็งน่ะ” ซูจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้ม
“เต็งเต็ง ฉันยอมยกโทษให้เธอนะแต่ครั้งนี้ครั้งเดียว อย่ามาแกล้งให้ฉันตกใจอีกหล่ะ” ฉือชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ด้วยการที่ฉือชิงไม่มีหยกหมื่นอสูรทำให้มันไม่เข้าใจ ซูจิ้งจึงได้แปลภาษาให้มัน ทันทีที่มันได้ยินมันร้องดีใจออกมาด้วยท่าทางมีความสุข เต็งเต็งผลักฉือชิงเข้าไปในรังของมันทันที พร้อมได้ขุดเอาพวกมอสพร้อมปุ๋ยออกมาให้กับฉือชิงนั่นทำให้เธอหัวเราะออกมาจนน้ำตาไหล
“ฮ่าฮ่าดูเหมือนเจ้านี่จะชอบเธอมากเลยนะ” ซูจิ้งพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ฉันรดน้ำให้มันบ่อยๆนี่นา สงสัยจะรู้สึกขอบคุณหล่ะมั้ง” ฉือชิงนั้นยิ้มตอบแต่เธอก็ไม่ได้รับสิ่งที่เต็งเต็งให้มาแต่เลือกที่จะให้นำกลับไปฝังไว้ที่เดิมพร้อมดูแลมันแทนเธอไปก่อน
“ว่าแต่เธอยังเก็บเจ้าเม็ดเขียวๆที่ฉันให้เธอไปรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“หมายถึงไอ้เนี่ยหรอ” ฉือชิงได้หยิบผลไม้เม็ดเล็กๆออกมาจากในกระเป๋า นั่นคือผลที่ออกมาจากเต็งเต็ง
“เจ้าผลไม้นี่ถ้าเขวี้ยงออกไปจนแรงพอที่ทำให้มันแตกออก มันจะกลายเป็นเถาวัลย์แบบเต็งเต็งออกมาและมันจะคุ้มครองเธอได้เกือบจะวันนึงได้เลย” ซูจิ้งพูดออกมาทำให้เธอเข้าใจในทันทีว่าทำไมเขาถึงอยากให้เธอเก็บมันไว้เป็นเครื่องราง ฉือชิงจ้องไปที่ซูจิ้งอยู่ซักพักก่อนที่จะพูดออกมาว่า”ตอนแรกฉันก็ไม่ยอมจะถามนะว่านายมีความลับอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ฉันอยากรู้แล้วอ่ะ ความลับทั้งหลายของนายเนี่ย นายรู้บ้างไหมว่าโลกภายนอกกำลังพูดถึงนายอยู่”
“แล้วเธออยากรู้อะไรหล่ะ” ซูจิ้งเอานิ้วแตะไปที่จมูกของฉือชิงพร้อมทั้งใช้มือโอบกอดไปที่รอบเอวของฉือชิง
“ฉันอยากรู้ว่าทำไมอยู่ๆนายถึงกลายเป็นปรมาจารย์ด้านต่างๆ ตั้งแต่นักฝึกสัตว์ กู่ฉิน พ่อครัว หมากล้อม การต่อสู้ นักล่าสมบัติ แล้วไหนจะเรื่องของเต็งเต็งอีก” ฉือชิงถามเขาในขณะที่ใช้โอบไปที่คอของซูจิ้ง
“ฉันมีความลับเยอะแยะเลยนะ แต่ไม่ยอมบอกเธอง่ายๆหรอก” ซูจิ้งพูดพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วนายจะยอมบอกฉันเมื่อไหร่กัน” ฉือชิงถามต่อพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ตอนที่เราได้แต่งงานกันไง จนกว่าเธอจะยอมเรียกฉันว่าสามีซักที”
“อีกนานแค่ไหนหรอ”
“ก็น่าจะภายในปีนี้นะ กะไว้ว่าประมาณช่วงฤดูใบไม้ผลิ ช่วงนั้นมีฤกษ์ดีๆเยอะอยู่นะ”
“แล้วนายได้ดูวันไว้บ้างรึยังล่ะ” ฉือชิงถามพร้อมตาเป็นประกายอย่างปลื้มปลิ่ม
“ฉันน่ะดูไว้แล้วตอนนี้ถามพ่อแม่ของพวกเราก่อนว่าเขาโอเคกันรึเปล่า เธอไม่ต้องห่วงหรอกน่า ยังฉันก็จะจัดให้ได้ก่อนงานเทศกาลฤดูใบไม้ผลิแน่นอน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ดีมากเลย ว่าแต่มันก็อีกแค่ไม่กี่เดือนเอง บอกฉันก่อนไม่ได้หรอ” ฉือชิงทำสายตาอ้อนวอนใส่
“ก็ได้นะ ถ้าเธอยอมเรียกฉันว่าสามีให้ฟังก่อนล่ะนะ” ชูจิ้งพอพูดเสร็จก็ได้หัวเราะออกมาเล็กน้อย
“ชิ ฉันไม่ยอมเรียกหรอก ใครจะไปสนความลับของนายกัน” ฉือชิงหน้าแดงก่อนที่จะผลักซูจิ้งออกไปเบาๆ แล้วหันหลังเดินลงไปด้วยบันไดทันที
ซูจิ้งรีบตามเธอไปพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เธอจะได้รู้ความลับของฉันทั้งหมดเลยนะ แค่เธอยอมเรียกฉันว่าสามีแค่นั้นเอง มันไม่ได้เสียหายซักหน่อยภรรยาจ๋า อ้ะขอโทษลืมไปว่ายังไม่ใช่”
ความจริงแล้วฉือชิงในตอนนี้ก็เป็นคู่หมั้นของซูจิ้งอยู่แล้ว เธอไม่ได้มีปัญหาในการเรียกซูจิ้งว่าสามีหรอก
แต่เวลาเธอเห็นซูจิ้งยิ้มแบบมีเลศนัยแล้วเธออายมากๆจนทำตัวไม่ถูกแค่นั้นเอง
แถมเธอยังคิดต่อว่าต่อให้ซูจิ้งไม่คิดจะบอกอะไรเธอเธอก็ไม่ได้สนใจอยู่แล้ว
เหตุผลที่ซูจิ้งยังไม่อยากบอกอะไรฉือซิงนั้นก็เพราะกลัวว่าจะทำให้เธอกังวล เนื่องจากว่าสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯในตอนนี้ยังไม่เสถียร ถ้าเขาละทิ้งหน้าที่ของเขาไปอาจจะทำให้เกิดเรื่องอันตรายขึ้นได้ เขานั้นมีแผนว่าจะบอกเธอก็ต่อเมื่อสถานีถูกยกระดับเป็นระดับ 1 ก่อนหรือจะให้ชัวร์ก็คงจะเป็นระดับ 2 เขาถึงกล้าจะบอกเรื่องนี้ให้เธอรู้
ซูจิ้งก็ยังคงคาดหวังไว้ว่าการยกระดับน่าจะเสร็จก่อนที่เขาจะแต่งงานนั่นก็เพราะว่าเจ้าสถานีนี่อันที่จริงก็เปรียบเสมือนระเบิดลูกใหญ่ที่ทำอันตรายได้ไปจนถึงทั้งโลกมนุษย์เลยก็ว่าได้
ตอนที่ 714
หาคนเพิ่ม
จนกระทั่งเย็นวันนั้นฉือชิงก็ไม่ยอมเรียกซูจิ้งว่าสามีซักทีเขาเลยไม่ได้บอกอะไรเธอเลย ซักประมาณสองทุ่มเขาได้รับโทรศัพท์จากหวังซือหยา เธอถามเขาว่า “อาจิ้งนายกำลังขาดเงินหรอ”
ซูจิ้งสงสัยในทันทีเลยถามกลับไปว่า “ห้ะ ไหงถามฉันอย่างนั้นหล่ะ”
หวังซือหยาเลยพูดต่อว่า “นายก็น่าจะรู้นี่ว่าตอนนี้ผู้คนภายนอกนั้นจับตาดูนายยู่แทบจะทุกฝีก้าว และพวกเราไม่สามารถละเลยเรื่องพวกนี้ได้ แล้วฉันก็รู้มาว่านายใช้เงินไปจำนวนมากเลยในช่วงนี้เหมือนกับนายกำลังรีบใช้เงินยังไงก็ไม่รู้”
“เรื่องนี้..” ซูจิ้งยิ้มก่อนจะพูดออกไปว่า “มันก็จริงที่ผมกำลังต้องใช้เงินแต่ผมก็ยังไม่ได้ขาดเงินขนาดนั้นหรอกนะ”
“เอางี้แล้วกัน เรื่องส่วนแบ่งของสินค้าเราควรจะเปลี่ยนใหม่นะเอางี้ละกัน ส่วนแบ่งสินค้าทั้งเปลี่ยนเป็นนายเอาไป 60% ส่วน40%ทีเหลือฉันกับพี่ซุนตกลงกันแล้วว่าจะแบ่งจากส่วนนั้น เป็นฉัน 50% และพี่ซุน 25% ที่เหลือเข้าบริษัท เรื่องนี้พี่ซุนเขาเห็นด้วยแล้ว นายไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ” หวังซือหยาพูดดักหน้าไว้ก่อน
“พี่ซือหยาไม่เห็นต้องทำอย่างนี้เลยนี่นา” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกเมื่อหวังซือหยาจะให้เงินเขาเพิ่ม
“เจ้าน้องชายผู้แสนดี อย่าปฏิเสธเลยน่า พวกเราได้มากกว่าที่นายคิดนะ ด้วยสูตรของนายน่ะปกติถ้าไปให้บริษัทอื่นล่ะก็นายน่าจะได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ ที่ฉันได้ตอนนี้ก็ถือว่าได้เยอะอยู่แล้ว ถ้านายต้องการเงินจริงๆก็ควรรับมันไว้ซะ เมื่อไหร่ที่นายขาดเงินหล่ะก็โทรบอกฉันได้ทันทีเลยนะ และแน่นอนว่าถ้าฉันขาดหล่ะก็ฉันจะบอกนายเหมือนกัน” หวังซือหยาหัวเราะออกมา
“ก็ได้ก็ได้” พอซูจิ้งนึกถึงว่าความปลอดภัยของโลกนี้ขึ้นอยู่กับการที่เขาต้องใช้เงินในการพัฒนาสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแล้ว เขาจึงเปลี่ยนใจยอมรับมัน “พี่ซือหยาไม่คิดจะถามผมหน่อยหรอว่าผมจะเอาเงินไปทำอะไรเยอะแยะน่ะ”
“ฮ่าฮ่า เอาจริงๆฉันก็รู้แค่ว่านายเอาเงินไปลงที่สถาบันวิจัยล้ำยุคของนายนั่นหล่ะ ถึงจะไม่รู้ว่าทำไมแต่นายก็จะมีเหตุผลดีๆทุกครั้งเสมอไป อ้อสำหรับเรื่องที่นั่นนายต้องคอยระหวังตัวไว้ดีๆหล่ะ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“เรื่องนั้นไม่ต้องห้วงหรอกน่า” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมอธิบายต่อไปว่าเขานั้นได้วางระบบป้องกันไว้อย่างดีชนิดที่หนูซักตัวก็เข้าไม่ได้ ถ้าใครก็ตามที่บุกรุกเข้าไปจะโดนควบคุมตัวทันที รวมถึงพวกเอเลี่ยนด้วยเช่นกัน
มันนานหลังจากวางโทรศัพท์ไป หวังจ้าวก็โทรมาหาเขาและพูดด้วยเรื่องเดียวกัน เขาเองก็เพิ่มส่วนแบ่งให้กับซูจิ้งด้วยหวังจ้าวมีธุรกิจร่วมกับซูจิ้งมากกว่าซือหยาซะอีก
ซึ่งซูจิ้งยอมรับแต่โดยดีพร้อมทั้งที่ใจเขารู้สึกได้ว่าทั้งสองคนตอนนี้กลายเป็นพี่น้องของเขาจริงๆไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ซูจิ้งเริ่มคิดถึงแผนการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารมากกว่าเดิมซึ่งตอนนี้เรื่องเงินไม่มีปัญหาแล้ว แต่ปัญหาก็คือเรื่องคน เขากำลังขาดกำลังคนจากเหล่าอัจฉริยะ แต่เขาก็ไม่ได้เร่งรีบอะไรมากเขาให้เฉิงหนานหาคนที่เหมาะสมกับการร่วมงานกับเขามา โดยบอกไปว่าให้หามาก่อนคนนึงแล้วค่อยๆทยอยหามาเรื่อยๆ
การจ้างครั้งนี้ถือได้ว่าเป็นการระดมคนเลยก็ว่าได้
ความจริงนั้นซูจิ้งเคยคิดจะจ้างคนแบบนี้มาแล้วแต่ตอนนั้นเขาคิดว่าบนมือจองโจวเทียนรุยน่าจะมืข้อมูลของเหล่าอัจฉริยะมากกว่า
แต่พอเอาเข้าจริงๆก็มีคนเข้าตาเขาแค่คนเดียวคือหลัวเทียนฟู่ซึ่งเขาก็ได้ตัวมาแล้ว เขาก็เลยเลือกที่จะไม่สนใจคนในรายการของโจวเทียนรุย แล้วกลับมาใช้วิธีการเดิมแทน
เย็นวันถัดมาเฉิงหนานโทรหาเขาพร้อมบอกว่า “บอสคะ พวกเราได้คัดเลือกคนพร้อมสัมภาษณ์ไว้จำนวนหนึ่งแล้ว หนึ่งในนั้นค่อนข้างโดดเด่นเลย เขาสามารถตอบแบบทดสอบของเราได้ทั้งหมด คุณสนใจจะมาดูหน่อยรึเปล่า”
ซูจิ้งตาเป็นประกายทันทีที่ได้ยินจึงตอบไปว่า “ไปแน่นอนเดี๋ยวฉันไปนะ” โชคดีจริงๆที่มีคนตอบพวกมันได้หมดเร็วขนาดนี้
ต้องรู้ก่อนว่าซูจิ้งได้ให้ทั้งเอเลี่ยน ปันฉาง และหลัวเทียนฟู่ทำงานด้วยกันเพิ่มจัดการปัญหาหลายอย่างในงานการผลิตปฏิสสาร
แล้วเขาก็ให้พวกนี้หยิบยกปัญหาส่วนหนึ่งมาตั้งเป็นโจทย์คำถามพวกนี้
ใครก็ตามที่ตอบคำถามพวกนี้ได้หมดถือได้ว่าจะต้องรู้เรื่องปฏิสสารดีมากเลยทีเดียว
แต่จากการสัมภาษณ์ที่ผ่านมาต่อให้เก่งมาจากไหนแต่ไม่เคยมีใครทำได้เกินยี่สิบคะแนนมาก่อน นี่ถึงทำให้เขาตาเป็นประกายขึ้นมา
ซูจิ้งบอกเฉิงหนานไปว่าเขานั้นจะร่วมสัมภาษณ์ด้วย เพราะซูจิ้งไม่ได้แค่อยากได้ที่มีความรู้แต่ต้องเป็นคนที่ไว้ใจและเชื่อใจได้ด้วย เพราะถ้าเรื่องเอเลี่ยนและการผลิตปฏิสสารหลุดออกไปล่ะก็มีแต่เสียกับเสียอย่างเดียว
ซูจิ้งรีบตรงไปที่บริษัทกลุ่มทุนฯทันที เฉิงหนานได้พอซูจิ้งเขาไปในห้องสัมภาษณ์ มีชายคนหนึ่งอายุประมาณสามาสิบปีอยู่ในชุดเสื้อเชิตสไตล์ตะวันตกอยู่ เขาลุกขึ้นทันทีที่เห็นซูจิ้ง เขายื่นมือออกมาพร้อมพูดออกมาว่า “สวัสดีครับคุณซู”
“สวัสดีครับคุณโอว” ซูจิ้งยื่นมือไปจับตอบเป็นการทักทาย
“ผมได้ยินชื่อคุณซูมานานแล้ว ผมรีบมาทันทีเลยเมื่อได้ยินมาว่าที่นี่กำลังรับพนักงาน การที่สามารถทำงานในบริษัทของคุณได้นี่ถือว่าเป็นบุญของผมเลยครับ” โอวฉิงหยุนกล่าวออกมา
“คุณโอวก็พูดเกินไป บริษัทของผมก็แค่บริษัทเล็กๆที่เพิ่งเปิดได้ไม่นานเอง เอาจริงๆผมก็ต้องมาเพื่อผลาญเงินเล่นเฉยๆน่ะไม่ได้หวังว่าจะสร้างรายได้อะไรมากมายหรอก ผมจะรับคำชมของคุณได้ยังไงกัน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“คุณซูก็ถ่อมตัวเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะเพิ่งตั้งมาได้ไม่นานแต่กลับมีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนแผงพลังงานแสงอาทิตย์นี่ไม่มีใครเทียบได้เลย ผมเชื่อว่าบริษัทของคุณจะเติบโตในระดับโลกในไม่ช้านี้หรอกครับ อีกอย่างคุณซูเองก็ยังทำอีกตั้งหลายอย่าง อย่างสถาบันวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเองก็เหมือนกัน ดูเหมือนคุณซูเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ไม่น้อยเลย ด้วยสถาบันนั่นผมเชื่อว่าจะทำให้คุณซูเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน” โอวฉิงหยุนยังกล่าวสรรเสริญต่อไป
ซูจิ้งได้มองไปที่โอวฉิงหยุนในทันที เขานั้นก็ได้หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร เขาหันไปบอกเฉิงหนานว่า “คุณออกไปก่อนแล้วกัน ผมมีเรื่องที่จะต้องคุยกับคุณหยุนตัวต่อตัว”
“ได้ค่ะ” เฉิงหนานรู้สึกแปลกๆขึ้นมาทันที ซูจิ้งนั้นให้เธอมาเป็นผู้จัดการทั่วไปซึ่งเธอได้มีส่วนร่วมในทุกเรื่องไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความไว้วางใจเธออย่างมาก ซึ่งการสัมภาษณ์ครั้งนี้ก็ควรจะให้เธอมีส่วนร่วมด้วยไม่น่าจะต้องให้เธออกมาก่อน แต่เธอนั้นก็คิดว่าเขาคงมีเหตุผลมากพอที่จะต้องให้เธอออกมาเธอจึงยอมออกมาแต่โดยดี
เมื่อเฉิงหนานออกไปและปิดประตูลงพร้อมล็อคห้อง ซูจิ้งได้นั่งลงพร้อมจ้องไปที่โอวฉิงหยุน เขานั้นได้ปลดปล่อยกระแสจิตอัดเค้าไปในสมองจองของโอวฉิงหยุนในทันทีเพิ่อสะกดจิตเขา แล้วซูจิ้งก็ได้พูดออกมาว่า “ว่ามา ใครสงนายมา และนายมีจุดประสงค์อะไร”
ซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนขี้ระแวงหรอกเพราะเขาไม่เคยเชื่อใจคนที่สัมภาษณ์งานอยู่แล้ว แต่การสัมภาษณ์ครั้งนี้เขาจับพิรุธของโอวฉิงหยุนได้ว่ากระแสวิญญาณ(ออร่า)ของเขาจะผิดปกติทุกครั้งที่กล่าวชื่นชมสรรเสริญซูจิ้ง แถมยังแสดงความผิดปกติอย่างรุนแรงทันทีที่พูดถึงสถาบันวิจัย ซึ่งความผิดปกติของกระแสวิญญาณ(ออร่า)นั้นไม่ว่าจะเป็นใครสภาพไหนก็ไม่มีทางปกปิดได้อย่างแน่นอน
“ลูกพี่หวู่ส่งผมมาที่นี่โดยมีจุดประสงค์ให้ผม…..” โอวฉิงหยุนกล่าวออกมาอย่างว่าง่ายโดยพูดทุกอย่างอย่างหมดเปลือก
ตอนที่ 715
ตระกูลหวู่
“เป็นตระกูลหวู่ที่ส่งผมมาที่นี่ เป้าหมายของผมในการมาที่นี่ก็แค่เรื่องง่ายๆ คือต้องลอบเข้าไปในสถาบันวิจัยฯ และค้นหาความลับทุกอย่างของคุณ ลูกพี่หวู่คิดว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างที่คุณทุ่มเงินไปกับสถาบันวิจัยแห่งนี้มากมาย” โอวฉิงหยุนพูดออกมา
“ลูกพี่หวู่งั้นหรอ แล้วววว..ลูกพี่หวู่ไหนกันหล่ะนั่น” ซูจิ้งถามออกมา
“เขาเป็นนายน้อยตระกูลหวู่ชื่อว่าหวู่ฉิงติง หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของจังหวัดนี้” โอวฉิงหยุนอธิบายเพิ่มเติม
“โอ้” ซูจิ้งพยักหน้ารับเล็กน้อย เขานั้นรู้จักชื่อนี้แต่ไม่ใช่เพราะว่าเป็นนายน้อยตระกูลหวู่แต่เป็นในฐานะอดีตสามีของเฉิงหนาน ไอ้ระยำนี่เลิกกับเธอไปตอนที่เธอกำลังเจอมรสุมชีวิต
ในจังวัดนี้มีตระกูลใหญ่อยู่ด้วยกันสี่ตระกูลประกอบด้วย ลู่ เกา เฉิง และหวู่ เมื่อเทียบกันในตระกูลแล้วตระกูลหวู่ถือได้ว่ามีพลังที่สุดทั้งในด้านการเงินและอำนาจ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมตอนที่เฉิงหนานถูกตระกูลหวู่รังแกตระกูลเฉิงถึงได้เงียบเฉยไม่สนใจไยดีเธอ
“ตระกูลหวู่นี่ช่างหาญกล้าซะจริงๆ” ซูจิ้งสบถออกมา ความจริงแล้วมีผู้คนมากมายจับตาดูเขาอยู่แต่ไม่มีใครกล้าลงมือ ไม่คิดว่าคนแรกที่เข้ามาลองของจะเป็นตระกูลหวู่
“แล้วนายมีความสัมพันธ์ยังไงกับตระกูลหวู่ แล้วทำไมนายยอมทำตามคำสั่งของพวกมัน” ซูจิ้งถามออกมา
แล้วโอวฉิงหยุนก็เล่าออกมาแบบหมดเปลือกอีกครั้ง เขาบอกมาว่าตัวเขานั้นไม่ใช่คนดีอะไร เขานั้นยุ่งเกี่ยวกับเรื่องโลกีย์ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น กิน ดื่ม เที่ยวผู้หญิง ติดการพนัน และเขาเองก็ติดหนี้ไว้มากมาย บอกได้เลยว่าเขานั้นเป็นคนที่สกปรกตั้งแต่หัวจรดเท้า
เขานั้นเกือบติดคุกมาแล้วแค่ได้ตระกูลหวู่ช่วยเหลือเอาไว้เพราะพวกเขาอยากได้คนไว้ใช้งาน เขาเองก็ไม่อยากเป็นแต่ด้วยการตระกูลหวู่เป็นตระกูลใหญ่ทำให้เขาต้องจำยอม
ด้วยการที่เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง และไม่ใช่แค่หนึ่งแต่บอกได้เลยว่าแทบจะรอบด้านทำให้ต่อให้เขาทำตัวแย่ยังไงแต่ก็ยังถือว่าเขาเป็นคนดีได้นิดหน่อย
เพราะความดีเดียวที่เขามีนั้นก็คือการคอยช่วยเหลือคนในครอบครัว ก่อนที่เขาจะมีปัญหาเขาเองก็แบ่งเงินไปให้ครอบครัวของไว้ใช้จ่าย ต่อให้เขายากจนค่นแค้นยังไงก็ไม่เคยขอเงินจากทางบ้านแม้ซักแดงเดียว
“ถ้าควบคุมหมอนี่ได้โดยสมบูรณ์แล้วล่ะก็นอกจากจะไม่ทำให้ความสามารถของเขาสูญเปล่าแล้วยังช่วยให้เขาเดินในทางที่ถูกต้องได้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว แต่ก่อนหน้านั้นสงสัยต้องไปจัดการเรื่องตระกูลหวู่ซะก่อนแหะ” ซูจิ้งนึกขึ้นมาอย่างนั้นได้เขาก็ได้จัดการบังคับให้สมองของโอวฉิงหยุนลืมการสนทนาเมื่อครู่นี้และปลดปล่อยเขาจากการสะกดจิต
โอวฉิงหยุนมึนหัวเล็กน้อยก่อนที่จะได้สติและไม่ได้สงสัยอะไรเพราะซูจิ้งทำเหมือนเขากำลังถามคำถามกับโอวฉิงหยุนอยู่ทำให้โอวฉิงหยุนต้องรีบตอบเลยไม่ได้ใส่ใจ
หลังจากโอวฉิงหยุนออกไปเฉิงหนานก็เข้ามาพร้อมถามออกมาว่า “บอสคะ คุณคิดว่าเขาเป็นยังไงบ้าง”
ซูจิ้งยิ้มพร้อมพูดออกไปว่า “เขาถือว่าดีมากเลยหล่ะ พรุ่งนี้ค่อยบอกเขาไปว่าเขาผ่านการสัมภาษณ์แล้วนะ”
เฉิงหนานเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทุกครั้งที่ซูจิ้งทำแบบนี้เธอเหมือนเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่าง
ความจริงเขาก็อยากบอกความจริงไปเหมือนกันเพราะมันเป็นเรื่องของสามีเก่าของเฉิงหนาน
แต่เขาก็คิดว่าบอกไปก็เท่านั้นแถมยังจะกลายเป็นปัญหาหนักใจให้เธอซะเปล่าๆ
แถมตอนนี้เฉิงหนานก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลหวู่แล้วเขาจึงเลือกที่จะแก้ปัญหาเงียบๆเองดีกว่า
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาที่วิลล่าสุดหรูได้มีชายคนหนึ่งในชุดสูทอายุประมาณสามสิบปีกำลังคุยกับชายร่างอวบอายุประมาณห้าสิบและอีกคนหนึ่งนั่นคือโอวฉิงหยุน เขาได้มารายงานเรื่องทุกอย่างที่เกิดในระหว่างสัมภาษณ์ยกเว้นเรื่องที่ถูกทำให้ลืมไปแล้ว
“ดูเหมือนจะเป็นไปได้ด้วยดีนะ” หวู่ฉิงติง ชายอายุสามสิบปีในชุดสูทยิ้มออกมา
“คุณโอวนี่ฉลาดจริงๆ ขนาดซูจิ้งยังไม่รู้ตัวเลย ถ้าเขารู้ความจริงเข้าคงประหลาดใจไม่น้อย” หวู่หลิวหยิง(ชายร่างอวบ)พูดออกมาด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดต่อว่า “ฉิงหยุน ถ้านายได้รับการว่าจ้างจริงก็แค่ทำตามที่เราตกลงกันไว้ตอนแรกก็พอ ค่อยเริ่มงานและทำอย่างตั้งใจทีละก้าวไม่ต้องรีบร้อนจะได้ไม่เป็นที่ผิดสังเกตุ หลังจากนี้เราจะไม่ติดต่อกันโดยตรงแบบนี้อีกแล้ว นายคอยแอบรายงานพวกเราก็พอ”
“ได้ครับ” โอวฉิงหยุนผงกหัวรับ
“ซูจิ้งได้ทุ่มเงินลงไปในสถาบันวิจัยของเขาอย่างกระทันหันอย่างนี้แสดงว่าเขาเองต้องมีความลับบางอย่างเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจจะเป็นความลับทั้งหมดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้งหลายรวมถึงสมบัติมากมายของเขา หลังจากเข้าไปได้แล้วต้องสืบให้กระจ่างซะ” หวู่ฉิงติงพูดออกมา
“ผมจะทำสุดความสามารถครับ” โอวฉิงหยุนผยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“ไม่มีอะไรแล้วนายไปได้” หวู่ฉิงติงพูดออกมา โอวฉิงหยุนเลยออกไป
“ฉิงติงไม่ต้องรีบไปหรอกนะ ค่อยๆสืบไปดีกว่า” หวู่หลิวหยิงพูดออกมา
“พ่อ ผมรู้ดีว่าที่เรากำลังทำอยู่น่ะมันเสี่ยงแค่ไหน แต่โอวฉิงหยุนเองก็เป็นคนฉลาด เขารู้ว่าควรจะจัดการเรื่องนี้ยังไง
ต่อให้พลาดจริงๆความสัมพันธ์ของเรากับโอวฉิงหยุนนั้นไม่มีทางที่ซูจิ้งจะสืบกลับมาได้หรอก ไอ้บ้านั่นไม่ได้รู้เรื่องโลกภายนอกดีขนาดนั้น” หวู่ฉิงติงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ดี ฉันก็หวังเอาไว้จริงๆว่าเราสามารถขุดความรับของซูจิ้งออกมาได้ ตระกูลเราตอนนี้แทบไม่ได้พัฒนาขึ้นเลยแถมยังมีหนี้สินซะอีก
ถ้าเราไม่รีบหาวิธีตัดผ่าน(ยกระดับ)ไปละก็พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากทั้งตระกูล” หวู่หลิวหยิงพูดออกมา
สองพ่อลูกได้คุยกันอีกพักใหญ่ก่อนที่หวู่ฉิงติงจะออกไป หวู่หลิวหยิงได้หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบจนหมดมวนก่อนที่จะไปนั่งดื่มชา แต่ในขณะที่กำลังรินชาอยู่นั้นเขาก็พบว่าซูจิ้งกำลังนั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้าเขาเรียบร้อยแล้ว
“แก แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่” หวู่หลิวหยิงพูดละล่ำละลักไม่เชื่อกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ซูจิ้งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเขาและเหมือนจะนั่งอยู่มานานแล้วแต่เหมือนไม่มีใครรู้สึกตัวมาก่อนหน้านี้
อย่าว่าแต่เขาจะไม่รู้ตัวเลย แม้แต่พวกหน่วยรักษาความปลอดภัยกับสุนัขยามที่อยู่ในสวนตอนนี้ก็เหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำ
อันที่จริงหวู่หลิวหยิงนั้นก็พอรู้แล้วล่ะว่าทำไมซูจิ้งถึงมา แต่ไม่คิดว่าเขาจะรู้ว่าเขาเป็นคนส่งโอวฉิงหยุนไปเร็วขนาดนี้ ต่อให้เป็นนักกลยุทธก็ไม่มีทางรู้ได้เร็วขนาดนี้ คำถามมากมายพุดขึ้นมาในใจของหวู่หลิวหยิง ทันใดนั้น หวู่หลิวหยิงรู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดแปลกไป ความรู้สึกเย็นยะเยือกวิ่งเข้าไปในหัวเขา เขารู้สึกได้ในทันทีว่าซูจิ้งนั้นเหนือกว่าที่เขาคิดไว้มากมายนัก
“มา…” หวู่หลิวหยิงนั้นเมื่อตั้งสติได้เลยพยายามจะเรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยแต่เขาก็ไม่สามารถตะโกนออกไปได้
เพราะอยู่ๆเขาก็รู้สึกหัวหมุน สายตาพล่าเลือน หลังจากนั้นก็หมดสติไป ซึ่งนั้นหมายความว่าเขาโดนซูจิ้งสะกดจิตเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเห็นดังนั้นซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตกระหน่ำเข้าไปในจิตสำนึกของหวู่หลิวหยิง เขาลองสะกดจิตซ้ำอีกตรั้งหนึ่งและเขาก็ทำได้สำเร็จอย่างง่ายได้ ถ้าเขาสามารถสะกดจิตหวู่หลิวหยิงได้ในตอนนี้ก็เปรียบได้ว่าเขานั้นได้จับหัวหน้าโจรได้เรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ความสามารถในการสะกดจิตของเขาได้เพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขานั้นรังเกียจสังคมออนไลน์แบบสุดๆถ้าเลี่ยงปัญหาที่เป็นข่าวได้ก็อยากจะเลี่ยง เพราะว่ามันสามารถส่งผลต่อคนที่เขามีสัมพันธ์ด้วยโดยตรง แถมยังอาจส่งผลต่อธุรกิจของเขาได้เลย เขาจึงเลือกที่จะมาจัดการศัตรูโดยการเปิดประตูบ้านศัตรูเพื่อตีหัวโจกตรงๆแบบนี้ดีกว่า
“หวู่หลิวหยิงนี่มีขวัญค่อนข้างดีเลยแหะ น่าจะเป็นปัญหานิดหน่อยล่ะนะ” ซูจิ้งรู้หนักใจเล็กน้อยแต่เขาก็นึกอะไรดีๆได้ขึ้นมาเขาเลยมองสายตาเหี้ยมเกรียมในทันที
เมื่อเทียบกับที่ทุกคนที่ซูจิ้งรู้จักมานั้น หวู่หลิวหยิงนั้นถือได้ว่ามีจิตใจ(ขวัญ)แกร่งกว่าหลายๆคน ถึงจะไม่เท่าหยางเซี่ยวแต่ก็ยังเหนือกว่าจ้าวหยวนอยู่ดี ถึงแม้การสะกดจิตทั่วไปจะทำได้ง่ายๆ
แต่ถ้าจะสะกดจิตแบบสมบูรณ์ได้น่าจะยากไปซักหน่อย เอาจริงๆก็ฝืนได้แต่นั่นจะทำให้หวู่หลิวหยิงปัญญาอ่อนไปในทันที
เขายังต้องการใช้ประโยชน์จากหวู่หลิวหยิงแถมยังต้องระวังไม่ให้เขาปัญญาอ่อนจนเป็นที่ผิดสังเกตุของคนอื่นอีก ครั้งนี้เขาลองใช้พลังจิตของเขาไปสิบสองส่วนเพื่อหวังจะสำเร็จในทีเดียวแต่ก็ยังไม่ได้ผล
ตอนที่ 716
ฝันร้าย
ยิ่งซูจิ้งทำใบหน้าเหี้ยมเกรียมมากเท่าไหร่ ใบหน้าของหวู่หลิวหยิงก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น ร่างกายเองก็ยิ่งกระตุกมากขึ้นกว่าเดิม
พลังใจของเขานั้นแข็งแกร่งมากจนทำให้มีความสามารถในการต้านทานผลทางจิตใจมากขึ้นตาม นั่นทำให้หวู่หลิวหยิงมีความสามารถในการต้านทานการสะกดจิตของซูจิ้งได้ดียิ่งขึ้น
ตอนนั้นที่เขาสะกดจิตจ้าวหยวนได้นี่ถือได้ว่าโชคช่วยล้วนๆเลย แต่ตอนนั้นถือได้ว่ายากกว่าตอนนั้นพอสมควร
“อ่า…” หวู่หลิวหยิงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ตอนนี้มีเหงื่อออกมาทั่วทั้งใบหน้าของเขา ซูจิ้งรีบถอนพลังของเขาออกมาทันที
เขารู้ในทันทีเลยว่าการสะกดจิตครั้งนี้ถือได้ว่าล้มเหลวแล้ว เขาจึงต้องรีบถอนพลังก่อนที่จะทำให้สมองของหวู่หลิวหยิงได้รับความเสียหายจนกลายเป็นปัญญาอ่อนไป
ถ้าเขายังฝืนต่อไปถึงสำเร็จได้ก็จริงแต่หวู่หลิวหยิงจะเป็นได้แค่เพียงตุ๊กตาหุ่นกระบอกโง่ๆซึ่งเขาไม่ต้องการแบบนั้นเพราะเขาจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย
“ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ง่ายซะแล้วสิ” ซูจิ้งถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในตอนนั้นก็ได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาที่หน้าประตูว่า “นายท่าน ท่านเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ซึ่งนั่นน่าจะเป็นคนรับใช้หญิงที่บังเอิญได้ยินเสียงร้องของหวู่หลิวหยิงเมื่อครู่นี้
ซูจิ้งยังคงควบคุมหวู่หลิวหยิงได้อยู่ เขาจึงสั่งให้หวู่หลิวหยิงตื่นขึ้นมาและพูดตอบไปว่า “ไม่เป็นไร แค่ชนของนิดหน่อยน่ะ ไม่ต้องเข้ามาหรอกไปทำงานต่อเถอะ” เมื่อได้ยินดังนั้นเธอจึงตอบรับและเดินจากไป
“เฮ้อ ในเมื่อสะกดจิตได้ไม่สมบูรณ์แล้วฉันควรจะทำยังไงหล่ะเนี่ย” ซูจิ้งนึกวิ่ธีการต่างๆนานาพลางนึกไปว่าต่อให้ครั้งนี้จะสะกดจิตหวู่หลิวหยิงได้ไม่สำเร็จแต่ก็แค่ลงความทรงจำในส่วนนี้ออกไปก็จบ
แล้วจะวางการสะกดจิตไว้ดีรึเปล่าว่าถ้ามีเหตุการณ์อะไรให้รายงานเขาแต่มันก็ยังมีช่องว่างมากเกินที่จะไว้ใจได้ว่าจะไม่เกิดปัญหาใหญ่ตามมา(หากสะกดจิตโดยใช้คำที่เป็นกุญแจซูจิ้งกลัวว่าจะไม่ครอบคลุมเหตุการณ์ทั้งหมดที่จะทำให้หวู่หลิวหยิงเข้าสู่ภวังค์เพื่อรายงานเรื่องต่างๆให้ซูจิ้งรู้)
“ถึงแกจะต่อต้านได้แต่ก็ไม่ได้ตลอดหรอกน่า” ซูจิ้งสบถออกมาพร้อมทั้งได้หยิบผ้าผืนหนึ่งขึ้นมา นั่นคือธงหลอนจิต ก่อนที่เขาจะเริ่มใช้มันนั้นเขาได้สะกดจิตคนอื่นๆโดยรอบก่อน เขาสั่งให้ทุกคนปิดประตูหน้าต่างเพื่อไม่ให้มีเสียงเล็ดลอดออกไป
ทันใดนั้นซูจิ้งได้เปิดธงหลอนจิตออก ทันใดนั้นจ้าวผีร้ายและบรรดาผีๆทั้งหลายค่อยๆทยอยออกมา ภาพที่หวู่หลิวหยิงเห็นตอนนี้ก็คือภาพที่กำลังโดนรายล้อมไปด้วยภูติผีวิญญาณที่แสนน่าสะพรึงกลัว
ผีหลายๆตัวปีนขึ้นมาบนตัวเขา บางตัวคอหัก บางตัวมีหน้าครึ่งเดียวบางตัวขาดครึ่งตัว บางตัวหน้าเน่าเปื่อย บางตัวหน้าเต็มไปด้วยเลือดและน้ำหนองที่กำลังหยดย้อยลงพื้นบางส่วนยังหยดลงมาบนหน้าของหวู่หลิวหยิง
หวู่หลิวหยิงตะโกนร้องลั่นวิ่งหนีไม่คิดชีวิตไปรอบๆแต่ก็ไปไหนไม่รอดเพราะมีแต่ผีรอบตัว
มีผีอยู่ตัวนึงอาศัยจังหวะที่เขาไม่รู้จะไปทางไหนจ้วงเข้าไปที่ท้องของเขาและควักเครื่องในของเขาออกมา
จนทำให้เขารู้สึกเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและและล้มตัวลงเหมือนตายไปแล้ว
ทันใดนั้นภาพทุกอย่างก็มลายหายไป เจ้าผีร้ายได้กลับเข้าไปในธงแล้ว ท้องของหวู่หลิวหยิงก็ยังคงอยู่ดี ไม่มีล่องลอยการถูกควักเครื่องใน แต่ตอนนี้หวู่หลิวหยิงอยู่ในสภาพเป็นลมล้มพับไปแค่นั้นเอง
“หึ ก็ให้รู้กันไปว่าจะทนอยู่ได้ซักอีกกี่วัน” ซูจิ้งสบถออกมา เขาเก็บธงและค่อยๆถอนตัวเองออกไปจากที่นี่ หลังจากนั้นไม่นานกล้องวงจรปิดก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อหวู่หลิวหยิงตื่นขึ้นมา เขาลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วพบว่าตัวเองนอนอยู่กับพื้น เขารีบให้หมอเข้ามาตรวจในทันที โดยหมอบอกว่าเขาน่าจะทำงานหนักเกินไป ส่วนที่เหลือก็ดูปกติดี
หวู่หลิวหยิงไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เขาต้องไปนอนกองอยู่บนพื้นอีกต่อไป แต่ในคืนนั้นไม่เหมือนคืนที่ผ่านๆมา ตอนที่เขากำลังจะผลอยหลับไปเข้าฝันร้ายซึ่งเป็นฝันที่หลอนมากๆ มันน่ากลัวทุกความฝันร้ายที่เขาเคยฝันมาในชีวิตเป็นร้อยเท่า มันน่ากลัวจนถึงขั้นที่ว่าหัวใจเขาเกือบจะวาย หลังจากตื่นขึ้นมาทั่วทั้งตัวของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ใบหน้าของเขาซึดเซียวและดูอ่อนแรง ตอนกลางดึกเขาก็ฝันอีกครั้ง และอีกหลายๆครั้งในคืนนั้น
หวู่หลิวหยิงแทบไม่ได้นอนเลยในคืนนั้น แม้แต่คืนถัดมาเขาก็ยังฝันเหมือนเดิม มันเหมือนกับเขาได้เขาโปรแกรมฝันร้ายของปีศาจร้ายบางตัว เขากลัวจนต้องฝืนตัวเองแต่แค่เขาเผลองีบหลับนิดเดียวเขาก็ยังฝันถึงมันในทันที
หวู่หลิวหยิงเหนื่อยล้าจนทนไม่ไหวอีกต่อไป เขาไปโรงพยาบาลเพื่อให้หมอตรวจอาการและรักษา ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ผลเลลยซักนิด คืนนั้นเขาก็ยังคงฝันร้ายเหมือนเดิม เขานั้นนอนไม่พอมาสามวันติดจนทำให้สติสตังของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ขอบตำดำคล้ำ เขาถึงกับยอมไปหาจิรแพทย์เพื่อตรวจประเมินและรักษา แต่ไม่ยังไงพวกหมอก็ไม่เจออะไรผิดปกติเลยซักนิดเดียว
หวู่หลิวหยิงเริ่มคลุ้มคลั่งขึ้นมาทันทีที่รู้ผล หวู่ฉิงติงและสมาชิกคนอื่นในตระกูลต่างพากันเสียขวัญจึ้นมา หวู่ฉิงติงพูดออกมาอย่างโมโหว่า “หมอมันก็แค่ฝันร้ายเองนะ พวกคุณทำอะไรกับมันไม่ได้เลยหรอ”
“พวกเราพยายามสุดความสามารถแล้ว…” หมอเองก็จนปัญญาจริงๆ พวกเขานั้นไม่เคยได้ยินว่ามีโรคที่ทำให้เป็นฝันร้ายมาก่อน และไม่เคยเห็นกับตาตัวเองจนกระทั่งเห็นก็วันนี้นี่แหล่ะ พวกเขาพยายามทุกหนทางแต่ก็ยังทำอะไรไม่ได้แม้แต่น้อย
ทั้งตระกูลหวู่และหมอทั้งหลายไม่มีทางคิดได้กันหรอกว่าฝันร้ายของหวู่หลิวหยิงนั้นไม่ได้มาจากโรคภัย แต่มาจากภูตผีปีศาจและวิญญาณร้ายที่มาจากห้วงเวลาฯจูเซียน
ไม่มีทางเลยที่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่จะสามารถตรวจพบเจอและแก้ปัญหาได้ มันจะกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาดสำหรับพวกเขาทันทีที่รู้สาเหตุ
ในช่วงสามวันมานี้ซูจิ้งเฝ้ารอคอยให้หวู่หลิวหยิงมีขวัญกำลังใจที่อ่อนแอลง ทฤษฎีของซูจิ้งไม่ผิดเลยสักนิด
ตราบใดที่ร่างกายแข็งแรงจิตใจก็จะแข็งแรง แต่เมื่อร่างกายของหวู่หลิวหยิงอ่อนแอลงจิตใจของเขาก็จะอ่อนแรงลงตาม เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะยิ่งทำให้เขาสะกดจิตได้สำเร็จง่ายขึ้น
สำหรับเขานั้น เขามีวิธีการเพิ่มพลังจิตของเขาด้วยวิธีง่ายๆด้วยการให้ผู้คนยกย่องสรรเสริญเขา แล้วเขาจะดูดซับพลังเหล่านั้นจากเหรียญตราเทวฑูต ถ้าคุณอยากให้ผู้คนสรรเสริญยกยอก็ต้องทำบางสิ่งที่ทำให้ผู้คนสรรเสริญยกยอชื่นชม ตัวอย่างเช่นการที่เขาเล่นเพลงใหม่ การเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมจนทำให้ทุกคนตื่นตะลึง หรืออะไรก็ตามที่ช่วยเติมเต็มจิตใจของคนอื่น
อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มดำเนินการใจขั้นถัดไป เขาได้นึกถึงบางสิ่งขึ้นได้เป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ เขาได้โทรไปหาเว่ยเสี่ยวหยวนในทันที เมื่อเสี่ยวหยวนรับเขารีบพูดออกไปว่า “เสี่ยวหยวน ได้มีพวกรายการทีวีหรือพวกบริษัทสื่อสารติดต่อคุณมาบ้างรึเปล่า”
“มีนะ เป็นเว็บไซต์ที่คุณไปสตรีมสดนั่นแหล่ะ พวกเขาอยากให้คุณสตรีมสดบนเว็บไซต์ของเขาอีกรอบน่ะ และเขายินดีพร้อมที่จะจ่ายเงินจำนวนมากเป็นค่าตอบแทนเลย ฉันว่าฉันบอกคุณไปก่อนหน้านี้แล้วนะแต่คุณเหมือนจะไม่สนใจและให้ฉันปฏิเสธไป” เว่ยเสี่ยวหยวนโวยวายเล็กน้อย
“จ้าๆ เอาเป็นเธอโทรไปติดต่อเขาอีกทีแล้วกันแล้วบอกไปว่าตอนนี้ผมสนใจแล้ว” ที่ซูจิ้งบอกไปแบบนั้นก็เพราะว่าตอนที่เขาสตรีมในครั้งนั้นก็เพียงต้องการช่วยเต็งหมินจิ้เท่านั่น
แต่เว็บไซต์เองก็ได้ผลประโยชน์ไปไม่น้อยและพยายามจะชวนซูจิ้งสตรีมอีกครั้งแต่เขาปฏิเสธเพราะยังไม่อยากเด่นดังมากมาย
แต่ตอนนี้เขารู้แล้วข้อดีแล้วเขาเลยอยากจะสตรีมอีกครั้ง นอกจากจะทำให้เว่ยเสี่ยวหยวนได้เงินพิเศษแล้วจะยิ่งทำให้เขาได้ประโยชน์มากขึ้นถ้าเขายอมให้เว็บไซต์สตรีมเขาไปในวงกว้าง
ตอนนี้เขาเริ่มคิดวางแผนแล้วว่าครั้งต่อไปเขาจะทำอะไรเจ๋งๆระหว่างสตรีมดี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น