Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 680-692

 ตอนที่ 680

 

วงการเอ็กซ์ตรีมสั่นสะเทือน


 


ในขณะเดียวกันวงการเอ็กซ์ตรีมในตอนนี้ได้เกิดการสั่นสะเทือนครั้งใหญ่


 


“มีคนบอกว่ามีดาราคนนึงได้สตรีมการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอยู่ แล้วการเล่นนั้นน่ะโคตรจะมีพลังเลยหล่ะ”


 


“ก็แค่แฟนคลับเห่อดาราธรรมดาหล่ะน่า แค่ทำอะไรนิดหน่อยก็กรี๊ดกร๊าดกันแล้ว อย่างนั้นเข้าเรียกแค่การแสดงไม่ใช่กีฬาเอ็กซ์ตรีมหรอก”


 


“ฉันก็เคยเห็นนะ มีดาราคนนึงที่ทำแค่กระโดดขึ้นพร้อมสเกตบอร์ด เล่นๆอยู่แล้วเลี้ยว ทำตีลังกากลับหลังแบบเห่ยๆ แค่นั้นก็กรี๊ดกันแล้ว ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆ พวกดาราน่ะไม่รู้กันหรอกว่ากีฬาเอ็กซ์ตรีมที่แท้จริงเป็นยังไง อย่างไปสนใจคำพูดพวกนั้นมากนักเลย”


 


“ไม่ใช่นะ ฉันได้ยินมาว่าเขาเป็นของจริงเลย นายจะได้เห็นเองถ้าเข้าไปดู”


 


เหล่าผู้ชื่นชอบในกีฬาเอ็กซ์ตรีมนั้นต่างก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น อย่างแรกอากาศร้อนแบบนั้นไม่มีใครอยากเล่นกันหรอก อย่างที่สองคนที่ดูการสตรีมเยอะมากจนหน้าต่างแสดงความคิดเห็น เต็มหน้าจอไปหมด(เป็นการแสดงข้อความจากการพิมความเห็นลอยจาก ขวาไปซ้ายที่จีนนิยมใช้กัน) เยอะขนาดที่ต้องปิดช่องแสดงความคิดเห็นถึงจะดูการสตรีมได้ เขาเห็นจำนวนคนดูมีเยอะประมาณสองแสนคน แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆด้วยซ้ำ


คนๆนั้นเห็นซูจิ้งกำลังยืนอยู่ในสวนสาธารณะ ซึ่งเต็มไปด้วยเครื่องออกกำลังกายมากมาย ที่ซูจิ้งเลือกที่นี่ก็เพราะว่านอกจากจะมีพื้นที่ให้พอเล่นสเกตบอร์ดได้แล้วที่นี่ยังใกล้แถมตอนแรกนั้นที่เขาเลือกที่จะเล่นตอนเที่ยง เพราะว่ามันไม่ค่อยมีคนมา แต่ด้วยการที่การสตรีมครั้งนี้มีคนพูดถึงอย่างมาก คนที่อยู่ใกล้ๆ จึงเลือกที่จะมาดูกับตาตัวเองทำให้มีคนอยู่เยอะพอสมควร


“คนเริ่มเยอะแล้วสิ ตอนนี้รีบๆ จบสตรีมแล้วรีบกลับกันดีกว่า อย่าเข้าใกล้ฉันมากนักหล่ะ เดี๋ยวจับภาพได้ไม่ดี” ซูจิ้งพูดออกมา ที่จริงนั้นซูจิ้งต้องการจะเล่นมากกว่านี้ เพราะเขาหวังจะให้หมินจิ้มีเงินในการดูแลแม่ของเขา และเพื่อเป็นการเพิ่มความนิยมในตัวเขาด้วย จะได้เป็นการเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถดูดซับได้ จากตราเทวฑูตไปในตัว แต่ซูจิ้งไม่คิดว่าผู้คนจะเคลื่อนไหวเร็วขนาดนี้ เขากลัวว่าจะเกิดความโกลาหลขึ้น ซูจิ้งจึงตัดสินใจยกเลิกแผนการทั้งหมดและจากไปที่นี่ทันที


 


“ตกลง ได้เลยครับ” เต็งหมินจิ้พยักหน้าตอบรับเป็นไก่จิกข้าวสารอีกครั้ง เขาพยายามถือมือถือของเขาตามถ่าย ไปด้วยความระมัดระวังและพยายามเดินไม่ให้ห่างจากซูจิ้งไกลนัก ปันเสวี่ยและเฉียนหยินหนิงตอนนี้ต่างก็มองหน้ากัน


 


“ไปกันเถอะ” ซูจิ้งบอกแล้วก็ได้พุ่งตัวไปที่ม้านั่งข้างหน้าเขา เขานั้นใช้ม้านั่งในการเสริมแรงกระโดดทำให้ตัวของเขากระโดดได้สูงขึ้น ประมาณสองเมตร


 


ร่างกายของเขาร่อนลงบนม้านั่งตัวอื่นแล้วเขาเองก็ใช้วิธีการ เสริมแรงนี้อีกครั้ง ด้วยสิ่งนี้ทุกคนที่เห็นต่างก็ต้องอึ้ง ถึงมาว่าจะเป็นการกระทำที่เห็นได้บ่อยๆ ในการเล่นฟรีรันนิ่ง(ปากัวร์) แต่โดยทั่วไปแล้วไม่มีทางที่จะไปถึงม้านั่งอีกตัว ที่อย่างห่างมากกว่าสองเมตรด้วยท่าทางแบบนั้นได้เลย


ยังไม่หมดแค่นั้น ในขณะที่ซูจิ้งลอยตัวอยู่บนจุดสูงสุดของการกระโดด เขานั้นได้เตะเท้าซ้ายออกไปตามด้วยเท้าขวาทำให้ร่างกายหมุนลอยตัวนานกว่าปกติ นอกจากนั้นเขายังทำท่าทางอื่นๆ อีกด้วย ก่อนที่เขาจะตกมายังพื้นเขานั้นใช้มือเกี่ยวบาร์โหนตัวที่อยู่ข้างๆ เขา


 


ตอนนี้ร่างกายของเขาได้เหวี่ยงตัวเองออกไปด้านข้าง ตอนที่ร่วงลงเหมือนเขากำลังจะชนโดนเครื่องเล่นอีกเครื่องแต่กลายเป็นว่าเขาใช้เท้าเหยียบไปอีกครั้งทำให้ร่างกายเปลี่ยนทิศทางคราวนี้เขากระเด้งขึ้นไปประมาณสามเมตร ร่างกายหมุนอย่างสมมาตร เขาได้ใช้มือจับไปที่เชือกของเครื่องฝึกไต่ภูเขา เขาใช้เชือกเป็นจุดเสริมแรงเหวี่ยง เหวี่ยงตัวเองไปยังเครื่องฝึกไต่เขาที่อยู่ถัดไป แล้วทำการไต่ขึ้นไปด้วยมือเปล่าทั้งสองข้างแบบชิลๆ เหมือนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวน


ทุกคนรวมถึงเหล่านักกีฬาเอ็กตรีมที่เพิ่งเข้ามาดูนั้นต่างตกตะลึง


ไม่ใช่แค่ฝึมือของซูจิ้งจะระดับมือพระกาฬเท่านั้น ความรู้สึกแรกที่พวกเขานึกออกคือไต่ท้องฟ้า


 


เหล่านักกีฬาเอ็กตรีมคิดออกมาในทันทีว่าวิดีโอนักกีฬาปากัวร์(ฟรีรันนิ่ง)ชั้นแนวหน้าที่เข้าเคยเห็นนั้นกลายเป็นขยะไปเลย เมื่อเทียบกับซูจิ้งที่เป็นการถ่ายทอดสด(สตรีม)ได้อย่างดูดีมีชีวิตวีวาดูมีพลังและที่สำคัญเท้าของเขาไม่เคยแตะพื้นเลยซักนิด


แม้แต่นักกีฬาปากัวร์ระดับโปรเมื่อเห็นก็ยังตกใจเลยเหมือนกัน พวกเขาต้องกลืนคำพูดตัวเองที่เคยสบประมาทเอาไว้ ดาราประเภทไหนกันทีเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมได้ประดุจดั่ง เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตขนาดนี้


 


ทุกย่างก้าวที่ซูจิ้งเคลื่อนไหวล้วนเป็นเทคนิคชั้นสูงที่ดูเหมือนจะง่าย แต่ต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายมหาศาล มีแต่คนที่มีชีวิตอยู่กับการออกกำลังกายเท่านั้นถึงจะทำได้


เพียงแค่เห็นซูจิ้งปีนขึ้นไปบนที่ฝึกปีนเขาแล้วตีลังกาลงมา พวกเขานึกว่าจะจบแล้วแต่เปล่าเลยเขาไม่ได้หยุด เขายังวิ่งต่อไปนั่นทำให้เต็งหมินจิ้เกือบจะวิ่งตามไปถ่ายแทบไม่ทัน


ซูจิ้งได้พุ่งไปยังลานจอดรถ เขาวิ่งที่หน้ารถคันหนึ่งแล้วทำการกระโดดตีลังกาไปยืนอยู่บนรถ โดยใช้มือเดียวยืนแทนเท้าหลังจากนั้นก็ใช่แรงมือผลักตัวเอง ตีลังกาไปยังรถอีกคัน แล้วใช้มือดีดตัวเองขึ้นฟ้าอีกครั้ง


 


หลังจากลงพื้นเขายังวิ่งตรงต่อไป เขาเหยียบลงบนเก้าอี้ ทยานขึ้นฟ้า ไต่ขอบกำแพง กระโจนจากกำแพง ไปอีกกำแพง ไปเกาะขอบหน้าต่าง กระโดดจากขอบหน้าต่างชั้นหนึ่งไปยังชั้นสองของตึกอีกฝั่ง และกระโจนอีกทีไปเกาะขอบหน้าต่างอีกตึกที่ชั้นสาม นั่นทำให้คนที่เห็นตกตะลึงบางคนถึงกลับอ้าปากค้างขึ้นมา


ถ้าหากว่าแยกแต่ละการเคลื่อนไหวของซูจิ้งออกจากกัน ทุกท่าทางล้วนเป็นธรรมชาติอย่างที่สุด ดูเรียบง่าย และสง่างาม แต่พอจับทุกการเคลื่อนไหวมาต่อกันแล้วมันไม่สามารถบอกได้เลยว่า เป็นการเคลื่อนไหวธรรมดา มันไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่มนุษย์จะทำได้เลยด้วยซ้ำ


 


ในหนังเฉินหลงสามารถปีนกำแพงได้ นักกีฬาฟรีรันนิ่งสามารถไต่ตึกได้เช่นเดียวกับซูจิ้ง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ใช้แค่มือในการพาตัวเองไต่ขึ้นที่สูง พวกเขาต้องใช้หมดทั้งตัวทั้งความรู้สึกนึกคิดพละกำลังทั้งร่างกาย แต่ซูจิ้งกลับใช้เพียงแค่มือผลักตัวเองขึ้นไปเรื่อยๆ อย่าว่าแต่ขึ้นไปข้างบนเลย แค่ผลักให้ตัวลงมาชั้นล่างก็ยังอยากเลยด้วยซ้ำ


 


“เดี๋ยวนะ นั่นเขาทำอะไรน่ะ”


 


“ไม่มีทาง”


 


ทุกคนต่างร้องอุทานออกมาก่อนที่พวกเขาจะหยุดหายใจ ที่พวกเขาเห็นในตอนนี้คือซูจิ้งได้ปล่อยตัวเองทิ้งตัวลงมาจากชั้นสาม


 


หัวใจของทุกคนตอนนี้ถึงกับหยุดเต้นเลยก็ว่าได้ นี่เขาโดดลงมาจริงๆ งั้นหรอ


อย่างไรก็ตามตอนนี้ซูจิ้งร่วงลงมาจริงๆ แต่ทันที่เขากำลังจะถึงพื้น เขาได้ตีลังกาแล้วทำการถีบไปยังกำแพงดีดตัวตีลังกาไปยังกำแพงอีกฝาก เขาทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆเพื่อลดความเร็วในการตก จนกระทั่งม้วนตัวลงพื้นอย่างง่ายดาย


ผู้คนที่เห็นต่างเงียบกริบ


ผู้คนที่ดูการสตรีมก็เงียบกริบเช่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 681

 

คนดีซะที่ไหนกันล่ะ


 


ตอนนี้ได้เกิดเหตุการณ์ขึ้นมากมายในช่องสตรีม


 


“ไม่น่าเชื่อ น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”


 


“ฉันกลัวจนจะหยุดหายใจเลยนะนั่น ใจฉันเต้นตุ้มๆต่อมๆเลยตอนที่เขาโดดลงจากชั้นสาม”


 


“นี่คือปากัวร์(ฟรีรันนิ่ง)ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลย ถ้าเทียบกับวิดีโอของคนที่ถูกเรียกว่าเป็นแนวหน้าด้านปากัวร์ทำ ยังทาบไม่ติดสักนิด”


 


“ซูจิ้งยังเป็นคนอยู่ใช่รึเปล่า”


 


“เขานั้นเหมือนกับเป็นพวกกึ่งเทพเลย”


 


ในช่องคอมเม้นต์นั้น จำนวนรางวัลที่ได้รับจากผู้ชมหลั่งไหลเข้ามารางวัลพวกนี้ มีความสำคัญกับเหล่าสตรีมเมอร์อย่างมาก เพราะมันสามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้ ถ้ามันน้อยมากก็ไม่ได้มีค่าอะไรแต่นี่ผู้ชมบางคนถึงกับยอมใช้รางวัลเหล่านี้แลกเปลี่ยนกับแสดงว่าพวกเขานั้นตื่นตะลึงกับสตรีมนี้มากแค่ไหน แค่ซูจิ้งที่เป็นดารามาสตรีมก็ทำให้คนคลั่งได้แล้ว แต่นี่เขายังทำเรื่องที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม ทั้งในวงการสตรีมและวงการเอ็กซตรีม เพราะฉะนั้นไม่แปลกใจเลยที่รางวัลที่ได้จะมากมายขนาดนั้น


 


การไหลมาของรางวัลนี้ได้สร้างความตื่นตกใจ ราวกับอยู่ๆก็มีฟ้าผ่าลงมาตรงหน้าต่อหน้าเต็งหมินจี้ เฉียนหยินหนิง และปันเสวี่ย ทั้งสามคนต่างจ้องเขม็งไปที่ซูจิ้งอย่างกับเห็นผีไม่ก็เทวดา เพียงแค่ทำการสตรีมในช่วงเวลาสั้นๆ  กลับได้รางวัลจากผู้ชมมากมายขนาดนี้ ซูจิ้งเห็นเลยเอ่ยถามออกมาว่า


 


“มันเปลี่ยนเป็นเงินได้กี่หยวนกัน”


 


“ประมาณสามแสนหยวนครับ แถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีก” เต็งหมินจี้เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของซูจิ้ง


 


“น่าจะพอแล้วนะ งั้นก็เลิกงานได้” ซูจิ้งพูดกับพร้อมพยักหน้าแสดงความพึงพอใจกับผลตอบรับ เขาหันไปมองกล้องแล้วพูดออกมาว่า “สวัสดีครับทุกคน พอดีว่าตอนนี้เริ่มมีคนเข้ามามุงดูมากขึ้นแล้ว ผมกลัวว่าจะเกิดความโกลาหลขึ้นมา งั้นผมขอจบการสตรีมครั้งนี้ไปก่อนนะครับ แล้วเจอกันใหม่ครั้งหน้านะ”


 


ทั้งสี่คนพยายามแหวกฝูงชนออกไป แต่ว่าเต็งมินจี้ก็ยังไม่ได้ปิดกล้องแต่อย่างใด เขานั้นยังคงถ่ายทอดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น รางวัลที่ได้จากผู้ชมสตรีมยังไหลเข้ามาไม่ขาดสาย หลายๆ คนต่างบอกว่าซูจิ้งนั้นแค่อยากเปลี่ยนที่เพราะมีคนมามุงดูมากเกินไป


สุดท้ายทั้งสี่คนก็ได้หาทางกลับไปที่โรงพยาบาลจนได้


 


ซูจิ้งได้บอกไปยังเต็งหมินจิ้ว่า “ลองติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่ของเว็บดูนะว่าพอจะให้ส่งเงินมาได้เลยรึเปล่า โดยลองเล่าสถานการณ์ของนายให้เค้าฟังดูซิว่าจะยอมไหม”


 


“ได้เลยครับ เดี๋ยวผมจะแบ่งส่วนแบ่งให้พี่ด้วยนะ” หมินจิ้พูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮ่าฮ่า นี่มันช่องของนายนะ ทำไมนายต้องแบ่งให้ฉันล่ะ นายแค่เอาเงินไปคอยดูแลแม่ของนายก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“นี่มันนนน…” เต็งหมินจิ้ได้แต่ยืนนิ่งไป ทันใดนั้นตาของเขาก็แดงกล่ำ เขาเข้าใจอยู่แล้วว่าทุกสิ่งที่ซูจิ้งทำไปนั้นเพื่อครอบครัวของเขา แต่เขาก็ไม่คิดว่าซูจิ้งจะยอมยกเงินกว่าสามแสนหยวนให้เขาทั้งหมด ปกติหมินจิ้นั้นได้เงินจากการสตรีมครั้งนึงเพียงหนึ่งพันหยวนเท่านั้น แต่เพราะซูจิ้งนั้นทำให้เต็งมินจิ้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว เขานั้นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความดีใจออกมาว่า


 


“ขอบคุณครับลูกพี่”


 


“อย่าบอกแม่นายเรื่องนี้ก็พอน่า แล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเธอสงสัยอะไรหรอกนะ บอกเธอไปแค่ว่านายได้เงินมาจากการสตรีมในช่องของนายก็พอ สิ่งที่นายต้องกังวลคือ ต้องให้เธอทำความเข้าใจให้ได้หล่ะนะว่าทำไมแค่สตรีมถึงได้เงิน” ที่ซูจิ้งพูดอย่างนี้ออกไปเพราะในความเป็นจริงนั้น เขาอยากจะให้เงินแก่ครอบครัวของเต็งหมินถังโดยตรง แบบไม่หวังอะไรตอบแทนแต่แม่ของหมินถังนั้นยังคงกังวล เกี่ยวกับจำนวนเงินและจะหาทางคืนให้เขาในอนาคตอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาของผู้หญิงรุ่นนั้นอยู่แล้ว ซูจิ้งจึงต้องเปลี่ยนการช่วยเหลือเป็นช่วยหมินจิ้หาเงินแทน เพื่อจะป้องกันไม่ให้เธอต้องหาวิธีตอบแทนเขาในอนาคต


“อืม” หมินจิ้โยกหัวไปมาซ้ายขวาเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง เขานั้นไม่มีทางปฏิเสธเงินก้อนนี้ได้เลย ได้แต่น้อมรับไว้ด้วยหัวใจทั้งหมดของเขา ความจริงนั้นเขาไม่ชอบดาราในดวงใจของพี่สาวเขาเลยซักนิด เพราะเขาคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ด้วยการกระทำของซูจิ้งในวันนี้เขาสามารถบอกได้เพียงอย่างเดียวว่า พี่สาวของเขาตาถึงจริง เขานั้นคิดไปไกลไกลมากไกลถึงขั้นไหนไม่รู้ แต่หน้าของเขาเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเรียบร้อยแล้ว


ที่ห้องพักคนไข้ เต็งหมินจิ้ได้แสดงเงินในบัญชีของเขาที่ได้มา ตอนแรกนั้นพ่อกับแม่ของเขาไม่เชื่อเขาเลยซักนิด หมินจิ้จึงต้องใช้การอธิบายปนๆคำโกหกนิดหน่อย เพื่อให้เรื่องมันเข้าใจง่ายขึ้นจนทำให้พ่อแม่ของเขาพอจะเข้าใจ และเชื่อเขาขึ้นมา หมินถังเองนั้นก็พอรู้เรื่องการสตรีมอยู่บ้าง เหมือนเธอสังเกตุเห็นว่าหมินจิ้โกหกบางอย่าง เธอจึงลองเข้าไปเปิดในเว็บดู จึงพอลำดับเรื่องราวที่แท้จริงได้แล้ว เธอทำได้แต่แอบทราบซึ้งในสิ่งที่ซูจิ้งทำให้กับครอบครัวของเธอ เธอได้แต่แอบกระซิบเบาๆออกมาว่า “ขอบคุณค่ะพี่จิ้ง”


 


เต็งหมินจิ้ติดต่อไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลเว็บที่เขาสตรีม เพื่อขอถอนเงินออกจากเว็บ ซึ่งในตอนแรกมีปัญหาเล็กน้อย ในเรื่องการหักค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็นค่าธรรมเนียมซึ่งเป็นเรื่องปกติ แต่ด้วยการที่การสตรีมนี้ ทำให้ต้องเจ้าหน้าที่ต้องทำงานมากกว่าปกติพอสมควร อีกทั้งจำนวนเงินที่ได้ยังเยอะกว่าปกติทำให้อาจต้องล่าช้า แต่เมื่อทางฝั่งเจ้าหน้าที่สอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงได้ตัดสินใจทันทีว่าจะรีบโอนเงินให้เร็วที่สุด ในส่วนการหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ พวกเขาจะหักเฉพาะค่าธรรมเนียมภาษีตามปกติเท่านั้น ไม่มีการหักค่าธรรมเนียมเข้าเว็บเพิ่มเติม พวกเขาถือว่าเป็นการช่วยเหลือหมินจิ้ในทางหนึ่งแล้ว นอกจากนั้นเขายังทำการพิมพ์ข้อความพาดหัวเว็บของพวกเขา เป็นการอธิบายเรื่องราวสั้นๆ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ให้คนเข้าไปดูอีกด้วย


ข้อความดังกล่าวได้แพร่กระจายไปทั่วอินเตอร์เน็ต ชาวเน็ตคนไหนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปว่าทำไมอยู่ซูจิ้งถึงได้ไปสตรีม ก็เข้าใจเหตุผลซะที ข้อความเขียนอธิบายไว้ว่าซูจิ้งสตรีมเพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัว ของแฟนคลับของเขา หลังจากเจ้าของเว็บไซต์ทราบเรื่องนี้เขาเลยตัดสินใจว่า จะให้เงินทั้งหมดโดยไม่หักซักเซ็นเดียว นอกจากนี้เว็บไซต์อื่นก็ยังประโคมข่าวนี้ไปทั่วเช่นเดียวกัน


 


“กลายเป็นว่าพี่จิ้งเขาออกมาสตรีมเพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัวนั้น”


 


“เห็นบอกว่าตอนแรกพี่จิ้งตั้งใจจะออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้ แต่ครอบครัวของแฟนคลับปฏิเสธเพราะจำนวนเงินนั้นมากเกินไป เขาเลยเปลี่ยนเป็นช่วยคนในครอบครัวนั้นสตรีมหาเงินแทน”


 


“ใช่แล้ว การกระทำของเขาน่ายกย่องแล้วยกย่องอีก”


 


“ที่ดีที่สุดคือการได้มีโอกาสเห็นพี่จิ้งสตรีมนี่แหล่ะ วิดีโอนั้นเจ๋งมากๆแลย”


 


“ฉันดูวนซ้ำๆเป็นสิบรอบแล้วเนี่ย”


 


“ไม่รู้เหมือนกันนะว่าพี่จิ้งเขาจะมีโอกาสสตรีมอีกเมื่อไหร่”


 


ในโลกอินเตอร์เนตนั้นพูดคุยกันแต่เรื่องของซูจิ้งจนทำให้ชื่อเสียงของเขาสูงขี้นอย่างรวดเร็ว ยังดีหน่อยที่พ่อและแม่ของเต็งหมินถังนั้นไม่เล่นเน็ต พวกเขาจึงยังไม่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น แต่อย่างน้อยๆตอนนี้แม่ของหมินถังยอมเข้าเข้าระบบบริจาคเรียบร้อยแล้ว เธอนั้นไม่ต้องการไตของหมินถังแต่เลือกที่จะซื้อไตจากคนที่ยอมบริจาค และมีความเข้ากันได้แทน


 


“ขอบคุณมากๆเลยค่ะพี่จิ้ง” ที่หน้าห้องคนไข้เต็งหมินถังยังขอบคุณซูจิ้งทันทีที่เห็นหน้าเขา


 


“ฮ่าฮ่า ก็คิดซะว่าเป็นการตอบแทนเธอละกันน่า อย่าขอบคุณอีกเลย ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวก่อนและกันนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“พวกเราจะไปส่งนะครับ/ค่ะ” สองพี่น้องครอบครัวเต็งพูดออกมาพร้อมกัน


 


“ไม่ต้องไปส่งหรอกน่า ดูแลคุณป้าไปนั่นล่ะ เอ้อเสวี่ยน้อยเธอจะกลับไปโรงเรียนเลยรึเปล่า ฉันจะได้ไปส่งเธอ” ซูจิ้งถามออกมา


 


“ไม่เป็นไรค่ะไม่ต้องห่วงหรอกพี่จิ้ง เดี๋ยวหนูจะกลับไปพร้อมกับหมินถังทีหลังเอง” ปันเสวี่ยพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“เค งั้นพี่ไปหล่ะนะ” ซูจิ้งและเฉียนหยินหนิงเดินลงบันไดไปด้วยกัน


 


เฉียนหยินหนิงก็เอาแต่แอบมองซูจิ้งจนเขาเริ่มที่จะอึดอัด เขาจึงถามหยินหนิงไปว่า “เอ่อคุณเฉียนครับ หน้าผมมีอะไรติดอยู่รึไง มองได้มองดี”


 


“ฉันก็แค่กำลังคิดอยู่น่ะคุณซูว่าคุณเปลี่ยนไปได้ยังไง มันยากที่จะเชื่อนะว่าตอนนี้คุณมีความสามารถเทียบเคียงเทพเลย ตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยคุณซ่อนความสามารถเอาไว้งั้นหรอ ถ้าหากว่ามีงานเลี้ยงรุ่น นี่คุณไม่ต้องแปลกใจเลยนะว่าเหล่าเพื่อนๆจะมองคุณแปลกๆ ” เฉียนหยินกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่ว่าที่ไหน เมื่อไหร่ ผมก็ยังเป็นผมปกติหล่ะน่า” ซูจิ้งพูดตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกัน


 


“ห้ะ นายเนื่ยนะปกติ ถ้าหยั่งนั้นปกติของพวกเราก็คงจะต่างกันราวฟ้ากับเหวเลยหล่ะ” เฉียนหยินหนิงถึงกับเงิบจนเหลือกตาไปข้างพลางพูดออกมา


 


ทั้งคู่ได้พากันคุยเรื่องสัพเพเหระกันตั้งตาตอนเดินลงบันไดจนกระทั่งไปถึงที่จอดรถ ทั้งคู่ต่างก็เอารถมาเองจึงได้แยกกันน่ะตรงนั้น


 


ในขณะที่ซูจิ้งนั่งอยู่ในรถนั้น เขานำเหรียญตราเทวฑูตออกมาพร้อมทำการดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์ พลังจำนวนมหาศาลได้ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ เป็นอย่างที่ซูจิ้งคิด เมื่อเขาเป็นที่นิยมมากขึ้น พลังงานในเหรียญตราจะมากขึ้นตาม พลังนั้นได้ซึมซับเข้าไปสู่สมองของเขาอีกครั้ง พร้อมทั้งร่างกายของเขาเรืองแสงออกมา


ซูจิ้งรับรู้ได้ในทันทีว่าห้วงทะเลวิญญาณของเขาในตอนนี้เริ่มขยายขึ้น และขยายขึ้นมาพอสมควร


 


เมื่อกลับถึงบ้านเขาได้ทดสอบพลังดูพบว่าพลิงจิตของเขารุนแรงขึ้นอย่างมาก ตอนนี้สามารถใช้แรงได้ถึง 460 ชั่ง นั่นทำให้เขาประหลาดใจและยินดีอย่างมาก


 


“ในที่สุดการมีชื่อเสียงนี่ก็เกิดประโยชน์ซักที”


ตอนนี้ความคิดของซูจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขานั้นแต่ก่อนไม่ชอบการมีซื่อเสียงเลยซักนิด เพราะมันทำให้เขาทำอะไรลำบากขึ้น แต่ตอนนี้เขามีความรู้สึกว่าเขาต้องหาทางสร้างชื่อเสียงให้กับตนเองในทันทีที่มีโอกาส


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เร่งรีบเรื่องนี้ซักเท่าไหร่ เขานั้นได้ใช้เวลาสองชั่วโมงในการฝึกเคล็ดวิชาวิถีแห่งโลกหล้า และบ่มเพาะพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขา หลังจากนั้นก็ฝึกมวย18อรหันต์ (18ท่า) และสุดท้ายเขาได้ฝึกเวทสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ


 


ในคืนนั้น ซูจิ้งได้เข้านอนตอนเที่ยงคืนและได้ตื่นมาตอนช่วงตีสามถึงตีสี่ เขานั้นไม่ง่วงนอนเลยแม้แต่น้อยถึงจะนอนน้อยกว่าปกติก็ตาม แต่เขากลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแทน เขานั้นรีบไปใส่อุปกรณ์ของเขาแล้วรีบพุ่งลงไปชั้นหนึ่ง พร้อมกับสรรพสัตว์เลี้ยงทั้งหลายของเขา

 

 

 


ตอนที่ 682

 

ขยะชุดใหม่


 


ซูจิ้งเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ เหมือนเช่นเคยนั่นก็คือมีช่องว่างมิติเปิดออกด้านบน และมีขยะจำนวนมากหล่นลงมากองในพื้นที่สถานีแห่งนี้ ตอนนี้สถานีมีพื้นที่กำจัดอยู่ที่ 1 ตร.กม. มันใหญ่กว่าเดิมอาจเป็นผลจากการที่มัน ได้ดูดซับปฏิสสารที่ได้จากการวิจัย ซึ่งมันทำให้ซูจิ้งค่อนข้างประหลาดใจเหมือนกัน เนื่องจากว่าตอนที่เขาพบมันครั้งแรก สถานีทิ้งขยะแห่งนี้มันมีขนาดเพียง 800 ตร.ม. เท่านั้น มันกว้างกว่าเดิมเกือบเท่านึงเลย ถ้าเขายังของจัดการขยะเหล่านี้และเก็บกวาดพวกมันเรื่อยๆ เวลาที่ใช้มันจะกลายเป็นสองเท่าแน่นอน


อย่างไรก็ตามเขายังไม่แน่ใจว่านี่คือการพัฒนาไปที่ระดับหนึ่งรึเปล่า เพราะเขาเองทำแค่เพียงคัดแยกขยะห้วงเวลาฯ และเก็บกวาดพวกมันออกไปทางหลุมมิติที่อยู่ข้างๆเท่านั้น ซึ่งเขาเชื่อว่าหลุมนั้นเป็นตัวการคัดแยกปฏิสสารของขยะห้วงเวลาฯ อีกทีนึง ถ้าเกิดมันเป็นการเพิ่มระดับของสถานีทิ้งขยะแห่งนี้จริงๆ เขาก็หวังว่ามันจะกลายเป็นสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ที่แท้จริงซักที แต่กว่าจะถึงตอนนั้นเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า สถานีต้องการปฏิสสารอีกเท่าไหร่ถึงจะยกระดับตัวเองได้แต่ยังไงซะ เขานั้นก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า แค่มันขยายพื้นที่นี่ก็ถือว่ากำไรแล้ว


 


ซูจิ้งและบรรดาสัตว์เลี้ยงของเขาได้ยกพวกเข้าไปจัดการขยะห้วงเวลาฯ ในสถานีได้สักพักนึง ช่องว่างมิติข้างบนได้หายไปแล้ว และตอนนี้พวกเขาเองก็ยังไม่เจออะไรที่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก เขาจึงเริ่มทำการตรวจสอบอย่างละเอียด


ซูจิ้งได้ปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาตรวจสอบ เขานั้นไม่เจอสิ่งมีชีวิตใดๆ ในขยะกองนี้ ตอนนี้เขาจึงเริ่มเข้าไปคุ้ยขยะตามปกติ


ในรอบแรกเขาเจอผ้าเก่าๆ กระดาษ ดินเหนียว ไม้ เครื่องปั้นดินเผา ครึ่งนึงของทั้งหมดมีร่องรอยการเปียก อีกส่วนหนึ่งเต็มไปด้วยโคลน ดูเหมือนขยะรอบนี้จะมาจากสภาพแวดล้อมที่อยู่ใกล้ๆแหล่งน้ำ และน่าจะมาจากโลกโบราณที่ไหนซักที่นึง แต่เขายังไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากห้วงเวลาฯไหนกันแน่


ซูจิ้งได้เริ่มทำการจัดการอย่างละเอียด ค่อยๆเลือก แบ่งหมวดหมู่ จำแนกชนิด หยิบไม้ผุๆมาชิ้นแล้วนำมาประเมิน ไม้ที่เขาหยิบมาครั้งนี้เป็นไม้ทั่วไปไม่มีคุณค่าอันใด เขาหยิบกองผ้าขึ้นมาอีกกองแล้วประเมินค่าพวกมัน เขาพบว่ากองนี้ก็เป็นเพียงผ้าลินินธรรมดา หลังจากหาไปซักพักเขาก็ได้เจอกองอิฐหินที่เต็มไปด้วยโคลน บ้างสมบูรณ์ บ้างแตกหัก แต่เมื่อเขาลองไปล้างน้ำดูกลับพบว่ามันสีขาวเหมือนหยก ถ้าพูดให้ถูกคือหินอ่อนขาว บางก้อนยังมีมอสเกาะด้วยซ้ำ บางก้อนก็เต็มไปด้วยดินเหลืองซี่งทั้งสองอย่างนี้ล้างออกยากมากๆ จะต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการล้างแน่นอน


“พระเจ้าดูเหมือนฉันจะได้หินอ่อนขาวมาแหะ น่าจะเป็นระดับหนึ่งซะด้วย” ซูจิ้งดีใจทันทีที่เห็น ต่อให้เขาไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับหินอ่อนมากนัก แต่เขาก็พอจะรู้ว่าหินอ่อนพวกนี้คุณภาพสูงแน่นอน


หินอ่อนขาวนั้นมีมูลค่าสูงเมื่อนำไปใช้ในงานวัสดุก่อสร้าง มันเป็นสีขาว ส่องประกาย แข็ง มีลวดลาย และดัดรูปได้ง่าย มันถูกใช้อย่างแพร่หลายในช่วงยุคเก่าถึงยุคกลาง มันน่าจะอยู่ในช่วงราชวงศ์ฮั่นได้


 


ในประเทศจีนนิยมนำวัสดุที่สีขาวสะท้อนแสงไปก่อสร้างพระราชวัง เจดีย์ วัด เทวรูป และโบสถ์ต่างๆ ด้วยเหตุที่พวกเขาคิดว่ามันเป็นหยกขาวนั่นเอง หินอ่อนพวกนี้มีการแบ่งออกได้ 4 ระดับ โดยดูจากความแข็ง รูปทรง สี ลวดลาย ลายแตก เหล็กที่เจือปน


 


โดยทั่วไปหินอ่อนเกรดหนึ่งและเกรดสองนั้นหาได้ยากมาในท้องตลาด


และของหายากพวกนั้นอยู่ตรงหน้าของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว


ซูจิ้งค่อนข้างมั่นใจว่าหินอ่อนตรงหน้าเขานั้นอยู่ในเกรดหนึ่ง ไม่สิอาจจะสูงกว่านั้นด้วยซ้ำ ต่อให้มันเป็นชิ้นเล็กๆ ก็ยังมีค่าเพราะมันสามารถแปรรูปทำพื้นก็ยังได้


 


“ราคาของหินอ่อนพวกนี้ถ้าจำไม่ผิดจะเป็น ลบ.ม. ของเกรดหนึ่งรู้สึกจะหนึ่งหมื่นหยวนนะ ไม่น่าจะขาดหรือเกินซักเท่าไหร่ นี่แสดงว่าขยะพวกนี้ต้องมาจากห้วงเวลาฯ ที่ค่อนข้างร่ำรวยและทรงพลังแน่ๆ นอกจากว่ามันจะโดนย้ายมาจากห้วงเวลาฯอื่นล่ะนะ” ซูจิ้งคิดอะไรบางอย่างแล้ววางหินอ่อนพวกนี้กองไว้ด้วยกัน หลังจากนั้นก็ทำการคุ้ยขยะต่อ


 


ไม่นานนักเขาก็ได้จัดการขยะที่เปียกโชกเหล่านั้นจะเกือบหมดด้วยกันที่พวกมันเปียกน้ำและเริ่มเน่าบ้างเสียบ้างพังบ้างรวมทั้งมีกลิ่นค่อนข้างแรง ทำให้เขานั้นยากต่อการจำแนกพวกมัน


 


“ขยะที่เปียกน้ำนี่น่าขยะแขยงจริงๆ” ซูจิ้งพูดจบก็รีบสวมหน้ากากและทำการคุ้ยขยะต่อ


 


ในขณะที่เขากำลังคว้าไปที่แผ่นไม้แผ่นนึงปรากฏว่ามีบางอย่าง กำลังขยับตัวใต้แผ่นไม้นั้น ตอนแรกซูจิ้งคิดว่าเป็นเพราะเขาไปขยับไม้แต่ทันได้นั้นมันก็เริ่มเคลื่อนไหว


 


“เดี๋ยวนะ นั่นมันสิ่งมีชีวิตนี่”


 


ซูจิ้งได้ถอยกรูดออกไปสามเมตร พร้อมกับรีบปล่อยกระแสจิตของเขาออกมาเพื่อทำการตรวจจับอีกครั้ง


ด้วยการที่ขยะกองใหญ่กว่าเดิม การตรวจจับของเขาจะตรวจจับสิ่งมีชีวติได้ก็ต่อเมื่อพวกมันขยับตัวเท่านั้น


 


ถ้าสิ่งมีชีวิตนั้นหลบซ่อนหรือสลบมันจะไม่ขยับตัว ทำให้ซูจิ้งตรวจสอบไม่พบ นั่นทำให้เวลาเขาคุ้ยขยะ ถึงแม้เขาจะใช้กระแสจิตตรวจสอบไปแล้วเขาก็ยังต้องระวังตัวอยู่ดี


 


ในตอนนี้ซูจิ้งได้เรียกสัตว์เลี้ยงของเขามาเตรียมตัวอยู่ข้างๆเขาแล้ว


ซูจิ้งได้ใช้พลังจิตของเขารื้อบริเวณที่มาการขยับตัวเมื่อครู่นี้ ทีละขิ้น ทีละชิ้น จนกระทั่งเขาพบสิ่งมีชีวิตนั้น ทันทีที่เขาเห็นเขาค่อนข้างจะตกใจ มันมีรูปร่างคล้ายเต่าแต่ก็ไม่เหมือนซักเท่าไหร่ มันตัวใหญ่กว่ามากส่วนที่คิดว่าเป็นกระดองออกนิ่ม กลมๆ ตัวแบนๆ ตัวสีดำมะอีก แถมตัวมันเลื่อมซะอีก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะบาดเจ็บทีคอด้านหลัง สีของแผลช้ำจนเขียวคล้ำและดูเหมือนจะเป็นหนองแล้วด้วย


 


เจ้าตัวที่คิดว่าเป็นเต่าตัวนี้มันถูกทับไว้ด้วยกองขยะ ทำให้ไม่สามารถหนีไปไหนได้ ไม่ก็มันใช้กองขยะพวกนี้เป็นรังของมัน พอขยะกองนี้ถูกดูดเข้าประตูมิติทำให้มันติดมาด้วย


ซูจิ้งรีบช่วยเหลือมันออกจากกองขยะอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งส่วนหัวและเท้าของมันก็บาดเจ็บแถมยังค่อนข้างจะสาหัสซะด้วย ซูจิ้งรูปปล่อยเวทย์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ ออกมารักษามัน แต่มันดูเหมือนจะโมโหขึ้นมาเขาจึงให้มันกินปลาเขี้ยวหยกแทน


 


“เจ้าตัวนี้ฉันไม่คุ้นหรือรู้จักเลยแหะ มันใช่เต่ารึเปล่าหว่า” ซูจิ้งเหมือนจะคิดอะไรได้เขาจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา ถ่ายรูปส่วนหัวและลำตัวของมัน


หลังจากนั้นเขาลองส่งรายละเอียดของเจ้าตัวนี้ไปให้เย่โปดู


 


หลังจากนั้นซักพักเย่โปได้โทรกลับมาหาเขาพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า


 


“อาจิ้งตอนนี้นายอยู่ที่สวนสัตว์ซูโจวหรือสวนสัตซ์จางชากัน”


 


“ทำไมหล่ะ” ซูจิ้งถามกลับอย่างงงๆ


 


“ฮ่าฮ่า ก็รูปที่นายส่งมาให้น่ะ มันเป็นเต่าที่เหลือเพียงสองที่เท่านั้นที่ยังมีมันอยู่”


 


“งั้นมันก็เป็นเต่าจริงๆ งั้นหรอ” ซูจิ้งรู้ในทันทีว่าเย่โปต้องคุ้นเคยกับมันแน่ๆ


 


“ฉันไม่รู้จักเจ้าตัวที่นายถ่ายมาหรอก ไม่ก็ฉันอาจจะไม่เคยเห็นมันใกล้ขนาดนี้เลยไม่คุ้นตานัก แต่ฉันรู้สึกได้เลยว่ามันโตขึ้นกว่าทีเคยเห็นเยอะเลย” เย่โปพูดออกมาด้วยความดีใจ


 


“เดี๋ยวนะ มีแค่สองที่ในโลกที่มีเจ้าเต่านี่งั้นหรอ” ซูจิ้งถามออกมา


 


“ใช่แล้ว ความจริงก็มีอีกที่นะที่ทะเลสาบดาบในเวียดนาม แต่มันตายไปพักใหญ่แล้ว ทำให้ตอนนี้ในโลกเหลือเพียงสวนสัตว์สองที่นี้เท่านั้นที่ยังมีมันอยู่ แล้วนายไปที่ไหนกันล่ะ” เย่โปถาม


 


“เอ่อออ ที่ซูโจวน่ะ” ซูจิ้งมองไปที่เจ้าสัตว์หน้าตาหน้าเกลี่ยดที่อยู่ตรงหน้าเขา ซูจิ้งจำเป็นต้องโกหกออกไป


 


กลายเป็นว่าเจ้านี่กลายเป็นสัตว์หาอยากที่เหลืออยู่เพียงสองที่บนโลกซะได้ ถ้าบอกความจริงไปว่าเจอมันซุกอยู่ที่กองขยะพวกเขาคงตกใจแหงๆ

 

 

 


ตอนที่ 683

 

ต้นหอมป่า


 


ไม่แปลกที่เย่โปจะถูกซูจิ้งหลอกได้ง่ายๆ เนื่องจากเขาไม่คิดว่าจะมีเจ้าเต่าสายพันธุ์นี้ตัวที่สามอยู่ในโลก


หลังจากวางโทรศัพท์ ซูจิ้งได้เข้าอินเตอร์เน็ตเพื่อหาภาพของเต่าที่เย่โปเอ่ยถึง เมื่อเขาลองเอาภาพมาเทียบกันดูแล้วก็พบว่ามันเป็นพันธุ์เดียวกันแต่ตัวที่ซูจิ้งเจอตัวใหญ่กว่ามากประมาณเท่านึงได้ เป็นไปตามที่เย่โปบอกจริงๆ มันคือเต่าหรือจะให้พูดอีกอย่างก็โคตรเต่า


 


“ถ้าเรื่องที่ว่าเจอแกหลุดออกไปนี่สงสัยโลกนี้คงจะวุ่นวายแหงๆ โดยเฉพาะชาวเวียดนามเพราะพวกเขาคงจะเรียกร้องขอแกสุดชีวิตแน่ๆ” ซูจิ้งได้แต่ทำเสียงฮึฮึออกมาในลำคอ


 


เจ้าเต่านี่ไม่ใช่แค่ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหายากในประเทศเวียดนาม พวกเขายกให้มันเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาไปเรียบร้อยแล้ว ตอนที่เต่าชื่อว่ากุยซูตายไป ตอนนั้นชาวเวียดนามถึงขั้นวิตกจริตไปทั้งประเทศเลยด้วยซ้ำ ถ้าพวกเขารู้ว่ามีตัวที่สามล่ะก็พวกเขาต้องหวั่นไหวอย่างแน่นอน อีกทั้งยังส่งผลให้ประเทศเพื่อนบ้านกับประเทศอื่นๆ ต้องตื่นตัวในเรื่องนี้จนกดดันเขาให้ยกให้แน่นอน เกรงว่าเมื่อถึงตอนนั้นเขาคงไม่สามารถเลี้ยงมันไว้ได้แน่นอน


 


“ช่างมันไปก่อนแล้วกัน อย่าเพิ่งไปคิดเรื่องมอบให้ใครเลย ตอนนี้แค่รักษามันให้หายก่อนดีที่สุดแล้ว” ซูจิ้งคิดออกมาแล้วเข้าก็นำเจ้าเต่านี่ไปไหว้ในบ่อน้ำจืดที่ชั้นสาม (ถ้าใครนึกไม่ออกว่ามันคือเต่าอะไรล่ะก็ มันคือตะพาบน้ำขนาดยักษ์มากๆ)


 


“ดูเหมือนว่าขยะห้วงเวลาฯ คราวนี้จะมีเจ้าเต่านี่เป็นสัตว์ทั่วไปแหะ เหมือนกับกบที่เห็นได้ง่ายๆ บนโลกแต่ไม่เคยเห็นพวกมันในกองขยะห้วงเวลาฯ เลย”


ซูจิ้งนึกแล้วก็ได้ทำการคุ้ยขยะต่อไป


 


หลังจากคุ้ยไปได้พักนึงเขาก็ได้ดึงหญ้าออกมาต้นหนึ่ง มันถูกฝังเอาไว้บนกองขยะกองหนึ่งแต่มันยังมีชีวิตอยู่ พอประเมินลักษณะของมันแล้วมันน่าจะโตจากกองขยะกองนี้เลย


หญ้าต้นนี้มันดูเหมือนต้นหอมป่าในโลกนี้ และมันก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ แต่เขายังจำประสบการณ์ตอนที่ขุดอำพันมังกร (หญ้ามังกร)ออกมาตอนนั้นได้ดี นั่นทำให้ซูจิ้งไม่อาจจะเมินพวกมันได้


เจ้าก้อนหญ้าพวกนั้นยังเป็นอำพันมังกรได้ แล้วทำไมเจ้าต้นหอมป่าพวกนี้จะเป็นสมบัติบ้างไม่ได้ล่ะ


 


ซูจิ้งขุดมันออกมาได้ทั้งหมดสามต้น เขานำสองต้นไปปลูกลงในดินจอมเขมือบชุดใหม่ที่เขาได้เตรียมเอาไว้ ด้วยคุณสมบัติของดินจอมเชมือบนั้นถ้าแบ่งมันออกมาจากกองใหญ่แล้วไม่มีอะไรให้มันกินหรือมีอะไรอยู่กับมัน ธาตุอาหารในดินจะค่อยๆเสื่อมลง ดินที่เขาแยกออกมานั้นเป็นดินที่ผ่านการใส่อาหารให้มันไปจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะ เป็นปลาเขี้ยวหยก และเศษของพืชชนิดต่างๆ เหตุที่เขาต้องแยกดินออกมานั้นก็เพราะเขาไม่รู้ว่า พืชที่ใส่ไปจะส่งผลอะไรกับดินบ้าง และเป็นการลดขอบเขตการขยายตัวของดินจอมเขมือบ ซึ่งเขาเองยังหาวิธีกักเจ้าดินนี่อย่างมีประสิทธิภาพไม่ได้อยู่ดี


ส่วนต้นหอมป่าอีกต้นนั้นซูจิ้งได้ลองให้หนูสองตัว แต่มันแค่ดมและไม่ยอมกิน เขาจนปัญญาเลยจัดการทำให้มันเชื่อง แล้วบังคับให้มันกิน นอกจากนั้นเขายังลองให้ปลาจำนวนหนึ่งกินด้วย


 


ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะของเขาต่อเพื่อเป็นการฆ่าเวลา แต่เขาก็รอมากว่าสามชั่วโมงแล้ว ทั้งปลาและหนูก็ยังไม่แสดงอะไรออกมาเป็นพิเศษ ซูจิ้งจึงอดไม่ได้ที่จะคิดว่า “หรือว่าจะเหมือนกับอำพันมังกรที่ต้องใช้กับสัตว์บางชนิดถึงจะเห็นผล”


นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขายังไม่รู้ผลที่ได้จากการกินต้นหอมป่า


แต่อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าหอมต้นนี้พอจะกินได้ ไม่น่าจะมีพิษหรือเป็นอันตรายใดๆ เนื่องจากพวกหนูและปลาไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา เขานั้นได้ลองให้หอมป่านี้แก่บรรดาสัตว์เลี้ยง แต่ด้วยจำนวนที่น้อย ทำให้เขาไม่สามารถลองกับสัตว์เลี้ยงของเขาทั้งหมดได้ ต่อให้ใช้ทั้งสามต้นก็น่าจะยังไม่พอ เขานั้นได้ลองนำเอาส่วนที่เหลือไปใส่กระถางพร้อมปุ๋ยสูตรพิเศษ แล้ววางไว้ในสวนเพื่อลองดูว่าจะมีสัตว์ตัวไหนสนใจหอมป่าต้นนี้บ้าง เขานั้นได้สั่งให้เหล่าสัตว์เลี้ยงคอยสังเกตุการณ์และเฝ้าระวังไว้ ตอนแรกก็เหมือนจะมีม้าผอมๆตัวหนึ่งเข้ามาใกล้ แต่ก็เท่านั้นมันไม่สนใจเท่าไหร่ หลังจากนั้นก็ไม่มีสัตว์ตัวไหนมาสนใจหอมป่าต้นนี้เลย แม้เวลาจะผ่านไปถึงตอนเที่ยงแล้วก็ตาม แม้แต่พวกสัตว์กินพืชอย่างกระต่าย กระรอก หนูชิลชิล่า นกยูง ก็ยังเมินมันอย่างไม่ไยดี


“เอ…. หรือว่าฉันคิดมากไปนะ เจ้าต้นนี้ก็น่าจะเป็นหอมป่าแน่ๆ ท่าทางจะไม่มีผลพิเศษอะไรเลยด้วย” ที่พูดออกมาอย่างนี้ก็เพราะซูจิ้งเองก็เริ่มจะถอดใจแล้ว แต่ก็นะหลงจู๊ยังดูทองพลาดกันได้เลย เพราะฉะนั้นเขาจะไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่นอน


“หลิวฉิงมาล่ะ”


“เจ้าเด็กน้อยหลิวฉิงมาล่ะเอ้อ”


ณ ตอนนั้น มีนกแก้วตัวใหญ่และตัวเล็กบินวนบนหัวซูจิ้งพร้อมพูดออกมาเสียงดังลั่น เห็นดังนั้นซูจิ้งจึงเดินไปที่ประตูและเปิดมันออก เขาเห็นรถออดี้คันหนึ่งจอดที่ประตู เป็นหลิวฉิงที่เดินออกมาจากรถพร้อมถุงของฝากสองถุง ซูจิ้งเห็นจึงถามออกไปด้วยรอยยิ้มว่า “เอาของฝากมาให้หรอ”


 


“ใช่ครับ ผมควารจะเอาอะไรมาฝากบ้างนี่ ถึงผมจะตอบแทนที่พี่ช่วยชีวิตผมไว้ไม่ได้ แต่ก็ขอทำเรื่องเล็กๆน้อยๆพวกนี้ตอบแทนแทนละกัน” เขานั้นดูนอบน้อมต่อซูจิ้งอย่างเสมอต้นเสมอปลายทุกครั้งที่ซูจิ้งเห็น โดยเฉพาะหลังจากที่ซูจิ้งช่วยปู่ของเขาไว้เพราะเขารู้ดีว่าถ้าไม่ได้ซูจิ้งปู่ของเขาไม่รอดแน่ๆ


 


“ก็ได้ก็ได้ แต่ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมนะว่า เรื่องที่ช่วยนายมันไม่ได้ทำให้ฉันลำบากหรอก” ซูจิ้งยกมือเชิงอนุญาตแบบจำยอม


 


“สำหรับพี่น่ะไม่เท่าไหร่ แต่สำหรับมันคือการช่วยชีวิตผมไว้เลยนี่นา ต่อให้ผมเป็นคนดีแค่ไหนแต่ถ้าผมคนเดียวก็คง…” พอเขานึกถึงเรื่องที่ซูจิ้งช่วยเขาทีไร เขานั้นรู้สึกดีใจทุกครั้งที่เขาได้รู้จักซูจิ้งจนแทบจะร้องไห้ออกมา


 


“เอาน่าเอาน่า พอแล้วน่า” ซูจิ้งนั้นพอเห็นท่าทีของหลิวฉิงก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาทุกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองต้นหอมป่าที่เขาอามาไว้ในสวน พร้อมคิดอะไรบางอย่าง เขาหันไปถามหยั่งเชิงหลิวฉิงว่า “ต่อให้เป็นวัวเป็นม้าก็อยากจะตอบแทนฉันใช่รึเปล่า”


“แน่นอนครับ” หลิวฉิงทุบอกตัวเองอย่างแข็งขัน


“ถ้าอย่างนั้นนนนนนนนน……. พอดีฉันได้ต้นหอมป่าพันธุ์ใหม่มาน่ะ สนใจจะลองซักหน่อยป่ะ” ซูจิ้งพูดกับหลิวฉิงด้วยหน้าตาพร้อมท่าทางแบบคาดหวังคำตอบว่า ยอมกินจากหลิวฉิงจนตาเป็นประกาย ทันใดนั้นเมื่อหลิวฉิงได้ยินเขานั้นหน้าเริ่มเปลี่ยนสีและค่อยๆกระเถิบ เดินถอยหลังอย่างช้าๆๆๆๆๆๆ


 


“เอ่อออ ลูกพี่ครับ ผมว่าเรามาพูดกันเรื่องยอมเป็นม้าเป็นวัวเมื่อกี้กันใหม่ดีกว่านะครับ ผมหมายถึงผมจะพยายามทำงานหนักจนเหมือนม้ากับวัว แต่ไม่ใช่เป็นม้ากับวัวจริงๆ ผมไม่อยากจะกินหญ้าหรอกนะ มะละกอที่ลูกพี่ให้ผมกินครั้งก่อนนี่ก็ทำให้ผมเจ็บหนักไม่น้อยเลย ผมไม่อยากลองของใหม่อีกแล้วอ่ะ” หลิวฉิงเองคิดในทันทีเลยว่ายอมเป็นเบ้ลูกไล่หมาน้อยที่ซื่อสัตย์ ยังดีกว่าลองกินของใหม่ของซูจิ้ง เจ้ามะละกอที่เขากินไปครั้งก่อน ทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดรวดร้าวจนฝังลากลึกไปในจิตใจเรียบร้อยแล้ว เขานั้นรู้ดีว่าอาหารฝึมือซูจิ้งนั้นเจ๋งที่สุดในโลกหล้า แต่ถ้าพูดถึงของใหม่ที่ซูจิ้งไปเจอแล้วก็ จะให้ลองกินนี่บอกได้เลยว่านรกบนดินชัดๆ เท่าที่เขาพอจะจำความได้ตอนที่เขากินเจ้ามะละกอนั่น เขารู้สึกว่าตัวเองแทบจะกลายร่างเป็นปีศาจเดินดินไปเลย ใครจะรู้ว่าคราวนี้จะเจอกับอะไรอีก


 


“ก็เหมือนๆกันแหล่ะน่า จะแค่ทำงานให้เหมือนวัวเหมือนม้า หรือจะกินหญ้าเหมือนวัวเหมือนม้า” ซูจิ้งหยิบกระถางที่ปลูกหอมป่าค่อยๆเดินเข้าไปหาหลิวฉิง


 


“ให้ผมพักหน่อยเถอะนะครับพี่ จะให้ผมทำอะไรก็ได้นะ แต่เรื่องนี้มัน…” หลิวฉิงนั้นตอนนี้กลัวจนถอยกรูดดดด ออกไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งหลังของเขาไปชนกับกำแพง แต่พอเห็นซูจิ้งกำลังเดินเขามาพร้อมกระถางอย่างช้าๆๆๆ เขานั้นเข่าอ่อนจนทรุดตัวลงกับพื้น พอตั้งสติได้เขานั้นรีบพลิกตัวแล้ววิ่งออกไปจากที่นั่นทันที ถึงมันจะเป็นแค่พืชต้นเล็กๆ แต่หลิวฉิงมองเห็นมันเป็นภูติผีปีศาจไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 684

 

หลุมเก็บของ


 


“ก็แค่หอมป่าน่า… นายจะกลัวทำไม ถ้านายตัดสินใจจะลองล่ะก็ ฉันทำไข่ผัดต้นหอมแสนอร่อยให้กินเลยนา….” ซูจิ้งยังคงยัดเยียดหอมป่าให้หลิงฉิงต่อไป


 


“ผมไม่กิน พี่ไว้ชีวิตผมเถอะนะ ผมจะช่วยหาคนอื่นมาลองแทนเอง ปล่อยผมไปเต้อะ” หลิวฉิงตะโกนออกมาอย่างจ้าล่ะหวั่น


ซูจิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะยามเมื่อเขาเห็นหลิวฉิงตะโกนกลับมาในขณะที่วิ่งหนีไปค่อนข้างไกลแล้ว ความจริงเขาแค่ล้อเล่นเท่านั้น


 


เขาไม่มีทางบังคับให้หลิวฉิงกินอยู่แล้ว


เขานั้นอยากจะหาใครซักคนมาลองหอมป่านี่เท่านั้นเอง เพราะว่าเหล่าสัตว์เลี้ยงของเขาไม่สนใจแม้แต่น้อยแถมพอบังคับกินไปแล้วก็ยังไม่เกิดผลอะไรเลย ซูจิ้งยังคิดจะลองเองด้วยซ้ำเพราะมันก็ควรจะแสดงผลอะไรออกมาบ้าง ถ้าเขากินเองน่าจะตรวจสอบผลลัพธ์ได้ดีกว่า แต่ที่แน่ๆเขาควรจะลองกับคนอื่นไม่ใช่กับหลิวฉิงแน่นอน เพราะจากการให้ลองกินมะละกอในตอนนั้นร่างกายของหลิวฉิง ก็น่าจะยังไม่ฟื้นดีเท่าไหร่


 


“โอ้ย ไม่ต้องวิ่งเร็วขนาดนั้นหรอกน่า ฉันแค่ล้อเล่นเฉยๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“พี่จิ้ง เรื่องนี้ของพี่ไม่ได้ตลกเลยซักนิดเลยนะ” หลิวฉิงโวยวายฟึดฟัดกลับมาราวกับเด็ก เขามองไปที่ซูจิ้ง พอเห็นว่าซูจิ้งเหมือนจะไม่ได้จะบังคับให้เขากินหอมป่าจริงๆตามที่บอกเขาจึงค่อยๆเดินกลับมา พร้อมถามว่า “พี่ หอมป่าพวกนี้พี่ทำให้มันพี่ผลอะไรกับร่างกายเมื่อกินไปหรอ”


 


“ฉันก็ยังไม่แน่ใจหรอก เอาจริงๆคือฉันลองให้สัตว์เลี้ยงของฉันกินไปแล้ว แต่มันเหมือนกับจะไม่ส่งผลอะไรเลย ฉันเลยอยากลองหาใครซักคนมาลองดูแค่นั้นเอง” ซูจิ้งได้ตอบออกมาพร้อมวางกระถางหอมป่าไว้ที่พื้น


ทันใดนั้นเจ้านกแก้วทั้งสองก็บินมารายงานอีกครั้งว่าฉินซูหลานมาหา


 


“ไอ้เด็กนั่นมาทำอะไรกัน” หลิวฉิงพูดพร้อมบุ้ยปาก


 


ซูจิ้งเดินไปเปิดประตู ฉินซูหลานกล่าวทักทายพร้อมรอยยิ้มทันทีที่เขาเห็นซูจิ้ง แต่เมื่อเขาเหลือบไปเห็นหลิวฉิง เขาชักสีหน้าทันที เขาหันหน้ามาทางซูจิ้งพร้อมกลับมายิ้มอีกครั้งแล้วพูดออกมาว่า


 


“พี่จิ้งได้ข่าวรึยังครับว่าเจ้าลมทมิฬ ตอนนี้กลายเป็นเทพแห่งเทพแห่งความเร็วไปแล้ว มันชนะแชมเปี้ยนมากมายพร้อมโกยกำไรมหาศาลเลย มันทำให้วงการม้าแข่งต้องสั่นสะเทือน ค่าตัวมันเองก็สูงขึ้นด้วยล่ะ ตอนนี้มีบางคนเสนอซื้อมันที่ราคาห้าล้านหยวนแล้ว”


 


“ฮ่าฮ่า ช่างพวกนั้นเถอะ แค่ลงแข่งต่อไปก็พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“อ้อใช่แล้ว ผมได้ข่าวว่ามีใครบางคน พยายามจะเข้ามาร่วมธุรกิจของพี่ด้วยนี่ พี่แน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะทำมันได้น่ะ” ฉินซูหลานเหลืบสายตาไปจ้องที่หลิวฉิงในขณะที่พูด


 


“นายเองก็แค่ดูแลธุระที่พี่จิ้งจัดการส่วนของนายให้ดีที่สุดก็พอแล้วน่า หรือนายจะไม่พอใจเรื่องที่พี่จิ้งจะให้ม้าฉันไปจัดการทันทีที่เขาฝึกมันเสร็จ ลองมาแข่งดูก็ได้นะว่าใครจะทำเงินได้มากกว่ากัน” หลิวฉิงตะเบ็งเสียงออกมาด้วยสายตาเย็นชา


 


“ลูกพี่ ผมเองก็เห็นนะว่าพี่มีม้าหลายตัวเลย ผมสามารถจัดการพวกมันทั้งหมดได้นะ ไม่เห็นต้องให้หมอนี่มาร่วมงานเลยซักนิด” ฉินซูหลานพูดขอซูจิ้ง


 


“พอได้แล้วน่า พวกนายก็แค่จัดการในส่วนที่ฉันให้ก็พอแล้ว ถ้าใครทำให้ฉันเสียเงินเปล่าล่ะก็ ฉันก็เปลี่ยนมันออกซะทุกคนนั่นแล่ะ” ซูจิ้งเลือกที่จะไม่เข้าข้างทั้งสองฝ่าย และมันจะเป็นเรื่องที่ดีถ้าต่างคนต่างทำงานไม่ยุ่งเกี่ยวกัน แต่ถ้าใครเริ่มก่อนล่ะก็เขาจะเล่นงานคนที่เริ่มทันที


 


ถึงแม้ว่าเขานั้นค่อนข้างที่จะเข้าข้างหลิวฉิงมากกว่าก็ตาม


 


ซูจิ้งพยายามดึงประเด็นการพูดคุยกลับมาให้อยู่ในเรื่องม้าแข่ง ฉินซูหลานมาที่นี่เพื่อพูดคุยแผนการแข่งม้าที่เขาจะดำเนินการในขั้นถัดไป นอกจากนั้นเขายังมารายงานเงินรายได้ทั้งหมดในช่วงที่ผ่านมาพร้อมทั้งได้มอบเงินผลกำไร90เปอร์เซนต์ให้กับซูจิ้งตามที่ตกลงกันไว้


 


หลังจากคุยกับทั้งสูงคนแล้วเขาเห็นว่าทั้งสองดูไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ เพราะการทำงานหนักให้เขา ซูจิ้งเลยอาสาทำมื้อเที่ยงให้กับทั้งสองคนกิน พวกเขาก็รู้สึกยินดีอย่างมาก


 


ในขณะที่กำลังที่โต๊ะกินข้าวนั้น หลิวฉิงเหลือบไปเห็นต้นหอมป่าของซูจิ้งพอดี เหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ เขานั้นหันไปที่ฉินซูหลานทันที พอเห็นว่าฉินซูหลานไม่ได้สนใจเขา เขาจึงแอบเอาหอมป่าครึ่งนึงนำไปล้างน้ำแล้วเดินเข้าไปในครัว โดยแกล้งไปช่วยเสริฟอาหาร เขาได้แอบยัดใบหอมป่าใส่ไว้ใต้ตัวปลานึ่งด้วยตะเกียบ ด้วยความร้อนจากปลาที่เพื่งนึ่งมาร้อนทำให้ใบหอมป่าเปลี่ยนสีไป ดูกลมกลืนไปกับจานอาหารอย่างแยกไม่ออก


ฉินซูหลานเองก็เข้าไปช่วยด้วยเหมือนกันแต่เพราะต้องการแย่งหน้า จึงไม่ได้สังเกตุเห็นสิ่งที่หลิวฉิงทำเลยซักนิด เมื่ออาหารมาเสริฟที่โต๊ะ


 


ซูจิ้งสังเกตุเห็นบางอย่างผิดไปในจานปลานึ่ง เขาอดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองไปที่หลิวฉิง หลิวฉิงเองก็ได้แต่กระพริบตาถี่ๆ ใส่ซูจิ้ง ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกไปพักนึง เขาคิดว่าหลิวฉิงเองก็คงอยากให้หลินซูหลาน ลิ้มลองความรู้สึกเดียวกับเขาดูบ้าง เหมือนกับตอนที่เขาเคยได้ลิ้มลองมะละกอเกร็ดงูนั่น เอาจริงๆซูจิ้งก็อยากรู้ผลจากการกินหอมป่าเหมือนกัน แต่เขาก็ยังกังวลผลที่เกิดกับร่างกายว่ามันจะผลเสียต่อร่างกายอยู่ไม่น้อย


 


“ลูกพี่จิ้งอาหารที่ลูกพี่ทำนี่ดูน่ากินจริงๆจนพยาธิในท้องผมดินพราดแล้วเนี่ย” หลิวฉิงส่งชามข้าวให้ซูจิ้ง หลังจะนั้นก็วางชามของตัวเองลงบนโต๊ะและเริ่มกินในทันที


 


ฉินซูหลานเองก็พยายามไม่ให้น้อยน่าเขาเองก็เริ่มกินในทันทีเช่นกัน


 


ซูจิ้งทำหน้าคิดหนักอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พยายามจะหยุดการกินอาหารมือนี้


 


หลังจากที่ทั้งคู่กินไปคำแรก ทั้งสองก็เริ่มกินอย่างไม่หยุดปาก ซูจิ้งเองก็กินไม่หยุดปากเช่นกันแต่ทั้งคู่ต่างหลีกเลี่ยงที่จะกินปลานึ่งจานนั้นโดยการส่งจานปลานึ่งไว้ให้อยู่ตรงหน้าฉินซูหลานในวงสำรับกับข้าว และพยายามกินแต่ของที่อยู่ตรงหน้าตัวเองเป็นหลัก ทำให้ฉินซูหลานไม่ระแวงสงสัยอะไร


ฉินซูหลานเองก็กินอาหารตรงหน้าไปอย่างไม่คิดอะไรมาก ด้วยความอร่อยของมันทำให้ปลาตัวน้อยหมดลงไปอย่างรวดเร็ว เหมือนจะเสียดายที่หมดเร็ว พอเขาเห็นต้นหอมที่ลองใต้ตัวปลาอยู่ เขารีบคีบมันขึ้นมากินเหมือนกลัวว่าจะมีคนแย่งไป ทั้งสองเมื่อเห็นดังนั้นก็เริ่มคาดหวังในสิ่งที่ตัวเองต้องการ พอรอดูไปซักพักก็ทำได้แต่ถอดใจว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซูจิ้งนั้นคาดหวังเอาไว้ว่าหอมป่านี้ ควรจะส่งผลอะไรกลับร่างกายบ้างซักอย่าง แต่กับหลิวฉิงเขานั้นคาดหวังให้ฉินซูหลานผ่านประสบการณ์ที่เลวร้าย ราวนรกบนดินที่เขาเคยได้รับมาแค่นั้นเท่านั้น และแอบภาวนาอยู่เล็กน้อยขอให้มันส่งผลออกมาซักนิดก็ยังดี ต่อให้ไม่กลายเป็นผีเปรตเดินดินก็ขอให้เป็นแต๋วแตกก็ได้เอ้า


อย่างไรก็ตามตอนที่เขากินมะละกอเกล็ดงูไป เมื่อตอนนั้นกว่าจะส่งผลออกมาก็ใช้เวลาตั้งเป็นวัน เป็นไปได้ว่าตอนนี้อาจยังไม่ได้เวลาที่หอมป่าจะออกฤทธิ์ พวกเขาเองก็คงจะทำได้เพียงการรอคอยเท่านั้น


 


หลังจากมื้ออาหารทั้งหมดนั่งคุยกันต่ออีกนิดหน่อย โดยฉินซูหลานและหลิวฉิงนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นานขนาดนี้ ไม่นานพวกเขาก็แยกย้ายกันกลับออกไป


หลังจากทั้งหมดแยกย้ายออกไปได้ซักพัก หลิวฉิงก็ได้ส่งข้อความมาบอกว่า”พี่จิ้ง ในที่สุดผมก็หาหนูทดลองให้พี่จนได้ เป็นยังไงฉลาดดีใช่ไหมล่ะ… ถ้าฉินซูหลานออกอาการแปลกๆ ออกมายังไงพี่ต้องบอกผมนะ ผมรออยู่”


หลังจากซูจิ้งเห็นข้อความ เขานั้นทำได้แต่ส่ายหัว เขาได้แต่คิดว่าถ้าทั้งสองเข้าขากันได้ดี คงจะเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่ออย่างแน่นอน เขาได้กลับเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ และเริ่มงานของเขาต่อทันที


ซูจิ้งได้จัดการพวกมันทั้งวันทั้งคืนโดยไม่ยอมให้ส่วนใดหลุดรอดไปได้เลยซักนิด นอกจากนี้เขายังได้หอมป่าเพิ่มมาอีกจำนวนหนึ่ง เขานั้นยงคงนำพวกมันไปปลูกเอาไว้ก่อน ไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม


 


ตอนเที่ยงของอีกวันนึงเขาได้รับข้อความจากหลิวฉิงว่า ให้ไปอ่านข้อความของฉินซูหลานในวีแชท


 


พอซูจิ้งเปิดวีแชทขึ้นมาก็เห็นสติ๊กเกอร์แสดงความรู้สึกของเพื่อนๆ ของเขาเต็มไปหมด แต่เมื่อเห็นของฉินซูหลานกลับกลายเป็นสติ๊กเกอร์แสดงความรู้สึกว่า กำลังอาการหนัก พร้อมกับเห็นข้อความที่เขียนบรรยายไว้ว่า “แย่แล้ว ฉันรู้สึกว่าร่างกายกำลังผิดปกติแต่ฉันไปหาหมอแล้วก็ตรวจไม่เจออะไร”


ซูจิ้งถึงกับตกใจ นี่หอมป่าส่งผลเสียต่อร่างกายของซูหลานงั้นหรอ ขนาดไปโรงพยาบาลก็ยังไม่พบความผิดปกติอีกด้วย เขาเองรู้สึกเสียดายที่ไม่ยอมห้ามหลิวฉิงไว้ตอนนั้น เขากลัวว่าอาการผิดปกติที่ฉินซูหลานได้รับจะหนักมากจึงรีบโทรหา เพื่อสอบถามอาการทันที

 

 

 


ตอนที่ 685

 

เวทมนต์


“ซูหลานนายเป็นไงบ้าง” ซูจิ้งรีบถามทันทีฉินซูหลานรับสาย


 


“ไม่เป็นไรครับลูกพี่ ลูกพี่ห่วงผมมากขนาดนี้ผมดีใจจริงๆ” ฉินซูหลานรู้สึกยินดีอย่างมากที่ซูจิ้งโทรมาหาเขา


 


“แล้วนายไปโรงพยาบาลทำไมหล่ะนั่น” ซูจิ้งถอนหายในออกมา


 


“พอดีร่างกายผมผิดปกตินิดหน่อยน่ะ หลังจากที่กินข้าวกับพี่เมื่อตอนเที่ยงเมื่อวาน หลังจากนั้นมาผมรู้สึกว่าไม่หิวและไม่ได้กินอะไรมาทั้งวันแล้ว” ซูหลานตอบออกมา


 


“ทั้งมื้อเย็นกับมื้อเช้าหรือกลางวันตั้งแต่เมื่อวานน่ะนะ” ซูจิ้งถามด้วยความมึนงง


 


“ใช่ครับ ผมไม่ได้กินอะไรเลย ผมไม่รู้สึกหิวเลยซักนิด มันรู้สึกเหมือนผมไม่อยากกินอะไรอีกต่อไปเลย แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกป่วยหรืออะไรนะ ก็เลยตัดสินใจไปหาหมอหมอก็ว่าไม่เป็นอะไร ฮ่าฮ่า สงสัยเป็นเพราะกินกับข้าวฝีมือพี่นั่นหล่ะ ทำให้ไม่อยากกินจากที่ไหนอีก ก็คงจะเป็นอย่างนี้อักซักวันสองวันหล่ะนะ อย่ากังวลไปเลย” ฉินซูหลานพูดพร้อมหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


 


“งั้นถ้ามีอะไรเกิดขึ้นขึ้นมารีบโทรหาฉันได้เลยนะ” ซูจิ้งพูดออกไปนั่นยิ่งทำให้ฉินซูหลานดีใจและเคารพในตัวซูจิ้งมากยิ่งขึ้น แต่พอซูจิ้งได้ฟังน้ำเสียงการพูดแล้วเขากลับยิ่งรู้สึกผิดกว่าเดิม


 


หลังจากวางสายไปซักพักหลิวฉิงก็โทรเข้ามาทันทีพร้อมถามออกมาทันทีที่ซูจิ้งรับสายว่า “พี่จิ้งเป็นยังไงบ้าง ฉินซูหลานมีอาการผิดปกติอะไรบ้าง มีอะไรงอกหรือหายไปบ้างไหม” หลิวฉิงถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นมากเป็นพิเศษ


 


“นี่นายคิดว่าของใหม่ฉันเป็นอะไรเนี่ย” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกเขาพูดต่อว่า “ซูหลานไม่ได้เป็นอะไรและก็ไม่ได้มีอะไรงอกหรือหายไปทั้งนั้นหล่ะ หมอนั่นแค่ไม่รู้สึกหิวแค่นั้นเอง อย่าทำแบบนี้อีกก็แล้วกัน ถ้าเกิดมันเหตุการณ์ร้ายแรงกว่านี้นายจะรับผิดชอบยังไง”


 


“ห้ะ แค่ไม่หิวอ่ะนะ” หลิวฉิงรู้สึกฟ้าผ่าเข้ามากลางใจทันที หลังจากเขากินของใหม่ของซูจิ้งเขาต้องเจอประสบการณ์อันเลวร้าย เกือบต้องกลายเป็นอสูรร้ายในคราบมนุษย์ แต่พอถึงคราวฉินซูหลานกับกลายเป็นแค่ไม่หิวอย่างเดียวเนี่ยนะ ไม่สิอาจจะไม่แย่ซะทีเดียวก็ได้ ถ้าไม่หิวหมอนั้นอาจจะไม่อยากกินอะไรอีกเลยไปตลอดชีวิต


 


“ดูเหมือนนายจะจินตนาการไปไกลแบบในนิยายไปเลยแหะ เอางี้ดีกว่าครั้งหน้าที่ฉันได้ของใหม่มาฉันจะให้นายลองอีกหนนึง” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่เอาแล้วก้าบ ลูกพี่หาคนอื่นเถอะ” หลิวฉิงวางสายทันทีด้วยความไวแสงที่ได้ยิน เขานั้นความก็จริงก็ชอบสิ่งต่างๆที่ซูจิ้งหามา เพราะมันมีพลังแฝงต่างๆมากมาย แต่ถ้าจะให้ลองก่อนใครเพื่อนนี่ไม่เอาเด็ดขาด ตอนนี้เขากลัวจนเข้ากระดูกดำไปแล้วว่าซูจิ้งจะลองของใหม่กับเขาอีกครั้ง


 


ซูจิ้งแค่ขู่หลิวฉิงเฉยๆ เขานั้นนึกหาหนทางที่มันปลอดภัยมากกว่านี้ คราวหน้าเขาคงไม่ใช้มนุษย์มาทดลองแล้ว ถ้าให้พวกสัตว์มาลองก็ยังดูพอเป็นไปได้อยู่ แต่กับมนุษย์เขาคงต้องคิดหนักกว่าเดิมเพราะถ้าเกิดมีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่งถึงขั้นเสียชีวิตขึ้นมาเขาต้องเจอปัญหาใหญ่แน่นอน นอกซะจากว่าการตายนั้นจะเป็นศัตรูของเขา


 


เมื่อสายถูกตัดไปเขานั้นได้ไปสำรวจที่สัตว์เลี้ยง ที่ได้ลองกินต้นหอมป่าเข้าไปเมื่อวาน เช่นเดียวกับฉินซูหลานพวกมันไม่ได้ใส่ใจกับการกินอีกเลย มันเหมือนกับพวกมันตัดความรู้สึกนี้ไปออกจากชีวิตไปแล้ว และไม่ได้มีความผิดปกติอื่นอีกเลย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นซูจิ้งก็ยังคงคอยตรวจสอบพวกมันเป็นระยะ พร้อมทั้งคิดไปด้วยว่าจะเอาหอมป่าพวกนี้ไปทำอะไรดี


ซูจิ้งได้ตรวจสอบหนู ปลากระชัง ม้าขาว กระต่าย และซินชิลล่า ที่ได้กินหอมป่าเข้าไป พวกมันล้วนแล้วแต่ไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เมื่อวาน มันเหมือนกับแค่ไม่หิวเลยไม่อยากกิน แม้แต่เจ้าหนูที่หิวตลอดเวลามันยังรู้สึกไม่อยากกินอะไรเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าพวกมันเองก็ไม่ได้รู้สึกป่วยหรือหมดแรงแต่อย่างใด เหมือนพวกมันมีเรี่ยวแรงอยู่ตลอดเวลา


 


“อืมมมหรือว่าหอมป่านั่นมีผลให้ร่างกายไม่ต้องกินอาหารอีกเลยกันนะ” ซูจิ้งเองก็คิดออกมาอย่างนั้นได้แต่ประหลาดใจ แต่พอถึงเย็นวันนั้น สัตว์เลี้ยงของเขาได้เริ่มหิวอีกครั้ง พอให้หอมป่าพวกมันก็ไม่หิวอีกเหมือนเดิม ฉินซูหลานเองก็กินหอมป่าไปพอสมควร ผลของหอมป่าน่าจะยังไม่หมดฤทธิ์ง่ายๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าหอมป่านี่สมควรจะมีผลต่อ การลดความต้องการอาหารของร่างกายลง ยิ่งกินมากเท่าไหร่ ระยะการหวังผลก็ยิ่งนานขึ้น


 


“มันน่ามหัศจรรย์จริงที่ขนาดหนู ที่ตระกละขนาดนั้นยังไม่หิวได้ตั้งวันนึงหลังจากกินไปได้นิดเดียว ซูหลานก็กินไปพอๆกันยังไม่หิวไปวันนึง ถึงแม้มันจะดูไม่เกิดผลอะไรในตอนแรกแต่ก็ถือว่าใช้ได้เลยทีเดียว นอกจากมันจะเป็นอาหารแล้วมันยังเหมาะกับการใช้ในการทหาร ทำให้ไม่ต้องกินอะไรได้อีก เพียงกินแค่นิดเดียวก็อยู่ได้ทั้งวัน” ซูจิ้งได้นึกวิธีการใช้เข้าหอมป่านี่ไว้เรียบร้อยแล้ว ถ้าเกิดว่ากินมันเพียงเล็กน้อย แล้วทำให้ร่างกายไม่ต้องกินอาหาร แถมยังทำให้ร่างกายไม่หมดแรงแถมยังไม่มีผลเสียอื่นต่อร่างกาย นี่เหมาะกับการเป็นยาโด๊ปจริงๆ


 


ซูจิ้งนึกไปพลางมองไปยังสถานีกำจัดขยะแห่งนี้ แม้แต่ต้นหญ้าธรรมดาก็ยังมีเวทมนต์แฝงอยู่ภายใน ขยะห้วงเวลาฯที่พวกมันจากมานี่เป็นห้วงเวลาฯแบบไหนกันนะ ทั้งหินอ่อนขาว และเจ้าเต่านั้นอีก แค่นั้นยังทำให้เขานึกไม่ออกว่าพวกมันมาจากที่ไหนกัน ของที่ได้มาก็เหมือนกับจีนยุคก่อนแต่เจ้าหอมป่านี่ไม่มีบนโลกนี้แน่นอน


 


ซูจิ้งก็ยังคงทำความสะอาดสถานีต่อไป ผลที่ได้คือเจอหอมป่าพวกนี้อีกจำนวนหนึ่งเขาเลยนำมันไปปลูก นอกจากนั้นเขาเจอเสื้อผ้าเก่าๆ และ เขายังเจอไม้ไผ่ที่งอกบนกองขยะเหมือนกับหอมป่า ทันทีที่ซูจิ้งดึงไม้ไผ่ออกมาเขาเริ่มรู้สึกคุ้นๆตาขึ้นมาบ้าง


ตอนที่เขาดึงไผ่ต้นนี้ออกมามันค่อนข้างดึงได้ยากอยู่เหมือนกัน ตอนแรกเขาก็นึกว่าเป็นเพราะขยะอื่นๆไปทับถมมันทำให้หนัก แต่พอดึงออกมาแล้วเขากับพบว่ามันหนักด้วยตัวของมันเองจริงๆ ขนาดไม่ไผ่ที่ได้จากห้วงเวลาฯจากเรื่องราชาแห่งพิณยังไม่หนักเท่านี้เลย มันหนักว่าถึงสามเท่าด้วยซ้ำ


ด้วยความกว้าง 7 ซม. ยาว 2 ม. ต่อให้มันยังมีกิ่งก้านใบก็ไม่ควรหนักเหมือนเหล็กขนาดนี้ อีกทั้งยังพบว่ามันมีสีดำตลาดทั้งลำ


 


“ถึงเจ้าไผ่นี่จะไม่สวยเท่าไผ่จากห้วงเวลาฯจากราชาแห่งพิณ แต่มันก็ดูเหมือนกับไม่ใช่วัตถุดิบทั่วไปแบบหินอ่อนขาว มันดูทนทานและยืดหยุ่น ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มเลยรึเปล่า” นึกได้ดังนั้นเขาจึงใช้มีดลองตัดมันดู ทันทีที่มีดฟันเข้าที่กอเสียงมันเหมือนไปฟันโดนหิน มันแข็งจนทำให้มือซูจิ้งปวดได้เลย เมื่อมองดูรอยตัดมันปรากฎแค่รอยขีดเล็กๆ บนผิวต้นไผ่ที่เขาได้ลงมีดไปเมื่อกี้


 


“โคตรแข็ง” ซูจิ้งตกตะลึง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกแรงเต็มที่ แต่ด้วยความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ก็เหนือกว่ามนุษย์ทั่วไปอยู่หลายขุม ถึงขนาดนั้นก็ยังทำได้แค่รอยขีดข่วนแค่นั้นเอง ต่อให้เป็นไม้ไผ่จากห้วงเวลาฯจากเรื่องราชาแห่งพิณก็ยังไม่แข็งเท่านี้ มันควรจะโดนฟันเข้าไปครึ่งลำแล้วแน่ๆ


 


“เดี๋ยวนะไผ่ดำนี่ดูคุ้นๆอยู่นะ”


 


ซูจิ้งรู้สึกเริ่มจะนึกออกว่าแล้วว่ามาจากนิยายเรื่องอะไร แต่เขาก็ยังนึกชื่อไม่ออก เขายังคงคุ้ยขยะมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นเขาเจอของที่คุ้นตามากขึ้น อย่างพวกตำราเอกสารต่างๆ คำที่ใช้ในนั้นทำให้เขาคุ้นหูคุ้นตามากขึ้นเรื่อยๆ อย่างพวกคำว่า สวรรค์และโลกไม่มีตา ทุกอย่างในโลกก็เหมือนสุนัขที่เคี้ยวหญ้า ยูนิคอร์นน้ำ ถนนไทจิซวนฉิง เผาหมูบ้านที่ตีนเขา วัดเทียนหยิน พรรคเมฆาเขียว(ประตูชินหยุน) ดอยไผ่ใหญ่


ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯอะไรกันแน่


 


“พระเจ้า เจ้าพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯจูเซียน(กระบี่เทพสังหาร)”

 

 

 


ตอนที่ 686

 

กระบี่เทพสังหาร


“พระเจ้า ขยะพวกนี้มาจากห้วเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหารงั้นหรอ”


 


ซูจิ้งตกใจไม่น้อย ประตูชิงหยุน(สำนักเมฆาเขียว) การเผาหมู่บ้านที่ตีนเขา และวัดเทียนหยิน สามคำนี้เป็นคำหลักๆ ที่ใช้อธิบายเรื่องราวต่างๆในห้วงเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหาร ไม่ผิดแน่นอนแล้ว


 


“สังหารเทพ” มันคือโลกที่มีทั้งมนุษย์และผู้ครองความอมตะ มีการบ่มเพาะวิถีเซียน(เต๋า) วิถีพุทธ ภูติผีปีศาจ(มาร) สัตว์โบราณ สรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ เป็นเรื่องของตัวเอกที่ชื่อจางเซี่ยวฟานเด็กบ้านๆที่ชีวิตผลิกผันคนในหมู่บ้านถูกฆ่าเกือบหมด ถูกรับเข้าสำนักเมฆาเขียว เป็นศิษย์ดอยไผ่ใหญ่ จากนั้นก็เริ่มฝึกฝนจนกลายเป็นตำนานที่มีชีวิต


 


สำนักเมฆาเขียวเป็นสถานที่ฝึกการบ่มเพาะวิถีเซียน มีทรัพยากรบ่มเพราะมากมาย สถานที่อาคารเปรียบได้ดั่งอยู่ในสรวงค์สวรรค์ พื้นห้องโถงอาคารหลักทำด้วยหินอ่อนขาวนวล ถ้าตรงไหนมีตำหนิก็แค่รื้อออกเปลี่ยนใหม่แค่นั้นเอง


 


กระบี่เทพสังหารเป็นโลกที่ค่อนข้างจะโหดร้าย มีม้าน้ำ ลิงสามตาอยู่ในสำนักเมฆาเขียว มีจิ้งจอกเก้าหาง งูน้ำทมิฬ มังกรเขียว นกอมตะ(ฟีนิกซ์) และสัตว์ในตำนานจีนหลากหลายสายพันธุ์อาศัยอยู่ ไม่มีมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ตะพาบน้ำจีนแบบที่เขาเจอเป็นเพียงสัตว์พื้นบ้านในห้วงเวลาฯในเรื่องกระบี่เทพสังหาร


 


เป็นไปได้ว่าของที่เขาเจอมาทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นของพื้นๆ แม้แต่ไผ่ดำที่เจอก็เป็นแค่ไผ่ที่ใช้ฝึกซ้อมในสำนักเมฆาเขียวเท่านั้นเอง ตอนที่จางเซียวฟานเข้าสำนักเมฆาเขียวนั้น เขาต้องตัดไผ่ดำนี่ทุกวันเพื่อเป็นการฝึกตน ในวันแรกเขานั้นตัดไม่ได้ซักต้นเดียว ต่อมาเมื่อศิษย์พี่หญิงของเขาที่มีนามว่าเทียนหลิงเอ๋อช่วยเขาตัดอยู่หลายหน


 


พอนึกถึงเจ้าต้นหญ้าที่คล้ายหอมป่านั่นอีกทีซูจิ้งก็ตกใจเล็กน้อย เขานึกอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งก่อนที่จะพูดออกมาลอยๆว่า “เจ้าหญ้าต้นนี้ไม่ใช่ว่ามันคือ “ซูหยู” ในตำนานนั่นหรอกหรอ”


 


ในตำราได้บันทึกไว้ว่า “ซูหยู” คือพืชที่ลักษณะคล้ายหอมป่าแต่มีมีสีเขียวสด เป็นอาหารที่กินแล้วจะทำให้หายหิวได้


 


ในห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียน ซูหยู ถึงแม้จะไม่ใช่ต้นไม้วิญญาณแต่มันก็มีประโยชน์อย่างมาก มันช่วยให้ชาวบ้านจนๆไม่ต้องอดตาย ชาวบ้านที่เจอนั้นถือได้ว่าโชคดีสุดๆ อย่างไรก็ตามพวกคนรวยและผู้ฝึกตนต่างไม่เห็นค่าของมันเพราะพวกมันมีประโยชน์เพียงอย่างเดียวคือช่วยให้หายหิว ถึงแม้มันจะไม่มีโทษแต่ก็ถือได้ว่าไม่เห็นประโยชน์เพราะมันทำให้ร่างกายไม่ต้องการสารอาหารอะไรเพิ่มเติม ซึ่งแน่ว่ามันส่งผลต่อการฝึกตนของเหล่าผู้ผึกตนในเรื่อง ถึงรถชาติมันจะไม่ได้แย่แต่หลังจากซูหยูหมดฤทธิ์จะทำให้ร่างกายหิวอย่างมาก


 


การใช้ประโยชน์ต้นซูหยูอย่างเดียวที่ซูจิ้งนึกออกในตอนนี้ก็คือการใช้เป็นเสบียงทางการทหาร ความจริงชูหยูนั้นมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการน้อยมาก แต่สารอาหารเหล่านั้นจะตกค้างในกระเพาะนานเป็นพิเศษส่งผลให้กระบวนการย่อยเกิดขึ้นช้าลงมาก และร่างกายจะไปดูดซึมพลังรูปแบบอื่นในร่างกายมาใช้แทนอย่างเช่นพวกไขมันตามร่างกายส่วนต่างๆ หากมีการกินเป็นเวลานานร่างกายที่ไม่ได้รับสารอาหารและพลังงานเพิ่มเติมจะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงเรื่อยๆ


 


นอกจากนี้ซูจิ้งยังได้ทดลองเกี่ยวกับซูหยูเพิ่มเติมพบว่า มันสามารถปลูกบนดินจอมเขมือบได้แต่ไม่สามารถปลูกลงบนดินบนโลกมนุษย์ได้ นั่นทำให้พวกกระจายอยู่ไปทั่วกองขยะจากห้วงเวลาฯ ถึงอย่างนั้นซูจิ้งก็ยังเชื่อว่าเขามีหนทางที่จะปลูกมันในจำนวนที่มากพอต่อการทำเป็นสินค้าของบริษัทแน่นอน เจ้าขยะกองนี้น่าจะมาจากแถวๆ สำนักเมฆาเขียวไม่ก็พื้นที่ที่มีพลังวิญญาณของสวรรค์และโลกเชื่อมต่อกัน มันจึงให้ขยะพวกนี้ประเมินค่าไม่ได้เมื่อเทียบกับของบนโลกมนุษย์เลย


 


ซูจิ้งยังคงสารวนอยู่กับต้นซูหยู การที่พกเจ้านี่ไปไม่ต้องกังวลเรื่องอดตายเลยซักนิด ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์แบบไหน แต่ให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารจนร่างกายต้องอ่อนแอ แต่ยังไงซะก็ยังดีกว่าอดตายอยู่ดี มันเหมือนกับเครื่องช่วยชีวิตฉุกเฉิน มันมีค่าเหมือนกับพกข้าวหนึ่งชั่ง ไม่สิร้อยชั่งไว้กับตัวได้เลย


 


“ในเมื่อขยะพวกนี้มาจากห้วงเวลาฯเรื่องกระบี่เทพสังหารล่ะก็ มันก็สมควรจะมีสมบัติดีๆหลุดออกมามั่งสิน่า” เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้นเขาไม่รอช้ารีบเข้าไปจัดการขยะที่เหลือทันที เขาได้ขุดซูหยูไปปลูกนอกจากนั้นยังได้ไผ่ดำมาเพื่ม ซึ่งคราวนี้เขาได้ต้นที่ค่อนข้างสมบูรณ์และยังมีรากอยู่ เขาก็จะนำพวกมันไปปลูกด้วยเช่นกัน เพราะยังไงซะมันก็ต้องมีประโยชน์กับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง


 


หลังจากคุ้ยกองขยะต่อไป ซูจิ้งได้พบกับแจกันลายครามจำนวนหนึ่ง ถึงส่วนใหญ่จะแตกหักแต่เขาก็ยังเก็บมันด้วย ในเวลาเดียวกันเขายังได้พบวัตถุดิบบางชนิด แต่ก็ยังถือว่าเขายังไม่เจอของดี สิ่งที่เขาหวังอยากเจอมากที่สุดในตอนนี้ก็คืออาวุธวิญญาณ​


 


“นี่คือ”  ทันใดนั้นซูจิ้งได้สังเกตุผงขาวเล็กๆ กองหนึ่งในขวดแตกขวดนึง ต่อให้มันเครอะขนาดไหนเขาก็ยังรู้ว่านั่นคือขวดยา แถมกลิ่นที่เตะจมูกเขานั่นคือผงยาอย่างไม่ต้องสงสัย  ถึงจะดูไม่มีปัญหาในการใช้งานแต่ด้วยการที่ขวดแตกแถมมีสิ่งเจือปนหลุดเข้าไปทำให้มันดูสกปรกอยู่เหมือนกัน


 


“สิ่งเจือปนในยาขวดนี้สีเหมือนกับกองขยะที่ขุดไผ่ดำออกมา มันควรเป็นยาที่มาจากสำนักเมฆาเขียว นี่คือยาวิเศษจากสำนักเมฆาเขียวงั้นหรอ”


 


ซูจิ้งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา แต่ให้มันมีสิ่งเจือปนอยู่บ้างแต่เขาก็ยังเชื่อในผลของยา แต่ให้เอาขยะทั้งกองมาเทปน มันก็ยังคงเป็นยาวิเศษของสำนักเมฆาเขียวอยู่ดี นั่นก็เพราะว่าถ้ามันเป็นยาวิเศษแห่งสำนักเมฆาเขียว ผลจากการใช้ก็ยังถือว่าดีมากๆ ต่อให้เป็นยาเกรดต่ำก็ยังดีกว่ายาทุกชนิดบนโลกมนุษย์


 


“อยากรู้จริงๆแหะว่ายานี่เป็นยาของศิษย์ภายนอกหรือศิษย์ภายใน” ซูจิ้งลองคิดถึงความเป็นไปได้ เขานั้นดูรอบขวดยาแต่เขาก็ไม่พบอะไรที่พอจะใช้บอกได้ว่ามีนคือยาอะไร


 


ซูจิ้งบอกให้หลีน้อยและอาลี่ให้ไปจับหนูแถวนี้มาสองตัว เขาลองให้พวกมันกินยาไปนิดหน่อย หลังจากรอซักพักเหมือนยาจะไม่ออกฤทธิ์ ซูจิ้งลองถามมันโดยตรงแต่พวกมันก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ


 


“เป็นไปได้ว่ายานี้ไม่ได้มีผลโดยตรงต่อร่างกาย แต่อาจมีผลในด้านอื่นทำให้พวกหนูบอกผลของยาไม่ได้ นี่ค่อนข้างยุ่งยากเลยแหะ ถ้าสมมุติว่ามันเป็นยาที่ใช้รักษาโรค นี่ฉันไม่ต้องตระเวนไปรอบรักษาคนรอบโลกเลยรึ ต่อให้ทำอย่างนั้นจริงก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเป็นยารักษาโรคจริงๆรึเปล่า” ซูจิ้งลองนึกหาวิธีทดลองที่จะประหยัดตัวยาให้ได้มากที่สุด เขาลองศึกษาลักษณะตัวยาอีกครั้งก่อนที่จะทำการทดลองเพราะว่าตัวยานั้นมีน้อยมากๆ


 


ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสพลังจิตของเขาออกมา เขาได้ใช้กระแสพลังจิตทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ในตัวยาออกทีละนิดทีละนิดจนยะบริสุทธิ์หมดจด หลังจนากนั้นเขานำมันไปไว้ในพื้นที่ที่ลมไม่พัดผ่านและแห้งสนิทเพี่อที่จะพยายามรักษาตัวยาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ และได้ให้หมาป่าสงครามคอยเฝ้าไว้


 


ซูจิ้งกลับไปจัดการขยะต่อ พอจัดการไปได้ซักพักเขาได้สังเกตุเห็นกิ่งไม้สีเขียวที่ใบติดอยู่เล็กน้อย หลังจากดูลักษณะใบของมันใบค่อนข้างส่งกลิ่นฉุน และที่ปลายกิ่งยังมีผลติดอยู่ด้วย ผลของมันเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงไปได้ครึ่งหนึ่ง พวกมันดูเหมือนจะยังไม่สุกดี บางส่วนสุกแล้ว บางส่วนโดนกินไปนิดหน่อย แต่ก็มีบางส่วนเริ่มเน่าแล้วเหมือนกัน


 


“เจ้านี่มันผลของต้นอะไรหว่า” ซูจิ้งพยายามวิเคราะห์ผลไม้พวกนี้อยู่พักใหญ่แต่นึกไม่ออกซักที ลักษณะของมันไม่เหมือนผลไม้ใดๆ บนโลกที่เขารู้จัก ซูจิ้งตัดสินใจจะลองกินมันทีหลัง เพื่อจะดูว่ามีฤทธิ์ต่อร่างกายอย่างไรบ้าง เขาได้ให้หลี่น้อยและอาลี่ไปจับหนูมาอีกสองตัวและจับปลามาให้อีกสองตัว


 


มีผลไม้ที่เสียแล้วทั้งหมดสามลูก ซูจิ้งบังคับหนูสองตัวและปลาอีกหนึ่งตัวกินสามผลนี้ แล้วเขาก็กลับไปจัดการขยะต่อไป หลังจากทั้งไว้ซักพักทั้งหนูและปลาที่กินไปต่างก็บอกว่าไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้น แต่ดูจากสภาพเหมือนมันไม่กล้าบอกมากกว่า

 

 

 


ตอนที่ 687

 

ลูกค้าคนพิเศษ


ในขณะที่ซูจิ้งยังจัดการขยะของเขาพร้อมถึงนึกหาวิธีในการตรวจสอบยาและผลไม้สีแดงที่เจอนั้น อยู่ๆโทรศัพท์ก็ได้ดังขึ้น เป็นฉือชิงที่โทรมาเขารีบรับโทรศัพท์ทันที น้ำเสียงที่ค่อนข้างเป็นกังวลของเธอส่งผ่านสายโทรศัพท์ออกมา “อาจิ้ง นายอยู่บ้านรึเปล่า”


 


“อยู่ครับ” อาจิ้งตอบกลับไป


 


“มีลูกค้าคนนึงต้องการซื้อชันในกระชับหุ่นรุ่นประหยัดน่ะ ด้วยการที่เธอรูปร่างอ้วนทำให้ผลของชั้นในไม่ดีเท่าไหร่ เขาบอกว่าจะไม่ยอมออกจากร้านถ้าเขาไม่ได้รุ่นแรกกลับบ้านไป” ฉือชิงพูดออกมา


 


“โอ้….” ที่ซูจิ้งทำเสียงอย่างนั้นเพราะเหมือนเขาอยากจะถามอะไรบางอย่างจากฉือชิงแต่ก็ไม่รู้จะถามยังไงดี


 


“โอ้…. อะไรมิทราบ ถ้านายอยากถามก็ถามมาสิ” ฉือชิงถามออกมาอย่างอารมณ์เสีย


 


“คนๆนั้นต้องการรุ่นแรกในราคาห้าแสนหยวนงั้นหรอ” ซูจิ้งลองเรียบเรียงคำพูดในหัวก่อนจะถามออกไป


 


“ไม่ใช่นะ เธอไม่ได้ไร้เหตุผลขนาดนั้น เธอบอกว่าพร้อมที่จะจ่ายห้าล้านหยวนทันที เรื่องเงินไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเธอ ฉันเองก็ถามเธอไปอย่างนั้นทำให้เธอโวยวายออกมานี่หล่ะ” ฉือชิงพูดตอบมาอย่างจนปัญญา


 


หลังจากคำนวนเหตุการณ์สักพักซูจิ้งรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่างจึงตอบกลับไปว่า “เอางี้ปล่อยให้เธอรอไปก่อนนะฉันจะรีบไปที่นั่น”


 


“ไม่มีดีเลยนะที่ต้องให้เทพลงมาคอยมาจัดการปัญหาให้ฉันน่ะ ให้ฉันจัดการเองดีกว่า” ฉือชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เธอเองก็ได้เห็นว่าชาวเน็ตต่างเรียนเขาว่าอย่างนั้น ทำให้เธออดไม่ได้ที่จะหยอกเขา


 


“นั่นสิน้า กว่าจะไปถึงก็ดูยุ่งยากวุ่นวายจริงนั่นหล่ะ แต่ถ้าได้ไปเห็นพนักงานสาวแสนสวยก็อีกเรื่องนะ ยังไงซะฉันก็ยังไม่ได้ไปตั้งแต่เปิดร้านเลยนี่ เพราะฉะนั้นฉันไปเองดีกว่า” ซูจิ้งพูดตอบไปด้วยรอยยิ้ม


 


“พูดได้ดี” ฉือชิงเริ่มอารมณ์ดี


 


ซูจิ้งวางแผนว่าจะไปแบบเป็นการส่วนตัวทีหลัง แต่พอฟังเรื่องเกี่ยวกับลูกค้ารายนี้ทันใดนั้นก็นึกโอกาสบางอย่างได้ เขาอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และขับรถตรงไปที่ตึกหลงเต็ง และขึ้นไปชั้นสองทันที


 


“เป็นอย่างไรบ้างคะคุณผู้ชาย พอจะมีเสื้อผ้าที่ผูกใจบ้างรึเปล่าคะ” พนักงานเข้าทักทายซูจิ้งตามปรกติเพราะคิดว่าเป็นลูกค้า แต่พอเธอเห็นรูปร่างหน้าตาของซูจิ้ง สายตาของเธอได้มองซูจิ้งอย่างเป็นประกาย นั่นก็เพราะว่ายิ่งเขาฝึกฝนตัวเองมากเท่าไหร่เขานั้นยิ่งดูหล่อและสุขุมมากขึ้น ถ้าเธออยู่ที่นี่คนเดียวล่ะก็จะรีบวิ่งเข้าใส่ทันที นี่คือสิ่งที่พนักงานคนนี้กำลังคิดอยู่แต่ความคิดนั้นได้ไหลทะลักออกมาจนซูจิ้งรับรู้เรียบร้อยแล้ว เธอได้แต่คิดว่าผู้หญิงที่ซูจิ้งซื้อของให้จะเป็นคนแบบไหนนะถึงทำให้ผู้ชายหล่อลากดินคนนี้กล้าเข้ามาซื้อของที่ร้านนี่ให้ ที่เธอคิดอย่างนั้นเพราะร้านนี้ขายแต่เสื้อผ้าผู้หญิงเท่านั้นเพราะฉะนั้นคนที่เขาจะซื้อให้ต้องเป็นแฟนไม่ก็ภรรยาแน่นอน


 


“ฮ่าฮ่า เซี่ยวหลี ไม่ต้องถามเขาหรอกน่า” ผู้หญิงน่ารักคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอคือตงเจี๋ยที่เคยเจอกับซูจิ้งมาก่อนหน้านี้


 


“ทำไมหล่ะ” พนักงานคนนั้นถามกลับด้วยความสงสัย


 


“คนนี้คือคู่หมั้นของเจ้านายเราไง” ตงเจี๋ยพูดตอบด้วยรอยยิ้ม


 


“โอ้” พนักงานคนนั้นตกใจพร้อมกับเขินนิดหน่อย เธอรู้แต่ว่าคู่หมั้นของฉือชิงเป็นดาราที่รวยแค่นั้นเอง เธอไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน


 


“งั้นฉันจะไปเรียกเจ้าของร้านให้นะคะ” พนักงานคนนั้นตอบแบบเขินๆ


“ไม่เป็นไรเดี๋ยวผมเดินไปเอง” ซูจิ้งเดินเข้าไปในร้าน ซักพักเขาก็เจอฉือชิงกำลังรับรองผู้หญิงอ้วนคนหนึ่งอยู่ในพื้นที่พักผ่อน ผู้หญิงคนนั้นพูดออกมาว่า “คุณฉือ ไม่ใช่ว่าสินค้าของคุณไม่ดีหรอกนะ ฉันลองใช้มันแล้วมันดีกว่าเมื่อเทียบกับสินค้าตัวอื่นในท้องตลาดจริงๆ แต่คุณก็เห็นแล้วว่าหลังจากฉันใช้ไปได้ซักพักนึง มันกระชับสัดส่วนได้เพียงนิดเดียวและน้ำหนักตัวฉันก็ไม่ได้ลงเท่าไหร่เลย ฉันไม่โทษคุณเลยจริงๆนะคะ สินค้าที่ซื้อไปแล้วฉันก็จะไม่คืนให้คุณแน่นอน แต่ยังไงฉันก็ต้องการซื้อชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นแรกจริงๆ ”


 


“ใช่แล้วค่ะคุณฉือ แค่ชิ้นเดียวเท่านั้นเอง เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา” ผู้หญิงอีกคนที่หุ่นดีกว่า กล่าวสำทับออกมา


 


“ไม่ใช่ว่าทางเราไม่อยากขายนะคะ แต่ตอนนี้คนที่พอจะมีสินค้ารุ่นแรกมีเพียงคู่หมั้นของฉันเท่านั้นเอง ที่ร้านตอนนี้เราไม่มีจริงๆค่ะ” ฉือชิงพูดออกมา


 


“ฉือฉิง คนนี้คือคุณนายหวังที่ว่าใช่ไหม”


 


ซูจิ้งรีบเดินเข้ามาทันที


 


“อาจิ้ง” ทันทีฉือชิงเห็นเขา ตาของเธอส่องประกายแห่งความหวังออกมา เธอเดินไปพาซูจิ้งเขามาพร้อมพูดว่า “คนๆนี้คือคุณนายหวังและอีกคนคือคุณนายเจ้า คุณนายเจ้า คุณนายหวัง นี่คือคู่หมั้นของฉันซูจิ้งค่ะ เรื่องชุดนี่คุณต้องคุยกับเขาแทนแล้ว”


 


“สวัสดีคุณซู” คุณนายหวังและคุณนายเจ้า ค่อนข้างรู้สึกประทับใจเพราะพวกเธอรู้ว่าซูจิ้งเป็นคนออกแบบชั้นในกระชับสัดส่วนนี้ขึ้นมา


 


“สวัสดีครับคุณนายหวังและคุณนายเจ้า” ซูจิ้งจับมือไปยังทั้งสองคนแล้วก็ได้หันไปพูดฉือชิงว่า “ไปทำงานเถอะ เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”


 


“ดีล่ะ งั้นมีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” ฉือชิงพยักหน้าแล้วเดินไปทำอย่างอื่นในร้าน


“คุณนายหวังครับ ผมได้ยินเรื่องของคุณมาแล้วนะ แต่ตอนนี้ทางเราไม่เหลือชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นแรกแล้วจริงๆ” ซูจิ้งพูดออกไปและได้สำรวจเรือนร่างของคุณนายหวังทั่วทั้งร่าง เขาได้แอบถอนหายใจออกมาไม่แปลกใจเลยซักนิดว่าทำไมชั้นในรุ่นประหยัดถึงไม่ได้ผล คุณนายหวังนี่บอกได้เลยว่าอ้วนอย่างแท้จริง ต่อให้ใช้รุ่นหนึ่งก็บอกได้เลยว่าไม่มีทางได้ผลแม้แต่น้อย เธอนั้นสูง 165 ซม. แต่หนักไปกว่า 300 ชั่งแน่ๆ ถ้านั่งลงนี่คือก้อนเนื้อก้อนนึงดีๆนี่เอง


 


การทำงานของชั้นในกระชับสัดส่วนนั้น ความจริงเป็นเพียงการย้ายที่ไขมันให้ไปอยู่ในส่วนที่เป็นสัดส่วนของผู้หญิงอย่างหน้าอกหรือก้นแค่นั้นเอง ในส่วนไขมันที่เกินก็จะถูกขับออกจากร่างกายไปเองตามกลไลธรรมชาติถ้าหากให้พูดอีกอย่างคือน้ำหนักที่ลดนั้นเป็นผลผลอยได้เฉยๆ แต่ในกรณีนี้ไขมันมากเกินจนชุดไม่สามารถหาที่ที่ให้มันอยู่อย่างเหมาะสมได้มันเลยไม่ได้ผล(หุ่นเดียวกันทั้งตัว) ต่อให้ซูจิ้งเป็นเหมือนคุณนายหวังเขาเองก็จนปัญญาจากการใช้ชุดเหมือนกัน


 


“คุณซูคะ คุณเป็นคนออกแบบชุดให้ซือหยาไม่ใช่หรอ ทำเพิ่มอีกหน่อยไม่ได้หรอ ไม่เสียเวลามากนักหรอก” คุณนายเจ้าพูดออกมา


 


“เอาจริงๆก็คือมันมีปัญหาอยู่ตรงทีว่าวัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ทำนั้นเป็นของหายากครับ ไม่ใช่เพราะผมไม่อยากทำมันหรอก แต่ผมไม่มีของไว้ทำแล้วนี่สิ” ซูจิ้งพูดออกไปอย่างอึกอัก แต่ให้มีเหลือจริงเขาก็ไม่มันใจในผลลัพธ์กับคุณนายหวังอยู่ดี และตอนนี้เขาไม่มีแผนในการขายมันแน่นอน เขาเตรียมตัวเสนอสินค้าอื่นแทนของที่ทำง่ายและใช้ได้อย่างแพร่หลายมากกว่าชั้นในนี้


 


“คุณซูคะ ไม่มีทางอื่นจริงๆเลยหรอ” คุณนายหวังพูดออกมาอย่างหมดอาลัยตายอยาก


 


“ถ้าให้พูดความจริงละก็ไม่เชิงหรอกครับ” ซูจิ้งพูดออกมานั่นทำให้คุณนายหวังและคุณนายเจ้ามองซูจิ้งด้วยตาเป็นประกาย ซูจิ้งได้พูดต่อไปว่า “ผมไม่รู้ว่าคุณนายหวังเคยลองลดน้ำหนักจริงๆบ้างรึยังครับ ไม่ใช่การออกกำลังกายเพื่อกระชับกล้ามเนื้อนะ แต่เป็นการลดน้ำหนักจริงๆ”


 


“ทำไมฉันจะไม่เคยลองหล่ะ ฉันลองมาหมดทุกอย่างแล้ว แต่มันจะทำได้ง่ายๆได้ยังไง ส่วนใหญ่ต้องใช้วิธีปนๆกัน ไม่ใช้ยา ก็ออกกำลังกายมากๆ รวมถึงการลดอาหารด้วย แต่ถ้าคุณกินยามากเกินไปมันก็จะเกิดอาการข้างเคียง ร่างกายของฉันก็ทำให้ออกกำลังกายไม่สะดวกทำให้วันๆนึงออกกำลังกายไม่ได้ซักเท่าไหร่ ส่วนการลดอาหารพูดง่ายกว่าทำอยู่แล้ว ถ้าฉันกินน้อยไปมันก็จะหิว คนส่วนใหญ่ล้วนยอมแพ้กับวิธีการนี้ แต่ถ้าไม่งดอาหารก็ไม่มีทางลดน้ำหนักได้เลย” คุณนายหวังพูดอย่างจิตตกอย่างมาก


 


ซูจิ้งพยักหน้าเชิงยอมรับที่คุณนายหวังพูด เขารู้ว่ามีแต่คนอ้วนเท่านั้นที่เข้าใจความเจ็บปวดของคนอ้วนด้วยกัน แต่เข้าเองก็ยังเชื่อว่าการลดอาหารคือที่สุดในการลดน้ำหนัก ถ้าคุณกินเพียงครึ่งเดียวของมื้อปรกติ คุณก็จะหิวและไม่สบายตัว ถ้าคุณทนได้ซักอาทิตย์ก็อยากจะหยุดแล้ว ไม่ต้องพูดถึงครึ่งเดือน เดือนนึงหรือนานกว่านั้น


ยิ่งให้ออกกำลังกายร่วมด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่คือใครทำได้สมบูรณ์แบบจากร่างกายที่อ้วนได้อย่างแน่นอน


 


ทันใดนั้นซูจิ้งได้พูดสวนออกมาว่า “คุณนายหวังครับ ผมมีแผนการลดน้ำหนักสุดพิเศษมาเสนอให้คุณ คุณอยากจะลองซักหน่อยไหม”


 

 

 


ตอนที่ 688

 

อย่าได้คบคนพรรณนี้เลย


“ชิงชิง แฟนเธอจัดการเรื่องนี้ได้จริงๆ หรอนั่น เขาเองก็เหมือนไม่อยากจะขายชั้นในรุ่นแรกเท่าไหร่เลยนะ ” พอเห็นฉือชิงเดินออกมาจากพื้นที่พักผ่อนคนเดียวตงเจี๋ยจึงได้ถามออกมาด้วยเสียงเบาๆ


 


“ฉันไม่คิดงั้นนะ ถ้าเรื่องแค่นั้นเขาไม่เห็นจำเป็นต้องมาเองเลย ยิ่งกว่านั้นด้วยสภาพของคุณหวังแล้วต่อให้ใช้รุ่นแรกก็ไม่น่าจะช่วยอะไรได้นะ ต่อให้กระชับสัดส่วนได้จริงแต่น้ำหนักไม่ลงแน่นอน” ฉือชิงตอบออกมา


 


“ใช่ เธอควรจะอดอาหารและออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก” ตงเจี๋ยพูดออกมา


 


“ถ้าแค่พูดน่ะมันง่าย แต่ทำมันยากนะ ฉันเคยเห็นคนที่อดอาหารได้เกือบเดือนแต่น้ำหนักที่ลงช่างน้อยนิด คนส่วนใหญ่ทำได้แค่เหนื่อยใจและถอดใจไป ต่อให้เป็นโรคจนต้องลดน้ำหนักยังถอดใจเลย” พนักงานต้อนรับที่เข้าไปคุยกับซูจิ้งก่อนหน้านี้เล่าออกมา


 


“แล้วคุณสามีของชิงชิงจะทำยังไงหล่ะนั่น” ตงเจี๋ยถามออกมาลอยๆ


 


“อย่าเรียกว่าสามีสิ เธอต้องเรียกชื่อเขาอยู่นะ” ฉือชิงตอบตงเจี๋ยอย่างอายๆ ที่ตงเจี๋ยแซว พอตั้งสติได้เธอก็หันไปมองที่ตงเจี๋ยก่อนพูดว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะทำยังไงแต่เขาก็น่าจะมีวิธีอยู่นะ”


 


ในห้องพัก หลังจากคุณหวังและคุณเจ้าได้ยินซูจิ้งบอกว่ามีแผนการลดน้ำหนักแบบพิเศษมาเสนอก็ได้ทำตาลุกวาว คุณหวังได้ถามออกมาว่า “คุณซูคะ แผนลดน้ำหนักแบบพิเศษที่คุณว่ามีรายละเอียดยังไงอย่างนั้นหรอ และมีผลข้างเคียงอะไรรึเปล่า แล้วมีคนทำสำเร็จแล้วกี่รายกันคะ”


 


“ให้พูดตามตรงนะครับคือทางผมยังไม่มีเคสที่ทำสำเร็จเลยเพราะผมยังไม่เคยลองมันมาก่อน แต่ผมขอยืนยันได้เลยว่ามันจะได้ผลดีกว่าชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นแรกเป็น 100 เท่าเลย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง แต่นั่นกลับทำให้คุณหวังและคุณเจ้านิ่งกริบ ไม่มีคนที่เคยลองทำ ยังไม่เคยลองใช้แผน ไม่น่าเชื่อถือ อย่าบอกนะว่าจะให้พวกฉันเป็นหนูทดลอง คุณเจ้าหลังจากนิ่งไปซักพักก็พูดออกมาว่า “คุณซูคะ ถ้าไม่เคยมีคนลองมาก่อนแล้วคุณจะมั่นใจได้ยังไง”


 


“ทุกแผนก็ต้องมีครั้งแรกทั้งนั้นหล่ะครับ ยิ่งกว่านั้นแผนของผมที่จะเสนอนี่ต่อให้ไม่ได้ผล แต่ก็ไม่มีผลเสียอะไรกับร่างกายเลยซักนิด ก็ไม่เสียหายที่จะลองนี่ครับ คุณไม่คิดอย่างนั้นหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่กว้างกว่าเดิม


 


คุณหวังและคุณเจ้าขมวดคิ้ว ถ้าคนตรงหน้าพวกเธอนั้นไม่ใช่ดาราใหญ่ และคนออกแบบชั้นในลดสัดส่วนล่ะก็ พอได้ยินแบบนี้ต้องหันหน้าหนีกันทุกคนอย่างแน่นอน


 


คุณหวังได้นึ่งเงียบไปอีกพักใหญ่ จนสุดท้ายเธอก็ทนเสียงเรียกร้องของหัวใจที่อยากจะลองไม่ได้ เธอได้ถามออกมาว่า “คุณซู คุณสามารถแผนการลดน้ำหนักคร่าวๆ ให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ฉันอยากลองฟังก่อน”


 


“ได้แน่นอนครับ มันง่ายมากเลย พอดีผมได้ผลิตภัณฑ์ใหม่มาเป็นหอมภูเขา แค่คุณกินเพียงเล็กน้อย คุณจะไม่อยากกินอะไรไปเกือบทั้งวันเลย มันช่วยคุณลดอาหารได้แน่นอน มันไม่ผลข้างเคียงเหมือนยา แต่ก็ยังได้ผลดีกว่ายาแน่นอน” เขาพูดออกมาว่าเป็นหอมป่าเพราะเขารู้ดีว่าถ้าบอกว่าเป็นชูหยูนั้นไม่น่าจะมีคนรู้จัก เลยเรียกตามลักษณะของมันบนโลกดีกว่า


 


“ต้นหอมป่างั้นหรอ” คุณหวังและคุณเจ้าประหลาดใจเล็กน้อย ทำไมเธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าต้นหอมป่าใช้ลดน้ำหนักได้


 


“ใช่แล้วครับ” ซูจิ้งพูดเสร็จเขาได้หยิบกล่องเล็กที่ใส่ในกระเป๋าของเขาออกมา แล้วเปิดมันออก ข้างในนั้นมีต้นหอมป่าอยู่ต้นหนึ่ง มีส่วนหัวที่ยาวจนมีลักษณะคล้ายต้นโสมเลยด้วยซ้ำ


 


“นี่….” คุณหวังและคุณเจ้าเห็นต้นหอมในกล่องพวกเขาเองก็เกิดความสงสัยว่าต้นหอมนี่พิเศษกว่าต้นหอมต้นอื่นอย่างไร มันก็ดูเหมือนต้นหอมธรรมดา พวกเธอในตอนนี้รู้สึกว่าซูจิ้งล้อเลียนพวกเธอมากกว่า


 


“คุณสามารถนำมันกลับไปแล้วลองดูได้นะครับ ผมไม่คิดเงิน ถ้ามันได้ผลล่ะก็โปรดบอกผมด้วยนะครับ อย่ากังวลไปเลยอย่างที่ผมบอกนั่นหล่ะ ต่อให้ไม่ได้ผลแต่มันก็จะไม่มีผลกระทบกับร่างกายแน่นอน” ซูจิ้งได้พูดออกมา


“ด้วยไอ้นี่น่ะนะ แล้วแผนอย่างอื่นล่ะ อย่างการออกกำลังกาย” คุณนายหวังถาม


“เอาจริงๆการออกกำลังร่วมก็จะได้ผลดีกว่าครับ แต่ตอนแรกๆผมว่าร่างกายคุณจะทนไม่ไหวเอา เอาเป็นแล้วแต่อารมณ์ของคุณแล้วกันครับ” ซูจิ้งพูดออกมาความจริงเขาก็หวังจะให้คุณนายเจ้าออกกำลังกายด้วยหล่ะนะ แต่แค่กล่อมให้ใช้หอมป่านี่ก็ยากแล้ว เรื่องนั้นช่างมันไปดีกว่า เมื่อเธอเห็นผลจากการใช้ชูหยูเธอก็จะอยากออกกำลังกายเองนั่นแหล่ะ


 


“ก็ดี ขอบคุณค่ะคุณซู” คุณหวังและคุณเจ้ายังตะขิดตะขวงใจอยู่ แต่ในเมื่อเธอไม่ต้องจ่ายเงินเธอก็แค่เอามันไปก่อน โดยจะกินหรือไม่กินก็อีกเรื่องนึง


 


“นำมันไป พอกลับไปถึงกินมือละนิดหน่อยก็พอ อย่ากินมากนัก แค่นั้นหล่ะครับ” ซูจิ้งแนะนำวิธีการใช้ต้นหอมป่าให้แก่สองสาว วิธีการก็แค่ตัดต้นหอมป่าชินเล็กๆสักข้อนิ้วก้อย กินมือละหนึ่งหนก็พอ ถ้าคุณตัดชิ้นใหญ่ไปอาจจะทำให้คุณไม่หิวจนมื้อต่อไปได้เลย แน่นอนว่ามีผลการลดน้ำหนักได้อย่างดี นอกจากน้ำหนักจะลดเร็วแล้วยังไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ซูจิ้งได้แต่หวังว่าเธอจะลองดูจริงๆซักครั้งหนึ่ง


 


“ก็ได้ค่ะ” ทั้งคุณหวังและคุณเจ้าตั้งใจอย่างแรงกล้าในการมาซื้อชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นแรก แต่กลับได้ต้นหอมป่าไปแทน แถมซูจิ้งก็ดูทำท่าว่าต้นหอมป่านี่ได้ผลดีกว่าชั้นในรุ่นแรกมากๆ พวกเธอเองก็ทำได้แค่ยอมรับมันเท่านั้น หลังจากคุยได้ซักพักทั้งคู่ก็ออกไป ซูจิ้งเองก็หันไปมองตอนทั้งสองลงบันได คุณหวังนั้นเดินลงบันไดได้ค่อนข้างลำบอกต้องให้คุณเจ้าคอยช่วย ไม่อย่างนั้นมีหวังได้ตกลงไปแน่นอน


 


“นายให้อะไรเธอไปน่ะ” ฉือชิงถาม ตงเจี๋ยและพนักงานหญิงคนนั้นแอบฟังอย่างตั้งใจ


 


“ต้นหอมลดน้ำหนักน่ะ” ซูจิ้งตอบออกไป


“ห้ะ มันคืออะไรนะ” ฉือชิงและคนอื่นๆที่ได้ยินต่างตกใจ ต่อให้ซูจิ้งไม่อยากทำร้ายคนดีๆ แต่ก็ไม่ควรไปหลอกเขาแทน แถมเป็นการหลอกลวงแบบง่าวๆ อีกด้วย ซักพักถ้าเขารู้ว่าถูกหลอกล่ะก็ต้องมาก่อเรื่องอีกแน่


 


“พวกเธอคิดอะไรกันอยู่เนี่ย มันคือต้นหอมลดน้ำหนักจริงๆ พวกเธอจะได้เห็นผลของมันเองหล่ะ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม


 


คุณหวังและคุณเจ้าลงบันไดตรงไปที่รถ คุณหวังถือต้นหอมที่อยู่ในกล่องพร้อมทำหน้าน่าเกลียดออกมา คุณเจ้าเห็นจึงพูดออกมาว่า “ฉินน้อย ไม่ว่าเธอจะกินหรือไม่ฉันก็ไม่คิดว่ามันจะได้ผลหรอกนะ”


 


“ต่อให้ไม่ได้ผลแล้วยังไงล่ะ คุณซูจะโกหกฉันทำไม ต่อให้ชุดรุ่นแรกหมดเขาก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องโกหกฉันเลยซักนิด ฉันเชื่อว่าคุณซูนั้นเชื่อถือได้นะ ฉันว่าจะลองดู” คุณหวังพูดออกมา


 


“ยังไงก็ลองโทรหาหมอหลี่แล้วปรึกษาก่อนดีกว่านะ ต้นหอมอาจจะใช้ลดน้ำหนักได้จริงๆ แค่เราไม่รู้แค่นั้นเอง”


 


“ก็ได้” คุณหวังพยักหน้า


 


พวกเธอได้โทรหาหมอหลี่ในทันที หมอหลี่ที่ว่านี้เป็นหมอลดน้ำหนักประจำตัวคุณหวัง และพวกเธอทั้งหมดเป็นเพื่อนกัน ทันทีที่เธอรับสาย คุณหวังได้ถามในทันทีว่าหอมป่าลดน้ำหนักได้รึเปล่า


 


“เธอได้ยินมันมาจากไหนกัน อย่าไปกินนะ ต้นหอมป่านั้นเป็นยาจีนที่มีฤทธิ์ส่วนใหญ่ในการบำรุงกำลังและช่วยทำให้เจริญอาหาร ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับคนที่เป็นแผลในกระเพาะ ม้ามมีปัญหา และคนที่ต้องการลดอาหาร” น้ำเสียงของหมอหลี่สูงเล็กน้อยเพราะเขาเองก็กำลังรีบทำอะไรซักอย่าง คุณหวังและคุณเจ้าต่างรู้สึกโง่งม เธอรู้สึกว่าไม่น่าเชื่อซูจิ้งเลย

 

 

 


ตอนที่ 689

 

เหนือความคาดหมาย


คุณหวังและคุณเจ้าตกใจอย่างมาก มันไม่ใช่แค่ต้นหอมป่านี่จะไร้ประโยชน์ แต่มันยังมีผลต่อการเจริญอาหาร มันไม่ควรจะกินสำหรับผู้ที่ต้องการจะลดน้ำหนักเลยสักนิด คนคนนี้ช่างน่าโมโหจริง


 


“ฉันจะไปคุยกับเขาให้รู้เรื่อง” คุณเจ้าโมโหเล็กน้อย เธอเตรียมตัวจะกลับไปที่ร้านเพราะเธอคิดว่าซูจิ้งหลอกพวกเธอเพื่อที่จะไล่ออกจากร้านไปให้พ้นเท่านั้นเอง นอกจากนั้นยังเอาปมด้อยคนอื่นมาล้อเลียนอย่างนี้มันเกินไป


 


“รอก่อนนะ” คุณหวังได้ห้ามคุณเจ้าไว้อย่างใจเย็น เธอถ่ายรูปหอมป่าแล้วส่งให้หมอหลี่ดูผ่านทางมือถือ พร้อมถามว่า “หมอหลี่ หอมป่าที่เธอว่าก่อนหน้านี้ลักษณะแบบนี้รึเปล่า”


 


“มันดูไม่ค่อยเหมือนนะ ฉันก็ไม่เคยเห็นหอมป่าแบบนี้มาก่อน แต่มันก็ควรให้ผลคล้ายกันนั่นคือช่วยเจริญอาหาร เพราะงั้นอย่ากินเลยนะเชื่อฉันเถอะ” หมอหลี่กล่าวออกมา


 


“เข้าใจล่ะ ขอบคุณมากหมอหลี่” คุณหวังวางโทรศัพท์แล้วหันไปมองต้นหอมป่าในกล่อง พร้อมทำสีหน้าเคร่งเครียด และพูดออกมาว่า “ฉันก็ยังเชื่อใจคุณซูนะว่าเขาไม่ได้หลอกพวกเรา ถ้าหมอหลี่บอกว่าไม่เคยเห็นหอมป่าแบบนี้ ก็ยืนยันไม่ได้ว่าเขาหลอกพวกเรา ยังไงฉันก็อยากจะลองอยู่ดี ต่อให้มันทำให้ฉันอยากอาหารจริงๆก็ตาม”


 


“แต่ว่า…” คุณเจ้ารู้สึกว่าเจ้าหอมป่านี่ไม่ได้มีค่าให้ลองเลยซักนิด


 


อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก คุณหวังได้เด็ดชิ้นส่วนของต้นหอมป่ายาวสักนิ้วของเธอใส่ลงไปในปากแล้วก็ค่อยเคี้ยวและกลินลงไป เธอเลือกแล้วว่าจะเชื่อซูจิ้ง และไม่ลังเลอีกต่อไปแล้ว


 


“อ้า…” คุณเจ้าไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปเพราะมันยากที่จะห้ามคุณหวังแล้ว เธอเริ่มสตาร์ทรถและขับออกไป ตอนนี้ใกล้เที่ยงแล้วเธอได้ตรงไปยังภัตตาคารเพื่อกินมื้อเที่ยง แต่ทันทีที่เข้าไป คุณหวังได้เอามือลูบท้องพร้อมพูดออกมาว่า”ฉันยังไม่หิวแหะ”


 


“จริงหรอ หลอกกันเล่นรึเปล่า” คุณเจ้าได้แต่ทำหน้างงๆ เธอรู้ว่าคุณหวังนั้นต้องทานอาหารเป็นจำนวนมาก กินได้เท่ากันคนธรรมดาสี่คนในมื้อเดียวเลยก็ว่าได้ ถ้าจะพูดให้ถูกคือก่อนหน้านี้เธอหิวมาก แต่หลังจากกินต้นหอมเธอกลับไม่รู้สึกหิวแล้ว


 


“จริงๆ หรอ ไม่หิวเลยจริงนะ” คุณหวังพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น


 


“หอมป่านั่นได้ผลจริงๆหรอ” คุณเจ้าเองก็ยังประหลาดใจ หลังจากได้ยินว่าหอมป่านั้นช่วยในการเจริญอาหาร เธอนั้นไม่ได้หวังกับเจ้าหอมป่าต้นนี้แล้ว เธอแค่กลัวว่าถ้าซูจิ้งรู้ว่าไม่ได้ผลจะเสียใจเท่านั้น ไม่คิดว่าจะได้ผลจริงๆ


 


“นั่นไง คุณซูไม่ได้หลอกฉันจริงๆด้วย” คุณหวังพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“มันยอดมากเลย ขอบคุณจริงๆที่เธอยังเชื่อเขาอยู่” “ขอบคุณ” คุณเจ้าพูดออกมา


 


ถึงแม้เธอจะบอกว่าไม่หิว แต่อย่างไรก็ตามเธอเองก็ต้องกินอะไรบางอย่างก่อนที่จะออกจากโรงแรม พวกเธอตรงไปที่ภัตตาคารแล้วสั่งอะไรที่ดูน่ากินมากินดู แต่กลายเป็นว่าคุณหวังกินได้น้อยกว่าคุณเจ้าซะอีก


 


“เธออยากกินแค่นั้นน่ะหรอ” คุณเจ้าประหลาดใจ


 


“ใช่แล้วหล่ะ นี่ฉันไม่ได้พยายามจะลดอาหารนะ แต่นี่ฉันรู้สึกอื่มจริง” คุณหวังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เธอนั้นไม่ได้รู้สึกว่าป่วยอะไรยังแข็งแรงดีแต่รู้สึกกินนิดเดียวก็อิ่มแล้ว มันช่างเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน


 


“มันดีมากเลยนะ ในที่สุดฉันก็พบวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลซะที” คุณเจ้ากล่าวออกมา


 


ในที่สุดแล้วผลที่เกิดขึ้นนั้นไม่ใช่แค่ภาพลวงตา แต่พวกเธอนั้นไม่หิวจริงๆ หอมป่าที่ซูจิ้งให้นั้นได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์ ถึงจะอย่างนั้นพวกเธอก็ยังไม่กล้าจะดีใจเร็วเกินไปนัก เพราะปกติว่ายาทุกชนิดล้วนแล้วแต่มีผลค้างเคียง ไม่ว่าจะเป็นยาที่ขนาดไหนก็ตาม พวกเธอเชื่อว่าผลของจะปรากฎออกมาไม่ช้าก็เร็วทำให้เธอได้แต่กังวลเท่านั้น


 


ไม่กี่วันถัดมา คุณหวังได้ปฏิบัติตามซูจิ้งบอกอย่างเคร่งครัด กินหอมป่าที่ละ1นิ้วมือ ในทุกๆมื้อ ในไม่ช้าเธอก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลยนอกจากหอมป่า เธอเองก็เคยลองกินผักผลไม้จำนวนมากแต่ยังต้องทนกับความหิวอยู่ดี พวกมันไม่เคยผลดีเท่านี้มากก่อนเลย  เธอรู้สึกดีมากๆเลยในตอนนี้


 


พวกเธอเริ่มออกกำลังกายแล้ว


 


เกิดเรื่องน่าประหลาดใจกับร่างกายของคุณหวังขึ้น ในวันแรกน้ำหนักเธอลดลงไป 1 ชั่ง วันที่และวันที่สาม ลดไปครึ่งชั่ง พอวันที่สี่เธอลดได้สามชั่ง นอกจากนี้ต่อให้มองด้วยตาเปล่าในตอนนี้ก็ยังเห็นได้ว่าเธอตัวเล็กลง มันเหมือนกับอยู่ๆไขมันก็วิ่งหนีออกไปจากเธอ ช่างเป็นความเร็วในการลดที่น่ากลัวจริงๆ แถมเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่สบายตรงไหนด้วย


 


คุณเจ้าเองก็ประหลาดใจทันทีที่เธอเห็นการเปลี่ยนแปลง เธอกลัวมาก กลัวที่น้ำหนักลดลงเร็วเกินไปจนจะส่งผลให้เกิดปัญหากับร่างกายของเธอ ดังนั้นเธอจึงได้โทรไปหาหมอหลี่ ทันทีที่หมอหลี่เห็นว่าเธอเปลี่ยนไปอย่างมากเขาทำได้แต่ตกตะลึงนั่นก็เพราะว่าเขาเพิ่งได้ยินว่าที่ผอมลงได้ขนาดนี้เป็นเพราะหอมป่าต้นนั้น ไม่มีทางที่เขาจะเชื่อเลยซักนิด เขานั้นได้นำหอมป่าไปวิจัยเพิ่มเติมจนได้ข้อสรุปมาแค่ข้อสรุปเดียวว่า น่าเหลือเชื่อ


 


ในวันนี้คุณหวังและคุณเจ้าได้มาที่ร้านของฉือชิงอีกครั้ง ทุกคนในร้านต่างก็มองคุณหวังตาไม่กระพริบ ด้วยสายตาที่ตกตะลึงและโง่งม เพียงแค่ไม่กี่วันก่อนที่ได้เจอเธอยังอ้วนกลมดิ๊กอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับผอมลงดูดีขึ้นอย่างผิดตา พวกเขาเองก็รู้ว่าซูจิ้งให้หอมป่าเพื่อให้คุณหวังลดน้ำหนัก แต่ทุกคนต่างก็คิดว่าซูจิ้งทำการต้มตุ๋นหลอกลวงเพียงเพื่อจะไล่ให้พวกเธอไปซะพ้นๆ ไม่คิดว่ามันจะลดได้จริง


 


“ขอบคุณคุณฉือและคุณซูมากนะคะที่ช่วยเหลือฉันไว้” คุณหวังมองด้วยความปลาบปลื้มเต็มหัวใจ


 


“ด้วยความยินดีคะ ดีใจด้วยนะคะที่ลดได้สำเร็จซักที” ฉือชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ต้นหอมป่าที่คุณซูให้ฉันไปจะหมดแล้วน่ะค่ะ แล้วคุณซูเองก็เป็นชายที่ยุ่งมากๆ คนนึง ฉันเองก็ไม่อยากจะรบกวนเขาเลย คุณฉือพอจะถามเรื่องหอมป่าให้ฉันหน่อยจะได้ไหมคะ ฉันยอมจ่ายด้วยอะไรก็ยอม ต่อให้เป็นเงินจำนวนมากก็ตาม” คุณหวังพูดออกมา


 


“ถ้างั้นฉันขอลองโทรหาก่อนนะคะ” ฉือชิงตอบออกมา


 


“ไม่ต้องรีบนะคะ คุณโทรหาเขาตอนไหนก็ได้ที่คุณว่างค่ะ เพราะว่ายังพอมีเหลืออีกสองสามวัน” คุณหวังพูดอย่างเกรงใจ


 


“ไม่เป็นไรค่ะ เขาเองก็อยากทราบผลของหอมป่าเร็วๆ เหมือนกัน” ฉือชิงยิ้มออกมาและรีบโทรหาซูจิ้งทันที ไม่นานนักซูจิ้งก็มาถึงที่ร้าน พอเห็นคุณหวังซุจิ้งเกือบจะยินอึ้งเฉยๆ ไปเลย ชูหยูช่างให้ผลดีกว่าที่คิดจริงๆ


 


แต่เดิมนั้นเขาคิดว่าซูหยูแค่มีผลทำให้ร่างกายไม่หิวเท่านั้นเอง ไม่คิดว่ามันจะใช้ในการลดน้ำหนักได้ แถมไม่ใช่ลดน้ำหนักธรรมดา พอคิดดูดีๆเขาก็เริ่มเข้าใจได้ทันทีว่า ทำไมคนที่กินเข้าไปถึงไม่หิว ไม่ว่าจะออกแรงหรือใช้พลังงานไปมากแค่ไหนก็ตาม


 


ในก็เพราะว่าหลังจากกินไปแล้ว หอมป่าจะไปยกละดับการดูดซับระหว่างกล้ามเนื้อและพลังงานจากไขมัน โดยปกติถ้าร่างกายมีเสถียรภาพดี มีอาการปกติร่างกายจะใช้พลังงานจากกล้ามเนื้อก่อนและจะเก็บพลังงานของไขมันเอาไว้สำรอง


 


และเมื่อผู้คนหิว พลังงานส่วนแรกที่จะดึงก็จะเป็นพลังงานจากกล้ามเนื้อเช่นเดียวกัน หากหาไม่ได้จึงจะย้ายไปใช้พลังงานจากไขมันที่เก็บสะสมไว้เช่นเดียวกับพวกสัตว์ที่ไม่สามารถหาอาหารได้ในฤดูหนาวจึงต้องตุนไขมันไว้ในฤดูร้อนแทน


แต่ผลของชูหยูนั้นให้ที่แตกต่างกัน ชูหยูจะไปส่งผลให้ร่างกายดูดซับพลังงานที่เก็บสะสมไว้ก่อนที่จะสั่งให้ร่างกายรับรู้ว่าหิว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้น้ำหนักลดลงเองโดยธรรมชาติ ต่อให้ไม่ออกกำลังกายก็ตาม ช่างเป็นเครื่องที่สะดวกสบายจริงๆ

 

 

 


ตอนที่ 690

 

เหตุการณ์แปลกๆ


“คุณซู ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะที่สร้างปัญหาให้ ” คุณหวังพูดอย่างเกรงใจ


 


“ผมมีความสุขนะครับที่ได้เห็นคุณเปลี่ยนไปมากขนาดนี้” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ผลของชูหยูนั้นดีกว่าที่เค้าคิดไว้มาก มันเป็นโอกาสทางธุรกิจช่องใหญ่ช่องนึงเลย


 


“ขอบคุณมากค่ะคุณซู” คุณหวังยิ้มออกมา


 


“ต้องขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้ด้วยนะคะ” คุณหวังกล่าวขอโทษพร้อมรอยยิ้มและพูดต่อว่า “คุณซูคะ เจ้าต้นหอมลดน้ำหนักนั่นคุณพอจะขายให้ฉันเพิ่มได้ไหมคะ พวกเราอยากจะซื้อมัน ต่อให้ราคาแพงแค่ไหนก็ตาม”


 


“งั้นก็คุยกันง่ายเลยครับ” ซูจิ้งนำกล่องที่มีต้นชูหยูออกมาสองต้น


 


คุณหวังนำมันออกมาประดุจดั่งสมบัติล้ำค่าพร้อมถามว่า “คุณซูคุณต้องการขายมันเท่าไหร่คะ” เธอนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งจะไม่เก็บเงินจนกว่ามันจะได้ผล ซึ่งตอนนี้ต้นหอมนี่ก็แสดงผลของมันออกมาแล้วจึงควรได้เวลาจ่ายเงินแล้ว แต่ไม่ว่าเงินจะต้องใช้เท่าไหร่ก็ตาม ตราบใดที่พวกเธอจะจ่ายไหวเธอก็จะจ่ายมันแน่นอน เพราะว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ได้ผลเท่าต้นหอมนี่ แม้แต้ชั้นใน 5 ล้านหยวนที่เธอตั้งใจจะซื้อในตอนแรกก็ด้วยเช่นกัน


 


“ด้วยความสัตย์จริงนะครับ ผมยังไม่ได้ลองตั้งราคาของมันเอาไว้เลย ถ้าเป็นหนึ่งล้านคุณคิดว่ายังไงครับ” ซูจิ้งพูดออกมาทำให้เหล่าสาวๆในร้านถึงกับหน้าตึงกันเลยทีเดียว ต้นหอมสองต้นราคาหนึ่งล้านหยวน ช่างเป็นการข่มขู่บังคับขู่เข็ญกันซะเหลือเกิน


 


แต่ไม่คิดว่าคุณหวังจะยิ้มออกมาทันทีพร้อมพูดว่า “ฮ่าฮ่า ตกลงค่ะ”  คุณเจ้าที่อยู่ข้างๆก็ยิ้มออกมาเช่นกัน


 


กลับเป็นว่าดูเหมือนซูจิ้งนั้นจะไม่ได้ข่มขู่บังคับขู่เข็ญอะไรเลยซักนิด สำหรับสองสาวแล้วซูจิ้งดูแลพวกเธออย่างดีมาตลอด แม้พวกเธอจะทำตัวแย่ๆ ใส่ก็ตาม เธอรีบโอนเงินให้ซูจิ้งทันทีหนึ่งล้านหยวนและพูดกับซูจิ้งด้วยความนอบน้อมอีกไม่กี่ประโยค ก่อนที่เธอจะออกไปพร้อมชูหยู


 


ดงเจี๋ยกับคนอื่นๆ อดสะท้อนใจไม่ได้ พวกเธอนั้นต้องท่ำงาน ทำงานทั้งเดือนได้เงินแค่ไม่กี่พันหยวน แต่ซูจิ้งกลับขายหญ้าสองต้นในราคาหนึ่งล้านหยวน แค่ขุดออกมาก็ได้เงินแล้วหนึ่งล้าน ถ้าเจอกับตัวก็คงมีความสุขดีแน่นอน ความจริงพนักงานคนอื่นในร้านก็อยากจะลองดูบ้างต่อพอได้ยินราคาพวกเธอก็ทำได้แต่ออกปากหวอกันไป


 


“พวกเราจะไปที่อื่นกันดีหรือว่าจะอยู่นี่ช่วยฉันขายเสื้อผ้าดีหล่ะ อย่าคลุกอยู่แต่ที่บ้านทั้งวันเลยนะ” ฉือชิงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ที่นี่มีแต่เสื้อผ้าผู้หญิงกับชั้นใน จะให้ฉันขายอะไรหล่ะ” ซูจิ้งกำลังจะออกไป ทันใดนั้นก็เห็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 16-17 ปี กำลังยืนจ้องอยู่หน้า “ชุดว่ายน้ำวิเศษ” พร้อมพูดถึงมันอยู่


 


“บ้าไปแล้ว ชุดว่ายน้ำราคาสามแสนหยวนเนี่ยนะ” เด็กคนนั้นพูดออกมา


 


“เพระเธอไม่เคยลองใช้มันน่ะสิ ตอนที่ฉันลองนะมันสุดยอดมากๆ ฉันถึงขั้นทำลายสถิติโลกได้เลยนะ” ผู้หญิงอีกคนบอก


 


“เรื่องจริงรึ โกหกรึเปล่า” เด็กสาวที่ค่อนข้างอวบย้อนถาม


 


“มันแน่ยิ่งกว่าไข่มุกซะอีกน่า ตอนนั้นฉันทึ่งกับมันมากเลยนะ ได้ลองแค่นิดเดียวแต่ทำลายสถิติโลกได้” หญิงสาวตัวผอมพูด


 


“ถ้าเธอไม่รีบเสนอราคาล่ะก็ลองซื้อมันดูสิ แล้วลองเอาไปลงแข่งว่ายน้ำดู เพื่อถ้าเธอได้โอลิมปิดจนได้เหรียญทองกลับมา เธอก็ถือว่าได้เงินคืนแล้วนะ”


 


“ก็อยากอยู่นะ แต่ชุดแบบนี้จะไปใส่แข่งได้ยังไงกันหล่ะ ถ้ามันใช่ชุดแบบที่เจ้าของรายการออกแบบไม่มีทางใส่ลงแข่งได้หรอกนะ” นั่นก็เพราะว่าหลังจากเปิดให้นักว่ายน้ำใส่ชุดที่มีเทคโนโลยีชุดว่ายน้ำลงแข่งขันได้ บริษัทต่างๆ ก็เข้ามาพัฒนาชุดว่ายน้ำกันอย่างจริงจัง จนกระทั่งพวกมันโดนแบนไปในที่สุด


 


พูดอีกอย่างก็คือชุดนี้มีความพิเศษสูงยิ่งกว่าชุดว่ายน้ำพวกนั้น ไม่มีทางที่จะนำไปใช้โดยไม่มีคนสงสัยได้แน่นอน และต่อให้ทำลายสถิติโลกได้ก็เป็นเพราะชุด ไม่ใช่เป็นเพราะเธออยู่ดี เธอไม่อยากทำเรื่องแบบนั้นอยู่แล้ว


 


ระหว่างที่พวกเธอทั้งสองกำลังคุยกันพอเห็นซูจิ้งเด็กหญิงตัวผอมจึงได้กล่าวทักทายออกไป


 


”สวัสดีค่ะพี่ชายซู” เมื่อเด็กสาวตัวอวบเห็นซูจิ้งก็รีบเข้าไปทักทายเช่นกัน


 


“สวัสดี” ซูจิ้งพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้ม


 


“พี่ชายซูคะ เห็นเค้าบอกว่าชุดว่ายน้ำชุดนี่มีพี่ชายเป็นคนออกแบบ ช่างออกแบบได้อย่างสุดมหัศจรรย์จริงๆ ถึงแม้จะนำไปใส่แข่งไม่ได้ แต่ก็ยังแสดงให้เห็นว่าพี่รู้เรื่องการว่ายน้ำได้อย่างดีเลยนะเนี่ย ไม่งั้นคงไม่สามารถสร้างชุดว่ายน้ำแสนวิเศาอย่างนี้ออกมาได้” อันที่จริงแล้วเธอแค่ติดตามเด็กอีกคนมาเพื่อหาโอกาสพบซูจิ้งเท่านั้น เธอนั้นเป็นแฟนคลับตัวยงของซูจิ้งแถมยังเล่นกู่ฉินเช่นเดียวกันด้วย


 


“เอาจริงๆก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” ซูจิ้งยิ้มพร้อมกับส่ายหัว ความจริงนั้นก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เด็กทั้งสองพูดซะทีเดียว เอาจริงเด็กคนผอมคนนี้น่าจะมีความรู้เรื่องว่ายน้ำมากกว่าเขาซะด้วยซ้ำ ถ้าให้เทียบกับเด็กคนนี้ เธอนั้นสามารถเป็นครูฝึกว่ายน้ำได้ดีกว่าเขาเป็นแน่


 


“พี่ชายซูพอจะสอนพวกหนูว่ายน้ำได้รึเปล่าคะ” เด็กสาวตัวผอมเอ่ยถาม


 


“ฉันไม่ได้เข้าใจมากขนาดจนที่จะสอนเธอได้หรอกนะ เธอควรจะฟังครูฝึกของเธอดีกว่า ถ้าฝึกให้ดีๆ เธอจะต้องเก่งขึ้นแน่ ต่อให้ช้าหน่อยก็ตาม” ซูจิ้งได้แต่ส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม เด็กสองๆนี่ดูคุ้นๆแหะ


 


“คุณหนูคะ อยากจะรับอะไรดีคะ ต้องการให้ฉันแนะนำสินค้ารึเปล่า ” ตงเจี๋ยได้เดินเข้าไปคุยกับเด็กสาวทั้งสองด้วยรอยยิ้ม พร้อมจ้องไปทางฉือชิงเพื่อเป็นสัญญาณบางอย่าง


 


ฉือชิงก็ทำได้แต่หัวเราะเล็กน้อยและก็ไม่ได้สนใจอะไร ขนาดเธอยังไม่เชื่อในตัวซูจิ้งเลยแล้วจะไปวางใจตงเจี๋ยได้ยังไง


 


ให้พูดตรงๆ ซูจิ้งไม่ได้รู้สึกสบายเลยซักนิดที่ต้องเข้าในร้านที่เต็มไปด้วยผู้หญิงอย่างร้านเสื้อผ้าผู้หญิงแบบนี้ เขานั้นรีบออกมาทันทีเมื่อดูแล้วว่าไม่มีเรื่องอะไรต้องทำต่อ เขานั้นกลับไปที่บ้านแล้วก็ได้จัดการกับขยะของเขาต่อ เขาพบเหตุการณ์ประหลาดทันทีที่เข้าไปในสถานีกำจัดขยะ


 


ในถังลี้ยงปลา เจ้าปลาที่กินผลไม้สีแดงเข้าไปยังไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น แต่ที่เขาประหลาดใจที่สุดก็คือเจ้าหนูสองตัวนั่น มันเป็นเจ้าหนูที่กินผลไม้เข้าไป ตอนนี้มันกำลังว่ายน้ำ


 


โดยปกติแล้วหนูจะสามารถว่ายน้ำได้แต่กำเนิดโดยไม่ต้องเรียนรู้ แต่เจ้าหนูสองตัวนี้กลับว่ายน้ำได้ทุกท่าในการแข่งโอลิมปิก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะเรียนรู้ได้เองแน่นนอน ยิ่งไปกว่านั้น มันได้ว่ายต่อเนื่องอย่างยาวนานโดยไม่มีท่าทีว่าจะเหนื่อยหรือจมน้ำแม้แต่น้อย หลังจากนั้นไม่นาน พวกมันขึ้นจากน้ำ พักหายใจ แล้วดำลงไปเล่นกันใต้น้ำแบบเหมือนกับว่ามันเป็นหนูที่เกิดในน้ำ อยู่กับน้ำมาทั้งชีวิตเลยก็ว่าได้ แม้แต่ปลาที่อยู่ในถังบางตัวยังทำท่าเหมือนกลัวที่จะว่ายน้ำแข่งกับพวกมันเลยด้วยซ้ำ


 


ซูจิ้งถึ้งกับต้องชยี้ตารัวๆ ก่อนที่จะตัดสินใจได้ว่าทุกสิ่งที่เห็นมันคือเรื่องจริง ทั้งการว่ายในท่วงท่าต่างๆ แถมการดำน้ำนี่อีก หรือเจ้าหนูสองตัวหนูจะต่างจากตัวอื่นกัน

 

 

 


ตอนที่ 691

 

ชาถัง


 


ซูจิ้งจ้องมองด้วยความฉงนอยู่พักนึง และพบว่าเจ้าหนูสองตัวนี้ได้ลืมไปแล้วว่าพวกมันเป็นสัตว์บกและสนุกกับการใช้ชีวิตอยู่ในน้ำไปเรียบร้อยแล้ว


ซูจิ้งได้สั่งให้หลี่น้อย และอาลี่ ไปบินจับหนูมาอีกสองตัวแล้วโยนเข้าในถังเลี้ยงปลา พวกมันว่ายน้ำได้ก็จริงแต่มันก็พยายามที่จะปีนออกจากถังเลี้ยงปลาด้วยเช่นกัน แต่ด้วยการที่ขอบถังเป็นกระจกทำให้พวกมันลื่นหล่นลงมาและเลิกพยายามปีนหนีออกไป


 


“นี่สิถึงจะเรียกว่าปกติ เจ้าหนูสองตัวนั่นต่างหากที่ผิดไป มันเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นสัตว์น้ำไปแล้ว นี่เป็นผลมาจากการกินผลไม้นั่นงั้นหรอ” ซูจิ้งนึกได้ว่าเขานั้นให้หนูสองตัวและปลาหนึ่งตัวกินผลไม้สีแดงที่เขาเจอก่อนหน้านี้


ตอนนั้นที่ให้พวกมันกินก็ไม่เห็นดูมีทีท่าว่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย เขาเองก็ได้ถามทั้งหนูและปลามันก็ตอบกลับมาว่าไม่รู้สึกว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลง


 


หลังจากนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเขาได้นำกิ่งไม้ที่มีผลไม้สีแดงติดอยู่ออกมา เขาได้เด็ดผลของมันออกมาอีกและลองหาสัตว์มาทดลอง แต่ไม่ว่าเขาจะลองมองหาสัตว์ตัวไหนมาทดลองก็หาไม่ได้ซักที ซูจิ้งนั้นตอนแรกได้แต่คิดว่าหรือมันจะเป็นเพียงผลไม้ธรรมดาจริงๆ ในขณะที่เขาจะเลิกหวังนั้น ทันใดนั้นเขาก็ได้พบการเปลี่ยนแปลงซักที


 


“ถ้างั้นลองอีกทีก็แล้วกัน” ซูจิ้งนำผลไม้สีแดงออกจากกระเป๋ามิติแล้วนำไปให้หนูตัวหนึ่งที่เขาโยนไปในถังเลี้ยงปลาก่อนหน้านี้


หลังจากรอสักพักเขาจึงได้เหวี่ยงมันลงไปในน้ำ ตอนแรกเจ้าหนูที่ถูกโยนลงไปก็ทำท่าว่าเหมือนตัวเองจะสำลักน้ำ


แต่อีกซักพักมันก็ทำตัวแบบเดียวกับเจ้าหนูสองตัวก่อนหน้านี้นั่นคือว่ายน้ำได้อย่างกับนักกีฬาโอลิมปิค ประดุจดั่งพวกมันเป็นสัตว์น้ำชนิดหนึ่ง ส่วนตัวที่เหลือนั้นได้หมดแรงและจมลงก้นถังเรียบร้อยแล้ว


 


“ผลไม้นี่น่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งแค่นึกไปว่าเขาสามารถใช้ประโยชน์อะไรได้บ้างจากผลไม้นี่ก็ทำให้ตาของเขาส่องเป็นประกายแล้ว


เขาได้นึกถึงซูหยูที่มีการบันทึกไว้ในห้วงเวลาฯ เรื่องจูเซียน เจ้าพืชนี้ก็น่าจะเป็นต้นไม้ในตำนานเช่นเดียวกัน


 


มันมีต้นไม้ชนิดหนึ่งที่มีกลิ่นฉุน ดอกสีเหลือง และลำต้นสีแดง รสชาติไม่ได้เรื่อง และไม่มีแก่นลำต้น ชื่อของมันคือ ชาถัง มันช่วยให้คนที่ใช้มีความสามารถในการต้านทานธาตุน้ำ


ถ้าจะให้เข้าใจง่ายๆ คือจะไม่มีวันจมน้ำตายแน่นอน ฉะนั้นจะผลไม้พวกนี้ควรเป็นชาถังตามตำนานนั่นแน่นอน


 


“ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด ผลไม้พวกนี้ควรเป็นชาถัง” ซูจิ้งดีใจอย่างมาก ในห้วงเวลาฯ เรื่องจูเซียน นั้น ต้นไม้อย่างชาถังไม่ได้หายากเลยแม้แต่น้อย นอกซะจากว่าพื้นที่นั้นมีสภาพแวดล้อมที่ไม่มีพลังฟ้าดินอยู่เลย


แต่สำหรับซูจิ้งแล้วมันหายากมาก เขานั้นได้นำเอาชาถังที่ยังสภาพดีออกมาจากกระเป๋ามิติ ล้างมันให้สะอาด และโยนมันเข้าปากไปในทันที หลังจากนั้นซูจิ้งได้กระโดดลงทะเลไป


เขานั้นไม่ได้ปล่อยพลังจิตของเขาออกมาเพื่อแหวกทะเล หรือใส่เสื้อหนังฉลามแม้แต่น้อย เขาได้ว่ายน้ำตามปกติของเขา แต่ซักพักเขาก็เริ่มรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ปกติเข้าซะแล้ว


 


ความผิดปกติแรกที่เขาพบก็คือ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณผิวน้ำ ใต้น้ำ หรือท้องน้ำ เขาเคลื่อนไหวได้อย่างมีอิสระ


ต่อมาเวลาที่ใช้ใต้น้ำหลังจากหายใจเข้าหนึ่งครั้งเขาอยู่ได้นานกว่าปกติ


นอกจากนั้นการว่ายน้ำในทุกท่วงท่ารู้สึกทำได้ง่ายๆ ไม่รู้สึกถึงแรงต้านของน้ำเลยสักนิด


เขาลองว่ายน้ำแบบสุดแรงเกิดและเขาก็ผมว่ามีความเร็วเพิ่มขึ้นกว่าปกติอย่างมาก


เหมือนกับว่าน้ำทะเลไม่ได้ส่งผลอะไรกบเขาเลยแม้แต่น้ำ จนในที่สุดซูจิ้งก็เข้าใจความรู้สึกของเจ้าหนูที่กินผลชาถังเข้าไปว่ามันรู้สึกยังไง ทำไมมันถึงลิงโลดได้ขนาดนั้น


 


เขาลองกินผลชาถังเพิ่มเติมนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกสบายยิ่งกว่าเดิมเมื่ออยู่ในน้ำ


หลังจากกินไปห้าผลในทีเดียวผลที่ได้รับกับยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ(ความรู้สึกสบายเริ่มอิ่มตัว ค่าความต้านทานเริ่มเต็ม)


หลังจากกินไปแล้วห้าผล เขาก็ไม่รู้สึกอะไรอีกเลยเขาจึงไม่ได้กินเพิ่ม


 


“น่าเสียดายจริงที่เจ้าผลนี้ไร้เมล็ดแถมยังไม่สามารถนำกิ่งไปชำได้ แต่ยังไงก็ต้องหาวิธีปลูกมันให้ได้เพราะว่ามันมีประโยชน์ต่อฉันมากจริงๆ” ซูจิ้งรู้สึกเสียดายอย่างมากที่ไม่สามารถปลูกมันได้ แต่ก็ยังดีที่เขาได้ผลของมันมาจำนวนมาก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะให้มันแก่ครอบครัวของเขา ครอบครัวของฉือชิง รวมถึงใครก็ตามที่เขาถูกชะตาด้วย


 


ถึงแม้ว่าพวกเขาจะว่ายน้ำกันเก่งอยู่แล้วแต่ยังไงซะร่างกายก็ยังมีขีดจำกัดอยู่ดี และถ้าเกิดเหตุการณ์ที่พวกเขาต้องอยู่ในน้ำและไม่สามารถว่ายน้ำต่อไปได้ พวกเขาจะไม่มีวันจมแน่นอนถ้าได้กินผลไม้นี้เข้าไป


 


คราวนี้ซูจิ้งได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาหวังซือหยา เมื่อเธอเห็นว่าเป็นซูจิ้งได้รีบรับทันที หวังซือหยารีบพูดออกไปด้วยท่าทางที่สง่างามและน้ำเสียงที่นุ่มนวลมากกว่าตอนที่เธอคุยโทรศัพท์กับคนอื่น “อาจิ้ง ได้ยินมาจากชิงชิงว่านายมียาลดน้ำหนักแสนวิเศษอยู่ใช่รึเปล่า”


 


“ฮ่าฮ่า ข่าวไปถึงหูคุณเร็วดีจริงๆ ผมเองก็กะว่าจะหาโอกาสบอกคุณอยู่เหมือนกัน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้ม


“ทำไมนายถึงมีของดีๆ มากมายอยู่ในมือกันนะ ขนาดฉันยังเริ่มจะอิจฉานายแล้วเนี่ย สนใจจะร่วมธุรกิจกับฉันอีกทีรึเปล่าล่ะ เอาให้ครบทุกรูปแบบไปเลยทั้งด้านความสวยความงาม เสริมสร้างสัดส่วน และลดน้ำหนัก” หวังซือหยาถามออกมาด้วยรอยยิ้มกริ่ม


 


“แน่นอนสิ ก็ผมไม่รู้จักใครอื่นในเรื่องนี้นอกจากคุณแล้วนี่ ถ้าไม่ร่วมงานกับคุณแล้วผมจะไปร่วมงานกับใคร แล้วตอนนี้คุณอยู่ไหนกัน มาเจอกันหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งถามออกไป ที่เขาถามก็เพราะว่าเฉิงหนานเองก็ทำงานร่วมกับซือหยาอยู่แล้ว แถมทำงานได้อย่างไร้ที่ติ เพราะฉะนั้นไม่มีปัญหาอะไรแน่นอนที่เขาจะคุยกับซือหยาโดยตรง


“ฉันอยู่ที่บริษัท ตอนนี้กำลังออกแบบเสื้อผ้ารุ่นใหม่อยู่ นายมาที่นี่ได้ไหมหล่ะ” หวังซือหยาถามกลับไป


“ได้ได้เดี๋ยวเจอกันครับ” ซูจิ้งเองก็ตกลงที่จะไปเจอหวังซือหยาที่บริษัท เขาได้ตรงไปที่สำนักงานของซือหยา เมื่อเขาไปถึงยังไม่ทันจะจอดรถเสร็จดี เขาก็เห็นสาวสวยคนหนึ่งเดินมาที่เขาอย่างรวดเร็ว คนคนนั้นคือโจวซิ่วเพื่อนร่วมชั้นของเขาตอนมหาวิทยาลัย หลังจากที่เขาแนะนำเธอให้ซือหยารู้จัก เธอนั้นก็ได้ทำงานร่วมกับซือหยาแถมยังทำได้ดีซะด้วย ถึงแม้เธอจะไม่ใช่คนที่สวยมากมายอะไรแต่ก็ถือได้ว่าเป็นคนน่ารักคนหนึ่ง ผิวขาว สูง ตอนนี้เธอมาด้วยชุดสูทสั่งตัด พร้อมมีบัตรพนักงานคล้องคลอและติดเข็มกลัดพนักงานดีเด่นเอาไว้ด้วย


 


“อาจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” โจวซิ่วทักทายด้วยรอยยิ้ม


“เธอรู้ด้วยหรอว่าฉันจะมาน่ะ” ซูจิ้งเองก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน


“ใช่แล้ว พี่ซือหยาให้ฉันมารับนาย”


“ทำงานที่นี่เป็นยังไงบ้างหล่ะ”


“ต้องขอบคุณนายมากจริงๆ เงินเดือนของฉันตอนนี้มากกว่าเดิมตั้งสิบเท่าแล้ว ตอนแรกฉันเองก็อยากจะเลี้ยงมื้อค่ำนายสักมื้อ แต่พอได้ยินว่านายเองก็เป็นยอดเชฟขั้นเทพแห่งเมืองชิงหยุนก็เลยเลิกคิดเรื่องนั้นไป ยิ่งกว่านั้นนายเองก็ยังเป็นนักธุรกิจ ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ทำได้แม้แต่การลุยไฟและบินขึ้นฟ้าไปช่วยชีวิตคน ฉันก็กลัวว่าจะโทรผิดจังหวะทุกครั้งไปเลยไม่กล้าโทรไปขอบคุณนายซักที” โจวซิวหัวเราะเล็กน้อย


“เอาจริงๆ ฉันเองก็ไม่ได้มีปัญหากับการกินอาหารจากฝีมือคนอื่นหรอกนะ แล้วอีกอย่างฉันก็ไม่ได้ต้องคอยช่วยชีวิตผู้คนตลอดเวลาหรอก ถ้าเธอชวนฉันก็ยินดีเสมอ” ซูจิ้งถึงกับพูดไม่ออกเมื่อเขาได้ยินที่โจวซิวพูด ดูเหมือนการที่เขาไปช่วยคนจะสร้างปัญหากับเขาไม่น้อยเหมือนกัน ที่แน่ๆคือทุกคนยกเรื่องนี้มาหยอกเขาเล่นอยู่เรื่อยๆ


 


“รอฉันเสร็จงานก่อนก็แล้วกัน ใกล้ได้เวลาแล้ว ฉันรู้จักร้านอาหารอร่อยๆใกล้นี่เอง”


 


ทั้งสองคนเดินเข้าสำนักงานคุยกันไปหัวเราะกันไป ในไม่ช้าซูจิ้งก็เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาเป็นจุดสนใจเข้าซะแล้ว และคนที่มองส่วนใหญ่ก็เป็นผู้หญิงซะด้วย ที่นี่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเมืองแม่ม่ายเลยแหะ ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะว่ามันเป็นบริษัทเสื้อผ้าและธุรกิจเสริมความงามสำหรับผู้หญิง พนักงานทุกคนล้วนเป็นผู้หญิงอย่างไม่ต้องสงสัย การจะเห็นผู้ชายที่นี่นั้นจึงเป็นเรื่องยากมากๆ ไม่นานนักพวกเขาก็เดินไปถึงห้องของหวังซือหยา


 


เมื่อเขาเข้าไปในห้องก็เห็นมีผู้หญิงกลุ่มหนึ่งคุยกับซือหยาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อหวังซือหยาเห็นซูจิ้งรีบส่งสัญญาณให้เขานั่งลงและรีบถามออกไปว่า “อาจิ้ง นายคิดว่าชุดใหม่นี้เป็นยังไงบ้างล่ะ”


 


ทันใดนั้นผู้หญิงแทบจะทุกคนที่นั่นหันไปหาซูจิ้ง แม้แต่โจวซิวเองก็เช่นกัน พวกเขาได้ยินมาก่อนหน้านี้ว่าชั้นในกระชับสัดส่วนและชุดย้อนยุคที่สุดแสนจะสง่างามที่เป็นที่เลื่องลือกันนั้นล้วนมาจากการออกแบบของซูจิ้ง แต่พวกเธอก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าซูจิ้งจะมีความเข้าใจในเรื่องการออกแบบเสื้อผ้าผู้หญิงดีตามที่เขาลือกัน

 

 

 


ตอนที่ 692

 

แผลเป็น


หวังซือหยาได้เปิดสมุดสเก็ตแบบเสื้อผ้าให้ซูจิ้งดู โดยรูปสเก็ตพวกนั้นเป็นรูปชุดเดรสยาวให้ความรู้สึกสูงสง่าแบบชุดจีนโบราณ ซูจิ้งบอกได้แค่ว่าลวดลายนั้นออกแบบได้มาตรฐานและดูมีชีวิตชีวาเท่านั้น แต่ถ้าจะบอกว่าดีก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากนัก เขาเลยบอกไปตรงๆ ว่า “สำหรับผมก็ว่ามันแค่ดูปกตินะ ไม่ใช่ว่าพี่หยาหลิงนั้นถนัดออกแบบพวกเสื้อผ้าสมัยใหม่ไม่ใช่หรอ ทำไมงวดนี้ถึงมาออกแบบชุดเดรสจีนสมัยก่อนได้หล่ะ”


 


“ฮ่าฮ่า เพราะใครกันหล่ะที่ไปกระตุ้นทำให้ตอนนี้ตลาดแฟชั่นยุคจีนโบราณกำลังได้รับนิยมอยู่ เพราะการออกแบบของนายน่ะแหล่ะ ตอนนี้ลูกค้ามากมายต่างก็รอเสื้อผ้ารูปทรงใหม่อยู่นะ พวกเราเลยต้องลองออกแบบเสื้อผ้าแบบที่พอจะผลิตได้จำนวนมากเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าดู จนกระทั่งเราได้รูปแบบเสื้อผ้ารุ่นใหม่ออกมา แต่ว่าชุดเดรสย้อนยุคยังดูไม่ค่อยดีเลย ตอนผลิตออกมาก็คงจะดูแย่แน่ๆ” เซียหยาหลิง บ่นออกมาอย่างหมดหนทาง


 


“อาจิ้ง ช่วยออกแบบให้หน่อยสิซักชุดก็ยังดี” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


ซูจิ้งเองก็คิดไว้แล้วเหมือนกัน ถึงตอนแรกเธอจะลองออกแบบดูเองแต่ว่าซือหยาต้องขอให้เขาช่วยอยู่ดี สำหรับเขานั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยซักนิด ถ้าเขาไม่ได้กลัวว่าจะสร้างความปั่นป่วนในวงการแฟชั่นมากไปหล่ะก็เขาจะออกแบบมาให้ซือหยาเรื่อยๆอย่างไม่ต้องสงสัย เขาจึงยิ้มตอบออกไปแล้วพูดว่า “ได้สิ”


 


เขาหยิบปากกาที่วางอยู่ข้างๆเขาขึ้นมา แล้วก็เริ่มลงเส้นบนกระดาษทันที หวังซือหยาและเซียหยาหลิงนั้นคุ้นชินแล้ว แต่กับสาวๆคนอื่นนั้นได้แต่ทำตาโตจ้องมองอย่างไม่วางตา พลางคิดไปว่านี่เขาไม่ลังเลก่อนจะลงมือวาดแต่ละเส้นเลยรึไงกัน


 


สาวๆเห็นแค่ซูจิ้งทำการวาดเส้นอย่างรวดเร็ว เขาค่อยขีดเส้นทีละนิดทีละนิดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งค่อยออกมาเป็นรูปเป็นร่างและไม่ทันที่ทุกคนจะรู้ตัวผลงานการออกแบบของซูจิ้งก็เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว งานการออกแบบเสื้อผ้าชุดจีนย้อนยุครูปโฉมใหม่ปรากฏต่อหน้าของผู้คน หวังซือหยา เซียหยาหลิง โจวซิว และสาวๆคนอื่นได้แต่จ้องมองจนตาค้าง มันเป็นชุดเดรสยาว ดูเรียบง่าย ทรงสง่า เหมือนชุดของเทพธิดาก็ไม่ปาน มันดูสวยงามซะจนไม่อยากละสายตาไปไหน


 


“พวกเธอคิดว่ายังไงกันบ้างหล่ะ” ซูจิ้งได้วางมือลงและได้ถามออกมา ชุดนี้ซูจิ้งได้แรงบันดาลใจมากจากชุดๆหนึ่งที่เข้าเก็บมาได้จากขยะห้วงเวลาฯเรื่องจูเซียน ซึ่งมันเป็นหนึ่งในลวดลายที่เขาชอบมากที่สุด ซูจิ้งยังค่อนข้างมั่นใจซะด้วยซ้ำว่าชุดนี้จะต้องเป็นชุดของลู่เสว่ฉี(ในละครทีวีเป็นนางรองแต่สวยกว่านางเอก 555)และศิษย์แสนสวยคนอื่นๆของสำนักเมฆาเขียวแน่นอน


 


“สวยจัง” หวังซือหยาเอ่ยปากชม


 


“คุณซู คุณนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ ทำไมฉันถึงออกแบบอย่างนี้บ้างไม่ได้นะ” เซียหยาหลิง รู้สึกอิจฉาความสามารถในการออกแบบเสื้อผ้าของซูจิ้งอย่างมาก


 


“แค่ได้ยินไม่สู้เห็นเองจริงๆ” เหล่าสาวๆต่างพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกัน


 


ซูจิ้งยังคงลงมือออกแบบต่อไป ภายใต้สายตาของทุกคนนั้นพวกเขาต่างรู้สึกเหมือนกันว่าเพียงซูจิ้งลงมือวาดไม่นานนักชุดใหม่ก็เสร็จแล้ว


ชุดรูปแบบใหม่ค่อยๆทยอยออกมาปรากฏแก่สายตาพวกเธอ บางชุดซูจิ้งก็ได้แรงบันดาลใจมาจากห้วงเวลาฯเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน ชุดหนึ่งจากห้วงเวลาฯเขตแดนที่นองเลือด ชุดหนึ่งจากห้วงเวลาฯเรื่องศึกท้ารบสวรรค์ อีกชุดหนึ่งมาจากห้วงเวลาฯเฉินมู่ชุดแต่ละชุดนั้นล้วนแล้วแต่มีลวดลายที่แตกต่างกันแต่พวกมันต่างก็มีความสวยงามและรูปทรงที่ดูทันสมัยเข้ากับยุค ทุกคนได้แต่ยืนทึ่งในความงดงาม แม้แต่หวังซือหยาและเซียหยาลิงเองที่เคยเห็นมาก่อนหน้านี่ก็ยังได้แต่ยืนดูแบบทึ่งๆ


 


ช่างเป็นความเร็วและพรสวรรค์ที่น่าตกตะลึง ช่างน่าสะพรึงกลัวจริงๆ มันยากจริงๆที่จะเชื่อว่าซูจิ้งไม่ใช่นักออกแบบเสื้อผ้ามืออาชีพ ถ้าเขานั้นยอมที่จะมาเอาดีด้านนี้ล่ะก็วงการแฟชั่นเสื้อผ้าต้องสั่นสะเทือนและต้องมีคนไม่น้อยต้องตกงานเป็นแน่


 


“เอาหล่ะ แค่นี้คงพอแล้ว” ซูจิ้งแสดงความรู้สึกเหนื่อยออกมาเล็กน้อย


 


“มากพอแล้ว” หวังซือหยาพยักหน้าตอบรับและรีบหยิบสมุดออกแบบของซูจิ้งมาเปิดดูทีละหน้าทีละหน้า ยิ่งเธอเห็นเธอก็ยิ่งชอบมันมากขึ้นเรื่อย เธออดไม่ได้ที่จะเอามือไปแตะที่บนหัวของซูจิ้งเบาๆ ก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “คุณสมองของซูจิ้งคะ คุณสมองอยู่มานานแค่ไหนแล้วคะ ช่างมีพรสวรรค์จริงๆเลย”


 


“ฮ่าฮ่า ผมรู้สึกดีเลยนะเนี่ย” ถึงซูจิ้งจะพูดอย่างนั้นไปแต่ใจจริงแล้วเขาเองก็รู้ดีว่าเขานั้นไม่ใช่คนออกแบบมันจริงๆ เขาแค่อาศัยแรงบันดาลใจจากห้วงเวลาฯเรื่องต่างๆ ตามสิ่งของที่เขาได้พบเจอมาแค่นั้นเอง


 


“พวกเธอคิดว่ายังไงบ้าง” หวังซือหยาหันไปถามสาวๆคนอื่น


 


“สมบูรณ์แบบ” ทุกคนในที่นั้นต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันออกมา


 


“พวกนี้คือเสื้อผ้าจีนย้อนยุครูปโฉมใหม่ของพวกเรา ต้องรีบผลิตพวกมันออกมาให้เร็วที่สุด พวกเธอไปคุยเกี่ยวกับรายละเอียดกันก่อนได้เลยนะ เดี๋ยวฉันขอคุยกับอาจิ้งซักพัก แล้วก็ฉือเหยาเธอไม่ต้องกังวลเรื่องแผลเป็นบนขาของเธอให้มากนักหรอกนะ แค่รอยแผลเป็นนิดหน่อยใส่กระโปรงยาวก็ไม่เห็นแล้ว ฉันจะให้เธอเป็นนางแบบกระโปรงยาวชุดนี้เลยเอ้า” หวังซือหยาพูดออกมา


 


“ได้เลยจ้ะ” สาวสวยคนหนึ่งหันมาพยักหน้าให้ซือหยาพร้อมรอยยิ้ม “กระโปรงยาวชุดนี้ช่างดูสวยมากซะจนฉันแทบจะรอใส่มันไม่ได้อยู่แล้ว”


 


“แผลเป็นงั้นหรอ” ซูจิ้งถามแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางสนใจ


 


“ฉือเหยานั้นไม่ใช่นางแบบเต็มตัวหรอก เธอเป็นนางแบบขาน่ะ ไม่กี่วันก่อนมีอุบัติเหตุรถยนต์นิดหน่อยเกิดขึ้นกับเธอทำให้เกิดรอยแผลเป็นเล็กๆเท่ารอยแมวข่วน ฉันเองก็ไม่ได้สนใจอะไรแต่กับฉือเหยาเธอค่อนข้างกังวลเรื่องนี้น่ะ ถึงการทาแป้งจะช่วยดูให้จางลงแต่มันก็ยังมองเห็นอยู่ดี” หวังซือหยาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ซูจิ้งฟัง


 


“ฉันไม่ได้กังวลเรื่องขาซะหน่อย ฉันกังวลเรื่องงานโฆษณาที่บริษัทรับมาต่างหาก เธอรู้ไหมว่าเราต้องพลาดงานไปกี่งานเพราะเจ้ารอยแผลเล็กๆนี่” เจิ้งฉือเหยาทำได้เพียงแค่ยิ้มรับสภาพแค่นั้นในตอนที่เธอพูดออกมา


 


“ขอผมดูหน่อยได้ไหม” ซูจิ้งถามออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบๆ


 


“เอ่ออออ….” ทุกคนต่างทำหน้างงๆใส่กัน โจวซิวและเซียหยาหลิงเองก็มองซูจิ้งแปลกๆ หวังซือหยาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ชายผู้โด่งดังกลับมาขอดูขาของสาวน้อยเนี่ยนะ เธอนึกในใจก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “นายนี่ไม่เกรงกลัวข้อครหานินทาเหมือนเดิมเลยนะ(ทำอะไรไม่คิด)”


 


“แค่ก ผมไม่ได้หมายความว่าจะดูแบบนั้นซะหน่อย ผมหมายถึงขอดูรอยแผลหน่อยเพื่อว่าจะทำอะไรได้บ้างน่ะ” ซูจิ้งรีบพูดออกมาทันที แต่เมื่อซือหยาได้ยินเธอกลับทำตาลุกวาว แต่เจิ้งฉือเหยา โจวซิว เซียเหยาหลิง และคนอื่นๆกับทำหน้ามึนทันที พวกเขารู้เพียงแค่ว่ารอยแผลเป็นนั้นไม่มีทางหายไปไม่ว่าพวกเธอจะไปเข้าโรงพยาบาลเสริมความงามชั้นนำที่ไหนก็ตาม แล้วอย่างซูจิ้งจะทำอะไรได้ ต่อให้ใช้แป้งเหม่ยหยานที่ซูจิ้งคิดค้นยังลบได้เพียงเล็กน้อยแค่นั้นเอง ผลที่ใช้ในการลบเลือนริ้วรอยนั้นใช้ได้กับแค่แผลเป็นเล็กๆเท่านั้น


 


“ฉือเหยา ให้อาจิ้งดูให้เถอะ” หวังซือหยาพูดออมา


 


“ก็ได้” เจิ้งฉือเหยาไม่รีรอแม้แต่น้อย เธอยืนด้วยท่วงท่าที่ดูดีที่สุดในชีวิตเพราะเอาจริงๆ เธอก็ไม่รู้ว่าควรจะยืนแบบไหนเพื่อไม่ให้ซูจิ้งรู้สึกไม่ดี เพราะซูจิ้งถึงจะสูงประมาณ175ซม.ซึ่งถือว่าสูงมากแล้วแต่เธอก็ยังสูงกว่าซูจิ้งแถมเธอยังใส่รองเท้าส้นสูงขึ้นไปอีก ขาของเธอนั้นมีรูปร่างตรงและยาวอย่างได้รูป เหมาะสมแล้วที่เธอเป็นนางแบบขา ฉือเหยาได้ดึงกระโปรงยาวของเธอและแสดงให้เห็นถึงเรียวขาพร้อมแผลเป็นเล็กๆ ที่ขาด้านขวาของเธอ


 


โดยทั่วไปแล้วคนทั่วไปไม่มีใครมานั่งสนใจเรื่องรอยแผลเป็นพวกนี้ซักเท่าไหร่นัก พวกเขาต่างก็คิดว่ามันไม่ได้แตกต่างจากสีผิวซักปกติของพวกเขาเท่าไหร่นักหรอก แต่กับคนที่มีขาขาวประดุจหยกแบบเธอนั้น แค่ฝุ่นเม็ดเล็กๆเกาะก็เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่แปลกใจเลยที่เธอจะเป็นกังวล


 


“ยังดีที่ไม่ลึกมากนะเนี่ย” ซูจิ้งพูดลอยๆออกมา


 


“คุณซู คุณมีวิธีทำให้มันหายไปจริงๆงั้นหรอ” เจิ้งฉือเหยามองซูจิ้งแบบจริงจังพร้อมเอ่ยถามออกมา


 


“มันก็พอมีแต่ก็ไม่มั่นใจว่าจะใช้ได้ผลรึเปล่านะ” ซูจิ้งพูดจบแล้วเขาก็ได้หยิบขวดเล็กๆออกมาขวดหนึ่ง เขารินผงเล็กๆสีขาวๆออกมาจากขวดนั้น เขาป้ายผงนี้ลงบนรอยแผลเป็นของเจิ้งฉือเหยาแล้วยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “เรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งทาแป้งลงไปบนแผลเป็นซะล่ะ แล้วเราค่อยมาดูผลกันทีหลัง”


 


“แค่เนี้ยย…” ทุกคนที่เห็นการกระทำของซูจิ้งต่างก็คิดว่าเขานั้นล้อเล่นแน่ๆ รอยแผลเป็นไม่มีทางหายไปได้ง่ายๆต่อให้เธอไปเข้าโรงพยาบาลเสริมความงามก็ตาม แล้วกับแค่ผงแป้งเล็กๆเนี่ยนะ


“ฉือเหยา ทำตามที่อาจิ้งบอกเถอะนะ” หวังซือหยาพูดรับประกันออกมา


 


“ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ขอบคุณค่ะคุณซู” เจิ้งฉือเหยาได้ยิ้มดีใจออกมา ถึงแม้จะเชื่อได้ยากว่าแค่ทาแป้งพวกนี้แล้วแผลเป็นจะหาย แต่เธอก็ไม่ควรปฏิเสธความหวังดีของคนที่ใจดีกับเธอ ลองดูแค่นี้ก็ไม่เสียหายอะไร แล้วถ้ามันได้ผลขึ้นมาจริงๆ หล่ะ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)