Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 709-712
ตอนที่ 709
เป็นไปไม่ได้
“พ่อ ทำไมถึงอยากให้ผมรีบกลับมานักล่ะ เอ๊ะ พี่หยินหนิงกับพี่ไจบิงเองก็อยู่ที่นี่ด้วยแหะ” ชายหนุ่มตัวสูงคนหนึ่งรีบเดินเข้ามาแล้วพูดขึ้นมาทันทีที่เขาเข้ามา และหัวเราะดีใจเมื่อได้เห็นญาติผู้พี่ของเขา
“ไจซวนให้พ่อได้แนะนำคนคนหนึ่งให้ลูกได้รู้จักก่อนนะ นี่คือคุณซูจิ้ง” เฉียนจานฮวงกล่าวแนะนำซูจิ้ง
“สวัสดีครับพี่ชายซู” เฉียนไจซวนได้ข่าวคราวของซูจิ้งบนอินเตอร์เนตมาตั้งนานแล้ว เขานั้นค่อนข้างที่จะปลื้มซูจิ้งอยู่พอสมควร ยิ่งเขารู้ว่าซูจิ้งเป็นคนช่วยปู่ของเขาและไจบิงด้วยแล้วยิ่งทำให้เขาเคารพและเทิดทูนซูจิ้งยิ่งกว่าเดิม และเขามีความสุขอย่างมากเมื่อได้เห็นซูจิ้ง
“สวัสดีครับ” ซูจิ้งกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้ม
เฉียนจานฮวงและเฉียนหยินหนิงและทุกคนในที่นี้ก็ยังคงสงสัยอยู่ว่าซูจิ้งจะถามหาไจซวนทำไม
พวกเขาสงสัยจนอดไม่ได้ที่ต้องถามออกมาแต่ซูจิ้งก็ยังคงอุบเงียบและพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า
“ตอนที่ผมเข้ามาที่นี่เห็นว่ามีสระว่ายน้ำของชุมชนอยู่ เท่าที่ดูก็เป็นสระว่ายน้ำที่ใหญ่และดูดีเหมาะกับการว่ายทดสอบร่างกายเลย งั้นเอาอย่างนี้แล้วกัน ไจซวนนายลองว่ายน้ำให้ฉันดูหน่อยสิ”
ทุกคนในตอนนี้ต่างรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ทุกคนก็ยังทำตามที่ซูจิ้งบอกโดยพากันยกโขยงกันไปสระว่ายน้ำของชุมชนด้วยกัน ในระหว่างนั้นซูจิ้งได้ให้ผลไม้ลูกสีแดงเม็ดเล็กๆให้ไจซวนโดยที่คนอื่นไม่ทันได้สังเกต
ซักพักเมื่อพวกเขาได้ไปถึงที่สระว่ายน้ำ ไจซวนได้เปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำพร้อมทั้งอบอุ่นร่างกาย ด้วยความประหม่านิดหน่อยเขาได้หันมาบอกกับทุกคนก่อนที่จะว่ายน้ำว่า “ผมบอกไว้ก่อนนะว่าวันนี้ผมค่อนข้างเหนื่อยและอาจทำได้ไม่ค่อยดีนะ ขนาดวันนี้ว่ายแบบฟรีสไตล์ 200 ม. ผมยังต้องใช้เวลาตั้ง 1 นาที 50 วินาทีแน่ะ อย่ามาหัวเราะทีหลังก็แล้วกัน”
“เอาน่า แค่ลองว่ายให้ดูก็พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้” ไจซวนยืนอยู่ที่แท่นกระโดดที่ขอบสระว่ายน้ำ คนอื่นๆก็ยังคงงงอยู่ดีว่าทำไมถึงต้องให้ไจซวนมาว่ายน้ำอย่างนี้ด้วย เฉียนจานฮวงทำหน้าที่เป็นคนจับเวลาด้วยนาฬิกาจับเวลา ต่อให้อาจมีการคลาดเคลื่อนไปบ้างแต่ก็ไม่น่าจะเกิน 1 วินาที
“เริ่ม” ทันใดนั้นเฉียนจานฮวงได้กดนาฬิกาจับเวลาทันที และเฉียนไจซวนได้กระโจนออกไปพร้อมกัน
หลังจากกระโจนลงไปในน้ำเขาได้ทำการว่ายไปยังอีกฝั่งเร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้
แต่ในตอนนี้ความรู้สึกที่เขาได้รับมันเปลี่ยนไปจากทุกที เขารู้สึกดีและว่ายน้ำอย่างมีความสุขเรียกว่ามีชีวิตชีวา
เขาไม่รู้สึกถึงแรงต้านของน้ำแม้แต่น้อยเหมือนเขากลายเป็นสัตว์น้ำที่รู้สึกดีเวลาได้อยู่ในน้ำหลังจากที่อยู่บนบกมานาน
“ทำไมฉันรู้สึกว่าไจซวนว่ายได้เร็วกว่าปกติล่ะ ฉันตาฝาดไปรึเปล่า” เฉียนจานฮวงพูดออกมา
“ฉันเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันค่ะ” ภรรยาของเฉียนจานฮวงเองก็พูดสำทับขึ้นมาเช่นกัน
“ไม่ใช่ว่าเจ้าหนูนี่ควบคุมการหายใจตอนว่ายน้ำได้ไม่ค่อยดีไม่ใช่หรอ เขาต้องใช้แรงมากกว่าปกติในตอนที่ออกตัวจนทำให้เขานั้นแข่งไม่ค่อยจะชนะนี่นา” เฉียนจานฮวงพูดออกมา
เฉียนไจซวนตั้งเป้าหมายไว้ว่าเขาจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำฟรีสไตล์รุ่นระยะ 200 ม. ซึ่งถือว่าเป็นระยะไกล
นั่นหมายความว่าปกติแล้วในการว่ายแข่งจริงควรมีการออมแรงไว้ในตอนเริ่มต้นและเร่งว่ายในตอนท้าย
แต่กับไจซวนนั้นติดนิสัยว่ายเต็มที่ตั้งแต่แรกทำให้เขาไม่ค่อยได้รางวัล
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ายิ่งไจซวนว่ายเท่าไหร่ก็ยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น ทุกคนต่างก็ไม่เชื่อในสายตาตัวเอง
นั่นก็เพราะว่าทางกายภาพแล้วไม่มีทางเป็นไปได้นั่นเอง
คนอื่นๆที่อยู่รอบๆสระว่ายน้ำเองก็ยังตกใจเช่นกัน
“เขาว่ายได้เร็วจัง”
“เขาต้องเป็นนักกีฬาว่ายน้ำแน่ๆ”
“ฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นนักกีฬาว่ายน้ำทั่วไปนะ น่าจะเป็นระดับโอลิมปิคเลย”
“พี่ชายว่ายได้โคตรเร็วเลย”
ในตอนนี้เองไจซวนได้ว่ายได้ครบระยะแล้ว เฉียนจานฮวงได้กดนาฬิกาจับเวลาพร้อมทั้งมองไปที่ตัวเลขเวลาที่ขึ้น ตอนนี้เขารู้สึกอึ้งพูดอะไรไม่ออก ทุกคนต่างออเข้ามาดูว่าไจซวนใช้เวลาในการว่ายทั้งหมดกี่วินาที
พวกเขาเห็นจานฮวงนิ่งไปหนึ่งในนั้นจึงถามว่า “ใช้เวลากี่วินาทีน่ะ”
“ฉันต้องกดผิดแน่ๆ ไม่ก็อาจจะอ่านผิดนะ” เฉียนจานฮวงพูดออกมาแต่ไม่ยอมบอกเวลา
“ฉันก็ว่าต้องมีอะไรผิดนะ” ภรรยาของเฉียนจานฮวงเองก็คิดอย่างนั้น
“แล้วได้กี่วินาทีกันแน่ล่ะคร้าบบบบบ” ไจซวนเล้าคำตอบเพราะไม่มีใครตอบเขาซักที
“1.41 วินาที” เฉียนจานฮวงพูดออกมาในขณะที่ยื่นนาฬิกาให้ไจซวนดูเพื่อให้อีกฝ่ายเชื่อในคำพูดของตนเอง
“จะเป็นไปได้ยังไง” เฉียนไจซวนตกใจทันที สถิติโลกสำหรับการว่ายน้ำแบบฟรีสไตล์ระยะ 200 ม. อยู่ที่หนึ่งนาทีสี่สิบสองวินาทีแต่นี่เขาว่ายได้เร็วกว่าอันดับโลกหนึ่งวินาที ด้วยความเร็วขนาดนี้ทำไมเขาถึงไม่ได้ติดทีมชาติกันหล่ะ
“ฉันน่าจะกดเวลาผิดล่ะมั้ง” เฉียนจานฮวงพูดออกมา
“อีกที ลองจับอีกทีนึงนะพ่อ” เฉียนไจซวนรอไม่ไหวที่จะหาคำตอบเลยตัดสินใจว่ายน้ำอีกรอบแทน เฉียนจานฮวงและคนอื่นๆเองก็เห็นด้วย ความจริงพวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แค่พวกเขาไม่เชื่อกันเองเท่านั้น
ไม่กี่วินาทีต่อมา ไม่เพียงแต่เฉียนจานฮวงเท่านั้นแต่ครอบครัวตระกูลเฉียนคนอื่นๆต่างนำโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วเข้าสู่โหมดจับเวลากันทุกคน
เมื่อไจซวนว่ายน้ำครบอีกหนึ่งรอบแล้วแล้วทุกคนนำเวลาที่แต่ละคนจับมาเทียบกันดูปรากฎว่าส่วนใหญ่จับเวลาได้อยู่ที่ 1.40 นาที แต่มีอยู่เครื่องหนึ่งที่จับได้ 1.39 นาที นั่นหมายความเฉียนไจซวนได้ทำลายสถิติโลกไปเรียบร้อยแล้ว
“ทำไมอยู่ๆถึงว่ายได้เร็วขนาดนี้หล่ะ” ทุกๆคนต่างยืนอึ้งนิ่งไป
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันรู้แค่ว่าเวลาอยู่ในน้ำแล้วรู้สึกสบายแค่นั้นเอง เหมือนรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของน้ำยังไงก็ไม่รู้” เฉียนไจซวนพยายามอธิบายความรู้สึกออกมา
ทันใดนั้นทุกคนก็ค่อยๆหันไปมองซูจิ้งเหมือนกับพวกเขากำลังเห็นผียังไงยังงั้น ไม่มีใครสงสัยเลยแม้แต่น้อยว่าใช่ฝึมือซูจิ้งรึเปล่า ซูจิ้งได้เรียกให้ไจซวนกลับมา ถึงเขาจะทำเหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็ตามแต่ประเด็นคือเขาทำได้ยังไง
“คุณซู คุณได้ให้สารกระตุ้นกับไจซวนรึเปล่าน่ะ มันผิดกฎหมายร้ายแรงเลยนะ” เฉียนจานฮวงพูดออกมาอย่างกังวล
“ผมไม่ได้ให้สารกระตุ้นอะไรเขาเลยนะ ถ้าเขายังรักษาระดับความเร็วนี้ไว้ได้หรือถ้าฝึกฝนอีกซักหน่อยเขาน่าจะเร็วได้ยิ่งกว่านี้อีก” ซูจิ้งยิ้มออกมา
“นายทำได้ยังไงน่ะ” มันเป็นเรื่องยากที่จะทำให้คนทั่วไปเข้าใจได้ว่าทำยังไงถึงว่ายน้ำได้ราวกับนักกีฬาทีมชาติ ไม่สิต้องบอกว่าไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลยมากกว่า
“ฮ่าฮ่า เป็นความลับน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ในความจริงนั้นก่อนที่จะกินชาถัง(ห้วงเวลาฯจูเซียน)
เขาเองก็เก่งในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ถ้าคนทั่วไปต่อให้กินชาถังเข้าไปก็ไม่ได้ว่ายเร็วขนาดนี้หรอก
นั่นหมายความว่าชาถังมีฤทธิ์ในการช่วยเสริมทักษะทางร่างกาย ยิ่งคนมีทักษะทางร่างกายกินเข้าไปผลที่เกิดจะเห็นได้เด่นชัด นั่นทำให้ความเร็วของไจซวนเทียบเท่ากับนักกีฬาโอลิมปิคได้
ถ้าคนที่เล่นยิมนาสติกมากินก็ช่วยเสริมทักษะทางร่างกายได้เช่นเดียวกัน
“นี่เป็นผลจากการกินผลไม้สีแดงนั่นงั้นหรอ” เฉียนหยินหนิงนึกถึงผลไม้สีแดงที่ซูจิ้งแอบให้เฉียนไจซวนกินก่อนหน้านี้
เธอเองก็ได้ลองถามดูเหมือนกันแต่ตอนที่ได้ยินมาตอนแรกเธอนึกว่าแค่เรื่องตลก ใครจะไปคิดว่าผลไม้แค่นั้นจะมีผลทำให้ว่ายน้ำเร็วได้จริงๆ นี่ยังเป็นของบนโลกนี้อยู่อีกหรอ
ซูจิ้งหัวเราะออกมาเบาๆแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา นั่นยิ่งทำให้ทุกคนต่างเชื่อสนิทใจ
พวกเขาเองก็รู้มานานแล้วว่าซูจิ้งมักมีอะไรพิเศษอยู่เสมอ แต่ก็ไม่มีใครคาดคิดในเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
พวกเขารู้แล้วว่าทำไมก่อนหน้านี่ซูจิ้งไม่ยอมบอกอะไรเพราะถึงบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อเขาอยู่ดี
เฉียนไจซวนกลับมาได้สติหลังจากที่สมองว่างเปล่าไปพักนึงหลังจากได้ยินเรื่องที่คุยกัน
ตอนนี้ท่าทางของเขาตอนนี้แสดงออกมาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและขอบคุณ
เขาพูดกับซูจิ้งออกมาว่า “ขอบคุณครับพี่ชายซู พี่นี่สมกับคำว่าเทพจริงๆ” ถึงแม้ไจหยวนจะยังสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เขาในตอนนี้คำนึงถึงผลลัพธ์มากกว่าเหตุผลไปเรียบร้อยแล้ว
ตราบใดที่เขายังคงรักษาระดับความเร็วนี้เอาไว้ได้ล่ะก็ เขานั้นจะกลายเป็นคนที่โดดเด่นและจะมีชีวิตตามที่เขาได้หวังไว้ แล้วถ้าเขาได้เหรียญทองกีฬาโอลิมปิคล่ะก็จะถือว่าเป็นกำไรของชีวิตเขาแล้ว
ตอนที่ 710
เรื่องจริงหรือหลอกลวง
ครอบครัวตระกูลเฉียนในตอนนี้ทุกคนต่างแสดงออกถึงความตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด ถ้าไจซวนนั้นรักษาระดับความเร็วในการว่ายน้ำของเขาเอาไว้ได้อย่างนี้เขามีสิทธ์จะชนะในระดับโลกได้แน่นอน
นั่นจะทำให้ตระกูลเฉียนมีเกียรติยศมากขึ้น พวกเขานั้นไม่รู้จะขอบคุณซูจิ้งยังไงดี จนทำได้แค่จับมือขอบคุณกันคนละข้างเท่านั้น
เย็นวันนั้นก่อนที่ซูจิ้งได้ออกจากบ้านของเฉียนจานฮวง เขานั้นบอกว่าอยากพบหลัวเทียนฟู่ เฉียนจานฮวงจึงอาสาพาเขาไปในทันทีโดยมีหยินหนิงและไจซวนตามไปด้วย ส่วนไจบิงนั้นติดธุระจึงทำได้แค่ขอตัวออกมาก่อนทั้งๆที่ไม่อยากเลยซักนิด
สถาบันวิจัยที่หลัวเทียนฟู่นั้นอยู่ไม่ไกลมากนักแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึง เฉียนจานฮวงได้พาซูจิ้งและคนอื่นๆตรงเข้าไปยังสำนักงาน
เมื่อถึงแล้วเขาก็โทรเรียกให้หลัวเทียนฟู่มาหาในทันทีพร้อมทั้งอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง
ทันทีที่เขาได้ยินเขาประหลาดใจมากเมื่อได้ยินว่าหัวหน้าของเขาพาคนมาพาตัวเขาไป
หลัวเทียนฟู่นึกขึ้นมาในทันทีว่าเป็นไปได้ที่เฉียนจานฮวงจะไม่ต้องการตัวเขาแล้วหรือต้องการไล่เขาออก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขาไม่สบายใจอย่างยิ่ง
“คุณหลัว ผมมีความต้องการอย่างยิ่งที่จะเชิญคุณไปทำงานที่สถาบันพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของผม” ซูจิ้งพูดเข้าประเด็นในทันที
“ถ้าอย่างนั้นผมขอถามคุณซูหน่อยว่าสถาบันวิจัยของคุณซูต้องเป้าหมายในการวิจัยด้านใดกัน แล้วทีมงาน และเทคโนโลยีที่ใช้ในการศึกษา พร้อมกรอบระยะเวลาล่ะครับ” เทียนฟู่ถามเพื่อต้องการทราบรายละเอียดประกอบการตัดสินใจ
“ที่พอจะบอกได้ตอนนี้ก็คือเรากำลังศึกษาเรื่องปฏิสสารกัน ส่วนเรื่องรายละเอียดอย่างอื่นที่คุณขอมานั้นผมไม่สามารถบอกคุณได้ในตอนนี้น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างยิ้มๆ
“ถ้างั้นคุณช่วยบอกเหตุผลดีๆที่ทำให้ผมควรตัดสินใจทำงานกับคุณหน่อยได้ไหมล่ะ ผมเองก็สามารถไปได้ทุกที่อยู่แล้วถ้าผมต้องการ” หลัวเทียนฟู่พูดด้วยท่าทางอารมณ์เสียเล็กๆ
“เสี่ยวหลัวอย่าเพิ่งโกรธไปเลยน่า คุณซูนั้นเอื้อเฟื้อครอบครัวฉันไว้เยอะเลยนา เขาต้องการนายจริงๆนะซึ่งฉันก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้
ที่แน่ๆคือฉันไม่มีทางส่งเพื่อนรักฉันไปตายแน่นอน นายก็รู้นี่ว่าฉันทุ่มทุนไปให้นายแค่ไหนถ้าฉันไม่เห็นว่าดีจริงไม่ยอมให้นายไปทำงานกับคุณซูเขาหรอก” เฉียนจานฮวงพยายามเกลี้ยกล่อมโดยยกเรื่องเงินมาอ้าง
“แต่ฉันก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งงานวิจัยที่ทำอยู่ที่นี่ไปนี่นา” หลัวเทียนฟู่พูดออกมาด้วยท่าทีที่ดูผ่อนคลายมากขึ้น
“ไม่จริงหรอกครับ คุณหลัวเองก็น่าจะมีเป้าหมายในชีวิตอยู่ ถ้าข้อมูลที่ผมได้มาไม่ผิดหรือพูดอะไรผิดไปอย่าว่าผมแล้วกันนะครับ
ผมรู้มาว่าเป้าหมายของคุณอย่างที่หนึ่งก็คือการวิจัยให้ถึงแก่นในเรื่องนิวเคลียและปฏิสสาร
และอย่างที่สองคือการฟื้นฟูสุขภาพของลูกสาวของคุณถูกต้องรึเปล่าครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีจริงจังมากกว่าเดิม
“แล้วไง” หลัวเทียนฟู่คิ้วขมวดขึ้นมาทันที จานฮวงเองก็หันไปมองไปที่ซูจิ้งด้วยสายตาเป่งประกายในทันที เป้าหมายแรกของหลัวเทียนฟู่นั้นง่ายทีจะเป็นไปได้ แต่เป้าหมายที่สองนั้นจะบอกว่ายากที่จะพูดว่าทำได้ง่ายๆ
ถึงจะตรวจสอบเรื่องของเขามาอย่างดีแต่ไม่ควรพูดมันออกมาได้ง่ายๆอย่างนี้ เพราะมันเป็นเรื่องที่ทำให้ใจเขาเจ็บปวดที่สุดชีวิต
“มาที่สถาบันวิจัยของผมสิ แล้วผมจะทำให้เป้าหมายทั้งสองอย่างของคุณให้เป็นจริงเอง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจ
“นายพูดว่าอะไรนะ” หลัวเทียนฟู่พูดออกมาพร้อมมองไปที่คนอื่นๆเพื่อยืนยันว่าเขาฟังไม่ผิดไป
เป้าหมายแรกนั้นสำหรับเขาถือเป็นเรื่องง่ายถ้าเขามีเครื่องมือและทีมงานที่ดีพอ แต่เป้าหมายที่สองที่จะช่วยให้เขาทำสำเร็จได้นี่มันบ้าบอสุดขีดเลยก็ว่าได้ หลัวเทียนฟู่ได้เขม่นตาด้วยความขุ่นเคืองพร้อมพูดออกมาว่า “คุณซูคุณจะพูดตลกก็ควรจะให้มันมีขอบเขตบ้างนะ”
“ผมไม่ได้พูดเล่นซะหน่อย ทางสถาบันของผมนั้นสามารถตอบสนองเป้าหมายของคุณทั้งสองข้อได้จริงๆ สำหรับเรื่องของลูกสาวคุณนั้นผมบอกได้เลยผมเองก็พอจะบอกได้ว่ามีแนวทางในการรักษาเธอได้เช่นกัน” ซูจิ้งตอบกลับไป
“คุณซูคุณรู้ไหมว่าอาการตาบอดที่เกิดจากการตาบอดสีสีน้ำเงินนั้นร้ายแรงแค่ไหน คุณมีวิธีรักษาแบบไหนกันแล้วใช้เวลานานรึเปล่า” หลัวเทียนฟู่แสดงความตื่นเต้นออกมาพร้อมที่ท่าทียังไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เฉียนจานฮวง เฉียนหยินหนิง และเฉียนไจซวน รู้สึกโง่งมในทันที ถ้าซูจิ้งสามารถรักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ได้ได้จริงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะไปแน่นอน
ในเวลานั้นเฉียนจานฮวงเองก็รู้สึกได้ว่าตอนนี้หลัวเทียนฟู่พร้อมที่จะไปได้ทุกเมื่อเลยซึ่งเขาเองก็ยินดีถ้ารักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ได้ แต่คำถามคือจะรักษาได้จริงๆรึเปล่า
ที่เขาคิดขึ้นมาแบบนั้นก็เพราะว่าอาการป่วยของลูกสาวเทียนฟู่นั้นถือได้ว่าหนักเอาการเพราะขนาดโรงพยาบาลใหญ่ๆ ยังไม่สามารถรักษาได้ ว่าแต่ซูจิ้งจะสามารถรักษาได้จริงๆหรอ
“ผมไม่รู้ว่าคุณเคยได้ยินเรื่องยาจีนแผนโบราณที่ชื่อว่าทรายดำรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“เคยได้ยินซิแถมฉันยังลองแล้วด้วยแต่ก็ไม่ได้ผลอะไร” ความตื่นเต้นที่ปรากฎบนหน้าของหลัวเทียนฟู่เมื่อครู่นี้หายวับไปกับตาพลันเปลี่ยนเป็นใบหน้าเหยเก
เจ้าสิ่งที่เรียกว่าทรายดำนั้นเขาไม่เชื่อสรรพคุณของมันตั้งแต่ต้นอยู่แล้วแต่เขาก็ยังลองดูและมันก็ไม่ได้ผลอย่างสิ้นเชิง
“อะไรคือทรายดำเหรอครับ” เฉียนไจซวนกระซิบถามออกมา หยินหนิงเองก็ทำหน้าไม่รู้เรื่องเหมือนกัน
“ทรายดำมันคืออออ… ” เฉียนจานฮวงอธิบายให้ทั้งสองคำ เมื่อทั้งสองรู้สรรพคุณและที่มาของมันว่ามันคืออะไรต่างก็คิดมาว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล่าปรัมปราจะไปเป็นเรื่องจริงได้ยังไงกัน
“ทรายดำที่ผมจะให้นี้ไม่เหมือนทรายดำทั่วไปครับ มันมีผลในการรักษามากกว่าพวกนั้นหลายเท่า ถึงแม้มันอาจจะรักษาลูกของคุณไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลเสียต่อร่างกายลูกสาวคุณเลย เรื่องนี้ผมรับประกันได้” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มันจะไปพิเศษกว่าปกติได้ยังไงกัน” หลัวเทียนฟู่ไม่เชื่ออย่างสิ้นเชิง เขานั้นอยากออกไปจากที่นี่ในทันทีแล้ว
“คุณหลัว คุณจะถอดใจเรื่องนี้จริงๆงั้นหรอ” ซูจิ้งไม่รั้งตัวหลัวเทียนฟู่ไว้แต่เขาเพียงพูดออกไปเท่านั้น “ถ้าคุณพลาดโอกาสนี้ไปลูกสาวของคุณอาจตาบอดไปตลอดชีวิตก็ได้นะ คุณเองก็น่าจะรู้ว่าผมนั้นไม่ใช่คนธรรมดา อะไรที่คนอื่นทำไม่ได้แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะทำไม่ได้เหมือนคนพวกนั้น”
“เสี่ยวหลัว ฉันมีอะไรจะบอกนายนะ” เฉียนจานฮวงอธิบายเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้กับไจซวนให้หลัวเทียนฟู่ฟัง นี่จะเท่ากับว่าเขาได้ช่วยซูจิ้งอีกทางนึงด้วย
เขารู้สึกว่าซูจิ้งได้ช่วยเรื่องลูกชายของเขาอย่างมากจนไม่รู้จะตอบแทนยังไงได้นอกจากวิธีนี้ และด้วยเรื่องนี้เองก็ทำให้เขาหวังลึกๆว่าเขาจะสามารถรักษาอาการป่วยของลูกสาวหลัวเทียนฟู่ที่ทุกคนต่างก็บอกว่าเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้แน่นอน
“เป็นไปได้ยังไงกัน” หลังจากได้ยินเรื่องจากเฉียนจานฮวงแล้วหลัวเทียนฟู่ทำได้แต่ประหลาดใจ
เขาเองก็รู้ดีว่าจานฮวงจะไม่มีทางโกหกเขาแน่นอน เขาอดไม่ได้ที่จะมองตาของซูจิ้งอีกครั้ง คราวนี้สายตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาเองก็ได้ยินความอัศจรรย์ต่างๆที่ซูจิ้งทำให้เกิดขึ้นมาเช่นกัน
และตอนนี้เขาก็คิดแล้วว่าซูจิ้งนั้นมีวิธีรักษาลูกสาวเขาจริงๆ แต่จะดีกว่าโรงพยาบาลรักษารึเปล่าเนี่ยสิ
“ก็อย่างที่ผมบอกนั่นแหล่ะครับ ต่อให้การรักษาล้มเหลวก็จะไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของลูกสาวของคุณแน่นอน แถมคุณไม่จำเป็นต้องร่วมงานกับผมที่สถาบันวิจัยอีกด้วย คุณคิดว่ายังไงหล่ะ”
ความจริงนั้นต่อให้รักษาลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ไม่ได้ เขาก็มีวิธีอื่นที่สามารถดึงตัวหลัวเทียนฟู่อยู่ดี
แต่ด้วยวิธีการนี้จะช่วยทำให้เขานั้นสามารถได้รับความไว้วางใจจากหลัวเทียนฟู่อย่างถึงที่สุดซึ่งจะผลดีต่อเขาในการสะกดจิตเพื่อเพิ่มความมั่นใจในการรักษาความลับของเขา
ถ้าการสะกดเกิดความผิดพลาดขึ้นมาอาจส่งผลกระทบต่อสมองจนทำให้ไม่สามารถทำงานได้ตามที่เขาคาดหวังไว้
โดยเฉพาะกับอัจฉริยะที่หาได้ยากยิ่งอย่างนี้ย่อมมีพลังจิตภายในตัวเองมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้วซึ่งนั่นจะทำให้ความสำเร็จในสะกดต่ำลงจนอาจล้มเหลวได้ง่ายๆเลย
“งั้นผมเชื่อคุณซูแล้วกัน ผมคงได้แต่หวังว่าคุณซูจะไม่หลอกผม ถ้ามันได้ผลจริงๆ ผมจะยอมตายถวายชีวิต ยกชีวิตครึ่งหลังทั้งหมดให้แก่คุณไปเลย” หลัวเทียนฟู่ไตร่ตรองอยู่นานจนตัดสินใจยอมทดลองใช้ทรายดำ
“ฮ่าฮ่า แค่คุณมาร่วมงานกับผมแค่นั้นก็พอแล้วครับ สำหรับยาอยู่นี่ครับ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
เขานำผงทรายดำที่เตรียมเอาไว้ตั้งแต่ต้นออกมามอบให้แก่หลัวเทียนฟู่
และบอกวิธีการต้มยาและวิธีการกินยาของลูกสาวของหลัวเทียนฟู่ให้ฟัง
“เสี่ยวหลัว วันนี้ไม่ต้องไปทำงานแล้วนะ กลับบ้านไปเถอะ” เฉียนจานฮวงพูดกับหลัวเทียนฟู่ด้วยรอยยิ้ม
“ตกลง” หลัวเทียนฟู่รีบตรงกลับบ้านในทันทีด้วยความหวังเต็มหัวใจ ภรรยาและลูกสาวอายุ 10 ขวบของเขานั้นทั้งคู่อยู่บ้านอยู่แล้ว
เมื่อภรรยาของเขาได้ยินว่าเขาจะใช้ทรายดำรักษาลูกสาวอีกครั้งแถมให้หยุดยาที่ได้จากโรงพยาบาลและจากที่อื่นทั้งหมด
ถึงแม้เธอจะไม่เห็นด้วยอย่างหัวชนฝาแต่พอเธอรู้ที่มาที่ไปของยาเธอก็ทำได้แค่เชื่อใจในสิ่งที่เขาบอก
และตั้งความหวังไว้กับยานี้อย่างแรงกล้า พร้อมทั้งนำทรายดำไปต้มยาหม้อตามที่ซูจิ้งบอกอย่างเคร่งครัดและนำไปให้ลูกสาวเธอดื่ม
ตอนที่ 711
ผลลัพท์อันน่าอัศจรรย์
หลัวเทียนฟู่และภรรยาของเขาได้ตั้งความหวังไว้กับยาของซูจิ้งอย่างสูง และได้ให้ยากับลูกสาวของพวกเขาสามครั้งต่อวัน เป็นเวลาสามวัน ในเช้าวันที่สี่นั้นในขณะที่ทั้งหลัวเทียนฟู่และภรรยายังไม่ตื่นดี ทั้งคู่ได้ยินเสียงวีดว้ายของลูกสาวจนทำให้พวกเขาสะดุ้งตื่นทันที
“เกิดอะไรขึ้นน่ะเซี่ยวซี” ภรรยาของหลัวเทียนฟู่รีบลุกขึ้นพร้อมทั้งตะโกนและวิ่งไปยังห้องของลูกสาวเธอในทันที
“เซี่ยวซีเป็นอะไรไปน่ะ” หลัวเทียนฟู่เองหลังจากลุกขึ้นออกมาได้ก็รีบวิ่งไปที่ห้องลูกสาวเช่นเดียวกัน
“ฉันบอกแล้วไงว่าทรายดำมันไม่ได้เรื่องหรอก แต่คุณก็ยังอยากจะลองให้ลูกกินอยู่อีก” ภรรยาของหลัวเทียนฟู่กร่นด่าไปยังหลัวเทียนฟู่ในขณะที่รีบวิ่งไปกันที่ห้องของลูกสาวด้วยท่าทีที่กังวลและเป็นห่วงลูกสาวอย่างมาก
ทันทีที่ทั้งสองถึงห้องก็เห็นว่าลูกสาวของพวกเขาตื่นขึ้นมานั่งอยู่ที่ขอบเตียงเรียบร้อยแล้ว
แต่สีหน้าของเธอในตอนนี้แสดงท่าทีว่ากำลังตกใจแต่ไม่ใช่ตกใจด้วยความเจ็บปวดแต่เป็นการตกใจด้วยความประหลาดใจและมีความสุขพร้อมรอยยิ้มจนแก้มปริ
“เป็นยังไงบ้างลูกรัก หืมว่าไงเซี่ยวซี” ภรรยาของหลัวเทียนฟู่ได้ถามไปที่ลูกสาวของเธอด้วยท่าทีตื่นๆ
“พ่อคะ แม่คะ หนูเห็นแล้ว หนูมองเห็นแล้วค่ะ” เด็กสาวบอกทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงดังชัดและแจ่มใส
“ว่าไงนะ” หลัวเทียนฟู่และภรรยาของเขานิ่งอึ้งไปทันทีที่ได้ยิน เมื่อพวกเขาได้สติจึงถามไปเพื่อความแน่ใจว่า “ลูกมองเห็นแล้วจริงๆหรอเซี่ยวซี”
หลัวเทียนฟู่และภรรยาต่างจ้องไปที่ลูกสาวของเธอ พวกเขาเห็นลูกสาวหันไปมองสิ่งต่างๆรอบตัว พวกเขาสังเกตุที่ตาของลูกสาวแล้วพบว่าไม่มีอาการแสดงว่าพยายามเพ่งหรือไม่มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าตามอาการปกติของเธอที่เป็นก่อนหน้านี้ พวกเขารู้ได้ในทันทีว่าเธอมองเห็นได้จริง ภรรยาของเขาถึงกับเอามือของเธอโบกไปมาข้างหน้าลูกสาว ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนองในการมองเป็นเกือบปกติดี
“แม่หนูเห็นแล้วจริงๆนะ” ทันใดนั้นลูกสาวของเธอรีบนำมือมาคว้าไว้ในทันที
“ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณจริงๆ” ภรรยาของหลัวเทียนฟู่แสดงถึงความปิติยินดีอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่าฮ่า เยี่ยมที่สุด เห็นไหมฉันบอกแล้วว่ามันต้องได้ผล เธอน่ะมาบ่นฉันไปได้” หลัวเทียนฟู่พูดออกมาทั้งน้ำตาด้วยยินดีเต็มหัวใจเช่นกัน
“จ้าที่รักคราวนี้คุณถูกที่สุด ฉันกังวลไปเองจ้ะ พวกเราต้องไปขอบคุณซูให้ได้นะ เขาสมกับเป็นหมอเทวดาจริงๆ” ภรรยาของหลัวเทียนฟู่ยิ้มออกมา
“พ่อคะแม่คะหนูเห็นก็จริงแต่มันยังไม่ชัดนะ มันยังรู้สึกเบลอๆ เหมือนกับมองไปไกลๆอยู่เลย” ถึงแม้ลูกสาวของเขาบ่นออกมาอย่างนั้นแต่ทั้งสองคนก็ยังรู้สึกดีใจอยู่ดี เด็กสาวดูเหมือนยังกลัวๆว่าจะไม่ได้เห็นชัดกว่านี้แต่ภรรยาของหลัวเทียนฟู่ก็ได้พูดปลอบใจในทันทีว่า “ไม่เป็นไรน่าลูกรัก แค่กินยาต่ออีกหน่อยเดี๋ยวอาการก็จะค่อยๆดีขึ้นเองนะ”
พวกเขายังคงให้ยาที่ทำจากทรายดำแก่ลูกสาวของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง และก็เป็นจริงดังนั้น สายตาของลูกสาวของพวกเขาดีวันดีคืน
หลัวเทียนฟู่และภรรยารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณซูจิ้งอย่างมากจนกระทั่งต้องมาที่บ้านของซูจิ้งเพื่อมาแสดงความขอบคุณ ละแน่นอนว่าหลัวเทียนฟู่ยอมเข้าไปทำงานในสถาบันวิจัยอย่างไม่ต้องสงสัย
ตอนนี้หลัวเทียนฟู่ได้เปิดใจให้ซูจิ้งแล้ว
ด้วยการที่หลัวเทียนฟู่ไม่คิดจะต่อต้านซูจิ้งอีกต่อไปทำให้ซูจิ้งสามารถสะกดจิตเทียนฟู่ได้อย่างง่ายดาย
เมื่อหนแรกที่เขาเข้าทำงานในสถาบันวิจัยของซูจิ้งนั้น แวบแรกที่เขาเห็นมนุษย์ต่างดาวเขาเองก็ตกใจไม่ใช่น้อย
แต่ด้วยการถูกสะกดจิตของซูจิ้งกลายเป็นว่าแทนที่เขาจะตกใจจนต้องป่าวประกาศ
กลับเป็นตกใจและเข้าใจในทันทีว่าทำไมซูจิ้งถึงบอกอะไรเขาไม่ได้
และกลายเป็นรู้สึกดีต่อซูจิ้งมากกว่าเดิมที่ยอมไว้วางใจเผยความลับให้เขารู้ซะอย่างนั้น ทำให้เขายอมรับเรื่องนี่ได้เร็วขึ้นและทำงานร่วมกันได้อย่างเข้ามือ
ซูจิ้งได้เริ่มทุ่มเงินลงไปในการซื้อเครื่องมือและขยายกำลังการผลิตปฏิสสารในทันที
ด้วยการที่เขาได้หลัวเทียนฟู่ผู้เป็นระดับอัจฉริยะและมีภูมิความรู้ชั้นยอดในเรื่องปฏิสสารมาทำงานให้เขาจึงเชื่อว่า
อีกไม่นานการขยายกำลังการผลิตดังกล่าวจะเสร็จสมบูรณ์ในไม่ช้า และจะทำให้สามารถผลิตปฏิสสารมากกว่าเดิมสองเท่า
เหล่าครอบครัวตระกูลเฉียนตกใจทันทีที่รู้ข่าวว่าตาของลูกสาวของหลัวเทียนฟู่หายดีแล้ว
เอาจริงๆพวกเขาก็คิดแหล่ะว่าต่อให้อาการหนักจนเรียกว่าความหวังริบหรี่ยังไงซูจิ้งก็รักษาหายได้
แต่พวกเขาไม่คิดว่าจะหายเร็วขนาดนี้
หลัวเทียนฟู่นั้นได้ทำการยกเลิกกระบวนการรักษากับโรงพยาบาล พร้อมทั้งยังอธิบายอาการของลูกสาวให้หมอเจ้าของไข้ฟังเนื่องจากถูกคัดค้านอย่างหนัก
หลังจากฟังเรื่องราวจบลงตอนแรกหมอเจ้าของไข้ไม่เชื่อเขาเลยซักนิด ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าทรายดำจะรักษาโรคทางดวงตาได้จริงมันก็แค่ความเชื่อเก่าแก่
แต่ทันทีที่เห็นว่าสายตาของเซี่ยวซีนั้นหายดีเป็นปลิดทิ้ง มองเห็นได้ปกติดีหมอเจ้าของไข้จึงยอมเชื่อ ยอมเชื่อจนถึงขั้นต้องนำขี้ค้างคาวไปศึกษาวิจัยอย่างจริงจังกันเลย
ที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่านั้นก็คือสายตาของเซี่ยวซีนั้นดีวันดีคืน หลังจากได้รับยาทรายดำของซูจิ้งมาเป็นเวลาหนึ่งเดือน พวกเขาได้ตรวจอาการของเธอก็พบว่านอกจากโรคตาบอดสีจะหายขาดแล้วสายตาของเธอยังปกติดีมากที่เรียกกันว่าสายตา 2.0 (ตัวเล็กมากก็ยังอ่านได้)ซึ่งก่อนหน้านี้เธอมีอาการตาบอดต้องมองอะไรแบบใกล้มากๆเท่านั้นถึงจะเห็นถ้าเทียบเป็นระดับการวัดของสายตาอยู่ที่ 0.2 (ตัวใหญ่มากๆถึงจะเห็น) ตอนนี้เซี่ยวซีนอกจากจะหายจากอาการสายตาสั้นมากๆแล้วกลับกลายเป็นสายตาดีมากๆจนหลายคนต้องอิจฉาเลยทีเดียว
“พระเจ้า เป็นไปได้ยังไงกัน” แม้แต่หมอเจ้าของไข้ก็ยังตกตะลึงจนพูดไม่ออก
ก่อนหน้านี้หมอเจ้าของไจ้คิดไปว่าทรายดำที่ว่าไม่น่าจะได้ผลเพราะเขาทดลองแล้วไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนแรกเขาก็เชื่อว่าเป็นยาที่เขาใช้รักษาแต่มันก็ไม่มีทางได้ผลดีขนาดนี้
ยาที่เขาให้ไม่เคยมีผลในการรักษาอาการสายตาสั้น อย่าว่าตาอาการสายตาสั้นดีขึ้นเลยแม้แต่จะทำให้ระดับสายตาแย่ลงแม้เล็กน้อยมันก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การที่จะรักษาโรคสายตาสั้นได้นั้นมีแต่ต้องผ่าตัดเท่านั้นไม่อย่างนั้นจะไม่มีทางเป็นไปได้
แต่ตอนนี้เด็กคนนี้แค่ใช้ยาตัวเดียวนอกจากจะรักษาโรคตาบอดสีแล้วยังรักษาอาการสายตาสั้นได้อีกน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
“คุณหลัว ผมพอจะขอทรายดำที่คุณใช้หน่อยได้ไหมครับ” หมอเจ้าของไข้แสดงออกถึงความตื่นเต้นใจขณะถาม
“เสียใจด้วยครับ ผมใช้มันหมดไปแล้วน่ะ” หลัวเทียนฟู่ตอบไปในทันทีเพราะเขานึกไว้แล้วตั้งแต่ตอนที่เห็นหมอทำท่าตื่นเต้นเมื่อกี้
ยาที่รักษาโรคตาบอดสีได้นั้นก็แทบจะบอกได้ว่าเป็นยาเทวดาแล้วแต่นี่แม้แต่อาการสายตาสั้นก็ยังหายขาด
ลองนึกดูเล่นๆว่าในโลกนี้มีที่ป่วยเป็นโลกตาบอดสีน้อยก็จริงแต่คนที่ป่วยด้วยอาการทางสายตามีเยอะหยั่งกับดอกเห็ดจนจะบอกว่าเป็นปัญหาระดับโลกก็ว่าได้
ถ้าเจ้าทรายดำแบบที่เขาใช้หลุดออกไปแน่นอนว่าต้องเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกอย่างรวดเร็วจนขนาดที่เรียกว่าได้รางวัลโนเบิลทางการแพทย์ก็ไม่แปลก
ความจริงเขานั้นยังมีติดมือไว้อีกนิดหน่อยแต่เขาไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือง่ายๆอย่างแน่นอน
“แล้วแพทย์แผนจีนที่ให้ทรายดำคุณมาล่ะครับ คุณพอจะให้ข้อมูลติดต่อเขาได้รึเปล่า” ถึงแม้จะถูกปฏิเสธเรื่องตัวอย่างแต่หมอเจ้าของไข้ก็ยังไม่ละความพยายาม
“ต้องขอโทษจริงๆครับ เขานั้นไม่ต้องการถูกรบกวนแม้แต่น้อยจากเรื่องนี้” หลัวเทียนฟู่แน่นอนว่าเขาย่อมต้องปฏิเสธ แม้แต่ภรรยารวมถึงลูกสาวของเขาก็ยังช่วยด้วยอีกแรง
พวกเขารู้ในทันทีว่าทรายดำที่ซูจิ้งให้มานั้นไม่ใช่ทรายดำธรรมดาอย่างแน่นอน และช่องทางที่ได้รับมานั้นต้องลับสุดยอดหรือไม่ก็มีน้อยอย่างสุดๆ
แล้วพวกเขาจะไปกล้าบอกคนอื่นได้ยังไง ความจริงไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอก เขาเองก็อยากบอกเหมือนกันเพราะหมอพวกนี้คือหมอมือดีที่พยายามรักษาลูกสาวของเขาอย่างสุดความสามารถ แต่ความสามารถของพวกเขามีจำกัดจริงหาทางรักษาไม่ได้แค่นั้นเอง
พอคิดว่าพวกเขายอมแม้กระทั่งจ่ายยาที่ดีที่สุด แพงที่สุด และหายากมากๆ แล้วก็ตาม แต่หลัวเทียนฟู่ก็ถือว่าเขานั้นไม่ได้ติดค้างอะไรหมอพวกนี้เพราะเขาก็ทุ่มเงินจ่ายเต็มที่ทุกครั้ง ดีไม่ดีพวกหมอจะได้กำไรจากเขาไปมากอยู่ด้วยซ้ำ
ตอนนี้ครอบครัวตระกูลหลัวได้ถือว่าพวกเขานั้นได้ติดหนี้ชีวิตครั้งใหญ่กับซูจิ้งชนิดที่ตอบแทนยังไงก็ไม่หมด พวกเขาย่อมไม่ทางเผยแพร่ความลับนี้ออกไปอย่างแน่นอน หลังจากออกจากพยาบาลจนกลับถึงบ้านแล้ว หลัวเทียนฟู่ได้โทรไปบอกผลลัพท์เพิ่มเติมที่ได้จากการใช้ทรายดำในการรักษาแก่ซูจิ้งทันที
หลังจากได้ยินดังนั้นซูจิ้งรู้สึกมีความสุขอย่างมากทรายดำไม่เพียงแต่รักษาอาการตาบอดกลางคืน ตาบอดสี แต่ยังสามารถรักษาอาการสายตาสั้นได้อีกด้วย มูลค่าของทรายดำนี้เพิ่มสูงมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ในโลกนี้มีคนที่มีปัญหาทางสายตาอยู่กี่คนกันหล่ะ ลูกคนรวยทั้งหลายส่วนใหญ่ก็สายตาสั้นกันทั้งนั้น และพวกเขานั้นพร้อมที่จะจ่ายไม่อั้นในการรักษาที่ไม่จำเป็นต้องเจ็บตัวผ่าตัดอยู่แล้ว นี่ยังไม่พูดถึงทำให้สายตาดีในระดับ 2.0 อีก บอกได้เลยว่าทรายดำของเขานี่มีค่ามากกว่าทองพันชั่งซะอีก น่าเสียดายที่ขี้ค้างคาวที่ได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนมีจำกัด ไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาคงจะปล่อยให้มันแพร่หลายในโลกนี้ในไม่ช้าแน่นอน
ตอนที่ 712
การค้นพบของฉือซิง
ณ ห้องในสำนักงานแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังวางเอกสารที่เขาเพิ่งจะอ่านเสร็จลงบนโต๊ะ ทันใดนั้นได้มีเสียงๆหนึ่งพูดออกมาว่า “นายน้อยครับ ผมขอแจ้งข่าวล่าสุดครับ ตอนนี้ซูจิ้งได้ตัวหลัวเทียนฟู่ไปร่วมงานแล้วครับ”
โจวเทียนรุยยกหัวขึ้นไปทางต้นเสียงพร้อมทำหน้าประหลาดใจ เขาจับเอกสารที่ชายคนนั้นส่งมาให้พร้อมทั้งดูอย่างละเอียดละออ ทันใดนั้นเขาก็ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นมาว่า
“ความสามารถของเขาไร้ที่เปรียบจริงๆ รักษาได้แม้แต่อาการตาบอด คุณซู คุณเป็นใครกันแน่เนี่ย พอคิดว่าได้เขามาเป็นมิตรกับเรานี่ถือว่าโชคดีจริงๆ”
ถึงจะว่ามาอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามหาความลับของซูจิ้งต่ออยู่ดี ตามข่าวที่ได้มานั้น ในช่วงกลางวันซูจิ้งไปนู่นไปนี่มากมายหลายที่ พอถึงบ้านเขาก็หมกตัวอยู่แต่ในบ้าน ช่วงที่เขาอยู่ในบ้านเขาทำอะไรบ้างนะ
ถึงภายในใจของเขาจะส่งสัญญาณเตือนออกมาทุกๆครั้งว่าให้เลิกติดตามสืบเรื่องของซูจิ้งในทุกช่องทาง
และไม่ควรล้ำเส้นซูจิ้งไปมากกว่านี้แล้ว
แต่เขาก็ยังคงสั่งให้คนติดตามซูจิ้งทุกครั้งและทุกเรื่องในยามที่เขาออกมาจากบ้าน
นอกจากจะเป็นเรื่องที่ดูแล้วเป็นเรื่องส่วนตัวจริงๆ
เพราะว่าในใจเขาเองก็ยังมีความคิดหวั่นใจอยู่บ้างว่าสักวันซูจิ้งอาจจะก่อกบฏต่อประเทศขึ้นได้
นอกจากนั้นโจวเทียนรุยยังพบคนอื่นๆ ที่แอบลอบติดตามซูจิ้งอย่างลับๆ
ในระหว่างที่ซูจิ้งกำลังจัดการเรื่องของหลัวเทียนฟู่
แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่กล้าทำอะไรมากเพราะนอกจากตำแหน่งนายน้อยคนที่ 4 ของตระกูลหวังแล้ว
ซูจิ้งยังมีความสนิทชิดเชื้อกับตระกูลเฉียนอยู่ นั่นทำให้ไม่กล้าผลีผลามเกินไปนัก
ซูจิ้งเองนั้นถึงเขาจะรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจคนพวกนั้น เขาได้นำหลัวเทียนฟู่มาและช่วยกันเก็บเกี่ยวทรายดำไว้ เขานั้นมีความสุขมากๆในตอนนี้ และยังมีเรื่องที่น่ายินดีเพิ่มขึ้นนั่นก็คือไม้สามอย่างที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนแล้วทดลองนำไปชำไว้นั้นปรากฎว่ามีส่วนหนึ่งรอดชีวิตต่อไปได้ ส่วนที่เขาเอาไปชำไว้กับเศษหินวิญญาณได้ตายลงไปแต่ในส่วนที่เขาเอาไปชำไว้ในดินจอมเขมือบกลับรอดชีวิตและเติบโตมากกว่าเดิม โดยดินจอมเขมือบพวกนี้สำหรับซูจิ้งถือว่าใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าเศษหินวิญญาณไปแล้ว นอกจากนี้ไผ่ดำที่เขาเก็บมาจากกองขยะห้วงเวลาฯ ก็ได้เติบโตขึ้นในดินจอมเขมือบที่เติบโตเต็มที่ที่เขาแบ่งไว้แล้ว
นอกจากนี้เขายังพบวิธีการจัดการกับดินจอมเขมือบได้ซักที ซึ่งก่อนหน้านี้เขานั้นไม่สามารถหาวัตถุที่จะกักเก็บดินจอมเขมือบนี้ไว้ได้เนื่องจากทุกอย่างจะถูกย่อยไปหมดยกเว้นธาตุโลหะ
แต่ธาตุโลหะเองก็จะเร่งทำให้ดินจอมเขมือบเสื่อมสภาพไปอย่างรวดเร็ว มันจึงสร้างความปวดหัวกับซูจิ้งไม่ใช่น้อย
แต่ตอนนี้เขาพบว่ามีเพียงพืชมีชีวิตเท่านั้นที่จะไม่ถูกดินจอมเขมือบดูดซึม
กลับกันมันเหมือนจะหยุดคุณลักษณะการดูดซึมและขยายตัวของมันและปลดปล่อยสารอาหารอันล้ำค่าให้กับพืชต้นนั้นแทน
แต่ดินส่วนที่หยุดการดูดซืมและขยายตัวนี้จะเกิดเฉพาะส่วนของดินที่สัมผัสกับพืชที่มีชีวิตเท่านั้น
จนในที่สุดเขาก็พบวิธีกักเก็บที่เหมาะสมที่สุดนั่นคือการให้พวกพืชมีชีวิต(พืชที่มีจิตวิญญาณ)ทำหน้าที่ในการกักเก็บพวกมันไว้
นอกจากจะหยุดการขยายตัวได้แล้วพวกมันยังเปลี่ยนสภาพเป็นการพึ่งพาอาศัยแทนซะอีก
เขาค้นพบเรื่องนี้ได้เพราะเต็งเต็ง(ไม้กินคน)
เพราะตอนที่ซูจิ้งกำลังทำงานอยู่เขาเห็นเต็งเต็งเอาดินจอมเขมือบมาโปะไว้ที่รากของมันในส่วนที่ใช้เดิน
ปรากฏว่านอกจากเจ้าดินนั่นจะยอมคงรูปคอยหุ้มรากของเต็งเต็งไว้แล้วมันยังคอยดูดซึมสารอาหารในพื้นที่ที่เต็งเต็งเดินผ่านแล้วส่งสารอาหารอันล้ำค่าให้เต็งเต็งอย่างต่อเนื่อง
ด้วยวิธีการนี้ทำให้เต็งเต็งสามารถออกจากรังของมันมาได้ไกลกว่าเดิมเพราะปกติแล้วมันสามารถออกห่างจากรังมาได้แค่ไม่กี่ก้าวก็ต้องรีบกลับเข้ารังไปเพราะสารอาหารไม่เพียงพอเหมือนปลาที่อยู่เหนือน้ำ
แต่ด้วยวิธีการนี้ทำให้เต็งเต็งสามารถอยู่นอกรังได้นานจนอาจเป็นเดือนๆได้เลยทีเดียว
ทันใดนั้นวิถีแห่งใต้หล้าในจิตสำนึกของซูจิ้งได้เคลื่อนไหวทำให้เขานึกอะไรได้บางอย่าง
เขาได้เรียกอินทรีทองแล้วให้มันบินตรงไปยังเกาะทะเลทรายในทันที
เขาขี่ไปจนถึงทุ่งราบแห่งหนึ่งบนเกาะที่นั่นมีเถาวัลย์ไม้เลื้อยอยู่ ลำต้นของมันหงิกงอจนคล้ายงูก็ว่าได้โดยมีขนาดผสมๆกันทั้งขนาดใหญ่และขนาดกลาง
พวกมันถักทอกันเองจนดูมีหลายชั้น บางส่วนที่ดูเหมือนจะตายก็ได้จมลงไปอยู่ในดิน
“เจ้าผักบุ้งพวกนี้น่าจะเหมือนกับเต็งเต็งนะ ไม่รู้ว่าดินจอมเขมือบจะทำให้มันเชื่องได้รึเปล่า”
ซูจิ้งนำดินจอมเขมือบออกมาบางส่วน เขานั้นโรยมันลงไปบนราก ตอนนี้รากของมันกระตุกในทันทีเหมือนกับงูที่สัมผัสได้ถึงหนูที่เดินผ่าน
รากในบริเวณนั้นพุ่งทะลุพื้นขึ้นมาแล้วโอบผงของดินจอมเขมือบแล้วดึงลงดินไปในทันที
ซูจิ้งสังเกตุเห็นว่าเจ้าผักบุ้งนี่น่าจะยังไม่ฉลาดเท่าเต็งเต็งก็เพราะว่ามีบางส่วนที่ไม่สามารถขยับไปไหนได้เนื่องจากรากไปไม่ถึงพื้น ส่วนใหญ่ที่รากของมันฝังอยู่ในดินก็ไม่มีการขยับเหมือนกัน
แสดงให้เห็นว่ามันยังไม่มีสติปัญญาเทียบเท่าเต็งเต็ง ไม่อย่างนั้นมันคงถอนรากทั้งหมดมาหาเขาเรียบร้อยแล้ว (เต็งเต็งตอนที่ได้ดินจอมเขมือบครั้งแรกนั้น พยายามสูบสารอาหารแบบไม่คิดชีวิต)
ถึงจะว่ามาอย่างนั้นแต่ซูจิ้งก็เชื่อว่าอย่างน้อยๆมันก็ไม่ได้ถือว่าโง่งมซะทีเดียว ยังมีความเป็นไปได้ที่ว่ามันเป็นพืชกินสิ่งมีชีวิตที่ใช้วิธีการรากสิ่งมีชีวิตลงดินแล้วรอให้สิ่งมีชีวิตตายแล้วย่อยสลายกลายเป็นปุ๋ยแล้วมันก็ดูดซึมผ่านดินอีกที
หลังจากที่ซูจิ้งลองไปเรื่อยๆจนตอนนี้พฤติกรรมของเจ้าผักบุ้งก็ได้เปลี่ยนไป พวกมันบางส่วนเลือกที่จะทิ่มรากเขาไปในดินจอมเขมือบโดยตรงเพื่อดูดซับสารอาหารซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ซูจิ้งเฝ้ารอคอยอยู่
“ไม่เลวเลยในที่สุดมันก็เขาใจซักที การดูดซับโดยตรงแบบนี้ย่อมดีกว่าการรอให้ดินจอมเขมือบย่อยสลายแล้วค่อยดูดซับเป็นไหนๆ ด้วยวิธีการนี้เจ้าผักบุ้งพวกนี้น่าจะเติบโตและพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วในอนาคต” ซูจิ้งยิ้มออกมา
ในขณะเดียวกันก็มีสิ่งหนึ่งทีซูจิ้งยังไม่ค้นพบนั่นก็คือตอนนี้ประตูสวนหลังบ้านของเขาได้ถูกเปิดออกมาและได้มีรถยนต์ออดี้R8คันหนึ่งวิ่งเข้ามาจอด มีหญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ในชุดสูทสั่งตัด ผมยาว ดูดีมีชาติตระกูล และสวยๆมากคนหนึ่งก้าวออกมาจากรถ นั่นก็คือ ฉือชิง
ทันทีที่เหล่าสัตว์เลี้ยงสัมผัสได้ว่าใครมา พวกมันต่างวิ่งกรูเขาไปหาเธอด้วยท่าทางที่แสดงออกด้วยความรักและน่าเอ็นดู
ฉือชิงได้ยิ้มพร้อมทั้งลูบหัวเหล่าสัตว์เลี้ยงทั้งหลายจนครบ เธอนั้นได้รีบขึ้นไปชั้นสี่ในทันที
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะขึ้นไปชั้นสี่เธอก็พบผงดินมากมายกระจายอยู่ทั่วพื้นบันไดไปจนถึงรอบๆสระน้ำซึ่งดูแล้วค่อนข้างสกปรกเลอะเทอะอย่างมากจนทำให้ฉือชิงต้องบ่นออกมา
“อาจิ้งทำอะไรกันเนี่ย” เธอเองตอนแรกก็นึกว่าเป็นเพราะบรรดาสัตว์เลี้ยงแต่ปกติพวกมันไม่เคยทำพื้นสกปรกขนาดนี้เธอจึงโทษซูจิ้งได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
ฉือชิงพยายามเรียกหาซูจิ้งอยู่หลายหนแต่ไม่มีเสียงขานรับออกมา เธอได้ลองไปดูที่ห้องก็ไม่เจอ เธอจึงได้นำไม้กวาดพร้อมที่ตักผงมากวาดดินบนพื้น ดินพวกกระจายเป็นทางลากยาวไปจนถึงเถาวัลย์กลุ่มหนึ่ง
ฉือชิงหยุดในทันที เธอจ้องมองไปยังกองเถาวัลย์ที่อยู่ตรงหน้าเธอ ในขณะที่กำลังมองไปที่ราก
เธอเห็นรากๆหนึ่งมีดินเกาะอยู่มากเป็นพิเศษจนเหมือนกับรากรากนั้นเพิ่งถูกถอนออกมาจากดิน
ฉือชิงได้พูดออกมาว่า “ดูเหมือนดินนั่นจะเริ่มมาจากที่นี่นะ น่าจะหมามาถอนเล่นแน่ๆ น่าสงสารจริงๆ” ฉือชิงยิ้มออกมา
เธอนั้นเอื้อมมือไปจับรากนั้นโดยหวังจะจับมันฝังลงไปในดินอีกทีแต่ทันทีที่เธอจับ
รากนั่นได้หลบออกจากมือเธอ ฉือชิงนี่งอึ้งในทันที เธอกำลังคิดอยู่ว่าตาฟาดอยู่แน่ๆ เธอน่าจะจับผิดเองมากกว่า รากเถาวัลย์จะไปขยับได้ยังไง หรือว่าจะไม่ใช่ราก แต่เธอก็มองดูดีแล้วว่ามันเป็นราก เธอได้แต่สะบัดหัวและเอื้อมมือไปจับรากนั้นอีกครั้งเพื่อหวังจะจับไปกลบไว้ในดิน
แต่เธอไม่รู้ว่าส่วนที่เธอจับนั้นนั่นคือรากแก้วของเต็งเต็งที่ถือว่าเป็นส่วนที่อ่อนไหวที่สุดของต้นไม้ ถึงแม้จะถูกหุ้มไว้ด้วยดินจอมเขมือบแต่นั่นไม่ได้ช่วยให้เต็งเต็งฝืนไม่ให้ขยับตัว เหมือนกับที่บางคนโดนจี้เอวแล้วสะดุ้งโหยง
ทันทีที่เธอจับรากนั้นเต็งเต็งได้สะดุ้งจนต้องเอารากส่วนอื่นไปโอบไปยังรอบบั้นท้ายของฉือชิง แล้วยกเธออย่างเบามือย้ายเธอออกไปห่างๆจากรากนั่น ประดุจดั่งที่คนกำลังอุ้มหมาตัวน้อยไปไว้ในที่นอนของมัน
เพราะมันรู้ว่าเธอคือแขกดังนั้นมันจึงไม่ทำอะไรรุนแรงกับเธอแน่นอน มันจึงเลือกที่จะยกเธอออกไปห่างๆ
หลังจากยกเธอออกไปแล้วเต็งเต็งจึงดึงรากกลับมาแล้วคงท่าทางไว้แบบเดียวกับก่อนหน้านี้
ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน เหมือนกับมันเป็นเถาวัลย์ธรรมดากองนึงแค่นั้นเอง
ฉือชิงในตอนนี้ตกใจจนยืนนิ่งไม่ไหวติงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เธอจ้องทุกการกระทำของเต็งเต็งตั้งแต่ยกเธอมาไว้ห่างๆจนถึงตอนที่มันดึงเถาวัลย์ของมันกลับเข้าที่เข้าทางแล้วอยู่นิ่งๆไม่ไหวติงไป
พอเธอตั้งสติได้เธอกระโดดตัวโหยงถอยออกไปพร้อมตะโกนออกมาว่า “หมาป่าสงคราม อาต๋า ”
ทันใดนั้นหมาป่าสงครามแทบจะมาอยู่เคียงข้างในทันที ตามมาด้วยอาต๋าและลูกน้องหมาของมันรวมตัวกันเป็นกลุ่มรอบตัวฉือชิง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น