Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 693-708
ตอนที่ 693
เรื่องมหัศจรรย์
เรื่องมหัศจรรย์
หวังซือหยาพาซูจิ้งไปอีกห้องนึง พวกเขาได้คุยกันสองสามเรื่องเกี่ยวกับส่วนผสมที่จำเป็นต้องใช้ในผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักตัวใหม่
ซูจิ้งได้รับหน้าที่ในการผลิตชูหยู ส่วนหวังซือหยามีหน้าที่ในการวางแผนการขาย ผลิต และวางจัดจำหน่าย พร้อมตกลงกันเรื่องส่วนแบ่งอยู่ที่ 50/50 ตอนนี้ทั้งพี่และน้องตระกูลหวังได้กลายเป็นหุ้นส่วนธุรกิจของซูจิ้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งและหวังซือหยายังคุยกันเรื่องที่จะผลิตชูหยูในรูปแบบผงให้ลักษณะผลิตภัณฑ์คล้ายคลึงกับผลิตภัณฑ์อีกสองตัวก่อนหน้านี้ ได้แก่ผงกระชับทรวงอก และผงเสริมความงาม(แป้งเหม่ยหยาน) เพื่อให้ง่ายต่อการผลิตบรรจุภัณฑ์ และง่ายต่อการใช้ และที่สำคัญที่สุดคือง่ายต่อการโฆษณาและการจดจำ
โดยพวกเขาตกลงกันว่าชื่อผลิตภัณฑ์ก็จะเรียกตรงตัวแบบง่ายนั่นคือ ผงลดน้ำหนัก เพื่อจะทำให้ผลิตภัณฑ์ทั้งสามการเป็นชุดเสริมความงาม ประกอบด้วย ผงลดน้ำหนัก ผงกระชับทรวงอก และผงเสริมความงาม
“ผงเสริมความงาม ผงกระชับทรวงอก และผงลดน้ำหนัก ในที่สุดพวกเราก็สร้างเซ็ตความงามที่สวยจากธรรมชาติได้ซักที” หวังซือหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ที่ผ่านมานั้นบริษัทเสริมความงามของซือหยานั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมในตลาดเครื่องสำอางซักเท่าไหร่นัก เพราะว่าบริษัทของเธอขาดผลิตภัณฑ์ที่เป็นเอกลักษณ์เป็นหน้าเป็นตาของบริษัท แต่หลังจากผงเหม่ยหยานออกสู่ท้องตลาด ทำให้ความนิยมในตลาดเครื่องสำอางเริ่มเปลี่ยนแปลง ทุกคนเริ่มรู้จักผลิตภัณฑ์ในยี่ห้อซือหยามากขึ้น
บริษัทของเธอเป็นที่ฮือฮาอีกครั้งหลังจากที่แปรรูปมะละกอเกล็ดงูเป็นผงกระชับทรวงอก และครั้งนี้คือผงลดน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์ทั้งสามนี้ถึงแม้จุดที่คล้ายกับผลิตภัณฑ์อื่นๆที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้ว แต่ด้วยผลลัพธ์จากการใช้ที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ตัวไหนที่จะเทียบได้เลย ด้วยผลิตภัณฑ์เหล่านี้จะทำให้ซือยาเป็นแบรนด์ชันนำระดับโลกในไม่ช้าแน่นอน
“ว่าแต่ผงที่นายใช้กับฉือเหยานี่จะลบรอยแผลเป็นของเธอได้จริงๆหรอ” หวังซือหยาถามออกมาด้วยความสงสัย
“เอาจริงๆ ผมเองก็ยังยืนยันผลไม่ได้หรอก ต้องรอดูอย่างเดียวนั่นแหล่ะ” ซูจิ้งตอบอย่างตรงไปตรงมา
“ถ้ามันทำได้จริงนี่ไม่ถือว่าเรามีสินค้าชั้นเลิศอยู่ในมืองั้นหรอ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ยังหวังผลไม่ได้หรอกเพราะว่าเจ้าผงยานี่ผมเองก็ยังไม่รู้วิธีทำเหมือนกัน ตอนนี้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะผลิตมาขาย แถมมันเองก็ไม่สามารถสังเคราะห์ด้วยวิธีการทั่วไปเพื่อหาสูตรได้ด้วย ตอนนี้เอาเป็นรอดูผลลัพท์ของมันก่อนดีกว่า ถ้ามันได้ผลค่อยว่ากันอีกที”
ที่ซูจิ้งพูดอย่างนั้นไปเพราะผงที่ใช้กับฉือเหยาไปคือผงยาของสำนักเมฆาเขียวที่เขาเจอ ไม่กี่วันก่อนเขานั้นได้พยายามทดลองสารพัดวิธีจนพบว่าผงนี้มีความสามารถในการรักษาบาดแผล
ถ้าเป็นแผลสดมันจะรักษาแผลให้หายได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ พอได้ยินว่า เจิ้งฉือเหยาเป็นแผลเป็นเขาก็เลยอยากลองดูว่ามันจะรักษาได้เหมือนกันรึเปล่า
“ก็ดี เรามารอดูกันว่ามันจะใช้ได้จริงไหม” หวังซือหยาพยักหน้ารับ
เจิ้งฉือเหยาหลังจากเลิกงานได้ออกจากบริษัทไป หลังจากฟังข้อห้ามของซูจิ้งในการรักษาแผลเป็นของเธอ เธอได้นำพลาสเตอร์ยามาแปะไว้บนแผลที่ขา และพยายามที่จะไม่ให้แผลเป็นของเธอต้องโดนน้ำถึงขนาดไม่ยอมอาบน้ำเลยในคืนนั้น
เมื่อตืนเช้าขึ้นมา เจิ้งฉือเหยาได้ตื่นขึ้นมาพร้อมบิดขี้เกียจในชุดนอนสุดแสนจะเซ็กซี่ เธอตรงไปที่ห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา หลังจากส่องกระจกจนเห็นพลาสเตอร์ยาก็เพิ่งนึกได้ว่าเมื่อวานนำมาปิดไว้กันน้ำไม่ให้โดนแผลเป็น เธอจึงได้นั่งยองๆพร้อมทั้งค่อยๆดึงพลาสเตอร์ยาออกเพื่อจะลองดูที่แผลเป็นนั้น
แต่เมื่อเธอมองไปที่ตำแหน่งรอยแผลเป็นเธอนั้นได้เห็นสะเก็ดแห้งๆ อยู่ตรงรอยแผลเป็น เมื่อเห็นดังนั้นฉือเหยาทำได้แต่มองนิ่งๆ เธอค่อยๆเอาปลายเล็บสะกิดสะเก็ตเล็กๆเหล่านั้น ปรากฎว่าสะเก็ตเหล่านั้นหลุดลอกออกอย่างง่ายดายเหมือนเส้นผมที่ลอยมาเกาะที่ขาเธอเฉยๆ ภายใต้สะเก็ดนั้นไม่ปรากฎอะไรอยู่เลยสักนิด
“พระเจ้า” เธอมองตำแหน่งเดิมที่มีรอยแผลเป็นอยู่แบบอึ้งๆ ตอนนี้มีแต่ผิวเรียบเนียนขาวของเธอแค่นั้นเอง เธอถึงขนาดไปหาแว่นขยายมาส่องซ้ำแต่ก็ไม่เจออะไรเลย รอยแผลของเธอหายไปแล้ว
“สุดยอด” เจิ้งฉือเหยาดีใจจนกระโดดโลดเต้นแล้วเธอก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาโทรหาซือหยาทันที
“ฉือเหยา โทรมาทำไมเช้าป่านนี้เนีย มีเรื่องสำคัญอะไรงั้นหรอ” หวังซือหยาถามออกมาด้วยอาการงัวเงีย
“พี่ซือหยา ผงยาของคุณซูช่างวิเศษจริงๆ” เจิ้งฉือเหยารีบพูดออกไปด้วยความตื่นเต้น
“ห้ะ ได้ผลแล้วหรอ เร็วไปรึเปล่า” หวังซือยาพูดเหมือนจะไม่เชื่อ
“มันไม่ใช่แค่ได้ผลนะ มันให้ผลสมบูรณ์เลย” เจิ้งฉือเหยายืนยันกลับไป
“คือแบบหายไปไม่เหลือเลยน่ะนะ จะเป็นไปได้ยังไง แค่วันเดียวเอง” หวังซือหยาไม่เชื่ออย่างแรง
“งั้นเดี๋ยวฉันส่งภาพไปให้ดูนะ” ฉือเหยารีบถ่ายรูปตรงที่เคยมีรอยแผลเป็นส่งให้ซือหยาดู
“นี่เธอไม่ได้แต่งภาพใช่ไม๊” หวังซือหยาเองก็อึ้งๆไปเหมือนกันเมื่อเห็นภาพที่ส่งมา ถึงเธอจะเป็นคนยุยงให้ฉือเหยาเชื่อในชูจิ้งเรื่องผงยานั่นแต่เธอไม่คิดว่ามันจะใช้ดีขนาดนี้ แผลเป็นนั้นขนาดไปหาหมอที่โรงพยาบาลเสริมความงามก็ยังไม่มีทางทำให้หายได้ในวันเดียวเลย เป็นไปได้ยังไงกัน
“ไม่ได้แต่งรูปนะ… มันหายไปจริงๆ น้องชายเธอจะดีเลิศเกินไปแล้วนะ” เจิ้งฉือเหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ฮ่าฮ่าเขานั้นชอบมีของดีอยู่กับตัวอย่างนี้แหล่ะ” หวังซือยายิ้มก่อนพูดตอบไป
ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปยังเพื่อนๆของฉือเหยาอย่างรวดเร็วและมันก็สร้างความประหลาดใจอย่างมาก พร้อมทั้งทำให้ทุกคนยินดีกับเธออย่างมาก เจิ้งฉือเหยาได้รับงานต่างๆที่เคยพลาดไปแทบจะในทันทีหลังจากที่ข่าวนี้แพร่ออกไป ด้วยเรียวขาที่สวยจนไร้ที่ติของเธอ ตอนนี้ได้กลับมาทำเงินได้อีกครั้งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หวังซือหยาได้โทรหาซูจิ้งเพื่อบอกผลการใช้ผงยาให้ซูจิ้งฟัง ซูจิ้งก็รู้สึกมีความสุขเมื่อเขาได้ยินข่าว ผงยาจากสำนักเมฆาเขียวนี่ช่างวิเศษจริงๆ มันต้องเป็นยาครอบจักรวาลนั่นแน่ๆ
หวังซือหยาได้ขอตัวอย่างเพื่อจะนำไปทดลองผลิตขาย แต่พอซูจิ้งนึกถึงว่าตอนนี้เขาเองยังไม่มีไม่เยอะแถมยังต้องเก็บไว้ใช้เพื่อเหตุฉุกเฉินกับฉือชิงและคนอื่นๆ ถึงแม้จะไม่ต้องใช้ในการรักษาแผลเป็นแต่อันที่จริงมันใช้รักษาแผลสดเพื่อรักษาชีวิตเป็นหลัก การนำมาใช้รักษาแค่แผลเป็นนี่ช่างสิ้นเปลืองดีจริงๆ เขานั้นไม่อยากจะให้ไปเลยซักนิดเดียว
ตอนนี้หวังซือหยาได้เริ่มแผนการตลาดสุดยิ่งใหญ่ หลังจากที่เหล่าดาราได้เห็นแผนการโปรโมทนี้ถึงกับทำให้วงการบันเทิงต้องสั่นสะเทือน
ดาราตลกชั้นยอดคนหนึ่งที่เคยอ้วนมากจนต้องออกจากวงการไปได้กลับมาเป็นข่าวอีกครั้ง นั่นก็เพราะว่าเขาในตอนนี้ได้ลดน้ำหนักจนกลายเป็นคนละคนจากเดิม แถมตอนนี้ยังดูหล่อขึ้นดูดีขั้นหมดไปทั้งตัว
ดาราอีกคนหนึ่งที่เคยดูอวบอ้วน ดูเฉื่องช้า มีแต่คนคอยล้อคอยว่า ดาราตลกคนนั้นตอนนี้ได้ผอมลงจนกระทั่งใส่เสื้อคอวีโชว์ความเซ็กซี่ของเธอได้แบบไม่อายใครอีกต่อไปแล้ว
ดาราคนหนึ่งคือเมื่อไม่กี่ปีก่อนเคยมีข่าวดาราคนนี้ว่าเป็นผู้ป่วยติดเตียงจนกระทั่งมีน้ำหนักเกิน 700 ชั่ง ตอนนี้นอกจากเขาจะไม่เพียงลุกออกจากเตียงได้ เขายังหันมาออกกำลังกายซะด้วยซ้ำ
ดาราคนหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นไอดอลและสุดยอดนักแสดงที่กำลังเป็นดาวรุ่งแต่เกิดอุบัติเหตุขึ้นจนทำให้เสียโฉมถึงขนาดที่พึ่งหมอศัลยกรรมมากมายแต่ก็ยังทำอะไรรอยแผลเป็นบนหน้าเขาไม่ได้ ใครจะคิดว่าเขาจะกลับมาอีกครั้งพร้อมกับใบหน้าที่สมบูรณ์แบบจนแทบไม่เห็นเค้าลางเลยว่าเคยมีแผลเป็นอยู่บนหน้ามาก่อน
ดาราที่มีเครื่องหมายการค้าเป็นความเซ็กซี่ของหน้าอกคนหนึ่งที่เคยตกจากหลังม้าจนเกิดรอยแผลที่หน้าอกจนไม่สามารถใส่เสื้อคอวีโชว์ความเซ็กซี่ได้อีกต่อไป แต่ตอนนี้เธอสามารถกลับมาใส่เสื้อคอวีได้อีกครั้งเพราะตอนนี้รอยแผลนั้นได้อันตรธานหายไปหมดสิ้นจนเธอสามารถกลับมาคืนสังเวียนได้อีกครั้ง
เหตุผลที่พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของตัวเองได้อีกครั้งนั่นเป็นเพราะพวกเขาได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ๆหนึ่ง นั่นคือซือหยาผงลดความอ้วนและซือหยาผงลบรอยแผลเป็น ซึ่งตอนนี้ได้เป็นที่กล่าวขวัญในวงการบันเทิงอย่างแรง และผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์สองตัวนี้นั่นคือซูจิ้ง ตอนนี้อย่าว่าแต่แฟนคลับของซูจิ้งเลย ตาสีตาสาทั่วไปยังต้องทำหน้าโง่งมเมื่อได้ยินเรื่องนี้
ตอนที่ 694
ผลประโยชน์ที่ไม่เคยนึกถึง
ตอนนี้ในโลกอินเตอร์เน็ตต่างพูดคุยกันถึงเรื่องๆหนึ่ง
“ไม่อยากเชื่อเลยว่านังแมวอ้วนจะลดน้ำหนักได้”
“ยัยเด็กอ้วนนั่นลดน้ำหนักลงกลายเป็นเซ็กซี่ซะจนทำให้เจิดจ้าจนตาฉันบอดได้เลย”
“ฉันเองก็ตะลึงเหมือนกันพอรู้ว่าดาราอ้วนที่ป่วยติดเตียงมานานหลายปีคนนั้นลดความอ้วนได้ตั้ง 300 ชั่งแน่ะ”
“ฉันไม่สนใจหรอกว่าใครจะอ้วนหรือใครจะผอม ตอนนี้ฉันสนแค่จะทำให้รอยแผลเป็นบนหางตาหายออกไปจากตาที่แสนสวยของฉันซักที”
“ใช่แล้ว คุณพี่คนนั้นต่อให้มีแผลเป็นก็หล่ออยู่แล้ว แต่ตอนนี้รอยแผลเป็นหายเป็นยิ่งหล่อขึ้นขนาดเดินผ่านยังต้องหันมองตามเลย”
“ในที่สุดแผลเป็นบนหน้าอกของนางฟ้าของฉันก็หายซักที”
“พวกเราได้กำไรจากเรื่องนี้เต็มๆเลย เย้ (จะได้เห็นหน้าอกอีกครั้งแล้ว)”
ก่อนที่จะกลับไปเรื่องนั้น
แมวอ้วนได้ทวิสติดข้อความ@ชื่อซูจิ้งพร้อมพิมบอกว่า “พอนึกตอนที่เธอได้เป็นดาราเพราะรูปร่างของเธอนั้น เธอปวดใจเรื่องนั้นทุกที่ และยิ่งไปกว่านั้นที่เธอออกจากวงการก็เพราะรูปร่างของเธอเช่นกัน ตอนนี้ฉันลดน้ำหนักได้แล้ว ขอขอบคุณซือหยาผงลดน้ำหนักและซูจิ้งผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ขึ้นมา”
ดาราอ้วนอีกคนก็ทวิสข้อความ@ชื่อซูจิ้งเหมือนกันพร้อมพิมไว้ว่า “ขอบคุณซือหยาผงลดความอ้วน ขอบคุณซูจิ้ง”
ดารานักแสดงฝึมือขั้นเทพก็ยังทวิสข้อความ@ชื่อซูจิ้งโดยพิมไว้ว่า “ขอขอบคุณซือหยาผงลบรอยแผลเป็นและซูจิ้งผู้ภัฑนาผลิตภัณฑ์ตัวนี้ ตอนแรกที่ผมได้ยินว่าผงนี้สามารถลบรอยแผลเป็นได้ผมก็ยังไม่เชื่อ ผมเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงเขามานาน และก็อยากมีส่วนร่วมกับเขาทั้งในเหตุการณ์ไฟไหม้ เหตุการณ์จี้เครื่องบิน หรือแม้แต่ตอนเล่นปากัว นึกไม่ถึงเลยว่าจะได้ส่วนร่วมกับผลิตภัณฑ์นี้หลังจากแผลเป็นทั้งหมดของผมไป อยากพบเขาตัวเป็นๆ ซักทีจริงๆ”
นางฟ้าแสนเซ็กซี่ได้ทวิสข้อความ@ชื่อซูจิ้งเอาไว้ว่า “ขอบคุณซือหยาผงลบรอยแผลเป็น ขอบคุณซูจิ้ง คุณคือคนที่ช่วยชีวิตของฉัน”
ไม่ว่าจะเป็นชาวเน็ตหรือดาราคนไหนก็ตามยิ่งมึนงงกับข้อความเหล่านี้
ไม่มีใครคิดมาก่อนว่าผลิตภัณฑ์ต่างๆของซือหยาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้วงการเครื่องสำอางนั้น จะมีซูจิ้งเป็นผู้พัฒนาผลิตภัณฑ์เหล่านี้
ตอนนี้หัวข้อการสนทนาในโลกอินเตอร์เน็ตเปลี่ยนไปเล็กน้อย นั่นคือมีการเอ่ยถึงซูจิ้งในทุกเหตุการณ์เหล่านี้
“พระเจ้า ซูจิ้งอีกแล้วหรอ ทำไมหมอนี่ชอบเปิดตัวได้น่าประหลาดใจทุกทีเลย“
”ไอ้เจ้านี่ไม่เคยตกเป็นข่าว ไม่เคยออกรายการ ไม่เคยเล่นละครทีวีหรือแสดงหนัง ไม่เคยเล่นโฆษณา แต่อยู่ๆเป็นข่าวซะอย่างนั้น”
“หมอนี่ไปรู้วิธีลดน้ำหนัก กระชับทรวดทรง และการลบลอยแผลเป็นพวกนี้มาจากไหนกัน มีอะไรในโลกที่หมอนี่ไม่เข้าใจบ้างไหมเนี่ย”
“แฟนคลับของเขาไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย เขานี่เทพชัดๆ”
“แต่ต้องขอบคุณเขาหล่ะนะที่ช่วยเทพของพวกเรา”
“ขอบคุณที่ช่วยเทพธิดาของผมให้สามารถสยายปีก(หน้าอก)ได้อีกครั้ง”
ก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีคนจ่ายเงินให้คนพวกนี้รึเปล่า แต่แฟนคลับของดาราขั้นเทพและดารานางฟ้า(หน้าอก)ต่างพุ่งเป้าไปที่ไมโครบล็อกของซูจิ้ง พร้อมทั้งกระหน่ำข้อความว่า “ขอบคุณท่านเทพ” นับหมื่นข้อความ
แฟนคลับของซูจิ้งได้ยิ้มหน้าบานกันอีกครั้ง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้เจอซูจิ้ง พวกเขาก็ยังคงคิดถึงซูจิ้งยู่เสมอ พวกเขาต่างคอยคิดว่าเรื่องราวของซูจิ้งจะออกมาในรูปแบบไหนในครั้งต่อไป
แต่ไม่มีใครคืดว่าเรื่องราวของซูจิ้งจะโผล่มาแบบนี้
ซูจิ้งช่างเป็นคนที่ทำให้แฟนคลับตื่นตะลึงได้ทุกครั้งที่มีเรื่องราวของเขาปรากฎออกมา
ตอนนี้ชื่อเสียงของซูจิ้งในรายการจัดระดับดาราได้เพิ่มขึ้นอีกแล้ว เขาเป็นคนเดียวที่ขึ้นอันดับได้ด้วยเรื่องพวกนี้
ณ บ้านของซูจิ้งตอนนี้เขาได้นำตราเทวฑูตออกมาดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์อยู่
นี่เป็นผลจากการที่หวังซือหยาใส่ชื่อของซูจิ้งในทุกผลิตภัณฑ์ที่เขาได้มีส่วนแบ่งด้วย
ถึงเขาจะไม่ค่อยชอบใจนักแต่มันก็ช่วยเพิ่มพลังงานศักด์สิทธิ์ในเหรียญตราได้อย่างดี
ทำให้เขาเกลียดการทำแบบนี้ของซือหยาไม่ลงเลยทีเดียว
ในวันต่อๆมาซูจิ้งยังคงดูดซับพลังงานจากเหรียญตราอย่างต่อเนื่อง
เขาเองก็อยากจะดูดซับทั้งวันไปเลยแต่ก็ทำไม่ได้เพราะเขายังต้องกิจวัตรประจำวันของเขาอีกสามอย่างด้วย
นั่นคือการฝึกร่างกาย บ่มเพราะพลังต่างๆ และจัดการขยะห้วงเวลาฯ
เขาได้นึกถึงของต่างๆ จากห้วงเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหารที่เขาได้มานั้น
ทั้งชูหยู เบโกเนีย และผงยารักษา ลัวนแล้วแต่ให้ผลลัพท์ที่ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น
ยิ่งทำให้เขาตระหนักดีว่าห้วงเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหารนั้นช่างทรงพลังมากสุดหยั่งถึง
วันนี้ซูจิ้งได้รับโทรศัพท์เฉิงหนานเขารีบรับทันที
“อาจิ้งตอนนี้นายว่างรึเปล่า” เฉิงหนานถาม
“ตอนนี้ว่างอยู่นะ จะให้ทำอะไรหรอ” ซูจิ้งถามกลับ
“ทุกอย่างในธุรกิจตอนนี้ถือว่าไปได้สวยหล่ะนะแต่หลังจากที่ฉันลองคำนวนเงินสุทธิที่นายได้รับ ฉันก็นึกได้ว่าตอนนี้นายยังขาดธุรกิจอีกอย่างนึงที่เหมาะกับนายแบบสุดๆไปเลยหล่ะ” เฉิงหนานตอบ
“อะไรหล่ะนั่น” ซูจิ้งถามพร้อมยืนนิ่งคิดตามแต่ก็คิดไม่ออก
“โรงประมูลไง” เฉิงหนานพูดออกมาและกล่าวต่อไปว่า
“ฉันได้ลองคำนวนของที่นายประมูลแล้วได้เป็นเงินกลับมานั้น
มันเป็นกำไรล้วนๆแถมมันยังถือว่าเป็นสัดส่วนกำไรส่วนใหญ่เลยก็ว่าได้
ถ้าดูจากทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่นายส่งไปประมูลที่โรงประมูลว่านเป๋านะ
ตอนนี้นายแทบจะถือได้ว่าเป็นคนเดียวที่สร้างกำไรและชื่อเสียงให้กับที่นั่น
ลองคำนวนจากเงินที่โรงประมูลส่งให้นายมหาศาลขนาดนั้นเทียบกับผลกำไรที่โรงประมูลประกาศหักเปอร์เซนต์ไว้นี่คิดได้อย่างนั้นทางเดียวเลย
ฉันก็เลยคิดได้ว่าแทนที่จะส่งของให้คนอื่นกินเงินกำไรไปไม่สู้เราทำของเราเองไม่ดีกว่าหรอ
สู้เอาเงินกำไรที่ให้พวกนั้นไปทำสาธารณะประโยชน์ เลี้ยงสาวๆ กับบรรดาสัตว์เลี้ยงของนายซะยังดีกว่า แถมยังเอาไปลงทุนเรื่องอื่นๆ ได้อีกเยอะเลย
ถ้าจัดการดีๆฉันบอกได้เลยว่าเราสามารถสร้างโรงประมูลที่ยอดยิ่งกว่าโรงประมูลวานเป๋าเสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้ค่าใช้จ่ายตอนเริ่มต้นมันจะดูสูงไปหน่อยแต่มันจะเป็นค่าใช้จ่ายคงที่ไม่มีการเพิ่มง่ายๆ
ค่าใช้จ่ายพวกนั้นจะถูกกลบไปมากหรือน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสมบัติของนายแล้วหล่ะ”
“เธอแน่ใจนะว่าจะจัดการไหว” ซูจิ้งถึงจะพูดไปแบบนั้นแต่สายตาและท่าทางของเขาตอนนี้คิดไปไกลมากแล้ว
ต่อให้เขาไม่เคยจะต้องคิดเรื่องปัญหาที่จะตามมาแต่มันก็พอจะมีปัญหาอยู่บ้างในการตั้งโรงประมูล
เพราะพูดน่ะมันง่ายแต่ทำน่ะมันยาก นั่นก็เพราะโรงประมูลว่านเป๋าได้สร้างขื่อเสียงสั่งสมมานานปีกว่าจะมีชื่อเสียงได้เหมือนทุกวันนี้
ถ้าจัดการไม่ดีก็จะได้กำไรยากมากๆ ต่อให้มีของดีแค่ไหนก็อาจถูกกดราคาจนไม่ได้อะไรเลยนั่นคือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นได้
“ถ้าเราพูดถึงเรื่องนี้ในสถานการณ์ปกติมันก็คงดูยากหน่อยหล่ะ แต่ถ้ามีของๆนาย(ขยะของซูจิ้งทั้งหลาย)พวกนั้น
ฉันมีความมั่นใจกว่า 90 เปอร์เซนต์ เพราะยังไงซะของๆนายที่ส่งไปโรงประมูลนั่นก็ของหายากทั้งนั้น
แถมนำออกประมูลแต่ละทีได้ฮือฮากันทั้งโรงประมูล ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอถามหน่อยว่าตอนนี้นายมีของอยู่ในมือแค่ไหนกัน” ซูจิ้งเอ่ยถาม
“มีแน่น่า เธอไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก ขอแค่เธอจัดการหาสถานที่เปิดโรงประมูลได้เมื่อไหร่เธอก็แค่มาหาฉันที่บ้านก็พอ” ซูจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้ม เขาเองก็เห็นด้วยกับเฉิงหนานอย่างมาก
เงินที่เขาได้มาจากโรงประมูลเอาจริงๆก็แค่เศษเสี้ยวเท่านั้น สู้ทำโรงประมูลเองยังไงก็ได้เงินมากกว่าต่อให้โดนกดราคาก็ตาม
“ตกลง” ไม่นานนักเฉิงหนานได้มาที่บ้านของซูจิ้งพร้อมเอกสาร
หลังจากได้รับความเห็นชอบและลายเซ็นต์จากซูจิ้งแล้ว เฉิงหนานได้เริ่มจัดการเรื่องโรงประมูลทันที
ที่จริงเธอได้เตรียมพร้อมมาบ้างแล้วเพราะกลัวซูจิ้งไม่เห็นด้วย
เธอได้หาสถานที่ในการก่อตั้งพร้อมดูช่องทางทางการตลาดไปแล้ว พอซูจิ้งเห็นด้วยแล้วเธอจริงทำต่อได้ง่ายขึ้น
แน่นอนโรงประมูลที่เพิ่งตั้งไม่มีชื่อเสียงและไม่ได้รับความนิยม เป็นการยากที่จะหาใครซักคนมาส่งของเพื่อประมูลเป็นสินค้า
เมื่อเทียบผลกำไรที่ได้กับการไปประมูลกับโรงประมูลที่โด่งดังและได้รับความนิยมแล้ว ต่อให้ถูกหักเปอร์เซนต์จากโรงประมูลมากกว่าแต่ก็ยังได้เงินเยอะกว่าอยู่ดี
แต่สำหรับซูจิ้งเขานั้นไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องนี้ ต่อให้ไม่มีใครมาส่งของลงประมูลในโรงประมูลของเขา เขานั้นก็มีสมบัติเป็นของตัวเองอยู่แล้ว เพียงแต่เขาขาดช่องทางขายทำเงินแค่นั้นเอง
เอาจริงๆต่อให้เขาไม่ตั้งโรงประมูลแค่เขาถือของก้าวเข้าไปในประตูโรงประมูล ด้วยชื่อเสียงของซูจิ้งในด้าน “เทพแห่งการให้ของขวัญ” แล้ว เขาก็ถูกจับตามองแทบจะทุกฝีก้าวที่เข้าไปแล้ว และครั้งนี้เขาก็จะทำอีกเช่นกัน แต่จะเป็นการไปเพื่อโฆษณาโรงประมูลของเขาแทน
ตอนที่ 695
ผลไม้ที่เย้ายวนใจ
โรงประมูลที่เฉิงหนานและซูจิ้งวางแผนที่จะตั้งกันนี้ พวกเขาตั้งใจจะตั้งเป็นโรงประมูลสำหรับวัตถุโบราณเป็นหลัก เหตุผลก็คือเพื่อลองรับวัตถุโบราณที่ซูจิ้งมีไว้ในครอบครอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องลายครามและภาพเขียนสมัยราชวงศ์ถัง
การจะตั้งโรงประมูลแบบนี้ได้จะต้องมีเงื่อนไขเพิ่มเติมจากโรงประมูลทั่วไป นั่นก็คือต้องมีผู้ประเมินที่ได้รับการรับรองประจำอยู่อย่างน้อยห้าคนขึ้นไป
ทันใดนั้นซูจิ้งนึกถึงเฉินฮงและซงเหลาขึ้นมาเป็นอันดับต้นๆ
ถึงแม้จะมีคำกล่าวที่ว่าตราบใดที่เงินถึงก็ไม่ต้องกังวงในการหาผู้เชี่ยวชาญก็ตาม แต่ซูจิ้งก็ยังจะเลือกทำงานกับคนที่เขาคุ้นเคยมากกว่าอยู่ดี
และเขาเองก็รู้ว่าสองคนนี้เชื่อถือได้มากกว่าใครๆ นี่ยังไม่พูดถึงความรู้ความสามารถในได้งานประมูลของพวกเขาไม่เป็นสองรองใครแน่นอนดังนั้นเขาจึงได้เชิญเฉินฮงและซงเหลาให้มาร่วมงานกับเขา
เช้าวันถัดมาทั้งสองคนได้มาหาซูจิ้งที่บ้านเป็นการส่วนตัว เมื่อเห็นซูจิ้งพวกเขาได้เอ่ยถามขึ้นทันที
“คุณซู คุณตั้งใจจะตั้งโรงประมูลจริงๆอย่างงั้นหรอ ไม่อยากจะร่วมมือกับโรงประมูลว่านเป๋าของเราแล้วหรอครับ”
“ใช่แล้วหล่ะ อีกไม่นานผมก็จะมีโรงประมูลเป็นของตัวเองแล้ว แต่ตอนนี้ผมยังขาดคนประเมินอยู่นะ
ถ้าคุณสองคนมาร่วมงานกับผมได้ผมจะยินดีมากเลย ผมยอมจ่ายค่าแรงมากกว่าตอนที่พวกคุณอยู่ที่โรงประมูล วานเป๋าเลยนะ
เอาเป็นว่าเราอย่าเพิ่งมายืนคุยกันตรงนี้เลยดีกว่า เราเข้าไปข้างในกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“พูดตรงๆเลยนะ พวกผมรู้สึกเป็นเกียรติจริงๆที่คุณชวนพวกเรา แต่พวกเราเองก็ได้รับการดูแลอย่างดีจากเจ้าของโรงประมูลว่านเป๋า
มันคงดูไม่ดีที่เราจะออกจากที่นั่นแล้วมาทำงานให้คุณแทน เอาจริงๆผมก็ยังอยากจะเตือนคุณนะว่าการเปิดโรงประมูลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายคุณไม่ลองคิดดีๆก่อนอีกทีหรอครับ”
เฉินฮงและซงเหลาต่างพยายามโน้มน้าวซูจิ้งในระหว่างที่กำลังเดินเข้าไปในบ้าน ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากจะออกจากโรงประมูลว่านเป๋าหรอก แต่พวกเขามีเหตุผลอย่างอื่นที่ไม่อยากจะออกมา
อย่างแรกพวกเขาแก่เกินไปที่จะคิดเรื่องการไต่เต้าในหน้าที่การงาน
อย่างที่สองเถ้าแก่โรงประมูลว่านเป๋าเองก็ไม่ได้เอาเปรียบพวกเขาซักเท่าไหร่
อย่างที่สามสำคัญที่สุดคือหากพวกเขาเลือกจะฝากฝังชีวิตที่เหลือของพวกเขาไว้กับซูจิ้ง แล้วเกิดโรงประมูลของซูจิ้งไปไม่รอดหล่ะก็พวกเขาจะไม่เหลืออะไรเลย
ต่อให้กลับไปทำงานที่ว่านเป๋าเหมือนเดิมได้ก็จะทำให้รู้สึกกระดากใจต่อกันอยู่ดี เพราะฉะนั้นการที่พวกเขาจะออกจากว่านเป๋าได้เขาต้องมั่นใจแล้วจริงๆ
“ถึงแม้เถ้าแก่โรงประมูลจะทำดีต่อพวกคุณอยู่ก็ตาม แต่นั่นก็เป็นเพราะพวกคุณยังทำงานกันไหวอยู่
แถมพวกคุณเองก็ทุ่มเทให้โรงประมูลไปไม่น้อยเหมือนกัน ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่เขาจะดูแลพวกคุณอย่างดี
แต่ลองนึกดูดีๆสิด้วยฝีมือของพวกคุณแล้วไม่ถือว่าแก่เกินไปที่จะหางานใหม่ให้ดีกว่าเดิมหรอกนะ
อย่างเช่นการที่จะมาทำงานที่โรงประมูลของผมนอกจากผมจะให้ค่าตอบแทนเริ่มต้นมากกว่าเงินค่าแรงที่พวกคุณได้กันอยู่ตอนนี้แล้ว
ผมจะรับประกันได้อย่างดีเลยว่าจะยิ่งทำให้มันดีขึ้นไปเรื่อย ถึงตอนแรกถึงมันจะดูยากไปซักหน่อยแต่ผมเองก็มีกำลังทรัพย์ในการรองรับเหตุการณ์ไว้อยู่แล้ว
ถ้าพวกคุณจัดการได้อย่างดีหล่ะก็ อนาคตของโรงประมูลของพวกเราสดใสแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างมั่นใจ
เฉินฮงและซงเหลาเองต่างก็พยักหน้าเห็นพ้องไปกับคำพูดของซูจิ้ง พวกเขาเองอันที่จริงก็เข้าใจดีว่าต่อให้พวกเขาตัดสินใจออกจากโรงประมูลว่านเป๋า โรงประมูลก็ไม่ได้แยแสพวกเขาหรอก มันเป็นเรื่องปกติของที่นั่น
แถมซูจิ้งเองก็ยังเป็นคนรวยที่มีกำลังทรัพย์หนาพอที่จะทำอะไรก็ได้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะออกจากว่านเป๋าเพราะว่ายังไม่มีเหตุผลที่ดีพอที่จะออกแค่นั้นเอง
ซูจิ้งได้มองไปที่เฉินฮงและซงเหลา ทันใดนั้นเขาก็ได้ชี้ไปที่เครื่องลายครามจำนวนหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะหินในสวน แล้วก็พูดลอยๆขึ้นว่า
“น่าเสียดายจริงๆ ที่ผมนั้นมีของพวกนี้มากเกินไป ถึงพวกมันจะไม่ได้ดีพอจะนำไปประมูลแต่ก็ไม่ได้แย่พอที่จะทิ้งง่ายๆ หรือว่าจะเอาไว้เป็นของขวัญให้คนอื่นดีน้า
อย่างคนที่รู้คุณค่าในสิ่งของแบบคนที่จะมาทำงานในโรงประมูลของเรา เอาไงดีหล่ะ”
เมื่อเฉินฮงและซงเหลาได้ยินดังนั้นหน้าของพวกเขาเปลี่ยนสีแทบจะทันทีที่ได้ยิน พวกเขาจ้องไปที่เครื่องลายครามพวกนั้นพร้อมกับกลืนน้ำลาย
พวกเขาตอนนี้ต่างก็รู้สึกเหมือนกำลังมองเห็นผลไม้สีแดงดูชุ่มฉ่ำอยู่ในระยะแค่เอื้อมมือแต่ไม่สามารถเด็ดออกมาลิ้มลองได้ ซูจิ้งนั้นพยายามล่อลวงพวกเขาเป็นแน่แท้ซึ่งพวกเขาก็รู้ดี
แต่พวกเขาเองก็มั่นใจว่าหากซูจิ้งเอ่ยปากอะไรแล้วจะทำตามที่พูดอย่างแน่นอน นั่นทำให้พวกเขายากที่จะต้านทานได้
ความเย้ายวนในสมบัติมีผลต่อจิตใจของพวกเขามากกว่าเงินทองยิ่งนัก
พวกเขานั้นได้เชื่อคำพูดของซูจิ้งอย่างหมดใจ ครั้งสุดท้ายนั้นซูจิ้งได้บอกจะให้ของขวัญพวกเขา พวกเขาก็ได้จริงๆ พวกเขาได้ขารองโต๊ะจากไฮหนาน (ราคาประมาณหนึ่งแสนหยวน)
ในตอนนั้นพวกเขายังไม่ได้เป็นลูกน้องซูจิ้งด้วยซ้ำ แล้วถ้าพวกเขายอมเป็นลูกน้องของซูจิ้งจริงๆหล่ะ คำพูดนี้ทำให้พวกเขาเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว
ถึงจะได้ยินอย่างนั้น แม้พวกเขาจะเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้วแต่พวกเขาไม่ใช่เด็กน้อยที่จะถูกล่อลวงด้วยเงินค่าขนมได้ง่ายๆ พวกเขายังคงทำใจแข็งและทำตามปณิธานที่พวกเขาตั้งใจไว้
ซงเหลาได้พูดออกมาว่า “คุณซู คุณเองก็มีทั้งเงินและเส้นสายไม่น้อยเลยก็จริง ต่อให้อาศัยเงินทุนและเส้นสายอันมากมายจนก่อตั้งโรงประมูลขึ้นมาเองได้
แต่ด้วยการที่โรงประมูลตั้งใหม่นั้นไม่มีชื่อเสียงหรือความนิยมอะไรเลย ไม่มีทางที่จะมีคนนำของมาประมูลแน่นอน
ต่อให้มีมาบ้างแต่แทบเป็นไปได้เลยที่จะเป็นของดีที่ดีพอจนสร้างผลกำไรและชื่อเสียงให้กับโรงประมูลได้
มันจะไม่ดีกว่าหรอที่จะเลือกเป็นผู้สนับสนุนให้กับโรงประมูลว่านเป๋าต่อไป”
“เรื่องนี้คุณวางใจผมได้เลย ต่อให้ไม่มีใครส่งของมาประมูลแม้สักคนเดียว
ผมก็พร้อมที่จะส่งของๆผมลงประมูลในโรงประมูลของผมได้ทุกเมื่อ”
ซูจิ้งหัวเราะออกมาหลังพูดเสร็จจนทำให้ทั้งสองคนต้องหันมามองหน้ากัน
ถ้าสิ่งที่ซูจิ้งพูดเป็นความจริงล่ะก็ ของต่างๆที่อยู่ในการครอบครองของเขาล้วนแล้วแต่เป็นสมบัต้ทั้งสิ้น
ถ้าเป็นคนอื่นมาบอกอย่างนี้ก็คงจะไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ถ้าออกมาจากซูจิ้งแล้วต่อให้บอกว่าเป็นของชิ้นเล็กๆซักชิ้นล่ะก็
สุดท้ายก็ต้องมีคนแย่งกันประมูลอย่างบ้าครั้งแน่นอนอยู่แล้ว พวกเขาจึงเชื่อซูจิ้งได้หมดใจ
“พวกคุณเองก็อยู่กับโรงประมูลว่านเป๋ามาตั้งแต่ยังหนุ่มเลยไม่ใช่หรอ ไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรอกับการต้องคอยเจอสมบัติธรรมดาซ้ำๆ
ถ้าพวกคุณยอมมาทำงานที่โรงประมูลของผม ผมขอรับประกันเลยว่าพวกคุณจะได้เห็นของที่วิเศษเลิศเลอกว่าของที่คุณเคยเจอในโรงประมูลว่านเป๋าแบบใกล้ชิดอย่างแน่นอน”
ซูจิ้งก็ยังพูดเกลี้ยกล่อมต่อไปเรื่อยๆ
ทั้งเฉินฮงและซงเหลาต้องหวั่นไหวอีกครั้ง แถมครั้งนี้ทำให้หวั่นไหวได้ไม่น้อยเลย เป็นเรื่องจริงที่พวกเขาเองก็เริ่มเบื่อกับของประมูลที่ถูกส่งไปประมูลที่ว่านเป๋าเพราะว่าของพวกนั้นก็เป็นของทั่วๆไป เดิมๆ ซ้ำๆ มันก็มีบ้างที่ทำให้พวกเขาเห็นต้องถึงกับมือสั่น แต่พอเห็นซ้ำๆก็ทำให้รู้สึกเฉยชาได้เหมือนกัน
แต่ในเดือนที่ผ่านมานั้นพวกเขาได้เห็นของประมูลที่ถูกส่งมาโดยซูจิ้ง ทุกๆชิ้นนั้นที่ได้ว่ามีความพิเศษอยู่ในตัว สำหรับนักประเมินมืออาชีพแบบพวกเขาแล้วการที่ได้เห็นของพิเศษจำนวนมากพร้อมๆกันนั้น ช่างเขย่าหัวใจให้สั่นไหวอย่างแรงกล้าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่สนใจแม้แต่น้อย
เฉินฮงและซงเหลาเงียบไปซักพักนึง พวกเขาเองก็เกือบจะยอมรับข้อเสนอของซูจิ้งแล้วเหมือนกันแต่พวกเขาก็ยังมีติดอยู่อีกเรื่องเดียวเท่านั้นที่พวกเขายังกังวลมากที่สุด
พวกเขาต้องการยืนยันให้ชัดเจนก่อนที่จะตัดสินใจลงไป
“คุณซูมีสมบัติจำนวนมากพอที่จะเปิดโรงประมูลได้จริงๆ ใช่ไหมครับ คุณการน่าจะรู้ว่าการหาของมารองรับโรงประมูลไม่ใช่แค่ความหายากเท่านั้น
แต่เรื่องจำนวนและประเภทของของประมูลเองก็เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการดึงดูดผู้ซื้อมาเช่นเดียวกัน”
“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ก็วางใจผมได้อีกเช่นเดียวกัน แค่พวกคุณมาอยู่ที่นี่ก็สามารถช่วยผมได้เลยนะ
เราไปลองดูของพวกนี้ก่อนสิว่ามันมีคุณสมบัติพอที่จำนำประมูลได้รึเปล่า
ถ้าของพวกนี้ยังใช้ไม่ได้หล่ะก็ผมยอมล้มเลิกความคิดก็ได้นะ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างทีเล่นทีจริง
“โอ้ ถ้างั้นนำออกมาเลยครับ พวกผมก็อยากเห็นเป็นบุญตาซักครั้ง” เฉินฮงและซงเหลาตาเป็นประกายด้วยกันทั้งคู่
“มันค่อนข้างจะขนลำบากซักหน่อยน่ะ เอาเป็นว่าเราเดินขึ้นไปดูที่ชั้นสี่กันดีกว่า” ซูจิ้งพูดเสร็จก็ได้เดินนำทั้งสองคนไปยังชั้นสี่ของบ้าน ในระหว่างทางเดินซูจิ้งก็ได้ชี้ชวนให้ทั้งสองลองดูที่แจกันแก้วขนาดใหญ่ใบหนึ่งพร้อมพูดว่า “เอาเป็นเริ่มจากเจ้านั่นก็แล้วกัน”
เฉินฮงและซงเหลาหันไปมองแจกันตามทิศทางที่ซูจิ้งชี้ ทันทีที่พวกเขาเห็นก็ยืนอึ้งไปในทันที
พวกเขาเห็นแจกันใส่น้ำขนาดใหญ่วางอยู่ แต่สิ่งที่พวกเขาจ้องนั้นไม่ใช่แจกันแก้วใบนั้นแต่เป็นหิน
หินขนาดใหญ่รูปทรงประหลาด สีน้ำตาล และส่องประกายระยิบระยับกองอยู่ก้นแจกัน
ทั้งสองคนหลังจากอึ้งไปซักพักก็หลุดปากพึมพัมออกมาพร้อมกันว่าหินนั่น
พวกเขาค่อยๆเดินเข้าไปแล้วใช้มือค่อยๆล้วงหินนั่นออกมาโดยไม่สนใจว่ามือหรือแขนของเขาจะเปียกน้ำเลยซักนิด พวกเขาต่างจ้องอย่างเขม็งพลางคิดว่า
“เป็นไปได้ยังไงกัน”
ตอนที่ 696
ทันทีที่รู้
“มันไม่ก้อนใหญ่ไปหน่อยหรอ เป็นไปได้ยังไง” ตอนนี้เฉินฮงและซงเหลานั้นทั้งสองคนต่างทำท่าทางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ ซูจิ้งมองพร้อมยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร ตอนนี้ทั้งสองคนได้นำแว่นขยายและอุปกรณ์ต่างๆ ออกมาเก็บข้อมูลประกอบการประเมินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาทำการประเมินด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
“พระเจ้า มันช่างเก่าจริงๆ”
“ใช่แถมก้อนใหญ่มากๆ บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วแน่ๆ”
ทั้งสองคนต่างก็รู้จักสิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นอย่างดี ในวงการยาจีนนั้นเรียกพวกมันว่า ไท่ซุ่ย หรืออีกชื่อหนึ่งที่รู้จักกันดีคือเห็ดหลินจือเนื้อมัน
ในตำราสมุนไพรจีนของหลี่ซือเซิน(ปรมาจารย์หมอยาจีน) ได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเนื้อมันนี้จัดให้อยู่ได้ทั้งในหมวดของอาหารและยารักษาเพราะว่ามีคุณสมบัติทั้งสองอย่าง และในตำราดังกล่าวยังยกให้เป็นของชั้นยอดด้วยการที่มันนั้นมีคุณสมบัติ “เป็นเสบียงอาหารได้” “น้ำหนักเบา” “สดใหม่เสมอ” และ“ไม่มีวันเน่าเสีย(อมตะ)”
ในตำราสมุนไพรของเชิงหนงเองก็บันทึกไว้ว่า “เห็ดหลินจือเนื้อมันไม่เป็นพิษ เป็นยาชูกำลัง มีประโยชน์ต่อร่างกายและกำลังภายใน เพิ่มสติปัญญา แก้อาการแน่นหน้าอก และผิวของมันนั้นจะไม่วันเหี่ยวหรือเก่าแม้แต่น้อย”
นอกจากนี้ยังมีบันทึกในหนังสือโบราณบางเล่มบอกว่าไท่ซุ่ย(เห็ดหลินจือเนื้อมัน) โดยปกติจะมีรสขม ไม่มีพิษ มีคุณค่าทางอาหารสูง มีผลในการบำรุงม้าม ปอด ไต และตับ
สำหรับในทางวิทยาศาสตร์แล้วได้ศึกษาแล้วพบว่าไท่ซุ่ยนี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการอยู่ระหว่างโปรตัวซัวและฟังไจ(เห็ดรา)
โครงสร้างของมันไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวแต่เป็นส่วนผสมระหว่างแบคทีเรีย สไลม์แบคที่เรีย และฟังไจ ถือว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระหว่างการวิวัฒนาการ
ซึ่งตำแหน่งของมันในตารางการจำแนกสิ่งมีชีวิตควรจะจัดให้มันอยู่ระหว่าง แบคทีเรีย พืช(จำพวกสาหร่าย) โปรโตซัว และสัตว์ และลักษณะทางกายภาพของมันแสดงออกมาว่าอยู่กึ่งกลางระหว่างพืชและสัตว์ มันเหมือนกับว่าในระหว่างที่การวิวัฒน์นั้นอยู่ๆก็มีบางสิ่งขาดหายไปทำให้ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้
ในทางชีววิทยาเรียกปรากฎการนี้ว่า วิวัฒนาการถึงทางตัน กล่าวคือมันเป็นสิ่งมีชีวิตเก่าแก่ที่ไม่สามารถเลือกทางวิวัฒน์ของตัวเองได้ว่าจะไปทางไหนระหว่างพืช สัตว์ หรือเห็ดรา ถือได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่มาก่อนประวัติศาตร์ของสิ่งมีชีวิตปัจจุบันที่เรารู้จักมากนัก
ไท่ซุ่ยนั้นถือได้ว่าเป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ว่าได้นั่นทำให้ราคาของมันในท้องตลาดพุ่งสูงด้วยเหตุผลหลายประการ
อย่างแรกไท่ซุ่ยนั้นหายากมาก มันถูกกล่าวถึงในหนังสือโบราณมาหลายเล่มก็จริง นักชีววิทยาบางคนถึงขนาดเรียกพวกมันว่าฟอสซิลที่ยังมีชีวิตอยู่ ถึงแม้จะยังพอหาเจอแต่ก็ยากมากๆ นั่นก็เพราะพวกมันส่วนใหญ่ที่ได้รับการบันทึกว่ามีการพบเจอนั้นขนาดเล็ก
อย่างที่สองพวกมันสามารถเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดและสามารถอยู่ได้แทบจะทุกสภาพแวดล้อมก็ตาม
ต่อให้ตัดมันเป็นท่อนๆ นับร้อยนับหมื่นชิ้น แต่ละส่วนของมันก็ยังคงเติบโตได้เรื่อย
ต่อให้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติที่แข็งจนเป็นน้ำแข็ง ถึงขนาดมีคนนำไปไว้ในห้องเย็นติดลบ 18 องศาเซลเซียสนาน 50 ชั่วโมงมันก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
ต่อให้นำไปพื้นที่แห้งทุรกันดารเพียงใดมันก็ยังคงอยู่ ไม่แห้ง ไม่เหี่ยว ไม่เฉา ถึงมันจะอึดซักขนาดไหนแต่พวกมันเองโตได้ช้ามากๆ ทำให้พวกมันมีราคาที่สูง แต่เมื่อเทียบกับคุณสมบัติของมันแล้วก็แสนจะถูกมากมายนัก
อย่างที่สามด้วยการที่ตำราโบราณทั้งหลายต่างให้ความเห็นไปในทางเดียวกันว่ามันคือสุดยอดอาหารที่กินแล้วดีต่อร่างกายในทุกประการทำให้มันเป็นที่ต้องการในท้องตลาดอย่างมาก
ถึงแม้ว่าชื่อของไท่ซุ่ยจะปรากฏอยู่ในตำราโบราณมากมายแต่ก็ยังเป็นถกเถียงกันถึงคุณประโยชน์ที่ได้รับจากการบริโภคมันเข้าไป
โดยเฉพาะในยุคที่เชื่อถือในวิทยาศาสตร์เช่นปัจจุบันได้มีการศึกษาค้นคว้าและได้ให้ความเห็นไว้ว่า ด้วยการที่เห็ดหลินจือเนื้อมันนี้เป็นสิ่งมีชีวิตก่อนประวัติศาสตร์ มันมีโครงสร้างที่ซับซ้อนหากกินเข้าไปอาจมีผลต่อชีวิต
อีกทั้งด้วยการที่มันมีอายุนานมากอาจจะสะสมสารพิษไว้ในร่างกายของพวกมันหากกินเข้าไปเกิดโรคต่างๆมากมายได้
ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้นแต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อคำเตือนเหล่านั้น
คนส่วนใหญ่ยังเชื่อถือความวิเศษของมันอยู่ดีและยอมรับมันในฐานะสมบัติชิ้นหนึ่งเลย
คนรวยบางคนนั้นปรารถนาที่จะได้มันมาครอบครองไม่ว่าใครจะว่ายังไงก็ตาม
พวกเขายอมทุ่มเงินเพื่อให้ได้มันมา มีบางคนที่เคยขุดไท่ซุ่ยมาขายจนได้เงินไปตั้งแต่หลักล้านจนถึงสิบล้านเลยทีเดียว
ถึงเฉินฮงและซงเหลาจะเคยเห็นไท่ซุยมาบางแล้วแต่พวกเขานั้นไม่เคยเห็นชิ้นที่ใหญ่ขนาดนี้มาก่อน โดยทั่วไปแล้วแค่ขุดไท่ซุ่ยออกมาได้เพียงน้ำหนัก1ใน10ชั่งก็สามารถทำให้คนๆนั้นรวยได้แล้ว
มันเป็นที่ต้องการถึงขนาดที่ต้องชั่งด้วยตาชั่งขนาดมิลลิกรัมเลยด้วยซ้ำ
แต่เจ้าชิ้นนี้มีขนาดอยู่ที่หนึ่งเมตรครึ่ง น้ำหนักประมาณร้อยชั่ง ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“คุณซู คุณคิดว่าจะนำของโบราณชิ้นนี้ประมูลที่โรงประมูลของคุณจริงๆหรอ” เฉินฮงถามเพื่อความมั่นใจ
“ใช่แล้ว คุณคิดว่าจะทำให้ทุกคนตะลึงกันได้รึเปล่า”
“แน่นอนสิ แน่นอนอย่างที่สุด ไม่เพียงแค่จะทำให้คนตะลึงได้แล้ว ถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อในตำราโบราณพวกนั้นบอกได้เลยว่าไม่มีทางยอมนิ่งเฉยแน่นอน ว่าแต่คุณอยากจะขายมันจริงๆน่ะหรอ” เฉินฮงถามอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น
เขาสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าเจ้าไท่ซุ่ยยักษ์ก้อนนี้หากปล่อยข่าวเกี่ยวกับมันออกไป สามารถทำให้คนที่รู้ข่าวนี้พุ่งมาที่นี่อย่างรวดเร็ว นั่นก็เพราะว่าไม่มีไท่สุ่ยที่ไหนที่จะเทียบเคียงก้อนนี้ได้
“ทำไมหล่ะเจ้านี่ก็แค่ก้อนเห็ดยักษ์เองนี่นา” ซูจิ้งยิ้มออกมาอย่างไม่แยแส
เจ้าไท่ซุ่ยนี้เขาเพิ่งจะเจอมันเมื่อไม่กี่วันก่อน เขานั้นขุดออกมาจากกองขยะห้วยเวลาฯเรี่องจูเซียน
นอกจากก้อนนี้แล้ว เขาก็ยังขุดก้อนอื่นออกมาด้วยจำนวนหนึ่ง เจ้านี่เองก็แค่ก้อนขนาดกลางๆเท่านั้นเอง
ตอนแรกที่เห็นเขาก็ตกใจเหมือนกัน เขาคิดว่าในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้นคงมีพลังวิญญาณอย่างหนาแน่นแน่นอนไม่งั้นก็คงจะไม่ทำให้ไท่สุ่ยก้อนใหญ่ได้ถึงขนาดนี้
ความจริงเข้าได้ทดลองมันแล้วและก็พบว่ามันมีผลดีต่อร่างกายจริงๆ แต่ผลของมันก็มีขีดจำกัดเช่นกัน
มันไม่ได้ดีเท่ากับที่ตำนานได้เคยกล่าวไว้เลย มันยังสู้ปลาเขี้ยวหยก เนื้อสัตว์วิเศษ ลูกพีช ฯลฯ ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯอื่นๆได้เลย
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไท่ซุ่ยนั้นมันมีผลแค่นี้อยู่แล้วหรือไท่ซุ่ยใจห้วงเวลาฯจูเซียนจะไม่เหมือนกับของบนโลกมนุษย์ก็ไม่สามารถบอกได้เหมือนกัน
ที่สำคัญคือไท่ซุ่ยนั้นมันดูน่าขยะแขยงและรสชาติถึงจะไม่ได้แย่มากนักแต่ก็ไม่สามารถบอกว่าดีได้เหมือนกัน
ซูจิ้งเลยคิดว่าขายๆทิ้งไปซะจะดีกว่า คนรวยบางคนก็แสวงหามันเป็นบ้าเป็นหลังอยู่แล้วด้วย
“ห้ะ แค่ก้อนเห็ดอ่ะนะ บอกได้เลยว่าเจ้านี่เก่าแก่มากจนพอจะให้คนที่เชื่อถือมันแค่ได้ยินเรื่องราวจะคลั่งจนบ้าตายได้ทันทีเลยนะ” ซงเหลาเองก็ได้แต่คิดไว้ในหัว
เขาทำได้แค่ส่ายหัวและถอนหายใจ เขาเองก็คาดการณ์ไว้เหมือนกันว่าจะมีคนเท่าไหร่ที่จะบ้าคลั่งเมื่อได้ยินข่าวเกี่ยวกับไท่ซุ่ยยักษ์ก้อนนี้
เขายังรู้จักบางคนที่ถวิลหาไท่ซุ่ยชั้นเลิศโดยทุ่มเงินอย่างบ้าคลั่งแต่แทบจะไม่เคยได้ไท่สุ่ยคุณภาพดีเลย .
ถ้าเทียบของพวกนั้นกับก่อนนี้บอกได้เลยว่าผู้คนจดจำชื่อโรงประมูลของซูจิ้งได้ในทันที
“คุณซู ขอถามอีกคำถามแล้วกันว่าคุณไปขุดเอาจะผู้อาวุโสก้อนนี้มาจากไหนกัน
ตอนที่คุณขุดมาคุณตรวจดูรอบๆดีแล้วใช่รึเปล่าเพื่อจะมีหลงเหลืออยู่อีก”
เฉินฮงอดไม่ได้ที่จะถามออกมาพร้อมกับความอิจฉาแลชิงชังในเพราะเจ้าที่หาแต่ของดีๆให้ซูจิ้งหลายครั้งหลายหน
“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ผมขอไม่ตอบก็แล้วกันนะ” ซูจิ้งนั้นไม่มีทางบอกความจริงออกไปอยู่แล้วว่าขุดมาจากกองขยะ
ถ้าบอกไปนี่คงต้องคุยกันยาวแน่ๆ เขาขี้เกียจอธิบายเรื่องพวกนี้อีกแล้ว ตอนนั้นเขาจึงตัดบทไปว่า
“พวกคุณอย่ามัวแต่สนใจเจ้าผู้อาวุโส(ไท่ซุ่ย)นั่นอยู่เลยน่า ผมมีสมบัติอีกสองชิ้นที่จะให้คุณช่วยดูนะ”
ตอนที่ 697
งานแกะสลักหิน
หลังจากได้ยินซูจิ้งพูดว่ามีสมบัติให้ดูอีกสองชิ้น เฉินฮงและซงเหลารีบผละออกจากไท่ซุ่ยทันที แล้วรีบตามซูจิ้งไปยังห้องๆหนึ่ง ซูจิ้งนำพวกเขาไปที่โต๊ะแล้วเขานั้นได้เปิดกล่องบนโต๊ะออกเผยให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ข้างใน
เฉินฮงและซงเหลามองหน้ากันทันทีเมื่อเห็นของข้างในกล่อง พลางสะบัดหน้าและขยี้ตาพร้อมๆ กัน แล้วซงเหลาก็พูดขึ้นมาว่า “ตาฉันฟาดไปใช่ไหม”
เฉินฮงตอบมาในทันทีในขณะหายใจถี่รัวด้วยความตื่นเต้นว่า “ถ้าฉันไม่ได้ตาฟาดไปพร้อมนายล่ะก็คิดว่าไม่ใช่นะ”
ไม่ทันรู้ตัวทั้งสองไปโผล่อยู่ข้างๆกล่องนั่นเรียบร้อบร้อย ของในกล่องเป็นของที่เดิมทีเหมือนจะเป็นชิ้นเดียวกันแต่แตกออกแบบผ่าครึ่งได้แทบจะกึ่งกลางพอดี
ทั้งสองได้ยกพวกมันขึ้นมาดูคนละครึ่ง รูปร่างแต่เดิมของมันดูเหมือนจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสมีท่อนบนเป็นสีขาวและท่อนล่างเป็นสีเหลือง
โดยตรงกลางมีร่องรายการประสานกันที่ดูเป็นธรรมชาติ เนื้อในมีความโปร่งใสเต็มไปด้วยประกายแวววาวอบอุ่นราวกับหยกก็ไม่ปาน
ทั่วทั้งชิ้นดูใสราวกับน้ำแข็งและคริสตัล แต่กลับสลักไว้ด้วยรวดลายที่ให้ความรู้สึกมีพลังและอบอุ่น
ชิ้นที่เฉินฮงถืออยู่นั้นถูกแกะสลักเอาไว้เป็นลวดลายมังกรที่ดูราวกับมีชีวิตพร้อมทั้งส่วนหัวของนกไฟ
อีกครึ่งหนึ่งที่อยู่ในมือซงเหลาถูกแกะสลักเป็นเป็นส่วนที่เหลือของนกไฟ
ถึงแม้มันจะดูมีชีวิตเช่นเดียวกันแต่มันก็ไม่สมบูรณ์เพราะขาดหัวไป
ซงเหลาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือออกมาว่า “พระเจ้านี่มันงานแกะสลักหินเหลืองจริงๆด้วย ฉันคิดว่าส่วนที่อยู่บนมือนี่น่าจะหนักสองชั่งได้”
เฉินฮงพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นว่า “ส่วนที่อยู่ในมือของฉันเองก็น่าจะประมาณสองชั่งเหมือนกัน แถมลวดลายช่างวิจิตรจริงๆ”
นั่นหมายความว่างานแกะสลักหินเหลืองที่อยู่ในมือพวกเขามีน้ำหนักถึงสี่ชั่งหรืออาจจะมากกว่านั้นด้วยซ้ำ ทำให้ทั้งสองคนรู้สึกไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
หินเทียนฮวงโดยส่วนใหญ่เป็นหินก้อนเล็กๆ ถิ่นที่พบมีเฉพาะบริเวณหน้าข้าวรอบแม่น้ำโชวชัน เมืองฟูโจว ที่มันได้ชื่อนี้มาเพราะสีของมันที่เป็นสีเหลือง
งานแกะสลักหินเหลืองนี้ถือได้ว่าเป็นของขึ้นชื่อของพื้นที่โชวชันโดยรู้จักกันในนาม “ราชันหมื่นหิน”
ด้วยสัมผัสของหินให้ความรู้สึกดีและสีที่ทำให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นด้วยความรัก
ในสมัยราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ถังได้ได้ยกให้หินนี้เป็น “ราชันแห่งหิน” เป็นเวลานับร้อยปี หินเทียนฮวงนี้ได้รับความนิยมสำหรับนักสะสมอย่างมาก จนทำให้เกิดคำพูดที่ว่า “ทองน่ะหาง่าย แต่หินเทียนฮวงสิหายาก”
ด้วยความนิยมนี้ทำให้เกิดการค้นหาหินเทียนฮวงอย่างจริงจัง จนทำให้ราคาของมันพุ่งขึ้นสูง
โดยเฉพาะกับหินเทียนฮวงที่ได้รับการแกะสลักแล้ว(เทียนฮวงชิ,งานแกะสลักหินเหลือง)
วิธีการขายถ้าพวกมันเป็นหินที่มีคุณภาพสูงจะใช้วิธีการชั่งน้ำหนักเช่นเดียวกับหินโทแพซ
และยิ่งนำหินมาแกะสลักด้วยแล้วราคาก็จะยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก
ในปี 2012 ราคาของงานแกะสลักหินเหลืองยิ่งทะยานสูงมากขึ้น ราคาต่อ 1 กรัมอยู่ที่ 8 พันถึง 1 หมื่นหยวน สำหรับราคาทั่วไป และ ราคา 2 หมื่นหยวนต่อ 1 กรัมสำหรับงานที่ทำมาจากหินคุณภาพสูง
ส่วนตอนนี้นั้นราคาสำหรับงานแกะสลักหินเหลืองนี้พุ่งเกิน 5 หมื่นหยวนต่อ 1 กรัมไปเรียบร้อยแล้วและราคาอาจสูงกว่านี้ถ้าเป็นงานแกะสลักหินเหลืองขนาดใหญ่ ซึ่งตอนนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว
เคยมีคนนำงานแกะสลักหินเหลืองไปประมูลที่โรงประมูลในเมืองฝอซานโดยมีน้ำหนักเพียง 432 กรัม แต่ถูกประมูลไปในราคากว่า 4 ล้านหยวน
อีกครั้งในเทศกาลงานประมูลในฤดูใบไม้ผลิที่เมืองเบ่ยจิง งานแกะสลักหินเหลืองที่ถูกแกะโดย วูจางชัว ถูกประมูลไปที่ 13.8 ล้านหยวน และยังเคยมีชิ้นอื่นที่มีน้ำหนัก 1,725 กรัม ถูกประมูลไปในราคา 392 ล้านหยวน
ทั้ง 3 ชิ้นมีปัจจัยที่ทำให้ราคาต่างกันอย่างเด่นชัดคือ คุณภาพหิน ลวดลาย และช่างแกะสลัก
ไม่ต้องพูดถึงงานแกะสลักหินเหลืองที่อยู่ตรงหน้าของทั้งสองคนในตอนนี้แค่คุณภาพก็ไม่มีชิ้นไหนสู้ได้แล้ว
เรื่องขนาดทั้งซงเหลาและเฉินฮงไม่เคยเห็นงานแกะสลักหินเหลืองที่ขนาดใหญ่และหนักเท่านี้มาก่อน ขนาดของมันยังใหญ่กว่าชิ้นที่ขายไปได้ 392 ล้านหยวนอยู่มากโข
ถึงแม้ว่ามันจะแตกออกจากกันแต่น้ำหนักต่ออันก็ยังมากกว่า 1000 กรัมแน่ๆ ถือได้ว่าหาได้ยากมาก
ลวดลายการแกะสลักยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะมีความวิจิตรประดุจดั่งใส่มังกรและนกไฟที่มีชีวิตที่พร้อมจะโผบินได้ทุกเวลาไปไว้ในหินก้อนนี้ก็ไม่ปาน
พวกเขาไม่เคยเห็นฝึมือการแกะสลักแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต
เฉินฮงรู้สึกเศร้าเสียดายจุกอกจนต้องพูดออกมาว่า “พระเจ้า ใครกันที่กล้าทำลายผลงานปะติมากรรมชั้นเลิศได้อย่างนี้ ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว”
“ช่างมันเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว ถึงมันจะหักแต่มันก็ยังได้ราคาสูงอยู่ดี
อย่างชิ้นที่นายถืออยู่ถ้านำไปตัดออกซะหน่อยก็เป็นมังกรสมบูรณ์ได้เลยนะ เอาไปบอกว่าเป็นงานชิ้นสมบูรณ์ก็ยังมีคนเชื่อ เอาจริงต่อให้ใช้กาวต่อมันเข้าด้วยกันฉันก็เชื่อว่าไม่มีปัญหาแน่นอน ไม่สิต้องบอกว่ายิ่งทำให้สมบูรณ์ดูดีกว่าเดิมขึ้นด้วยซ้ำ
ว่าแต่คูณซูคุณไปได้งานแกะหินเหลืองนี่มาจากไหนครับ แล้วมันแตกได้ยังไงกัน”
“ถ้าให้พูดตรงๆผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าคนขายบังเอิญทำแตก หรือไม่ก็เขาไม่อยากจะขายก็ได้”
เฉินฮงพูดต่อว่า “ต่อให้เจ้านี่แตกก็ไม่เป็นไรเพราะยังไงก็ยังมีราคา แถมราคายังดีซะด้วย
ว่าแต่คุณซูคุณคิดจะขายในโรงประมูลจริงๆอย่างนั้นหรอครับ
เจ้างานแกะสลักหินเหลืองสองชิ้นนี่ดึงดูดความสนใจได้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน
ว่าแต่ขอถามอีกครั้งนะว่าคุณอยากจะขายมันจริงๆ งั้นหรอ เจ้าสมบัติที่แทบจะซื้อด้วยเงินไม่ได้นี้น่ะ”
ซูจิ้งยิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมจะไม่ล่ะ”
ถ้าให้พูดตรงๆซูจิ้งเองก็ค่อนข้างจะเสียดายงานแกะสลักนี้อยู่หน่อยๆ เหมือนกัน
แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรถ้าเทียบกับการที่เข้าต้องหาเงินในการนำมาสร้างปฏิสสาร ยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ และเหนือสิ่งอื่นใดคือการอำพราง
ตราบใดที่เขายังสามารถปกป้องและคอยดูแลเจ้าสถานีฯนี้ต่อไปได้ สมบัติที่เขาจะได้มาก็จะหลั่งไหลเข้ามาหาเขาไม่ขาดสายอย่างแน่นอน
แต่ถ้าเขาดูแลได้ไม่ดีหรือปกป้องไว้ไม่ได้ ทุกสิ่งที่เขามีอยู่ตอนนี้จะหายวับไปในพริบตา
เอาจริงเจ้างานแกะสลักหินเหลืองสองชิ้นนี้เขาเองก็เพิ่งได้มาจากขยะห้วงเวลฯเรื่องจูเซียนเมื่อวานนี้
เท่าที่เขาดูน่าจะมาจากสำนักเมฆาเขียวอีกเช่นกัน เพราะสำหรับบนโลกมนุษย์และงานแกะหินเหลืองนี้เป็นที่นิยม แต่กลับในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้นไม่ต่างอะไรกับเครื่องประดับตกแต่งบ้านเรือนทั่วไป
แค่มีเงินนิดหน่อยก็หาซื้อได้แล้ว สำหรับในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้น ผู้คนทั่วไปก็อาจจะเห็นว่าเงินมีคุณค่าอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับผู้ฝึกตนของสำนักสิ่งที่มีค่าที่สุดก็คืออาวุธวิเศษ(อาวุธเวทย์มนต์)เพียงอย่างเดียวเท่านั้นโดยไม่สนแม้กระทั่งเงินทองเสียด้วยซ้ำ
อาจเป็นไปได้ว่ามีผู้ฝึกตนบางคนนึกสนุกหยิบหินเหลืองมาแกะสลักเล่นแล้วทำแตกเลยโยนทิ้งมาก็ได้”
“นี่คุณรู้คุณค่าของเจ้าสิ่งนี้รึเปล่าเนี่ย” หลังจากได้ยินที่ซูจิ้งตอบมานั้นทำให้เฉินฮงแทบอยากจะเข้าไปบีบคอตะโกนใส่หน้าซูจิ้ง
เจ้าหมอนี่มีสมบัติในมือมากมายแต่ไม่ได้มีความใส่ใจเลยซักนิด ถึงขนาดที่ค่าของมันยังเอาเงินมาแลกไม่ได้ด้วยซ้ำ
นี่เขาไม่รู้ๆจริงหรอเนี่ยว่าพวกมันทำอะไรได้บ้าง ถ้าคนทั่วไปก็คงจะเก็บมันไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ถ้าไม่ได้ขัดสนหรือหมดหนทางจริงๆ จะไม่มีทางเอามาขายแน่นอน
“คุณซู พูดตรงๆนะสมบัติแบบนี้คุณควรจะเก็บซ่อนมันไว้มากกว่า
อย่างรูปแกะสลักที่ไม่สามารถเอาเงินมาแลกได้แบบนี้” ซงเหลาเองก็เห็นด้วยเหมือนกัน
ถ้าเขามีของพวกนี้อยู่กับตัวเขาจะไม่ยอมขายมันต่อให้โดนฆ่าตายก็ยอม
มันทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทันทีที่ซูจิ้งบอกขายพวกมัน ถ้าเขามีเงินมากพอเขายอมทุ่มหมดตัวที่จะได้มันมาครองเลยทีเดียว
แต่ด้วยคุณลักษณะของมันแล้วต่อให้เขาใช้เงินหมดทั้งชีวิตก็ไม่มีทางซื้อมันมาไว้ครอบครองได้แน่นอน
“พวกคุณอย่ามาพยายามเปลี่ยนใจผมเลยน่า ผมตั้งใจไว้อย่างนั้นแล้ว
ว่าแต่ดูจากสภาพและน้ำเสียงเหมือนพวกคุณเองก็อยากได้เจ้านี่ไปครอบครองเหมือนกันนะเนี่ย
สนใจรับข้อเสนอของผมหรือยังหล่ะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมานั่นทำให้เฉินฮงและซงเหลาอยากจะบีบคอซูจิ้งซะตรงนั้นเลยทีเดียวแต่ก็ทำอะไรไม่ได้
นี่เขาไม่รู้วิธีที่จะจัดการสมบัติหรือไงนะ หรือว่าเขาแค่เห็นเงินอยู่ในสายตาเท่านั้น
ถ้าของนี่หลุดไปวางในโรงประมูลจริงๆล่ะก็ มันไม่แค่จะทำให้ทุกคนสนใจและจะทำให้วงการนักสะสมแตกตื่นทั้งวงการเลยด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ ต่อไปก็ชิ้นสุดท้าย พวกคุณเองก็มาดูมันก่อนดีกว่า ปล่อยเจ้าสองชิ้นนั้นไว้อย่างนั้นแหล่ะ
ผมเองก็ไม่แน่ใจเจ้าของชิ้นสุดท้ายนี่เหมือนกันว่าจะทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง”
ซูจิ้งพูดพร้อมเอื้อมไปเพื่อนจะเปิดกล่องที่วางอยู่ข้างๆ
“เดี๋ยวๆๆๆ ขอพวกเราหยุดพักหายใจก่อนเถอะนะ” เฉินฮงและซงเหลารีบนำมือไปตบบนกล่องพร้อมนำมืออีกข้างนึงมาทาบอกก่อนสูดลมหายใจยาวๆพักนึง
แค่สมบัติสองชิ้นแรกก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงและตกใจสุดๆแล้ว ต่อให้เป็นผีก็ยังรู้เลยว่าชิ้นที่เหลือย่อมไม่ธรรมดา ดีไม่ดีจะยิ่งกว่าด้วย
สิ่งที่พวกเขากังวลไม่ใช่การที่จะไม่ได้เห็นของดีแต่เป็นที่กลัวว่าโรคหัวใจจะกำเริบมากกว่า
ตอนที่ 698
นักประเมินผู้บ้าคลั่ง
เมื่อซูจิ้งเห็นทั้งเฉินฮงและซงหลงกำลังยืดเส้นยืดสายหายใจเข้าออกเพื่อเตรียมตัวเตรียมใจ เขานั้นก็ทำได้แค่มองตาปริบๆ ซักพักพอทั้งสองคิดว่าพร้อมที่จะเผชิญหน้าสิ่งที่เหลือแล้ว หนึ่งในนั้นทำท่าช่างใจอีกสักนิดก่อนที่จะบอกออกมาว่า “โอเค พวกผมพร้อมแล้วเปิดได้เลย” ถึงแม้จะพูดอย่างนั้นแต่ท่าทางของพวกเขาไม่ได้ดูดีขึ้นเลยซักเท่าไหร่ พวกเขาเองก็ย้อนไปคำพูดซูจิ้งก่อนหน้านี้ว่าเป็นไปได้ที่ของข้างในนี้ซูจิ้งเองก็อาจไม่รู้ว่ามันจะสุดยอดอีกรึเปล่าแสดงว่าอาจไม่ใช่ของดีนัก ถึงแม้จะไม่ใช่ของดีแต่ด้วยของสองอย่างก่อนหน้านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้คนในวงการนักสะสมวัตถุโบราณต้องดิ้นพร่านแล้ว คงไม่มีอะไรสุดยอดไปกว่านี้แล้วหล่ะ
ซูจิ้งค่อยๆเปิดกล่องออกอย่างช้าๆ ทั้งสองคนจึงเพ่งมองเข้าไปในกล่องอย่างตั้งใจ แต่ทันทีที่เห็นมันเผยโฉมออกมาแต่หน้าพวกเขาทีละน้อย หน้าพวกเขาเองก็ค่อยเปลี่ยนสีหน้าเช่นกัน ค่อยแสดงความตะลึงออกมาทีละน้อยจนนิ่งค้างไป ถึงตอนแวบแรกที่พวกเชาเห็นมันจะดูเหมือนหินทรงวงรีทั่วไป สีของมันมีทั้งโทนขาวไปยังเทา มีรอยแตกอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ดูวิเศษวิโสอะไร แต่ไม่นานนักผู้เฒ่านักประเมินทั้งสองดูแปลกๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ซูจิ้งก็ยังนึกตกใจว่านี่สายตาของเขาพลาดไปแล้วใช่รึเปล่า ตอนแรกเขาเองนึกว่าสิ่งนี้จะสุดยอดกว่าไท่ซุ่ยและงานแกะสลักหินเหลือง แต่ดูจากท่าทางของทั้งสองคนแล้วสงสัยเขาจะพลาดไปจริงๆ
ผู้อาวุโสนักประเมินทั้งสองค่อยเข้าไปจับหินก้อนนั้นอย่างตั้งใจเป็นพิเศษ มันให้ความรู้สึกเหมือนคนพวกนี้กำลังตั้งท่าเตรียมพร้อมโดนถ่ายรูปเพื่อให้ได้ภาพถ่ายที่ดูดีที่สุด เพียงแต่ตอนนี้ไม่มีกล้องถ่ายรูปมาตั้งแต่ภาพที่ซูจิ้งเห็นให้ความรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ พวกเขาเหมือนจะพยายามคิดอะไรบางอย่างอยู่ในหัว บางช่วงหันมาสบตากันแล้วก็เปลี่ยนมุมหินไปทีละเล็กทีละน้อยโดยไม่พูดอะไรกันเลย ทันใดนั้นทั้งคู่ก็แสดงให้เห็นท่าทางบางอย่างเหมือนตัดสินใจอะไรได้บางอย่าง พร้อมทั้งทำตาเบิกโพลงขึ้นมา ตอนนี้เหมือนเขาจะหยุดหายใจไปแล้วด้วย ไม่นานนักปากของเฉินฮงก็ขยับพร้อมพูดพึมพำออกมาว่า “นี่ เจ้านี่ของเลียนแบบ ไม่สิไม่น่าใช่แต่ก็ไม่น่าเป็นของจริงได้”
“ต้องของปลอมแน่ๆ ไม่มีทางเป็นของจริงได้ไม่มีทาง ถึงจะทำมาได้ดูแนบเนียนมากแต่ก็เท่านั้น เกือบหลอกพวกเราได้แล้วจริงๆสินะ” ซงเหลาเอ่ยพึมพำออกมาเช่นกัน แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้เหมือนกับที่ปากพูดเลยซักนิด หน้าตาของเขาตอนนี้เชื่อไปแล้วเกินร้อยว่าเป็นของจริง
เฉินฮงเองก็มองไปที่ซงเหลาพร้อมพูดแบบไม่ค่อยอยากเชื่อคำพูดของตัวเองออกมาว่า “ใช่ๆ มันต้องเป็นของปลอมแน่ ฉันเองก็เกือบจะโดนหลอกด้วยเหมือนกัน”
แต่ซูจิ้งกลับยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วก็พูดออกมาทันทีว่า “จากเท่าที่มองพวกคุณนะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าควรจะเชื่อคำพูดหรือท่าทางของพวกคุณดี เอาเป็นอย่างนี้ดีกว่า ผมให้โอกาสคุณดูใกล้ๆดีๆอีกซักหน่อยแล้วลองบอกให้ได้เต็มทีว่ามันเป็นของจริงหรือของปลอม” ผู้อาวุโสนักประเมินทั้งสองมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย พวกเขาแทบจะไม่เชื่อที่จะได้ยินจากปากของซูจิ้งว่ายอมให้พวกเขาดู “หิน” ให้ดีๆอีกรอบ ตอนนี้พวกเขาได้ใช้อาวุธ(อุปกรณ์)ทุกอย่างที่มีที่เคยใช้มาตลอดทั้งชีวิตในการพิสูจน์เจ้าหินก้อนนี้ ยิ่งพวกเขาดูยิ่งหายใจแรงขึ้น ยิ่งเก็บอาการเอาไว้ไม่อยู่
สุดท้ายเฉินฮงเองก็ยังไม่ยอมเชื่อในสายตาตัวเองอยู่ดีพร้อมพูดออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ มันจะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
เฒ่าซงเองซึ่งตอนนี้หน้าตาของเขาเป็นสีแดงเพราะเลือดลมสูบฉีดด้วยความตื่นเต้นนั้นก็ได้ถามซูจิ้งออกมาตรงๆว่า “คุณซู คุณจะบอกผมว่าสิ่งนี้คือฟอสซิลกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งของจริงอย่างงั้นหรอ”
เจ้าหินก้อนนี้จริงๆแล้วคือฟอสซิลถ้ามองผ่านๆมันดูเหมือนทั้งกะโหลกมนุษย์แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว จะเป็นกะโหลกลิงก็ไม่เชิง เหมือนมันผสมปนๆกันระหว่างมนุษย์กับลิงมากกว่า
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปี ค.ศ. 1941 นักโบราณคดีได้ขุดค้นถ้ำๆ หนึ่งในโจวโค่วเตี้ยนซึ่งอยู่ภายใต้เขตการปกครองของปักกิ่ง นักโบราณคดีคนนั้นได้ค้นพบชิ้นส่วนกะโหลกของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งจำนวนกว่า 199 ชิ้นซึ่งมีอายุประมาณ 6 แสนปี(ขอแก้ให้ตรงตามเหตุการณ์จริงในวิกีพีเดีย) กะโหลกนั้นต่อมาถูกเรียกว่ามนุษย์ปักกิ่ง และเป็นที่รู้จักโดยทั่วไปในนาม “มนุษย์ลิงสายพันธุ์ปักกิ่ง” ซึ่งตอนนี้ได้ถูกเรียกบ่อยๆในชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “ปักกิ่งโฮโมอิเลกทัส” ซึ่งมีชีวิตอยู่ในยุคพาลีโอลีติก ซึ่งในปีที่ค้นพบนั้น จีนต้องยอมให้ทหารเรือสหรัฐบังคับยืมไปศึกษาต่อที่อเมริกาแต่ในระหว่างขนส่งได้เกิดอุบัติเหตุขึ้น เหล่าทหารอเมริกาที่รับหน้าที่ขนส่งได้ถูกทหารญี่ปุ่นจับตัวไป หลังจากนั้นไม่เคยมีใครเห็นมันอีกเลย
การค้นพบที่พักและฟอซซิลของมนุษย์ปักกิ่ง
มันคือเหตุการณ์การค้นพบทางโบราณคดีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในโลก เหนือสิ่งอื่นใดยังเป็นการค้นพบหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญบนโลกใบนี้นั่นก็คือ มนุษย์ปักกิ่งเป็นรอยแต่แห่งวิวัฒนาการที่ขาดหายไประหว่างลิงและมนุษย์ จากลักษณะทางบรรพชีวินวิทยาชี้ให้เห็นว่ามนุษย์ปักกิ่งนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นลิงและก็ไม่ได้เป็นมนุษย์ อยู่ระหว่างกลางของทั้งสองสายพันธุ์จนเป็นที่รู้จักกันในนาม “หลักฐานของห่วงโซ่ที่หายไปในวิวัฒนาการมนุษย์” ซึ่งก็คือมนุษย์ปักกิ่งตนนี้
อย่างไรก็ตามด้วยเหตุการณ์ที่ว่านี้ได้ทำให้กระโหลกมนุษย์ปักกิ่งที่ถูกขุดขี้นมาโดยเป่ยเหวินต้องสูญหายไปอย่างไร้ร่องรอย เป็นการสูญหายครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แม้แต่มีการทุ่มกำลังค้นหาจนถึงปลายทศวรรษที่ 50 ก็ยังไม่พบร่องรอย ถึงแม้ในปัจจุบันก็ยังมีการพยายามติดตามกลับคืนมาก็ตาม
ซึ่ง ณ ตอนนี้หนึ่งในห้าหัวกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งได้ปรากฎอยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงซูจิ้งจะยืนยันว่าเป็นของจริงแท้แน่นอนก็ตามจะให้ทั้งสองคนเชื่อได้ยังไง ของสิ่งนี้ถ้าเอาไปเทียบกับไท่ซุ่ยหรืองานแกะสลักหินเหลืองแล้วทั้งสองอย่างนั้นไร้ค่าไปโดยปริยาย
ซูจิ้งใช้นิ้วเกาจมูกตัวเองพร้อมพูดว่า “ผมพูดตรงๆเลยนะ ผมรู้แค่ว่ามันเป็นฟอสซิลของจริงเท่านั้นเองแต่มันเป็นกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งจริงๆรึเปล่านั้นผมก็ไม่แน่ใจ ผมถึงยอมเอามาให้พวกคุณดูนี่แหล่ะ” ซูจิ้งเล่าเรื่องจริงปนโกหกออกไป กระโหลกลิงนี่จริงๆแล้วเขาขุดออกมาจากขยะห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนอีกนั่นแหล่ะ ในเรื่องจูเซียนนั้นมันไม่ใช่กระโหลกของสัตว์ที่อยู่ระหว่างการวิวัฒน์ระหว่างลิงและมนุษย์แบบบนโลก แต่มันคือกระโหลกของมนุษย์ลิงจริงๆ(คล้ายๆพวกบิ๊กฟุตแต่เล็กกว่า ในเกมจูเซียนเรียกมนุษย์ถ้ำ)บนห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียน
สำหรับบนโลกแล้วกระโหลกนี้มีความสำคัญอย่างมากแต่ในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนนั้นไม่ได้มีค่าอะไรเลย
พวกมันคือหนึ่งในสัตว์ประหลาดในเทพนิยายหรือตำนานของจีนปรากฎออกมาแทบจะเป็นว่าเล่น
ในโลกที่มีแม้แต่สมบัติวิเศษ หรือมีกระทั่งเทพและมารที่เข่นฆ่ากันได้ทุกวี่วัน คนบนโลกนั้นใครจะมาคอยนั่งสนใจเรื่องพวกนี้ แค่เอาตัวรอดในแต่ละวันได้ก็ดีแล้ว
ที่มันมาโผล่ในขยะห้วงเวลาฯได้ก็อาจจะเป็นมีใครบางคนไปเจอแล้วรู้สึกว่ามันเก๋ดีเลยเอามาประดับบ้าน พอเบื่อก็คงโยนทิ้งออกมา
ตอนแรกซูจิ้งก็ไม่เชื่อสายตาตัวเองเหมือนกัน เขาถึงกับต้องขูดผิวให้เป็นผงแล้วนำไปให้โจวซีเชียนและเย่โปไปตรวจ ซึ่งผลออกมากลายเป็นว่ามันเป็นฟอสซิลอายุกว่า 6 แสนปี ยังดีที่เขาไม่ได้เอาไปทั้งหัวกระโหลกไม่อย่างนั้นล่ะก็เขาไม่มีทางได้มันคืนอย่างแน่นอน
“ฉันไม่เชื่อเด็ดขาดต้องเป็นของปลอมแน่ๆ มันต้องใช้เทคนิคที่พวกเราไม่เคยเห็นมาก่อน” เฉินฮงพูดพลางส่ายหัว
“ฉันก็ไม่เชื่อเหมือนกัน คุณซูไปได้มันมาจากไหนกันแน่” ซงหลงถามออกมาด้วยน้ำเสียแบบเหลืออด
“ฉันได้มาเพราะโอกาสอำนวยน่ะ ถ้ามันเป็นของจริงคุณว่าพอจะนำไปประมูลได้รึเปล่าหล่ะ” ซูจิ้งถามแบบทีเล่นทีจริง
“ถ้า ถ้ามันเป็นของจริง เราไม่ควรนำมันไปประมูลอย่างแน่นอน มันคือสมบัติของชาติที่สูญหายไปนะ ถ้าคุณนำไปประมูลบอกได้เลยว่าคุณต้องเจอปัญหาเข้ามาเล่นงานแบบไม่ต้องนับเลย
สำหรับทางเลือกอื่นที่เราพอทำได้ซึ่งควรจะเป็นทางเดียวด้วยในฐานะคุณเป็นคนจีนคุณควรส่งคืนแบบไม่มีข้อแม้ใดๆ และทำแบบระมัดระวังอย่างที่สุด
ถึงแม้สมบัติอย่างอื่นเป็นอะไรก็ยังพออนุโลมได้แต่เจ้านี่ กับเจ้ากะโหลกนี่ถ้ามันหล่น แตก หรือเสียหาย จะเป็นตราบาปติดตัวคุณไปตลอดชีวิต”
“ฮ่าฮ่า โอเคงั้นฉันจะบอกไปก็แล้วกันว่าไม่ใช่ของจริง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ความจริงเขาก็นึกปัญหาที่จะตามมาคร่าวๆไว้แล้วถ้าเกิดนำมันไปประมูลจริงๆ
แต่พอฟังจากน้ำเสียผู้อาวุโสทั้งสองแล้วน่าจะหนักกว่าที่เขาคิดไปเยอะเลย
ถึงมันอาจจะทำให้เขาเผชิญปัญหาใหญ่ไปบ้างแต่เขาก็ยังไม่คิดจะเอากะโหลกนี้ไปส่งคืนให้พิพิธภัณฑ์ในจีนทันที
เขาอยากนำมันไปประชาสัมพันธ์โรงประมูลของเขาก่อน
“เฮ้อออออ ไม่ใช่ของจริง จริงๆซินะ ว่าแต่ที่คุณบอกว่ามันไม่ใช่ของจริงนี่คุณได้ทดสอบมันแล้วใช่ไหม” ผู้เฒ่านักประเมินทั้งสองถึงจะบอกว่าไม่เชื่อว่าเป็นของจริงก็ตาม แต่เขาก็ยังไม่มั่นใจที่ซูจิ้งบอกว่ามันเป็นของปลอม
“อ๋อ ลองแล้วสิ ผมขูดเอาผงของมันไปให้นักโบราณคดีที่สถาบันโบราณคดีตรวจสอบดูแล้ว
พวกเขาบอกแค่ว่ามันมีอายุ 6 แสนปีแค่นั้นเองผมถึงบอกว่ารู้แค่ว่ามันเป็นฟอสซิลไง” ซูจิ้งพูดออกไปพร้อมหันไปเหมือนเตรียมตัวจะทำอะไรบางอย่างปล่อยให้เฒ่านักประเมินทั้งสองนิ่ง อึ้ง ไม่ไหวติง จนแทบจะคิดว่าทั้งสองหมดสติในท่ายืนไปเรียบร้อยแล้ว
ไม่ใช่ของจริงกะผีน่ะสิ นี่เขายังกล้าบอกว่ามันไม่ใช่ของจริงอีกหรอ บ้า บ้า บ้าไปแล้ว บ้าแน่ๆ
ตอนที่ 699
แตกตื่น
ตอนนี้ผู้เฒ่านักประเมินทั้งสองได้ระเบิดอารมณ์ที่อัดอั้นของพวกเขาออกมาในทันทีที่พวกเขาฟังที่ซูจิ้งพูดจบ วั
นนี้เขาได้เห็นทั้งไท่ซุ่ย งานแกะสลักหินเหลือง และกระโหลกมนุษย์ปักกิ่ง
ในชีวิตของพวกเขานั้นตั้งแต่ทำงานที่ว่านเป๋ามาไม่เคยได้รู้สึกอย่างนี้มาก่อน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหัวกะโหลกมนุษย์ปักกิ่งที่ทำให้หัวใจย่ำแย่จนเกือบจะถึงขีดจำกัดของมันแล้ว
“คุณซู คุณไปเอากระโหลกนี้มาจากไหนกันแน่ หรือว่าจริงๆแล้วมีคนเอากลับไปฝังที่ฉินฮวงเต๋าแล้วคุณไปขุดขึ้นมา คุณไม่มีรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับมันเลยหรอ” ซงเหลาได้รีบพูดออกมาอย่างตื่นเต้นโดยไม่สนใจอายุของตัวเองเลยซักนิด
กระโหลกมนุษย์ปักกิ่งที่หายไปหลายสิบปีตอนนี้กลับปรากฏอยู่ตรงหน้า
บางคนคิดว่าว่ามันถูกทำลายไปแล้ว
บ้างก็คิดว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนเอาไป
บางคนคิดว่าพวกมันถูกนำกลับไปฝังที่เดิม
บางคนก็คิดว่ามันจมไปพร้อมกับเรื่อที่ขนส่งพวกมันในตอนนั้น
แต่ที่หน้าเชื่อถือที่สุดคือพวกมันถูกนำไปฝังอยู่ก็คือถูกนำไปฝังไว้ที่ฉิงฮวงเต่า
“ผมแค่ได้มาเพราะโอกาสจริงๆครับ ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเลย” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างจนใจ ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากไปตามหากระโหลกที่เหลือหรอกแต่เขานั้นไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน และไม่รู้ว่าจะทำไปทำไมเหมือนกัน
“ช่างน่าเสียดายยิ่งนัก แต่ก็ดีแล้วที่เจอมาอันนึง ถ้าข่าวนี้หลุดออกไปล่ะก็ ไม่อยากคิดเลยว่าจะทำให้ผู้คนแตกตื่นมากซักเท่าไหร่” เฉินหลงหัวเราะออกมาจะบอกว่าเขาตื่นเต้นก็ว่าได้แถมเขายังมีความสุขมากๆอีกด้วยหลังจากนึกถึงภาพผู้คนฮือฮาเมื่อได้เห็นเจ้ากระโหลกนี่
“ดีๆ กระโหลกนี่คงพอที่จะช่วยสร้างความสมใจให้กับโรงประมูลของผมได้ ถ้ายังไม่พอก็ไม่เป็นไร
เพราะอย่างน้อยๆผมก็มีของทุกอย่างแบบที่โรงประมูลว่านเป๋ามีหล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มเยาะ
“แน่นอนว่ามันพออยู่แล้ว ถ้าทุกคนได้เห็นล่ะก็โรงประมูลอื่นๆคงต้องถอยกันหมดแล้วหล่ะ” เฒ่านักประเมินทั้งสองทำได้แต่ถอดถอนหายใจ
ในที่สุดพวกเขาก็เข้าใจซักทีว่าทำไมซูจิ้งถึงมั่นใจนัก เขามีของมากพอจะรองรับการดำเนินงานของโรงประมูลจริงๆอย่างไม่ต้องสงสัย
ในอนาคตต้องมีคนหลั่งไหลเข้าไปรวมถึงสิ่งของประมูลด้วยก็เช่นกัน รวมทั้งได้การจัดการจากเฉิงหนานผู้ได้ชื่อว่านักธุรกิจอันฉริยะด้วยแล้วอนาคตรุ่งโรจน์อย่างแน่นอนจนแทบจะเรียกได้ว่าไร้คู่แข่ง
สิ่งที่ผู้เฒ่ายังคิดไม่ออกก็คือซูจิ้งไปสรรหาของชันเลิศพวกนี้มาจากไหนกันแน่ ของบางอย่างเองก็บอกได้เลยว่าไม่ใช่แค่มีเงินก็หาซื้อได้
แถมของบางอย่างนั้นปกติไม่ทางที่จะได้เห็นอีกเป็นครั้งที่สองได้ง่ายๆ พวกเขาเชื่อว่าซูจิ้งต้องมือช่องทางที่พิเศษมากๆ แต่ถ้าซูจิ้งไม่อยากพูดถึงพวกเขาก็ไม่ถามดีกว่า
“ว่าไงครับคุณเฉิน คุณซง คุณคิดว่าการร่วมงานกับผมพอมีความเป็นไปได้รึเปล่า” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างอารมณ์ดีเพราะเขามั่นใจได้แล้วว่าทั้งสองคนต้องมาอยู่กับเขาแน่นอน
“คุณจะให้เงินเดือนพวกเราสูงกว่าที่ว่านเป๋าจริงๆหรอ” เฉินฮงถามออกมาเหมือนเขาเตรียมตัวเข้าร่วมงานเรียบร้อยแล้ว
“ตอนนี้คุณกำลังรู้สึกเหมือนกลับไปเข้าเรียนปีหนึ่งเลยใช่ไหมล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับว่าใช่พร้อมพูดถามออกมา
“ใช่แล้ว ให้พูดตรงๆนะสัญญาจ้างงานที่พวกผมทำกับว่านเป๋านั้นไม่เป็นธรรมเลยซักนิด ผมพร้อมออกมาทุกเมื่ออยู่แล้วแต่พวกผมก็ไม่อยากออกมาแบบไม่มีที่จะนั่งต่อเลยจำยอมต้องทำไปเรื่อยๆ ถ้าผมไปคุยกับเถ้าแก่เรื่องออกเขาก็พร้อมจะเขี่ยผมทิ้งแทบจะในทันทีไม่ต้องรอถึงสิ้นเดือนเลยล่ะ” เฉินฮงพูดออกมาอย่างจริงใจ
“สำหรับเรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน ถึงจะต้องใช้ว่าอีกนิดหน่อยเพื่อที่จะเตรียมเรื่องสถานที่และโฆษณาอีกสักพัก แต่ผมก็จะคุยเรื่องนี้กับผู้จัดการโรงประมูลไว้ให้เข้าจัดการเรื่องนี้ด้วยแล้วให้เขามาคุยรายละเอียดกับคุณอีกทีหลังแล้วกัน” ซูจิ้งพยักหน้า
“ผมเบาใจได้ซะที” เฉินฮงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ซงเหลาแล้วคุณล่ะ” ซูจิ้งหันไปถามซงเหลา
“ผมก็จะขอบอกความจริงเหมือนกัน ผมก็อยากจะขอคุยเรื่องนี้ก่อนน่ะ สัญญาที่ผมมีกับว่านเป๋าเอาจริงๆก็เหลือแค่สามเดือน ออกตอนนี้ก็คงมีแต่ปัญหาตาม คุณพอจะรอผมอีกสามเดือนได้รึเปล่า” ซงเหลาถามด้วยท่าทางอึกอักเล็กน้อย
“ดี งั้นอีกสามเดือนเรามาร่วมงานกัน” ซูจิ้งพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ด้วยเหตุนี้ตอนนี้ซูจิ้งถือได้ว่าประสบความสำเร็จในการดึงตัวเฉินหลงและซงเหลาเรียบร้อยแล้ว
รวมกับนักประเมินมือชีพอีกสามคนที่เฉิงหนานกำลังหามาก็จะครบห้าสักที
เฒ่านักประเมินได้อยู่ต่อที่บ้านของซูจิ้งอีกพักใหญ่
ตอนแรกพวกเขาก็จะกลับกันแล้วต่อพอก่อนกลับอยากเห็นไท่ซุ่ย งานแกะสลักหินเหลือง และกะโหลกมนุษย์ปักกิ่งอีกครั้งก่อนกลับแต่พอได้เห็นแล้วก็เลยอยู่ยาวไปหน่อย
ซูจิ้งเองก็ยังคิดว่ามันดูเหมือนจะทำเกินไปหน่อยรึเปล่า เขาคิดว่าแค่กะโหลกมนุษย์ปักกิ่งอย่างเดียวก็น่าจะพอแล้วกับการดึงดูดผู้คนให้สนใจโรงประมูลของเขา
ต่อให้ขายไม่ได้แต่ถ้าเรื่องที่ว่ามีกระโหลกนี้อยู่ในโรงประมูลหล่ะก็ต้องโดนแทงข้างหลังแบบไม่ต้องนับแผลแน่นอน ต่อให้อธิบายความจริงออกไปว่าได้มาจากห้วงเวลาฯอื่น ไม่ใช่สมบัติของชาติก็ตาม ใครกันล่ะที่จะไปเชื่อเขาได้
ดังนั้น
ซูจิ้งรู้สึกว่าจะเป็นการดีที่ควรจะไปเยี่ยมเยือนที่สถาบันโบราณคดี พิพิธภัณฑ์ และสถานที่อื่นๆอีก
เพื่อกันปัญหาต่างๆในระยะยาว คิดได้ตังนั้นเขาจึงหยิบโทรศัพท์ขี้นมาเพื่อโทรหาโจวซีเซียนและเย่โป
เขาเชื่อในสายสัมพันธ์ที่เขามีต่อทั้งสองคน นอกจากนั้นเขายังโทรหาใครบางคน
ในวันที่เขาตามหวังจ้าวไปงานเลี้ยงวันเกิดของหลี่เทียนเฮอนั้นมันค่อนข้างสร้างประโยชน์กับเขาไม่น้อยเหมือนกัน
เพราะการไปที่นั่นทำให้เขารู้จักคนสำคัญหลายๆคน เขานั้นไม่อยากให้หวังจ้าวต้องคอยออกหน้าให้เขามากนัก
นั่นจะกลายเป็นว่าทำให้หวังจ้าวติดหนี้คนอื่นเขาไปทั่ว ถ้าเขาตั้งใจจะขายกะโหลกมนุษย์ปักกิ่งก็คงไม่มีใครช่วย
แต่ถ้าเขาคิดแค่จะจัดแสดงกะโหลกนี่เท่านั้นแหล่ะจะกลายเป็นฮีโร่ของชาวจีนในทันที
เพราะฉะนั้นการใช้เส้นสายครั้งนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว
เฉิงหนานเองก็ทำเหมือนกับเขาเช่นกัน เพราะว่าหากต้องการที่จะทำการซื้อเคหะสถานให้เสร็จโดยเร็วที่สุดจำเป็นต้องมีการใช้เส้นสายกันบ้าง
ในขณะเดียวเธอก็ได้เริ่มการจ้างพนักงานระดับมืออาชีพ ทำแผนการโฆษณา และเริ่มโฆษณาให้ผู้คนรับรู้ถึงรายการประมูล ตัวอย่างเช่น เทอร์ควอยซ์, โบโรอาลูมินัลซิลิกอนสีแดง, แก้วมรกต, อำพัน, ปะการังแดงทะเลน้ำลึก, ไท่ซุย, งานแกะสลักหินเหลือง, กระโหลกมนุษย์ปักกิ่ง ฯลฯ
ทันทีที่ทุกคนเห็นรายชื่อของประมูลทำให้เกิดความแตกตื่นกันอย่างมาก แม้แต่คนที่ไม่มีปัญญาจะซื้อได้แม้แต่เมลอนก็ยังตกใจไม่แพ้คนอื่นๆ
ตราบใดที่พวกเขายังเคยติดตามข่าวสารบ้างเมื่อได้เห็นรายการสมบัติมากมายขนาดนี้ก็ควรจะมีปฏิกิริยาอะไรกันบ้างหล่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งนั้นได้มีการพูดถึงกันอย่างมาก
“พระเจ้า อะไรกันเนี่ย โรงประมูลเปิดใหม่ของบริษัทห้วงเวลาฯ จะบ้าเกินไปแล้ว”
“พวกเขามีสมบัติมากมายมหาศาลขนาดนี้ได้ยังไงกัน พวกเขาแค่โฆษณาเกินจริงรึเปล่า พวกเขาไม่มีทางมีพวกมันทั้งหมดหรอก”
“ต้องหลอกลวงอยู่แล้วหล่ะ พวกเขาจะไปมีกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งได้ยังกัน”
“กระโหลกนั่นหายไปนานเกินไปแล้วไม่มีทางหาเจอได้หรอก ต่อให้หาเจอก็ไม่มีทางขายออกแน่ๆ”
“ลองดูนี่สิ เขาบอกว่าโรงประมูลห้วงเวลาและกาลอวกาศนี่มีซูจิ้งเป็นเจ้าของนี่”
“ก็จริง ห้ะ ซูจิ้งอีกแล้วหรอ”
“ถ้างั้นมันก็ไม่มีทางเป็นข่าวปลอมแน่นอน เพราะในรูปบนอินเตอร์เน็ตมีเฉิงหนาน สาวสวยคนนั้นน่ะ เธอก็อยู่ด้วย เธอเป็นผู้จัดการทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ และกลุ่มทุนนั้นมีซูจิ้งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อยู่”
“นั่นก็หมายความว่าสมบัจิเหล่านี้รวมถึงกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งต้องเป็นของจริง เพราะยังซะซูจิ้งไม่ว่าเขาจะเป็นดาราหรือจะบอสของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ หรือไม่ก็ตาม เขานั้นมีชื่อเสียงในเรื่องสมบัติอยู่แล้ว ไม่มีทางโกหกต่อสาธารณะชนได้เป็นอันขาด”
“ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ มีข่าวล่าลุดออกมาว่าสถาบันโบราณคดีได้ตรวจประเมินพร้อมยินยันแล้วว่าเป็นของจริง”
“ซูจิ้งถูกแจ้งความว่ามีการขายวัตถุโบราณผิดกฎหมายแน่ๆ งานนี้ก็เหมือนยกหัวตัวเองไปตั้งไว้บนเขียงเรียบร้อยแล้ว”
เมื่อข่าวนี้หลุดออกมากลายเป็นวิพากวิจารณ์ในอินเตอร์เนตในวงกว้าง การปรากฏตัวของกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งในเมืองเจียงฮุยทำให้เกิดกระแสทางสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย
ผู้คนมากมายต่างวิพากวิจารณ์กันว่ากระโหลกนี้เป็นของจริงหรือปลอม
แล้วทำไมมันถึงไปปรากฏอยู่ที่โรงประมูลห้วงเวลาฯ ได้
จะให้พูดอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ก็คือร้อนแรงตั้งแต่ยังไม่เปิดโรงประมูลซะด้วยซ้ำ
ตอนที่ 700
สิ่งของจากสำนักมาร
หลังจากข่าวคราวเกี่ยวกับสิ่งของในรายการประมูลของโรงประมูลห้วงเวลาฯเผยแพร่ออกไปบนโลกอินเตอร์เนตได้มีหลายๆคนโทรหาซูจิ้งอย่างต่อเนื่อง
จูเจียนฮัวเป็นคนโทรหาคนแรกเขาทั้งแสดงความตื่นเต้นและความกังวลออกมาในขณะที่พูดออกมาว่า “อาจิ้งนายหากะโหลกมนุษย์ปักกิ่งเจอจริงๆหรอ แต่มันไม่ใช่ของที่ใครควรจะถือครองไว้เลยนะ แล้วนายจะขายมันจริงๆอ่ะนะ นายจะไม่เป็นอะไรแน่หรอ”
ซูจิ้งตอบโทรศัพท์ไปพร้อมรอยยิ้มว่า “ฮ่าฮ่าฉันไม่ได้ขายมันหรอกน่า ฉันแค่เอามันโปรโมทโรงประมูลเฉยๆ
ฉันกะว่าจะเอามาเปิดตัววันแรกวันเดียวด้วยราคาสูงสุดกู่ขนาดที่ไม่มีใครกล้าประมูลแล้วค่อยเก็บกลับมาน่ะ
ถ้าใครกล้าหาเรื่องฉันก็แค่ต้อนรับเขาเป็นอย่างดีแค่นั้นเอง ไม่เป็นไรหรอก”
ต่อมาเป็นเป็งหมิง “อาจิ้งนั่นมันของปลอมใช่ไหม อย่าบอกว่ากระโหลกนั่นเป็นของจริง ฉันอยากเห็นมันด้วยตาของตัวเองจริงๆสักครั้งจัง เจ้าของที่สาบสูญไปนานหลายปีเนี่ย”
ซูจิ้งได้อธิบายไปแบบเดียวกันหลังจากนั้นเขาก็ได้รับสายจากหวังจ้าว “อาจิ้ง นายทำบ้าอะไรอีกเนี่ย ไหงกระโหลกนั่นถึงไปอยู่กับนายได้ ฉันไปหายนายเดี๋ยวนี้แต่ไม่ต้องกังวล
ไม่ใช่เรื่องจะซื้อหรอกนะฉันขอจะพาคนไปยืนยันแค่นั้นเอง”
หลังจากนั้นทั้ง หวังซือหยาเซี่ยวรุ่ย ฉือเล่ย หลินฮ่าว หลิวฉิง ฉินซูหลาน และคนอื่นๆต่างโทรมาด้วยเรื่องเดียวกัน
และซูจิ้งก็ตั้งอกตั้งใจอธิบายให้แต่ละคนฟังเหมือนกำลังซ้อมพูดแต่หน้าสาธารณชนอย่างไงอย่างนั้น
เขานั้นพยายามบอกเพื่อนๆของเขาว่าไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ความจริงเขาหวังแค่ให้มันดึงดูดคนไม่มากอะไรนักแค่ให้หลั่งไหลไปวันเปิดโรงประมูลก็พอ
ซูจิ้งนั้นไม่สนเลยซักนิดว่าตอนนี้โลกจะพูดถึงเขาร้อนแรงเพียงใด
เขาปลีกตัวเข้าไปในสถานีกำจัดขยะกาลเวลาฯและเก็บกวาดขยะต่อไป
เขาจัดการพวกมันไปได้ซักครึ่งนึงได้ เขายังหวังอยู่เล็กๆว่าจะมีของดีๆออกมาอีกสักหน่อย
“นั่น..” ในขณะที่จัดการขยะเขาคิดว่าเขาเจออะไรบางอย่าง ตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นกิ่งไม้
แต่พอมองดีๆมันเหมือนไข่มุกเหมือนกัน มันเหมือนอะไรบางอย่างที่หุ้มด้วยไข่มุก
มันสวยงามและดูเหมือนดาวหาง ผู้คนที่เห็นมันต้องมันอยากละสายตาจากมันเป็นแน่
“นี่มันไม่ใช่ไม้สามอย่างหรอกหรอ” ทันใดนั้นซูจิ้งตาเป็นประกายเขานึกถึงความสุดยอดของไม้นี่เป็นอย่างดี
ที่เรียกไม้สามอย่างเป็นเพราะว่าในดินแดนให้ไฟทางตอนเหนือในเรื่องจูเซียนแถบแม่น้ำแดงมีต้นไม้อยู่พันธุ์หนึ่ง
ลักษณะของมันเหมือนต้นไซเพรส(ไม้พุ่มทรงแคบแหลมสูง) เป็นต้นไม้แห่งภูมิปัญญาของที่นั่น
ในเรื่องจูเซียนเพื่อนของจางเซียวฟานนามตู้ปี้(ตู้ ปี้ชู) ได้พบไม้สามอย่างนี้ในเมืองจิ้ชุยและได้นำมาทำเป็นอาวุธวิเศษ
ตอนนั้นอาจารย์ของพวกเขาดุพวกเขาซะยกใหญ่เพราะไม้ที่ได้มามีขนาดที่เล็กและสภาพดูผุพังอย่างมาก พวกเขาโดนบ่นว่าไม้เน่าๆแบบนั้นจะเอามาทำอะไรได้
เนื่องจากไม้นี่มีเงื่อนไขจะการทำเป็นอาวุธวิเศษของไม้นี่คือต้องทำเป็นสิ่งของชุดเซ็ตสามชิ้น
แต่กลายเป็นว่าเขาเอาไปทำลูกเต๋าสามลูกและกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ดีชิ้นหนึ่งเลยถือได้ว่าเป็นไม้ที่ดีทุกสัดส่วนเลยก็ว่าได้
“น่าเสียดายจริงๆ เจ้าไม้นี่ไม่มีราก ไม่รู้ว่าจะพอเอาไปปลูกได้รึเปล่า” ซูจิ้งเองก็รู้สึกได้ว่าเจ้าไม้นี่ถึงแม้จะดูโทรมมากแต่เขายังสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตของมันอยู่
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเพิ่งโดนตัดมาหรือว่ามันมีพลังงานศักดิ์สิทธิ์(พลังวิญญาณ)เก็บไว้กับตัว
เขาจึงอยากลองปลูกมันซักหน่อย
ตอนนี้เขาจึงลองทำแบบหมอม้าที่เห็นม้าตายเป็นม้ามีชีวิตโดยการตัดกิ่งไม้ออกเป็นหลายๆท่อนแล้วปักพวกมันไว้บนดินจอมเขมือบ
ซูจิ้งยังคงจัดการขยะของเขาต่อไป ซักพักเขาก็เริ่มรู้สึกอะไรบางอย่าง บางส่วนของขยะห้วงเวลาฯพวกนี้ให้ความรู้สึกแปลกไป
มันดูโสโครกและมีกลิ่นเหม็นกว่าที่อื่น ให้ความรู้สึกโสมมเหมือนเจอปีศาจ ส่วนนี้ต้องไม่ได้มาจากสำนักเมฆาเขียวแน่นอน
หลังจากจัดการไปได้ซักพักเขาเริ่มรู้สึกว่ากลิ่นเริ่มแรงขึ้นโดยรอยมาจากก้อนเล็กๆดำๆจำนวนหนึ่ง
มันเหม็นจนทำให้เขาอ้วกออกมา เขาจึงหยิบหน้ากากขึ้นมาใส่
“แน่นอนแล้ว ฉันต้องรีบจัดการส่วนนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่อย่างนั้นฉันจัดการขยะต่อไม่ได้แน่” ซูจิ้งทำได้เพียงตักก้อนพวกนี้ใส่ถุงใบใหญ่แล้วพร้อมโยนมันไปไว้ไกลๆ
ซูจิ้งต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งชั่วโมงถึงจะกำจัดพวกมันได้หมด เขาเก็บพวกมันได้ทั้งหมดห้าถุง ด้วยความสงสัยเขาจึงลองหาข้อมูลในอินเตอร์เนตดูเขาก็พบว่าพวกก้อนเล็กๆพวกนี้น่าจะเป็นขี้ค้างคาว(ปุ๋ยค้างคาว)
พอได้ยินคำนี้ทำให้เขานึกไปถึงถ้ำโบราณนามถ้ำหมื่นค้างคาวในภูเขากงชาน(ภูเขาแห่งความว่างเปล่า) ซึ่งเป็นที่พำนักของลัทธิมาร
นั่นเป็นสถานที่จางเซียวฟานและลู่เสว่ฉีได้ฝึกร่วมกันเป็นครั้งแรกและต้องมาตายด้วยกัน พวกเขาได้ใช้ชีวิตร่วมกันและตายร่วมกันในสถานที่เดียวกันช่างเป็นเหตุการณ์ที่ลึกซึ้งจริงๆ
“ของพวกนี้ไม่น่าจะมาจากถ้ำหมื่นค้างคาวหรอกน่า ต้องคิดมากเกินไปแน่ๆ ยังไงก็ต้องระวังหน่อยแหะ” ซูจิ้งเหมือนจะนึกอะไรได้ ทันใดนั้นเขาได้หยิบเหรียญตราเทวฑูตออกมา แล้วทำการค้นหาต่อไป
“แล้ว นั่นอะไรหล่ะ” ทันใดนั้นซูจิ้งได้พบม้วนคัมภีร์สีดำ เขาได้ลองเปิดมันดู
ทันใดนั้นเขาก็ต้องตกใจจนต้องโยนมันทิ้งออกไป นั่นก็เพราะว่ามันมีหน้าผีอยู่ในมัวนคัมภีร์นั่น มันเป็นหน้าที่หน้ากลัวจนยากจะอธิบาย มันเหมือนกับไม่ใช่ภาพวาดแต่เป็นผีจริงๆอยู่ในนั้น
“แ-งเอ๊ย อะไรฟะนั่น” ซูจิ้งจ้องมองไปยังม้วนคัมภีร์ที่เขาโยนทิ้งออกไปอย่างไม่วางแต่
เพียงแค่นึกถึงภาพผีนั่นในหัวเขาก็เริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา ภาพนั่นเป็นภาพผีที่อ้าปากอย่างดุร้ายโชว์เขี้ยวฟันออกมาเหมือนกำลังจะกินซูจิ้ง
แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนมันเคลื่อนไหวได้จริงๆ เขายังรู้สึกลมหายใจของมันได้ซะด้วยซ้ำ
ยิ่งกว่านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นแค่จินตรนาการด้วยเพราะตอนบริเวณรอบๆนี้รู้สึกได้เลยว่าอุณหภูมิลดลง แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเขาก็ยังรู้สึกกลัวจนขนลุก แม้แต่หมาป่าสงครามเองก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน
ทันใดนั้นเหรียญตราเทวฑูตได้ส่องแสงด้วยตัวมันเอง เมื่อแสงนี้ได้สาดส่องไปยังม้วนคัมภีร์ พร้อมทั้งได้มีเสียงกรีดร้องออกมาจากม้วนคัมภีร์นั่น
เสียงกรีดร้องนั้นช่างโหยหวน คร่ำครวญ มันร้องจนกระทั่งมีควันสีน้ำเงินลอยออกมาจากคัมภีร์นั่นและเสียงก็ได้หยุดลง
“นั่นแหล่ะ” ซูจิ้งรู้สึกใจชี้นขึ้นมา เขาคิดถูกแล้วที่หยิบเหรียญตราออกมาไว้ล่วงหน้า
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภาพนั่นคือผีตัวเป็นๆอย่างแน่นอน มันควรจะเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนสำนักมารทิ้งมาหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่มีพลังเหมือนอาวุธวิเศษ
อย่างไรก็ตามมันก็ยังไม่อาจต้านทานเหรียญตราเทวฑูตของเขาได้ ดูเหมือนเหรียญตราจะเล่นงานมันเจ้าผีนั่นไปเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งไม่รีบทำลายม้วนคัมภีร์นั่น เขาเลือกที่จะหยิบมันมาดูอีกครั้งว่ามันคืออะไร
ในความคิดของซูจิ้งนั้นสิ่งนี้อาจจะเป็นสมบัติอะไรบางอย่างที่อยู่มานานจนกลายสิ่งของที่มีสติปัญญาของตัวเอง
ต่อให้มันเป็นของสำนักมารจริงๆ แต่ใช้ให้ถูกที่ถูกทางมันก็ต้องมีประโยชน์แน่นอน
เหมือนกับเหรียญตรายมฑูต ถ้าเขาสามารถคุมมันได้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
“เดี๋ยวนะ นี่มัน จำได้ว่ามันเหมือนกับธงของสำนักหมื่นพิษ ธงหลอนจิต” ซูจิ้งตาเป็นประกายอีกครั้ง
ที่มันถูกเรียกว่าธงหลอนจิตนั่นก็เพราะว่ามันเป็นวัตถุมารที่ต้องใช้เลือดคนในการสร้าง ยิ่งฆ่าคนไปมากเท่าไหร่พลังของมันยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น(ใช้ธงฆ่าคน)
เมื่อตอนที่จางเซียวฟานยังอยู่ในหมู่บ้าน อาจารย์คนแรกของเขาได้เผชิญหน้าพวกพรรคมารด้วยธงหลอนจิตนี้ มันทรงพลังมากพอที่จะฆ่าคนในคราเดียวได้สามร้อยคน
ถ้าธงนี่มีพลังอย่างน้อยเท่ากับธงที่เขารู้จักนั่น บอกได้เลยว่าซูจิ้งแทบจะไม่ต้องกังวลที่จะเจอเรื่องอะไรอีกแล้วแม้แต่เรื่องอันตรายเสียงชีวิตก็ตาม
ถึงแม้เขาจะมีเหรียญตราเทวฑูตอยู่ก็ตามแต่มันไม่เหมือนกัน มันมีบางเรื่องที่เหรียญตราเทวฑูตทำไม่ได้ แต่ให้เจ้านี่มีพลังไม่เท่ากับธงอันที่เขารู้จักแต่มันก็แค่ต้องการสังเวยเลือดเท่านั้นเอง
ถึงแม้วิธีที่ทรงพลังที่สุดในการเพิ่มพลังคือสังเวยชีวิตคนที่เขารักก็ตาม ยังไงซะเขาไม่มีทางใช้วิธีนั้นแน่นอน
เขาเชื่อว่าถ้าเขาลองใช้เวลาศึกษามันดีๆจะต้องมีวิธีการอื่นที่ใช้เพิ่มพลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้ามีแววว่าจะล้มเหลวก็แค่พังมันถึงซะแค่นั้นเอง
ตอนที่ 701
ทรายดำ
ซูจิ้งได้นำธงหลอนจิตเข้าไปเก็บไว้ในกระเป๋ามิติแล้วทำการจัดการขยะต่อจนถึงตอนเย็น ในที่สุดขยะทั้งหมดก็ได้ถูกจัดการจนหมดและเขาก็ไม่ได้เจออะไรน่าสนใจเพิ่มเติมเลยสักชิ้น
หลังจากเขาตรวจตราดูซ้ำๆอีกสองรอบ แล้วเขาก็ขนขยะทั้งหมดออกไปจนเหมือนกับว่าเพิ่งมีรถเก็บขยะผ่านมากวาดขยะไปจนเรียบ
ในส่วนขี้ค้างคาวทั้งห้าถุงนั้นตอนแรกเขาก็ว่าจะทิ้งไปกับของพวกนั้น แต่เขาเปลี่ยนใจแล้วนำไปฝังที่รากต้นไม้ในสวนให้กลายเป็นปุ๋ยแทน และเพื่อจะไม่ให้เกิดกลิ่นรบกวนออกมาเขาวานให้เต็งเต็งขุดหลุมไปฝังไว้ใต้ดินชนิดที่อยู่ตรงปลายรากฝอยเลยทีเดียว
แต่ซูจิ้งต้องประหลาดใจขึ้นมาเมื่อเจ้าเต็งเต็งเองก็บอกเขาว่าเขาอยากได้มันเหมือนกัน มันบอกให้เขาใส่มันไว้ที่รังของเต็งเต็งด้วย จากน้ำเสียงที่เต็งเต็งบอกเขาแล้วดูเหมือนมันค่อนข้างดีต่อพืชเลย
ยังมีเรื่องที่ทำให้ซูจิ้งแปลกใจอีกอย่างหนึ่งคือเขานึกได้ว่าเจ้านี่เป็นต้นไม้กินคนนี่ก็เป็นพืชอยู่ครึ่งหนึ่ง ก็ไม่ค่อยแปลกที่ต้องการปุ๋ยแต่เจ้านี้ยังไงซะก็เป็นสัตว์อยู่ครึ่งนึง
แถมมันยังได้ของเลี้ยงดูปูเสื่อไปไม่ใช่น้อยอย่างเศษแร่หินวิญญาณ ปลาเขี้ยวหยก ดินจอมเขมือบ และอื่นๆอีกเยอะแยะ ซึ่งเขาก็คิดว่านั่นน่าจะเพียงพอแล้วแต่จะเอาขี้ค้างคาวไปทำไมอีก
“หรือว่าเป็นเพราะสารอาหารในขี้ค้างคาวกันนะ” ทันใดนั้นซูจิ้งก็ได้ทำหน้าพะอืดพะอมขึ้นมาทันที เขาหยิบเอาก้อนขี้ค้างคาวขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วจัดการบี้มันออกด้วยกิ่งไม้
แล้วเขาก็เห็นชิ้นส่วนแมลงบางอย่างข้างในนั่น มันเป็นส่วนของแมลงปีกแข็งที่ไม่สามารถย่อยได้ สมมติให้ขี้ค้างคาวพวกนี้มาจากถ้ำหมื่นค้างคาวจริงๆ
ค้างคาวในถ้ำควรจะจัดอยู่ในระดับสัตว์ประหลาดเช่นเดียวกันและอาหารของพวกมันควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียนแน่นอน
ในเมื่อเป็นอย่างนั้นแมลงพวกนี้ก็ควรจะคงอยู่ที่นั่นไม่มีในโลกนี้ มิน่าเต็งเต็งถึงดูสนใจมันมากนัก
“ถ้าอย่างนั้นก็ถือได้ว่าได้กำไรอยู่แหะ” ซูจิ้งคิดในใจ ถึงแม้มันจะดูน่าขยะแขยงแต่มันก็ยังมีค่า
สำหรับการที่เป็นเด็กที่เติบโตในชนบทคนหนึ่ง เขาคุ้นชินกับการที่เห็นแมลงอาศัยอยู่ในมูลสัตว์และกินพวกมันเป็นอาหาร
เหล่าคนเลี้ยงสัตว์จะเก็บรวบรวมมูลพวกนี้ไปทำเป็นปุ๋ยอีกทีหนึ่งด้วยการนำไปผสมกับแกลบ หญ้า ใบไม้ ฯลฯ จนกระทั่งการเป็นปุ๋ยอินทรีย์(ปุ๋ยคอก)ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย
“ในเมื่อเจ้าขี้ค้างคาวนี่มีความพิเศษอยู่ในตัวหล่ะก็ พอจะเอาไปทำอย่างอื่นได้รึเปล่านะ” ซูจิ้งได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตเข้าไปหาข้อมูลในโลกอินเตอร์เนตเกี่ยวกับการใช้ขี้ค้างคาวอีกครั้ง
เมื่อพบข้อมูลเขาถึงกับตกใจอย่างมากเมื่อรู้ว่าปุ๋ยค้างคาวนั้นเป็นที่นิยมมากและมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าทรายสีดำ
ในวงการยาจีนนั้นทรายดำเป็นตัวยาสำคัญในการรักษาโรคเกี่ยวกับดวงตาอย่างโรคตกเลือดในดวงตา รักษากระ เป็นต้น
ซึ่งวิธีการเหล่านี้มีอยู่ในบันทึกตำราแพทย์โบราณ อย่าง “ตำราสมุนไพรจีนของหลี่ซือเซินและตำราสมุนไพรของเชิงหนง” ก็มีการกล่าวถึงและใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่มันก็แค่ใช้กันในวงการยาจีนเท่านั้น
เพราะบางคนก็เชื่อว่ามันได้ผล แต่บางคนก็คิดว่ามันใช้รักษาโรคไม่ได้และไม่เชื่อว่ามันรักษาโรคได้
“เอาไงดีจะลองดูดีรึเปล่านะ” ซูจิ้งพูดลอยๆพลางนึกบางอย่าง การกินทรายดำมันก็เหมือนกับว่าเขากิน…
แต่ถ้ามันเป็นยาจริงๆที่รักษาได้แม้กระทั่งโรคทางดวงตา
เขาก็ไม่ใส่ใจเรื่องที่กินมันต่อให้ต้องกินซักกี่ครั้งก็ตาม ปัญหาอย่างเดียวของมันคือกินแล้วจะเป็นยังไงนี่แหล่ะ
แต่ก่อนที่เขาจะตัดสินใจกินมันเขาควรจะมั่นใจก่อนว่าเขากินแล้วจะไม่ตาย
เพราะว่าเจ้าทรายดำนี่มาจากห้วงเวลาฯ จูเซียนไม่ใช่ของบนโลก
เพราะฉะนั้นไม่ทางที่เขาจะคาดการณ์ผลลัพท์ของมันได้เลยซักทางเดียว
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้สั่งให้นกแก้วของเขาไปจับหนูมาทดลองก่อน กลังจากเขาบังคับมันให้กินดูเขารอดูอาการอยู่สองวันเมื่อเห็นว่าหนูไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาเขาจึงเริ่มขั้นตอนต่อไป
“ขั้นต่อไปก็ต้องหาคนมาลองรักษาโรคทางดวงตาซะก่อน ว่าแต่จะไปหามาจากไหนหล่ะเนี่ย” ครั้งสุดท้ายที่เขาไปทดสอบของใหม่(ซูหยู)กับฉินซูหลาน
ฉินซูหลานถึงกับต้องไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจหาความผิดปกติของร่างกาย ถึงแม้มันจะไม่เป็นอันตรายแต่มันก็มีความเสี่ยงในการทดลองกับคนอยู่ดี
แค่หนูกินแล้วไม่เป็นอะไรก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญหากับมนุษย์ เพราะฉะนั้นเขาต้องระมัดระวังให้มากกว่าเดิม ต้องหาคนที่ต่อให้เป็นอะไรไปแล้วก็ไม่มีสิทธิ์โวยวายอะไรได้
ซูจิ้งได้ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะต้องหาคนเลวๆมาลองทรายดำนี้ให้ได้ เขารีบติดต่อไปหาซูฉือที่อยู่อเมริกา
และถามเธอว่าพอจะมีที่คุมขังนักโทษอาชญกรรมร้ายแรง หรือฆาตกรแถวไหนบ้าง
ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ความลับทางราชการจึงไม่มีปัญหาที่จะถามเธอ
คืนนั้น
ซูจิ้งได้นำตัวเองพร้อมทรายดำขี่ขึ้นไปบนหลังอินทรีทองเพื่อที่จะไปคุกที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วเขาก็ได้ร่อนลงห่างจากที่คุกประมาณพันเมตร หลังจากปลอมตัวเรียบร้อยแล้วก็ได้แอบเข้าไปยังคุกอย่างเงียบๆ
เขาได้ปล่อยหนูออกมาจากถึงกักอสูร พร้อมนำหลอดทดลองและเข็มทดลองออกมา
ในหลอดทดลองมีน้ำยาที่ทำจากทรายดำนำโดยไม่ทำให้สูตรโครงสร้างของมันเปลี่ยนไป ส่วนเข็มนั้นเป็นยาอีกตัวหนึ่งที่ใช้วิธีการทำคล้ายกับทรายดำในหลอดทดลอง
ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปควบคุมหนู ซึ่งด้วยพลังของเขาในตอนนี้ต่อให้ไม่เลี้ยงพวกมันเขาก็สามารถควบคุมมันได้ราวกลับเขาเป็นหนูซะเอง
ซูจิ้งได้ควบคุมให้หนูแบกหลอดทดลองและเข็มเข้าไปในคุกจากทางท่อน้ำ
เขาตรวจสอบทุกตารางนิ้วเพื่อหาคนที่เหมาะกับการจะเป็นหนูทดลองของเขา
หลังจากหาไปได้ครึ่งชั่วโมงเขาได้พบนักโทษคนหนึ่งชื่อ คุนจินหมิง
จากประวัติอาชญกรรมที่ซูจิ้งพบก็คือเขาเป็นนักโทษตดีฆ่าข่มขืน และหนึ่งในนั้นคือเด็กผู้หญิง
โชคดีที่เข้าถูกจับได้ในระหว่างปล้นธนาคารไม่เช่นคงมีผู้หญิงตกเป็นเหยื่ออีกมากมายนัก
คุนจินหมิงยังเป็นผู้ป่วยโรคตาบอดกลางคืนขั้นรุนแรง และที่สำคัญที่สุดคือไม่เคยมีประวัติได้รับการรักษา
ทำให้ซูจิ้งตัดสินใจเลือกหมอนี่เป็นหนูทดลองอย่างไม่แยแสต่อให้ตายก็ไม่เป็นไร คนแบบนี้ตายซะได้ก็ดี
ในตอนนี้คุนจินหมิงกำลังหลับอยู่ ซูจิ้งได้บังคับหนูที่พันเข็มเอาไว้ไปยังคุนจินหมิงและรีบฉีดยาในเข็มลงไป
ยาตัวนี้คือพิษของตะขาบที่เขาได้สู้ด้วยในลานขยะห้วงเวลาฯ มันมีผลคล้ายยาชาแต่มันทำให้เกิดความรู้สึกช้า
เขาฉีดมันเข้าไปเพื่อป้องกันไม่ให้คันจุนหมิงตื่นแล้วก่อเรื่องโวยวายออกมา
หลังจากนั้นซูจิ้งได้ควบคุมหนูให้เปิดปากคันจุนหมิงแล้วสั่งให้มันหมุนเปิดฝาหลอดทดลองแล้วกรอกน้ำยาที่ทำจากทรายดำลงปากไป
ถึงแม้คันจุนหมิงจะสำลักและไอแต่ก็ได้กลืนมันไปจนหมดโดยที่ยังไม่มีท่าทีว่าจะตื่นเลยซักนิด
ซูจิ้งยังไม่รอดูผลงาน เขาบังคับเจ้าหนูให้นำหลอดทดลองและเข็มกลับมาหาเขาทางท่อระบายน้ำอีกครั้ง
ซูจิ้งเปิดตาขึ้นมาทันทีที่หนูมาถึงพร้อมลูบหัวหนูนั่นพร้อมพูดว่า “เหนื่อยหน่อยนะ”
หลังจากนั้นเขาก็นำหนูกลับเข้าถุงกักอสูรพร้อมทั้งเก็บเข็มและหลอดทดลองกลับมา
ตอนนี้ซูจิ้งได้ปล่อยเจ้ากิ้งก่าล่องหนออกมาและสั่งให้มันไปที่คุกเพื่อจะติดตามดูผล
ถ้าคุนจุนหมิงมีการเคลื่อนไหวแล้วพบว่าโรคตาบอกกลางคืนของเขาดีขึ้น เขาจะดำเนินการขั้นต่อไป
ตอนนี้ซูจิ้งรีบหายตัวออกมาอย่างเงียบเชียบ เขากลับไปยังจุดที่อินทรีทองอยู่แล้วขี่มันกลับบ้านไป
ตั้งแต่ต้นถึงตอนนี้พวก รปภ ไม่ได้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลยสักนิด แม้แต่ตัวคันจุนหมิงเองก็ยังตื่นเช้ามาใช้ชีวิตปกติโดยไม่รู้ตัวว่ามีอะไรเกิดขึ้นเลยซักนิด
ตอนที่ 702
สวรรค์ส่ง นรกเสริม
เย็นวันถัดมา ซูจิ้งรูสึกประหลาดใจในสิ่งที่เห็นผ่านทางกิ้งก่าล่องหน อาการตาบอดกลางคืนของคุนจินหมิงดีขึ้นอย่างมาก
ที่เรียกว่าโรคตาบอดกลางคืนก็เพราะว่ามันเป็นโรคที่มีอาการมองเห็นในพื้นที่ที่มีแสงสว่างได้ตามปกติ แต่พอเป็นพื้นที่ที่แสงน้อยตาของผู้ป่วยจะมองไม่เห็นอะไรเลยจะเรียกได้ว่าบอดเลยก็ว่าได้ เป็นโรคที่หายากและยากต่อการรักษา ถึงแม้จะมีวิธีการรักษาอยู่แต่ไม่ได้มีประสิทธิภาพมากพอจะหายขาดได้
คุนจินหมิงป่วยเป็นโรคนี้ในขั้นรุนแรงถึงขนาดที่พอแสงหายไปเล็กน้อยแบบช่วงตอนเย็นคนทั่วไปจะมองเห็นได้ปกติ แต่ก็คุนจินหมิงแล้วจะมองเห็นว่าเกือบมืดแล้ว แต่ตอนนี้จากที่ผ่านกิ้งก่าล่องหนแม้แต่คุนจินหมิงเองก็ยังตกใจ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
ต่อมาซูจิ้งได้ทำแบบนี้อยู่อีกสองคืน พอเข้าเย็นวันที่สี่ดูเหมือนว่าอาการของคุนจินหมิงจะหายดีเป็นปลิดทิ้ง
ในคืนนั้นคุนจินหมิงร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้น เขาคุกเข่าลงกับพื้นของห้องเขาพร้อมตะโกนออกมาว่า
“ดวงตาคู่นี้ได้ถูกเปิดออกมาด้วยพระผู้เป็นเจ้าแน่ๆ ต้องเป็นแผนของท่านที่ยอมให้ฉันมีโอกาสได้เห็นท้องฟ้าอีกครั้งหนี่ง
เมื่อฉันออกไปได้ฉันจะไปจัดการพวกมันทุกคนที่จับฉันและกล่าวหาฉันว่าเป็นคนผิดให้หมดเลย พวกมันสมควรตายแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า”
เหล่าผู้คุมได้ยินเสียงต่างก็รู้สึกตรงกันว่าช่างไม่ยุติธรรมเลยสักนิดที่นักโทษก่อคดีร้ายแรงอย่างนี้ อยู่ๆกับหายจากโรคที่แทบไม่มีทางรักษาได้
พระเจ้าช่างไม่มีตาเอาซะเลย จะช่วยใครไม่ช่วยกับช่วยอาชญากรแบบนี้
โรคนี้มีคนเป็นโรคนี้มากมายนักทำไมไม่ช่วยคนเหล่านั้นหล่ะ มีคนมากมายที่ดีกว่านี้เหมาะสมกว่านี้แต่กลับไม่มีทางให้พวกเขาได้รักษา แม้แต่โอกาสก็ยังยากเลย
ถึงพวกเขาจะนึกได้ว่าคุนจินหมิงได้รับการตัดสินให้ถูกประหารชีวิต แถมใกล้ถึงเวลาแล้ว แต่กับคนแบบนี้ก็ไม่ควรที่จะได้รับโอกาสอยู่ดี
“อืมมมม ทรายดำนี่ใช้ได้ผลดีจริงๆ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
แต่ไม่น่าจะมาจากแค่เพราะเป็นทรายดำธรรมดา แต่ต้องเป็นเพราะทรายดำนี้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียนด้วยแน่ๆถึงได้ผลดีขนาดนี้ แม้ทรายดำธรรมดาจะได้ผลแต่ก็ไม่ควรให้ผลเร็วขนาดนี้แน่นอน” ซูจิ้งนั้นมีความสุขอย่างมาก เพียงสี่คืนเท่านั้นการทดลองก็สำเร็จแถมได้ผลลัพท์ดีซะด้วย ในคืนนั้นเองเขาก็ได้แอบไปยังคุกนั่นอีกครั้ง คราวนี้เขาไม่ได้จะทดลองใช้ทรายดำอีกต่อไป แต่เขาได้หยิบธงหลอนจิตออกมา ถึงการทดลองจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ซูจิ้งไม่มีทางยอมให้คนประเภทนี้ได้อยู่อย่างเป็นสุขแน่นอน ช่วยคุนจิงหมินงั้นหรอ แล้วยังไงหล่ะ เขาไม่ได้ใจดีขนาดปล่อยให้คนพวกนี้ได้ตายอย่างเป็นสุขอยู่แล้ว ซูจิ้งได้วางแผนไว้แล้วว่าหลังจากรักษาคุนจิงหมินแล้วเขาจะทดลองการทำงานของธงหลอนจิตต่อในทันที
ซูจิ้งได้บังคับให้หนูนำธงหลอนจิตไปยังห้องขังของคุนจิงหมิน เมื่อถึงแล้วเขาให้มันปีนขึ้นไปบนหัวเตียงนอน ทำการเปิดธงออกมาแล้วโยนไปไว้บนหน้าของคุนจิงหมินในทันที พร้อมทั้งบังคับหนูให้ถอยกรูดออกมาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นอากาศภายในห้องเริ่มเปลี่ยนเป็นหนาวเน็บขึ้น เจ้าผีร้ายที่อยู่ในธงหลอนจิตเองก็ได้แสดงความสามารถของมันออกมาอย่างดีเยี่ยม ถึงขนาดที่มันคลานออกมาจากม้วนคัมภีร์ พร้อมทั้งปล่อยลมหายใจเย็นยะเยือกออกมาคลุมทั่วห้อง
คุนจิงหมินเองก็เริ่มรู้สึกตัวและได้ลุกขึ้นมา ทันได้นั้นทั้งคุนจิงหมินและซูจิ้งที่กำลังควบคุมหนูอยู่ก็ได้เห็นในสิ่งเดียวกันนั่น ภาพอันน่าสนดสนองที่ควรจะมีอยู่แค่ในหนังสยองขวัญ กำแพงตอนนี้ได้มีเลือดไหลหยดออกมาชะโลมทั่วทั้งกำแพงสี่ด้าน
เจ้าผีร้ายตัวนั้นได้คลานจากพื้นขึ้นไปไต่อยู่บนกำแพง
ทันใดนั้น อยู่ๆพลังวิญญาณในห้วงทะเลวิญญาณของเขาก็ได้สั่นกระเพื่อม ทำให้ภาพที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้หายไปทันทีกลับเป็นกำแพงธรรมดา แน่นอนแล้วว่าภาพชวนสยองพวกนั้นต้องเป็นภาพลวงตาที่เป็นผลมาจากธงหลอนจิตเป็นแน่ ถึงจะยังอยู่แค่ในระดับต่ำก็ตาม ระดับเท่านี้ยังไม่เพียงพอต่อการคุกคามซูจิ้งได้เท่าไหร่นัก
แต่คุนจิงหมินผู้ที่ไม่ได้มีพลังจิตขวัญกล้าเหมือนซูจิ้ง หน้าของเขาในตอนนี้ได้แสดงถึงความหวาดกลัวอย่างที่สุดในชีวิตพร้อมทั้งกรี๊ดร้องออกมาอย่างไม่เป็นภาษามนุษย์
ต่อหน้าเขาในตอนนี้ผีร้ายได้จับไปที่คอ แต่คุนจิงหมินกระได้กระโดดหนีถอยร่นไปที่มุมกำแพงห้อง
เหมือนพยายามที่จะแทรกตัวลงไปตรงมุมนั้น แต่ทันใดนั้นก็มีผีจำนวนมากโผล่มาจากมุมห้องพยายามจะจับตัวเขาเอาไว้
หนึ่งในนั้นมีร่างกายเพียงขึ้นท่อน มันพยายามคลานไปหาคุนจิงหมินจนเครื่องในส่วนที่เหลือลากละพื้นอยู่ข้างหลัง มันเกาะไปที่ขาของคุนจิงหมินแล้วพยายามไต่ขึ้นไป
“อ้าก” คุนจิงหมินถึงจะฆ่าคนไปมากมายแต่เขาก็ไม่เคยผ่านสนามรบที่ไหน แต่ตอนนี้เขากลับตะโกนกู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง พร้อมทั้งพยายามพังกำแพง รวมถึงกระแทกกำแพงออกมา ไม่นานนักจิตวิญญาณของคุนจิงหมินเริ่มไม่คิดจะสู้อีกต่อไป เขายอมรับแต่โดยดีแล้วเขาปิดตาลงทันใดนั้นร่างของเขาก็หงายหลังไป หมดสติ และแข็งค้างไปแทบจะในทันที
เสียงตะโกนของเขาได้ทำให้นักโทษคนอื่นตืนขึ้นมาและตะโกนบอกให้พัสดีให้ทราบเรื่อง ตอนนั้นซูจิ้งสั่งให้เจ้าหนูรีบม้วนธงกลับเป็นดังเดิมแล้วรีบออกมาทางท่อระบายน้ำ เมื่อพัศดีเขามาตรวจสอบห้องของคุนจิงหมิน และพบสภาพของคุนจิงหมินตอนนี้ทำให้เขานึกประหลาดใจ เขาเองก็สงสัยทันทีที่ได้ยินว่าคุนจิงหมินคลั่งเพราะเขาก็ว่ายังเห็นคุนจิงหมินดีใจจนเนื้อเต้นเมื่อเย็นอยู่เลย เมื่อเห็นสภาพของคุนจิงหมินผ่านช่องส่องนักโทษในตอนนี้เขารึบเปิดประตูห้องขังแล้วรีบให้หมอเข้าไปเช็คอาการ ผลจากการตรวจสอบเบื้องต้นนั้นกลายเป็นว่าเขาตื่นกลัวมากจนหมดสติไป
หลังจากนั้นสักพัก คุนจิงหมินได้ตื่นขึ้นมา เขาหน้าซีดและมีดวงตาที่ยังดูหวาดผวาอยู่ แม้ผู้คุมจะเห็นสภาพของคุนจิงหมินเป็นอย่างนั้นแต่ทั้งเขาและหมอกะยังถอนตัวออกมาอยู่ดี ในไม่ช้าคุนจิงหมินก็ได้หลับลงไปเพราะว่าถูกฉีดยากล่อมประสาทเอาไว้ ในระหว่างนั้นได้มีเหงื่อผุดออกมาจากหน้าของเขาสองเม็ดเท่าเม็ดถั่ว ก่อนที่คุนจิงหมินจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเหมือนกับว่าเขาได้เผชิญหน้ากับฝันร้ายที่น่ากลัวสุดๆ
ความฝันนี้วนเวียนอยู่ทั้งคืนจนเขาพยายามที่จะไม่นอน แต่ก็ไม่อาจฝึนได้เพราะเขาเหนื่อยล้าจากภาพที่เห็นมากเกินไป เป็นอย่างนี้ไปสี่คืนจนกระทั่งถึงคืนที่ห้าคุนจิงหมินก็ได้บ้าอย่างสมบูณ์เรียบร้อยแล้ว
ไม่กี่วันหลังจากที่คุนจิงหมินได้หายจากอาการตาบอดกลางคืน แล้วกลายเป็นถูกหลอกหลอนด้วยฝันร้ายทุกค่ำคืน
เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะได้ก้าวเท้าขึ้นสวรรค์และโดนถีบตกนรก ไม่มีใครรู้เลยว่าตอนนี้เขากำลังรู้สึกเช่นนั้น
ทุกคนต่างก็คิดว่าเขานั้นบ้าเพราะใกล้จะถึงช่วงเวลาประหารชีวิต ไม่ก็เป็นผลกระทบมาจากการที่เขาไม่คุ้นเคยกับเวลาตอนกลางคืนแค่นั้นเอง
ไม่มีใครสนใจด้วยซ้ำว่าคนๆนี้กำลังตายจากข้างในช้าๆ เพราะยังไงซะเขาต้องตายอยู่ดี
“ธงหลอนจิตผืนนี้ช่างหน้ากลัวจริงๆ” ซูจิ้งได้จ้องไปที่ธงเล็กน้อยพร้อมถอนหายใจทันทีที่เห็นใบหน้าข้างในโผล่ออกมายักคิ้วหลิ่วตาพยายามทำหน้าน่ากลัวแบบต่างๆใส่ซูจิ้งเพื่อให้ซูจิ้งกลัว แต่สำหรับซูจิ้งตอนนี้เห็นมันเป็นสัตว์เลี้ยง
เขานั้นคิดจะเลี้ยงเจ้าผีตนนี้แบบจริงจังเรียบร้อยแล้ว หลังจากติดตามอาการของคุนจิงหมินอีกสักระยะ
เขาพบว่าคุนจิงหมินได้ฝันร้ายตลอดทั้งวันและทั้งคืน ดูเหมือนหลังจากมันหลอกหลอนคุนจิงหมินได้สำเร็จมันจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
มันเหมือนกับการกินความฝัน(เป้าหมายในชีวิต)ไม่ก็เป็นการสูบความกลัว
อีกทั้งมันยังทำให้เขาสามารถดูดซับพลังจิตจากเหรียญตรายมฑูตได้มากกว่าเดิม
ดูเหมือนว่าความสามารถในการข่มขู่ของธงหลอนจิตจะค่อนข้างดีเลยทีเดียว
ถึงแม้การทำร้าย ข่มเหงจะได้ผลดีต่อการพัฒนาเหรียญตรายมฑูตยิ่งกว่านี้ก็ตาม
แต่ยังไงซะมันคืออาชญากรรมแถมสุดท้ายยังทำให้วิญญาณของเขาต้องแปดเปื้อนโสมมยิ่งขึ้น
ซึ่งถ้าจะพูดตามหลักการแล้วเหรียญตรายมฑูตจะพัฒนาตนเองได้ก็น่าจะแค่ต้องสร้างความสะพรึงให้กับวิญญาณของคนอื่นให้กลัวเขาเท่านั้น
ตรงข้ามกับเหรียญตราเทวฑูตที่ต้องสร้างแรงศรัทธาที่มีต่อเขา
เพราะฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องทำร้ายร่างกายหรือฆ่าคนแม้แต่น้อย
สำหรับซูจิ้งแล้วการใช้ธงหลอนจิตนี้ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการจัดการเหล่าร้ายและเพิ่มพลังให้เขาได้ดีเลยทีเดียว
ตอนที่ 703
เปิดงานประมูล
“เดี๋ยวนะ เจ้าธงนี่มีพลังจิตด้วยงั้นหรอ” ซูจิ้งอุทานออกมาหลังจากเขากลับมาตรวจสอบและศึกษาธงหลอนจิตอย่างจริงจังหลังจากตั้งใจว่าจะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ตัวนี้เรียบร้อยแล้ว
ด้วยการที่เขาใช้กระแสจิตในการศึกษาธงนี้อย่างระมัดระวังจนกระทั่งพบว่ามีกระแสจิตปล่อยออกมาต้านทานเขาเอาไว้
ในตอนแรกที่เขาไม่พบเรื่องนี่ก็เพราะว่าเขามัวแต่ตกใจจนรีบใช้พลังจิตป้องกันตัวเองทำให้ไม่ใส่ใจที่จะตรวจสอบ
ความจริงเจ้าผีร้ายในธงอยากเล่นงานซูจิ้งใจจะขาด แต่มันเองก็รู้ตัวเรื่องพลังจิตของซูจิ้งเหมือนกันว่าเข้มแข็งขนาดที่มันทำอะไรไม่ได้แน่นอน
มันก็กะจะอาศัยตอนที่ซูจิ้งเผลอหยุดการใช้กระแสจิตแล้วเล่นงานเหมือนกัน
แต่ทันทีที่ซูจิ้งสัมผัสสิ่งชั่วร้ายพลังจิตก็พวยพุ่งออกมาทันทีทำให้เจ้าผีร้ายบาดเจ็บเหมือนกัน
เป็นอย่างนั้นจนต่างคนต่างเลิกลาไป
แต่ยังไงซะซูจิ้งก็ยังเปิดธงโดยไม่ปล่อยจิตคุกคามเพราะว่าเขานั้นอยากเห็นใบหน้าเจ้าปัญหานี่ด้วยตาของตัวเองอีกครั้ง ซึ่งเจ้าผีร้ายก็ยอมแต่โดยดี
“ฝีมือการวาดช่างดูละเอียดสมจริงยิ่งนัก และเจ้าผีร้ายตัวนี้ก็ช่างดูเหมือนภาพวาดเสียจริงๆ แถมมันเหมือนจะไม่ใช่แค่มีจิตวาญญาณซะด้วย ยังมีร่างวิญญาณที่ยังไม่ขึ้นร่างเนื้อซะด้วยสิ” ซูจิ้งพูดพร่ำไปเรื่อยทันใดนั้นเขาก็หยิบเหรียญตราเทวฑูตออกมาพร้อมทั้งปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์เช้าไปในธงทันที
ครั้งนี้นอกจากใบหน้าของผีร้ายในรูปบนธงนอกจากจะไม่ต่อต้านหรือสวนกลับแม้แต่น้อย แถมยังแสดงท่าทางหวาดกลัวถึงกับสั่นเลยทีเดียว
ตอนนี้ซูจิ้งได้ส่งกระแสจิตเข้าตรวจสอบภาพวาดในทันที เขารู้สึกได้ทันทีว่าเจ้าภาพวาดผีร้ายตนนี้มีพลังจิตที่แข็งแกร่ง และแข็งแกร่งกว่าสัตว์เลี้ยงทุกตัวของเขาทั้งหมด
แกร่งยิ่งกว่าหมึกยักษ์และหมาป่าสงครามอย่างเทียบไม่ติด แถมมันยังให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกและแปลกประหลาด จะเรียกว่าหลอนๆก็ว่าได้
หลังจากได้พลังจากเหรียญตราเทวฑูตเข้าช่วยเหลือเขาไม่ได้กลัวการสวนกลับจากผีร้ายอีกต่อไป
เขาค่อยๆลองทำการผูกสัญญากับเจ้าผีร้ายซึ่งตามหลักแล้วมันควรจะทำสัญญาด้วยได้ และหากเขาทำสัญญากับมันไม่ได้มันคงไปก่อเรื่องวุ่นวายกับคนอื่นๆแน่นอน ซึ่งคิดได้เลยว่าจะเป็นปัญหาแน่นอน
เจ้าผีร้ายพยายามดิ้นลดขัดขืนอย่างเต็มที่ แต่ด้วยการที่ถูกพลังศักดิ์สิทธิ์กดข่มเอาไว้ทำให้ทุกครั้งที่มันปล่อยพลังขัดขืนพลังของจะกลายเป็นควันออกมา
แถมมันยังรู้สึกเจ็บปวดจนเห็นได้ชัด จนเกรงกลัวทนไม่ไหวไม่กล้าขัดขืนอีกเลยปล่อยให้ถูกซูจิ้งควบคุมอย่างสมบูรณ์และนั่นทำให้พันธะสัญญาสัตว์เลี้ยงเสร็จสิ้นทันที
จากนั้นซูจิ้งเก็บตราเทวฑูตไว้ในกระเป๋ามิติ แล้วใช้กระแสจิตสื่อสารกับเจ้าผีร้ายยอมให้มันใช้ภาพลวงตาออกมา
เจ้าผีร้ายก็ได้ทำหน้าตาดุร้ายออกมา
ทันใดนั้นรอบๆตัวซูจิ้งก็ปรากฎภาพภูติผีรอบตัวคล้ายกับตอนที่ปรากฏอยู่ในห้องขังคืนนั้น ซึ่งแน่นอนว่าซูจิ้งตอนนี้ต่อให้ไม่ทำอะไรก็เลย
ภาพหลอนนี้ก็ไม่ส่งผลต่อเขาแม้แต่น้อย และเจ้าผีร้ายเองก็แค่ลองให้ซูจิ้งเห็นเฉยๆไม่ได้เอาจริงอะไรเพราะด้วยตอนนี้มันเป็นสัตว์เลี้ยง ไม่มีทางที่มันจะทำร้ายซูจิ้งได้เลย
ซูจิ้งมองไปในภาพลวงตาเหล่านั้นพลางนึกไปว่า แค่ภาพหลอนพวกนี้ก็ทำให้จิตใจคนทั่วไปทนไม่ไหวอยู่แล้ว แล้วยิ่งทำให้เห็นซ้ำๆทุกคืนต่อให้คนจิตแข็งยังไงก็ต้องตื่นอยุ่ดี
“เฉิงหนานมาล่ะ”
“สวยสวยมาเยี่ยมจ้า…”
เจ้านกทั้งสองบินวนรอบเหนือศีรษะซูจิ้ง ซูจิ้งได้ม้วนธงเก็บในกระเป๋ามิติและเดินออกไปที่ประตูเพื่อไปพบเฉิงหนาน สาวสวยตัวสูงรูปร่างเซ็กซี่ที่อยู่ในสูทสั่งตัดยืนรอยู่หน้าประตู เขาได้เรียกเธอเข้ามาแล้วชงชาให้เธอดิ่ม
“บอสคะ ทุกอย่างพร้อมแล้ว ตอนนี้โรงประมูลของเราสามารถเปิดได้อย่างเป็นทางการในอีกสองวันนับจากนี้” เฉิงหนานได้พูดพร้อมส่งเอกสารต่างๆให้กับซูจิ้ง
“ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่สนเอกสารพวกนี้ ผมเชื่อใจคุณ” ซูจิ้งกล่าวพร้อมรายยิ้มให้แก่เฉิงหนาน
“ขอบคุณสำหรับความไว้วางใจค่ะ” เฉิงหนานหัวเราะชอบใจก่อนจะพูดต่อว่า “ในช่วงที่ผ่านมานี้ด้วยเรื่องของกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งทำให้มีผู้คนมากมายรายงานเรื่องนี้กับภาครัฐ
มันเป็นคลื่นทีซัดกระน่ำซัดใส่พวกเราเรื่อยเลย จนไม่สามารถหยุดได้แล้ว ปล่อยให้มันเป็นอย่างนี้จะดีหรอคะ”
“อย่ากังวลไปเลยน่า ไม่มีปัญหาอะไรหรอก อย่างใส่ใจพวกนั้นเลย ยิ่งปัญหามามากเท่าไหร่ก็จะยิ่งดีมาเท่านั้น ผมเองก็คิดไว้แล้วนะว่าแค่ภาพถ่ายของโครงกระดูกพวกนั้นยังไม่มีใครกล้าจะแตะต้องเลย
นับประสาอะไรกับของจริง ตอนนี้เราก็แค่นับมันมาโชวเรียกกระแสเฉยๆ
ถ้ามีใครต้องการครอบครองมันจริงก็เปิดการประมูลที่ 1 ล้านล้านหยวนไปเลย” ซูจิ้งพูดอย่างสบายๆ
“เข้าใจแล้วค่ะ” เฉิงหนานพยักหน้ารับตาม หลังจากนั้นเธอก็ทำการรายงานสถานการณ์ของกิจการและสรุปการดำเนินงานพวกธุรกิจขั้นต่อไปให้ฟัง
หลังจากนั้นเธอได้กลับไปเพื่อที่จะเตรียมตัวจัดการส่วนสุดท้ายก่อนที่จะถึงงานเปิดโรงประมูล พอนึกถึงว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เขาได้จัดการกวาดของในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ จนเกลี้ยงแต่ยังไม่ได้อะไรเพิ่มเลย
เขาเช็คดูครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจัดการกวาดทั้งหมดลงไปในประตูแยกปฏิสสารจนตอนนี้เกลี้ยงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่เขายังไม่คิดจะไปโรงประมูลในทันที เอาจริงๆเขาไม่คิดจะไปเลยด้วยซ้ำ
ขณะเดียวกันได้มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังพูดคุยกัน พวกเขาคนจากโรงประมูลว่านเป๋าประกอบด้วยเจ้าของและผู้จัดการของที่นั่น
“ซูจิ้งถึงขนาดกล้าจัดการประมูลกระโหลกและโครงกระดูกมนุษย์ปักกิ่ง ไม่กลัวตายเลยแหะ ไม่คิดเลยว่าโรงประมูลของเขาจะต้องปิดเร็วขนาดนี้”
“มีคนมากมายต่างรายงานเรื่องนี้กับภาครัฐไปแล้ว ว่าซูจิ้งได้ครอบครองกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งแต่ก็ยังไม่มีการถูกภาครัฐยึดคืน
แสดงว่าต้องมีคนหนุนหลังอย่างดีแน่นอน ยังไงซะก็อีกไม่นานนักหรอก พวกปักกิ่งไม่ตลกกับเรื่องนี้แน่นอน”
“ฉันคิดว่าเขาไม่คิดจะขายมันจริงๆหรอกนะ เขาน่าจะแค่นำมาสร้างกระแสแล้วก็เก็บกับไปมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นยิ่งแล้วใหญ่เลย เพราะว่าหลายๆคนถือว่ามันเป็นสมบัติของชาติไปแล้ว ถ้าทำอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นการกบฎอย่างแท้จริง แล้วฉันก็รู้มาอีกว่าเขาเองก็ได้ติดต่อพวกเศรษฐีไว้พอสมควร ดูจากสภาพการณ์แล้ว ดีไม่ดีโรงประมูลห้วงเวลาและกาลอวกาศอาจจะไม่ได้เปิดซะด้วยซ้ำ”
“ซงเหลานายคิดว่ายังไงมั่ง” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่มีหน้าทรงผลไม้หันไปถามซงเหลา ตอนนี้เฉินฮงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วเพราะว่า ด้วยเรื่องสัญญาการทำงานเขาเลยออกจากว่านเป๋าไปอยู่กับโรงประมูลห้วงเวลาฯ เรียบร้อยแล้ว
“มันก็พูดอยากแหะ…” ซงเหลาเองไม่มีทางเลือกได้แต่ตอบออกมา ความจริงแม้แต่เจ้าของโรงประมูลเองก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเองก็ตั้งใจจะออกไปจากที่นี่
“ฉันล่ะอยากเห็นจริงจริงว่าโรงประมูลจะสำเร็จด้วยดี นึกถึงของประมูลดีๆจากรายการนั่นแล้วจะไม่มีทางถูกประมูลในราคาที่สูงได้แล้วรู้สึกปวดใจจริงๆ ก็ไม่แน่นะหมอนั้นอาจยกเลิกกลางคันแล้วหันมาร่วมธุรกิจกับเราใหม่อีกครั้ง” ชายหน้าผลไม้ได้พูดออกมาอย่างจงใจพลางหันไปทางเฒ่าซง เฒ่าซงก็พอรู้ตัวอยู่บ้างว่าโดนแขวะอยู่
สองวันต่อมา นี่คือวันแรกที่โรงประมูลห้วงเวลาและอวกาศเปิดอย่างเป็นทางการ โรงประมูลทั้งหลายต่างส่งคนมาสอดแนม รวมถึงโรงประมูลว่านเป๋าด้วย แต่ไม่ต้องพูดถึงการประมูลที่ยังไม่เริ่มขึ้น แค่แขกที่มาก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้แล้ว
นั่นก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนรวยและนักสะสมมีอันดับกันทั้งนั้น ขนาดโรงประมูลว่านเป๋าเปิดประมูลครั้งใหญ่คนพวกนี้ยังไม่ยอมโผล่หน้าไปให้เห็นเลยด้วยซ้ำ
แต่พวกเขากลับถูกยั่วยวนโดยสมบัติในงานประมูลครั้งนี้ นี่แค่เป็นงานเปิดตัวโรงประมูลใหม่แต่กลับมีแขกคนสำคัญมากมายขนาดนี้ต้องเป็นเพราะกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังจากเริ่มการประมูล เหล่าผู้คนที่เข้ามาต่างก็ต้องตกตะลึงในสิ่งที่เห็น การตกแต่งภายในโรงประมูลล้วนแล้วแต่ถูกจัดวางได้สุดยอด เหมือนกับมีมืออาชีพมาอาศัยอยู่ในที่นี่เป็นปกติเลยก็ว่าได้
ไม่เหมือนกับโรงประมูลที่เปิดใหม่ทั่วๆไป แม้แต่ผู้จัดการและพนักงานแค่เห็นก็รู้ได้เลยว่าต้องเป็นระดับมืออาชีพ
แถมสิ่งของที่วางโชว์นั้นก็ล้วนแล้วแต่น่าอัศจรรย์ในอย่างที่สุด ถึงแม้จะได้ยินมาบ้างแล้วแต่พอเห็นกับตาตัวเองทำเอาอึ้งพูดไม่ออกกันไปเลย
ราคาของสินค้าที่ถูกนำมาประมูลต่างพุ่งสูงอย่างต่อเนื่องทุกๆชิ้น แถมบรรยากาศการประมูลยังดุเดือดเลือดพล่านอย่างมาก
สมบัติที่ถูกนำมาประมูลทุกชิ้นล้วนแล้วแต่เป็นของชั้นเลิศ แถมคนที่มาร่วมประมูลอย่างพวกเศรษฐี นักสะสม และแขกทั่วไปก็สนใจพวกมันแทบจะเกือบทุกชิ้น
เทียบกับโรงประมูลทั่วไปแล้วให้บรรยากาศต่างกันสุดขั้ว อย่างตอนที่มีสมบัติพันปีออก บรรยากาศเปลี่ยนไปทันที พักเดียวก็จบการประมูลที่ 120 ล้านหยวนไปแล้ว
ภาพที่ปรากฏต่อหน้าคนทั่วไปที่เห็นต่างตกตะลึง ที่สำคัญตอนที่รูปแกะสลักหินเหลืองมังกรและนกไฟนั่นออกมา มันสามารถทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นไปที่ 480 ล้านหยวนเลยทีเดียว
บรรยากาศในการประมูลตอนนี้ยิ่งร้อนระอุมากขี้เรื่อยๆแล้ว แต่นี่ก็แค่การวอร์มก่อนของจริงเท่านั้น
ตอนที่ 704
ทางออก
การประมูลอย่างดำเนินต่อไปอย่างร้อนระอุ ไม่ช้าก็มาถึงช่วงสุดท้ายแล้ว ในที่สุดกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งและกระดูกบางส่วนก็ได้ถูกนำมาไว้บนเวที ผู้คนส่วนใหญ่ต่างยืนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นและจ้องมองอย่างจริงจังจนตากลมโตเท่าที่จะสามารถทำได้
“นี่คือกระโหลกมนุษย์ปักกิ่ง ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นอีก ช่างนานจริงๆ”
“มันยากจริงๆที่จะเชื่อได้ว่ามันยังคงอยู่ดีถึงป่านนี้”
“แค่ได้เห็นก็เป็นบุญตาแล้ว”
ผู้คนจำนวนมากต่างตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาหลายคนมาที่นี่เพียงเพื่ออยากเห็นเป็นบุญตาเท่านั้น ไม่มีใครในที่นี้ไม่รู้จักมันเลยสักคนเดียว จ้าวสิ่งนี้ต่อให้ไม่ได้มาครอบครองแค่ได้เห็นก็คุ้มค่ากับการมาแล้ว
ในเวลาเดียวกันนั้น ณ โรงประมูลว่านเป๋า จ้าวของโรงประมูล ผู้จัดการ ซงเหลา และนักประเมินคนอื่นๆ ต่างมานั่งรวมตัวกันรอคอย จนกระทั่งมีสายโทรศัพท์เข้า หลังจากจ้าวของรับโทรศัพท์ด้วยสายโทรศัพท์แล้วได้ถามออกไปว่า “เป็นยังไงบ้าง ราคาของสิ่งของประมูลพวกนั้นสูงแค่ไหน แล้วบรรยากาศในโรงประมูลเป็นยังไงบ้าง”
“เรื่องราคาแค่เรียกว่าสูงคงไม่ใช่แล้วหล่ะครับ ต้องเรียกว่าหนักจะดีกว่า เท่าที่คำนวนดูคร่าวๆแล้วซูจิ้งทำเงินไปแล้วประมาณสองหมื่นล้านหยวน โดยส่วนใหญ่เป็นของๆซูจิ้งน่าจะได้ไปประมาณหนึ่งจุดห้าล้านหยวนครับ” เสียงอีกฝากพูดตอบมาด้วยความตื่นเต้น
“ว่าไงนะ สองหมื่นล้านหยวน” ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องนั้นต่างตกใจจนหายใจแรงๆออกมาทันที แม้แต่ซงเหลาเองที่พอจะรู้อยู่แก่ใจแล้วบ้างว่าต้องได้เงินเยอะแน่ๆ แต่พอได้ยินว่าสองหมื่นล้านหยวนก็ยังตกตะลึงอยู่ดี จ้าวของไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลยถามย้อนกลับไปว่า “แล้วราคาของสมบัติพิเศษอย่างไท่ซุ่ยล้านปีกับงานแกะสลักมังกรและนกไฟหล่ะ ได้เท่าไหร่”
“ร้อยยี่สิบล้านหยวนกับสี่ร้อยแปดสิบล้านหยวน ครับ…” ราคาประมูลขนาดนี้ล้วนทำให้คนตกตำลึงได้สบายเลยทีเดียว ต่อให้โรงประมูลว่านเป๋าได้มาประมูลเองก็ไม่มีทางได้เท่านี้แน่นอน
“ยิ่งไปกว่านั้นบรรยากาศในการประมูลเองนี่ก็ดีเยี่ยม ยิ่งรายการสุดท้ายออกมานี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
เอาเป็นต่อให้ผมพูดเวอร์เกิดไปบ้างแต่บอกได้เลยว่าผู้คนต้องจดจำโรงประมูลห้วงเวลาและกาลอวกาศไปอีกนาน และไม่น่าพลาดการประมูลครั้งต่อไปแน่นอน”
ทั้งจ้าวของโรงประมูลและคนอื่นๆตอนนี้ทำได้แค่ส่ายหัวไม่ยอมรับอย่างเท่านั้น พวกเขาเข้าใจแล้วว่าตอนนี้โรงประมูลห้วงเวลาฯ ได้รับการยอมรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่การค่อยๆพัฒนาความนิยมแบบโรงประมูลอื่นแต่เป็นการ ก้าวนำหน้าโรงประมูลอื่นในทีเดียว
ในขณะเดียวกันข่าวเรื่องการประมูลในวันนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่แค่เรื่องรายได้จากการประมูลเท่านั้น ยังรวมถึงเรื่องที่ซูจิ้งได้มอบกระโหลกมนุษย์ปักกิ่งให้แก่สถาบันพิพิธภัณฑ์แห่งชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทุกคนที่คอยจับตาดูซูจิ้งที่พร้อมจะลากซูจิ้งลงมาได้ทุกเมื่อต่างถึงกับพูดไม่ออก ซูจิ้งตอนนี้ไม่ใช่เพียงแค่ผู้ถือครองแต่ตอนนี้กลายเป็นคนที่ทุกคนในชาติต้องติดหนี้บุญคุณอย่างไม่อาจหาใครเปรียบได้
ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่เหล่าคนที่เฝ้ามองซูจิ้งอยู่ในเงามืด ธุรกิจต่างๆและทรัพย์สมบัติมากมายของซูจิ้งต่างเย้ายวน
ต่อให้พวกเขารู้ว่าซูจิ้งมีคนหนุนหลังมากมายแค่ไหนแต่คนพวกนี้ก็ละโมบจนทำให้คนพวกนี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
ณ ตระกูลซงเมืองจงหยุน ผู้นำตระกูลซง ซงเกาหยุน และนายน้อยตระกูลซง ซงจุนยี้ ได้มองไปที่สายเรียกเขาด้วยท่าทางไม่ค่อยอยากแต่สุดท้ายก็ต้องรับเพราะสายนี่พิเศษไปจากสายอื่น
เมื่อรับสายได้เสียงราบเรียบได้พูดมาจากปลายสายว่า “เท่าที่ฉันรู้ ซูจิ้งได้ทำให้ตระกูลซงตกต่ำลง และทำให้ซงจุนฮัวนายน้อยคนที่สองขางนายเข้าคุกไป
ตอนนี้ควรถึงเวลาแล้วที่เราต้องทำอะไรบางอย่างกับมัน นายไม่ลองคิดดูหน่อยหรอ
ซูจิ้งมีทั้งสมบัติมากมายและธุรกิจใหม่ๆตลอดเวลา นายไม่อยากรู้หรอว่าทำไมมันถึงทำได้ทำไมมันถึงมี
นายเองก็อยู่เมืองจงหยุน แถมเจ้าเด็กนี่ก็อยู่แค่ใต้จมูกนาย มันไม่ยากเลยที่นายจะคอยจับตาดูเจ้าเด็กนี่ไว้”
“แต่ว่านะพี่จ้าว เด็กนี่คือนายน้อยคนที่สี่ของตระกูลหวังนะ” ทั้งซงเกาหยุนและซงจุนยี้ต่างก็รู้สึกอับอายกับเรื่องนี้ ตอนแรกซูจิ้งเป็นเพียงมดตัวเล็กๆในสายตาพวกเขา แต่ตอนนี้กับกลายเป็นคนที่พวกเขาได้แต่แหงนหน้ามอง
“ในสายตาของฉัน นายน้อยตระกูลหวังมีเพียงแค่สามคนเท่านั้น เจ้าคนที่สี่นั่นไม่ใช่อะไรเลย ไม่ใช่แม้แต่สายเลือดตระกูลย่อยซะด้วยซ้ำ แล้วนายจะไปกลัวอะไร ฉันยอมเป็นคนหนุนหลังนายเลยนะ เอางี้นายไม่ต้องทำอะไรมาก แค่คอยจับตาดูมันไว้ให้ฉันก็พอ”
“พี่จ้าวคุณควรคิดให้ดีก่อนนะ”
หลังจากนั้นสายก็ถูกตัดไป ทั้งสองนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วซงเกาหยุนก็ได้พูดออกมาว่า “จุนยี้ ลูกคิดว่าไงกับเรื่องนี้”
“ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสดีที่เราจะได้เกาะตระกูลจ้าวแห่งเมืองหลวง แต่ถ้าเกิดปัญหาขึ้นหล่ะก็ จ้าวซือเฟิงก็น่าจะใช้พวกเราเป็นไม้กันหมาแน่นอน
ซูจิ้งเองก็มีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแถมจัดการได้ไม่ง่าย
แค่ความสามารถของหมดนั่นคนเดียวเราก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่ละคนที่หาเรื่องซูจิ้งไม่เห็นมีใครได้ดีเลยซักคน ผมคิดว่าเราไม่ควรไปยุ่ง อย่างน้อยก็ในตอนนี้ รอดูสถานการณ์ไปก่อนดีกว่า” ซงจุนยี้พูดออกมาอย่างจริงจัง
“อืมมม พ่อก็คิดแบบเดียวกัน ให้คนอื่นทำไปก่อนก็แล้วกัน” ซงเกาหยุนพยักหน้ารับ
“ซูจิ้งดังใหญ่แล้วแหะ” ในห้องๆหนึ่ง ชายหนุ่มหน้ายาวพูดออกมาอย่างหมั่นไส้
“ฉันละอยากปล้นสมบัติของมันซะจริงๆ โคตรอิจฉาเลย” ชายหนุ่มอีกคนก็ตอบสนองในทำนองเดียวกัน
“ได้ข่าวว่าเขาเป็นแฟนเก่าของหวางหยานนี่” ชายหนุ่มอีกคนเอ่ยถามขึ้นมา
“อืม ใช่แล้วหล่ะ ตอนนั้นที่ไอ้เวรนี่เล่นเพลง “ณ ชั่วขณะจิตแห่งความสวยงาม” ออกมาทำให้หวางหยานถึงกับร้องไห้ไปหลายวันเลย ตอนแรกฉันได้ให้พ่อแม่เธอยินยอมนัดบอดอีกครั้ง แต่หลังจากฟังเพลงนั้น
เธอกลับบอกว่าไม่มีอารมณ์ จนบอกว่าถ้าบังคับเธอมากๆจะฆ่าตัวตายทันที” ชายหนุ่มหน้ายาวกัดฟันพูดอย่างเกลียดชัง
ครั้งสุดท้ายที่เขาพอหวางหยานไปเจอซูจิ้ง เขานั้นไม่ได้อะไรเลยสักนิด แถมยังยิ่งรู้สึกว่าหวางหยานจะรู้สึกผิดและยิ่งหลงซูจิ้งมากกว่าเดิมซะด้วยซ้ำ แค่เพลงๆเดียวทำไมถึงสื่ออารมณ์ออกมาได้ขนาดนั้น มันทำได้ยังไงกัน
“นายต้องการที่จะ…” ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดพูดออก เขาเองก็อยากจะถามว่าจะเล่นงานซูจิ้งกันไหมแต่ปัญหาคือตอนนี้ซูจิ้งมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาอีกต่อไปแล้ว
“ฉันแน่ใจเลยว่าต้องมีใครซักคนอยากจะเล่นงานหมอนี่อย่างโจ่งแจ้งแน่นอน” ชายหน้ายาวพูดด้วยเสียงเดียดฉันท์
ในขณะเดียวกัน ก็ได้มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้สุมไฟให้การเกลียดชังนี้ขึ้นในโลกแห่งอินเตอร์เนต ซึ่งคนพวกนี้คือคนที่คอยจับตาดูซูจิ้งแล้วคิดว่าซูจิ้งมีการพัฒนาที่เร็วเกินไป แต่คราวนี้เหมือนพวกเขาจะไม่สามารถอดกั้นไว้ได้อีกแล้ว ส่วนหนึ่งก็มาจากงานประมูลที่ถูกจัดขึ้นยิ่งทำให้เป็นที่พูดถึงในอินเตอร์เนตอย่างแพร่หลาย แม้แต่คนที่ไม่รู้เรื่องก็ยังต้องผสมโรงเข้าไปด้วย
“ฉันเคยได้ยินมาว่าซูจิ้งเคยมีของโบราณก่อนงานประมูลซะอีก มันไปหามาจากไหนกัน”
“ของพวกนั้นเป็นของที่ไม่มีทางที่แค่มีเงินก็หามาได้ แล้วเขาไปได้มายังไงตั้งเยอะแยะขนาดนั้น”
“ยิ่งกว่านั้นฉันได้ยินมาว่าเขานั้นเป็นแค่คนธรรมดา ทำอะไรก็ไม่เคยสำเร็จซักอย่าง ลอยชายไปเรื่อยเปื่อย พอรู้ตัวอีกในเมืองของฉันก็บอกว่าเขานั้นเป็นเชฟขั้นเทพ นักฝึกสัตว์ นักดนตรีกู่ฉินระดับตำนาน แถมยังเป็นสุดยอดปรมาจารย์วรยุทธ์ในเมืองฉิงหยุน มันไม่แปลกไปหน่อยหรอที่อยู่ๆก็เป็นกันได้”
“พูดถึงเรื่องนะ ฉันเองก็เป็นปรมาจารย์หล่ะเอ่อ”
“ประมาจารย์บ้าบออะไรเยอะแยะ นายคิดว่าอ่านนิยายอยู่รึไง”
“ฉันคิดว่าเป็นเพราะเขาลาออกเพื่อที่จะกลับไปพัฒนาตัวเองที่เมืองเกิดนะ”
“ฉันอยากรู้จริงๆว่าเขาจะรู้บ้างไหมว่าเขาไม่จำเป็นต้องมีความสามารถมากมายเหมือนกับสมบัติของเขาก็ได้ แค่หนึ่งทักษะ หนึ่งสมบัติก็มากพอแล้ว”
บนโลกอินเตอร์เน็ตตอนนี้ต่างพูดคุยเรื่องซูจิ้งในหลากหลายทิศทาง เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งถึงกับตั้งกระทู้ในโพสบาร์ในหัวข้อเส้นทางการเติบโตของซูจิ้ง พร้อมพูดคุยกันต่างๆนานา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า
ตอนที่ 705
เครือข่ายของผู้มีความอัจฉริยะ
ซูจิ้งไม่ได้สนใจโลกภายนอกว่าจะพูดถึงเขาเรื่องอะไรหรือจะก่อวอดอะไรก็ตาม
แม้ว่าพวกเขาจะคาดการณ์สาเหตุต่างๆนานาว่าทำไมเขาถึงได้พัฒนาตัวเองเร็วขนาดนี้ได้
ต่อให้รู้ความจริงแล้วพวกเขาจะทำอะไรได้ ไม่มีทางมีสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศจะอยู่ๆไปโผล่อยู่หลังบ้านพวกนั้นแบบเขาอย่างแน่นอน
ซูจิ้งในตอนนี้มีความสุขอยู่กับเงินที่ได้จากโรงประมูลห้วงเวลาฯ ของเขา ไม่เพียงแต่จะได้เงินมากกว่าที่คิด
แถมเขายังไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมอีกด้วย
นั่นทำให้เขาเริ่มคิดว่าถึงเวลาเขาที่จะขยายกำลังการผลิตปฏิสสารได้สักที
ในตอนนี้สินค้าของเขาทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ผลกำไรที่ได้จากแผงพลังงานแสงอาทิตย์ การขายของขวัญ เสื้อกันกระสุนใยแมงมุม แป้งเม่ยหยาน ร้านขายเสื้อผ้า การท่องเที่ยว ซอสมะเขือเทศ ไวน์จิ้งจอกแดง สุดยอดไวน์ ร้านอาหาร เทียนคงเฉาหยู ผงลดน้ำหนัก ฟาร์มม้า ฯลฯ ได้สร้างผลกำไรให้กับเขามากกว่า 400 ล้านหยวนต่อเดือน บางเดือนก็ได้ 500 ล้านหยวนด้วยซ้ำ
ยิ่งรวมกับเงินที่ได้จากโรงประมูลทำให้รายได้ต่อเดือนมากอย่างไม่ต้องนับ
เงินที่ใช้ลงไปกับการสร้างปฏิสสารตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 500 ล้านหยวนต่อเดือนซึ่งรายได้ตอนนี้ถือได้ว่าค่อนข้างเกินดุลอยู่บ้าง ถ้าหลังจากขยายกำลังการผลิตแล้วทำให้สถานีกำจัดขยะเพิ่มระดับได้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
อย่างไรก็ตามตอนนี้ซูจิ้งกำลังเผชิญปัญหาสำคัญปัญหาหนึ่งอยู่
ถึงแม้ว่าการผลิตปฏิสสารจะเป็นระบบอัตโนมัติก็ตาม แต่ยังไงซะก็ต้องมีคนคอยตรวจสอบกระบวนการทำงานอยู่ดี เพราะกระบวนการผลิตชอบมีปัญหาเล็กๆน้อยๆอยู่บ่อยครั้ง
ด้วยเหตุนี้ ทั้งปันฉางและมนุษย์ต่างดาวต้องวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ถ้าขยายกำลังการผลิตตอนนี้ทั้งสองต้องวุ่นวายทั้งวันทั้งคืนเป็นแน่ คงจะต้องหาใครซักคนมาช่วยงานเพิ่มก่อน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมนุษย์ต่างดาว หรือการผลิตปฏิสสารก็ตาม
ทั้งสองเรื่องนี่ไม่อาจจะให้คนทั่วไปรู้เรื่องได้อย่างไม่ต้องสงสัยต้องเป็นคนที่เชี่อใจได้เท่านั้น แถมคนๆนั้นยังต้องมีความรู้เรื่องปฏิสสารมาช่วยทำงานเพิ่มอยู่ดี
ช่างเป็นเรื่องน่าปวดหัวจริงๆ จะไปมีทางหาคนที่มีความสามารถและยอมรับอะไรง่ายๆอย่างปันฉางได้ที่ไหนอีก
ซูจิ้งพลางนึกถึงรายชื่อเหล่าอัจฉริยะที่เขาเคยได้มาก่อนหน้านี้จากโจวเทียนรุยจึงได้นำมันออกมา
ถึงแม้เขาจะให้เสี่ยวหยวนช่วยทำรายชื่อจากอินเตอร์เน็ตให้เขาแล้ว แต่รายชื่อพวกนั้นยังไม่ทำให้เขาเจอคนที่เหมาะสมอยู่ดี ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจโทรหาโจวเทียนรุย
โจวเทียนรุยรับโทรศัพท์ทันทีที่เห็นว่าเป็นซูจิ้งพร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซู ลมอะไรทำให้คุณยกโทรศัพท์โทรมาหาผมได้เนี่ย”
ซูจิ้งยิ้มแล้วตอบไปว่า “ผมโทรไปกวนรึเปล่า”
โจวเทียนรุยตอบมาว่า “การทำงานกับคุณผมไม่ถือว่าเป็นการกวนเลยซักนิด ยินดีซะด้วยซ้ำไป มุมมองทางธุรกิจของคุณสุดยอดจริงๆ แต่ด้วยเรื่องนี้ทำให้หลายๆฝ่ายเริ่มเพ่งเล็งไปทางคุณแล้วนะ ถึงแม้ตอนนี้คุณจะเป็นคุณชายสี่แห่งตระกูลหวังแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังรับประกันไม่ได้ว่าจะไม่มีคนก่อเรื่องอยู่ดี คุณเองก็ระวังตัวหน่อยละกัน”
ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า “ขอบคุณที่เตือนผมนะ ผมจะคอยระวังตัวไว้ ที่ผมโทรมาวันนี้พอดีจะมีเรื่องรบกวนหน่อยนะ รายชื่อเหล่าอัจฉริยะที่ได้มาจากคุณครั้งก่อนช่วยผมได้มากเลย ไม่รู้ว่าคุณได้ปรับปรุงรายชื่อรึยัง ถ้ามีช่วยบอกผมหน่อยสิ”
“ผมก็พอนึกออกนะว่าคุณจะนำรายชื่อของผมไปใช้ประโยชน์ได้แต่ผมไม่คิดว่าคุณจะสามารถชนะใจสามคนนั้นได้เร็วขนาดนี้เหมือนกัน ทั้งปันฉาง เทาจง และเฉิงหนาน ผมนี่ทึ่งในความสามารถของคุณจริงๆ
คุณนี่ต้องการไล่จับเหล่าอัจฉริยะของโลกใบนี้ให้หมดเลยซินะ” โจวเทียนรุยถอนหายใจออกมา ที่จริงเขาไม่ได้รู้จักแค่สามคนนั้นหรอก แต่เขายังรู้จักอีกคนหนึ่ง มีอีกคนหนึ่งแต่เขานั้นได้หลุดจากโพหลายชื่อไปด้วยเหตุผลบางอย่าง
โจวเทียนรุยชะงักไปซักครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกมาว่า “ผมยังรู้จักอยู่อีกคนหนึ่ง แล้วก็ผมนั้นปรับปรุงรายชื่อนั้นแล้วจริงๆ เอางี้แล้วกันผมขอส่งข้อมูลอัจฉริยะคนที่สี่ให้คุณก่อนแล้วกัน ส่วนคนที่เหลือผมขอเป็นคนคุยก่อนแล้ว
ถ้าพวกเขาไม่ยอมร่วมงานกับผม ผมถึงจะส่งข้อมูลพวกเขาให้คุณ ถึงแม้บางคนจะไม่สามารถเรียกได้ว่าอัจฉริยะ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนมีความสามารถสูงอยู่ดี คุณคิดว่าเป็นยังไง”
“ขอบคุณมาก” ซูจิ้งบอกขอบคุณไปอย่างดัง โจวเทียนรุยรู้จักวิธีการการดูคนจริงๆ แถมยังดูเฉพาะคนที่เก่งจริงๆซะด้วย เหมือนกับว่าเขานั้นเป็นนักล่าสมบัติที่ออกตามหาสมบัติมาเก็บสะสมแต่โจวเทียนรุยเปลี่ยนจากสมบัติมาเป็นตามหาคนเก่งๆแทน
ด้วยการที่ตระกูลโจวมุ่งเน้นในการหาคนเก่งๆ และเหล่าอัจฉริยะเพื่อมาทำงานให้ ด้วยวิธีการนี้จะทำให้ตระกูลโจว สามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในไม่ช้าจะมีความสามารถแข่งขันกับสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุนได้อย่างแน่นอน และบางทีอาจจะเหนือการในไม่นานนัก
ซูจิ้งคิดถึงเรื่องที่เขาเองก็พอที่จะหาคนเก่งที่มีความสามารถสูงมาได้เหมือนกัน คนแรกเว่ยเสี่ยวหยวนที่ทำหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลข่าวสาร
อย่างไรก็ตามความสามารถของเธอนั้นก็ยังมีขีดจำกัด(เก่งเฉพาะข้อมูลในเน็ต) เพราะว่าเธอทำงานคนเดียว ยังดีหน่อยที่เธอเป็นเจ้านายตัวเองทำให้ไม่ต้องวุ่นวาย แถมยังสามารถขอให้ซูฉือช่วยได้ในบางครั้ง
หลังจากวางสายไม่นาน โจวเทียนรุยได้ส่งข้อมูลมาให้ ข้อมูลที่เขาได้รับคราวนี้ได้มามากกว่าคราวก่อน ซึ่งแน่นอนว่ามีข้อมูลของคนที่มีความสามารถมากกว่าคราวก่อนเช่นกัน
ส่วนใหญ่ถึงแม้จะไม่สามารถเรียกว่าเป็นอัจฉริยะได้แต่ก็ยังถือว่ามีความสามารถอยู่ดี แต่หนึ่งในนั้นมีการทำเครื่องหมายว่าเป็นยอดอัจฉริยะ
“นี่คือ.. ” ซูจิ้งตาส่องเป็นประกายในทันทีที่เห็นสัญญาลักษณ์ที่ทำไว้ ชายวัยกลางคนคนนี้ชื่อหลัวเทียนฟู่
ในรูปเขาไว้หนวดทำให้ดูเหมือนคุณลุงข้างบ้านซะมากกว่า แต่เขาต้องรู้สึกตกใจทันทีที่เห็นประวัติ
ชายคนนี้เข้าเรียนที่ ม.ปักกิ่งตั้งแต่อายุ 13 ปี และจบ ดร. ตอนอายุ 19 ปี หลังจากนั้นได้เข้าร่วมสถานีวิจัยนิวเคลียของสถาบันวิทยาศาสตร์ประเทศจีนเป็นเวลา 5 ปี
ในช่วง 5 ปีนั้นเขาทำผลงานไว้หลายอย่าง เขาได้รับสิทธิบัตรจากงานวิจัย 2 ชิ้น หลังจากนั้นเขาถูกดึงตัวให้ไปทำงานกับสถาบันวิจัยเอกชนแห่งหนี่งพร้อมได้เงินเดือนที่สูงลิ่วและดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสถาบันวิจัยแห่งนั้น
ที่นั่นเขายังคงสร้างผลงานวิจัยออกมาอย่างต่อเนื่อง และแต่ละชิ้นสร้างความสั่นสะเทือนให้กับวงการวิทยาศาสตร์ทั้งนั้น
และในตอนนี้เองเขามีความสนใจในการทำวิจัยเกี่ยวกับปฏิสสารจนถือได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง
“มันคงจะเป็นเรื่องที่ดีแหะถ้าฉันได้หลัวเทียนฟู่มาร่วมงาน” ซูจิ้งเริ่มเตรียมตัวในทันทีพลางนึกถึงเรื่องที่เคยคิดค้างเอาไว้
เครื่องผลิตปฏิสสารถึงแม้จะถูกคุมด้วยมนุษย์ต่างดาวอยู่ในตอนนี้แต่มันก็ยังต้องการผู้ช่วยสักคนมาช่วยงาน
และคนๆนั้นต้องเป็นอัจฉริยะหรือไม่ก็ใครซักคนที่เข้าใจเรื่องพวกนี้มาคอยสนับสนุนงานซักครึ่งวันก็ยังดี
ถ้าเอาคนที่ไม่รู้เรื่องมาทำงานล่ะก็ได้เกิดความโกลาหลอย่างแน่นอน และจากในรายชื่อพวกนี้ ตอนที่เขาลองเปิดดูเมื่อกี้เขานั้นยังไม่เห็นใครที่มีความเหมาะสมเท่ากับหลัวเทียนฟู่
ถ้าได้หลัวเทียนฟู่มาเขาจะได้ดำเนินการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารได้ซักที
ตอนที่ซูจิ้งดูข้อมูลต่อไปนั้นเขานั้นถึงกับตกใจกับความสามารถของหลัวเทียนฟู่ ตอนนี้เขาเปลี่ยนใจแล้ว
ไม่แค่พยายามดึงตัวมาทำงานแต่ต้องเอาตัวมาให้ได้ นั่นก็เพราะว่าชายคนนี้ไม่ใช่แค่พอรู้จัก
แต่พูดได้ว่าเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงจะเป็นเพียงในทางทฤษฎีก็ตาม
ถ้าพูดตรงๆชายคนนี้อยู่ห่างจากความลับในเรื่องปฏิสสารอีกเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น
เมื่อตัดสินใจได้ซูจิ้งจึงหารายละเอียดเกี่ยวกับที่ทำงานปัจจุบันของหลัวเทียนฟู่ทันที แต่ทันทีที่เขาห้องถึงกับต้องนิ่งไปเล็กน้อย ไม่นานนักเขาก็ยิ้มกว้างออกมาก่อนจะพูดลอยๆว่า
“งานนี้ง่ายกว่าหาเงินอีกนะเนี่ย” ซูจิ้งมีความสุขขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นชื่อสถาบันวิจัยที่หลัวเทียนฟู่ทำงานอยู่ นั่นก็คือสถาบันวิจัยผลิตภัณฑ์ที่อยู่ภายใต้ร่มธงของตระกูลเฉียน
ถึงแม้จะไม่ใด้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้เฒ่าเฉียนโดยตรงแต่ก็เป็นหลานของเขา
ถึงแม้การทำอย่างนี้จะทำให้ตระกูลเฉียนเสียประโยชน์แต่ตระกูลเฉียนก็คงจะยังไว้หน้าเขาอยู่บ้าง
อีกอย่างคือหลานของผู่เฒ่าเฉียนคนนี้จ่ายค่าตัวเหลาเทียนฟู่ด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก ซูจิ้งไม่อยากต้องจ่ายเงินเกทับมากมายขนาดนั้นเพื่อซื้อตัวเหลาเทียนฟู่มา
สิ่งที่เขาอยากทำก็แค่เปิดปากพูดนิดหน่อยแล้วอีกฝั่งยอมยกให้เหมือนสิงโตที่แค่อ้าปากก็มีคนกระโจนเข้าไปในทันที
ดังนั้นซูจิ้งจึงตัดสินใจไม่โทรหาผู้เฒ่าเฉียนแต่เลือกที่จะโทรหาเฉียนไจบิงแทน แต่เธอไม่ยอมรับสาย ซูจิ้งจึงได้โทรหาเฉียนหยินหนิงแทนอีกที เฉียนหยินหนิงได้รับด้วยรอยยิ้มพร้อมพูดออกไปทันทีว่า “ว่าไงคะท่านเทพ”
“ห้ะ อย่ามาเรียกผมว่าเทพนะ คุณกล้าเรียกผมอย่างนั้นได้ยังไงเนี่ย” ซูจิ้งเมื่อได้ยินก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เธอเองก็ชอบเอาเรื่องนี้มาพูดเล่นซะจนติดเป็นนิสัยไปแล้วซูจิ้งได้ถามหลังจากโวยไปว่า “ผมมีเรื่องต้องกวนคุณหน่อย คุณพอจะรู้จักเจ้าของสถาบันวิจัยทางกายภาพที่ชื่อเฉียนจานฮวงมั่งรึเปล่า”
“รู้จักนะทำไมหรอ” เฉียนหยินหนิงได้ถามกับด้วยความสงสัย
“จะเป็นอะไรไหมถ้าผมอยากจะให้คุณแนะนำผมให้เขารู้จัก” ซูจิ้งถาม
“ไม่มีปัญหาอยู่แล้วน่า เขาเป็นลุงสุดที่รักของฉันเองและเราก็สนิทกันมากเลยนะ ตอนนี้ฉันว่างพอดี แล้ววันนี้เขาก็น่าจะว่างด้วยเหมือนกัน ถ้างั้นไปหาเขากันเลยไหม” เฉียนหยินหนิงถามด้วยรอยยิ้ม
“ดีเลยขอบคุณมาก” ซูจิ้งตอบรับด้วยรอยยิ้ม หลังจากนัดแนะสถานที่กัน ซูจิ้งได้ขับรถไปยังเมืองข้างๆเพื่อที่จะนั่งรถไฟหัวกระสุน ระหว่างนั้นเขาได้รับโทรศัพท์จากเฉียนไจบิง หลังจากเล่าเหตุการณ์ไปให้ฟัง ไจบิงเองก็บอกว่าจะไปด้วยเหมือนกันดูเหมือนแค่เฉียนหยินหนิงคนเดียวจะไม่พอจริงๆแหะ
ตอนที่ 706
ออกแบบสวน
ซูจิ้งต้องใช้เวลาสองถึงสามชั่วโมงในการเดินทางไปเมืองไฮ่หลัน
ตระกูลเฉียนนั้นถึงมาจะตั้งรกรากที่เมืองหลวงแต่ก็มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองไฮ่หลัน
พวกเขามีธุรกิจมากมายอยู่ที่นั่น อีกทั้งผู้ว่าการเมืองเองก็ยังเป็นคนตระกูลเฉียนอีกด้วย
ลุงของเฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงที่ชื่อเฉียนจานฮวงเองก็เป็นถึงเจ้าของบริษัทโฆษณายักษ์ใหญ่ในเมือง
ซูจิ้งตอนนี้หยุดอยู่ที่หน้าประตูชุมชนแห่งหนึ่ง เฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงก็ได้เดินมาหาเขา
เฉียนไจบิงได้ถามซูจิ้งว่า “คุณซู ฉันได้ยินมาว่าคุณอยากพบลุงของฉัน ฉันเข้าใจว่าโดยปกติคุณจะไม่ขอพบคนอื่นถ้าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น พอจะบอกฉันได้ไหมว่ามีเรื่องอะไร เรื่องใหญ่รึเปล่า”
“ไม่มีอะไรมากหรอกขอผมจะถามเขาเรื่องใครซักคนน่ะ” ซุจิ้งตอบออกมา
“ใคร สวยรึเปล่า” เฉียนหยินหนิงถามแบบกระเช้าเย้าแหย่
“ผมมาแฟนแล้วนะ จะหามาเพิ่มเพื่อ…” ซูจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้มพร้อมพูดต่อว่า “เขามีชื่อว่าหลัวเทียนฟู่นะ ตอนนี้น่าจะเป็นผอ.สถาบันวิจัยของลุงคุณ ผมอยากซื้อตัวเขาน่ะ”
เฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงถึงกับอ้าปากหวอขึ้นมา ความต้องการของซูจิ้งช่างหาญกล้ายิ่งนัก เขารู้จักเหลาเทียนฟู่เป็นอย่างดีนั่นก็เพราะว่าเฉียนจานฮวงให้ความสำคัญต่อเขาอย่างมาก
พวกเธอยังรู้อีกว่าถึงแม้ที่นี่จะไม่ได้สร้างผลกำไร ไม่มีการวิจัยงานด้านวิทยศาสตร์และเทคโนโลยี หรือสนับสนุนอัจฉริยะบุคคลก็ตาม แต่เขาก็มีความทะเยอทะยานสูง
“ทำไมหล่ะ ยากที่จะดึงตัวมางั้นหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“มันไม่ยากที่จะพอนายมาที่นี่เพื่อแนะนำตัวให้เธอรู้จักลุงของฉันหรอก แต่เรื่องซื้อตัวนี่ไม่ใช่แค่เรื่องที่เราสามคนจะทำได้เลยนะ ฉันว่าเรียกคุณปู่มา…” หยินหนิงพูดยังไม่ทำจบดีซูจิ้งก็พูดมาว่า
“ไม่ต้องหรอก แค่คุณพาผมไปหาลุงคุณก็พอแล้ว ที่เหลือผมจัดการเอง” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม
“สิ่งที่นายกำลังจะทำเหมือนไปขุดหัวใจเขาออกมา นายคิดว่ามันง่ายหรอทีจะสำเร็จน่ะ” เฉียนไจบิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่หนูไม่คิดอย่างนั้นนะ คุณลุงเองเขาก็รู้ว่าซูจิ้งเป็นคนช่วยชีวิตคุณปู่ บางทีเขาอาจจะยอมเจ็บปวดเพื่อตอบแทนบุญคุณแทนคนที่เขารักก็ได้นะ อีกอย่างถ้าหนูขอเขา ลุงเขาไม่เคยปฏิเสธหนูเลยนะ” เฉียนหยินหนิงพูดออกไปด้วยร้อยยิ้ม
“ก็ได้แต่ลองหล่ะนะ” เฉียนไจบิงพูดพลางส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม เธอพลางคิดไปว่าคำขอที่หยินหนิงเคยขอลุงของพวกเธอตอนเด็กๆนี่เทียบไม่ได้สักเสี้ยวของคำขอของซูจิ้ง ตอนนั้นไม่แปลกที่จะทำตามแต่นี้มันต่างกันเกินไป
เฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงพาซูจิ้งเข้าไปในชุมชน
ที่ตึกๆหนึ่งของชุมชนซึ่งเป็นบ้านเดี่ยวที่เต็มไปด้วยพืชพรรณที่สวยงาม
ที่นี่คือชุมชนของเหล่าคนรวยอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาไปถึงบ้านหลังหนึ่งโดยที่ประตูบ้านกำลังเปิดอยู่
ตอนนั้นมีรถบรรทุกคนหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูบ้าน โดยในรถบรรทุกเต็มไปด้วยต้นไม้ดอกไม้สวยๆหลายต้น
พวกเขาเห็นว่ามีคนกำลังขนลงพร้อมนำไปปลูกไว้ในสวน โดยมุมหนึ่งของสวนได้จัดเสร็จแล้วและมันดูสวยงามมาก
“ดูเหมือนว่าคุณลุงกำลังแต่งสวนนะ นี่เขาถึงกับหานักแต่งสวนมาเลยหรอเนี่ย” เฉียนหยินหนิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันคิดว่างั้นนะ” ไจบิงพบักหน้ารับ แล้วพวกเขาก็เดินเข้าไป
“หยินหนิง ไจ่บิง ลมอะไรพาพวกเธอมาหาลุงกันเนี่ย” เสียงหัวเราะของชายคนหนึ่งที่อายุประมาณ 50 ปี ดังออกมา ตัวของเขาตอนนี้เปื้อนดินและพืชอยู่เต็มตัวไปหมด เขาเดินออกมาจากหลังต้นไม้ต้นหนึ่งมาหาทั้งสองอย่างรวดเร็ว ซึ่งบริเวณต้นไม้มีหญิงอายุประมาณ 50 ปี หันมาหาพร้อมยิ้มให้ทั้งสองคน
“สวัสดีค่ะลุงใหญ่ ป้าใหญ่” เฉียนไจบิงและเฉียนหยินหนิงกล่าวทักทายทั้งสองคน
“ข้างนอกมีแต่ฝุ่นนะ เราเข้าไปคุยกันข้างในกันดีกว่า” เฉียนจานฮวงและภรรยาของเขากล่าวทักทายแล้วนำทุกคนเข้าไปในบ้าน
“อ้อ พวกเราพาใครบางคนมาแนะนำให้คุณลุงรู้จักค่ะ ลุงเองก็เคยบอกว่าอยากเจอซูจิ้งซักครั้งด้วย” เฉียนหยินหนิงแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน
“สวัสดีคุณซู ฉันอยากไปพบคุณตั้งนานแล้ว ไม่คิดว่าคุณจะเป็นฝ่ายมาหาซะเอง” เฉียนจานฮวงและภรรยาเองก็สังเกตุเห็นซูจิ้งมาซักพักใหญ่แล้วแต่ไม่แน่ใจว่าใช่รึเปล่าแค่นั้นเอง
“สวัสดีครับลุงเฉียน” ซูจิ้งแสดงท่าทางคำนับ
“เราอย่ามามันยืนกันอยู่เลย เรามานั่งคุยกันดีกว่า” ภรรยาของเฉียนจานฮวงกล่าวออกมา
ภรรยาของเฉียนจานฮวงกล่าวออกมาอย่างอบอุ่นต่อซูจิ้งพร้อมทั้งได้นำกระบอกชาออกมาเพื่อเรียมนำมาชง
เฉียนจานฮวงนั้นค่อนข้างจะปลื้มซูจิ้งค่อนข้างมากเพราะเขาเป็นคนที่ช่วยชีวิตผู้อาวุโสตระกูลเฉียน เขาได้กล่าวซูจิ้งว่าเป็นยอดคนของรุ่นนี้ นั่นทำให้ซูจิ้งถึงกับเขินกันเลยทีเดียว เฉียนจานฮวงเองก็เริ่มดูออกว่าซูจิ้งนั้นเริ่มทำตัวไม่ถูกเขาก็เลยเริ่มเข้าเรื่องเลยว่าซูจิ้งมาหาเขาทำไม
ซูจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ไม่ได้คิดจะเริ่มการคุยเพื่อซื้อตัวเหลาเทียนฟู่ เขาหันไปมองสวนทางหน้าต่างแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “คุณเฉียน คุณกำลังแต่งสวนใหม่ใช่ใหม่ใช่ไหมครับ สวยดีนะ ว่าแต่คุณจ้างใครมาแต่งสวนกันล่ะ”
“คนนั้นไง ปรมาจารย์ซุน” เฉียนจานฮวงชี้ไปที่ชายวัยกลางคนดูภูมิฐานที่กำลังสั่งงานคนสวนอยู่ข้างนอก แล้วเขาก็พูดว่า “แน่นอนว่ามีบางส่วนที่ฉันออกแบบเอง มันดูดีรึเปล่า คุณซูเองก็สนใจในเรื่องจัดสวนด้วยอย่างงั้นหรอ ถ้าไม่ว่าอะไรผมเองสามารถจะแนะนำคุณซุนให้กับคุณแล้วขอให้เขาจัดสวนให้คุณอีกคนคุณว่าดีไหม”
“คุณลุงพลาดแล้วล่ะ” เฉียนหยินหนิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ต่อให้เป็นปรมาจารย์ซุนหนูก็กลัวว่าจะเทียบผีมือไม้ได้แม้แต่ปลายรองเท้าของซูจิ้งนะหนูว่า” เฉียนไจบิงหัวเราะออกมา
“เธอหมายความว่ายังไงล่ะนั่น” เฉียนจานฮวงเองถามออกมาว่าเขาทำอะไรพลาดไป
“เดี๋ยวหนูจะให้คุณลุงดูรูปอะไรซักหน่อยนะคะ” เฉียนหยินหนิงนำรูปสวนบ้านซูจิ้งที่เคยถ่ายไว้ในโทรศัพท์ออกมาให้ดู มันเป็นรูปถ่ายจากหลายมุมมองแต่ทุกรูปกลับเป็นรูปสวนที่สวยมากๆไม่ว่าจะถ่ายจากมุมไหนก็ตาม
“ว้าว” เฉียนจานฮวงและภรรยาต้องอุทานออกมาอย่างดัง
“ฉันไม่เคยเห็นสวนที่ดูสวยขนาดนี้มาก่อนเลย” ภรรยาของเฉียนจานฮวงกล่าวชมออกมาด้วยความประทับใจ เธอเองก็ไม่เคยสนใจเรื่องแต่งสวนมากก่อน เธอนั้นไม่เข้าใจว่าเฉียนจานฮวงนั้นจะทำไปทำไมแต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วพร้อมทั้งเธอก็อยากได้สวนแบบนี้ไว้ในแบบสักส่วนก็ยังดี
“สมบูรณ์แบบมาก เจ้าสวนนี่อยู่ที่ไหนกัน” เฉียนจานฮวงถามออกมาด้วยความตื่นเต้น
“สวนนี้เป็นสวนหลังบ้านคุณซูค่ะ เขาแต่งสวนของเขาเอง” ไจบิงตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“โอ้พระเจ้า ฉันคิดว่าสวนที่ฉันออกแบบมาก็เกือบจะเลือกได้ว่าสมบูรณ์แบบแล้วนะ แต่พอเทียบกับของซูจิ้งนี่สวนของฉันเทียบไม่ติดเลยซักนิด
ฉันอุตส่าห์ทุ่มทุนสร้างไปขนาดนี้พอเทียบกันแล้วถือว่าสวนบ้านฉันนี่น่าเกลียดได้เลย” เฉียนจานฮวงและภรรยานึกไม่ถึงว่าซูจิ้งเองจะมีฝึมือด้านนี้ด้วยเหมือนกัน
“ลุงเฉียน พอจะให้ผมแต่งสวนให้คุณได้ไหมครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ที่นี่น่ะหรอ มันจะเป็นการรบกวนคุณมากไปรึเปล่า” ตาของเฉียนจานฮวงส่องประกายขึ้นมา นี่เขายังไม่ได้ตอบแทนน้ำใจที่ซูจิ้งมีให้ตระกูลเฉียนเลย กลายเป็นซูจิ้งเอ่ยปากช่วยเหลือเขาซะอีก แถมซูจิ้งก็ยังมาในฐานะแขกด้วย เขายังไม่ได้คุยเรื่องที่เขาจะขอเลย เขาเองก็เริ่มรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวเสร็จจากแต่งสวนนี้เราค่อยคุยกันก็ได้” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ๆ ขอบคุณนายมากนะ” เฉียนจานฮวงหัวเราะพร้อมพูดออกด้วยความยินดีเพราะเขาจะได้มีสวนสุดเปอร์เฟคแบบในรูปถ่ายนั่นบางแล้ว เขานั้นไม่ได้กังขากับความสามารถในแต่งสวนของซูจิ้งเลยซักนิด ให้พูดตรงๆขอแค่สวนซักครึ่งนึงของบ้านซูจิ้งก็พอใจแล้ว
“งั้นผมขอออกไปดูก่อนนะ” ซูจิ้งพูดพร้อมเดินออกไปจากบ้านพร้อมสำรวจดูสวนโดยรอบ โดยมีตระกูลเฉียนทั้งสี่คนเดินตามเขาไป เฉียนจานฮวงยังบอกให้คนงานหยุดงานก่อนนั่นทำให้ปรมาจารย์ซุนรู้สึกประหลาดในเล็กน้อย แต่เมื่อเขาทราบเรื่องราวแล้วเขาก็ได้นึกทะนงตัวขึ้นมาว่าเขานั้นเป็นถึงระดับปรมาจารย์ ต้องมายอมให้เด็กแค่ชอบการแต่งสวนเนี่ยนะ เขาเองก็แอบจ้องไปที่ซูจิ้งพักใหญ่จนนึกออกว่าเคยเห็นที่ไหน ตอนนี้ซูจิ้งกำลังเป็นที่นิยมของชาวจีนและออกข่าวบ่อยๆ แต่เขาจะรู้เรื่องแต่งสวนด้วยอย่างนั้นหรอ
ตอนที่ 707
ไม่เช้าใจ
ซูจิ้งเดินไปรอบๆสวนเพื่อดูบรรยากาศสภาพแวดล้อมอย่างสบายอารมณ์ โดยมีเฉียนจานฮวงและเฉียนหยินหนิงตามไปติดๆและมี เฉียนไจบิงและภรรยาของเฉียนจานฮวงเดินดูอยู่ไม่ไกลนัก
พวกเขานั้นเคยได้ยินมาว่ามีคนพยายามแต่งสวนเลียนแบบซูจิ้งแต่ไม่ว่าจะแต่งยังไงก็ไม่ได้ความรู้สึกแบบเดียวกัน พวกเขาจึงอยากรู้ว่าซูจิ้งมีเทคนิคการแต่งสวนยังไงบ้าง หลังจากเดินจนทั่วแล้วซูจิ้งก็เริ่มลงมือทันที
ความจริงแล้วตัวซูจิ้งไม่เคยเรียนแต่งสวนมาเลยสักนิด เขาแค่เขาใจเรื่องการแต่งสวนนิดหน่อยจากแผนที่สวนของราชวังจากห้วงเวลาฯDesolate Era และบางส่วนจากการศึกษาพลังธรรมชาติเท่านั้นเอง
แต่ด้วยการที่เขาทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆเป็นร้อยๆรอบทำให้ตอนนี้เขามีความเชี่ยวชาญเรื่องการแต่งสวนอยู่เหนือกว่าระดับปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่เขาเรียนรู้วิถีแห่งใต้หล้า นั่นทำให้เขาเข้าถึงธรรมชาติมากขึ้น หลังจากที่เขาเรียนรู้เวทย์มนต์สัมผัสของใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ประกอบกับการได้สื่อสารกับพวกต้นไม้โดยตรง นั่นทำให้เขานั้นสามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าต้องนำต้นไหนไว้ตรงไหนถึงจะถูกหลักฮวงจุ้ย ดอกไม้วางตรงไหนรับแดดดี
“งั้นผมเริ่มจัดเลยจะเป็นอะไรรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“เชิญคุณซูลงมือได้เลยครับ” เฉียนจานฮวงตอบออกมา
“งั้นผมเริ่มล่ะนะ” ซูจิ้งเริ่มสั่งให้คนงานย้ายกระถางต้นไม้ไปจุดที่เขาต้องการ แต่เขาไม่ได้สั่งให้พวกนั้นปลูกลงไป หลังจากจัดตำแหน่งเสร็จแล้วเขาลงปลูกเองทุกต้น ซึ่งตอนนี้รูปร่างของสวนค่อนข้างดูพื้นๆ
“ก็ได้แค่นี้หล่ะนะ” ปรมาจารย์ซุนคิดออกมาในขณะที่เขาจับตามองซูจิ้งแทบจะทุกฝึก้าว หากมองผ่านๆ
การออกแบบของซูจิ้งนั้นสามารถบอกได้เลยว่าเขานั้นไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องภูมิทัศน์มาอย่างแน่นอน
หลายพื้นที่ ที่ไม่ควรไว้ต้นไม้ซูจิ้งก็นำมาไว้ตามใจ
เขา(ซูจิ้ง) ไม่ได้มีเซ้นส์ด้านการออกแบบและความสวยงามเลยซักนิด
สิ่งที่เรียกการออกแบบสวนนั้นเป็นเหมือนกับการจำลองสภาพแวดล้อมที่สวยงามของธรรมชาติมาไว้ในพื้นที่หนึ่ง
ต้องเป็นการตกแต่งที่พอแล้วได้บรรยากาศของธรรมชาติที่ต้องการ มันไม่ใช่แค่การปลูกต้นไม้ ปลูกดอกไม้ สร้างอาคาร และวางถนนทางเดิน
คนที่เรียนออกแบบสวนนั้นต้องมีความรู้เชิงลึกทั้งในทางวรรณคดี ศิลปะ ชีววิทยา นิเวศวิทยา วิศวกรรม สถาปัตยกรรม และสาขาอื่นๆอีกมากมาย
ในขณะเดียวกันก็ต้องนำความรู้พวกนี้เข้ามาประยุกต์ใช้ในการเรียนภูมิทัศน์ด้วยเข่นกัน
จึงสามารถกล่าวได้ว่าการออกแบบภูมิทัศน์ถือได้ว่าต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ถึงจะทำให้สวนที่ออกแบบมานั้นใกล้เคียงกับธรรมชาติ สิ่งก่อสร้าง
และการดำเนินชีวิตของเจ้าของ ถึงจะได้สวนที่ให้ความรู้สึกสุนทรีย์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งดีต่อระบบนิเวศของสวนและวิวทิวทัศน์ที่ได้เห็น
สามารถบอกได้เลยว่าการจะได้สวนชั้นยอดซักอันต้องใช้ปัจจัยหลายอย่าง
แต่กับซูจิ้งมันก็แค่การปลูกต้นไม้ ดอกไม้ ในสวนเหมือนคนทั่วไป ช่างอ่อนด้อย อ่อนด้อยจริง
แม้แต่เฉียนจานฮวงและภรรยาก็ยังรู้สึกได้ถึงเรื่องนี้ เขานั้นยังมองไม่ออกเลยว่าซูจิ้งกำลังทำอะไรที่วิเศษวิโสตรงไหน รูปนั่นเป็นรูปจากสวนบ้านของเขาจริงๆงั้นหรอ แม้เฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงเองยังอยากจะตะโกนบอกซูจิ้งเลยว่า จะไม่เล่นใหญ่ไปหน่อยหรอ
อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาสั่งให้คนสวนย้ายกระถาง ทำแม้กระทั่งให้ขุดเอาต้นที่ปลูกไว้แล้วออกมา
ปรมาจารย์ซุนเองก็เหลืออดจนต้องพูดออกมาว่า
“คุณเฉียน คุณก็เห็นแล้วนี่ว่าเจ้าหนุ่มนี่ก็ทำได้แค่นี้ คุณยังจะให้เขาทำต่ออีกหรอ เขาทำแม้กระทั่งขุดต้นที่เพิ่งปลูกไว้แล้วขึ้นมาด้วยนะ
นี่คุณเฉียนยอมตัดใจจากแบบสวนที่สมบูรณ์แบบเป็นแบบธรรมดาแล้วหรอ”
“ไม่เป็นอะไรหรอก ปรมาจารย์ซุน” เฉียนจานฮวงพูดพร้อมรอยยิ้มอย่างสบายๆออกมาว่า
“คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นไปหรอก ยังไงซะผมก็ยังคงซื้อแบบการออกแบบสวนของคุณอยู่ ไม่ส่งคืนให้คุณหรอกยังไงผมก็จะจ่ายเต็มราคาอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้ใช้ก็ตาม”
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” เมื่อปรมาจารย์ซุนได้ยินเฉียนจานฮวงบอกเขาเองก็สบายใจขึ้นมาเปลาะนึง
แต่เขาก็ยังพูดต่อว่า “ผมไม่อยากจะให้แบบของสวนที่ตั้งใจออกแบบมาอย่างดีมาถูกแทนที่สวยธรรมดาอย่างนี้ต่างหาก เอาเถอะยังไงก็เป็นสวนของคุณแล้วแต่คุณจะตัดสินใจแล้วกัน”
“ฮ่าฮ่า ให้เวลาคุณซูหน่อยน่า” เฉียนจานฮวงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ความจริงแล้วเขาเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกันที่เห็นการออกแบบของซูจิ้งที่อยู่ตรงหน้า
อย่างไรก็ตามเขาไม่รีบร้อน เขาเลือกที่จะรอดูไปก่อน เขาคิดไปว่าต่อซูจิ้งอาจจะยังไม่มีอารมณ์ในการจัดสวน อาจต้องใช้เวลาในการสร้างอารมณ์ซะก่อน
ถึงแม้จะเป็นการออกแบบแบบง่ายๆแต่ยังต้องใช้เวลานานอยู่ดี และซูจิ้งก็ยังเป็นจุดสนใจของทุกคนอยู่
“คุณซู ไม่ต้องรีบหรอกค่ะ พักบ้างก็ได้” ภรรยาของเฉียนจานฮวงพูดออกมา
“อ๋อ ไม่เป็นไรครับ ผมยังไม่เหนี่อย” ซูจิ้งหัวเราะพร้อมทั้งยังคงสั่งงานคนสวนต่อไป
เขานั้นยังคงแบบของเขาไว้ดังเดิม แต่เขาเริ่มที่จะให้คนสวนเอาต้นไม้ออกมาจากกระถางแล้ว
และเขาเป็นคนลงมือปลูกต้นไม้นั้นเอง ต้นไม้บางต้นได้เริ่มเปลี่ยนรูปร่างไป แต่ก็ไม่ได้เยอะจนคนอื่นสังเกตุเห็น
และเขายังใช้ตัวของเขาบังเอาไว้เวลาเปลี่ยนรูปร่างต้นไม้ทำให้คนอื่นไม่เห็นด้วย
ในที่สุด เฉียนจานฮวง ภรรยาของเฉียนจานฮวง เฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิง ที่ตอนแรกได้แต่ทำท่าถอดใจแต่ตอนนี้พวกเขาเริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลง
นั่นก็เพราะทุกครั้งที่ต้นไม้ถูกซูจิ้งปลูกเสร็จพวกมันเปลี่ยนไปจากเดิม บางต้นเปลี่ยนไปอย่างผิดหูผิดตา
ถึงแม้พวกมันจะดูไม่เป็นระเบียบ แต่มันก็ดูดีจนไม่อยากละสายตา มันเหมือนดูดีทุกครั้งที่พวกเขากระพริบตาเลยก็ว่าได้ มันดูสดใส
ถึงมันไม่ได้ดูอลังการงานสร้างเหมือนของปรมาจารย์ซุน แต่มันเกิดใหม่โดยไม่ผ่านการตกแต่งใดๆเลย
แวบแรกที่เห็นเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่ในไม่ช้าก็เริ่มมีความรู้สึกสบายสดชื่นเกิดขึ้นในสวนบริเวณนั้น เหมือนกับอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริงๆ ยิ่งมองยิ่งรู้สึกดี ยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติจนรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปเลย
“นั่นต้นสุดท้ายแล้ว คุณคิดว่ายังไงบ้าง” ซูจิ้งหันมาถามหลังจากเขาปลูกต้นไม้เสร็จแล้ว
“เยี่ยม เยี่ยมมาก” เฉียนจานฮวงกล่าวชมออกมาพร้อมสายตาที่เป็นประกาย
“ฉันก็บอกไม่ถูกนะว่ามันดีรึเปล่า แต่มันให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูกจัง” ภรรยาของเฉียนจานฮวงกล่าวชมออกมา
“ทำไมมันสวยได้อย่างนี้ล่ะ” เฉียนหยินหนิงเต็มด้วยความประหลาดใจ เธอเองก็อยากจะแอบลักจำเทคนิคจากซูจิ้งซักอย่างสองอย่างแต่เธอไม่เห็นอะไรเลย เธอรู้สึกแค่ว่ามันสวยมากๆ และให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก
ถ้าเธอมีโอกาสต้องเลือก แล้วต้องเลือกระหว่างแบบของปรมาจารย์ซุนกับแบบของซูจิ้งเธอยอมเลือกของซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถึงมันจะมองแวบแรกแล้วรู้สึกธรรมดาก็ตาม แต่มันช่างสบายตาจริงๆ” เฉียนไจบิงพูดพลางถอนหายใจออกมา
มันก็จริงที่สวนแห่งนี้ยังห่างชั้นกว่าสวนของซูจิ้ง แต่ก็มากพอแล้วเพราะมันสบายกว่าแบบสวนที่ถูกวางไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้แบบของปรมาจารย์ซุนจะดูดียังไงก็ตาม
เพราะเขานั้นใช้แทบจะทุกศาสตร์ในการวางแบบไว้จนรู้สึกว่าสมบูรณ์แบบแต่มันก็ยังขาดพลังแบบนี้จนบอกได้เลยว่าอยู่คนละระดับกัน
“ได้ยัง ได้ยังไงกัน” ปรมาจารย์ซุนเองที่เดินหายออกไปพักใหญ่นั้น ในขณะที่เดินกลับเข้ามาใบหน้าของเขาตื่นตะลึงชนิดที่นิ่งสนิท เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาดูการออกแบบของซูจิ้งทุกอย่าง และทุกอย่างนั้นล้วนธรรมดามากๆ บางต้นวางในพื้นที่ที่ไม่ควรวางจนบอกได้เลยว่าซูจิ้งไม่มีประสบการณ์เรื่องนี้ แต่ทำไมสวนที่เขาจัดถึงได้มีบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกสบายและสดชื่นขนาดนี้ได้ เป็นไปได้อย่างสิ้นเชิง
ตอนที่ 708
ของขวัญชิ้นหนึ่ง
ปรมาจารย์ซุนตกตะลึงจนพูดไม่ออก เขาเคยเจอรูปแบบสวนมามากมายแต่ไม่เคยเห็นสวนที่ให้ความรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่เขาเองก็ยังรักษาอาการเอาไว้ก่อนที่จะหันไปจ้องซูจิ้งอย่างตั้งใจ ความรู้สึกเคยดูถูกสวนของซูจิ้งผ่านสายตาก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนเป็นชื่นชมในทันที ทันใดนั้นเขาได้โค้งให้ซูจิ้งก่อนจะพูดออกมาอย่างแข็งขันว่า “คุณซู ก่อนหน้านี้ที่ผมทำเรื่องเสียมารยาทไปต้องขอโทษด้วยครับ ว่าแต่คุณทำได้ยังไงกัน ทั้งการจัดวาง ทั้งสถานที่ และการออกแบบมันดูไม่สมมาตร ไม่ได้สัดส่วน ไม่มีความสอดคล้องทางสายตาจนเกิดความสุนทรี แต่ทำไมมันถึงออกมาดูดีขนาดนี้ได้กัน”
“ความสมมาตร สัดส่วน ความสอดคล้องทางสายตา อืมมมมม บอกว่าไงดีหล่ะ
ในธรรมชาติคุณต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรอ คนส่วนใหญ่เขาก็แค่อยากได้สวนที่ทำให้ความรู้สึกถึงธรรมชาติและรู้สึกถึงความสวยงามของธรรมชาติแค่นั้นเองนี่” ซูจิ้งพูดออกไปอย่างเรียบง่ายแต่ฟังดูสุขุมนุ่มลึก
ปรมาจารย์ซุนตาเบิกกว้างทันทีที่ได้ยินคำพูดของซูจิ้ง ก่อนหน้านี้เขาคิดเสมออาว่าตัวเองเก่งที่สุดในงานสายนี้แต่พอเขาได้ฟังประโยคนี้เข้าไปมันเหมือนกลับมีคลื่นลูกใหญ่ไปกระแทกที่หัวใจของเขา “อย่างนี้นี่เอง คุณซูได้เข้าใจการจัดสวนอย่างท่องแท้แล้วเข้าสู่ความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาตินี่เอง คุณซูคือปรมาจารย์หนุ่มผู้ซึ่งสามารถกลับคืนสู่ธรรมชาติได้แล้วสินะ ก่อนหน้านี้ผมตาบอดจริงๆที่ได้สบประมาทคุณไป”
ปรมาจารย์ซุนได้ก้มหัวอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียหนักแน่นว่า “ขอบคุณที่สอนสั่งครับ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “สอนสั่งอะไรกันผมก็แค่ชอบธรรมชาติแค่นั้นเอง”
“ฉันเองก็ควรจะอ่อนน้อมมากกว่าเชื่อฟังสินะ” เฉียนจานฮวงนึกคิดขึ้นมาในใจก่อนที่จะพูดออกมาว่า “คุณซู ในเมื่อเรื่องนี่ก็เสร็จแล้ว เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า คุณมาที่นี่ต้องการให้ผมช่วยอะไรงั้นหรอ แค่คุณพูดผมจะไม่ปฏิเสธที่จะช่วยคุณอย่างแน่นอน”
“นี่…” ซูจิ้งเองก็คิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่แสดงฝีมือเต็มที่เลย เขาแค่ช่วยเฉียนจานฮวงจัดสวนนิดหน่อยเพื่อจะแสดงให้เห็นเฉยๆว่าเขาทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดาย การช่วยเหลือนี่เพียงเรื่องเล็กน้อยเทียบไม่ได้กับสิ่งที่เขาจะขอตัวหลัวเทียนฟู่เลยซักนิด คิดไม่ถึงว่าเขาจะโดนเฉียนจานฮวงถามตรงๆ ในเมื่อเขาบ่ายเบี่ยงไม่ได้เขาก็จะเลือกที่จะเผชิญหน้าตรงๆแทน พอคิดได้ดังนั้นจีงพูดออกไปว่า “ผมหวังว่าจะไม่ทำให้คุณเฉียนรู้สึกแย่นะที่พูดแบบนี้ออกมา อันทีจริงผมอยากจะขอคนๆนึงจากคุณน่ะ”
“โอ้…” เฉียนจานฮวงตกใจเล็กน้อยก่อนจะถามไปว่า “ใครงั้นหรอ”
“หลัวเทียนฟู่” เฉียนจานฮวงประหลาดใจในทันที เขาไม่คิดว่าซูจิ้งจะมาที่นี่ด้วยเรื่องนี้ เขาหันไปมองที่หยินหนิงและไจบิงและเงียบไปซักพัก
“คุณเฉียน ผมรู้ว่านี่เป็นเรื่องอยากสำหรับคุณ เอาอย่างนี้ดีกว่าถ้าคุณยอมผมมีของง….” ซูจิ้งพูดยังไม่ทันจบดี เฉียนจานฮวงก็โพล่งออกมาว่า
“ฮ่าฮ่า ตกลง เรื่องแค่นี้ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” เฉียนจานฮวงหัวเราะออกมา
“ห้ะ…” ซูจิ้งนิ่งอึ้งไป
เขาไม่คิดว่าเฉียนจานฮวงจะตบปากรับคำเร็วขนาดนี้ ทั้งเฉียนหยินหนิงและเฉียนไจบิงเองก็ตกใจเช่นกัน
แต่ไม่นานก็เริ่มตั้งสติ ต่างคิดไปว่าที่พวกเขากังวลกันก่อนหน้านี้จะกังวลไปเพื่ออะไร
พวกเขานั้นต้องการตอบแทนอยู่แล้ว เอาจริงๆก็พร้อมจะตอบแทนมากกว่านี้ นับประสาอะไรกับเรื่องของหลัวเทียนฟู่
“หลัวเทียนฟู่น่ะเป็นอัจฉริยะของจริงเลยนะ แต่ช่วงหลายปีมานี้เขานั้นไม่ได้ทำให้สถาบันได้กำไรเท่าไหร่ ฉันไม่มีปัญหาแน่นอน และที่สำคัญที่สุด” “ตอนนี้สถาบันเริ่มติดตัวแดงแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า” เฉียนจานฮวงพูดเสร็จก็หัวเราะออกมายกใหญ่
ซูจิ้งยิ้มขึ้นมาทันที ซูจิ้งนั้นได้ใช้พลังจิตอ่านออร่าวิญญาณของเฉียนจานฮวงที่แผ่ออกมา
เขารู้ว่าที่เฉียนจานฮวงพูดออกมาแบบนี้เพื่อให้เรื่องมันง่ายขึ้น
เขาเองก็ยังคงให้ความสำคัญต่อหลัวเทียนฟู่เพราะว่าคนอย่างหลัวเทียนฟู่ใช่ว่าจะไปชวนมาทำงานได้ง่ายๆ
แต่ที่เขายอมก็เพื่อตอบแทนซูจิ้งที่มีน้ำใจต่อตระกูลเฉียน
เมื่อซูจิ้งเห็นอย่างนี้ยิ่งทำให้เขารู้สึกดีต่อเฉียนจานฮวงอย่างมาก คนผู้นี้เหมาะกับการคบหาเป็นมิตรสหายจริงๆ (ยอมกรีดเลือดแทนคุณ)
“ขอบคุณครับ คุณเฉียน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความจริงใจ
“เอาน่า แต่ยังไงก็เรื่องนี้คุณต้องไปคุยกับหลัวเทียนฟู่ด้วยตัวคุณเองนะ
ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่เพราะไม่อยากให้คุณดึงตัวเขาไปหรอก
แต่เขานั้นก็เป็นแค่เพื่อนร่วมงานไม่ใช่ทาสของผม ผมเองก็บังคับเขาไม่ได้เหมือนกันว่าจะยอมไปกับคุณรึเปล่า” เฉียนจางฮวงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขานั้นยินยอมให้หลัวเทียนฟู่ไปจริงๆ แต่เขาก็รู้จักนิสัยของหลัวเทียนฟู่ดีและไม่คิดว่าหลัวเทียนฟู่จะยอมไปง่ายเหมือนกัน
“แน่นอนอยู่แล้วครับ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ เขาเองก็คิดเรื่องนี้ไว้ตั้งแต่ตอนที่เห็นข้อมูลของหลัวเทียนฟู่แล้ว หลัวเทียนฟู่นั้นนอกจากจะมีพรสวรรค์แล้วยังเป็นคนที่หนักแน่นและเชื่อใจได้ ถ้าเขานั้นยังดึงตัวมาไม่ได้แล้วใครจะได้อีกล่ะ
“ให้ผมพูดตรงๆเลยนะ ความจริงผมมาที่นี่ก็มาพร้อมกับมาของขวัญติดไม้ติดมือชิ้นหนึ่งเพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยน แต่ไม่คิดว่าคุณเฉียนจะยินยอมเร็วขนาดนี้ นี่ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นใหญ่สำหรับผม แถมคุณเองก็ถือได้ว่ามอบให้ผมก่อนซะด้วย ไหนๆผมก็เอามาแล้วคุณเฉียนก็รับไว้แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“คุณซู คุณเป็นคนช่วยชีวิตพ่อของผมกับไจบิงเลยนะ แถมคุณยังจัดสวนแบบพิเศษให้ผมอีก ถ้าเทียบกันแล้วการยอมปล่อยตัวหลัวเทียนฟู่ให้คุณนี่แทบเทียบกันไม่ได้เลย” เฉียนจานฮวงยกมือขึ้นห้าม
“ไม่ ไม่ นั่นก็ส่วนนั่น นี่ก็ส่วนนี่ครับ คนละเรื่องกัน” ซูจิ้งยังพยายามที่จะให้อยู่ดี
“เราก็คนเองงั้นผมก็ขอพูดกันตรงๆแบบไม่อ้อมค้อมเลยนะ ผมเองก็ไม่ได้ขาดเงินหรือชอบการสะสมซักเท่าไหร่นักหรอก แล้วผมจะมีของอะไรที่ผมอยากได้กันล่ะ” เฉียนจานฮวงพูดออกมา
“ไม่ก็ไม่ใช่ของขวัญแบบนั้นซักทีเดียวหรอกครับ ว่าแต่ลูกชายของคุณเฉียนนี่ผมได้ข่าวมาว่าเขาพอจะมีความสามารถทางด้านว่ายน้ำจนกระทั่งเข้าชมรมว่ายน้ำได้เลยใช่ไหมครับ” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มกว้างออกมา ทำให้ทุกคนต่างพากันงงเป็นไก่ตาแตกเพราะไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งถึงพูดเรื่องนี้ออกมา
ภรรยาของเฉียนจานฮวงได้พูดออกมาว่า “ความจริงแล้วลูกชายคนเล็กของพวกเราไม่ได้มีทักษะเรื่องนี้เลยซักนิดน่ะ เขาแค่อยากจะว่ายน้ำเฉยๆแค่นั้นเอง
ตอนแรกพวกเราก็ไม่เห็นด้วยเพราะเราอยากให้เขาตั้งใจเรียนเผื่อจะได้มาช่วยงานที่บ้านได้บ้าง แต่พูดยังไงเขาก็ไม่ฟังท่าเดียวแถมยังต่อต้านเราจนถึงขั้นทะเลาะกันซะอีก
ตอนหลังเราเริ่มนึกถึงว่าอยากให้เขามีความสุขมากกว่าสิ่งอื่นใดเราก็เลยเลิกห้ามเขาไป ถ้าเขาได้รางวัลมาบ้างก็ดี แต่ในวงการว่ายน้ำเองก็มีคนที่มีทักษะว่ายน้ำอยู่มากมายที่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ไม่ต้องพูดถึงทีมชาติเลยแค่ติดตัวจริงในการแข่งระดับจังหวัดนี่ก็ดีแล้ว”
ภรรยาของเฉียนจานฮวงเองก็ตั้งความหวังไว้กับลูกชายเช่นดียวกับครอบครัวอื่นๆ แล้วยิ่งเป็นครอบครัวในตระกูลใหญ่ด้วยแล้วถ้าไปได้ไม่ถึงตัวจริงระดับทีมชาติหรือลงแข่งระดับโอลิมปิกก็ถือว่าเสียเวลาเปล่า ให้กลับมาทำงานช่วยที่บ้านยังดีซะกว่า
เฉียนจานฮวงเองก็ได้พูดขึ้นมาว่า “ผมก็ไม่รู้ว่าคุณซูจะถามทำไมแต่เขาจะกลับมาบ้านเย็นนี้น่ะ”
ซูจิ้งยิ้มกว้างก่อนที่จะพูดออกมาว่า “เอาเป็นว่ารอเขากลับมาก่อนดีกว่า ถ้าเป็นไปได้คุณก็โทรบอกให้เขากลับมาที่บ้านให้เร็วที่สุดละกัน”
ทุกคนเมื่อได้ยินยิ่งพากันงงมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเฉียนจานฮวงก็ยังโทรไปบอกลูกชายของเขาตามที่ซูจิ้ง หลังจากคุยกันลูกชายปอกกับเฉียนจานฮวงว่าจะถึงบ้านในหนึ่งชั่วโมง ซูจิ้ง เฉียนไจบิง และเฉียนหยินหนิงเลยเลือกที่จะอยู่รอที่นี่ หลังจากนั้นประมาณ 40 นาที ได้มีรถบีเอ็มดับบิวมาจอดและได้มีเด็กหนุ่มตัวสูงก้าวออกมาจากรถ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น