Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 668 - 679

 ตอนที่ 668

 

ปล่อยให้ฉันจัดการเอง


ณ ข้างๆ สะพานได้มีกระเป๋าสามใบวางอยู่โดยไม่มีใครอยู่บริเวณนั้น ตำรวจได้วางเงินกระเป๋าเงินเอาไว้ในตำแหน่งที่พวกโจรต้องการ ทันใดนั้นก็ได้มีรถตู้คันหนึ่งวิ่งเข้ามา มีชายใส่หน้ากากสองคนลงมาจากรถแล้วโยนกระเป๋าทั้งสามใบขึ้นรถไปหลังจากนั้นรีบขับออกไปทันที


 


ณ อีกบริเวณหนึ่งนั้น ภายในตึกตึกหนึ่ง หวังเซียวและคนอื่นๆ ต่างจับตามองเหตุการณ์โดยใช้กล้องส่องทางไกล ซูจิ้ง หลิวฉิง และคนอื่นๆ หวังเซียว กำลังเตรียมที่จะออกคำสั่งให้มีคนติดตามพวกนั้นไป แต่ซูจิ้งได้ทักขึ้นมาว่า “พี่เซียว ในสถานการณ์ตอนนี้ผมว่าอย่าตามเลยดีกว่านะ”


 


“ใช่ ถ้าเกิดว่าพวกโจรจับได้ขึ้นมาก็ได้ ตอนนี้แค่ให้เงินพวกมันไป และรอให้พวกมันปล่อยตัวประกันก่อนดีกว่านะ ชีวิตผู้โดยสารสำคัญที่สุด” หลิวฉิงก็เห็นด้วยกับซูจิ้ง พวกเขากลัวว่าถ้าพวกมันจับได้ว่ามีคนตามไปจะหาเรื่องทำร้ายตัวประกัน


 


หวังเซียวทำหน้าดูน่าเกลียดขึ้นมาในทันที ถ้าเขาไม่ติดตามตอนนี้แล้วปล่อยพวกโจรไปเลย นอกจากจะเสียเงินไปสิบล้านแล้วยังจับตัวพวกมันมาลงโทษไม่ได้อีก แต่ยังไงซะ ซูจิ้งและหลิวฉิงเองก็พูดถูก ถ้าเกิดถูกจับได้ผู้โดยสารต้องตกอยู่ในอันตรายแน่นอน


 


“พี่เซียว อย่าห่วงไปเลย ผมมีวิธีตามหาพวกมันทีหลัง ไม่ต้องกังวลไปหรอก” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเข้าใจความคิด


 


เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเซียวมองซูจิ้งด้วยสายตาที่เปล่งประกาย จากการที่เขาได้มีโอกาสร่วมงานกับซูจิ้งมาพอสมควรทำให้เข้ารู้ถึงความสามารถของซูจิ้งดี นั่นรวมถึงความสามารถในการติดตามจากหมาหรือหนูเหมือนกับตอนที่ซูจิ้งใช้หมาป่านักรบในการช่วยเหลือผู้อาวุโสของตระกูลหวัง เขาพยักหน้าตอบรับพร้อมพูดว่า “ดี งั้นเรื่องนี้ฉันยกให้นายจัดการ”


จากนั้นหวังเซียวได้สั่งไปว่าให้ทีมติดตามถอนตัวและไม่ต้องตั้งด่านสกัดใดๆทังสิ้น ให้ปล่อยพวกมันไปเลย


 


ถึงแม้หวังเซียวจะทำอย่างนั้นแต่พวกโจรที่ดักฟังวิทยุอยู่ก็ยังไม่ไว้ใจ ยังคงมีการสับเปลี่ยนรถระหว่างหนี และขับรถวนเส้นทางจนกว่าจะมั่นใจว่าตำรวจไม่ติดตามจริงๆ ส่วนพวกโจรที่กำลังจี้เครื่องบินตอนนี้ยังไม่มีการปล่อยตัวประกันแต่อย่างใด


 


ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อชายในชุดสูท หลิวฉิงและคนอื่นๆได้รับข่าวที่ไม่ค่อยดีนักจากทางสนามบินจนทำให้หน้าของพวกเขาซีดเผือด นั่นก็เพราะว่าด้วยการที่เครื่องบินถูกจี้กลางอากาศและถูกให้เปลี่ยนเป้าหมายในการลงจอด ทำให้มีน้ำมันไม่พอ ตอนนี้พวกโจรที่จี้เครื่องบินสองคนกระโดดร่มหนีออกมาแล้ว ตอนนี้ถึงสถานการณ์บนเครื่องบินจะคลี่คลาย แต่ด้วยน้ำมันเท่าที่มี ไม่มีทางที่จะไปถึงสนามบินก่อนน้ำมันหมดแน่นอนแล้ว ซึ่งจริงๆ แล้วพวกโจรได้วางแผนการนี้ไว้ก่อนอยู่แล้วเพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจในการติดตามพวกโจร


 


“รีบเตรียมการเติมน้ำมันกลางอากาศเดี๋ยวนี้” ชายใส่สูทรีบสั่งผ่านทางโทรศัพท์มือถือ


 


“ผมจะรีบเตรียมพร้อมครับ แต่ ณ จุดที่เครื่องบินโดยสารอยู่ห่างจากผมมาก เกรงว่าจะไม่ทัน จะให้ทำยังไงดีครับ” ปลายสายรีบพูดออกมา


 


“ถ้านายทำไม่ได้ล่ะก็ ให้ภาวนาไว้เลยว่าให้เครื่องบินโดยสารลงจอดอย่างปลอดภัย ไม่งั้นนายตายแน่” ชายในชุดสูทตะคอกใส่ปลายสายอย่างโกรธเกรี้ยว


 


“….” ปลายสายเองก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ เขาเข้าใจอารมณ์ของชายชุดสูทดี เขาเองก็จะพยายามเต็มความสามารถของเขาเหมือนกัน


 


“โธ่เว้ย ไอ้พวกสารเลว” ถ้าปู่ของฉันเป็นอะไรไปหล่ะก็ ฉันจะตามล่าฆ่าล้างพวกมัน” หลิวฉิงโกรธจนสายตาแดงก่ำ ตั้งแต่ตอนที่ได้ยินว่ามีการจี้เครื่องบินนั้นอารมณ์ของเข้าก็โกรธอยู่แล้ว เมื่อทราบถึงสถานการณ์ ณ ตอนนี้ยิ่งทำให้เขาโกรธจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว


 


“ตอนนี้เครื่องบินอยู่ตรงไหนแล้ว” ซูจิ้งรีบพูดออกมาทันทีที่ทราบสถานการณ์


 


“บริเวณนี้” หวังเซียวรีบกางแผนที่แสดงให้ซูจิ้งเห็น


 


“อืมมมม ถ้าดูจากแผนนี้จุดที่เราอยู่ถือว่าพวกเราอยู่ใกล้กว่าสนามบินสินะ”


หวังเซียว เฉาเล่ย เจ้าหมิง และหลิวฉิง ไม่เข้าใจว่าซูจิ้งพยายามจะสื่ออะไร ก็จริงที่ระยะทางในจุดที่เขาอยู่ใกล้กว่าระยะทางที่เครื่องบินกำลังจะบินไปสนามบินถึงสามเท่า แต่ปัญหาตอนนี้คือต่อให้อยากจะขึ้นไปเติมน้ำมันให้เครื่องบินลำนั้นแค่ไหนก็ไม่สามารถ เพราะพวกเขาไม่มีเครื่องบิน


 


“พี่เซียว พี่สั่งให้เครื่องบิน บินมาหาเราแทนทีสิ” ซูจิ้งกล่าวอย่างหน้าตาเฉย


 


“ห้ะ นี่” หวังเซียวถึงกับอึ้งพูดไม่ออก จะให้บินมาทางนี้เพื่ออออ…


 


“คุณซู เราไม่มีเวลามาเล่นกันนะครับ” ชายในชุดสูทกล่าวเชิงตำหนิพร้อมท่าทางคิ้วขมวด


 


“พี่จิ้ง พี่จะทำอะไรอย่างนั้นหรอ” หลิวฉิงเริ่มจับทางบางอย่างจากซูจิ้งได้ แต่ก็ยังไม่อยากจะเชื่อมากนัก เพราะลึกๆ แล้วเขาก็ยังคิดอยู่ว่าไม่มีทางที่ตอนนี้ซูจิ้งจะเสกเครื่องบินขึ้นมาเพื่อไปเติมน้ำมันได้ในบัดดลแน่นอน


 


“ไม่มีเวลาอธิบายหรอกนะ แต่ผมสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด อย่างน้อยๆ ผมก็มีความใจกว่า 90 เปอร์เซนต์ที่จะช่วยเครื่องบินลำนี้ไว้ได้ ยังไงซะเครื่องบินก็ต้องตกอยู่แล้วนี่ เมื่อกี้ก็ได้ยินกันแล้วไม่ใช่หรอว่ากว่าเครื่องบินเติมน้ำมันจะไปถึงยังไงก็ไม่ทัน ถ้ายังไงก็แค่ให้ผมลองดูแล้วพวกนายก็แค่คอยดูดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาแบบชิวๆ อีกครั้ง


ถ้าเขาพูดความจริงไปจะมีคนเชื่อก็บ้าแล้ว


ถึงเครื่องบินจะบินมาทางนี้จริงก็ไม่มีใครเชื่อว่าซูจิ้งทำอะไรได้อยู่ดี แม้แต่หวังเซียวและหลิวฉิงที่เห็นความสามารถของซูจิ้งมานักต่อนักก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี


 


อย่างไรก็ตามมันเป็นความจริงอย่างที่ซูจิ้งบอกว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาอธิบายแผนการ หวังเซียวและหลิวฉิงต่างใจเต้นขึ้นมา ในขณะนั้นทั้งคู่ต่างตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้สมองอย่างมากในการตัดสินใจทันใดนั้นหลิวฉิงได้กัดฟันแล้วพูดออกมาว่า “ฉันเชื่อในตัวพี่จิ้ง ทำตามที่พี่จิ้งบอกเถอะ” “ฉันก็เชื่อในตัวอาจิ้งเหมือนกัน” หวังเซียวพูดสำทับลงไปพร้อมพยักหน้า


 


ตอนนี้หน่วยรบพิเศษของเขาไม่สามารถทำอะไรเรื่องเครื่องบินได้อีกแล้ว และเขาก็รู้ดีว่าถ้าเครื่องบินตกยังก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาอยู่ดี ไหนๆ ก็จะตกอยู่แล้วจะตกที่ไหนก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะบินไปสนามบินหรือบินตรงมาที่พวกเขา ยังไงซะตอนนี้เขาได้แต่หวังว่าถ้าเปลี่ยนเส้นทางแล้วเกิดอุบัติเหตุก็ขอให้ทุกคนโทษพวกเขาอย่าได้ไปโทษซูจิ้งเลย เพราะตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะทำตามที่ซูจิ้งบอก เขายอมพนันชีวิตของเขากับชีวิตคนร้อยคนด้วยการตัดสินใจนี้


 


“คุณซู คุณมั่นใจถึง 90 เปอร์เซนต์เลยหรอ” ชายในชุดสูทถามซูจิ้ง เขานั้นไม่ได้คิดถึงสถานะภาพของซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย เขาคิดเพียงแค่ว่าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เขายังมองไปทางหวังเซียวและหลิวฉิงที่ทั้งสองได้ตัดสินใจแล้วว่าจะเชื่อซูจิ้ง เขาทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากจะจับฟางเส้นสุดท้ายเส้นนี้เอาไว้ ต่อให้มันจะเป็นฟางเส้นบางๆ ก็ตาม


 


“ใช่ ผมมั่นใจ” ซูจิ้งผงกหัวรับ


 


“ดี ครั้งนี้ฉันเชื่อคุณ หวังว่าคุณจะไม่โกหกนะ” ชายใส่สูทได้กัดฟัน เขารู้อยู่แล้วว่าตอนนี้ไม่มีเวลาแล้ว ทันใดนั้นเขาได้รีบโทรศัพท์ไปที่สนามบินเพื่อบอกให้เปลี่ยนเส้นทาง ฝั่งสนามบินเมื่อได้ยินดังนั้นถึงกับทำอะไรไม่ถูก พอชายในชุดสูทพูดย้ำไปอีกครั้งพร้อมบอกไปว่าเขามีหนทางช่วยทุกคนจึงรีบดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องทันที


 


ในขณะนั้นซูจิ้งได้ผิวปากแล้วรีบกระโดดออกไปทางหน้าต่างทันที ทุกคนในตอนนั้นต่างตกตะลึงในภาพที่เห็น อย่างไรก็ตามซูจิ้งที่กระโดดออกไปทางหน้าต่างได้หล่นลงไปบนอินทรีย์ทองที่บินลอยอยู่บนฟ้าแล้วก็ทะยานขึ้นฟ้าไปในทันที


 


“อินทรีย์ทองคำ” หลิวฉิงตาเป็นประกายกับภาพที่เห็น


 


“แต่นี่ก็ยังไม่เร็วพอ” หวังเซียวได้สังเกตเห็นว่าความเร็วที่อินทรีย์นั้นไม่เร็วพอ ต่อให้พวกเขาร่นระยะเข้ามาแล้วก็ไม่น่าจะไปทัน


 


“ต่อให้ไปทันแล้วยังไงหล่ะ ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย ฉันจะเป็นบ้าอยู่แล้ว ทำไมฉันถึงฟังคำพูดของเขานะ” ทันใดนั้นชายในชุดสูทก็บ่นพึมพำออกมา เขามีความรู้สึกการที่เขาเชื่อซูจิ้งเป็นสิ่งที่ผิดพลาด ในตอนนี้เขามีอาการประสาท(แดก) อย่างหนัก ถึงแม้ว่าเขาจะตื่นตะลึงกับอินทรีย์ทองที่ตัวใหญ่ขนาดพาคนบินขึ้นไปได้ด้วยก็ตาม แต่เขาไม่มีอารมณ์ที่จะตื่นตะลึงขนาดนั้น ยังไงซะสุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้โทรไปบอกให้เครื่องบินหันหัวกลับไปที่สนามบินอยู่ดี


 


หลังจากทะยานขึ้นฟ้า อินทรีย์ทางบินด้วยความเร็วที่เร็วที่สุดเท่าที่มันจะบินได้ ณ ตอนนี้ความเร็วสูงสุดที่มันทำได้อยู่ที่ 450 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันไม่มีทางเลยที่คนทั่วไปจะไม่ล่วงหล่นลงจากหลังได้


 


“เสี่ยวจิน เพิ่มความเร็วเข้าไปอีก”


 


ซูจิ้งพูดพร้อมหยิบกระดาษที่เขียนยันต์ขึ้นมาไว้ในมือ มันคือยันต์ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯ ฝืนชะตาฟ้าฯ ในตอนแรกมันมีทั้งหมดแปดแผ่นแต่ได้ถูกใช้ไปบ้างแล้ว เขาเคยใช้ไปครั้งหนึ่งและตอนนี้ก็กำลังใช้มันอีกครั้ง ครั้งนี้ซูจิ้งได้ใช้ยันต์เร่งความเร็วซึ่งมีผลในการแหวกอากาศนั่นทำให้ความเร็วของซูจิ้งในตอนนี้อยู่ที่ 800 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งมีความเร็วเทียบเท่าเครื่องพาณิชย์ทั่วไปแล้ว

 

 

 


ตอนที่ 669

 

ทุกๆ วินาที


 


อินทรีทองได้บินอย่างเร็วที่สุดที่มันจะบินได้จนทำให้ผิวหนังของซูจิ้งรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดจากสายลม เร็วถึงขนาดที่ไม่สามารถเปิดตาได้ ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นแต่ก็เท่านั้นเพราะด้วยความเร็วขนาดนี้เขารับไปก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี เขาเลยจงใจไม่รับสาย


ซักพักเสียงโทรศัพท์ของหลิวฉิงก็ได้ดังขึ้น เมื่อเขาเห็นว่าเป็นหวังจ้าวโทรมาเขาก็รีบรับสาย หวังจ้าวถามหลิวเฉิงด้วยอาการอารมณ์เสียว่า “ตอนนี้เหตุการณ์เป็นยังไงบ้าง ฉันเพิ่งได้ยินเรื่องการจี้เครื่องบิน และเพิ่งได้ยินว่าอาจิ้งขอให้เครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางการบินด้วยนี่ ตอนนี้ฉันโทรไปเขาก็ไม่ยอมรับสาย”


 


“พี่จิ้งเขา……” หลิวฉิงรีบอธิบายเรื่องทุกอย่าง


 


“อาจิ้งจะไปก่อเรื่องอะไรอีกเนี่ย” หวังจ้าวรีบร้อนอย่างไม่ต้องสงสัย การที่เครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางการบินตามที่ซูจิ้งต้องการนั้น ถ้าหากว่าเครื่องบินเกิดเหตุเครื่องบินตก ซูจิ้งจะได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปเต็มๆ ผู้โดยสารกว่า 100 ชีวิตจะต้องสูญเสีย นี่ไม่ใช่เรื่องตลกแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นการทำอย่างนี้ถ้าเกิดเหตุผิดพลาด แทนที่จะโทษพวกโจรจะกลายเป็นทุกคนโทษซูจิ้งไปแทน เกรงว่าต่อให้เป็นตระกูลหวังเองก็ยังช่วยไม่ได้ เขานั้นไม่อยากให้ซูจิ้งรับผลที่ซูจิ้งไม่ควรจะได้รับแม้แต่น้อย


 


“พี่จิ้งเหมือนจะพอมีทางทำอะไรได้อยู่น่ะ” หลิวฉิงพูดออกมา


 


“ก็หวังว่าไม่ใช่แค่พยายามทำตัวเป็นฮีโร่ทั้งที่ทำอะไรไม่ได้ก็พอแล้ว” หวังจ้าวตอนนี้ทำได้แค่ภาวนาอย่างหมดหัวใจ


 


ณ กลางอากาศ ในช่วงเพียงหนึ่งนาที อินทรีย์บินไปได้ระยะทาง 13 กิโลเมตร แต่มันก็ยังเป็นการยากที่จะรักษาระดับความเร็วในระดับนี้ไว้ได้ อีกทั้งยิ่งความเร็วมากเท่าเร็ว ระยะเวลาที่ยันต์แสดงผลจะยิ่งน้อยลงเช่นเดียวกัน ทันทีที่ผลของยันต์หมดลงความเร็วของอินทรีย์ทองก็ลดลงเช่นเดียวกันรวมถึงกระแสลมได้เข้าปะทะอย่างเต็มแรง


ซูจิ้งได้เตรียมพร้อมรับสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว เขาได้ส่งอินทรีย์กลับเข้าไปในถุงกักอสูรและเรียนกระบี่บินออกมา แล้วได้ทำการติดยันต์ไว้ที่ต้นขาของตัวเอง ภาพในตอนนี้เมื่อคนอื่นเห็นจะเปรียบเสมือนลูกศรลูกใหญ่กำลังพุ่งไปที่ไหนซักที่นึง


 


ด้วยความแข็งแกร่งของพลังจิตของเขาในขณะนี้ที่สามารถออกแรงยกของได้ที่น้ำหนัก 430 ชั่ง ซึ่งนั่นทำให้ผลของความเร็วใจตอนนี้ เมื่อร่วมกับผลของยันต์ความเร็วของเขาแทบไม่ต่างจากอินทรีย์ทองเลยซักนิด หลังจากผ่านไปเมื่อเขาบินได้ 13 กิโลเมตร เขาก็เริ่มบินไม่ไหวจึงได้สลับไปขี่อินทรีย์ทองอีกครั้ง ด้วยวิธีการนี้ทำให้ความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขาแทบไม่ตกเลยแม้แต่น้อย ถ้าใครมาเห็นพวกเขาตอนนี้คงทำได้ตกตะลึงอ้าปากกว้างเพราะไม่ว่าจะเป็นอินทรีย์ทองหรือซูจิ้ง แค่บินกันอยู่นี่ก็น่ามหัศจรรย์อยู่แล้ว โชคดีที่พวกเขาบินอยู่เหนือเมฆขึ้นไปจึงไม่ต้องกลัวใครเห็นแน่นอน


 


ก่อนที่ยันต์จะหมดฤทธิ์ลงอีกหนนั้น ซูจิ้งก็ต้องตาลุกวาวทันทีเพราะเขาได้เห็นเครื่องบินอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว เขาให้อินทรีย์ทองลดความเร็วและพยายามให้บินไปเทียบข้างๆ เครื่องบิน ซึ่งไม่ได้ยากเย็นเท่าไหร่นักเพราะว่าเครื่องบินพยายามบินให้ช้าที่สุดเพื่อประหยัดน้ำมัน โดยวิ่งที่ความ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมงประหนึ่งจะพยายามลงจอดบนก้อนเมฆ


 


“พระเจ้า ดูนั่นสิ”


 


“ตาฉันไม่ได้ฝาดไปใช่ไม๊”


 


“นั่นเขา ซูจิ้งนี่ ลูกสาวฉันเป็นแฟนคลับของเขา”


 


“นั่นมันพี่จิ้งและอินทรีย์ทองของเขา พวกเขามาช่วยพวกเราแล้ว”


 


“ทางนี้ครับคุณพี่”


 


ผู้โดยสารบางคนที่ไม่รู้จักซูจิ้งนั้น ในตอนนี้พวกเขาต่างรู้สึกโง่งม บางคนที่เป็นแฟนคลับกลับตื่นเต้นดีใจจนแทบเป็นลมล้มพับ พวกเขาเคยแต่เห็นอินทรีย์ทองในวิดีโอเท่านั้น ไม่เคยเห็นด้วยตาตัวเองเลยซักครั้ง ถ้าไม่เห็นด้วยตาตัวเองไม่มีใครเชื่ออย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นพวกเขาบินมาด้วยความเร็วเท่ากับเครื่องบินเล็กอีกลำนึงเลยด้วยซ้ำ เมื่อพวกเขารู้สึกตัวก็ได้เพียงคิดว่าตัวเองฝันไปและได้แต่ยืนมองอยู่อย่างนั้น


มีเหตุการณ์เกิดขึ้นมากมายบนเครื่องในขณะนั้น บางคนเอากล้องขึ้นมาถ่ายรูป พร้อมนึกไปว่าต่อให้ตัวเองตายจริงก็คุ้มค่าแล้ว


 


“เปิดประตูซะ” เพราะว่าเวลาไม่คอยท่าแล้ว ซูจิ้งปล่อยพลังจิตไปที่กัปตันและบริกรให้เปิดประตู แล้วเขาก็สั่งให้อินทรีย์ทองเข้าไปใกล้ประตู เมี่อประตูเปิดออกเขารีบกระโดดเข้าไปพร้อมปิดประตูอย่างรวดเร็วโดยให้อินทรีย์ทองคอยบินตามเครื่องบินเอาไว้ก่อน


 


เมื่อเข้ามาแล้ว เขาสังเกตได้ว่ามีชายแก่คนหนึ่งนอนหงายอยู่ที่พื้น บนร่างของเขามีเลือดที่แห้งกรังเกาะอยู่ ดูเหมือนเขาบาดเจ็บพอสมควร แต่โชคดีมีชายชราคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นหมอคอยปฐมพยาบาลให้ ไม่อย่างนั้นคงตายไปแล้ว แต่ด้วยปริมาณเลือดที่ออกมากขนาดนี้คิดว่าคงไม่นานนัก ซูจิ้งลองปล่อยพลังจิตเข้าไปตรวจสภาพร่างกายของชายชราก็พบว่าเขาอ่อนแอลงมากแล้ว


จากข้อมูลที่เขาได้รับไม่มีคนที่ได้รับบาดเจ็บ เป็นไปได้ว่าด้วยความร้อนลนทำให้เกิดอุบัติเหตุเหยียบกันเอง ยังไงเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีคนบนภาคพื้นดินรู้เรื่องได้ นี่โชคยังดีที่มีคนบาดเจ็บแค่คนเดียวเท่านั้น


 


“คุณซู” หลิวฮงลุกขึ้นออกมาจากที่นั่งทันทีที่เขาเห็นซูจิ้ง แต่เขาเองก็ทำได้แค่ตะลึงและพูดอะไรไม่ถูกเหมือนกันกับภาพที่เห็น ทุกคนที่อยู่บนเครื่องตอนนี้ต่างคิดว่าซูจิ้งนั้นคือพระเจ้าไปแล้ว


 


“อย่างกังวลไปเลยทุกคน ตอนนี้ทุกคนกลับไปนั่งที่นั่งของตัวเองกันก่อน” ซูจิ้งไม่มีเวลามากพอที่จะสนใจชายแก่บนพื้นเลย เขาตรงไปที่ห้องนักบิน


 


ด้วยการที่เขาไม่มีเวลาและขี้เกียจอธิบายจึงได้สะกดทุกคนที่คิดจะเข้ามาถามและขัดขวางเขาในการเข้าห้องนักบิน แต่เป็นเพียงการสะกดจิตเล็กๆน้อยๆเท่านั้นเพื่อให้นักบินจะได้ขับเครื่องบินได้อย่างนิ่มนวลต่อไป


เขาถามกัปตันไปว่า “เหลือน้ำมันอีกเท่าไหร่”


กัปตันหันกลับมาตอบกับซูจิ้งอย่างตรงไปตรงมาว่า ถ้าเครื่องบินไม่ได้เติมน้ำมันละก็จะบินได้อีกเพียง 20-30 กิโลเมตรเท่านั้น และไม่มีสถานที่ที่พอลงจอดได้เลย แต่ซูจิ้งไม่สนใจเรื่องนั้น เขาเปิดประตูอีกครั้งและกระโดดออกไปบนอินทรีย์ทองแล้วให้มันบินไปตรงที่เติมน้ำมัน เมื่อเปิดฝาออกเขาได้ใส่ผงอะไรซักอย่างที่มีสีดำแล้วปล่อยพลังจิตของเขาออกมาแล้วก็ผลักพวกมันเข้าไปในช่องเติมน้ำมัน


กัปตัน สจ๊วต และบริกร ที่มองซูจิ้งผ่านหน้าต่าง พวกเขาไม่รู้เลยว่าซูจิ้งทำอะไรลงไป ตอนนี้พวกเขาทำได้แค่กลัว กลัวว่าเครื่องบินจะตกแน่นอนแล้ว กลัวจนไม่มีใครอยากจะพูดอะไรออกมา


 


หลังจากที่ส่งผงสีดำๆทั้งหมดเข้าไปในช่องเติมน้ำมันแล้ว ซูจิ้งก็ได้กลับเข้าไปในเครื่องและได้บอกให้กัปตันหันหัวเครื่องบิน เพื่อบินกลับไปลงจอดที่สนามบินที่ใกล้ที่สุด โดยที่สนามบินได้มี หลิวฉิง ชายใส่สูท หวังเซีย และคนอื่นๆ คอยอยู่ก่อนแล้ว พวกเขาต่างตะลึงเมื่อได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง พวกเขาต่างคิดว่าซูจิ้งคงไม่มีทางเลือกแล้วจึงให้หันหัวกลับไปที่สนามบินตามเป้าหมายแรกสุด ซึ่งเครื่องบินไม่มีทางไปถึงอยู่แล้ว ยิ่งมีการเปลี่ยนเส้นทางบินออกมาแล้ววกกลับเข้าไปเหมือนเป็นการเพิ่มระยะทาง ด้วยน้ำมันที่เหลือเท่านี้ไม่มีทางที่เครื่องบินจะไปถึงได้เลย

 

 

 


ตอนที่ 670

 

มนต์วิเศษ


 


“มันจบแล้ว” ชายใส่สูทและหลิวฉิงหน้าซีดลง หวังเซียว เจ้าหมิง เฉาเล่ยและคนอื่นเองก็ทำหน้าตาหน้าเกลียดไม่แพ้กัน ตอนแรกเครื่องบินก็ไม่มีทางบินไปถึงสนามบินอยู่แล้ว ยิ่งตอนนี้ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ ที่สนามบินผู้คนต่างคอยจับตามองวินาทีที่เครื่องบินอยู่ว่าจะตกตอนไหน ในตอนนี้ไม่มีใครคิดเลยว่าเครื่องบินจะไปถึงสนามบินได้อีกต่อไป ถึงแม้พวกเขาจะลองหาสถานที่ลงจอดฉุกเฉินแล้วแต่ก็ไม่มีสถานที่ไหนที่เป็นไปได้เลยซักนิด เพราะเครื่องบินพาณิชย์นั้นต้องใช้พื้นที่ๆ ยาว และโล่งพอ ไม่เหมือนเฮลิคอปเตอร์ที่ลงจอดที่ไหนก็ได้


 


“มันจบแล้ว” กัปตันและลูกเรือคนอื่นๆ ต่างร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว


 


“ยังไม่จบหรอกแน่ แค่บินไปสนามบินก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดอย่างสบายใจ


 


“แต่น้ำมันเราไม่พอนะ” กัปตันกับผู้ช่วยต่างก็พยายามที่จะโอดครวญออกมา


 


“แค่ฟังฉันก็พอ” ทันใดนั้นซูจิ้งได้ปล่อยพลังจิตออกมาเพื่อให้พวกเขาสงบลง อย่างไรก็ตามทั้งพวกลูกเรือและผู้โดยสารคนอื่นเมื่อเห็นว่าเครื่องบินเปลี่ยนเส้นทางอีกครั้ง พวกเขาต่างรู้สึกไม่สบายใจยิ่งกว่าเดิม ถึงแม้การที่ซูจิ้งมาที่นี่ได้จะทำให้พวกเขาประหลาดใจซักแค่ไหนแต่มันก็เท่านั้น เพราะยังไงซะน้ำมันก็ต้องหมดลงอยู่ดี ถ้าบนเครื่องบินมีชูชีพพวกเขาคงแย่งกันเพื่อกระโดดไปแล้ว แต่บนเครื่องบินมีร่มชูชีพแค่สองอันซึ่งถูกนำไปโดยโจรสองคนนั่นไปแล้ว เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ซูจิ้งค่อนข้างพอใจเพราะนั่นทำให้ไม่เกิดเหตุการณ์ที่น่าอนาถใจยิ่งกว่านี้


 


“ตอนนี้นายกำลังจะบินไปที่ไหนน่ะ ทำไมพวกเราถึงเปลี่ยนเส้นทางกันอีกครั้งน่ะ”


 


“ถูกต้องแล้วไม่ว่ายังไงพวกเราต้องรีบลงจอดนะ”


 


“ซูจิ้ง นายน่ะให้ฉันขี่เจ้านกนั่นซะ แล้วชั้นจะให้นาย 1 ล้านหยวน”


 


“ฉันให้ 10 ล้านเลย พาฉันลงไปที”


 


“อย่าโวยวายกันสิ คุณไม่เห็นกันหรอว่าพี่จิ้งพยายามจะทำอะไรบางอย่างอยู่”


 


“พี่จิ้งเขาไม่พาแค่แกไปหรอกน่า เพราะเขาต้องพาทุกคนไปอยู่แล้ว”


 


บรรยากาศโดยรอบในตอนนี้สามารถบอกได้เลยว่าอึมครึมอย่างมาก บางคนต่างคิดว่าจะให้ทองซูจิ้งเพื่อพาลงไป บางคนก็เสนอเงินจำนวนมหาศาล แต่ซูจิ้งกลับแค่เดินไปหาชายแก่ที่กำลังบาดเจ็บอยู่เท่านั้น


 


“เงียบๆ หน่อยได้ไหม”


เสียงซูจิ้งที่พูดออกมาไม่ดังมากแต่แฝงไปด้วยพลังอำนาจที่มาจากพลังจิตของเขา มันให้ความรู้สึกเหมือนเขาได้ใช้มนต์วิเศษทำให้ทุกคนต่างเงียบปากลง เหล่าแฟนคลับเมื่อเห็นภาพดังกล่าวต่างรู้สึกตาโตเท่าไข่ห่าน นี่สินะที่เขาเรียกว่าจิตสังหารพวยพุ่ง


 


ผู้โดยสารทุกคนได้สติกลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีกเลย ตอนนี้พวกเขาทำได้แต่รู้สึกอายในสิ่งที่ตัวเองพยายามกระทำลงไปเท่านั้น ซูจิ้งไม่ได้สนใจพวกเขา ตอนนี้เขาสนแค่ชายแก่เท่านั้น


 


“เขาเป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งถามอาการจากคนที่ปฐมพยบาลชายแก่อยู่ ชายแก่ที่ได้รับบาดเจ็บอายุประมาณ 70 -80 ปี ตัวค่อนข้างสูง ผมขาวไปครึ่งหัวแล้ว ที่หน้ามีเลือดเปรอะอยู่แต่เลือดได้แห้งกรังไปแล้ว ส่วนคนที่ปฐมพยาบาลอยู่นั้นเป็นคนที่ดูเป็นชายวัยกลางคน รูปร่างสูง แข็งแรง และดวงตาของเข้าตอนนี้รู้สึกเศร้าใจในสิ่งที่เกิดจนน้ำตาคลอจนแดงกล่ำ


 


“เขาถึงขีดจำกัดแล้ว ผมเกรงว่า….” ชายที่ปฐมพยาบาลเป็นหมอประจำเครื่อง เขาพยายามสุดความสามารถจนทำให้เลือดเปือนตัวของเขาไปทั่วรวมถึงมือด้วย ซึ่งตอนนี้เขาทำได้แค่ถอดใจแล้วเท่านั้น


ชายแก่ที่บาดเจ็บนั้นเสียเลือดไปเป็นจำนวนมาก มากถึงขนาดที่ต่อให้ไปโรงพยาบาลก็ไม่น่าจะช่วยชีวิตเขาได้ทันอยู่ดี ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้อยู่บนเครื่องบินกันที่ไม่มีทั้งเครื่องมือและหมอ เขานั้นทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว


 


“ขอผมดูหน่อยนะ” ซูจิ้งนั่งลงข้างๆ เขาจับมือชายแก่เอาไว้ ชายที่ตาแดงกล่ำที่นั่งอยู่ข้างๆชายแก่คนนั้นได้รีบจับมือซูจิ้งพร้อมถามว่า


 


“คุณเป็นหมอหรอ”


 


“เปล่า” ซูจิ้งส่ายหัว


 


“แล้วนายคิดจะทำอะไร” ชายคนนั้นตะคอกออกมา


“งั้นนายก็ลองดูด้วยตาตัวเองแล้วกัน” ซูจิ้งขี้เกียจอธิบาย เขาได้ปล่อยพลังวิญญาณออกมา


 


พลังได้ทำให้หมอและชายอีกคนที่อยู่ใกล้รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างจนพวกเขาเผลอคิดว่าได้สัมผัสกับพลังของพระเจ้าเข้าแล้ว พลังนั้นให้ความรู้สึกหนักหน่วง สิ่งที่พวกเขาได้สัมผัสนั้น นั่นคือเวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิซึ่งมีพลังธรรมชาติเป็นตัวขับเคลื่อน


หลิวฮงที่อยู่ใกล้ๆ ไม่เข้าใจว่าซูจิ้งได้ทำอะไรลงไป ตอนแรกเขาก็คิดแค่ว่าซูจิ้งกำลังเล่นตลกกับชีวิตคนอยู่ เพราะเขาเองก็ไม่ใช่หมอ ไม่มีทางรักษาคนได้แน่นอน แต่ทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยภาพที่ซูจิ้งใช้คลื่นพลังหยุดชายคนนั้นเอาไว้ ทำให้ทุกคนที่เห็นล้วนตะลึงในสิ่งที่เกิด


 


เมื่อชายคนนั้นได้สติกลับมาเขาก็รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป ตอนแรกที่เขาพยายามจะหยุดซูจิ้งตอนนี้เขาไม่มีความคิดจะหยุดซูจิ้งอีกแล้ว หลังจากนั้นทุกคนต่างประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม สีหน้าของขายชราที่นอนอยู่บนพื้นดูดีขึ้นกว่าเดิม ดีขึ้นจนผู้หญิงตัวสูงที่จะเข้าหยุดซูจิ้งอีกคนเมื่อสักครู่ยังเห็นการเปลี่ยนแปลงด้วยตาตัวเอง


 


“ห้ะ” หมอประจำเครื่องก็ทำได้เพียงแสดงอาการตกใจออกมาเช่นเดียวกัน เขาได้ลองฟังเสียงหัวใจและชีพจรดูก็พบว่าอัตราเต้นดีขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้จนเหมือนหายดีแล้ว ตาของเขาร้อนจนเหมือนจะฉายได้แล้วเขาก็พูดออกมาว่า


 


“นี่เป็นไปได้อย่างไงกัน”


 


“ผู้อาวุโสอาการเป็นยังไงบ้าง” ซูจิ้งผละตัวเองออกมา


 


“เขาดีขึ้นแล้ว ฉันรับรองได้” หมอประจำเครื่องได้ฟังเสียงหัวใจและจับชีพจรอีกครั้งครั้งนี้เขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสตอนนี้มีความแข็งแรงจนถึงขั้นเหมือนเขาไม่ได้แก่เลยด้วยซ้ำ


 


“จริงหรอคะหมอ” ผู้หญิงตัวสูงแสดงออกด้วยความยินดีอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง


 


หลิวฮงและผู้โดยสารเมื่อได้ยินดังนั้นก็ไม่อยากจะเชื่อในสายตาตัวเองเหมือนกัน ผู้อาวุโสคนนี้ถูกโจรใช้มีดแทง เขาเจ็บหนักจนถึงขั้นเลือดออกไม่หยุด ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นคนแก่เลย ต่อให้คนหนุ่มๆเจอไปขนาดนั้นก็ยังลุกไม่ขึ้นแน่นอน แม้แต่หมอที่รักษาเขาก็คิดว่าไม่มีทางรอดแน่นอน แต่นี่…. ตอนนี้กลับบอกว่าเขารอดแล้ว เป็นไปได้ไง


 


“แค่กๆ” ทันใดนั้นผู้อาวุโสคนนั้นได้ไอมาสองทีแล้วลืมตาขึ้น ยิ่งกว่านั้นเขาไม่ได้แสดงท่าทีว่าเป็นคนแก่เลยซักนิด พร้อมถามขึ้นว่า


 


“เป็นยังไงบ้าง พวกโจรล่ะ” ทุกคนทำท่าทางโง่งมไปต่อกันไม่ถูก


 


“ท่านปู่” หญิงตัวสูงและชายกำยำต่างเรียกชายชราคนนั้น พวกเขาเข้าไปจับมือ พร้อมกับหลั่งน้ำตาออกมาพร้อมตอบไปว่า


 


“ตอนนี้พวกโจรกระโดดร่มหนีไปแล้วครับ พวกเรานั้นห่วงอาการของปู่จนคิดว่าปู่จะ…..”


 


“ดีแล้วดีแล้ว” ผู้อาวุโสทำได้แค่ตบมือไปยังหลังของคนทั้งสอง เขามองดูที่บาดแผลก็ทำได้แค่ตกใจ เขาว่าเขาเจ็บหนักเลยนะแต่ทำไมตอนนี้แผลกลับหายไปแล้วหล่ะ แถมเขายังเสียเลือดมากแต่ทำไมยังรู้สึกมีแรงดีอยู่เลย


 


“คุณ คุณทำอะไรลงไปกันแน่” หมอประจำเครื่องพยายามหาเหตุผลจากภาพที่เห็น เขาพยายามถามจากซูจิ้งแต่ซูจิ้งก็ชักสีหน้าแล้วตอบว่า


 


“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ” พูดเสร็จเขาก็ยักไหล่แล้วแสดงท่าที่ไม่รู้ไม่เห็น


 


“แต่ แต่ว่า..” หมอประจำเครื่องทำได้เพียงอ้ำอึ้งก็เพราะว่า ภาพที่เขาเห็นก็เพียงแค่ซูจิ้งจับมือชายชราแล้วเหมือนจะมีแสงอะไรบางอย่างแล้วชายแก่ก็หายดีแต่ด้วยความรู้ของเขาเองก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ จะไปบังคับให้คนอื่นอธิบายให้เขาเข้าใจนั้นคงยากสุดกู่แน่นอน


 


ซูจิ้งได้ลุกขึ้นแล้วเดินออกมา เขาเองก็ประหลาดใจเหมือนกันเขาไม่คิดว่าเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิจะได้ผลขนาดนี้ ตอนแรกเขาคิดว่าจะไม่ได้ผลด้วยซ้ำเพราะเขานั้นเพิ่งจะฝึกได้ไม่เท่าไหร่แถมยังต้องใช้กับคนที่สภาพใกล้ตายอีกด้วย นอกจากนั้นยังถูกคนอื่นขัดจังหวะอีก แต่ยังไงซะด้วยตอนนี้สำหรับเขาเรื่องทุกอย่างถือว่าคลี่คลายดีแล้ว ความจริงแล้วชายสองคนนั้นก็อยากได้รับคำอธิบายเหมือนกัน แต่ดูจากสภาพการณ์แล้วเขาคิดว่าซูจิ้งไม่อยากเผยตัวเองเท่าไหร่นัก เขาจึงไม่อยากเข้าไปถามตรงๆ แต่กลับพูดขึ้นมาว่า “คุณซูคะ ฉันชื่อเฉียนไจ๋บิง ถ้าเราลงพื้นได้อย่างปลอดภัย ฉันคิดว่าเราคงพอจะเป็นเพื่อนกันได้นะคะ คุณซูก็มาด้วยอินทรีย์ทอง แถมคุณดูไม่กระวนกระวาย หรือเร่งรีบอะไรเลย คุณมีทางคลี่คลายปัญหาแล้วงั้นหรอคะ”


ทุกคนที่อยู่รอบต่างมองไปที่ซูจิ้ง ด้วยคำถามนี้ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกตัวในทันทีว่าซูจิ้งนั้นทำตัวไม่สมเหตุผลแม้แต่น้อย หรือว่าเจ้าอินทรีย์ทองตัวนั้นจะช่วยทุกคนได้

 

 

 


ตอนที่ 671

 

เชื้อเพลิง…


 


“ทุกคนอย่างกังวลไปเลย ทุกคนจะปลอดภัยจนไปถึงสนามบินแน่นอน” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยเสียงกังวาล


 


“คุณซู อย่าหลอกพวกเราเลย ไม่ใช่ว่าพวกเราจะไม่รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น เรื่องเชื้อเพลิงใช่รึเปล่า มันมีไม่พอไปถึงสนามบินใช่ไหม” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งถามออกมาด้วยสีหน้าตึงเครียด เขาคิดว่าซูจิ้งต้องแค่ปลอบขวัญทุกคนแค่นั้นเอง


 


“คุณซู เครื่องบินลำนี้มีเชื้อเพลิงไม่พอจะบินไปถึงสนามบินได้หรอก ต่อให้ไม่มีการเปลี่ยนเส้นทางการบินก็ไปไม่ถึงอยู่ดี” เฉียนไจ๋บิงพูดมาอย่างปลงชีวิต เธอปลงตกพร้อมคิดว่ายังไงซะซูจิ้งก็ไม่มีทางช่วยพวกเขาได้แล้ว


 


ซูจิ้งขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงอีกต่อไป เขาเลิกจะใส่ใจคนพวกนี้แล้ว แต่เขาเลือกที่จะเดินไปที่หลิวฮงพร้อมรอยยิ้ม แล้วพูดทักทายออกไปว่า


 


“คุณหลิว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ เมื่อกี้ผมมัวแต่วุ่นๆ อยู่เลยยังไม่ได้ทักคุณเลย”


 


“เอ่อออ…” หลิวฮงได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก นั่นรวมถึงคนอื่นๆ ที่ได้ยินด้วย ไม่มีเวลาจะทักแล้วคุยเนี่ยนะ ใครจะเหมือนนายกันที่จะกระโดดออกไปตอนไหนก็ได้ด้วยการขี่อินทรีย์ทองเพื่อหนีออกจากเครื่องบินลำนี้


 


“ก็ดี เอาหยั่งงี้ดีกว่า คุณบอกพวกเราถึงสถานการณ์ที่แท้จริงดีกว่าว่าคุณได้ทำอะไรลงไป เมื่อกี้ผมเห็นนะว่าคุณออกไปทำอะไรบางอย่างที่ช่องรับน้ำมันข้างนอกนั่นน่ะ” หลิวฮงนั้นต่างถูกจับตามองจากสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไป ความจริงเขาก็ไม่ได้สุขุมอะไรหรอก ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ไม่มีอารมณ์อยากจะพูดซะด้วยซ้ำ


 


“เดี๋ยวพวกเราก็จะเห็นกันเองหล่ะครับ” ซูจิ้งไม่ได้บอกอะไรมากมาย เมื่อเขาเลือกที่จะมาที่นี่เขาก็ได้ทำในสิ่งที่เขาคิดว่าจะได้ผลไปหมดแล้ว เหตุผลที่เขายังอยู่ที่นี่เป็นเพราะว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดเขาจะได้ช่วยฉิงฮงได้ทันเวลาแค่นั้นเอง


 


ทันใดนั้น เครื่องบินก็เหมือนจะหันหัวลงกระทันหัน กัปตันพยายามที่จะบังคับเครื่องเพื่อลงจอดบนถนนร้างเส้นหนึ่ง ซึ่งจากสภาพแล้วต่อให้กัปตันฝีมือดีแค่ไหนก็ตายยกลำแน่นอน อย่างไรซะก็ยังดีกว่าปล่อยให้ไปตกในเมือง ซึ่งจะมีผู้บริสุทธิ์ตายมากกว่านี้แน่นอน กัปตันและผู้ช่วยนักบินได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะพาทุกคนไปตายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


 


“ฟังที่ฉันบอกว่าให้ไปจอดที่สนามบินไม่รู้เรื่องรึไงกัน” ซูจิ้งเดินเข้ามาถามกัปตันด้วยความอารมณ์เสีย


 


“พวกเราไม่มีน้ำมันพอไปถึงหรอกน่า พวกเราต้องลงจอดเดี๋ยวนี้” กัปตันพูดตอบออกไป เขาเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงฟังสิ่งที่ซูจิ้งบอกเขาก่อนหน้านี้


 


“ใครบอกว่าเราไม่มีน้ำมัน นายคิดว่าเราจะต้องบินไกลแค่ไหนถึงจะถึงสนามบินที่ใกล้ที่สุด ครึ่งโลกรึไงกัน ลองดูอีกทีซิว่าเรามีน้ำมันเหลือกันแค่ไหน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเซ็งๆ


 


“ห้ะ” กัปตันและรองกัปตัน ต่างมองหน้ากันแล้วเขาก็หันไปมองเข็มน้ำมันอีกครั้ง ทำไมเข้ารู้สึกว่าเข็มน้ำมันไม่ลดลงเลยสักนิด อาจเป็นไปได้ว่าเพราะเพิ่งบินมาหลังจากการมองครั้งล่าสุดไม่นานนัก เข็มน้ำมันเลยยังไม่ลด


 


“ฉันเป็นอะไรไปเนี่ย” ผู้ช่วยกัปตันพูดออกมาพร้อมความงงงวย


 


“ถึงอย่างนั้นเราก็มีน้ำมันไม่พอที่จะไปสนามบินอยู่ดี” กัปตันพยายามจะเถียงซูจิ้ง


 


“แค่ ขับ ไป ก็ พอ แล้ว” ซูจิ้งพูดยังไงกัปตันก็ทำท่าจะไม่ฟัง เขาก็เลยปล่อยพลังจิตออกมาอีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้สะกดจิตแบบเต็มพิกัดเพราะถ้าทำอย่างนั้นพวกเขาจะไม่สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ มันจะมีปัญหากับการลงจอดแน่นอน


ด้วยความเกรงกลัวต่อพลังของซูจิ้งทำให้กัปตันไม่กล้าลงจอด ทำได้แต่ขับต่อไป


 


“เกิดอะไรขึ้น นายไม่ได้ยินที่ฉันบอกหรือไง รีบลงจอดก่อนที่เราจะพลาดโอกาสนะ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปนายจะมาโหม่งโลกในเมืองรึไงกัน” ผู้ชายในวิทยุสื่อสารตะโกนโวยวายออกมา


 


“แต่ว่า….” กัปตันทำหน้าหน้าเกลียดขึ้นมาทันที เขาไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครดีแล้ว


 


“ฟัง ฉัน แค่ ขับ ไป ก็ พอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่มีอำนาจราวกับมีมนต์สะกดให้ทุกคนทำตามได้ทุกอย่าง นั่นทำให้กัปตันเชื่อฟังเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นเกน้ำมันที่ควรจะลด มันกลับไม่ลดลงเลยซักนิด ท่ามกลางเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ก็ผ่านมา 25 กม.แล้ว น้ำมันที่ควรจะลดจนหมดไปแล้วกลับลดลงนิดเดียวเท่านั้น


ทางฝั่งสนามบินต่างพากันงงงวยกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่มีเชื้อเพลิงแล้วนี่ ทำไมเครื่องยังไม่ตกหล่ะ มันยังบินอยู่จริงๆ ใช่รึเปล่า


 


กัปตัน รองกัปตน บริกร และผู้โดยสาร ผู้ที่ไม่รู้ว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันน่า พวกเขาต่างแสดงความตื่นเต้นออกมาเพราะมันควรจะถึงเวลาที่น้ำมันหมดถังแล้วแต่เครื่องบินก็ยังบินต่อไปได้ ทำให้พวกเขาเริ่มเห็นความหวังขึ้นมา


 


ได้แต่หวังว่าเครื่องบินจะไปถึงสนามบิน


 


ได้แต่หวังว่าเครื่องบินจะลงจอดได้ทันเวลา ได้แต่หวังเท่านั้น


 


เครื่องบินยังคงบินต่อไป สิบ ยี่สิบ สามสิบ สามสิบกิโลเมตรแล้วที่เครื่องบินได้บินผ่านมา ถึงความเร็วจะดูว่าช้ามากแต่ตามความเป็นจริงน้ำมันที่เหลืออันน้อยนิดควรจะหมดไปแล้วแต่นี่ น้ำมันเพิ่งจะลดไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น


เป็นอย่างนี้ไปจนกระทั่งเครื่องบินไปปรากฎอยู่ใกล้สนามบินแล้ว


ภายใต้แสงไฟสปอตไลต์ เครื่องบินได้เริ่มเตรียมการลงจอด ทั้งกัปตันและผู้ช่วยได้เริ่มเตรียมการลงจอดตามปกติโดยไร้ความกดดันแม้แต่น้อยเหตุเพราะซูจิ้งคอยปล่อยพลังจิตสนับสนุนพวกเขาอยู่


พวกเขาค่อยๆทำตามวิธีการและระเบียบปฏิบัติต่างๆ ในการลงจอด เครื่องบินค่อยๆ ไต่ระดับลงมา จนกระทั่งลงจอดได้ ทันทีที่ลงจอด ทั้งผู้โดยสารและเจ้าหน้าที่บนเครื่องบิน ต่างตะโกนโห่ร้องด้วยความดีใจด้วยบรรยากาศที่อบอุ่น ดีใจกันจนเครื่องบินแทบจะโยกตามได้เลย


 


“ปาฏิหารย์ ปาฏิการย์ชัดๆ”


 


“เชื้อเพลงนั่นไม่พอจะบินได้ 20 กม.ได้ด้วยซ้ำ แต่นี่บินได้ถึง 100 กม.”


 


“ต้องเป็นคุณพระช่วยแน่ๆ”


 


“มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”


 


นักข่าวต่างพากันวิ่งเข้าไปที่เครื่องบิน แม้กระทั่งประชาชนที่คอยมาเฝ้าดูเหตุการณ์ ผู้โดยสารในเครื่องต่างรีบออกมาเพื่อเข้าไปโผกอดญาติมิตรที่มาคอยต้อนรับ ปู่ของเฉียนไจ๋บิงถูกประคองออกมาจากเครื่องเมื่อลงมาแล้ว ไม่ช้าพวกเขาก็ถูกรุมสัมภาษณ์ ถ้าเป็นเหตุการณ์ปกติพวกเขาไม่มีทางลงมาตามทางประตูเครื่องบินนี้อย่างแน่นอน แต่วันนี้ค่อนข้างพิเศษนิดหน่อย เพราะทั้งเขาและคนอื่นๆ ตางเกือบตายกันยกลำ


 


“ฉันไม่คิดหรอกนะว่าเป็นเพราะพระเจ้าอำนวยพรหรอก ต้องเป็นเพราะพี่จิ้งแน่ๆ ที่ช่วยพวกเราไว้ ว่าแต่เขาไปไหนแล้วนะ” แฟนคลับของซูจิ้งหันซ้ายหันขวาเพื่อมองหาซูจิ้ง


 


“นั่นสิ เขาหายตัวไปทำไมกันหล่ะ” มีคนอื่นพูดออกมา


 


“แล้วคุณซูหล่ะ” เฉียนไจ๋บิงก็ต้องการหาซูจิ้งเหมือนกัน แต่ไม่รู้ว่าเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่


 


“มีอะไรเกี่ยวกับคุณซูงั้นหรอ ดูเจ้าสนใจเขาเป็นพิเศษจริงๆ” ชายชราคนนั้นถามออกมาด้วยความสงสัย


 


“คุณปู่ หนูคิดว่าที่หนูสนใจคงเป็นเพราะเขาเป็นคนช่วยคุณปู่และน่าจะเป็นคนช่วยคนบนเครื่องบินทั้งลำไว้น่ะค่ะ” เฉียนกล่าวออกมา


 


“โอ้” ชายชราประหลาดใจเมื่อได้ยิน


 


“ไจ๋บิง ตอนนี้ปู่เธอเจ็บหนักอยู่นะ เอาไว้พูดเรื่องนี้กันทีหลังดีกว่า”


 


มีคนกลุ่มหนึ่งได้พาคนชราผู้นี้ไปโรงพยาบาล พวกเขาต่างสนใจว่าคุณซูใช้วิธีไหนในการช่วยเครื่องบินมาได้ถ้าคำพูดของไจบิงเป็นความจริง ไหนจะเรื่องสลัดอากาศพวกนั้นอีก แต่ยังซะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการพาชายชราคนนี้ไปโรงพยาบาล ทุกคนที่เห็นสภาพต่างก็คิดว่าเขาเจ็บหนักอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาต้องรีบพาไปส่งให้เร็วที่สุด


 


“เป็นยังไงบ้าง” หวังเซีย; หลิวฉิง และชายในชุดสูท กำลังนั่งอยู่บนรถเพื่อตรงไปที่สนามบิน ในขณะนั้นได้มีโทรศัพท์เข้ามา ทั้งหวังเซีย;และหลิวฉิงต่างก็รู้สึกอยากถามขึ้นมาทันที เพราะสิ่งที่เห็นคือใบหน้าของชายในชุดสูทที่มีสีหน้าตกตะลึงทันทีที่เขาได้ยินสิ่งที่ปลายสายพูด “เครื่องบินลงจอดที่สนามบินอย่างปลอดภัย”


 


“ฮ่าฮ่า เยื่ยมมาก” หวังเซีย;และหลิวฉิงต่างหัวเราะร่าออกมาดังลั่น แม้กระทั่งกระโดดโลดเต้นขึ้นมาด้วยซ้ำ พวกเขาต่างรู้สึกเหลือเชื่อ เครื่องบินนั้นไม่มีเชื้อเพลิงเหลือแล้วไม่ใช่หรอ แล้วทำไมถึงยังลงจอดได้ทั้งๆ ที่พวกเขาเปลี่ยนเส้นทางของมันให้ไกลขึ้นกว่าเดิมตั้งสองหน แต่ก็ยังมีเชื้อเพลิงเหลือพอลงจอดอีกเนี่ยนะ


อย่างไรก็ตามตอนนี้พวกเขาแค่รู้สึกดีใจก็เต็มที่แล้ว ไม่มีความคิดอยากหาเหตุผลให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย ตอนนี้พวกเขาอยากบินไปสนามบินซะเลยด้วยซ้ำ

 

 

 


ตอนที่ 672

 

เผา


 


ณ สนามบินในตอนนี้เกิดความโกลาหลขึ้น แต่ซูจิ้งนั้นกลับหลีกเลี่ยงความโกลาหลนั้นออกมาอย่างเงียบๆ นั่นเป็นเพราะเขานั้นไม่อยากจะตกเป็นข่าวเพื่อลดปัญหาที่จะเป็นชนักติดหลังเขานั่นเอง เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำเหมือนเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง เขากลัวว่าผู้คนจะจับตามองเขาอย่างไม่ละสายตา แต่เขาก็ยังเลือกที่จะทำมันอยู่ดีถ้าย้อนเวลากลับไปเพราะเขาเองก็ทนเห็นเครื่องบนตกไม่ได้เหมือนกัน ถ้าเขาปล่อยให้เครื่องบินตก เขาจะช่วยปู่ของหลิวฉิงไม่ได้ ถ้าเขาช่วยคนเหล่านี้ด้วยอินทรียทองและพลังจิตของเขา ตามการคาดการณ์จากทักษะของเขาเขาจะช่วยใครไม่ได้ซักคน โชคยังดีที่เขาพอจำได้ถึงงานวิจัยบางตัวที่สถาบันวิจัยเกี่ยวกับการสังเคราะห์วัตถุดิบไว้ว่าหัวใจสำคัญของการสกัดเชื้อเพลิงเครื่องบินคือการใช้ความร้อนที่สูงมากๆกับไพรอกซีนเพื่อให้ได้เชื้อเพลิงที่บริสุทธ์พอจะใช้ในเครื่องบินได้ ยิ่งกว่านั้นถ้าสกัดเชื้อเพลิงนั้นด้วยความร้อนสูงซ้ำก็จะได้เชื้อเพลิงที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และเขาเองยังมีหินเวทไฟจากห้วงเวลาฯจากเรื่องตำนานเทพแห่งความชั่วร้ายอยู่ ซึ่งจากทักษะการคาดการณ์ของเขาทำให้รู้ว่ามันสามารถใช้เพิ่มคุณภาพเชื้อเพลิงเครื่องบินจนแก้ปัญหาเชื้อเพลิงได้ ถึงแม้จะมีโอกาสผิดพลาดก็ตามทีเขาก็ยังเลือกที่จะใส่ผงหินเวทไฟลงไปและรอดูผลบนเครื่องบิน


 


ทันใดนั้นมือถือซูจิ้งก็ดังขึ้นมา เมื่อเห็นว่าเป็นหวังจ้าวเขาก็รีบรับทันทีเพราะรู้ว่าหวังจ้าวกังวลเรื่องของเขามากแค่ไหน


หวังจ้าวเมื่อเห็นซูจิ้งรับสายจึงรีบถามออกไปว่า “อาจิ้ง นายยังไหวอยู่ใช่รึเปล่า”


 


“จะให้ผมทำอะไรหล่ะนั่น” ซูจิ้งย้อนถามด้วยรอยยิ้ม


 


“ไอ้เด็กนี่ นายเนี่ยน้า… นายช่วยเครื่องบินได้ยังไงเนี่ย” หวังจ้าวถามต่อไปด้วยรอยยิ้ม


 


“เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมค่อยอธิบายทีหลังแล้วกัน” ซูจิ้งตอบพร้อมรอยยิ้ม


 


“ครั้งนี้นายโคตรจะเด่นเลยล่ะ ต้องมีคนจับตาดูนายแน่ๆ แต่ในเมื่อมันจบลงด้วยดีแล้วก็ดีไป ทั้งพ่อของฉันและหลี่เทียนเฮอก็เพิ่งได้ยินข่าวเรื่องนี้แถมยังชมนายยกใหญ่เลยล่ะนะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ความหมายของเขาที่พยายามจะสื่อก็คือมันมีนัยอยู่ ถ้าหวังซวนจี้หรือหลี่เทียนเฮอจะชมใครซักคนล่ะก็ปกติไม่มีทางเอ่ยชื่อมาแน่นอน แต่นี่กลับกล่าวชมซูจิ้งอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เขาเพียงกลัวว่าจะมีใครซักคนหาประโยชน์จากเรื่องนี้ ถึงซูจิ้งจะทำได้ดีแล้วแต่ด้วยความสามารถที่ทำให้คนตกตะลึงได้ง่ายๆ จะต้องมีคนพยายามจะใช้ประโยชน์เขาอย่างชนิดที่ใช้ทุกรูขุมขนแน่นอน ถ้าไม่มีคนคอยหนุนหลังต้องมีปัญหาใหญ่แน่ๆ ถ้าแค่เครื่องบินตกก็แค่รัฐบาลจะเคลื่อนไหว แต่นี่เครื่องกลับปลอดภัย แถมข้อมูลความสามารถของซูจิ้งหลุดไปอยู่ในอินเตอร์เน็ตไวยิ่งกว่าไฟลามทุ่ง ต้องมีฝ่ายอื่นที่พยายามจะสร้างเรื่องอย่างไม่ต้องสงสัย


 


“โคตรเท่เลยอ่ะที่บินไปข้างเครื่องบิน”


 


“บอกมาหน่อยว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง มันแค่ความฝันใช่ไม๊”


 


“ซูจิ้งนี่มันตัวอะไรกันแน่ จะแหกกฎเกินไปแล้ว”


 


“ฉันได้ยินมาว่าเครื่องบินลำนั้นที่จริงไม่มีเชิ้อเพลิงแล้วนะ แต่ซูจิ้งทำอะไรไม่รู้ทำให้เครื่องบินยังบินต่อไปได้ ถ้าไม่ได้เขาเครื่องบินได้โหม่งโลกไปสิบหนแล้วแน่ๆ เขาช่วยคนไว้เป็นร้อยเลยนะ”


 


“ฉันได้ยินว่ามีคนแก่ได้รับบาดเจ็บหนักมากแต่ซูจิ้งแค่จับชีพจรชายคนนั้นก็หายแล้ว”


 


“นี่เป็นอีกขั้นหนึ่งของเรื่องพิศวงเลยนะ”


 


“แค่คำเดียวซูจิ้งก็ช่วยเครื่องบินได้แล้ว”


บล็อคส่วนตัวของซูจิ้งในเว่ยป๋อ(Weibo)มีข้อความถล่มจนเซิฟเวอร์แทบจะล่ม


 


“พี่จิ้งขอคารวะก้าบบบบบบ”


 


“ก็รู้นะว่าพี่เป็นคนดีแต่ไม่คิดว่าจะดีขนาดนี้”


 


“ก่อนหน้านี้เขายังเป็นแค่ฮีโร่นักผจญเพลิงอยู่เลย ใครจะไปคิดว่าจะกลายเป็นคนช่วยเครื่องบินไปได้ นี่สิวิถีแห่งผู้กล้า”


 


“ฮ่าฮ่า ฉันดูวิดีโอนี้นับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ต้องเอารูปเขามาบูชาแล้วหล่ะ”


 


แฟนคลับของซูจิ้งตอนนี้ได้ดีใจจนออกนอกหน้าทำเหมือนฉีดเลือดไก่ มีโผล่ไปแทบทุกที่ จนสุดท้ายแฟนคลับของดาวเด่นคนอื่นแทบไม่มีที่ยืนในอินเตอร์เน็ตอีกเลย


 


เมื่อมู่หรงเซียนเอ๋อเห็นข่าว เธอเห็นแค่เพียงภาพตอนที่ซูจิ้งปล่อยเวทมนต์สัมผัสใบไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิออกมา ภาพนั้นมันช่างทรงพลังซะจนน่าบูชาสำหรับคนทั่วไปอย่างมาก อย่าว่าแต่เธอเลยแม้แต่เล่าชง นาหลันเฟยและคนอื่นๆ ต่างส่งต่อกันเป็นทอดๆ แวบแรกที่คนส่วนใหญ่ได้เห็นพวกเขาทำได้เพียงแค่อึ้งแล้วคุกเข่าเคารพบูชาเท่านั้น


นอกจากนั้นเพื่อนๆเขาทุกคนไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวหยู ซูหยา แม้แต่ฉือฉิง จูเจียนฮัว ฉินซูหลาน ถังฮ่าว เสี่ยวรุ่ย และคนอื่นๆที่ค่อนข้างสนิทกับเขาต่างแห่เข้ามาถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างตื่นเต้นออกหน้าออกตา


 


“นี่รายการจัดอันดับซุปเปอร์สตาร์เปลี่ยนอีกแล้วหรอ คราวนี้ฉันจะอยู่ที่อันดับเท่าไหร่กันนะ” เหว่ยหยินนั่งเล่นๆ อยู่ในบ้านของเขา เขาใช้มือถือเปิดดูการจัดอันดับซุปเปอร์สตาร์ยอดนิยมของจีน เขานั้นแสยะยิ้มทันทีที่รู้ว่ามีการจัดอันดับใหม่และเขานึกลำพองใจทันทีเมื่อรู้ว่าเขานั้นได้รับความนิยมจนเพิ่มเป็นชั้นสองแล้ว เขาพยายามทำเรื่องมากมายเพื่อเพิ่มชื่อเสียงของเขา เขานึกถึงภาพที่แฟนคลับของเขามากแบบมืดฟ้ามัวดินกำลังสรรเสริญเขาที่ได้เลื่อนอันดับ พร้อมนึกถึงซูจิ้งขึ้นมา


 


“หึ ซูจิ้ง หมอนั่นนั้นไม่ได้มีผลงานอะไรเลยในช่วงนี้ ไม่ได้แสดงตัว ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่โดดเด่นเลย แถมยังไม่ออกงานอีก นี่ก็นานแล้วนะหลังจากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนั้น ทุกคนคงลืมหมอนั่นไปแล้ว” ตอนนี้เหว่ยหยินไม่ได้พยายามจะหาเรื่องซูจิ้งอีกต่อไปแต่เขาก็ยังคอยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขาลับหลังแบบนี้แทน เขาอดใจไม่ได้ที่จะเลื่อนไปดูอันดับของซูจิ้ง เขาจำได้ว่าครั้งสุดท้ายเขาเห็นชื่อซูจิ้งอยู่ในอันดับที่5นับจากท้ายของรายการซุปเปอร์สตาร์ยอดนิยมชั้นสอง


แต่เมื่อเขาเลื่อนไปดูแต่ไม่พบซื่อซูจิ้ง เขาพยายามหาชื่อซูจิ้งจากเกือบทั้งรายการของชั้นสองแต่กลับไม่พบชื่อซูจิ้งแม้แต่น้อย เหว่ยหยินนั่งทำตาปริบๆก่อนจะหัวเราะแล้วพูดออกมาว่า


 


“ฮ่าฮ่าในที่สุดเจ้าหนูนั่นก็หล่นลงไปชั้นสามแล้วสินะ” เขาได้เข้าไปดูในรายการจัดอันดับซุปตาร์ชั้นสาม เพื่อหาชื่อซูจิ้งแต่ก็หาไม่พบ เขาก็ได้แต่สบสนเล็กน้อยก็จะพูดลอยๆออกมาว่า “ฮ่าฮ่า ในที่สุดการจัดอันดับก็ยุติธรรมซักที เจ้าซูจิ้งไม่ได้มีมนุษย์สัมพันธ์อันดีเลยซักนิด แถมยังพูดแต่เรื่องหยาบกระด้าง ไม่ใช่ดาราแน่นอนอยู่แล้ว โดนดีดออกไปน่ะดีแล้ว”


เหว่ยหยินได้โทรหาเพื่อนของเขาทันทีเพื่อจะได้แชร์ประสบการณ์อันยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นนี้


 


แม้แต่เพื่อนของเขาได้ยินยังต้องประหลาดใจ”ซูจิ้งอ่ะนะโดนดีดออกจากการจัดอันดับ จะเป็นไปได้ไง”


 


เหว่ยหยินพูดด้วยรอยยิ้มออกมาว่า “ก็ไม่แปลกหรอกน่า ไอ้บ้านั่นไม่ใช่ดาราซักหน่อย ถ้าไม่ได้ทำอะไรโดดเด่น ไม่มีโอกาสสร้างชื่อเสียงได้ง่ายๆอยู่แล้ว หลุดจากรายการก็ไม่ใช่เรื่องแปลก มันควรจะโดนดีดไปตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ”


 


“ไม่มีชื่อเสียงงั้นหรอ นี่นายไม่ได้ดูทีวีช่วงนี้เลยสินะ ตอนนี้เขาดังจนเป็นพลุแตกไปแล้ว เขาจะไม่มีชื่อเสียงไปได้ยังไง  ต่อให้ตาของฉันเป็นต้อจนเกือบบอดยังเห็นเลยว่าอันดับของหมอนั่นต่างหากที่พุ่งจนจะหลุดจากชั้นสองไปแล้ว”


 


“จะเป็นไปได้ยังไง นายบ้ารึเปล่า” เหว่ยหยินตาถลนพร้อมพยายามที่จะไม่รับฟังความจริง


 


“ถ้าไม่เชื่อก็หาเวลาดูข่าวสารบ้านเมืองซะมั่งนะ”


เหว่ยหยินในขณะนี้มีความรูสึกหนักอึ้งอยู่ในใจ เขาได้เปิดรายการจัดอันขึ้นมาอีกครั้งแล้วเลื่อนไปที่การจัดอันดับซุปเปอร์สตาร์อันดับต้นๆ ของชั้นสอง แล้วพบว่ามีชื่อซูจิ้งอยู่ ความจริงเขาไม่จำเป็นต้องเช็ครายการจัดอันดับนั่นเลยเพราะเพียงแค่เข้าเปิดข่าวขึ้นดู เขาก็พบชื่อของซูจิ้งพาดหัวข่าวอยู่แทบจะทุกเว็บไซต์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องช่วยเครื่องบิน บินไปยังเครื่องบินโดยใช้อินทรีย์ทอง ตอนนี้เหว่ยหยินได้แต่ทำหน้าโง่งมไม่อยากเชื่อออกมา ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เหล่าดาราทุกคนต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก พวกเขานั้นต่างเชื่อกันมานานแล้วว่าวิธีที่ที่จะเพิ่มชื่อเสียงให้ได้รับความนิยมนั้นมีเพียงไม่กี่อย่าง ได้แก่ การเป็นนักร้อง เล่นละคร เล่นภาพยนต์ รับงานออกทีวี สำหรับเหตุการณ์แบบตอนการผจญเพลิงของซูจิ้งนั้นแทบไม่มีทางเกิดได้บ่อยๆ ได้เลย ใครจะไปคิดว่าซูจิ้งจะไปช่วยเหตุการณ์จี้ตัวประกันด้วยตัวเอง มันช่างกล้าบ้าบิ่นจนทำให้ความนิยมขึ้นเร็วจนหยุดไม่อยู่


 


ต้องรู้กันก่อนว่าการมีชื่อในการจัดอันดับซุปเปอร์สตาร์ในชั้นสองนั้นถือว่าเป็นเลือกที่ยากมาก ต้องเป็นคนที่คลุกคลีอยู่ในวงการบันเทิงเป็นประจำและต่อเนื่องซึ่งเป็นเรื่องที่ยากกว่าชั้นสามอย่างเห็นได้ชัด ที่แค่เป็นข่าวนิดหน่อยก็ขึ้นชั้นได้แล้ว ถึงจะอย่างนั้นแต่ซูจิ้งกลับได้รับนิยมอย่างรวดเร็วจนมาถึงขั้นกลางของการจัดอันดับซุปเปร์สตาร์ชั้นสองหรือพูดอีกอย่างหนึ่งคือซูจิ้งเป็นดาราที่ได้รับความนิยมติดร้อยอันดับแรกไปแล้ว จะร้อนแรงเกินไปไหม

 

 

 


ตอนที่ 673

 

ตามหาคนร้าย


“พี่จิ้งนี่พึ่งพาได้จริงๆ ขอบคุณที่ช่วยปู่ของผมรวมถึงทุกคนบนเครื่องนั่น ไม่รู้เลยว่าจะตอบแทนพี่ยังไงดี ในอนาคตถ้ามีโอกาสไม่ว่าพี่จิ้งจะให้ช่วยทำอะไรผมก็ยินดี…” หลิวฉิงบอกซูจิ้งด้วยความตื้นตันใจจนแทบไม่หยุดพูดด้วยซ้ำผ่านสายโทรศัพท์ ใจหนึ่งของเขารู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก อีกใจหนึ่งของเขาตอนนี้เห็นซูจิ้งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว


เขาเองก็ได้เห็นวิดีโอในอินเตอร์เนตแล้วแหมือนกัน เขาเข้าใจทันทีว่าทำไมถึงต้องเปลี่ยนเส้นทางการบินในตอนนั้น เขาต้องการรีบไปที่เครื่องบินให้เร็วที่สุดและได้เตรียมแผนการช่วยเหลือเครื่องบินไว้แต่ต้นอยู่แล้ว พอนึกถึงตอนที่ซูจิ้งขี่อินทรีย์ทองนั่นทำให้หลิวฉิงใจเต้นทุกครั้งที่นึกถึงจนอยากเลี้ยงบ้างเหมือนกัน


 


“เฮ้ออออ นายเองขอบคุณฉันเกินไปแล้ว อย่าว่าแต่นายเลยปู่ของนายก็ทำการขอบคุณไปแล้วเหมือนกัน ไม่ต้องใส่ใจมันหรอกน่า ปู่นายก็น่าจะเหนื่อยแล้ว รีบพาไปพักก่อนดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ทันใดนั้นก็มีใครบางคนโทรหาซูจิ้งเมื่อเห็นว่าเป็นหวังเซียวจึงบอกกับหลิวฉิงไปว่า “พี่เซียวตามตัวแล้วแค่นี้ก่อนแล้วกันไว้ค่อยคุยกันทีหลัง”


 


“ได้ๆ พี่ไปจัดการธุระต่อเถอะ” หลิวฉิงพูดพร้อมวางสายไป


 


“พี่เซียว ผมกำลังรอให้โทรหาอยู่เลย” ซูจิ้งรับสายพร้อมพูดตอบออกไป


 


“ในฐานะตัวแทนตำรวจและประชาชน ฉันต้องขอบใจนายเป็นอย่างมากที่ให้ความช่วยเหลือเราไว้ในครั้งนี้ ฉันเห็นวิดีโอที่นายขี่อินทรีย์ทองไปบนเครื่องบินแล้วนะ เรื่องในครั้งนี้ต้องสร้างความวุ่นวายให้นายมากแน่ๆ ” หวังเซี่ยวพูดออกมาแบบเซ็งๆ


 


“ก็ดีแล้วน่า ว่าแต่พี่ไม่ได้โทรหาผมด้วยเรื่องแค่นี้จริงๆ ใช่ไหม” ซูจิ้งพูดพร้อมรอยยิ้ม


 


“ฮ่าฮ่า รู้ทันฉันจริงๆ ฉันจะคุยเรื่องการติดตามโจรปล้นเครื่องบินนั่นหล่ะ ทางฉันเองได้ติดเครื่องติดตามไว้ในกระเป๋าสามใบนั้นเหมือนกัน แต่พวกมันก็รู้ทันและทำลายเครื่องส่งสัญญาณนั่นไปซะได้ ฉันจำได้ว่านายได้ทำบางอย่างกับกระเป๋าทั้งสามใบแถมยังเคยบอกว่ายังติดตามตัวพวกนั้นได้อีก ฉันก็เลยคิดว่าถ้าอยากจะรีบจัดการกลุ่มโจรนี่ก็คงต้องหวังพึ่งนายนี่หล่ะ พอเคลียเรื่องอื่นเสร็จแล้วก็เลยรีบโทรหานายเลย”


 


“ผมจะพยายามไม่ทำให้ผิดหวังละกัน” ซูจิ้งกล่าวออกมา


 


ทั้งสองได้คุยกันอีกนิดหน่อยแล้วได้สรุปกันว่าจะไปเจอกันที่จุดส่งเงินเมื่อตอนนั้น หวังเซียว เจ้าหมิง เฉาเล่ย และหน่วยพิเศษคนอื่นๆ ที่รู้จักซูจิ้งนั้น มารวมตัวกันที่จุดนัดพบ พวกเขาเมื่อเห็นซูจิ้งก็มีความรู้สึกชื่นชมในตัวซูจิ้งอยู่ลึกๆเก็บเอาไว้ในใจพยายามที่จะไม่แสดงออกมาโดยทำให้เหมือนปกติที่สุด เพราะพวกเขาทุกคนต่างเห็นวิดีโอบันทึกเหตุการณ์บนเครื่องบินแล้วทั้งสิ้น


 


“อาจิ้ง นายจะค้นหาโดยใช้สุนัขพวกนี้รึ ฉันนึกว่านายจะใช้หมาป่าสงคราม(นักรบ)ซะอีก” หวังเซียวดูที่สุนัขทั้งสามของซูจิ้งที่อยู่ข้าง ถึงเขาจะเคยเจอมันมาแล้วและมันก็ดูแข็งแกร่งขึ้นแต่ก็ยังไม่วางใจเพราะว่าตอนช่วยผู้อาวุโสของตระกูลหมาป่าสงครามมีบทบาทอย่างมากเขาเลยเชื่อในความสามารถของหมาป่าสงครามมากกว่า จึงกล่าวออกมาว่า


 


“ฉันได้ยินมาว่าตอนนายช่วยหวังซวนจี้นายใช้หมาป่าสงครามนี่ มันจะไม่ดีกว่าหรอกหรอ ฉันนึกว่าจมูกหมาป่าสงครามสามารถรับกลิ่นได้ดีกว่าซะอีก เวลาก็นานพอสมควรแล้วมันจะไม่ดีกว่าหรอกหรอ” เจ้าหมิงเอ่ยถามออกมา


 


“ฮ่าฮ่า อย่าห่วงไปเลยน่า ฉันใส่บางอย่างที่มีกลิ่นเฉพาะตัวไว้ในถุงแล้ว ไม่ว่าจะไกลแค่ไหน สุนัขของฉันก็สามารถตามไปได้” ซูจิ้งพูดตอบออกมาแต่ความจริงแล้วเขาโกหกเพราะว่าไม่ว่าจะกลิ่นแรงหรือเฉพาะขนาดไหน สุนัขก็ไม่สามารถตามได้ดีขนาดนั้น ต่อให้เป็นหมาป่าสงครามก็ทำอะไรไม่ได้หรอก อย่างไรก็ตามเขาเลือกใช้สุนัขพวกนี้แทนหมาป่าสงครามเพราะมีเหตุผลดีๆอยู่


 


ทุกๆคนในที่นี้นอกจากซูจิ้งแล้วไม่มีใครสังเกตุเลยว่าบนฟ้ามีบางอย่างคล้ายแมลงตัวหนึ่งลอยอยู่ไม่ยอมบินไปไหน คอยฟังคำสั่งซูจิ้งอยู่เงียบๆ เหตุผลที่เข้าใช้หมาสามตัวนี้ออกมาเพื่อเอาไว้บังหน้าเพราะเขาไม่อยากให้ใครรู้ความสามารถของเจ้าหมาเขียว(แมลงปอ)ของเขาแถมเขาก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงด้วย


 


ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้แอบใส่ชิ้นส่วนขาของแม่มันไว้ในกระเป๋าทั้ง 3 ใบ มันเป็นวิธีการที่เขาคิดว่าเหมาะสมที่สุดแล้วในการแกะรอย ถึงแม้ว่าหยดเลือดแมลงปอนั้นจะได้ผลดีและสามารถนำเงินกลับมาได้โดยแทบไม่ต้องทำอะไรแต่ขั้นตอนต่างๆ ที่จะได้กลับคืนมานั้นคาดเดาไม่ได้ ซูจิ้งก็เลยฝึกให้แมลงปอในการค้นหาที่ๆ มีชิ้นส่วนของตัวแม่แทนเพราะควบคุมและหวังผลได้ง่ายกว่า


 


ตอนนี้แมลงปอมีปฏิกิริยาต่อชิ้นส่วนแม่ของมันแล้ว ซูจิ้งเลยรีบบอกทุกคนว่า


 


“ไปกันเถอะ” ซูจิ้งพูดพร้อมนำสุนัขของเขาขึ้นรถตู้ไป


 


เจ้าแมลงปอนั้นได้บินนำหน้าไป ส่วนพวกสุนัขก็ออกท่าทางตามคำสั่งพลังจิตของซูจิ้ง แล้วซูจิ้งทำท่าทีเหมือนอ่านปฏิกิริยาของสุนัขแล้วบอกคนอื่นต่ออีกทีว่าต้องไปทางไหนบ้าง ทุกคนที่รู้จักซูจิ้งต่างว่าง่ายไปตามเส้นทางที่ว่าอย่างไม่สงสัยอะไรแม้แต่น้อยเพราะพวกเขาต่างก็คิดว่าจมูกของสุนัขที่ซูจิ้งฝึกต้องดีกว่าสุนัขที่ถูกฝึกจากพวกเขาอยู่แล้ว


 


“นี่เรามาถูกทางแล้วใช่ไหมครับ เราวิ่งมาเป็นร้อยกิโลแล้วนะ” ตำรวจคนหนึ่งที่ไม่รู้จักซูจิ้งได้เอ่ยถามออกมา


 


“เอาน่า…. ทำตามที่อาจิ้งบอกไปเถอะ ถึงแม้ว่าฉันจะการันตีไม่ได้แต่ว่ามันก็ไม่มีอะไรจะเสียนี่ ตอนนี้เราก็ยังไม่สามารถเริ่มกระบวนการติดตามแบบปกติได้อยู่แล้ว ถ้ามันได้ผลจริงถือว่าเร็วกว่าวิธีการค้นหาของตำรวจมากเลยนะ” หวังเซียวพูดโดยเจ้าหมิงและเฉาเล่ยเห็นด้วยอย่างแรงกล้าถึงแม้คนอื่นจะทำท่าไม่อยากเชื่อก็ตาม


 


เพื่อให้การติดตามมีประสิทธิภาพที่สุดเจ้าแมลงปอพยายามบินนำในเส้นทางที่มีถนนเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งขบวนดังกล่าวมีรถตำรวจตามมาด้วยอีกคัน พวกเขาติดตามไปในระยะทางที่นานขึ้นเรื่อยๆ 20 30 50 80 จนกระทั่ง 150 กม. ภายในเวลาเพียงไม่ถึงชั่วโมง จนทุกคนเริ่มจะไม่ค่อยยากจะเชื่อเหมือนกันเพราะมันไกลจนทำให้เริ่มคิดว่าจมูกของสุนัขของซูจิ้งจะดีขนาดนี้เลยหรอ


 


“อาจิ้ง นายแน่ใจนะว่าสุนัขของนายดมกลิ่นมาถูกน่ะ มันไกลไม่น้อยเลยนะ” หวังเซี่ยวถามเพราะเริ่มหวั่นๆกลัวเสียหน้า


 


“อย่าห่วงเลยน่า… สุนัขของผมยังได้กลิ่นอยู่” ซูจิ้งพูดออกมาแบบชิลๆ


หวังเซียว เจ้าหมิง เฉาเล่ย และคนอื่นๆ ถึงแม้จะคิดว่าน่าจะพลาดแล้วแต่ก็ยังคงไปตามทางที่ซูจิ้งบอก พอติดตามแมลงปอไปได้อีกซักพัก ซูจิ้งก็สังเกตุว่าแมลงปอเริ่มลดระดับความสูงลงมาแล้วบินวันไปรอบโรงแรมเล็กแห่งหนึ่ง


 


“โรงแรมนั้นหล่ะ” ซูจิ้งชี้ไปที่โรงแรมที่อยู่ข้างหน้า


 


“แน่ใจนะ” หวังเซียวตาส่องเป็นประกายออกมา


 


“100%..” ซูจิ้งพูดยืนยัน ทุกคนได้ทำการหยุดรถห่างจากโรงแรม แล้วค่อยๆ แอบเข้าไปในโรงแรม


 


“เจ้าพวกโจรพวกนี้เป็นโจรมืออาชีพและมันพร้อมจะทำอะไรก็ได้ ขอให้ทุกคนระวังตัวอย่างที่สุด อย่าไปเสียท่าพวกมันเป็นอันขาด” หวังเซียวพูดออกมาเมื่อพวกเขาแอบเข้าไปหยุดที่มุมหนึ่งของโรงแรมและ พวกเขามีอาวุธครบมือ พอให้สัญญาณทุกคนรีบเข้าไปจับกลุ่มโจรอย่างรวดเร็วในขณะที่พวกมัน4คนกำลังนั่งกินข้าวอย่างสบายใจ ประกอบด้วยโจรสองคนที่ไปขนเงินมาจากสะพานกับอีกสองคนที่ทำการจี้เครื่องบินโดยมีคนหนึ่งบาดเจ็บในขณะกระโดดร่มลงมา พวกเขายังเจอเงินครบทั้ง 10 ล้านหยวนซึ่งพอตรวจสอบก็พบว่าตัวติดตามพังไปแล้ว


 


โจรทั้งสี่งงเป็นไก่ตาแตก พวกมันตกลงกันว่าจะแยกย้ายหายกันไปพร้อมเงินในอีกไม่ช้าแต่ไม่คิดว่าจะโดนเจอตัวเร็วขนาดนี้ หวังเซียว เชฉาเล่ย เจ้าหมิง และคนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน พวกเขาไม่รู้ว่าจะขอบคุณซูจิ้งยังไงแล้ว หากพวกเขามีทีมค้นหาแบบซูจิ้งรับรองเลยว่าทุกคดีต้องคลี่คลายแบบไม่ทันข้ามคืน ถ้าซูจิ้งไม่ช่วยพวกเขาครั้งนี้แทบไม่อยากจะนึกเลยว่าต้องเจอปัญหาอะไรบ้าง

 

 

 


ตอนที่ 674

 

เหรียญตราเทวทูต


 


ในขณะที่ทุกคนกำลังกลับหลังจากจับกุมตัวกลุ่มโจรได้แล้วนั้น ซูจิ้งนั้นเบื่อๆ ไม่รู้จะทำอะไรเขานั้นจึงปิดตาเพื่อแกล้งทำเป็นหลับ พร้อมทั้งได้แอบหยิบเหรียญตราเทวทูตออกมากำไว้ในมือ เหรียญนั้นได้แส่งแสงสีขาวนวลดูศักดิ์สิทธ์ เขานั้นได้ทำการดูดกลืนพลังศักดิ์สิทธิ์นั้นทันที แต่ซูจิ้งไม่รู้ตัวเลยว่าแสงนั้นจ้าจนทำให้หวังเซียว เจ้าหมิง เฉาเล่ย สังเกตุเห็นแสงที่ปล่อยออกมา มันทำให้ซูจิ้งมีแสงขาวนวลปกคลุมร่างกาย คนที่ไม่รู้จักซูจิ้งดีถ้าได้เห็นต้องคุกเข่าทำความเคารพอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กับคนอื่นที่รู้จักซูจิ้งนั้นดีก็คงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


ด้วยการที่ก่อนที่จะมีเหตุการณ์จี้ตัวประกันนั้น ซูจิ้งได้ทำการดูดซับพลังศักดิ์สิทธิ์เป็นประจำทำให้พลังงานในห้วงทะเลวิญญาณของเขาเพิ่มมากขึ้นและเข้าใจการทำงานของพลังงานศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นตาม ส่งผลให้เขาเข้าใจในวิธีการทำงานของเหรียญตราเทวทูตเช่นกัน ด้วยเหตุผลเหล่านั้นทำให้เหรียญมีพลังงานมากขึ้น แต่ถึงจะอย่างนั้นซูจิ้งก็ยังประเมินไม่ได้ว่าเหรียญตรามีพลังงานที่แท้จริงอยู่เท่าไหร่รู้แต่ว่าเพิ่มขึ้นมากพอดู


ด้วยการที่พลังงานศักดิ์สิทธ์(พลังวิญญาณ)นี้เป็นสิ่งที่ซูจิ้งต้องใช้เป็นประจำ การดูดซับพลังงานจากเหรียญสำหรับซูจิ้งจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ยิ่งเหรียญตรามีพลังแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ พลังในห้วงทะเลวิญญาณของเขาก็จะแข็งแกร่งตาม ซึ่งสามารถบอกได้เลยว่าเป็นไพ่ตายของซูจิ้งแน่นอน


 


ซูจิ้งได้ดูดซับพลังงานจนกระทั่งตัวเหรียญตราได้มีการเปลี่ยนแปลง แสงที่ส่องออกมาค่อยๆสว่างมากขึ้น มากขึ้นจนมันทะลักเข้าไปในห้วงจิตใจของเขา เขารู้สึกได้ทันทีว่าทั่วทั้งร่างกายและจิตใจปลอดโปร่ง โล่งสบายเหมือนมีลมเย็นๆพัดผ่านในขณะที่อาบน้ำท่ามกลางแสงแดดยามเช้า


ในขณะเดียวกันเขาก็ได้มีความเข้าใจในห้วงทะเลวิญญาณของเขามากขึ้นแถมห้วงทะเลวิญญาณยังขยายตัวอย่างไม่คาดคิด ซึ่งปกติพลังศักดิ์สิทธิ์นี้แค่เหมือนแสงฉาบไว้บนผิวห้วงทะเลวิญญาณของเขาเท่านั้นนี่เป็นครั้งแรกที่มันทำให้ห้วงทะเลวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้น


 


ซูจิ้งนั้นดีใจจนไม่ได้สังเกตุเลยว่าตอนนี้ร่างกายของเขาส่องแสงอ่อนๆออกมา เหมือนกับร่างกายของเขามีชั้นแสงเคลือบป้องกันผิวอีกที มันสว่างถึงแม้เล็กน้อยแต่มันก็สว่างพอจะทำให้คนในรถสังเกตุเห็นและจ้องมาที่เขาด้วยความโง่งมว่าเกิดอะไรขึ้น


 


ตอนนี้บนรถมีคนอื่นอีกสามคนอยู่บนรถ มีเฉาเล่ยเป็นคนขับ ซูจิ้งกับหวังเซียวเป็นผู้โดยสาร และมีโจรอยู่หลังรถ โดยปกติแล้วการขนส่งผู้ร้ายจะไม่มีทางยอมให้คนทั่วไปนั่งรถคันที่ผู้ร้ายอยู่อย่างแน่นอนเพื่อป้องกันการเกิดเหตุไม่คาดฝันและป้องกันการเกิดอันตราย แต่ซูจิ้งไม่ใช่คนธรรมดา ดีไม่ดีคนร้ายซะอีกจะเป็นอันตรายด้วยซ้ำ ความสามารถของเขาเพิ่มความปลอดภัยในการขนส่งแน่นอนอยู่แล้ว


 


“อาจิ้ง นายยยย…” หวังเซียวเริ่มรู้สึกว่าตัวของซูจิ้งเริ่มส่องแสง เขานั้นจ้องตาไม่กระพริบเพราะเขาทั้งตกใจและประหลาดใจ ทำอะไรไม่ถูก เขาพยายามจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็พูดไม่ออกเหมือนอยู่ๆเสียงของเขาก็หายไป เหมือนกับเขากำลังซาบซึ้งเมื่อจ้องมองแสงแห่งพระเจ้าก็ไม่ปาน


 


โจรที่เป็นชายวัยกลางคนเองเมื่อเห็นซูจิ้งในสภาพนั้นก็จ้องตาไม่กระพริบเหมือนกัน ตาของเขายิ่งพล่าเรือนด้วยน้ำตาที่ซึมจนเกือบจะเอ่อล้น เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอาบแสงแห่งดวงอาทิตญ์ที่แผดเผาความผิดบาปในใจจนหมดสิ้น


 


“อ้ะ”


 


เฉาเล่ยได้หยุดรถที่ข้างทางพร้อมกับลืมหายใจทันทีกับภาพทีเห็นจากกระจกหลัง ทันทีที่รถหยุดเขาหันไปจ้องซูจิ้งตาไม่กระพริบ เขากลัวซูจิ้งจะเป็นอะไรไปเหมือนกับเหตุการณ์ก่อนหน้านี้


 


“ทำไมรถถึงหยุดหล่ะ” เจ้าหมิงถามผ่านวิทยุสื่อสารทันทีเมื่อเขาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นผ่านหน้าต่างมองหลัง


 


“อา อาจิ้ง” หวังเซียวและเฉาเล่ยไม่รู้ว่าพวกเขาจะอธิบายยังไง ทั้งสองต่างพูดถึงซูจิ้ง เฉาเล่ยเองเมื่อมองแล้วเขามองจนเผลอจ้องจนต้องสะบัดหัวไปมองทางอื่นเพราะคิดว่าตาฝาดไป


 


“เวรแล้ว เกิดอะไรขึ้นกับอาจิ้งกัน” คนอื่นในทีมเริ่มสงสัยและรีบเข้าไปที่รถเมื่อได้ยินว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับซูจิ้ง


 


ทันทีที่พวกเขาเห็นทุกคนต่างตกใจอย่างถึงที่สุด พวกเขาทั้งรู้สึกตกใจ ประหลาดใจ เกรงกลัว จับจ้องไปที่ซูจิ้งอย่างไม่กล้าละสายตา


 


เหมือนมีอะไรบางอย่างในใจของพวกเขาพุดขึ้นมา


 


เหมือนมีอะไรบางอย่างพยายามที่จะเปลี่ยนคุณลักษณะบางอย่างในใจของพวกเขา


 


ไม่นานนักเหรียญตราเทวทูตก็เริ่มผ่อนแสงลงหลังจากที่ถูกดูดพลังงานไปพอสมควรแล้ว แสงบนตัวซูจิ้งเริ่มจางหายไป และกลับสู่สภาวะปกติ ซูจิ้งเองก็เริ่มฟื้นคืนสติทันทีเขาพบว่าตัวเองนั้นสติขาดหายไปชั่วระยะเวลหนึ่ง เขานั้นยินดีเป็นอย่างมากที่ค้นพบอีกความสามารถของเหรียญตรา ตราบใดที่เขาสามารถดูดซับพลังงานไปเรื่อยๆ เหรียญตราเองก็จะพัฒนาตัวเองให้สามารถปล่อยพลังงานได้มากขึ้น พร้อมทั้งมีคุณสมบัติมากขึ้นซึ่งตอนนี้เหรียญได้เพิ่มคุณสมบัติในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับสมองด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ คล้ายกับคุณสมบัติที่ได้จากการฝึกวิถีสู่ความสงบที่ต่างก็ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้พลังจิตของเขา แต่ต่างกันตรงที่วิถีแห่งความสุขสงบนั้นมีโอกาสโดนด้านมืดเข้าครอบงำ แต่เหรียญตราเทวฑูตกลับไม่ส่งผลเสียอะไรเลย


 


“พวกนายจ้องฉันทำไมเนี่ย” ซูจิ้งเปิดตาขึ้นมาและเห็นว่าตอนนี้ทุกคนกำลังจ้องเขาแบบตาไม่กระพริบจนทำให้เขาเริ่มสงสัย


 


“เกิดอะไรขึ้นกับนายกัน” หวังเซียวอดใจไม่ได้จนต้องถามออกมา


 


“อะไรหล่ะนั่น” ซูจิ้งถึงกับงงกับคำถามนี้


 


“ตัวนายเหมือนจะส่องแสง เหมือนแสงศักดิ์…” เฉาเล่ยพยายามอธิบายเหตุการณ์


 


“อ้ออออ เนี่ยน่ะหรอ” สมองของซูจิ้งแล่นทันทีเพื่อหาเหตุผลที่จะอธิบายเขาไม่คิดว่าตอนที่กำลังดูดซับเหรียญจะส่งผลมากขนาดนี้ เขาทำเพียงยิ้มแล้วบอกว่า


 


“ฮ่าฮ่ามันก็แค่การฝึกตนธรรมดาเอง”


 


“แค่ฝึกตนธรรมดาก็บ้าแล้ว” ทุกคนอึ้งในคำตอบจนหน้าหงายเงิบ


 


“พระเจ้า ให้อภัยลูกด้วยยย” โจรที่เป็นชายวัยกลางคนที่นั่งหลังเบาะได้คุกเข่าลงบนพื้นรถ พร้อมวิงวอนขอความเมตตาจากซูจิ้ง ทุกคนที่เห็นถึงกับทำหน้าโง่งมพูดอะไรไม่ออก


โจรคนนี้คือคนที่จี้เครื่องบินและเกือบแทงคนตายบนเครื่องด้วยมีด


 


จากการสืบสวนของตำรวจพบว่าเขานั้นเคยก่อคดีจนติดคุกและพ้นโทษออกมาเมื่อไม่กี่ปีก่อน เขาเป็นคนคุกอย่างแท้จริงถึงขั้นที่ว่าต่อให้สาบานว่ากลับตัวกลับใจแล้วก็ไม่มีคนเชื่ออย่างแน่นอน แต่ตอนนี้โจรคนนี้กลับแสดงสีหน้าสำนึกผิดแบบชนิดที่เหมือนคนเกรงกลัวความผิดบาปของตัวเองในขณะที่จะถูกตัดสินโทษจากบาปทั้งหลายในชีวิตจากพระเจ้า ถ้าเขาไม่ได้แสดงความสำนึกจริงๆ บอกได้เลยว่าเป็นนักแสดงชิงรางวัลออสก้าได้แน่นอน


 


“แกทำอะไรเนี่ย” แม้แต่ซูจิ้งก็ยังตกใจเหมือนกัน


 


“ผมรู้ว่าผมผิด ผมผิดไปแล้ว ผมจะกลับตัวกลับใจทำความดีละเว้นความชั่วและทำทุกอย่างตามที่ท่านชี้แนะ” โจรคนนั้นยังคงวิงวอนต่อซูจิ้ง


 


เป็นอีกครั้งที่ทุกคนต่างแสดงท่าทางโง่งมออกมา พอรู้ตัวพวกเขาเองก็คิดเหมือนกันว่าซูจิ้งเป็นนักบุญผู้กำราบมารร้ายกลับชาติลงมาเกิด ไม่เช่นนั้นจะอธิบายเหตุการณ์เมื่อกี้ได้ยังไง ซูจิ้งเองก็เริ่มที่จะทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน เขาได้รู้ความสามารถอีกอย่างของเหรียญตราเทวฑูตแล้ว


ถ้าเขาไม่พูดอะไรเลยเขาก็กลัวว่าโจรคนนี้จะไม่ยอมปล่อยเขาแน่นอน ถ้ามันได้ผลดีขนาดนี้เขาก็ควรจะส่งเสริมอะไรซักหน่อยจึงได้พูดว่า


“ถ้าเจ้าต้องการล้างบาป เจ้าก็ควรเริ่มต้นจากสิ่งพื้นๆอย่างการเข้าไปสำนึกผิดในคุก หลังจากนี้ห้ามทำเรื่องผิดบาปอีก มีโอกาสจงช่วยคนที่เดือดร้อน และหมั่นทำแต่ความดี วันหนึ่ง พระเจ้าจะเห็นใจและยกโทษให้เจ้า”


 


“ครับ ผมน้อมรับคำของท่าน” โจรในตอนนี้ดูดีขึ้นอย่างกับหลังมือเป็นหน้ามือ เขาซาบซึ้งในคำสอนที่ได้รับอย่างแท้จริง หวังเซียว เฉาเล่ย เจ้าหมิง และคนอื่นๆ ทำได้แค่อึ้งกิมกี่ พวกเขาต่างก็คิดว่าซูจิ้งในตอนนี้คือผู้วิเศษ เสกอะไรก็ได้อย่างนั้น

 

 

 


ตอนที่ 675

 

เรื่องเหลือเชื่อ


 


หลังจากทั้งหมดขับรถกลับมายังเมืองซงหยุนแล้ว ซูจิ้งก็ได้แยกออกมาจากหวังเซียว หวังเซียวและคนอื่นๆนำตัวคนร้ายไปส่งยังสถานีตำรวจ ส่วนซูจิ้งก็กลับบ้านไป แต่เดิมนั้นซูจิ้งมีความกังวลอยู่เหมือนกันในเรื่องที่เขาต้องใช้พลังวิญญาณ ในการช่วยเหลือเหตุจี้เครื่องบินเพราะไม่อยากจะทำให้เป็นที่สนใจจากคนอื่นๆ


 


อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับทราบความสามารถของเหรียญตราเทวฑูตเพิ่มเติมเขานั้นเลิกกังวลในทันทีแถมยังจะทำให้มันโจ่งแจ้งมากกว่าเดิมด้วย


พลังวิญญาณส่วนใหญ่ของเหรียญตราเทวทูตที่เพิ่มขึ้นนั้นมาจากการที่ซูจิ้งได้รับการเคารพบูชาจากผู้คน ถึงตอนนี้กระแสพลังวิญญาณจะหลั่งไหลเข้าสู่เหรียญตราอย่างต่อเนื่องแต่มันก็ยังถือว่าน้อยกว่าตอนที่เขาดูดซับพลังวิญญาณตอนอยู่บนรถอยู่ดี นั่นทำให้เขาไม่สามารถเข้าสู่ห้วงการดูดซับแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์(ร่างกายเรืองแสง)และไม่สามารถขยายขอบเขตห้วงทะเลวิญญาณของเขาได้ในขณะนี้


ด้วยเหตุผลนี้ทำให้จากเดิมที่ซูจิ้งพยายามไม่ทำตัวโดดเด่นและคอยฝึกปรือฝีมือไปเรื่อยๆ ตอนนี้เขากลับความคิดว่าน่าจะต้องทำตัวเด่นมากกว่านี้อีกซักหน่อยเขาจะได้มีพลังวิญญาณไว้คอยดูดซับมากขึ้น


 


ทันทีที่เขากลับถึงบ้านเสียงมือถือก็ได้ดังขึ้นเมื่อเห็นว่าเป็นหวังจ้าวเขาจึงได้รับสายทันที ทันทีที่เห็นว่าซูจิ้งรับสายหวังจ้าวได้ยิ้มพร้อมพูดออกมาว่า


“ฉันได้ยินมาว่าจับตัวคนร้ายได้แล้วนี่ แม้แต่เรื่องนี้พวกตำรวจก็ยังต้องพึ่งนายเลย ดูเหมือนว่าตอนนี้นายจะเป็นคนที่ตำรวจขาดไม่ได้แล้วนา…”


 


“ฮ่าฮ่าพูดซะผมเขินเลยนะเนี่ย” ซูจิ้งยิ้มรับออกมา


“ให้ฉันเดานะว่าตอนนี้ต้องมีคนโกรธในสิ่งที่นายทำแน่นอน ตอนนี้มีบางคนได้รายงานภาครัฐไปว่านายได้ขายวัตถุโบราณสมัยราชวงศ์ถัง ครอบครองไม้หายาก ครอบครองปะการังหายาก ฯลฯ แม้กระทั่งรายงานไปว่านายได้เลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครอง แม้กระทั่งการคุกคามความปลอดภัยสายการบินนานาชาติเลยนะนั่น ตอนนี้นายถูกตราหน้าว่ากระทำผิดหลายข้อหาจนถือว่าเป็นอาชญากรได้เลย” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่ว่าพวกนั้นจะทำอะไรก็ทำไปเถอะเพราะสุดท้ายแล้วทุกอย่างที่พวกนั้นทำล้วนจะทำให้ผมกลายเป็นที่โดดเด่นจับตามองยิ่งกว่าเดิม แต่ฟังจากน้ำเสียงจากทั่นพี่จ้าวแล้วผมคิดว่าคุณจัดการไปหมดแล้วใช่ไหมหล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


เขานั้นได้คิดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเรื่องแค่นี้ตระกูลเจ้าจัดการได้สบายอยู่แล้ว เลยกล้าทำเรื่องพวกนี้ได้อย่างสบายใจ และก็คิดว่าจะทำเรื่องที่เด่นกว่านี้ในอนาคตอย่างแน่นอน ถ้าหวังจ้าวรู้ว่าเขาคิดอะไรนี่มีหวังอ้วกออกมาเป็นเลือดทันทีแน่นอน


 


“ฮ่าฮ่าก็นะ ถึงแม้ว่าทั้งตระกูลหวังกับตระกูลหลี่นั้นเตรียมพร้อมในการจัดการเรื่องของนายอยู่แล้วก็เถอะ แต่ครั้งนี้พอจะบอกได้ว่าพวกเราแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ พอรู้ตัวอีกทีเรื่องทุกอย่างก็ถูกจัดการเรียบร้อยไปแล้ว” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


“ห้ะ ใครกันที่จัดการให้น่ะ” ซูจิ้งสงสัยในทันที


 


“ก็ตระกูลของผู้อาวุโสที่นายช่วยไว้บนเครื่องบินไง เขานั้นคือผู้อาวุโสของตระกูลเฉียน ตระกูลเฉียนนั้นมีอำนาจพอตัวเลยนะ บางเรื่องนี่ตระกูลหวังยังทำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ เฉียนไจ๋บิงเองก็มีอำนาจอยู่ในสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ เรื่องในครั้งนี้เป็นพวกเขาที่จัดการให้นาย ฉันคิดว่าตอนบนเครื่องบินนั้นคนร้ายได้เล่นงานตระกูลเฉียนก่อนนั่นทำให้ตระกูลเฉียนออกหน้าจัดการเรื่องนี้เองเลย” หวังจ้าวอธิบายออกมา


 


“ห้ะ” ซูจิ้งนั้นตกใจอยู่เหมือนกัน ไม่คิดว่าชายแก่คนนั้นจะเป็นคนใหญ่คนโต ยังไงซะสุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องดีที่ได้ช่วยเขาไว้ ดูเหมือนพวกเขาเองก็รู้วิธีตอบแทนคุณคนดีซะด้วย หรือต่อให้เขาไม่ได้ตั้งใจช่วยทันทีที่เขาได้รับรายงานเรื่องพวกนั้นแต่ตอนนี้เขาก็ยังได้ประโยชน์อยู่ดี


 


ในขณะเดียวกันที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง คนตระกูลเฉียนได้มาออกันอยู่ที่หน้าห้องพยาบาลห้องหนึ่ง คนไข้ในห้องก็คือผู้อาวุโสตระกูลเฉียนที่ถูกแทงบนเครื่องบิน ทุกคนต่างกระวนกระวายใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและแห่มาทันทีที่ทราบข่าว บางคนก็นั่งลงกองกับพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก บ้างก็เดินวนไปมาหน้าห้องอย่างกระวนกระวาย ภายในห้องพักเต็มไปด้วยหมอและญาตสนิทของเขาเตรียมพร้อมทำทุกอย่างถ้าหมอผู้เจ้าของไข้ต้องการ ผู้หญิงคนหนึ่งในชุดสูทสั่งตัดพร้อมใบหน้าที่สวยงามได้พูดขึ้นด้วยสีหน้ากังวลว่า “ปู่คะ ปู่จะลุกออกจากเตียงได้ยังไงในเมื่อมีบาดแผลสาหัสขนาดนี้”


 


“ใช่แล้ว คุณปู่ นอนอยู่บนเตียงก่อนดีกว่า” คนตระกูลเฉียนอีกคนนึงพูด


 


“อย่าทำให้เรากังวลเลยนะ”


 


คนที่พูดอยู่ตอนนี้คือชายวัยกลางคนที่พยายามรวบรวมเงินและเข้าร่วมในการตัดสินใจในแผนการของหวังเซียวและซูจิ้งใจตอนนั้น


 


“ก็หมอบอกว่าไม่เป็นอะไรแล้วนี่นา ไม่เห็นหรอว่าฉันกระชับกระเชงแค่ไหน” ผู้อาวุโสกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


เฉียนไจ๋บิง ผู้หญิงที่ดูสวยที่สุดในห้องและหมอทุกคนต่างอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ตามทฤษฎีแล้วแผลหนักขนาดนี้อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลานอนพักรักษาตัวไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน นี่ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องที่ชราภาพมากแล้วด้วยซ้ำ แต่นี่ยังไม่ทันข้ามวันดี ผู้อาวุโสตระกูลฉินทำท่าจะลุกออกจากเตียงด้วยท่าทีมีชีวิตชีวาอีกด้วย


ทุกคนในที่นั้นต่างหันไปถามหมอเจ้าของไข้ว่า “ทุกอย่างปกติดีใช่รึเปล่า”


 


หมอเองก็ได้ทำท่าทางฉงนสนเท่ห์ก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่ มันไม่ปกติเลยซักนิด มันเรียกว่าน่าเหลือเชื่อเลยด้วยซ้ำ ตามปกติน่ะต่อให้คนหนุ่มร่างกายแข็งแรงดีก็ยังต้องพักฟื้นไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน ไม่มีทางลุกจากเตียงได้โดยใช้เวลาไม่ข้ามวันอย่างนี้หรอก ไม่เท่านั้นร่างกายของปู่คุณตอนนี้ฟื้นตัวสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว ไม่มีทางที่จะเรียกได้ว่าเป็นปกติได้เลย ไม่สิต้องบอกว่าดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ ถ้าให้เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็เหมือนกับกัปตันอเมริกาในจักรวาลมาเวลนั่นแหล่ะ”


 


คนตระกูลเฉียนทุกคนที่ได้ยินต่างทำหน้าโง่งมทันที่เมื่อได้ยินถ้อยคำที่เอ่ยออกมาจากปากหมอ พวกเขาทุกคนต่างรู้สภาพร่างกายของผู้อาวุโสตระกูลฉินเป็นอย่างดี ในช่วงสองปีที่ผ่านมาสภาพร่างกายมีแต่แย่ลงเรื่อยๆ พวกเขาต่างก็คิดว่าใกล้ถึงเวลาในไม่ช้า แต่อยู่ๆกลายเป็นว่าร่างกายของผู้อาวุโสกลับกลายเป็นแข็งแรงเหมือนกับกัปตันอเมริกาซะหยั่งงั้น


 


พวกเขาต่างคิดได้อย่างรวดเร็วเลยว่าเรื่องทั้งหมดต้องเกี่ยวของกับซูจิ้งแน่นอน ซูจิ้งต้องทำอะไรซักอย่างกับผู้อาวุโสอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสจะฟื้นคืนร่างกายด้วยความเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ทันใดนั้นเมื่อเขาได้รับรายงานเกี่ยวกับการกระทำผิดของซูจิ้ง เฉียนไจ๋บิ้งได้รีบโทรศัพท์ไปสั่งให้ฝังรายงานพวกนั้นทันที ถ้าซูจิ้งผ่านการทำเรื่องเลวร้ายมามันยากที่จะปล่อยผ่านรายงานพวกนั้นไปแต่นี่เขาทำทุกอย่างที่ดีจนเรียกได้ว่าเป็นฮีโร่เลยก็ว่าได้ กับพวกเรื่องไร้สาระพวกนั้นก็ไม่ควรมาเก็บไว้ให้รกหูรกตา


 


“ไจ๋บิง ไจ๋หลี่ พรุ่งนี้เราไปเยี่ยมหนุ่มน้อยซูจิ้งกันหน่อยนะ” จากการคาดเดาจากข้อมูลที่เฉียนไจ๋บิงบอกผู้อาวุโสตระกูลเฉียนจึงเชื่อได้9ใน10ส่วนเลยว่าการที่เขาฟื้นตัวเร็วขนาดนี้เป็นเพราะซูจิ้ง อีกทั้งเหมือนมีการหาข้อมูลของซูจิ้งเพิ่มเติมพบว่าเขานั้นไม่ใช่คนธรรมดาเลยแม้แต่น้อย เขาเองก็เริ่มมีความชมชอบและสนใจในตัวซูจิ้งแล้วเหมือนกัน


 


“ขอหนูไปด้วยนะ” หญิงสาวหน้าตาสระสวยคนหนึ่งพูดออกมา


 


“เธอจะไปทำอะไรหล่ะ” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนถามด้วยรอยยิ้มกว้างตลอดการสนทนา


 


“เพื่อขอบคุณการที่เขาช่วยชีวิตคุณปู่ค่ะ แล้วก็เขาเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยเดียวกับหนูเหมือนกัน” หญิงสาวคนนั้นพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“จริงสิ ถ้าดูจากข้อมูลเขาเองก็จบมาจากมหาวิทยาลัยเทียนหยางเหมือนหลานเลยนี่ อายุเขาก็พอๆกับหลานเลยนี่หยินหนิง เธอพอจะรู้จักซูจิ้งมั่งรึเปล่าหล่ะ” เฉียนไจ๋บิงหัวเราะชอบใจ


 


“หนูก็ไม่รู้จักเขามานักหรอกค่ะ จำได้แต่ว่าเขาเป็นที่รู้จักเพราะว่าไปชอบพอกับดอกไม้ประจำมหาลัยคนหนึ่งแล้วก็โดนหักอกไป” หยินหนิงพูดพร้อมทำท่ายักไหล่


 


“ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยก็เธอไม่ใช่หรอ แล้วยังมีใครที่สวยเทียบเคียงหลานได้อีกกัน” ชายวัยกลางคนตอนนั้นพูดพร้อมรอยยิ้ม


 


“พวกเธอเองก็สวยพอๆกันนะ” เฉียนหยินหนิงก็หันไปตอบชายคนนั้นด้วยท่าทีบอกขอไปที


 


“ดีๆ หยินหนิงเองก็ควรไปด้วยเพราะจะได้ทำความรู้จักกันง่ายหน่อย” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม แน่นอนว่าทุกคนในตระกูลเฉียนเองต่างก็กังวลเกี่ยวกับสุขภาพของผู้อาวุโสแต่เมื่อถึงตอนเย็นพวกหมอต่างยินยันอีกครั้งว่าไม่มีปัญหา อย่าว่าแต่ปัญหาเลยพวกเขาต้องบอกว่าร่างกายของผู้เฒ่าเฉียนนั้นดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ อีกทั้งผู้เฒ่าเฉียนเองก็ไม่อยากอยู่ที่โรงพยาบาลแม้แต่น้อยทำให้ทั้งตระกูลไม่มีเหตุผลที่จะยื้อผู้อาวุโสไม่ให้ออกจากโรงพยาบาลอีกต่อไป


 


เช้าวันต่อมาได้มีขบวนรถหรูที่เป็นของกลุ่มคนตระกูลเฉียนวิ่งมาจอดที่หน้าบ้านของซูจิ้ง ด้วยการที่พวกเขาได้โทรมาบอกซูจิ้งก่อนหน้านี้แล้วตอนนี้ซูจิ้งจึงได้มายืนรอต้อนรับอยู่หน้าบ้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซูจิ้งยินดีต้อนรับเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะกับคนที่ช่วยเหลือแบบลับๆแบบเดียวกับเรื่องที่เกิดจากเซียนตูเบ๋า


 


เขาได้นำพาทุกคนไปยังสวนในบ้านของเขาทุกคนในตระกูลต่างทึ่งกับสภาพสวนที่สวยงามยิ่งกว่าสวนตระกูลเฉียน ซึ่งเป็นสวนที่ได้รับการออกแบบจากปรมาจารย์ด้านการแต่งสวนที่ทุ่มทุนทั้งเงินและและกำลังคนในการตกแต่งอย่างมาก แต่เมื่อเทียบกับสวนเล็กๆ ของซูจิ้งแล้วสวนของตระกูลเฉียนนั้นช่างดูด้อยค่าไม่ต่างจากสวนที่ผ่านศึกสงครามมาเลยด้วยซ้ำ

 

 

 


ตอนที่ 676

 

โจ๊กมะละกอ


 


คนตระกูลเฉียนที่มานั้นประกอบด้วยผู้เฒ่าเฉียน เฉียนไจบิง เฉียนไจหลี เฉียนหยินหนิง พร้อมทั้งผู้ติดตามและพ่อบ้านจำนวนหนึ่ง ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในสวน พวกเขานั้นล้วนหลงใหลกับความงามแบบไร้ที่ติของสวนบ้านซูจิ้งแห่งนี้


 


“ช่างเป็นสวนที่สวยจริงๆ” เฉียนหยินหนิงตะลึงในความงาม


 


“มันเหมือนสวนสวรรค์เลย” เฉียนไจบิงพูดออกมาพร้อมถอนหายใจ


 


“ทำไมฉันรู้สึกว่าอากาศที่นี่มันแตกต่างจากที่อื่นเหลือเกิน”


 


“รสนิยมดีนี่นาหนุ่มน้อย” ผู้เฒ่าเฉียนอดไม่ได้ที่จะชมซูจิ้งเรื่องการแต่งสวนแห่งนี้


 


ผู้ติดตามทั้งหลายแม้จะไม่ได้พูดอะไรแต่พวกเขาเองก็ตกตะลึงในความงามของที่นี่เช่นเดียวกัน พวกเขาเองก็ทำงานกับตระกูลเฉียนมาพอสมควร ถึงพวกเขาจะเป็นเพียงผู้ติดตามแต่พวกเขาเองก็เห็นสิ่งต่างๆ และได้รับประสบการณ์มาเยอะแทบไม่ต่างจากคนในตระกูลเฉียนคนหนึ่ง แม้ไม่เคยกินหมูแต่เคยเห็นหมูแน่นอน แต่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นสวนที่ไหนงดงามเท่านี้มาก่อน


 


“เชิญนั่ง” ซูจิ้งได้เชิญทุกคนมานั่งลงที่โต๊ะและเก้าอี้หิน ที่ตั้งบนสนามหญ้า พวกเขาต่างเพลิดเพลินกับความงามของสวนกว่าพวกเขาจะรู้ตัวเวลาก็ผ่านไปซักพักแล้ว เฉียนไจบิงเองถึงกลับต้องเขินเล็กน้อยและพูดออกมาว่า


 


“ฉันนี่แย่จริงๆ มัวแต่หลงไปกับสวนจนลืมธุระเรื่องสำคัญไปเลย พวกเรามาที่นี่เพื่อขอบคุณที่ช่วยชีวิตคุณปู่และตัวฉันเองด้วย ถ้าไม่ได้คุณเราสองคนคงตายไปแล้ว


 


“ขอบคุณครับคุณซู ขออย่าได้ถือสาที่ผมเสียมารยาทกับคุณไปวันนั้นเลยนะ” เฉียนไจหลีพูดออกมา เขานั้นคือชายวัยกลางคนในชุดสูทที่พยายามหาเงิน 10 ล้านและยอมทำตามซูจิ้งในการเปลี่ยนเส้นทางการบิน ตอนนั้นเขาได้คิดแต่ว่าตัวเองโง่มากที่ยอมทำตามที่ซูจิ้งบอก


 


“คุณเองก็ขอบคุณมามากมายแล้วตอนคุยโทรศัพท์กัน แถมพวกคุณยังช่วยผมแก้ปัญหาเล็กๆน้อยๆพวกนั้นอีกก็ถือว่าเสมอกันแล้วนะ ถ้าขอบคุณอีกผมคงรับไม่ไหวหรอก” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ฮ่าฮ่า สิ่งที่เราทำให้นั้นไม่สามารถเทียบเคียงได้เลยกับบุญคุณที่ช่วยชีวิตไว้นะ อีกอย่างต่อให้พวกเราไม่ทำอะไร ตระกูลหวังเองก็จะเป็นคนจัดการอยู่ดี”


 


“หนุ่มน้อย ฉันอยากรู้จริงๆว่าเธอช่วยชีวิตของฉันได้ยังไง” ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย


 


“ผมไม่ได้ช่วยท่านผู้อาวุโสซักหน่อย ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ นะ” ซูจิ้งพูดพลางยักไหล่นั่นทำให้ทุกคนต่างก็พูดไม่ออกไปซักพัก


 


ตอนแรกพวกเขาต่างคิดว่าที่ซูจิ้งปฏิเสธก็เพราะตอนนั้นอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย ไม่คิดว่าแม้แต่ตอนนี้ที่มีกันอยู่แค่พวกเขา ซูจิ้งก็ยังทำการปฏิเสธว่าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น อย่างไรก็ตามต่อให้ซูจิ้งบอกปัดไปแต่พวกเขาก็รู้ว่าซูจิ้งเป็นคนรักษาชีวิตผู้อาวุโสไว้อยู่ดี เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลที่ต้องซักไซ้ให้เสียเรื่องไป


 


“คุณซูคุณพอจะจำฉันได้ไหมคะ” เฉียนหยินหนิงเอ่ยปากถามด้วยรอยยิ้ม


 


“อืมมมมก็คุ้นๆอยู่นะ เดี๋ยวนะเธอจบมาจากมหาวิทยาลัยเทียนหยางรึเปล่า” ซูจิ้งจ้องไปที่เฉียนหยินหนิงซักพักก่อนจะทำตาเบิกกว้าง เธอนั้นดังพอๆกับหวังหยาน ต่อให้ไม่อยากรู้จักก็ยังต้องมีผ่านตาในกระทู้ของโรงเรียนบ้าง นั่นทำให้ซูจิ้งเริ่มรู้สึกเขินๆ นิดหน่อยที่ได้เห็นดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัยตัวเป็นๆ ใกล้ขนาดนี้


 


“ใช่แล้วค่ะ” เฉียนหยินหนิงพยักหน้ารับ


 


“สวัสดีครับคุณดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย ผมเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับคุณเลย ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบเจอคุณใกล้ขนาดนี้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มสุภาพ


 


“ฮ่าฮ่า ตอนนี้คุณต่างหากที่พระเจ้าในหมู่มนุษย์ ฉันซิควรจะรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบคุณ” เฉียนหยินหนิงหัวเราะเล็กน้อย ถ้าจะให้พูดความจริงก็คือจริงๆแล้วตอนที่ซูจิ้งอยู่มหาวิทยาลัยนั้น พลังของซูจิ้งยังไม่มีด้วยซ้ำ


 


ในตอนนั้นที่สามารถคบกับหวังหยานได้นั้นเป็นเพราะความเพียรของเขา ถ้าเขามีโอกาสได้พูดคุยกับเฉียนหยินหนิงบ้างในตอนนั้น เขาก็คงยังมีความรู้สึกประหม่าและเป็นเกียรติในการพบเจออยู่ แต่ตอนนี้เขานั้นได้ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงแล้ว


ซูจิ้งได้เสริฟชาใบไม้ร่วงที่ได้จากห้วงเวลาฯ โลกเซียนให้พวกเขา ทันทีที่พวกเขาดื่มต่างก็อัศจรรย์ใจกันอย่างมาก พวกเขายิ่งรู้สึกมากกว่าเดิมว่าซูจิ้งนั้นช่างแตกต่างจากพวกเขามากมายนัก อย่างไรก็ตามหลังจากดื่มไปแก้ว สองแก้ว พวกเขาก็รู้สึกท้องร้องขึ้นมาทันที เป็นเฉียนหยินหนิงที่ท้องร้องออกมาดังมาก เธอรู้สึกอายเลยทำเป็นดื่มชาต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


“ฮ่าฮ่า หิวกันแล้วหรอ ผมเองก็เพิ่งจะทำโจ๊กมะละกอเสร็จ อยากจะลองชิมกันซักหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


 


“ถ้างั้นก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราแล้วหล่ะ ได้ยินมาว่าคุณซูเองก็เป็นเทพด้านการทำอาหารในเมืองฉิงหยุนแห่งนี้ ฉันอยากจะขอลองซักหน่อย” เฉียนไจบิงหัวเราะชอบใจ


 


“งั้นรอซักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะเอาลงมาให้” ซูจิ้งเดินขึ้นไปข้างบน เขานั้นได้ทำโจ๊กมะละกอเอาไว้จริงๆ มะละกอที่ใช้ทำนั้นได้มาจากห้วงเวลาฯจากเรื่องตำนานเทพแห่งความชั่วร้ายที่นำมาปลูกแล้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเพราะว่ามันได้ดูดซับพลังจากเศษหินวิญญาณจนกระทั่งออกผลออกมาได้ทั้งๆที่มันยังไม่เติบโตเต็มที่เลยด้วยซ้ำ เมื่อมันออกผลออกมาซูจิ้งก็ได้รีบนำผลมะละกอไปทำโจ๊กในทันที ผลของมันมีกลิ่นชวนน่ากินตลบฟุ้งอบอวลไปหมด


 


ตอนที่เขาเจอมันครั้งแรกเขาเองก็ได้กลิ่นเช่นนี้เหมือนกัน แต่ในตอนนั้นมันเริ่มเน่าแล้วอีกทั้งยังเจอที่พื้นที่ทิ้งขยะอีก นั่นทำให้เขาไม่อยากกินมันเลยซักนิด เขาเลยให้หนูทดลองกินดู ตอนนี้เมื่อเขาเอากลับมาปลูกจนมันออกผล ในที่สุดก็ได้เวลาที่เขาจะลองลิ้มรสดูบ้างแล้ว


ในขณะที่ซูจิ้งได้ลงมาพร้อมหม้อโจ๊กมะละกอมือหนึ่ง พร้อมถือชามและช้อนในอีกมือหนึ่งลงมาด้วย โจ๊กมะละกอได้ถูกเสริฟให้ทุกคน ทันทีที่วางหม้อโจ๊กไว้บนโต๊ะ กลิ่นหอมเตะจมูกทุกคนจนชวนน้ำลายสออย่างมาก ถึงแม้พวกเขาจะยังไม่ได้ลองชิมพวกเขาก็บอกได้ทันทีว่ามันต้องอร่อยมากแน่ๆ ในขณะที่ทุกคนทำท่าจะรอต่อไปไม่ไหวนั้น


 


ซูจิ้งได้บรรจงค่อยๆตักโจ๊กใส่ชามพร้อมเสริฟให้แก่ทุกคนอย่างประณีต ทันทีที่ชามโจ๊กถูกเสริฟตรงหน้าใคร คนๆนั้นจะรีบตักโจ๊กเพื่อลองชิมทันที หลังจากที่ชิมไปในคำแรก พวกเขาต่างทำตาส่องประกายลุกวาวอย่างหลงไหลได้ปลื้ม


 


“อร่อยยยยยยยย”


 


เฉียนหยินหนิงได้ซดโจ๊กเข้าไปพร้อมกับพูดออกมาอย่างประหลาดใจอย่างมาก หลังจากเธอหยุดหายใจเพราะความตกใจไปพักนึง เธอได้ตักโจ๊กเข้าปากไปอีกคำพร้อมหายใจออกมา เธอพยายามที่จะคอยรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารให้สมกับที่เป็นคนตระกูลใหญ่และเป็นถึงดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย แต่ในที่สุดเธอก็ต้องยอมแพ้


 


ผู้เฒ่าเฉียน เฉียนไจบิง และเฉียนไจหลี เองก็รู้สึกตกใจทันทีที่ได้กินเหมือนกัน พวกเขาไม่เคยกินอะไรที่อร่อยมากเท่านี้มาก่อน พวกเขาก็ทำเช่นเดียวกับเฉียนหยินหนิงที่พยายามรักษามารยาทบนโต๊ะอาหารเอาไว้อย่างที่สุด แต่ก็ไม่สามารถต้านทานมันไว้ได้เช่นกัน พวกเขาต่างขอเพิ่มทันทีที่กินหมดชาม จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม


 


ในตอนที่ทุกคนกำลังกินโจ๊กรอบที่สองและบางคนก็ขอเป็นรอบที่สามแล้วนั้น ปรากฎว่าโจ๊กหม้อใหญ่ได้หมดลงจนเห็นก้นหม้ออย่างรวดเร็ว


เหล่าผู้ติดตามเองพวกเขานั้นทำได้แค่มองทำตาปริบๆ อยู่โดยรอบ คอยสังเกตุท่าทางของเจ้านายอย่างนิ่งอึ้งอยู่เฉยๆ พร้อมเกิดความรู้สึกพิศวงขึ้นในใจ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่าทางในการกินของคนตระกูลเฉียน พวกเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายเมื่อได้กลินโจ๊กมะละกอในตอนแรกเหมือนกัน กลิ่นของมันช่างเย้ายวนจนทำให้ผู้ติดตามคนหนึ่งถึงกับอ้าปากน้ำลายสอออกมา กลิ่นของโจ๊กนั้นแทบทำให้พวกเขานั้นทนไม่ไหวกันเลยทีเดียว ต่อให้ได้ยินข่าวลือมานับร้อยนับพัน ก็ยังไม่เท่าได้กินอาหารของซูจิ้งเพียงหนึ่งมื้อ ฝีมือของเขาสมกับที่เขานั้นได้ฉายามาว่า “เชฟอาหารจีนชั้นเลิศ” ตอนที่อยู่ๆเขาได้ฉายานี้มา ซูจิ้งเองก็ตกใจไม่ใช่น้อยเหมือนกัน


 


ไม่นานนักหลังจากโจ๊กหมดหม้อชนิดที่ไม่เหลืออะไรเลยจริงๆ ดั่งคำที่ว่าผีห่าลงหมู่บ้าน


 


เฉียนไจบิงทำได้แค่ถอนหายใจอีกครั้งแล้วพูดออกมาว่า “คุณซูนี่สมกับเป็นเทพแห่งพ่อครัวจริงๆ มันอร่อยสุดๆ ไปเลย”


 


“ฉันก็รู้นะว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้แต่ฉันก็ยังอยากจะพูดอยู่ดีว่าคงจะดีสุดๆ ถ้าได้คุณซูมาเป็นพ่อครัวส่วนตัว” เฉินไจหลี่หัวเราะร่วน


 


“ฉันจะยอมมีชีวิตอยู่ให้ยาวนานแสนนานเลย เป็นครั้งแรกที่ฉันได้โจ๊กที่อร่อยขนาดนี้” ผู้เฒ่าเฉียนเองก็ได้กล่าวสำทับขึ้นมา เขานั้นรู้สึกอิ่มมากจนถึงขั้นต้องเรอออกมา มารยาทบนโต๊ะอาหารของผู้อาวุโสเปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายในทันที เขานั้นไม่ได้มีความสุขในการกินแบบนี้มานานมากแล้ว


 


“ฮ่าฮ่า ฝึมือในการทำอาหารของผมนั้นไม่ได้ดีอะไรขนาดนั้นหรอก แต่เป็นเจ้ามะละกอนี่ต่างหากที่อร่อย ในอนาคตผมจะเพิ่มจำนวนมะละกอพันธุ์ให้ได้ปริมาณมากพอจำหน่ายได้ ถ้าพวกคุณอยากกินอีกก็อย่าลืมอุดหนุนกันก็พอแล้ว” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคิด ในครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้ทักษะในการทำอาหารหฤโหดมาใช้แม้แต่น้อย เขาทำเพียงของง่ายๆ รสชาติจากอาหารง่ายๆ แบบโจ๊กเนี่ยหล่ะอร่อยที่สุดแล้ว การทำโจ๊กนั้นบอกได้เลยว่าต่อให้ไม่ใช้ผีมือทำครัวระดับเทพของซูจิ้ง นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเขานั้นได้ช่องทางในการทำเงินเพิ่มเติมอีกหนึ่งอย่าง อย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งจะกลายเป็นโอกาสทางธุรกิจยักษ์ใหญ่ต่อไปในอนาคต อีกหนึ่งอย่างแน่นอน

 

 

 


ตอนที่ 677

 

ยามที่แฟนคลับตกทุกข์ได้ยาก


 


หลังจากฟังที่ซูจิ้งบอกว่าไม่ได้เป็นเพราะฝึมือทำอาหารของเขาแต่เป็นมะละกอต่างหากที่อร่อย ผู้เฒ่าเฉียนและคนอื่นๆต่างก็ไม่เชื่อคำพูดของซูจิ้ง แต่ซูจิ้งนั้นก็ไม่ได้สนใจ เพราะเมื่อใดก็ตามที่มะละกอนี้ส่งออกสู่ตลาดเมื่อไหร่ พวกเขาก็จะเชื่อสิ่งที่เขาบอกเอง


 


ทุกคนในตระกูลเฉียนที่มาต่างพยายามหาเรื่องคุยกับซูจิ้ง ถามนู่นถามนี่อย่างละนิดอย่างละหน่อยจนซูจิ้งรู้สึกได้เลยว่า พวกเขาสนใจในตัวเขาจนแทบอยากให้ย้ายเข้าตระกูลเฉียนไปเลยด้วยซ้ำ ถึงแม้ตระกูลเฉียนจะไม่มีเรื่องอะไรกับตระกูลหวังเลยก็ตาม ต่อให้ไม่มีซูจิ้ง ตระกูลเฉียนก็ไม่คิดจะมีความขัดแย้งอะไรกับตระกูลหวังอยู่แล้ว


ซูจิ้งเองก็รู้สึกดีกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่กับตระกูลหวังอยู่ดีเพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาเลือกที่จะอยู่กับตระกูลหวังจะเกิดผลดีกับตระกูลหวังอย่างมาก เพราะจะทำให้ตระกูลหวังกลายเป็นที่เชื่อใจต่อตระกูลใหญ่ได้ ซึ่งตามปกติแล้วด้วยการที่ตระกูลเฉียนนั้นเป็นตระกูลที่มีอำนาจมากกว่า ทำให้พวกเขาไม่มีเหตุอันใดที่ต้องสานสัมพันธ์กับตระกูลหวัง แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เขาช่วยผู้อาวุโสตระกูลเฉียนด้วยเหตุจี้เครื่องบินนี้ ตราบใดที่เขายังอยู่กับตระกูลหวังจะเป็นการเปิดโอกาสเชื่อมสัมพันธ์ให้กับตระกูลทั้งสองได้


 


ระหว่างการพูดคุยนั้นก็ได้มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พอเห็นว่าเป็นปันเสวี่ยเขาได้เดินออกมาจากวงสนทนาแล้วรับโทรศัพท์ ปันเสวี่ยได้มีน้ำเสียงที่ค่อนข้างหวาดกลัวตลอดสายการโทรศัพท์ เธอนั้นได้พูดออกมาว่า “พี่จิ้ง ฉัน ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องนี้กับพี่ดีรึเปล่า แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่ายังไงก็ต้องพูดเรื่องนี้กับพี่ให้ได้”


 


“พูดออกมาได้เลยไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ใครรังแกเธองั้นหรอ” ซูจิ้งพูดตอบไปด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล เขานั้นมีความตั้งใจจริงอยู่แล้วในการช่วยปันเสวี่ยและปันฉาง เขานั้นทำการสะกดปันฉางไว้ให้คอยพัฒนาตัวเองเพื่อจะได้ปกป้องปันเสวี่ยได้ด้วยซ้ำ


 


“ไม่มีคนทำอะไรพวกเราหรอกค่ะแต่เป็นเรื่องของหมินถังน่ะ แม่ของเธอป่วยหนักมาก เห็นว่าระบบไตล้มเหลว พอดีว่าเธอกับแม่กรุ๊ปเลือดเดียวกันเธอเลยอยากจะเปลี่ยนไตให้แม่ แต่แม่ของเธอไม่ยอมเพราะว่าค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนไตนั้นแพงมาก และแม่ของเธอกลัวว่าจะมีปัญหาต่อสุขภาพของหมินถังในอนาคต หนูเองก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเธอยังไงหนูไม่รู้จะปรึกษาเรื่องนี้กับใครดี ที่นึกได้ก็มีแต่พี่เลย หนูต้องขอโทษจริงๆที่โทรมารบกวน…” เสียงของปันเสวี่ยฟังดูเหมือนกำลังจะร้องไห้ออกมา พี่ชายของเธอเองก็ได้ถูกซูจิ้งรักษา เธอรู้สึกว่าเธอติดหนี้ชีวิตซูจิ้งอยู่มากมายแล้ว เธอยังไม่ได้ตอบแทนอะไรเลยก็ต้องมีเรื่องให้ช่วยอีก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงแล้วเหมือนกัน


 


“อย่ากังวลไปเลยน่า หมินถังเองก็เป็นแฟนคลับตัวยงของพี่เหมือนกัน เธอนั้นก็คอยช่วยพี่จัดการเรื่องต่างๆ ในโพสต์บ่อยๆ เมื่อเธอทำได้ ไม่ต้องพูดอะไรมากกว่านี้หรอก เมื่อพี่รู้เรื่องแล้วยังไงก็จะช่วยอยู่ดี ว่าแต่ตอนนี้แม่ของเธอรักษาอยู่ที่ไหนล่ะ ฉันจะไปที่นั่นทันทีเลย” ซูจิ้งพูดออกมา


 


“พี่จิ้ง พี่นี่ใจดีที่สุดเลย” ปันเสวียถึงกับน้ำตาไหลออกมาทันทีพร้อมกับนึกอะไรบางอย่างได้ แล้วพูดว่า “อ้อ อีกเรื่องค่ะ ผู้จัดการของกลุ่มได้เปิดรับเงินบริจาค ดูเหมือนจะมีคนบริจาคหลายพันคนเลยนะ”


 


“ไหนขอดูหน่อยสิ” ซูจิ้งมองดูโพสดังกล่าว เป็นแอดมินของเพจที่เป็นคนเปิดรับบริจาค โดยมีชื่อของเต็งหมินถังเป็นหนึ่งในรายชื่อที่มีการบริจาคให้ ซึ่งทุกคนต่างยกให้เธอเป็นแฟนคลับอันดับหนึ่งของที่นี่ และทุกคนต่างรู้ว่าเธอเป็นคนดีและอยากให้เธอหายเศร้าได้โดยเร็ว


 


ซูจิ้งเองเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้โพสลงไปด้วยว่า “ขอบคุณที่ทุกคนบริจาคเงินให้หมินถังนะ ฉันได้เห็นความดีของทุกคนในที่นี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องบริจาคเพิ่มแล้วล่ะ เรื่องของหมินถังเดี๋ยวฉันจะเป็นคนจัดการเอง”


 


ทันทีที่ซูจิ้งโพสต์ลงไป ทันใดนั้นเหล่าแฟนคลับได้ตื่นเต้นพร้อมกับก็ได้โพสต์กลับมา จนแทบจะทำให้เซิฟเวอร์ล่มอีกครั้ง


 


“พี่จิ้งมาแล้ว พี่จิ้งยังใจบุญเหมือนเดิมเลย”


 


“พี่จิ้งดีสุดๆ ฉันรู้อยู่แล้วว่าพี่ต้องไม่ยอมดูอยู่เฉยๆ แน่นอน”


 


“แค่พี่พูดออกมานิดหน่อยฉันก็แทบจะอยู่ไม่สุขแล้ว”


 


“คำพูดของพี่ทำให้ใจของฉันสงบได้เลย”


 


ด้วยโพสต์ของซูจิ้งแค่โพสต์เดียวทำให้เหล่าแฟนคลับเคลื่อนไหวในอินเตอร์เน็ตอย่างไม่หยุดยั้ง ในทุกวันนี้เหล่าดาราทั้งหลายแค่มุ่งหวังเพียงเงินจากแฟนคลับ ของพวกเขาเท่านั้น ไม่มีดาราคนไหนที่จะสนใจว่าแฟนคลับพวกนั้นจะเป็นตายร้ายดียังไง พวกเขาแค่ทำตัวให้ดูดีในสายตาผู้คนเท่านั้น และพยายามสร้างผลงานที่ดูดีสร้างชื่อเสียงให้ตนเองแค่นั้นก็พอใจแล้ว ต่อให้มีแฟนคลับบางคนตกอยู่ในที่นั่งลำบาก ดาราพวกนั้นก็จะทำเป็นหูทวนลมทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ต่างกับซูจิ้งที่ไม่เคยหวังเงินจากแฟนคลับแม้แต่น้อย แต่ยังคอยห่วงใยเหล่าแฟนคลับของเขาไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเขาทำอะไรได้เขาจะรีบเข้าไปช่วยเหลือทันที


 


“เป็นยังไงบ้าง เกิดอะไรขึ้นงั้นหรอ” หลังจากที่ทุกคนเห็นซูจิ้งรับโทรศัพท์แล้วเห็นสีหน้าของซูจิ้งเปลี่ยนไปผู้เฒ่าเฉียนจึงได้ถามซูจิ้งออกมา


 


“ไม่มีอะไรหรอก แค่แม่ของเพื่อนเข้าโรงพยาบาลน่ะ ผมต้องไปแล้วหล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบออกมา


 


“งั้นก็รีบไปเถอะ พวกเราเองไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว” ผู้เฒ่าเฉียนลุกขึ้นแล้วหันไปพูดกับเฉียนไจบิงว่า “ไจบิง เธอไปส่งอาจิ้งทีแล้วคอยช่วยถ้าเขาต้องการอะไรเพิ่มก็แล้วกัน”


 


“เรื่องนี้…” เฉียนไจบิงเองรู้สึกอีกอักเล็กน้อย เธอนั้นไม่อยากไปเป็นผู้ติดตามนัก เธออยากจะตอบแทนซูจิ้งในเรื่องอื่นแทนการเป็นผู้ติดตามอย่างนี้ แต่ซูจิ้งเองนั้นก็ไม่สนใจเขานั้นเตรียมตัวจะออกไปแล้ว


 


“หนูไปเองค่ะ” เฉียนหยินหนิงเสนอตัวออกมาทันที


 


“ดีๆ ถ้าต้องการอะไรเพิ่มเติมโทรหาปู่ได้ทันทีเลยนะ” ผู้เฒ่าเฉียนพูดออกมาในขณะที่หันไปมองซูจิ้ง


 


“ไม่ต้องตามไปหรอกครับ เรื่องแค่นี้ผมจัดการได้อยู่แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา


มันค่อนข้างจะน่าอึดอัดนิดหน่อยที่ซูจิ้งนั้นพยายามปฏิเสธเพราะว่าตระกูลเฉียนเองก็พยายามหาทางตอบแทนซูจิ้งในทุกเรื่องที่เป็นไปได้ สุดท้ายซูจิ้งก็ทำได้แค่ยอมรับความหวังดีนี้ไว้และยอมให้หยินหนิงตามไปได้ ผู้เฒ่าเฉียน เฉียนไจบิงและเฉียนไจหลีได้กลับไปแล้ว ส่วนเฉียนหนิงได้ตามซูจิ้งไปโรงพยาบาล


 


เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ปันเสวี่ยได้รออยู่ก่อน เมื่อเธอเห็นเฉียนหยินหนิง เธอได้แอบมองอยู่หลายครั้งนั่นก็เพราะว่า หยินหนิงเป็นคนที่น่ารักและสวยมากๆ เมื่อเทียบกับเธอแล้วเธอรู้สึกห่างไกลลิบลับไปเลย หยินหนิงคือคนที่คู่ควรกับคำว่าสวยแล้วจริงๆ ถึงแม้ตอนนี้จะมีเรื่องอื่นที่ต้องสนใจแต่เธอก็ยังอดคิดไม่ได้อยู่ดี ไม่ใช่ว่าซูจิ้งมีแฟนอยู่แล้วไม่ใช่หรอ ไม่รู้ว่าสองคนนี้มีความสัมพันธ์ยังไงกันแน่


 


ทั้งสามคนได้เดินขึ้นบันไดและเดินไปที่เตียงผู้ป่วย ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์พร้อมเสียบหูฟัง นั่งอยู่ที่บันไดหน้าห้อง มีหญิงวัยกลางคนมีสีหน้าคล้ำเล็กน้อยนอนคว่ำอยู่บนเตียง และมีเต็งหมินถังและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างๆ เตียง


 


“แม่ ฟังหนูนะ คนเรามีไตสองข้าง แค่ไตข้างเดียวก็เพียงพอต่อการมีชีวิตอยู่ได้แล้ว แม่ไม่ต้องกังวลผลกระทบที่จะเกิดหลังจากหนูให้ไตแม่ไปแล้วหรอก ส่วนเรื่องเงินแม่ไม่ต้องกังวลนะต่อให้ไม่มีเงินประกันแต่หนูก็มีเงินเก็บอยู่ ถึงจะไม่มากพอแต่ก็ยังหามาได้อยู่ดี” เต็งหมินถังพยายามพูดเกลี้ยกล่อมแม่ของเธอให้ยอมเข้ารับการผ่าตัด


 


“ไม่ แม่จะไม่ยอมเปลี่ยนแน่นอน มันต้องใช้ค่าใช้จ่ายกว่าแสนหยวนเลยนะ แม่จะยอมให้เงินเก็บทั้งชีวิตหายไปได้ยังไงกัน เดี๋ยวแม่ก็ดีขึ้นน่าถ้าได้นอนพักซักหน่อย ไม่ต้องจริงจังนักหรอก” หญิงวัยกลางคนที่นอนบนเตียงแสดงท่าทางที่ไม่ยินยอมที่จะเปลี่ยนใจแน่นอนพร้อมด้วยตาที่แดงก่ำ


 


สภาพร่างกายของแม่ของหมิงถังนั้นสามารถเข้าใจได้ไม่ยากนัก มันคือสภาพร่างกายของคนที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิตเพื่อส่งให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเรียนสูง และหาเงินเก็บไว้ให้ได้เยอะๆ เพื่อลูกๆ ของตัวเอง ซึ่งพูดง่ายกว่าทำอย่างไม่ต้องสงสัย การจะให้เงินที่สั่งสมมาทั้งชีวิตหายไปในช่วงข้ามคืน แถมยังมีหนี้สินมาเพิ่มเติมมาอีก เธอไม่ยอมอย่างแน่นอน


 


“ที่รัก คุณควรจะฟังลูกมั่งนะ ลูกพูดถูกแล้วที่ว่าเงินไม่มีก็หาใหม่ได้ แต่ถ้าไม่มีเธอก็ไม่มีทางหาอะไรมาทดแทนได้นะ” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆเตียงเองก็พยายยามเกลี้ยกล่อมภรรยาที่ดื้อดึงของเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาเองนั้นถ้าไม่ติดเรื่องความเข้ากันได้ของอวัยวะ เขาเองก็ไม่มีทางยอมให้ลูกสาวเป็นคนบริจาคไตให้ภรรยาแน่นอน เขาจะเป็นคนเปลี่ยนเองอย่างไม่ต้องสงสัย


 


“หมินถังเป็นยังบ้าง” ซูจิ้งพูดขึ้นทันทีที่เข้ามาถึง


 


“ พี่จิ้ง ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่หล่ะ” เต็งหมิงถังประหลาดใจหันไปทันทีที่เธอได้ยินเสียง


 


“ซูจิ้งงั้นหรอ” ชายวัยกลางคนนั้นดวงตาเบิกกว้างทันที เขานั้นเคยเห็นรูปซูจิ้งที่วางไว้จนเต็มห้องมาก่อน แถมยังเคยเห็นบ่อยๆ ตามข่าวในทีวีมาแล้ว ที่เขาพอรู้จักซูจิ้งก็คือในฐานะเป็นดาราคนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็ไม่คิดว่าดาราที่มีชื่อเสียงจะมาอยู่ที่นี่ได้


 


“คุณป้าครับ ผมเองก็พอมีความรู้เรื่องการรักษาอยู่บ้าง ขอผมดูหน่อยนะ” ซูจิ้งพูดพร้อมนั่งลงข้างๆเตียง


 


ทั้งหมิงถังและเสวี่ยเองต่างก็ทำตาโตขึ้นมาทันที พวกเธอไม่รู้มาก่อนว่าซูจิ้งมีความรู้ทางการแพทย์ เฉียนหยินหนิงเองก็ทำตาลุกวาวเช่นกัน เธอจับตามองไปที่ซูจิ้งชนิดที่เลือกได้ว่าตาไม่กระพริบเลยแม้แต่น้อย

 

 

 


ตอนที่ 678

 

ระเบิดลงช่องสตรีม


 


ซูจิ้งได้ปล่อยพลังธรรมชาติเข้าไปในร่างของแม่ของหมินถัง เพื่อทำการรักษา ความจริงแล้วเขาเองก็ไม่รู้หรอกว่าพลังธรรมชาติ จะรักษาอวัยวะที่เสื่อมสภาพได้รึเปล่า แต่ด้วยการที่พลังนี้ไม่มีผลกระทบอะไรอยู่แล้วมันก็คุ้มค่าที่จะได้ลองดู ถ้ามันช่วยไม่ได้จริงๆ ก็แค่ทำการเปลี่ยนไตแค่นั้นเอง


 


ถึงแม้ว่าโดยปกติแล้วการขอรับบริจาคอวัยวะนั้น ต้องมีการเข้าคิวรอรับบริจาค นอกจากนั้นต้องดูความเข้ากันได้ของอวัยวะ และใช้เงินจำนวนมากในการผ่าตัด เงินที่ใช้อย่างต่ำก็ไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนหยวน นอกจากนั้นยังต้องมีค่าใช้จ่ายหลังผ่าติดอีกด้วยซึ่งแน่นอนว่าเงินหนึ่งแสนนี้ไม่เพียงพอแน่นอน ต่อให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วยังไงก็ไม่พออยู่ดี เพราะฉะนั้นการลองรักษาถ้าได้ผลถือว่าได้กำไรกว่าเห็นๆ


 


หลังจากผ่านไปซักพัก ซูจิ้งก็ถอนมือออกมาพร้อมเอ่ยถามว่า “คุณป้า ตอนนี้คุณป้ารู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ”


แม่ของหมิงถังเมื่ออยู่ต่อหน้าดาราที่มีชื่อเสียงแล้ว เธอเองก็ยังเกิดความรู้สึกอึกอักอยู่เหมือนกัน ก่อนที่เธอจะตอบบกลับไปว่า


 


“ฉัน ฉันรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว”


ซูจิ้งได้เรียกหมอเข้าหมอตรวจร่างกายของแม่ของหมิงถัง หมอนั้นก็รู้สึกแปลกๆเหมือนกัน ที่ทำไมเขาต้องเข้าไปตรวจอีกทั้งๆที่เพิ่งตรวจไปเมื่อไม่นานมานี้ ไม่มีทางที่จะเปลี่ยนผลตรวจได้หรอก แต่หมอเองก็จำซูจิ้งได้เขากลัวมีปัญหากับซูจิ้งเลยจำใจต้องเข้าไปตรวจ อีกครั้ง อย่างไรก็ตามผลมันก็ไม่ต่างจากเดิมอยู่ดี


ผลที่ออกมานั้นไม่ได้ทำให้ซูจิ้งประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะพลังธรรมชาตินั้นเท่าที่เขาพอรู้มันแค่ช่วยรักษาบาดแผลได้เท่านั้น มันไม่มีผลต่อการฟื้นคืนสภาพอวัยวะอยู่แล้ว ถ้าให้พูดอีกอย่างคือพลังของเขายังอ่อนแอเกินกว่าที่ จะให้พลังธรรมชาติแสดงผลได้อย่างสมบูรณ์ เขาเองก็อยากจะเข้าใจทักษะในการรักษาของเขามากขึ้นต่อเหมือนกัน แต่ไม่มีทางที่เขาจะใช้แม่ของเพื่อนมาเป็นหนูทดลองแน่นอน ในตอนนี้วิธีการที่ดีที่สุดในการรักษาก็คือการเปลี่ยนไต


ในเรื่องเปลี่ยนไตนั้นซูจิ้งก็ไม่เห็นด้วยที่จะให้ใช้ไตของเต็งหมินถัง เขายอมที่จะจ่ายเงินซื้อจำนวนมากจากคนอื่นที่ยอมขายไต และต้องเป็นไตที่เข้ากับแม่ของหมิงถังได้ นั่นทำให้ครอบครัวของหมิงถังตกใจจนถึงกับพูดไม่ออก


 


“พี่จิ้งฉันจะรับสิ่งที่พี่ทำได้ยังไงมันมากเกินไป….” หมิงถังเองก็รู้สึกไม่ดีในสิ่งที่ซูจิ้งทำให้เธอ


 


“คุณซูพวกเราไม่ได้ต้องการเงินของคุณหรอกนะ” ทั้งพ่อกับแม่ของหมิงถังเองก็รู้สึกเช่นเดียวกับหมิงถัง


 


“สำหรับผมแล้ว เงินพวกนี้ช่างน้อยนิดซะจนเปรียบได้ดั่งการตักเงินขึ้นมาหนึ่งถัง ด้วยถังน้ำถังเดียวเท่านั้น มันไม่ได้มากมายอย่างที่คุณคิดหรอกนะ พวกคุณรับไว้เถอะ หมิงถังเองก็ช่วยเหลือผมไม่น้อยเหมือนกัน ถือว่าเป็นการตอบแทนก็แล้วกัน”


 


ซูจิ้งบอกไปอย่างนั้นทำให้ครอบครัวหมิงถังดีใจจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา ครอบครัวของหมิงถังไม่ต้องกังวลเรื่องเงินอีกแล้ว ซูจิ้งเองก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อเลยอยู่คุยกับพวกเขาอีกนิดหน่อย ก่อนที่จะออกไปทางประตู เฉียนหยินหนิงเองก็ได้ถอนหายใจออกมาก่อนจะพูดว่า “ดูเหมือนฉันจะช่วยอะไรไม่ได้เลยซินะ” ปันเสวี่ยเองก็รู้สึกแบบเดียวกันแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว


เมื่อซูจิ้งออกจากห้องเขาหันไปมองเด็กหนุ่มที่เล่นคอมพิวเตอร์อยู่ เขาพบว่าเด็กนั่นกำลังสตรีมการเล่นเกมแบบสดๆ อยู่ ข้างๆเขาเองก็มีสเก็ตบอร์ดวางอยู่อันหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างดูดีเลยทีเดียว มันดูไม่เหมาะกับเด็กเรียนดีเลยแม้แต่น้อย


 


“เขาเป็นน้องชายของหมินถังค่ะ ชื่อว่า เต็งหมินจี้ ขนาดแม่ของเขาเป็นอย่างนี้แล้วเขาก็ยังทำตัวอย่างนี้อีก เด็กนี่ช่าง..” ปันเสวี่ยพยายามอธิบายออกมาด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างโกรธ ขนาดแม่ของเขาป่วยขนาดนี้ยังมานั่งเล่นเกมอยู่อีก ช่างเป็นเด็กที่ไม่ได้เรื่องเลย


 


“ไม่เป็นไรน่า” ซูจิ้งยิ้มออกมาพร้อมทั้งเดินไปนั่งข้างๆ เขาดึงหูฟังออกจารหมิงจี้ออกข้างนึง หมินจี้ตกใจเล็กน้อยพร้อมถามออกมาว่า “คุณทำอะไรน่ะ”


 


“นายไม่รู้จักฉันหรอ” ซูจิ้งถาม


 


“รู้สิ พี่สาวของผมสรรเสริญคุณจะตาย ก็แล้วยังไงหล่ะ” หมินจี้ดึงสายหูฟังกลับมาแล้วใส่ไว้ที่หูเขาเหมือนเดิม


 


“ที่นายเล่นเกมนี่อยู่ก็เพราะจะหาเงินมาจ่ายค่ารักษาพยาบาลใช่ไหม” ซูจิ้งถาม


 


เต็งหมินจี้ตกใจเล็กน้อยแล้วหันไปมองซูจิ้งด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนซูจิ้งจะมองเห็นถึงเจตนาของหมิงจี้อย่างทะลุปรุโปร่ง แม้แต่ปันเสวี่ยและเฉียนหยินหนิงเองก็ยังประหลาดใจ พวกเธอก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน


“ใช่แล้ว ร้องไห้ไปก็เท่านั้นนี่ เอาเวลาไปหาเงินมาจ่ายค่ารักษาดีกว่า” หมิ่นจี้เองพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจแต่สายตาของเขานั่นแดง เหมือนกำลังจะร้องไห้ ความจริงการที่เขาสตรีมการเล่นเกมสดแบบนี้ ทำให้เขานั้นได้เงินเฉลี่ยเดือนละสองพันหยวน เงินทั้งหมดที่หาได้ก่อนเกิดเรื่องเขาได้ใช้ไปหมดแล้ว เขาเองรู้สึกผิดที่ไม่ได้เก็บเงินส่วนนั้นไว้บ้าง ไม่อย่างนั้นก็คงนำมาช่วยแม่ของเขาได้บ้าง


 


“ฉันขอร่วมวงในช่องของนายด้วยได้รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา


 


“คุณ คุณอยากเป็นแขกรับเชิญในช่องของผมงั้นหรอ” หมินจี้ตาลุกวาวทันที เขาเองไม่ใช่คนโง่เขาย่อมรู้แน่นอนว่าถ้าซูจิ้งเข้ามาร่วมในการสตรีมในช่องของเขาล่ะก็เขาเองก็ไม่อยากคิดถึงผลตอบรับที่เกิดเลยซักนิด


 


“ใช่แล้ว แต่ไม่ใช่การสตรีมเกมนะ” ซูจิ้งพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


 


“ถ้าคุณอยากจะสตรีมจริงๆ คุณเลือกได้เลยว่าอยากจะทำอะไร” หมิงจี้พูดออกมาอย่างตื่นเต้น


 


“ฉันเห็นชุดของนายกับสเก็ตบอร์ด แสดงว่านายน่าจะชอบกีฬาพอสมควรนะ เอาเป็นถ่ายทอดสดการเล่นกีฬาของฉันดีรึเปล่า”


ซูจิ้งนั้นลองถามหยั่งเชิงดูแต่หมิงจิ้พยักหน้ารับรัวๆทันทีเหมือนไก่จิกกินข้าวสารอยู่ เขานั้นไม่ได้คิดหรอกว่าการสตรีมตอนเล่นกีฬาเท่าไหร่นัก แต่ถ้าคนที่เล่นเป็นซูจิ้งเขาบอกได้เลยว่าถ้าคนดังระดับซูจิ้งที่ช่วยเหลือผู้คนมามากมายนั้นอย่าว่าแค่เล่นกีฬาเลย ต่อให้สตรีมตอนเขาหลับเขาก็ยังมีคนดูอยู่ดี


 


“งั้นก่อนอื่นไปหาสถานทีถ่ายกันก่อนดีกว่า” ซูจิ้งเดินออกไปพร้อมเต็งหมินจี้โดยมีปันเสวี่ยและเฉียนหยินหนิงเดินตามออกไป พวกเขาเดินฝ่าแฟนคลับของซูจิ้งที่มาคอยมองอยู่ที่ประตู ในที่สุดเขาก็เลือกไปสตรีมกันที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้ๆโรงพยาบาล ที่นั่นมีคนน้อยและบรรยากาศดีมาก


 


ที่นี่ปกตินั้นจะมีคนพลุกพล่านแต่ด้วยตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงทำให้อากาศร้อนจนคนค่อนข้างน้อย


 


“นายจับภาพด้วยคอมของนายไว้นา…” ซูจิ้งพูดด้วยเสียงสบายๆ


 


“นาย นาย นายคงไม่” หมิงจี้ถึงกับพูดลิ้นพันกันนั่นก็เพราะว่าลานสเก็ตบอร์ดอันนี้ต้องใช้บันไดถึง 20 ขั้นถึงจะขึ้นไปถึงยอดได้ ซึ่งดูเหมือนว่าซูจิ้งจะไถลเสก็ตบอร์ดลงมาจากสแตนด์นี้ มันอันตรายมาก


 


“คุณซู คุณจะเล่นมากไปรึเปล่า” เฉียนหยินหนิงแสดงความกังวลออกมา


 


“พี่จิ้งนี่มันอันตรายเกินไปนะ” ปันเสวี่ยเองก็กังวลเช่นเดียวกัน


 


“ไม่เป็นไรน่า เริ่มถ่ายทอดแล้วก็เปิดรายการเร็วๆนะ ฉันจะทำให้นายแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อย่าพลาดเป็นอันขาดหล่ะ”


 


ทันทีที่ซูจิ้งพูดเสร็จหมินจิ้เองก็รีบสตรีมพร้อมกล่าวเปิดอย่างรวดเร็ว เขายินอยู่อยู่ข้างซูจิ้งพร้อมพูดออกมาว่า


 


“สวัสดีทุกคน วันนี้ฉันขอแนะนำแขกรับเชิญพิเศษของช่องเรานะ เขาคือ……”


 


“ฉันเห็นไม่ผิดใช่ไหม นั่นซูจิ้งนี่”


 


“เป็นไปไม่ได้ เขาก็แค่คนหน้าเหมือนน่า”


 


“ซูจิ้งจะมาทำอย่างนี้ได้ยังไงกัน แต่นี่ซูจิ้งจริงๆนี่”


 


“ช่องนี้เชิญซูจิ้งมาด้วยหล่ะ โคตรเจ๋งอ่ะ”


 


“ฮ่าฮ่า ซูจิ้งเป็นถึงคนที่ช่วยเครื่องบินไว้นะ เขาจะสตรีมเล่นอย่างนี้ได้ไง เขาว่างขนาดนั้นเลยหรอ”


 


ข่าวเรื่องที่ซูจิ้งกำลังสตรีมสดนั้นแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าตอนที่เขาบินขึ้นไปช่วยเครื่องบินไว้จะถือว่าร้อนแรงแล้ว แต่ตอนนี้กลับร้อนแรงยิ่งกว่า ซูจิ้งนั้นเป็นที่นิยมไม่น้อยกว่าดาราชั้นสองเลยในตอนนี้ แม้แต่ดาราชั้นหนึ่งบางคนยังสู้ไม่ได้


 


ตอนนี้จำนวนคนที่ดูสตรีมค่อยๆเพิ่มขี้น จากหนึ่งพันเป็นสองพันอย่างรวดเร็ว


 


“ฉันได้ยินมาว่าพี่จิ้งกำลังไลฟ์สดอยู่ ไม่อยากเชื่อว่าแค่ลองเข้ามาดูจะใช่ตัวจริง”


 


“พี่จิ้งกำลังจะทำอะไรน่ะ”


 


“ดูเหมือนว่าจะทำอะไรเจ๋งๆอีกแล้วสิ”


 


แฟนคลับมากมายของซูจิ้งต่างเข้ามาดู


ในไม่ช้าจำนวนคนก็เพิ่มเป็นห้าหมื่นคนและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รายการสตรีมสดอันนี้พุ่งขึ้นอยู่ในอันดับหนึ่งอย่างรวดเร็ว นั่นยิ่งทำให้คนยิ่งเห็นยิ่งเข้ามาดูมากขึ้น


 


แม้แต่ช่องอื่นที่กำลังสตรีมอยู่ยังแจ้งข่าวกันสดๆ และเข้ามาดูด้วยเหมือนกัน สำหรับเว็บที่มีจุดประสงค์หลักในการถ่ายทอดสดนั้น ซูจิ้งคือตัวประหลาดอย่างแท้จริง ก่อนที่ซูจิ้งจะเริ่มสตรีมนั้นก็พอจะมีดาวเด่นประจำเว็บสตรีมอยู่บ้างแล้ว คนดูช่องของพวกเขาก็ยังถูกแย่งมาโดยซูจิ้ง นั่นทำให้หมินจิ้ตาลุกวาวเลยทีเดียว


 


“เอาหล่ะน้า….” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยเสียงกระจ่างใส


 


“ระวังนะครับ ถ้าคุณเจ็บตัวพี่ผมเล่นงานผมตายแน่” หมินจี้รีบพูดออกมา


 


“อย่าห่วงไปเลยน่า เตรียมตัวน้า” ซูจิ้งพูดเสร็จซูจิ้งทรงตัวไว้บนสเก็ตบอร์ดแล้วไถลไปไกลพอสมควร ก่อนที่เขาจะเร่งความเร็วไปที่บันไดก่อนที่จะกระโดดขึ้น พร้อมสเก็ตบอร์ดบินขึ้นไปบนอากาศและลงมายังพื้นอย่างสวยงาม


 


ทุกคนที่เห็นในขณะนั้นต่างมองไปอย่างตาไม่กระพริบด้วยความอึ้ง แม้แต่คนที่ดูสตรีมอยู่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ทุกคนทำได้แต่ร้องว้าวออกมานั่นก็เพราะว่าทั้งความเร็วทั้งความสูง และระยะทางตอนลงไกลกว่าปกติมากมายนักจนทำให้เกิดเสียงดังขึ้นมาในระดับนึงตอนลงเลย

 

 

 


ตอนที่ 679

 

การสตรีมที่แสนบ้าคลั่ง


 


ในช่วงเวลาในขณะที่ซูจิ้งทยานตัวออกไปพร้อมสเกตบอร์ด เต็งหมินจี้ ปันเสวี่ย เฉียนหยินหนิง และทุกคนที่กำลังดูการสตรีมอยู่นั้นต่างหยุดหายใจ เพียงแค่เห็นตอนที่ซูจิ้งกำลังทยานอยู่ในอากาศ นั่นก็ทำให้ทุกคนประทับใจแล้ว แต่เมื่อทันทีที่ซูจิ้งพาสเก็ตบอร์ดที่เขากำลังเล่นขึ้นไปไถลบนราวเหล็กจับ ลงบันไดจนกระทั่งเกิดเสียงครูดขึ้นมา


 


เขานั้นทรงตัวบนสเก็ตบอร์ตในท่วงท่าที่สง่างาม ดูสมดุลเหมือนไม่ต่างกับการไถลธรรมดาบนพื้นมาแม้แต่น้อย จนกระทั่งหลุดจากราวบนได เขากระโดดยกตัวขึ้นพร้อมถีบสเก็ตบอร์ดให้มันหมุนหลายรอบ ก่อนจะเหยียบมันลงบนพื้นอย่างสวยงาม


 


ความจริงแล้วมันก็เป็นเพียงท่าพื้นๆที่หลายๆคนก็ทำได้ แต่ด้วยความสูงและความเร็วที่ซูจิ้งทำนั้นมันเร็วมาก นอกจากนั้นเขาทำมันเหมือนกับเป็นเรื่องปกติสำหรับเขา มันพิเศษซะจนถ้าคนที่เป็นแชมป์สเก็ตบอร์ดมาเห็น ยังต้องคิดว่าต่อให้พวกเขาทำท่าเดียวกันก็ด้อยค่ากว่ามากนัก


ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขากระโดดออกจากราวบนไดความสูงที่เขาใช้นั้น มันสูงจากจุดที่กระโดดราวๆ สองเมตร มันเหมือนกับว่าเขากำลังบินอยู่กลางอากาศ และจุดที่ลงเขาเลือกจุดลงที่เป็นพื้นที่ช่องเดินที่มีสวนดอกไม้ข้างๆ เขานั้นลงได้ตรงกลางพวกมันพอดี ซึ่งไม่มีทางที่คนเล่นทั่วไปจะเลือกพื้นที่แบบนั้นเพราะมันค่อนข้างเสี่ยงที่จะเกิดอันตราย


 


“แ-งเอ๊ยยยย โคตรเจ๋งอ่ะ”


 


“มันน่าอัศจรรย์จริง”


 


“สวนนั้นไกลจากราวตั้งสามเมตร เขากระโดดไปง่ายๆเลยอ่ะ”


 


“แถมมันยังเท่ด้วย”


 


“พี่จิ้งเก่งที่สุดเลย”


 


“อย่าเพิ่งเอะอะกันสิ เหมือนจะยังไม่หมดนะ”


 


ทั้งหมินจิ้ ปันเสวี่ย และหยินหนิง รวมถึงคนที่ดูการสตรีมทุกคนต่างทึ่งอึ้งกิมกี่ในเวลาเดียวกัน


 


ในขณะนี้ตัวเลขผู้เข้าชมสูงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาได้แต่จ้องดูไปยังซูจิ้งว่าจะทำอะไรต่อไป ซูจิ้งได้ไถลไปข้างๆ แปลงดอกไม้ ทันใดนั้นเขาก็กระโดดพร้อมตีลังกากลับหลังไปบนอากาศ ในท่วงท่าที่ดูสง่างามแปลกตา ทั้งแบบกลับหน้า กลับหลัง กลับข้าง มันดูยากมากๆ แต่ซูจิ้งทำมันได้เป็นธรรมชาติทั้งๆที่เขาทำพวกมันอยู่บนสเก็ตบอร์ด ที่ต้องทรงตัวตลอดเวลาแต่ไม่พลาดเลยซักครั้ง


 


ครั้งนี้ซูจิ้งไถลสเกตบอร์ดไปซักสี่เมตรโดยเร่งความเร็วขึ้นทันใดนั้น เขากระโดดขึ้นอีกครั้งเขาพาตัวเขาทยานขึ้นไปพร้อมสเกตบอร์ด ข้ามต้นไม้ต้นเล็กๆต้นหนึ่ง ถ้ามองดูดีจะเหมือนกับหนังกำลังภายในที่ใช้ปลายเท้าเหยียบยอดไม้ แล้วกระโดดไปต่อแต่นี้เขาใช้ล้อสเกตบอร์ด แตะไปบนยอดต้นไม้ต้นเล็กนั้นแทน แล้วก็หล่นลงบนราวจับเหล็กที่อยู่ข้างๆนั่น เขาพาสเกตบอร์ดไถลไปบนราวจับจนสุดราวลงบนพื้นอย่างสวยงาม ในครั้งนี้ต่างออกไป ตอนที่ก่อนจะสุดราวกั้น เขาดีดตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมสเกตบอร์ดพร้อมออกท่าทางต่างๆ ในขณะที่อยู่บนอากาศ เหมือนกับปุยนุ่นที่หมุนตัวพลิกกลับไปมา ท่ามกลางกระแสลมอยู่นานจนกว่าจะหล่นลงพื้น ทุกคนที่ดูต่างก็คิดไปว่าซูจิ้งลอยอยู่ในอากาศได้นานมาก นานจนเหมือนลอยอยู่เป็นอาทิตย์กว่าจะลงพิ้นได้


 


ในที่สุดซูจิ้งก็ลงพื้นได้อย่างสวยงาม เขานั้นไถลตัวต่อไปอีกเล็กน้อยก่อนที่จะหยุดไถลแล้วใช้เท้าเหยียบสเกตบอร์ดให้ลอยขึ้นมาอยู่ในมือ


 


“ฉันปลื้มมากๆๆๆๆ ช่างดูเท่ หล่อ คม บาดใจ ชวนตื่นเต้น น่าหลงไหลมากเลย ถ้าบอกว่าเขาติดจรวดไว้กับตัวก็เชื่อนะเนี่ย”


 


“ฉันเกือบลืมหายใจไปเลย ฉันจ้องจนตากลมเป็นปลาเลยหล่ะ”


 


“ฉันมองตาไม่กระพริบจนตาแข็งเจ็บตาไปหมดแล้ว”


 


“มนุษย์ทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรอ ไม่ใช่แล้วหล่ะ”


 


“เห็นด้วย ไม่ใช่ฝีมือมนุษย์แล้ว”


 


“ซูจิ้ง เทพขนาดนี้อยู่แต่บนสวรรค์ดีกว่า”


 


“ฮ่าฮ่า ฉันต้องอยู่บนท้องฟ้าแน่ๆ พวกนายต้องเห็นฉันนั่งเครื่องบินออกจากหลังอินทรีย์ทองแหงๆ”


 


“พี่จิ้ง ผมขอคุกเข่าคารวะ โปรดรับการคารวะนี้ด้วย”


 


นอกจากข้อความแนวนี้ยังมีข้อความก่อกวนอย่าง


 


“มู่หยุนทำได้ดีกว่า”


 


“มู่หยุนทำได้ดีกว่า”


 


“มู่หยุนทำได้ดีกว่า”


 


“เซี่ยหมิงชางเก่งกว่าตั้ง100เท่า”


 


“เซี่ยน้อยเก่งกว่าตั้ง500เท่า”


 


“เทียนหยู เทียนยี่ เก่งกว่า”


 


“เทียนหยู เทียนยี่ เก่งกว่าตั้ง100เท่า”


 


“หลงชิฉางเก่งกว่าตั้ง100 เท่า”


 


“สองพี่น้องตระกูลเทียนเก่งกว่าตั้ง200 เท่า”


 


ตามมาด้วยข้อความอวยดาราคนอื่นเถียงกันอย่างถล่มทลาย แต่ในช่วงระหว่างการสตรีมทุกคนที่พิมข้อความเหล่านี้ ต่างก็จ้องซูจิ้งตาไม่กระพริบจนถึงขั้นหยุดหายใจ ไม่มีใครสนใจจะพิมข้อความพวกนี้อีก ด้วยเหตุนี้ยิ่งทำให้ซูจิ้งเป็นที่โดดเด่นมากขึ้นกว่าเดิม หนึ่งเป็นผลมาจากช่วงนี้ซูจิ้งเป็นที่กล่าวถึงในโลกอินเตอร์เนตอยู่แล้ว อีกหนึ่งคือการสตรีมนี้ที่ทำให้ตกตะลึงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ใครจะไปคิดว่าจากการสตรีมที่ไม่มีอะไรเลยจะกลายเป็นกระแสโด่งดัง ได้มากมายขนาดนี้ ช่างน่ากลัวจริงๆ


 


พูดถึงเรื่องน่ากลัว


เต็งหมินจิ้แทบจะสิ้นสติไปในทันที เขานั้นเคยอิจฉาช่องสตรีมอันดับหนึ่งในเว็บสตรีมที่ทำอะไรก็มีแต่คนดู แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งที่มาแต่ตัวเปล่าแล้ว จำนวนคนดูผ่านช่างของเขาขึ้นหลักแสนคนในพริบตา นอกจากนั้นช่องทางในอินเตอร์เนตอื่นๆ อย่างวีแชต ฟอรั่ม โพสต์บาร์ ไมโครบล็อก แม้แต่ข่าวทีวียังเผยแพร่สิ่งที่ซูจิ้งทำแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก นั่นทำให้ซูจิ้งโด่งดังมากขึ้นแน่นอน


 


ในไมโครบลอกของซูจิ้งยิ่งไม่ต้องพูดถึง


 


“ไปดูพี่จิ้งกัน พี่เขาสตรีมการเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอยู่”


 


“ห้ะ พี่จิ้งไปสตรีมได้ไง เขาไม่มีอะไรทำแล้วหรอ”


 


“ไม่แน่ใจนะแต่ได้ยินว่าเขาไปช่วยค่ารักษาพยาบาลของแม่ของหมินถัง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปจบที่การสตรีมได้ไง”


 


“ไม่ว่ายังไงก็ไปแจมซักหน่อยดีกว่า”


 


“ไปกันไปกัน ไม่สิไม่ต้องไปละ รู้สึกว่าพี่เขาสตรีมเสร็จแล้วอ่ะ บอกช้าไปหน่อย ”


 


“แงงงง ไม่ทันอ่า…”


 


“ไปดูทีหลังก็ได้น่า ว่าแต่ดูเหมือนจะยังทันอยู่นะ เหมือนพี่เขาจะเล่นต่อ”


 


“ไปสิ ต้องไปดูแน่นอน จะพลาดได้ยังไง”


 


การเคลื่อนไหวของชาวเน็ตได้สร้างแรงกระเพื่อมจนกระทั่งผู้จัดการเว็บไซต์ได้ยินเรื่องราวจนต้องเข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น มันเป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัยในการจะชวนดาราซักคนมาทำการสตรีมโดยเฉพาะดาราอย่างซูจิ้งถ้าจะให้สตรีม ต้องยอมจ่ายเงินอย่างมหาศาลอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้ซูจิ้งมาด้วยตัวเองถือว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้นไม่ต้องพูดถึงว่าเขาจะเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมเก่งหรือไม่เก่ง แค่เขาโผล่หน้ามาก็เรียกคนดูได้อย่างล้นหลามแล้ว


 


แทบไม่ต้องพูดถึงระบบเซิฟเวอร์เว็บตอนนี้ทุกคนที่รับหน้าที่ กำลังเร่งจัดการอย่างจ้าละหวั่น นอกจากยกเลิกขีดจำกัดคนดูในช่องที่ซูจิ้งกำลังสตรีมแล้ว พวกเขายังต้องใช้ทรัพยากรที่เตรียมไว้ให้ช่องสตรีมอันดับหนึ่งของเว็บรวมถึงช่องอื่นๆ ยกให้ช่องที่ซูจิ้งกำลังสตรีม เพื่อไม่ให้การสตรีมของซูจิ้งต้องติดขัด ไม่อย่างนั้นจะเกิดปัญหาใหญ่กับพวกเขาแน่นอน


 


ตอนนี้ทั้งหมินจี้ ปันเสวี่ย และหยินหนิง กำลังวิ่งลงจากบันไดไปหาซูจิ้งที่กำลังเดินกลับมา พวกเขากำลังจ้องมองซูจิ้งอย่างตะลึงเหมือนเห็นผี พวกเขามองแบบไม่ละสายตา


“ พี่จิ้ง ลูกพี่จิ้งสุดยอดไปเลย” ตอนนี้สรรพนามที่ใช้เรียกซูจิ้งของหมินจี้เปลี่ยนไปแล้ว เขาเองก็เคยเห็นวิดีโอที่ซูจิ้งขี่อินทรีย์ไปขึ้นเครื่องบิน ถึงมันจะดูตื่นตาแต่มันก็เป็นเรื่องที่ไกลตัวเขาเกินไป แต่นี่ในวันนี้ที่นี่ต่อหน้าเขานั้นเขาได้เห็นซูจิ้งใช้สเกตบอร์ดของเขา เล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมกลางอากาศมันทำให้เขาตื่นตายิ่งกว่า


 


“คุณซู คุณนี่ไม่กลัวอะไรเลยรึไง” เฉียนหยินหนิงมองซูจิ้งด้วยความประหลาดใจ เธอแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าเขาคนนี้คือคนที่เรียนจบมาจากที่เดียวกัน


ปันเสวี่ย เองก็มองไปที่ซูจิ้งด้วยตาเป็นประกายแบบที่ไม่รู้จะพูดว่าอะไรเลย


 


“ฮ่าฮ่า ก็แค่มีความสามารถด้านกีฬาดีหน่อยน่า” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับหันไปพูดกับกล้องว่า


 


“สวัสดีครับทุกคน หวังว่าการสตรีมของผมในวันนี้จะถูกใจทุกคนนะ ยังไงก็อย่าไปเลียนแบบทำตามกับซะล่ะเพราะผมเอง ก็ฝึกมาไม่น้อยเลยกว่าจะทำได้ ถ้ามีคนคิดว่าทำได้ง่ายๆ แล้วไปทำตามล่ะก็ ต้องเกิดอุบัติเหตุเจ็บหนักแน่นอน แล้วก็วิธีการเล่นแบบนี้ผมคิดว่าพวกคุณไม่น่าจะได้เห็นมาก่อน เพราะฉะนั้นหากใครมีคำถามก็ขอให้ถามได้ผมพอจะแนะนำได้บ้าง แบบตัวต่อตัวหล่ะนะ ส่วนใครที่อยากเห็นผมเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมอย่างอื่นหล่ะก็ถ้าไม่ได้วุ่นมากล่ะก็ รอผมอีกแป๊บนึงนะเดี๋ยวขอลองคิดก่อนว่าจะสตรีมอะไรต่อ เอาหล่ะสำหรับการสตรีมสเก็ตบอร์ดนี้ผมคิดว่าน่าจะพอได้แล้ว ผมก็ไม่อยากรบกวนช่องอื่นมากไปกว่านี้แล้วด้วย ยังไงก็ขอโทษช่องอื่นด้วยแล้วกันนะครับ ผมไม่ได้ตั้งใจก่อกวนพวกคุณนะ บายยยยย”


 


หลังจากได้ยินคำพูดของซูจิ้งนั้น ได้ทำให้เกิดคลื่นให้ความตื่นเต้นของผู้คนเป็นอย่างมาก ถึงแม้การสตรีมสเก็ตบอร์ดจะจบลงไปแล้ว แต่ช่องข้อความก็ยังมีความเคลื่อนไหว พวกนั้นต่างก็คุยกันว่าซูจิ้งจะทำอะไรต่อไปนั่นก็เพราะว่า ถ้าเพียงซูจิ้งบอกแค่ว่าจะมาเล่นสเกตบอร์ดก็ยังไม่เท่าไหร่ เพราะทุกคนก็เห็นฝีมือเขากันแล้วแต่นี่ เขาบอกกีฬาเอกซ์ตรีมซึ่งภายใต้คำๆนี้แทบจะบอกได้ว่า มีกีฬาเกือบทุกประเภทแต่หฤโหดกว่าปกติ นั่นทำให้ทุกคนต่างจับตาคอยการสตรีมอย่างอดใจแทบไม่ไหวกันแล้ว


ความจริงนั้นซูจิ้งตอนที่อยู่มหาวิทยาลัยได้บังเอิญ ได้เรียนวิธีการเล่นสเกตบอร์ดมานิดหน่อยเท่านั้น เขาก็ไม่คิดว่าด้วยการที่เขานั้นฝึกฝนร่างกายตัวเองจะส่งผลต่อ ทักษะในการเล่นกีฬาด้วยเช่นกัน แต่ในตอนนี้ถือได้ว่าร่างกายของเขายังฝึกฝนได้ไม่ดีพอ ที่จะเล่นกีฬาเอ็กซ์ตรีมได้ดีอย่างแท้จริง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)