Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 660 - 667
ตอนที่ 660
ชุดว่ายน้ำแสนวิเศษ
“ชุดว่ายน้ำชุดนี้ใส่แล้วรู้สึกสบายมากๆ เลยค่ะ” ซุนซินซินได้ก้าวออกมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าพร้อมกระโดดไปมาด้วยความตื่นเต้น ชุดว่ายน้ำชุดนี้เบามากๆ จนเหมือนกับไม่ได้ใส่อะไรเลย มันให้ความรู้สึกสบายเหมือนสวมใส่ผ้าไหมชั้นยอด และให้ความรู้สึกมั่นใจเหมือนกับว่าบนร่างกายไม่มีส่วนไหนเลยที่ด่างพร้อย เธอรู้สึกเหมือนกับว่าชุดว่ายน้ำชุดนี้เป็นชุดนอนเลยด้วยซ้ำ
“มันช่างดูดีจริงๆ” ทุกคนที่เดินตามมานั้นต่างก็เห็นซุนซินซินใส่แล้ว ก็คิดแบบเดียวกัน ทุกสัดส่วนของร่างกายที่ถูกชุดว่ายน้ำนี้ปกคลุมต่างก็ให้ความรู้สึกดูดีไปซะทุกส่วน มันดูหรูหราและเรียบง่ายในเวลาเดียวกัน แถมยังช่วยให้ดูมีสัดส่วนชัดเจนยิ่งขึ้น อย่างไรก็ต่อให้มันดีหรือสวมใส่สบายแค่ไหน ราคาของมันก็ไม่น่าจะถึงหนึ่งแสนหยวนได้เลย
“หลานรู้สึกว่ามีอะไรที่พิเศษบ้างไหมจ้ะ” ซุนหลูเอ่ยถาม
“มันให้ความรู้สึกสบายมากๆ ค่ะ หนูไม่อยากจะถอดมันออกเลยด้วยซ้ำ” ซุนซินซินกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มขณะที่ตามัวแต่มองดูตัวเองที่มองชุดอยู่
“ถ้าอย่างนั้นหลานลองว่ายน้ำดูหน่อยสิจ้ะ” ซุนหลูเอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ได้ค่ะ” ซุนซินซินขานรับและได้ทำการอบอุ่นร่างกายอยู่บริเวณริมสระ หลังจากนั้นเธอได้ใช้มีวักน้ำใส่ร่างเพื่อปรับสภาพร่างกายป้องกันไม่ให้เป็นตะคริว ในตอนนั้นเอง ความวิเศษของชุดว่ายน้ำนี้จึงได้ปรากฎให้เห็น น้ำที่ถูกวักออกมารดในทุกสัดส่วนนั้นก็ยังดูเปียกเหมือนปกติ แต่น้ำที่โดนชุดว่ายน้ำนี้กลับกลิ้งออกไปอย่างน่าเหลือเชื่อ
“หื้อ” ซุนซินซินถึงกับงงกับสิ่งที่เห็น เธอคิดว่าเธอแค่นึกไปเองและก็ได้ลองทำเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่เมื่อเธอลองแตะไปที่ชุดว่ายน้ำมันกลับให้ความรู้สึกที่แห้งเหมือนไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ทุกคนที่ตามมาดูต่างสังเกตุสิ่งผิดปกตินี้เหมือนกัน และทุกคนต่างลองแตะที่ชุดว่ายน้ำแล้วทำได้เพียงประหลาดใจอย่างเป็นหมู่คณะ
“ชุดว่ายน้ำเปียกอยู่รึเปล่าน่ะ”
“มันเรียกว่าผ้านาโนใช่ไม๊ ผ้าที่ใช้ทำชุดนี้น่ะ”
“ไม่น่าใช่นะ ฉันเคยเห็นผ้านาโนมาแล้ว มันไม่ได้ให้ความรู้สึกละมุนและสบายขนาดนี้”
“ถ้าอย่างนั้นวัสดุที่ใช้ทำชุดนี้คืออะไรหล่ะ”
สุดท้ายแล้วก็ถึงเวลาที่จะลองดูสิ่งที่น่าสนใจที่สุดของชุดว่ายน้ำนี้แล้ว ซุนซินซินไม่รอช้ากระโดดลงสระน้ำทันที เธอว่ายเพียงระยะสั้นๆ เมื่อว่ายไปถึงขอบสระ เธอลองแตะที่ตัวเธอดูอีกครั้ง พร้อมรู้สึกแปลกๆ
“ชุดนี้ดีจังไม่เปียกเลยสักนิดเดียว แค่ขึ้นจากสระก็แห้งทันทีเลย” ซุนซินซินชอบใจถึงกับลองดูตั้งสามครั้งซึ่งผลที่ได้ก็เหมือนเดิม เธอลองคิดดูว่าถ้าเธอได้ชุดที่ทำจากผ้าชนิดนี้ทั้งชุดเธอจะรู้สึกดีขนาดไหน ถ้าเป็นชุดนี้เธอจะไม่ต้องกลัวชุดของเธอเปียกและเลอะเทอะอีกต่อไป
แล้วเธอก็ลองว่ายน้ำอีก
เมื่อว่ายน้ำเป็นรอบที่สามเธอก็พบความน่าอัศจรรย์อีกอย่างของชุดนี้ นั่นคือมันช่วยเสริมทักษะการว่ายน้ำอย่างก้าวกระโดดแบบสังเกตุได้เลย ตอนที่เธอว่ายน้ำเธอรู้สึกเหมือนเป็นปลาเลยด้วยซ้ำ
ตอนแรกเธอก็คิดเหมือนกันว่าเป็นการคิดไปเอง แต่เมื่อเธอลองว่ายน้ำติดต่อกันในแต่ละรอบปรากฎว่ามันค่อยๆ เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในแต่ละรอบ
“นี่หลานของคุณไปฝึกว่ายน้ำกับมือโปรมาใช่ไหม เธอว่ายเร็วจัง” คุณนายซุนกล่าวชมออกมา
“เปล่านะ เธอแค่พอว่ายได้เท่านั้นเอง เธอจะว่ายน้ำได้เร็วขนาดนี้ได้ยังไงกัน หรือที่เธอว่ายได้ก็เพราะ…”
ซุนหลูไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่คิด รวมถึงคนอื่นๆ ที่เผลอคิดออกมาคล้ายๆกัน นอกจากนั้นคนอื่นๆ ที่อยู่ในสระต่างก็คิดว่าซุนซินซินว่ายน้ำได้เร็วมากจริงๆ
“ป้าคะ ขุดว่ายน้ำนี้ช่างวิเศษจริงๆ มันทำให้ว่ายน้ำได้ง่ายขึ้น หนูรู้สึกว่าเป็นปลาที่อยู่ในน้ำเลย”
ซุนซินซินที่เพิ่งจะขึ้นจากน้ำหยุดความตื่นเต้นไม่ได้เลย
ตอนที่เธอสวมชุดนี้มันทำให้เธอรู้สึกว่าตัวเองมีความมั่นใจมากๆ ตั้งแต่เคยว่ายน้ำมา
ซุนหลู คุณนายซุน คุณนายเหยา หวังซือหยา หยางเหว่ย และหญิงสาวคนที่ถามถึงราคาเสื้อก่อนหน้านี้ต่างก็เริ่มรู้สึกแล้วว่าชุดว่ายน้ำวิเศษสมราคาที่ตั้งไว้จริงๆ
“ซินซินจ้ะ หลานขึ้นมาก่อนนะ เดี๋ยวป้าจะลองจับเวลาตอนหลานว่ายดูว่าหลานว่ายได้เร็วแค่ไหน หลานว่ายให้เต็มแรงไปเลยนะ” ซุนหลูพูดพร้อมหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดแอพนาฬิกาจับเวลาเพื่อที่จะลองจับดูว่าซินซินว่ายได้เร็วแค่ไหน
“ได้ค่ะ” ซินซินปีนขึ้นจากสระ และเข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมว่ายน้ำ หลังจากซุนหลูให้สัญญาณ เธอได้กระโดดลงไปในน้ำและว่ายไปอีกฝั่งให้เร็วที่สุดที่เธอจะทำได้และถีบตัวกลับมาซึ่งระยะทางรวม 100 เมตร ผลที่ได้ก็คือเธอว่ายได้ดีกว่าสถิติว่ายน้ำท่าฟรีสไตล์ที่มีการบันทึกเอาไว้ในโรงเรียนของซุนซุนหนึ่งวินาที ตอนแรกก็คิดว่าเวลาที่ซุนหลูจับนั้นต้องคลาดเคลื่อนแน่ๆ เพราะเธอรู้ฝึมือเธอดีว่าไม่มีทางเลยที่จะว่ายน้ำเท่ากับสถิติโรงเรียนได้ อีกทั้งสถิตินี้ไม่มีใครทำลายได้มานานกว่าสามปีแล้ว
ถึงแม้ซุนซุนจะชอบว่ายน้ำมากขนาดไหน ฝึกซ้อมบ่อยเพียงใด ชอบถึงขั้นจ้างโค้ชทีมชาติมาเป็นครูฝึกเลยด้วยซ้ำ แต่เธอก็ยังทำเวลาได้ไม่ดีอยู่ดีนั่นก็เพราะว่าเธอไม่มีทักษะและร่างกายที่เหมาะกับการว่ายน้ำเลยแม้แต่น้อย ถ้าเธอเข้าชมรมว่ายน้ำ เธอจะอยู่อันดับท้ายสุดกู่อย่างไม่ต้องสงสัย การที่เธอว่ายน้ำจนทำลายสถิติได้ขนาดนี้ต้องเป็นเพราะชุดว่ายน้ำของซูจิ้งชุดนี้อย่างไม่ต้องสงสัยแม้แต่น้อย
คนอื่นๆ ที่ตามมาดูชุดว่ายน้ำต่างอดใจไม่ได้อีกต่อไป พวกเธอทำได้เพียงลองถามซินซินเพื่อขอลองใส่ชุดว่ายน้ำดูบ้าง เพราะรูปร่างของพวกเธอเองก็ไม่ได้ต่างกับซินซินเท่าไหร่นัก หลังจากพวกเธอได้ลองต่างก็รู้สึกได้ถึงความวิเศษของชุดว่ายน้ำชุดนี้ พวกเธอต่างได้ประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม เหมือนเป็นปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย
“มันช่างวิเศษจริงๆ”
“ขนาดชุดว่ายน้ำหนังฉลามที่ว่าดีแล้วยังเทียบไม่ได้เลย”
“ชุดว่ายน้ำของคุณซูนี่ช่างพิเศษสุดเลยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยทำไมถึงแพงนัก”
ทุกคนต่างก็เข้าใจเหตุผลที่ทำให้ชุดว่ายน้ำชุดนี้มีความพิเศษจนราคาแพงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ซุนซินซินอยากได้ชุดนี้แบบใจจะขาดตอนแรกซุนหลูเองก็ทำท่าทางอิดออดเหมือนกัน ต่อให้ครอบครัวของเธอจะรวยขนาดไหนแต่ก็ไม่อยากที่จะจ่ายเงินหนึ่งแสนอย่างไม่มีเหตุผลแน่นอน
แต่เมื่อซินซินยื่นข้อเสนอว่าขอเป็นของขวัญวันเกิด ซุนหลูเห็นด้วยในทันที ยิ่งกว่านั้นด้วยความวิเศษของของชุดว่ายน้ำชุดนี้บอกได้เลยว่าหนึ่งแสนนี่ถูกมากๆ เธอจริงเขียนราคาลงไปในป้ายประมูลทันทีจำนวน หนึ่งแสนห้าพันหยวน
อย่างไรก็ตามเธอกลับเพิ่งรู้สึกตัวว่าเธอคิดง่ายเกินไป นั่นก็เพราะว่าคุณนายซุนได้ใส่ราคาประมูลไว้ที่หนึ่งแสนหยวน คุณนายเหยาใส่ราคาที่หนึ่งแสนสองหมื่นหยวน เมื่อเธอเห็นดังนั้นจึงสู้ราคาใส่ไปที่หนึ่งแสนสามหมื่นหยวน คุณนายเหยานั้นเธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงราคาแต่อย่างใด แต่เธอก็ยังดูเหมือนไม่ยอมแพ้ง่ายๆนั่นก็เพราะว่าเวลาในการประมูลคือหนึ่งเดือน ไม่ความจำเป็นเลยที่จะต้องรีบใส่ราคาประมูล ดูเหมือนว่าเธอจะวางแผนไว้แล้วว่าเธอจะเปลี่ยนแปลงราคาประมูลตอนใกล้หมดเวลาหนึ่งเดือนที่ร้านได้กำหนดเอาไว้
ในตอนแรกที่หญิงสาวคนนั้นถามราคา เธอก็คิดว่ามีแต่ผีเท่านั้นที่จะซื้อได้(ไม่มีคนซื้อแน่นอน) แต่ตอนนี้เธอพูดไม่ออกเมื่อเห็นว่าราคาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งฉือชิงและตงเจี๋ยเองเมื่อเห็นฉากที่เกิดขึ้นต่างก็นิ่งอิ้งไปในทันที จนทำให้ทั้งหวังซือหยา หยางเหว่ย และลู่ชิงหยา ต้องอธิบายให้ทั้งสองคนฟังว่าทำไมราคาถึงจะต้องขึ้นสูงขนาดนั้น ในที่สุดพวกเธอทั้งสองแก็เข้าใจเหตุผลแล้วว่าทำไมถึงต้องแย่งกัน พวกเธอต่างก็รู้สึกตัวแล้วว่าผลิตภัณฑ์แต่ละชนิดที่ซูจิ้งนำออกมาจำหน่ายมีความสุดยอดเพียงใด
ตอนที่ 661
ปัญหาของเฉิงหนาน
ชุดว่ายน้ำรุ่นพิเศษของซูจิ้งที่ส่งมาขายที่ร้านของฉือชิงนั้น ซูจิ้งเป็นคนนำวัตถุดิบมาจากห้วงเวลาฯจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน ไม่กี่วันก่อนเขาก็ได้นำวัตถุดิบมาที่ร้านของซือหยาและถามหาคนที่ออกแบบเสื้อผ้าของร้านเพื่อที่จะให้ช่วยตัดเย็บให้เขา เหตุผลที่ว่าทำไมต้องตั้งเงื่อนไขในการขายให้มีระยะเวลาการประมูลหนึ่งเดือนก็เพราะว่าเขาต้องการทดสอบความนิยมของชุดๆ นี้ ถ้าราคาไม่ได้สูงนักเขาก็คิดจะทำไว้ให้พวกของตัวเองได้ใช้ แต่ถ้าราคาสูงเขาถึงจะตัดสินใจผลิตขายแบบจำนวนมาก ถึงแม้จะได้เงินไม่เท่าไหร่ก็ตาม
ซูจิ้งยังได้เตรียมไพฑูรย์ มรกต อำพัน และปะการังแดง บางส่วนที่ได้จากห้วงเวลาฯ ต่าง เพื่อจะส่งไปที่โรงประมูล
เมื่อการประมูลเสร็จสิ้น
ซูจิ้งได้ลองเช็คเงินในบัญชีดูพบว่าเขามีเงินอยู่จำนวน 1.2 หมื่นล้านหยวน ซึ่งเป็นเงินที่ได้จากการประมูลรวมถึงกำไรจากผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ ที่เขานำออกจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นแผงพลังงานแสงอาทิตย์ ของชำร่วยชนิดต่างๆ เสื้อกันกระสุนใยแมงมุม แป้งเม่ยหยาน เสื้อผ้า ซอสมะเขือเทศ และไวน์จิ้งจอกแดงซึ่งรวมถึงผลกำไรจาก ธุรกิจการท่องเที่ยวและร้านอาหารของเขา ซึ่งทำให้เขามีรายได้เข้าบัญชีอยู่ที่ 300 ล้านหยวนต่อเดือน ถ้ารวมกับเงินที่เขาได้จากโรงประมูลเดือนนี้เขาจะมีรายได้อยู่ที่ 400 ล้านหยวน ถึงจะมีรายได้ขนาดนี้แต่ก็ยังถือว่าไม่เพียงพอเพราะว่าการผลิตปฏิสสารของเขาใช้เงินมากกว่า 300 ล้าน หยวนต่อเดือน ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ต้องใช้รวมๆ อีกประมาณ 50 ล้านหยวน ทำให้ต่อเดือนนั้นเขามีเงินเหลือแค่ไม่เท่าไหร่ เขาเองก็ไม่คิดว่าการทำปฏิสสารจะผลาญเงินและยังยากต่อการดูแลรักษาอีกด้วย การที่ซูจิ้งสามารถเพิ่มเงินในบัญชีได้โดยไม่มีการติดลบแม้แต่น้อย ถึงแม้จะเป็นการเพิ่มทีละน้อยแต่ก็ถือว่าดีมากแล้ว
สำหรับตอนนี้ยังไม่มีการขยายกำลังการผลิตปฏิสสารทำให้การดูแลระบบไม่ยากเท่าไหร่ เมื่อยาเสริมเต้านมออกวางตลาดเมื่อไหร่ผลกำไรที่ได้จะเพิ่มขึ้นอีกระดับนึงเลย ถึงตอนนั้นก็คงไม่มีเรื่องต้องกังวลใจอีกแล้ว
ซูจิ้งคิดมาตลอดว่าถ้าเขาพร้อมเมื่อไหร่เขาจะเข้าสู่วิถีแห่งการฝึกตนทุกวันให้ได้ โดยเฉพาะการฝึกพลังภายในที่ต้องรีบฝึกให้เร็วที่สุด
ในขณะที่กำลังคิดอยู่นั้นเอง เสียงโทรศัพท์มือถือของเขาก็ได้ดังขึ้นมา เป็นหวังจ้าวที่โทรหาเขา เขารับโทรศัพท์ทันทีที่เห็นว่าเป็นใครที่โทรเข้ามา เมื่อรับสายหวังจ้าวได้พูดขึ้นมาว่า
“อาจิ้ง นายคิดว่าครั้งสุดท้ายที่เจอเฉิงหนานเธอดูเป็นยังไงบ้างน่ะ”
“คุณถามทำไมน่ะ เฉิงหนานดูอาการไม่ดีอย่างงั้นหรอ” ซูจิ้งถามกลับ
“อันที่จริงแล้วฉันคิดว่าความสามารถของเธอด้านธุรกิจถือว่าโดดเด่นเลยนะ จะพูดอีกอย่างว่าเป็นอัจฉริยะด้านนี้ก็ได้ ตั้งแต่เธอเข้ามาในแผนกจัดการงานทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศของเราเธอทำงานได้ดีเลยทีเดียว ที่ฉันถามนั้นเป็นเรื่องลักษณะนิสัยน่ะ ว่าเธอเชื่อใจได้รึเปล่า นายจำจ้าวหยวนได้ไหมที่นายเจอเมื่อตอนงานเลี้ยงคืนนั้นน่ะ ดูเหมือนเขาจะสนใจในตัวเฉิงหนานอย่างมากเขา ถึงกับมาที่บริษัทของเราเลยนะ นายคิดว่าการที่รับเธอเข้ามานี่จะเป็นเรื่องดีจริงๆ รึเปล่า”
ถึงแม้หวังจ้าวจะบอกว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องของจ้าวหยวนเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฉิงหนานก็เป็นอีกเรื่องนึง
“เฉิงหนานรังเกียจเขาจะตายไป คุณก็เห็นไม่ใช่หรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“มันน่ารำคาญอยู่นะ ตอนนี้จ้าวหยวนเหมือนจะเริ่มเล่นตุกติกแล้วเหมือนกัน ฉันกลัวว่าจะมีผลต่อการทำงานของเธอ ฉันไม่ได้พูดลอยๆนะ จ้าวหยวนถึงขั้นปิดประตูทางเข้าออกสำนักงานของเราเพียงเพราะเฉิงหนานไม่ยอมขึ้นรถไปกับเขา สุดท้ายฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจ้าวหยวนพูดอะไรกับเธอเฉิงหนานถึงยอมไปกับไอ้หมอนั่น” หวังจ้าวเล่าออกมาอย่างอารมณ์เสีย
“สำหรับผมนั้นผมคิดว่าเฉิงหนานเป็นคนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งเลย คุณไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องไอ้บ้าตระกูลจ้าวนั่นหรอก เดี๋ยวผมจัดการเอง”
ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมนึกถึงความรูสึกของเฉิงหนาน เธอนั้นเป็นอัจฉริยะทางด้านธุรกิจอย่างไม่ต้องสงสัย จากตอนแรกเป็นแค่ลูกน้องจนตอนนี้กลายเป็นหุ้นส่วนไปแล้ว การช่วยเหลือเธอนั้นนอกจากจะทำให้เธอกลายเป็นพันธมิตรที่ดีอย่างแน่นอนแล้ว หลังจากการช่วยเหลือจะทำให้เธอร่วมมือ มีความน่าเชื่อถือ และเชื่อใจได้อย่างไม่ต้องสงสัย
“ฮ่า ฮ่า งั้นฉันให้นายเป็นคนจัดการเรื่องของสาวสวยคนนี้ละกัน จำไว้นะว่านายเองก็เป็นคนตระกูลหวัง บางครั้งมันก็ต้องมีเรื่องที่นายจัดการเองไม่ได้ นายสามารถใช้อำนาจตระกูลหวังจัดการได้อย่างเต็มที่เลย เรื่องบางเรื่องนายไม่จำเป็นต้องเอาตัวเองไปเกลือกกลั้วหรอก ถ้ามันไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาน่ะนะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ผมจะรับข้อเสนอนี้ไว้พิจารณาละกัน” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มถึงจะได้ยินอย่างนั้นแต่เขาก็ยังตัดสินใจจะจัดการด้วยตัวเองอยู่ดี เรื่องบางเรื่องนั้นใช้อำนาจตระกูลหวังไม่ได้อย่างแน่นอน เพราะตระกูลหวังไม่ได้มีความสามารถเหมือนเขา อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ซูจิ้งจะลองใช้อำนาจของตระกูลหวังดูบ้าง เพราะว่าหวังซวนจิ้เองก็ยินดีพร้อมใจที่จะช่วยอย่างเต็มความสามารถ นั่นรวมถึงคนตระกูลหวังทั้งตระกูล แม้แต่ผู้ว่าการเมืองจงหยุน และผู้อำนวยการหน่วยรักษาความสงบของเมืองจงหยุนก็ยังต้องไว้หน้าเข้าเหมือนกัน
ในห้องคาราโอเกะห้องหนึ่ง มีเพียงจ้าวหยวนและเฉิงหนานนั่งอยู่ข้างในห้อง เฉิงหนานนั่งหน้าซึดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แต่จ้าวหยวนกลับยิ้มร่าออกมา พลางรินไวน์ให้เฉิงหนานแล้วเขาก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวหนาน นี่คือไวน์ที่บ่มมาตั้งแต่ปี 1957
เลยนะ ฉันนึกถึงเธอเป็นคนแรกเลยเมื่อเห็นไวน์ขวดนี้ ฉันให้ความสำคัญกับเธอนะถึงขนาดไม่ยอมดื่มก่อนเธอเลย”
“คุณจ้าว เราไม่ได้สนิทชิดเชื้อกันขนาดนั้น คุณไม่ควรเรียกฉันอย่างนั้นดีกว่า เหตุผลที่ฉันยอมมาที่นี่กับคุณก็เพื่อที่จะเคลียเรื่องของเราให้กระจ่างว่าฉันนั้นไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลย และฉันไม่มีทางแต่งงานกับคุณแน่นนอน อย่ารังควานฉันอีกเลยนะ แล้วก็ไม่ต้องเอาเรื่องนี้ไปโยงเข้ากับเรื่องธุรกิจและเรื่องอื่นๆ อีกด้วย มันไม่เกี่ยวกัน” เฉิงหนานพูดใส่จ้าวหยวนอย่างเย็นชา
จ้าวหยวนพยายามรังควาญเธออยู่บ่อยครั้งจนเธอรับไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อนเธอได้พูดคุยเรื่องธุรกิจกับบริษัท หนึ่งซึ่งผลการพูดคุยถือว่าเป็นไปได้ด้วยดี แต่ไม่นานนักพวกเขาก็เปลี่ยนใจ ต่อมาเธอถึงรู้ว่าจ้าวหยวนเป็นคนเข้ามายุ่งทำให้เรื่องเสียไป
ถึงแม้จ้าวหยวนจะบอกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรแต่จ้าวหยวนเองก็เป็นคนตระกูลจ้าว ผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็ไว้หน้าเขาและพยายามลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาด้วยอย่างสุดความสามารถ ซึ่งมันทำให้เธอดำเนินธุรกิจได้ยากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
เธอไม่ได้บอกปัญหาของเธอที่ต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ให้หวังจ้าวและซูจิ้งรับรู้เพราะว่าเธอกลัวว่าทั้งสองคนจะไม่ชอบ เรื่องที่เธอมีส่วนในการสร้างปัญหาหยุมหยิมแก่บริษัท แล้วตัดสินใจเตะเธอออกจากเกมธุรกิจของพวกเขา โดยเฉพาะตอนที่หวังจ้าวและซูจิ้งบอกว่าไม่ควรไปใส่ใจเรื่องของจ้าวหยวน สำหรับเธอนั่นหมายถึงว่าพวกเขาไม่ใส่ใจเรื่องของเธอด้วยเช่นเดียวกัน
“คุณเฉิง งั้นฉันขอพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเลยนะ ครั้งสุดท้ายที่ผมทำลงไปนั้นเพราะนึกว่าตัดใจจากคุณได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรผมก็ไม่สามารถตัดใจจากคุณได้ซักที คุณลองคิดเรื่องของเราใหม่ได้ไหมผมจะดูแลคุณไปตลอดชีวิตเลย” จ้าวหยวนพูดออกมาด้วยท่าทางกดดัน
“คุณจ้าว ไม่ว่าจะให้พูดซักกี่ครั้งฉันก็จะพูดเหมือนเดิม ฉันไม่เคยสนใจคุณเลยแม้แต่น้อย ฉันถึงขนาดยอมออกจากตระกูลเพื่อที่จะไม่ต้องแต่งงานกับคุณ ด้วยเรื่องนี้มันยังไม่ชัดเจนอีกงั้นหรอ” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
จ้าวหยวนขมวดคิ้ว ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังทำหน้ายิ้มและทำท่าทางสุขุมอยู่เหมือนเดิม เขาจิบไวน์ไปเล็กน้อยและก็ได้พูดออกมาว่า “คุณเฉิง คุณคิดจริงๆหรอว่าจะทรยศต่อความรู้สึกของผมได้ คุณคิดจริงๆ หรอว่าคุณจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัย”
“โผล่หางออกมาแล้วสินะ” เฉิงหนานแสยะยิ้มออกมาแล้วพูดต่อว่า
“อย่าลืมนะว่าฉันนั้นอยู่ในกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศ ถ้าคุณหวังกับคุณซูรู้เรื่องเข้าหล่ะก็ พวกเขาไม่มีทางปล่อยแกไว้แน่ ทำไมแกถึงไม่ปล่อยฉันไปซะหล่ะ ปล่อยฉันนนนน….”
“ฮ่า ฮ่า เท่าที่ฉันรู้นะ หวังจ้าวไม่ใช่คนที่จะมายุ่งเรื่องของคนอื่นหรอก ยิ่งกับคนนอกตระกูลอย่างเธอน่ะ ส่วนไอ้เจ้าเด็กนั่นรู้สึกจะชื่อซูจิ้งสินะ กะอีแค่เด็กที่คอยเกาะตระกูลหวังจนได้ดีอย่างนั้นน่ะนะ จะทำอะไรใครเขาได้ เธอคงไม่คิดว่าตระกูลหวังจะคิดจริงจังกับเรื่องของเด็กนั่นน่ะ ฉันลองไปตรวจสอบภูมิหลังของมันมาดูแล้ว มันเป็นคนที่มีนิสัยพยายามหลีกเลี่ยงปัญหา ทันทีที่ฉันรายงานภาครัฐเรื่องที่หมอนั่นครอบครองวัตถุโบราณและทรัพย์สมบัติ สัตว์อันตราย และของอื่นๆ พวกนั้น แค่นั้นก็มากพอที่จะทำให้มันต้องคิดหนักจนต้องดื่มไวน์เป็นหม้อๆ อย่างแน่นอน มันยังปกป้องตัวเองได้ยากเลย ไม่มีทางที่จะมาสนใจเธอได้หรอก” จ้าวหยวนแสยะยิ้มออกมาหลังพูดเสร็จ
เฉิงหนานถึงกับตะลึงเมื่อได้ยิน เธอเองก็ได้ตรวจสอบภูมิหลังของซูจิ้งแล้วเหมือนกันในตอนที่ตระกูลเธอพยายามจะเข้าหาเขาในตอนนั้น เธอรู้ว่าซูจิ้งไม่ได้ต่อกรด้วยง่ายๆ อย่างที่จ้าวหยวนพูด สิ่งเดียวที่เธอกังวลเกี่ยวกับเรื่องของซูจิ้งก็คือ เธอไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับซูจิ้งจึงไม่ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องช่วยเธอ
ณ ตอนนั้นเอง ประตูห้องก็ได้เปิดออกมาทันที นั่นทำให้จ้าวหยวนตกใจและกร่นด่าไปยังคนเฝ้าประตูว่าปล่อยให้คนอื่นเข้ามาได้อย่างไร แต่เมื่อเขาเห็นว่าคนที่เข้ามานั้นเป็นใคร เขาถึงกับยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก ซึ่งเฉิงหนานเองก็ยืนนิ่งเช่นเดียวกัน
ตอนที่ 662
หมากตัวหนึ่ง
คนที่เปิดประตูเข้ามานั้นไม่ใช่ใครอื่นนั่นก็คือซูจิ้ง จ้าวหยวนและเฉิงหนานต่างตกใจเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะปรากฏตัวที่นี่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จ้าวหยวนมองออกไปที่ประตูพร้อมแสดงสีหน้าสงสัยว่า ว่าพวกคนที่เฝ้าประตูปล่อยให้ซูจิ้งเข้ามาได้ยังไง เขาได้สั่งพวกนั้นไปแล้วว่าห้ามใครรบกวน
“คุณซู ทำไมคุณถึงมาที่นี่กันหล่ะ” เฉิงหนานหยุดยิ้มไม่ได้เมื่อเห็นหน้าซูจิ้ง พอเธอเห็นหน้าของชายหนุ่มคนนี้แล้วทำให้เธอรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างน่าประหลาด จากคำพูดของจ้าวหยวนก่อนนี้เธอสามารถบอกได้เลยว่าจ้าวหยวนไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน เธอนั้นนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอพยายามแก้ปัญหาเรื่องนี้เองด้วยการตัดขาดจากตระกูล ต่อให้ตอนนี้เธอยังอยู่ในตระกูลเฉิง ตระกูลของเธอก็ช่วยอะไรเธอไม่ได้อย่างแน่นอน
“คุณซู ผมว่าผมไม่ได้เชิญคุณมาที่นี่นะ คุณไม่คิดว่าจะเคาะประตูก่อนเข้ามาเลยรึไง” จ้าวหยวนพูดออกมาด้วยท่าทีเย็นชา ซูจิ้งนั้นไม่ยอมไว้หน้าเขาตอนงานเลี้ยงคืนนั้น แถมตอนนี้ยังบุกมายุ่งเรื่องของเขาถึงที่นี่อีก
ซูจิ้งนั้นไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของจ้าวหยวนแม้แต่น้อย เขาเดินตรงไปที่เฉิงหนานพร้อมพูดว่า “คุณเฉิงเดี๋ยวคุณออกไปก่อนนะ ผมมีอะไรจะคุยกับคุณจ้าวนิดหน่อย”
เมื่อได้ยินดังนั้นเฉิงหนานก็ทำอะไรไม่ถูก เธอไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากให้เธอออกไป มันทำให้เธอทำตัวไม่ถูกเหมือนกัน อย่างไรก็ตามการมาของซูจิ้งนั้นย่อมทำให้เขาต้องมีปัญหากับจ้าวหยวนอย่างแน่นอน ยังไงซะจ้าวหยวนก็ยังเป็นคนตระกูลจ้าว ซูจิ้งจะทำอะไรจ้าวหยวนได้กัน เฉิงหนานมองไปที่ซูจิ้งอีกครั้ง ในที่สุดเธอก็ยอมเดินออกจากห้องไปพร้อมปิดประตู
จ้าวหยวนรู้สึกเป็นปฎิปักษ์กับซูจิ้งในสิ่งที่เขาทำไปเป็นอย่างมาก ทันทีที่กำลังจะเปิดปากพูด เขาก็ได้ยินเสียงของซูจิ้งพูดออกมาว่า “จ้าวหยวน จงบอกเรื่องเลวทรามทั้งหมดที่แกทำออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็กก็ตาม” ในตอนนั้น จ้าวหยวนนึกยิ้มเยาะในใจและอยากจะพูดสวนกลับไปว่านี่แกกล้ามาสั่งฉันอย่างงั้นเรอะ แกมีสิทธิอะไร แต่ทันใดนั้นเขาก็มีความรู้สึกว่าสมองของเขามึนงง หัวหมุน วิงเวียน หน้ามืดตาลาย นั่นเป็นเพราะผลจากคลื่นพลังจิตของซูจิ้งที่ถาโถมเข้าใส่อย่างกับเทน้ำทะเลลงในจอกน้ำจนกระทั่งทำให้จ้าวหยวนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขามีความรู้สึกโง่งมพูดเรื่องเลวทรามของตัวเองออกมาอย่างหมดเปลือก ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเลวทรามต่ำช้ามากน้อยแค่ไหน
“เฮอะ เหมือนกันทั้งพี่น้องเลยแหะ กลายเป็นว่าจ้าวซือหลงนั้นเลียนแบบเรื่องเลวๆ มาจากแกนี่เอง ตอนแรกฉันยังคิดอยู่ว่าแกไม่ได้เลวร้ายเหมือนกับจ้าวซือหลง ในเมื่อแกหาเรื่องก่อน ถ้าอย่างนั้นจะทำให้แกเป็นตัวหมากของฉัน”
ซูจิ้งพูดออกมา ในคืนงานเลี้ยงคืนนั้นจ้าวซือเฟิงนั้นยังยอมไว้หน้าซูจิ้งอยู่บ้าง แต่ซูจิ้งก็ยังนึกตะขิดตะขวงใจอยู่เหมือนกัน เลยใช้พลังจิตตรวจสอบทั้งสามคน ทำให้เขารู้ว่าเขาถูกจับตามองจากตระกูลจ้าวอยู่ ซึ่งเหตุผลก็เพราะเรื่องการตายของจ้าวซือหลง
ตอนแรกซูจิ้งยังคิดอยู่ว่าจะปล่อยเรื่องนี้ไป เพราะยังไงซะจ้าวซือเฟิงเองก็ไม่ได้มีหลักฐานเชื่อมโยงระหว่างเขาและการตายของจ้าวซือหลงอยู่แล้ว ต่อให้มี แต่เป็นไปได้ว่าหลังจากจ้าวหยวนสืบดูเรื่องของเขาแล้ว จึงได้ตัดสินใจไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วยเพราะเขาอยู่ฝ่ายตระกูลหวัง ซึ่งแน่นอนว่าเขาก็ไม่อยากยุ่งเรื่องของจ้าวหยวนเหมือนกัน ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้เขาเองก็ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อจัดการเรื่องของจ้าวซือเฟิง ถึงแม้ว่าตระกูลจ้าวจะทำอะไรตระกูลหวังไม่ได้มากนัก ซูจิ้งก็ไม่อยากสร้างความวุ่นวายให้ตระกูลหวังอยู่ดี เพราะตัวเขานั้นนับวันยิ่งกลายเป็นจุดสนใจจากสายตาคนรอบข้าง ต่อให้ได้รับการปกป้องจากตระกูลหวังแต่เขาก็อยากจะหยุดปัญหาทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ซึ่งถ้าในตอนนี้มีปัญหาจากตระกูลจ้าวเข้ามาอีกเรื่องแล้วล่ะก็ ปัญหาที่เผชิญจะไม่ทางจัดการได้ง่ายๆแน่นอน
ตอนนี้ซูจิ้งได้ทำการสะกดจิตจ้าวหยวนโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้จ้าวหยวนการเป็นเพียงหุ่นเชิดของเขา ตอนนี้จ้าวหยวนกลายเป็นหูเป็นตาคอยสอดส่องเรื่องของตระกูลจ้าว กลายเป็นตัวหมากของเขาโดยสมบูรณ์ ในอนาคตนั้นเขาสามารถใช้จ้าวหยวนในการช่วยเหลือเขาอย่างลับๆได้ แน่นอน ซึ่งจากรายการความเลวที่จ้าวหยวนได้บอกเขาออกมาทั้งหมดนั้น ต่อให้บางอย่างไม่ได้เลวร้ายเลวทรามหินชาติซะทั้งหมด แต่ขนาดเรื่องที่เล็กที่สุดแล้วก็ยังต้องติดคุกเป็นสิบปีอยู่ดี ซูจิ้งไม่เคยให้ความเห็นใจแก่คนแบบหวังจ้าวอยู่แล้ว
“การจัดการเรื่องของจ้าวหยวนในครั้งนี้นี่ช่างได้ผลลัพท์ที่พิเศษสุดเลยจริงๆ การสะกดจิตแบบสมบูรณ์จะทำให้มันกลายเป็นคนโง่เง่าอย่างสมบูรณ์ ตั้งแต่ฉันฝึกฝนวิถีสู่ความสงบ พลังจิตของฉันแกร่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ไม่เพียงฝึกได้ถึงขั้นที่สามของวิถีแห่งการหลับไหลแล้ว ยังเพิ่มอัตราความสำเร็จในการสะกดจิตอีกด้วย ดีจริงๆที่ได้ลองดู” ซูจิ้งนึกย้อนไปตอนที่สะกดจิตปันฉางได้สำเร็จนั้น เขาได้สะกดจิตให้ปันฉางรู้สึกติดหนี้บุญคุณจากซูจิ้งอย่างใหญ่หลวง ด้วยการที่เขาได้ช่วยชีวิตน้องสาวของปันฉางและปันฉาง นั่นทำให้เขายอมทำทุกอย่างเพื่อตอบแทนซูจิ้ง ถ้าซูจิ้งต้องการอะไรเขาจะไม่อิดออดเลยแม้แต่น้อย เมื่อเทียบกับตอนนั้นแล้วช่างยากเย็นกว่าตอนที่สะกดจิตจ้าวหยวนเป็นไหนๆ
“ตู้ม”
พลังจิตของซูจิ้งกระแทกเข้าผ่านคลื่นสมองของจ้าวหยวนอย่างง่ายดาย พลังของเขาพุ่งเข้าไปในสมองของจ้าวหยวน ทั้งๆที่เพิ่งใช้พลังไปเพียงสิบส่วนเท่านั้น ณ ตอนนี้พลังจิตของซูจิ้งค่อยๆซึมลึกเข้าสู่สมองของจ้าวหยวนทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งเข้าไปสู่ห้วงความทรงจำของจ้าวหยวนได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ซูจิ้งที่ขัดสมาธิอยู่ได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมๆกับที่จ้าวหยวนเองก็ลืมตาขึ้นมาเช่นกัน
เขามองกลับมาที่ซูจิ้งพร้อมโค้งคำนับพร้อมพูดขึ้นมาว่า “เจ้านายครับ”
“สำเร็จซักที” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีที่ปลาบปลื้มในผลงานของตน เอา เอาจริงๆ ถ้าเขาอยากจะใช้การสะกดเพื่อทำเรื่องเลวร้ายล่ะก็ ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยการที่เขามีจิตใจที่มั่นคง ซื่อตรง และยึดถือในเกียรติ เขานั้นไม่มีทางทำเรื่องแย่ๆพวกนั้นอย่างแน่นอน
“ต่อจากนี้ห้ามนายไปรังควานเฉิงหนานอีก และต่อหน้าคนอื่น ความสัมพันธ์ของพวกเราจะยังคงต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นศัตรูกันเหมือนเดิม เข้าใจไหม” ซูจิ้งถามย้ำอีกครั้ง
“เข้าใจแล้วครับ” จ้าวหยวนพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน
“ตอนนี้ก็มีเท่านี้แหล่ะ ถ้าฉันมีอะไรจะติดต่อนายอีกที” หลังจากได้เบอร์ของจ้าวหยวนแล้ว ซูจิ้งได้เดินออกจากห้อง
เฉิงหนานที่รออยู่หน้าห้องรีบเข้ามาพร้อมถามว่า “เป็นยังไงบ้างคะคุณซู”
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ตอนนี้เขาจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเธออีกในอนาคต” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เฉิงหนานเมื่อได้ยินดังนั้นก็ได้แต่นิ่งเงียบไป เมื่อเธอมองไปในห้องก็เห็นจ้าวหยวนยกมือทักทายพร้อมรอยยิ้มที่เป็นมิตร ภาพที่เธอเห็นอยู่ตอนนี้ช่างต่างจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีความรู้สึกคุกคามอีกแต่ไป มีเพียงความรู้สึกที่เป็นมิตรมากจนบอกไม่ถูก
เฉิงหนานได้แต่คิดว่าตาฝาดไป แต่เธอก็พบว่าจ้าวหยวนในตอนนี้คุยด้วยได้ง่ายจนเหมือนเธอสนิทกับเขามานานปี ซูจิ้งคุยอะไรกับเขากันแน่ เธอได้แต่มองไปยังซูจิ้งด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง และได้แต่คิดว่าเธอยังดูแคลนซูจิ้งมากเกินไป
เฉิงหนานมองซูจิ้งอยู่นานจนเธอลืมหายใจพอรู้สึกตัวเลยต้องรีบหายใจเข้าเฮือกใหญ่
เธอต้องการที่จะตัดสินใจอะไรบางอย่างซึ่งเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตเธอ ทันใดนั้นเธอก็พูดว่า “คุณซูคะ เราพอจะนั่งคุยกันซักหน่อยได้รึเปล่าคะ”
“ถ้างั้นเข้าไปนั่งคุยกันในรถดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาแล้วพวกเข้าก็เดินไปที่รถที่จอดรออยู่
“คุณซู ฉันคิดว่าตัวฉันเองพอจะมีความสามารถในการจัดการด้านการเงินและการจัดการงานทั่วไปอยู่บ้าง คุณคิดอย่างนั้นเหมือนกันรึเปล่าคะ” เฉิงหนานนั้นไม่ใช่ว่าเธอไม่มีเหตุผลที่ได้พูดออกมา ในขณะที่พูดนั้นเธอสวมชุดสูทเต็มตัวและเข้ารูปทำให้ดูเซ็กซี่พอสมควร ด้วยผมที่ยาวสลวย และหน้าตาที่ชวนหลงใหล สามารถดึงดูดสายตาคนได้อย่างแน่นอน ต่อให้ประโยคนี้จะมีคนอื่นพูดแต่ใครจะพูดได้อย่างมั่นใจและทรงเสน่ได้เหมือนเธอไม่มีอีกแล้ว
“คุณเฉิงคืออัจฉริยะในด้านธุรกิจอย่างแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย แล้วเราจำเป็นต้องพูดเรื่องความสามารถด้วยงั้นหรอ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ช่างรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากค่ะที่คุณคิดเช่นนั้น นั่นทำให้ฉันมีความกล้าพอที่จะพูดในสิ่งที่คิดแล้ว งั้นฉันขอพูดเลยแล้วกันนะคะ คุณซูคะ ด้วยความสามารถของคุณนั้นคุณมีโอกาสทางธุรกิจ รวมถึงโอกาสด้านอุตสาหกรรมอย่างไม่ต้องสงสัยค่ะ เพียงแต่ว่าโอกาสเหล่านั้นของคุณได้กระจัดกระจายไปทั่วและยังไม่การจัดการที่ดีพอ ในส่วนของเรื่องเงินทุนนั้น คุณยังขาดเงินทุนหมุนเวียนในแต่ละผลิตภัณฑ์ของคุณ ต่อให้คุณชายหวังและคุณหนูหวังจะไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเงินทุนก้อนนี้ แต่ฉันก็กลัวว่าสักวันคุณจะจัดการมันไม่ได้ หรือไม่ก็อาจเกิดเหตุไม่คาดฝันด้านการเงินขึ้นได้ ฉันคิดว่าคุณต้องการใครซักคนมาช่วยในการจัดการเรื่องพวกนี้ ” เฉิงหนานพูดออกมาอย่างมั่นใจด้วยรอยยิ้มอันน่าหลงใหล
“โอ้ออออ…”
ซูจิ้งร้องออกมาด้วยสายตาที่เบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ยินที่เฉิงหนานพูด เขาเข้าใจได้ทันทีว่าเฉิงหนานต้องการสื่ออะไรกับเขา ถ้าถึงขนาดเธอพูดซะขนาดนี้แล้วเขายังไม่เข้าใจก็ควรกระโดดเอาหัวทิ่มพื้นไปซะ ยังไงซะเขาก็คิดว่าการที่เฉิงหนานเล่นใหญ่ซะขนาดนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีทำให้เขาไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว
“ถึงคุณชายหวังและคุณหนูหวังจะเชื่อถือได้ แต่พวกเขาก็ไม่ทางที่จะจัดการเรื่องทั้งหมดได้อย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น…. ยิ่งกว่านั้น…. เอ่อออ… ยิ่งกว่านั้น… มันยากที่จะเชื่อได้ว่าพวกเขามีความสามารถในการจัดการเรื่องทั้งหมดได้จริงๆ คุณซูคะ ถ้าคุณเชื่อใจฉัน ฉันจะช่วยคุณจัดการเรื่องเหล่านี้อย่างสุดความสามารถให้คุณ คุณคิดว่ายังไงบ้างคะ”
เฉิงหนานพยายามคิดหาวิธีการอยู่ว่าจะลองแนะนำซูจิ้งยังไงดีเพื่อที่เมื่อเขาได้ยินแล้วจะยอมให้เธอร่วมงานกับเขาโดยตรงได้
ที่เธอต้องพยายามคิดขนาดนี้ นั่นก็เพราะว่า อย่างแรกเธอนั้นไม่ต้องการข้อจำกัดในการจัดการและต้องการจะแสดงศักยภาพในการบริหารธุรกิจได้อย่างเต็มที่ อย่างที่สองเหตุการณ์จ้าวหยวนในครั้งนี้ทำให้เธอมั่นใจในทันทีว่าซูจิ้งเป็นต้นไม้ใหญ่ที่มีความาสามารถในการปกป้องเธอได้อย่างไม่ต้องสงสัย และเธอเองก็พร้อมจะทำเงินให้ซูจิ้งอย่างแน่นอน ถือว่าดีต่อกันทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมาเธอนั้นได้ทำงานกับซูจิ้งอยู่แล้ว แต่ก็ยังเป็นการทำงานผ่านตระกูลหวัง และพัฒนาการของตระกูลหวังก็ดีขึ้นมากผ่านทางธุรกิจของซูจิ้ง ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็ตามเธอก็ต้องทำงานกับซูจิ้งอยู่แล้ว แต่การทำงานร่วมกับซูจิ้งโดยตรงนั้นจะทำให้เธอทำงานได้ดีกว่า และมันจะทำให้เธอทำงานได้อย่างที่เธอต้องการ
“ยินดีที่ได้ร่วมงานกันนะ” ซูจิ้งพูดพลางยิ้มกว้างออกมา
เฉิงหนานต้องนั่งนิ่งอีกครั้ง เธอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะตอบรับเธอเร็วขนาดนี้ ปากของเธอเม้มเล็กน้อยและยิ้มออกมา ช่างเป็นรอยยิ้มที่ดูดีและทรงเสน่ห์อย่างไม่ต้องสงสัย เธอจับมือซูจิ้งพร้อมพูดด้วยรอยยิ้มอย่างหมดหัวใจว่า “คุณซูช่างดีกับฉันจริงๆ ฉันจะทำให้เงินของคุณงอกเงยอย่างแน่นอนค่ะ”
ตอนที่ 663
ซื้อฟาร์มม้า
ซูจิ้งและเฉิงหนานได้พูดคุยเรื่องรายละเอียดในการร่วมงานกัน ซึ่งผลออกมาคือธุรกิจเกือบทั้งหมดของเขาจะให้เฉิงหนานเป็นคนจัดการ
เฉิงหนานพอรู้เข้าถึงกับดีใจจนเนื้อเต้น เพียงเธอพูดออกมาซูจิ้งก็ยอมทำตามที่เธอพูดหมดทุกอย่าง ความเชื่อใจนี้มากกว่าตอนที่เธอทำงานให้ตระกูลหวังอย่างสุดกู่ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะพูดยังไงดี จะบอกว่าซูจิ้งเป็นคนโง่ดีหรือจะบอกว่าซูจิ้งไม่มีศาสตร์ในการทำงานกับคนดี อย่างไรก็ตามตัวนั้นเธอก็มีความตั้งใจอันแรงกล้าอยู่แล้วว่า จะช่วยซูจิ้งในการจัดการงานทุกอย่าง และทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ให้สมกับที่เขาเชื่อใจเธอ
มีสิ่งหนึ่งที่เฉิงหนานไม่มีทางรู้ก็คือซูจิ้งนั้นได้ใช้พลังจิตของเขากับเธอเรียบร้อยแล้ว เขาได้อ่านกระแสความคิดของเธอแล้วตัดสินใจได้ว่าเธอเชื่อถือได้อย่างแน่นอน อีกทั้งในระหว่างที่คุยงานกัน เขายังแอบสะกดจิตเธอนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เธอเปลี่ยนใจทีหลัง หากเธอต้องเจอสภาพงานหนักทั้งหมดที่ต้องเผชิญเมื่อร่วมงานกับเขาแล้ว
ซูจิ้งยังคุยกับหวังจ้าวเพื่อที่จะเลื่อนตำแหน่งให้เฉิงหนาน โดยเขาอยากให้เฉิงหนานเป็นผู้จัดการงานทั่วไปของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ เพราะหวังจ้าวเองนั้นก็มีงานยุ่งวุ่นวายมากจนจัดการได้ไม่เต็มความสามารถ โดยเขาจะให้เฉิงหนานเข้าไปช่วยในการจัดการงานด้านอุตสาหกรรมเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าเธอทำได้อย่างดีและมีความสามารถมากพออยู่แล้ว ตอนแรกหวังจ้าวแม้ว่าจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นัก แต่ซูจิ้งก็ยังพยายามเกลี้่ยกล่อมเขาอยู่ดี หวังจ้าวนั้นไม่ค่อยเชื่อใจเฉิงหนานนัก แต่เขาเชื่อใจซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะว่าเขาเป็นหุ้นส่วนใหญ่ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ อีกทั้งถ้าลองให้ซูจิ้งเชื่อใจเฉิงหนานแล้วก็แสดงว่าเขาต้องมีเหตุผลดีๆ อย่างแน่นอน ต่อให้จัดการไม่ได้พวกเขาก็แค่ดึงตัวเฉิงหนานออกจากงานส่วนนั้นแค่นั้นเอง
ในไม่ช้า เฉิงหนานได้ช่วยซูจิ้งในการจัดการงานต่างๆ ที่ได้รับมาอย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบอุตสาหกรรม การกำหนดนโยบายและแนวทางการพัฒนางานในแต่ละด้าน รวมถึงการจัดทำแผนด้านการเงินแบบไม่เป็นทางการให้แก่เขาเพื่อไม่ให้เงินในบัญชีลดลงเกินดุล หลังจากที่เขาเห็นก็ทำได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก พลางนึกในใจว่าในที่สุดเขาก็หามืออาชีพได้ซะที
ในความจริงแล้วเฉิงหนานเองก็ค่อนข้างทึ่งกับการลงทุนของซูจิ้ง นั่นก็เพระว่าทุกอย่างที่ซูจิ้งตัดสินใจลงทุนนั้นล้วนแล้วแต่ให้ผลกำไรทั้งนั้น แต่จะมากหรือน้อยนี่ก็อีกเรื่องนึงเพราะซูจิ้งไม่ถนัดในการจัดการด้านธุรกิจ ถ้าหากมีการจัดการที่ดีพอละก็ ธุรกิจของเขายังสามารถพัฒนาต่อยอดเติบโตได้มากกว่าเดิม และยังสร้างโอกาสทางธุรกิจที่คุ้มค่าต่อการลองสำรวจหาโอกาสดังกล่าวอย่างแน่นอน
ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่เกิดขึ้นได้ทำให้ทั้งสองทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
กว่าซูจิ้งจะได้กลับบ้านหลังเสร็จงานก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อเขาเดินเข้าไปที่สวน เขาก็พบว่ามีคนอยู่ในสวนของเขาแล้วนั่นก็คือ ฉือชิง หยางเว่ย ลู่ชิงหยา และหลิวฉิง เขาก็พอเข้าใจได้ว่าลู่ชิงหยากับหยางเว่ยมาได้ยังไง เป็นเพราะว่าวันนี้ทั้งสองไปช่วยงานในวันเปิดร้านของฉือชิงจะชวนมาบ้านซึ่งก็ไม่แปลก แต่หลิวฉิงนี่สิมาทำอะไร
ทุกคนต่างตกตะลึงกับความสวยงานในสวนของซูจิ้ง ลู่ชิงหยาถึงกับอยากจะกรี๊ดซ้ำๆ ออกมาเลยด้วยซ้ำเมื่อเธอเห็นความสวยงามของสวนสวรรค์แห่งนี้ ด้วยการที่ไม่กี่วันก่อนซูจิ้งได้ฝึกพลังภายในของเขา เขาได้ลองใช้มันกับต้นไม้ในสวนของตัวเองเพื่อฝึกฝนจนทำให้เกิดสวนสวรรค์แห่งนี้ขึ้น พวกมันดูเหมือนงานศิลป์มากกว่าสวนต้นไม้จนทำให้ลู่ชิงหยาที่เรียนในด้านการตกแต่งสวนยังหลงใหล หลงใหลมาจนถึงกับต้องถ่ายรูปไปอวดอาจารย์ของเธอดู เมื่ออาจารย์ของเธอเห็นก็ไม่ได้บอกว่ามันดูดีหรือแย่ บอกแค่ว่าจะรีบบินมาทันทีที่มีโอกาส
สิ่งที่ทำให้ลู่ชิงหยาฉงนมากที่สุดก็คือเธอเองก็ได้มาที่นี่บ่อยๆ ในตอนนั้นทั้งต้นหลิว ต้นมอลเบอร์รี่ ต้นไผ่ ฯลฯ ต้นไม้พวกนี้ตอนที่เธอเคยเห็นพวกมันไม่ได้ดูดีขนาดนี้ พวกมันเติบโตได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าครั้งสุดท้ายที่เห็นอย่างผิดตา ไม่ใช่แค่ดูสมบูรณ์แต่รูปทรงต่างๆ ก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เธอพยายามถามฉือชิงดูแล้วว่าทำได้ยังไง แต่ฉือชิงก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกันเพราะคนดูแลสวนนี้คือซูจิ้ง
“อาจิ้ง ในที่สุดนายก็มาซักที ฉันเอือมกับการตอบคำถามชิงหยาแล้วอ่ะ ถ้านายไม่กลับมาหล่ะกันฉันต้องแย่แน่ๆ” ทันทีที่ฉือชิงเห็นซูจิ้ง เธอรีบเข้ามาอ้อนทันทีพร้อมรอยยิ้มเหนื่อยอ่อนจากบาดแผล(คำถามมากมาย)ที่ลู่ชิงหยาได้สร้างไว้กับเธอ
“มาซักที ฉันมองหานายที่ร้านทั้งวันเลยนะ ฉันอยากจะถามอะไรนายซักหน่อยน่ะ” ลู่ชิงหยาหัวเราะจนตัวสั่นเล็กน้อยหลังจากเห็นฉือชิงที่ได้ยินเสียงเธอจากด้านหลังแล้วรีบไปหลบหลังซูจิ้ง พอเธอหยุดหัวเราะก็ได้ยิงคำถามออกมาทันที
“ซูจิ้ง นายทำยังไงต้นไม้ในสวนถึงได้เปลี่ยนไปจนดูดีขนาดนี้”
“นิสัยของผู้หญิงเองยังเปลี่ยนไปได้ตั้ง 18 ครั้งเลย(สุภาษิตจีน) ทำไมต้นไม้จะเปลี่ยนไปบ้างไม่ได้หล่ะ” ซูจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ฉันถามจริงๆ นะ นายช่วยสอนเราสองคนจัดสวนได้รึเปล่า” ลู่ชิงหยาออกมาด้วยท่าทางออดอ้อนน่ารักน่าเอ็นดู
“ฉันก็ขอตอบจริงๆ เหมือนกันนะว่าฉันไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ ฉันแค่ดูแลพวกมันอย่างดีแค่นั้นเอง การที่พวกมันดูดีขนาดนี้ได้ยังไงนี่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ทั้งที่ฉันไม่ได้ทำอะไรพวกมันนอกจากดูแลปกติเลยนะ” ซูจิ้งพูดพลางยักไหล่
เขาไม่ได้บอกความจริงให้ลู่ชิงหยาฟังก็เพราะว่าไม่มีทางที่เขาจะสอนเธอในการเรียนรู้เวทมนต์สัมผัสของใบไม้แห่งฤดูใบไม้ผลิได้แน่นอนอยู่แล้ว
“ฉันก็คิดไว้แล้วเชียว” ลู่ชิงหยาคิดว่าอยู่แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เธอคิดว่าสิ่งที่พิเศษที่ทำให้ต้นไม้เปลี่ยนแปลงไปก็คือสภาพแวดล้อมมากกว่า ด้วยสภาพที่เหมือนสวนสวรรค์ในบริเวณนี้ทำให้ต้นไม้โตขึ้นอย่างสมบูรณ์และสวยงามอย่างมาก มันต้องเป็นเรื่องของฮวงจุ้ยอย่างแน่นอน เธอทำได้เพียงแค่อิจฉาซูจิ้งและฉือชิง ถ้าเธอได้อยู่ในสวนแห่งนี้ต้องมีความสุขมากแน่ๆ ถ้าเธอไม่กลัวว่าจะเป็นเข้าไปวุ่นวายในโลกแห่งความรักของทั้งสองคนล่ะก็ เธอคงย้ายมาอยู่สักวันสองวันเรียบร้อยแล้ว
“ฉันอิจฉานายจริงๆ ฉันอยากให้สวนของฉันสวยอย่างนี้บ้างจัง” หยางเว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
“ลูกพี่จิ้งครับ ทำยังไงผมถึงจะเปลี่ยนสวนที่บ้านให้กลายเป็นอย่างนี้ได้บ้าง ผมเองก็ลองพยายามเลียนแบบดูแล้วนะแต่ก็ยังไม่เหมือนกันเลย ” หลิวฉิงแสดงสีหน้าสลดออกมา เขานั้นได้มีโอกาสมีบ้านของตัวเองเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความประทับใจในตัวซูจิ้ง เขาจึงได้เลียนแบบการตกแต่งบ้านและสวนตามบ้านหลังนี้ ถึงจะดูเหมือนกันแค่ไหนแต่ก็ยังให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันอยู่ดี
“มันก็ขึ้นอยู่กับอุปนิสัยแต่ละคนมากกว่าอ่ะนะว่าจะแต่งบ้านและสวนยังให้กลายเป็นสวนสวรรค์ของเจ้าของบ้าน ว่าแต่…นายมาที่นี่เพราะเรื่องการแต่งสวนเนี่ยนะ” ซูจิ้งถามด้วยรอยยิ้ม
“เปล่าหรอก วันนี้มาเรื่องม้าแข่งน่ะ ผมขอถามหน่อยว่า ม้าแข่งของฉินซูหลานนี่ใช่ของลูกพี่รึเปล่า” หลิวฉิงถามออกมา
“ใช่แล้วหล่ะ” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“ว่าแล้วเชียว” หลิวฉิงแสดงท่าทางดีใจที่เดาถูกออกมา ก่อนจะทำหน้าตาที่ดูดีขึ้นมาหน่อยพร้อมพูดว่า “พี่จิ้ง พี่ทำฉันหมดตัวเลยนะ ถ้าฉันรู้ว่าม้าของเขาเป็นม้าที่พี่ให้ไปหล่ะก็ ฉันจะไม่มีวันพนันม้ารอบนั้นไปที่ตัวอื่นแน่นอนเลย ฉันจะทุ่มลงไปที่ม้าของพี่แบบหมดหน้าตักด้วยซ้ำ ว่าแต่ทำไมพี่ถึงใจดีให้ม้าหมอนั่นไปได้หล่ะ”
“ฉันก็แค่ให้เขาเป็นคนจัดการเฉยๆ น่ะ แล้วเขาก็ดันเป็นคนหาม้าแข่งเท่านั้นเอง” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ
“คราวหน้าถ้าพี่ต้องการหาคนดูแลเรื่องม้าแข่งละก็ให้ผมทำดีกว่า ผมมีความรู้เรื่องม้าแข่งมากกว่าเขาเป็นร้อยเท่าเลยนะ แล้วก็ผมได้ยินมาว่าพี่อยากจะซื้อฟาร์มม้าใช่รึเปล่า พอดีผมรู้จักคนที่อยากจะขายฟาร์มม้าอยู่ ฉินซูหลานไม่รอบรู้เท่าผมแน่นอน เขาไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก” หลิวฉิงเอามือทุบไปที่หน้าอกตัวเองอย่างมั่นใจพร้อมพูดต่อว่า
“เรื่องที่พูดไปก่อนหน้านี้อาจจะเกินจริงไปหน่อย เอาเป็นว่าผมเองนั้นก็รู้เรื่องม้าแข่งไม่น้อยกว่าหลินซูหลานอย่างแน่นอน” อีกความหมายนึงก็พอจะพูดได้ว่าเขาและฉินซูหลานนั้นมีความชอบคล้ายกัน ทั้งเรื่องแข่งรถ แข่งสัตว์ ว่าง่ายๆ ก็คือเกมการพนันทั้งหลายแหล่ ถ้าพวกเขาไม่เคยสาบานว่าจะเป็นศัตรูคู่อาฆาตเรื่องนี้กันละก็ บอกได้เลยว่าต้องเป็นคู่หูขั้นซี้ปึ้กอย่างไม่ต้องสงสัย
“จริงรึ ว่าแต่ฟาร์มม้าที่ว่ามันอยู่ไกลจากที่นี่แค่ไหนหล่ะ” ซูจิ้งพูดพร้อมสายตาที่ส่องประกาย
“ไม่ไกลนะ ประมาณไม่เกิน 100 กม. จากที่นี่ ที่นั่นก็มีม้าแข่งอยู่แล้วประมาณ 60 – 70 ตัวได้ และพวกเขาก็เลี้ยงพวกมันเป็นอย่างดีด้วย พวกเขาฝึกไว้ใช้สำหรับเป็นม้าฝึกซ้อมให้คนขี่ม้า แต่ว่าพอทำอย่างนั้นแล้วไม่ค่อยทำเงินเท่าไหร่เลยอยากขายต่อ” หลิงฉิงตอบ
“นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลย ขอบคุณที่มาบอกฉันนะ” ซูจิ้งกล่าวขอบคุณอย่างหมดใจ
“ฮ่า ฮ่า มันเป็นเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้ว ว่าแต่พี่ยังอยากได้ตัวแทนเรื่องม้าแข่งอยู่อีกรึเปล่า ถ้าพี่อยากได้อย่าไปให้ฉินซูหลานเลยนะ ผมขอเป็นคนทำเอง” หลิวฉิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นที่จะพูดเรื่องนี้ออกมาหลังจากเห็นท่าทางยินดีของซูจิ้งก่อนหน้านี้ พร้อมสำทับตัวเองว่าเรื่องนี้เขาทำได้ดีกว่าฉินซูหลานแน่นอน
“ฮ่า ฮ่า ถ้านายอยากเป็นตัวแทนของฉันจริงล่ะก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวฉันจะให้ม้าวิเศษกับนายไปเลย” ซูจิ้งตอบออกมา
“จริงหรอ” ตอนนี้ตาของหลิวฉิงร้อนแรงประดุจดั่งจะฉายแสงออกมาได้ เขารีบพูดต่อทันที “ถ้าเป็นไปได้ผมขอตัวที่ไม่แพ้ตัวที่ฉินซูหลานได้ไปนะ”
“อย่าว่าแต่จะไม่แพ้เลย ตัวที่จะให้นายยังดีกว่าด้วยซ้ำ มันคือม้าแข่งอย่างแท้จริง ฉันสามารถฝึกใหม่ให้เป็นม้าแข่งสำหรับนายโดยเฉพาะเลยด้วยซ้ำ” ซูจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม เหตุผลที่เขาอยากซื้อฟาร์มม้านั้นก็ง่ายๆ นั่นคือเขาต้องการใช้ชิ้นส่วนจากมังกรทั้งหลายที่เขาได้มาที่ทิ้งขยะจากห้วงเวลาฯ ในการสร้างม้าพันธุ์ชั้นเลิศออกมา ส่วนจะเพื่อใช้ในการแข่งหรือขายค่อยว่ากันอีกที เพราะปล่อยชิ้นส่วนพวกนั้นไว้เฉยๆ ก็เปล่าประโยชน์
ตอนที่ 664
วิธีดูม้า
ทั้งลู่ชิงหยาและหยางเว่ยเมื่อได้ยินคำสนทนาเหล่านั้นก็รู้สึกประหลาดใจ ทำไมซูจิ้งถึงอยากจะเริ่มทำฟาร์มม้าหล่ะ เขาเข้าใจมันด้วยหรอ ฉือชิงเองก็ไม่แน่ใจเรื่องนี้เหมือนกันที่จึงเลือกที่จะฟังอยู่เงียบๆ เธอรู้แค่ว่าซูจิ้งมีลูกม้าเลี้ยงไว้แค่นั้นเอง
“พี่จิ้ง พี่มีม้าแข่งด้วยหรอ” หลิวฉิงเองก็เกิดความรู้สึกแปลกใจพร้อมทั้งมีความสุขไปพร้อมกัน เขานั้นมีความหลงใหลในเรื่องการแข่งม้ามากกว่าการแข่งรถ ถ้าจะให้พูดล่ะก็เขาอยากให้การแข่งโอลิมปีกนั้นมีการแข่งม้าวิบาก แข่งม้าข้ามแดน และแข่งม้าสามวันสามคืน แทนการแข่งรถไปเลยด้วยซ้ำ
“ฉันก็ฝึกไว้อยู่เหมือนกันนะ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันอยู่ในระดับไหน เอาเป็นว่าลองดูเองเลยละกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้ว ต้องเห็นด้วยตาตัวเองยังไงก็ดีกว่าอยู่แล้ว ว่าแต่ม้าอยู่ไหนหรอ” หลิวฉิงเอ่ยถามออกมา
ทันใดนั้นซูจิ้งได้ทำการผิวปาก เมื่อสิ้นเสียงก็มีเสียงม้าร้องมาจากข้างบนตึก ซักพักนึงก็มีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นมา และค่อยๆดังขึ้นเรื่อย จนกระทั่งม้าสีขาวทั้งตัวที่ดูแล้วสวยมากๆ ได้ปรากฎกายขี้นที่มุมเลี้ยวของบันได และมันก็ได้รีบวิ่งลงมาอย่างช้าๆ ถ้าจะให้พูดแล้วในความจริงนั้นการที่ม้าตัวหนึ่งจะลงบันไดมาด้วยตัวของมันเองถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่กับม้าขาวตัวนี้อย่าว่าแต่ยากเลย มันเดินลงมาได้ดีกว่าคนเดินด้วยซ้ำ พอลงมาถึงมันก็พุ่งเข้าไปคลอเคลียที่หน้าของซูจิ้ง พร้อมทั้งเลียไปทั่วใบหน้า
เจ้าม้าขาวตัวนี้มันอาศัยอยู่ที่สวนมานานพอสมควรแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่มันอยากเจอซูจิ้งมันก็จะวิ่งขี้นบันไดไปหา ตอนแรกมันใช้บันไดไม่เป็นหรอกแต่พอลองได้ซักพักมันก็แทบจะวิ่งเล่นได้เลย ไม่เสียแรงที่กินอำพันมังกรเข้าไปตั้งห้าชิ้น
“ม้าตัวนี้ช่างสวยจริงๆ” หลิวฉิงตะลึงจนแทบทำอะไรไม่ถูก
“มันสวยมาก”
“เจ้านี่คือม้ายูนิคอร์นนั่นรึเปล่า เป็นไปได้ด้วยหรอที่จะมีม้าสวยขนาดนี้”
แม้แต่หยางเว่ยและลู่ชิงหยาก็ยังตกตะลึง
ลู่ชิงหยาคิดอย่างมั่นใจเลยว่านี่ต้องเป็นยูนิคอร์นแน่นอนซึ่งก็ว่าเธอไม่ได้หรอก นั่นก็เพราะว่าม้าตัวนี้สวยมาก รูปร่างสมบูรณ์แบบ ขนขาวเหมือนหิมะ นุ่มละมุน และเปล่งประกายสะท้อนแสง และมีดวงตาที่สุกสกาว ม้าแข่งที่เธอรู้จักนั้นต่อให้ดียังไงก็ยังสู้ตัวนี้ไม่ได้เลย ไม่ว่าใครที่ได้เห็นก็ต้องคิดในทันทีว่าไม่ใช่ม้าธรรมดา
พอเห็นเจ้าม้าตัวนี้คลอเคลียซูจิ้งแล้วทั้งสามคนมีความรู้สึกอยากจะลองสัมผัสตัวมันบ้าง แต่พวกเขาก็กลัวที่จะสัมผัสเหมือนกันจึงยังไม่กล้าทำอะไร ฉือชิงเห็นดังนั้นจึงได้เข้าไปใกล้ๆม้าเพื่อที่จะทำเป็นตัวอย่างให้ดูว่าต้องเข้าหาม้ายังไง เธอนั้นก็มาที่บ้านหลังนี้บ่อยๆ และก็คุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี ซึ่งที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะว่าเจ้าม้าน้อยตัวนี้มีสติปัญญาทำให้มันรู้ว่าฉือชิงนั้นมีสายสัมพันธ์อันดีกับเจ้านายของมัน
“ให้ฉันทำให้ดูแล้วกันว่ามันทำอะไรได้บ้าง” ซูจิ้งบอกพร้อมวางมือไว้บนหลังแล้วก็ดันตัวขึ้นไปแล้วนั่งอยู่บนหลังเหมือนมันเป็นเรื่องง่ายๆ สำหรับเขา เขาพลางนึกไปว่าเจ้าม้าน้อยตัวนี้ขนาดยังไม่โตเต็มที่ แต่ยังตัวโตพอๆ กับม้าที่โตเต็มที่แล้วเลย ซึ่งนั่นไปผลมาจากให้มันกินอำพันมังกรไปมากพอสมควร
“สุดยอดเลยพี่ พี่ไม่ต้องใช้บังเหียนกับอานม้าเลยหรอ” หลิวฉิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่ต้องนะ” ซูจิ้งยิ้มออกมาแล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อพื้นที่ตรงนี้ค่อนข้างจำกัด เอาเป็นเดี๋ยวชั้นจะแสดงวิธีการเดินของมันให้ดูแล้วกัน”
หลังจากได้เห็นวิธีการเดินของม้าแล้ว
หลิวฉิงทำได้เพียงแค่พยักหน้าเหมือนกับเป็นไก่กำลังจิกข้าวสาร ถ้าจะให้อธิบายว่าวิธีการเดินของม้านั้นคืออะไร ก็ต้องท้าวความกันให้รู้ก่อนว่าการขี่ม้าหรือว่าแข่งม้านั้น เป็นกีฬาที่พัฒนามาจากการฝึกฝนม้าทหาร โดยในการฝึกจะต้องมีการทดสอบม้าในสามอย่างนั่นคือ ความเชื่องของม้า ความหยืดหยุ่นของร่างกายม้า และความสามารถในการประสานงานกับคนขี่ม้า
“เอาหล่ะนะ” ซูจิ้งนั่งอย่างสบายอารมณ์และทันใดนั้นเจ้าม้าน้อยก็ได้เริ่มเคลื่อนไหว มันก้าวเดินอย่างช้าๆ แต่ทำอย่างกระชับกระเชง มันเริ่มวิ่งเยาะๆ ไปที่พื้นที่ว่างๆ ในสวนเหมือนมันกำลังเต้นรำอยู่ เมื่อไปถึงแล้วมันก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเดินก้าวสั้น เดินก้าวธรรมดา เดินก้าวยาว การวิ่งเรียบ การวิ่งโขยก การวิ่งห้อ เปลี่ยนลู่วิ่ง วิ่งถอยหลัง สลับตำแหน่งการวิ่ง วิ่งข้ามสิ่งกีดขวาง มันวิ่งทุกรูปแบบที่ม้าตัวอื่นทำได้ยากเย็น แต่กับเจ้าม้าน้อยทำได้อย่างไม่มีที่ติ เสมือนกับว่ามันเป็นม้าแข่งชั้นเลิศไปเรียบร้อยแล้ว
คนอื่นๆ เมื่อได้เห็นดังนั้นก็ทำได้แค่มองยืนตะลึง พวกเขาไม่เคยเห็นม้าที่ไหนไม่ว่าจะเห็นด้วยตาหรือเห็นผ่านจอทีวีที่มีวิธีการเดินที่สง่าผ่าเผยและนิ่มนวลกระทั่งเหมือนกับเต้นรำอยู่แบบนี้มาก่อน
บางคนบอกว่าวิธีการเดินของม้าเป็นตัวชี้วัดคุณภาพของม้า
บางคนก็พูดว่าการก้าวเดินของม้าเป็นจุดสูงสุดของศาสตร์แห่งการขี่ม้า จะบอกว่าการก้าวเดินของม้าน้อยตัวนี้ช่างสมบูรณ์ไร้ที่ติก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเลยแม้แต่น้อย
“มันเป็นยังไงบ้าง ฉันลองดูในทีวีแล้วลองให้มันทำตามดูน่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“อย่าพูดแค่คำว่าผ่านเลยดีกว่าพี่ มันสมบูรณ์ สมบูรณ์แบบจนแบบไร้ที่ติเลยด้วยซ้ำ” หลิวฉิงไม่ได้พูดออกมาเพราะต้องการเอาใจซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย ด้วยวิธีการเดินที่ดูสง่าผ่าเผยและนุ่มนวลนี้ ต่อให้เขาพูดเอาใจแบบสุดกู่ก็ไม่มีทางได้เห็นจากคนขี่ม้าคนไหนมาก่อนแน่นอน
“ม้าตัวนี้เยี่ยมยอดจริงๆ”
“มันช่างน่ารักสุดๆเลย ฉันอยากได้ไว้ซักตัวจัง”
หยางเว่ยและลู่ชิงหยาอดไม่ได้ที่จะพูดออกมา อันที่จริงพวกเขาไม่เคยสนใจการขี่ม้าเลยแม้แต่น้อยเพราะทุกคนต่างก็คิดว่ามันอันตรายอย่างมาก แต่เมื่อได้เห็นเจ้าม้าน้อยตัวนี้และวิธีการที่มันเดิน หัวใจของพวกเขาต่างหลอมละลายหลงรักมันหมดใจ ถ้าพวกเขาสามารถขี่เจ้าม้าน้อยนี้ได้และได้มันเป็นสัตว์เลี้ยงพวกเขาคงจะรู้สึกดีอย่างที่สุด
“เดี๋ยวก่อนนะพี่ ไม่ใช่ว่าพี่ขี่มันได้คนเดียวหรอกนะ” หลิวฉิงพูดออกมาทันทีหลังจากสังเกตุปัญหาที่เขาพบ ถึงแม้ว่าซูจิ้งกับเจ้าม้าน้อยจะเข้าขากันได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าสั่งอะไรก็ทำตามได้แต่การให้คะแนนม้านั้นไม่ได้ดูแค่ลักษณะวิธีการเดินของม้าเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องดูความเข้าขา และความเชื่อง ทุกๆ ความเคลี่อนไหวของม้าถูกควบคุมโดยผู้ขี่ ผ่านบังเหียนและสัญญาณจากเท้า ทั้งหมดนี้คือการให้คะแนนที่ถือได้ว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว
“แล้วใครบอกนายว่าฉันสั่งมันได้คนเดียวหล่ะ นายลองสั่งมันดูสิ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ได้อย่างงั้นหรอ” หลิวฉิงลังเลก่อนที่จะพูดออกมาว่า “งั้นไปทางซ้าย”
ทันใดนั้นเจ้าตัวน้อยก็เดินไปทางซ้าย สายตาของหลิวฉิงเป็นประกายขึ้นมา เขาลองสั่งเจ้าม้าน้อยๆหลายๆอย่างซึ่งเจ้าม้าน้อยตัวนี้ก็ทำตามได้หมด ตอนแรกหลิวฉิงยังเข้าใจว่าเจ้าม้านี่จริงๆ แล้วไม่ได้ทำตามคำสั่งเขา แต่ซูจิ้งเป็นคนบังคับ แต่พอคิดดูแล้วซูจิ้งไม่มีทั้งบังเหียน อานม้า หรือที่พักเท้าเลยแล้วเขาจะไปสั่งมันได้ยังไงกัน ซึ่งสำหรับคนขี่แล้วถือว่าเป็นอุปกรณ์สำคัญแต่สำหรับซูจิ้งแล้วอุปกรณ์พวกนั้นไม่มีความจำเป็นเลยแม้แต่น้อย
“บิงโกกกก ม้าตัวนี้สมบูรณ์แบบ ให้ผมเป็นผู้จัดการให้มันเถอะนะ” หลิวฉิงตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อย่าทำให้ฉันผิดหวังแล้วกัน แต่เจ้านี่เป็นของฉันนะบอกไว้ก่อน ถ้านายไม่รีบหล่ะก็ฉันสามารถฝึกม้าให้นายอีกตัวทีหลัง” ซูจิ้งพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวฉิงได้ฝันหวานไปไกล เขาไม่คิดแปลกใจเลยว่าทำไมซูจิ้งถึงอยากซื้อฟาร์มม้า ซูจิ้งนั้นสามารถฝึกม้าชั้นเลิศได้อย่างง่ายดาย ต่อให้ไม่ดีเท่าตัวนี้แต่ขอให้ดีพอๆกับม้าที่ให้ฉินซูหลานไปก็พอแล้ว
“นายโทรหาเจ้าของฟาร์มม้านั่นได้เลย พรุ่งนี้เราจะเข้าไปดูกัน นายว่าไงล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ดีเลยครับ” หลิวฉิงตอบทันที เขารีบโทรไปหาเจ้าของฟาร์มม้า เจ้าของฟาร์มม้าเองก็ตบปากรับคำกลับมาว่าพรุ่งนี้เข้าไปดูได้เลย ทันทีที่วางสายเขาก็หันมาพูดกับซูจิ้งว่า “พี่จิ้ง ที่จริงแล้วเจ้าของฟาร์มนี้เขาเป็นคนที่รักม้ามากและเขาก็ยังกังวลม้าที่เขาเลี้ยงไว้อยู่ ไม่อยากขายฟาร์มให้คนที่ไม่เข้าใจเรื่องม้าดีพอ ถ้ายังไงลองถ่ายวิดีโอวิธีการเดินของม้าตัวนี้ให้เขาดูก่อนดีไหมครับ พรุ่งนี้เราจะได้คุยเรื่องซื้อขายกับเขาง่ายขึ้น” หลิวฉิงเสนอความคิดออกมา
“ตกลง” ซูจิ้งได้ให้เจ้าม้าน้อยลองทำวิธีการเดินแบบต่างๆ โดยมีหลิวฉิงช่วยถ่ายรูปและวิดีโอไว้ให้ เมื่อเห็นดังนั้น หยางเว่ยและลู่ชิงหยาก็อดใจไม่ได้หยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูปไว้เช่นกันเพื่อที่จะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ หลังจากขี่ไปได้ซักพัก ทุกคนต่างก็กลับบ้านเพราะว่าเริ่มมืดแล้ว จนกระทั่งเช้าวันต่อมา หลิวฉิงได้มาที่บ้านอีกครั้งแล้วซูจิ้งกับหลิวฉิงก็ได้ไปที่ฟาร์มม้าด้วยกัน
ตอนที่ 665
ปวดใจ
ซูจิ้งและหลิวฉิงได้เดินทางไปถึงฟาร์มม้าและเจ้าของฟาร์มก็ได้ออกมาต้อนรับพวกเขา
เจ้าของมีรูปร่างเตี้ยเล็กน้อย ร่างกายกำยำ เป็นชายวัยกลางคนที่มีนามสกุลที่ไม่คุ้นหูนักนั่นคือไบ๋หลี่ติ้ง
เขานั้นดูเป็นคนสบายๆ และมีรอยยิ้มที่ดูอบอุ่น เขายิ้มออกมาทันทีเมื่อพบหน้าทั้งสองคน ทันทีที่ทั้งสองคนเข้าไปในฟาร์มม้าก็ได้มีกลุ่มคนที่เข้ามาดูฟาร์มม้านี้อยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือเชิงเหมียวจินเจ้าของคอกม้าแข่งที่เขาซื้อเจ้าม้าน้อยมาก่อนหน้านี้
เป็นเรื่องปกติที่คนขายของต้องการให้มีผู้ซื้อหลายคน นอกจากเป็นการประหยัดเวลาแล้วยังเป็นการเพื่อเพิ่มโอกาสที่พวกเขาจะได้เงินมากขึ้นจากการแย่งกันซื้อ ถึงแม้เขาจะไม่ว่าอะไรกับเรื่องนี้แต่เขาก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อเห็นเชิงเหมียวจิน เขามีฟาร์มม้าอยู่แล้วไม่ใช่หรอ
“ฮ่าฮ่า คุณซู ไม่คิดว่าผมจะได้พบคุณที่นี่ คุณมาที่นี่เพราะสนใจม้าในฟาร์มนี้เหมือนกันหรอ” เมื่อเชิงเหมี่ยวจินเห็นซูจิ้งเขาก็รับทักออกมาทันทีเหมือนกับพวกเขารู้จักกันมาเป็นอย่างดี
“ผมสนใจที่จะซื้อฟาร์มนี้น่ะแล้วคุณเชิงหล่ะ” ซูจิ้งพูดตอบด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า น่าสนใจจริง ถ้าคุณซูสนใจหล่ะก็ผมก็จะไม่แข่งด้วยก็แล้วกัน”
เชิงเหมียวจินพูดออกมาด้วยรอยยิ้มแต่เขาก็แสดงท่าทีออกมาเหมือนเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อดูม้าเลยแม้แต่น้อย ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีทางหลอกซูจิ้งได้เลย เขาใช้พลังจิตของเขาตรวจสอบแล้วพอเลาๆได้ว่า เขามาเพียงฉกฉวยโอกาสเพื่อว่าเจ้าของจะรีบขายเขาจะได้กดราคาก่อนซื้อได้
เมื่อไบ๋หลี่ติ้งได้ฟังบทสนทนาของทั้งสองคนแล้ว เขาเองก็ได้แต่ทำหน้าสลดลงทันที เขาไม่คิดว่าทั้งสองจะรู้จักกันดี เขาคิดว่าคงขายไม่ได้ราคาแล้ว แต่ทันใดนันก็ได้มีคนอีกกลุ่มนึงเข้ามาโดยมีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเป็นผู้นำ ดูเหมือนว่าเขายังพอมีโอกาสจะขายฟาร์มม้านี้ราคาดีๆ อยู่บ้าง
ไบ๋หลีติ้งพาทุกคนเดินชมรอบฟาร์มม้าแล้วก็พูดแนะนำไปเรื่อยๆ ถึงแม้ฟาร์มม้าแห่งนี้จะดูธรรมดาไปหน่อยแต่มันก็มีพื้นที่ที่กว้างขวาง และม้าในฟาร์มก็ดูคุณภาพดีพอสมควร
“ผมขอพูดตรงๆเลยนะครับว่าม้าพวกนี้ผมนั้นรักมันเหมือนลูกของตัวเอง ถ้าผมไม่ได้มีปัญหาเรื่องเงินหล่ะก็ผมจะไม่มีทางขายพวกมันเลย ยังไงผมก็ขอถามพวกคุณหน่อยละกันว่าพวกคุณมีความรู้ในการเลี้ยงม้าแค่ไหนแล้วคุณจะดูแลพวกมันยังไง สำหรับคุณเชิงเองผมก็รู้จักพอสมควรแล้วว่าเขามีความสามารถอยู่แล้ว ดีไม่ดีจะเก่งกว่าผมอีกเพื่อไม่ให้เสียเวลาผมขอถามพวกคุณสองคนเลยก็แล้วกัน” ไบ๋หลี่ติ้งหันไปถามพวกซูจิ้งและผู้หญิงคนนั้น เขาพูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาด้วยการที่เขายังคงรักม้าของเขาแม้จะต้องเปลี่ยนมือไปแล้วแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้การทำอย่างนี้จะมีโอกาสโดนกดราคาแต่ด้วยความรักที่เขามีต่อบรรดาลูกๆ(ม้าในฟาร์ม) เขาจึงอดไม่ได้ที่ต้องถามออกมา ถ้าราคาไม่ได้ต่างกันมากนัก ต่อให้ต้องเลือกคนที่ให้ราคาต่ำที่สุดแต่เขาเชื่อใจได้เขาก็ยอม
“เมื่อตอนเด็กๆ พ่อของฉันเคยให้ลูกม้าฉันตัวหนึ่ง พวกเราเลี้ยงดูมันอย่างดีจนกระทั่งมันได้ตายลง นั่นมันทำให้ฉันเกิดความรู้สึกว่าอยากมีฟาร์มม้าเป็นของตัวเองและฉันก็ตามหาฟาร์มดีๆแบบนี้มานานมากแล้วเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะคุณไบ๋ ม้าของคุณฉันจะดูแลอย่างดีแน่นอน” ผู้หญิงคนนั้นบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมา
“ผมเพิ่งจะเริ่มเลี้ยงม้าเองน่ะ” ซูจิ้งพูดตรงๆ โดยไม่อ้อมค้อมแต่น้อยซึ่งนั่นทำให้ไบ๋หลี่ติ้งต้องขมวดคิ้วเลยทีเดียว
เมื่อผู้หญิงอีกคนได้ยินก็กระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เธอแอบคิดว่าผู้ชายคนนี้คงแค่มาเพื่อโก่งราคาแต่ดันพูดออกมาตรงๆ ซะได้ แต่แล้วซูจิ้งก็ได้พูดต่อว่า “ถึงจะเพิ่งเริ่มต้นแต่ผมก็คิดว่าผมมีประสบการณ์ในการเลี้ยงสัตว์และฝึกสัตว์อยู่นะ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์สายพันธุ์ไหนก็ตามเมื่อผมฝึกพวกมันจะกลายเป็นสัตว์ที่มีคุณภาพดี ถือได้ว่าพอมีฝีมือด้านนี้อยู่บ้าง แล้วก็ผมจะไม่แค่ดูแลพวกมันเท่านั้น แต่ผมจะยิ่งทำให้พวกมันแข็งแรงมีคุณภาพอย่างที่คุณทำไม่ได้อย่างแน่นอน”
ไบ๋หลี่ติ้งนั้นเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองมากนัก เขาจึงไม่รู้จักซูจิ้งผู้ที่ถูกขนานนามว่าปรมาจารย์ด้านการฝึกสัตว์เขาจึงไม่เชื่อในสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมาแม้แต่น้อย ทันใดนั้นหลิวฉิงก็ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา พร้อมทั้งเปิดวิดีโอที่เขาถ่ายไว้เมื่อวานพร้อมพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณไบ๋ครับ โปรดดูวิดีโอนี่ก่อน”
เมื่อไบ๋หลี่ติ้งได้เห็นก็ต้องตกใจเล็กน้อย ทุกคนในที่นั้นเมื่อเห็นท่าท่างของไบ๋หลี่ติ้งต่างก็เข้าไปดูวิดีโอของหลิวฉิง เมื่อเห็นทุกคนทำได้แค่อ้าปากหวอ พวกเขาดูไปเรื่อยๆ อย่างติดลม ดูจนกระทั่งถึงตอนที่เจ้าม้าน้อยกำลังแสดงวิธีการเดินของมันในรูปแบบต่างๆ
“พระเจ้า เจ้าม้าขาวตัวนี้ช่างเทพจริงๆ ทั้งน่ารักและฉลาดมาก” ผู้หญิงคนนั้นอุเทนออกมาพร้อมแสดงท่าทางทึ่งในม้าน้อย
“ฉันเลี้ยงม้ามาก็ทั้งชีวิตแล้วยังไม่เคยเจอม้าที่สวยและมีฝีเท้าที่นุ่มนวลอย่างนี้มาก่อน ไม่สิต่อให้ในทีวีก็ไม่เคยมีมาก่อนแน่ๆ” ไบ๋หลี่ติ้งพูดออกมาพร้อมท่าทีตกตะลึง สำหรับคนที่ทั้งชีวิตมีเพียงการเลี้ยงม้านั้นก็ยังทำได้เพียงประหลาดใจเมื่อเห็นม้าน้อยตัวนี้
“นี่คือเจ้าลูกม้าตัวนั้นที่ผมขายให้คุณใช่รึเปล่า” เชิงเหมียวจินได้ถามออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น พอคิดว่าเจ้าม้าที่เห็นอยู่นี้คือม้าขาวตัวเดียวกับที่เขาเคยขายให้ซูจิ้งมันช่างดูใหญ่โตและสวยงามกว่าตอนที่เขาขายอย่างผิดหูผิดตา ถึงแม้เขาจะพอจำได้แต่ก็ยังไม่เชื่อในสายตาตัวเองอยู่ดีเพราะเขานั้นกลัวที่จะรับไม่ได้ว่าเขาได้ทำสิ่งผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการขายสมบัติออกไปแบบถูกๆ
“ใช่ครับ ก็ตัวที่คุณขายให้ผมนั่นล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“เป็นไปได้ยังไง คุณเลี้ยงมันจนเป็นแบบนี้ได้ยังไง” เขิงเหมียวจินนั้นแทบจะเสียสติ สมองเขาแล่นความคิดบางอย่างแล้วรีบบอกออกมาทันที “คุณซู คุณช่วยขายม้าคืนได้ไหม ผมขอซื้อคืนในราคาสองเท่า ไม่สิผมให้สามเท่าเลย”
“ห้ะ คุณเชิง คุณมีรถ BMW หายากไว้ในมืออยู่แล้วคุณยังขายมันออกไปได้ลงคออีกเนี่ยนะ ” ไบ๋หลี่ติ๋งถามออกมาด้วยความสงสัยอย่างหนัก
“คุณขายเจ้าม้านี่ไปเท่าไหรน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นอดถามไม่ได้เมื่อเห็นท่าที่ของเชิงเหมียวจิน
“……120,000….. ” เชิงเหมียวจินกัดฟันตอบออกมาพร้อมใจของเขาที่เกิดรอยแผลใจอันฝังลึก
เมื่ออีกสองคนได้ยินราคาพวกเขาทำได้แค่ตะลึงพร้อมพูดออกมาพร้อมกันว่า
“คุณโง่รึเปล่าเนี่ย” แล้วผู้หญิงคนนั้นก็หันไปพูดกับซูจิ้งว่า “คุณซู ฉันยอมจ่ายสิบเท่าเลย ช่วยขายม้าตัวนี้ให้ฉันได้ไหม”
เมื่อได้ยินที่ผู้หญิงคนนั้นพูด เชิงเหมียวจิ้นอดไม่ได้ที่แสดงท่าทางวิญญาณลอยออกจากปาก นั่นก็เพราะว่าอย่างแรกเขาอยากจะฆ่าคนทันทีที่ได้ยินว่าผู้หญิงคนนั้นตัดราคาของเขาที่สิบเท่า อย่างที่สองเขารู้ดีว่าสิบเท่านี้ไม่ได้แพงเลยเพราะเจ้าม้านี่แทบจะประเมินราคาไม่ได้เรียบร้อยแล้ว
เขารู้สึกได้เลยว่าหัวใจของเขาถูกกรีดเป็นรอยแผลยาวไปจนถึงลำไส้อย่างหนักจนกลายเป็นสีเขียวคล้ำแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินไปแล้ว ถ้าเขารู้แต่แรกว่าม้าตัวนี้จะโตมาแล้วกลายเป็นม้าพันธุ์ชั้นเลิศขนาดนี้เขาไม่ยอมขายแน่นอน เขาเองก็รู้ว่าซูจิ้งคือปรมาจารย์ด้านการเลี้ยงสัตว์แต่มันก็ขึ้นกับสายพันธุ์ของสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าม้าตัวนี้ต้องเป็นสายพันธุ์ชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย ซูจิ้งต้องมองมันออกแน่ๆ แต่เป็นเขาที่มองมันไม่ออกเอง เขาทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากจะได้แต่โทษความโง่งมของตัวเอง
“ฮ่าฮ่า คุณเชิงอย่าเศร้าไปเลยน่า ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะแต่ไม่ว่าม้าตัวไหนก็ตามที่ได้พี่จิ้งเป็นคนดูแลล่ะก็ มันจะฉลาดขึ้น ดูดีขึ้น ไม่หยั่งงั้นเขาจะถูกเรียกว่าปรมาจารย์นักฝึกสัตว์ได้ยังไง มันไม่ใช่เป็นเพราะสายพันธุ์ของม้าหรอกแต่เป็นเพราะความสามารถของพี่จิ้งล้วนๆ” หลิวฉิงพูดออกมาได้อย่างเต็มปากเพราะเขาเห็นมากับตาแล้ว
ถึงแม้จะได้ยินดังนั้นเชิงเหมียวจินก็ไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมาแม้แต่น้อย แต่ยังไงก็ตามเขาก็ไม่ได้โทษซูจิ้ง เขาทำได้แค่กรีดร้องอยู่ในใจพร้อมตั้งปณิธานไว้ว่าต่อแต่นี้เขาจะต้องตั้งใจจริงในการหาม้าแข่งอย่างละเอียดละออมากกว่านี้ ให้เหมือนกับการขุดรถบีเอ็มดับบิลชั้นยอดจากกองซากรถให้ได้อีกครั้งหนึ่ง
ตอนที่ 666
โอกาส
“1.2 ล้านหยวน คุณคิดว่าราคานี้เป็นยังไงมั่งคะ” ผู้หญิงคนนั้นยังพยายามเสนอราคาที่จะซื้อม้าน้อยจากซูจิ้ง
“ต้องขอโทษด้วยครับคุณหลิว เจ้าม้าตัวนี้ก็เหมือนลูกของผม ไม่ว่าคุณจะเสนอราคาเท่าไหร่ผมก็ไม่มีทางขายแน่นอน” ซูจิ้งปฏิเสธอย่างแข็งขันเพราะว่าเจ้าม้าน้อยตัวนี้ สำหรับเขามันคือสัตว์เลี้ยงไม่ใช่สินค้า และยิ่งกว่านั้นต่อให้เป็นม้าตัวอื่นที่ได้กินอำพันมังกรเข้าไปต่อให้แค่ก้อนเดียวราคาของมันก็ยังต้องสูงกว่านี้มากนัก แค่ล้านสองล้านมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะขายมัน
หญิงวัยกลางคนได้แต่ยอมแพ้ ส่วนเชิงเหมียวนั้นเขาพูดอะไรไม่ได้อยู่แล้วทำได้แค่รู้สึกสลดเท่านั้น ส่วนไบ๋หลีติ้งได้เปลี่ยนมุมมองของเขาที่มีต่อซูจิ้งไปแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็จะขายฟาร์มให้ซูจิ้งไม่ว่าราคาจะต่ำแค่ไหนก็ตาม แต่เมื่อถึงเวลาเสนอราคากลับกลายเป็นว่าซูจิ้งนั้นสู้ราคาที่ผู้หญิงคนนั้นเสนอได้แบบไม่ต้องคิดหนักเลยแม้แต่น้อย เขาสู้ราคากันหลายครั้งจนผู้หญิงคนนั้นต้องถอดใจ สุดท้ายราคาก็สูงกว่าที่ไบ๋หลีติ้งคิดไว้มากซึ่งนั่นทำให้เขารู้สึกโล่งใจ ยิ่งกว่านั้นซูจิ้งยังเพิ่มเงินให้มากกว่าราคาที่เสนออีกด้วยซ้ำ พร้อมทั้งเขายังตกลงที่จะจ้างเหล่าคนงานที่ดูแลม้าทั้งหมดให้ทำงานในฟาร์มต่อไปได้ นั่นทำให้ไบ๋รีบเซ็นสัญญาทันทีในวันนั้นเลย
หลังจากที่คนอื่นๆ นั้น ออกไปจากฟาร์มแล้ว ซูจิ้งได้ทำการหยดเลือดของม้าที่อยู่ในฟาร์มทั้งหมด 71 ตัว ลงไปยังการ์ดอสูร หลังจากนั้นเขาก็ได้ทำการคัดเลือกม้าออกมา 7 ตัวและให้อำพันมังกรแก่พวกมันกินตัวละ 1 ก้อน
“ลูกพี่จิ้ง พี่จะใช้เวลาในการฝึกพวกมันนานแค่ไหนหรอ” หลิวฉิงเดินตามซูจิ้งไปในขณะที่ดูซูจิ้งจัดการเรื่องม้าอยู่
“น่าจะหนึ่งไม่ก็สองอาทิตย์ ยังไงก็ฉันฝากนายจัดการเรื่องแข่งด้วยละกัน ฉันจะให้นายเท่ากับฉินซูหลานแล้วกันนะที่ 10 เปอร์เซนต์ ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา” หลิวฉิงหัวเราะออกมาพร้อมรอยยิ้ม เขานั้นก็เหมือนกับฉินซูหลานตรงที่ชอบม้าแข่งอย่างมาก การที่จะกลายเป็นคนในวงการแล้วกลายเป็นผู้จัดการดาวเด่นให้ม้าวิเศษนั้น ถึงมันจะฟังดูได้น้อยไปหน่อยแต่ยังไงมันก็คุ้มค่าอยู่ดี
หลังจากจัดการเรื่องภายในฟาร์มเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ได้กลับไปที่รถซึ่งต่างคนต่างขับมาคนละคน ทันทีที่ถึงรถซูจิ้งสังเกตุเห็นว่ากระจกรถของหลิวฉิงนั้นแตก มันเหมือนเป็นรถที่ถูกขโมยมายังไงอย่างงั้นเลย
เมื่อหลิวฉิงรู้สึกตัวก็ได้แต่หัวเราะแห้งๆ พร้อมพูดออกมาว่า “ผมไม่ได้ขโมยรถมาหรอกนะแต่ผมถูกขโมยต่างหาก แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นเท่าไหร่หรอก”
ถึงแม้มันจะเกิดขึ้นได้ยากแต่มันก็ยังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ก็ตาม แต่ซูจิ้งนั้นกับรู้สึกเหมือนเห็นลางร้ายลอยออกมาจากตัวหลิวฉิง มันให้ความรู้สึกแปลกๆกับซูจิ้ง มันส่งผลไปกระตุ้นวิถีแห่งแห่งใต้หล้าในตัวของเขาให้เริ่มทำงาน สมองของเขาได้เริ่มทำการจัดการข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับหลิวฉิง ผลจากการคาดการณ์ของสมองถึงกับทำให้ซูจิ้งรู้สึกไม่ดีเลยทีเดียวแต่เขาก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา
“พี่จิ้ง พี่จิ้ง พี่เป็นอะไรรึเปล่า” หลิวฉิงถามออกมาเมื่อเห็นซูจิ้งมีท่าทีแปลกไป เขาถามพร้อมเขย่ามือซูจิ้งไปด้วย
“นายรู้ตัวขโมยรึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา
“ผมก็ไม่รู้ตัวขโมยเหมือนกัน แต่มันก็ไม่ได้มีของสำคัญหายไปนะ ผมเลยไม่ได้ตามเรื่องนี้” หลิวฉิงตอบออกมา
“ระวังไว้หน่อยก็ดีนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นล่ะก็โทรหาฉันได้ทันที” ซูจิ้งพูดออกมาถึงแม้ว่าสิ่งที่สมองของเขาบอกออกมานั้นจะไม่ได้ตรงเป๊ะซะทีเดียวแต่ในเมื่อมันเป็นการคาดการณ์ที่อาจเกิดขึ้นแม้เพียงหนึ่งในพันก็ตามแต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นอยู่ดี ต่อให้มันเป็นชะตาของหลิวฉิงเองก็ตาม แต่เขาก็ยังห่วงหลิวฉิงอยู่ดี
“แน่นอนครับพี่จิ้ง” เมื่อหลิวฉิงนั้นรับรู้ได้ถึงความห่วงใยจากซูจิ้ง เขาทำได้เพียงแค่ตอบรับและมีน้ำตาคลอออกมาเท่านั้น
ซูจิ้งและหลิวฉิงนั้นต่างคนต่างขับรถออกไป หลิวฉิงนั้นขับรถกลับไปที่บ้าน ส่วนซูจิ้งก็ขับรถแวะไปที่สำนักงานของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ ก่อนที่จะกลับบ้าน เขาไม่ได้เข้ามาบ่อยนักจนต้องใช้เวลาในการทักทายผู้จัดการแต่ละคนนานพอสมควร เมื่อเสร็จแล้วเขาก็ได้ไปหาหวังจ้าวและเฉิงหนาน พวกเขานั่งคุยกันในห้องหลัก
“อาจิ้ง นายเข้ามาทำไมเนี่ย มีเวลาว่างแล้วหรอ” หวังจ้าวกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่า ผมมีโอกาสทางธุรกิจมาเสนอน่ะ ผมจะให้เฉิงหนานเป็นคนจัดการเรื่องนี้” ซูจิ้งตอบด้วยรอยยิ้ม
“โอ้” ทั้งสองคนตอบกลับพร้อมกันด้วยดวงตาที่เป็นประกายเล็กน้อย แต่เมื่อทั้งสองได้ฟังโอกาสที่ซูจิ้งบอก กลับกลายเป็นเพียงการที่เขาซื้อฟาร์มม้าไว้ นั่นทำให้ทั้งสองงงๆกันเล็กน้อย พอซูจิ้งบอกว่าเขานั้นเพิ่งได้รถบีเอ็มดับบิวเจ้าลมกรดมาก็ยิ่งพากันงงเข้าไปใหญ่ แต่เมื่อทั้งสองเห็นวิดีโอที่หลิวฉิงถ่ายไว้ให้ตอนอยู่ในฟาร์ม ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งสองตื่นเต้นจนออกนอกหน้า แค่เจ้าม้าสองตัวนี้ในวิดีโอนี้ก็ถือว่าทำเงินได้อย่างแน่นอนแล้ว ยิ่งพอซูจิ้งบอกพวกเขาว่าจะทำการเพาะพันธุ์บีเอ็มดับบิวแบบนี้ออกมาเยอะๆ นั่นทำให้ทั้งสองนึกถึงโอกาสทางธุรกิจที่ใหญ่มากๆ มากจนคิดไปได้ไกลมากๆ
ซูจิ้งนั้นแม้มีเพียงฉินซูหลานและหลิวฉิงเป็นผู้จัดการม้าแข่งให้เขาแต่นั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเล็กๆของธุรกิจนี้ ยิ่งม้ามากเท่าไหร่ยิ่งต้องการผู้จัดการมากเท่านั้น ครั้งนี้เฉิงหนานเองก็ต้องการร่วมด้วยเช่นกัน ซึ่งงานของทั้งสองคนนั้นได้แบ่งกันอย่างชัดเจนอยู่แล้วนั่นคือซูจิ้งนั้นเป็นคนทำหน้าที่พัฒนาธุรกิจ ส่วนเฉิงหนานเป็นจัดการกระบวนงานต่างๆ
“เอ้อใช่ ฉันลองทำไวน์ใหม่ออกมาอีกแล้วนะ พวกคุณลองชิมหน่อยสิ ” แล้วซูจิ้งก็ได้วางลังไวน์เอาไว้บนโต๊ะ ในนั้นมีไวน์หลากหลายสีสันเป็นขวดเล็กๆ หลายๆ ขวด
หวังจ้าวและเฉิงหนานนั้นเคยได้ลิ้มรสความยอดเยี่ยมของไวน์จิ้งจอกแดงมาก่อนแล้วและพวกเขาก็ยังคงติดใจรสชาติอันยอดเยี่ยมอยู่ ถึงในตระกูลยังพอมีเหลืออยู่บ้างแต่ทั้งคู่ก็ไม่มีโอกาสจะได้ดื่มมันเลยแม้แต่น้อย พอเห็นไวน์ใหม่ของซูจิ้งทั้งสองก็อดใจไม่ได้ที่จะลิ้มลอง เมื่อทั้งสองได้ดื่มก็ทำได้แค่ชมไม่หยุดปาก
“ไวน์ที่ดี”
“นี่ไม่ได้ด้อยกว่าไวน์จิ้งจอกแดงเลยนะ”
“ถึงจะเป็นไวน์เหมือนกันแต่รสชาติไม่เหมือนกันเลยสักขวด”
“อันนี้ไวน์นมม้า”
“ส่วนนี้เรียกว่าเอล”
หวังจ้าวและเฉิงหนานได้แต่นึกประหลาดใจ พวกนี้คือไวน์ชั้นเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาต่างก็คิดว่าซูจิ้งมีสูตรลับพวกนี้ได้ยังไง พวกเขาไม่รู้หรอกว่าไวน์พวกนี้ทั้งหมดผลิตขึ้นมาจากแมลง เมื่อไม่กี่วันก่อนซูจิ้งพบว่าเจ้าหนอนแดงนั้นไม่ได้เพียงแค่ผลิตไวน์ได้แค่ชนิดเดียว ไวน์แต่ละชนิดที่มันดื่มเข้าไปจะทำให้เกิดไวน์รสชาติที่ต่างกันออกมา มันก็เหมือนเวลาที่คนดื่มไวน์แล้วรู้สึกถึงรสชาติที่แตกต่างกันในไวน์แต่ละชนิด
“พวกนายคิดว่าไวน์นี้พอจะขายได้ไหม” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ขายได้เหรอพูดเป็นเล่น มันดีขนาดที่ว่ามีคนแย่งกันซื้อโดยไม่ต้องวางขายแน่นอนอยู่แล้ว ไวน์พวกนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าไวน์จิ้งจอกเลยนะ แค่ไวน์จิ้งจอกขวดเดียวตอนนี้ก็ราคาเท่ากับราคาไวน์ทั่วไป 200 ขวดเข้าไปแล้ว”
“ถึงไวน์นี้จะรสชาติไม่เลว แค่คุณภาพมันไม่ได้ดีเท่าไวน์จิ้งจอกแดงหรอก มันไม่ได้ดีต่อร่างกายเหมือนไวน์จิ้งจอกแดงฉะนั้นเราจะขายราคาสูงเท่าไวน์จิ้งจอกแดงไม่ได้” ที่เขากล้าพูดอย่างนั้นเพราะว่าไวน์จิ้งจอกแดงนั้นได้มาจากการเจือจางสุดยอดไวน์จากห้วงเวลาฯ เรื่อง ฝืนชะตาฟ้าฯ มันเป็นไวน์ที่ใช้ในการบ่มเพาะพลังเซียนซึ่งมันมีผลดีต่อร่างกาย แต่ไวน์พวกนี้ทั้งหมดได้มาจากหนอนแดงซึ่งไม่มีผลดีต่อร่างกายแบบนั้น มันแค่ดื่มได้เหมือนไวน์ทั่วไปเฉยๆ
“ไวน์นี่มีกำลังการผลิตเท่าไหร่หรอ” เฉิงหนานถามออกมาอย่างสงสัย
“ค่อนข้างน้อยนะ เต็มที่ตอนนี้ก็ได้แค่ 3 ชั่ง” ซูจิ้งตอบออกไป พอเขานึกถึงว่าต้องใช้ไวน์ 30 ชั่งเพื่อมาทำไวน์ 3 ชั่งแล้ว แค่นี้ก็เต็มขีดจำกัดแล้ว ไม่ต้องคุยเรื่องการหาหนอนแดงเพิ่มเลย แค่จำนวนไวน์ที่ต้องใช้ตั้งต้นเขาก็เจ็บปวดพออยู่แล้ว
“สามชั่งนี่ก็ไม่เลวนะ” ทั้งสองเห็นตรงกันนั่นก็เพราะว่าปริมาณเท่านี้ถึงแม้จะดูน้อยแต่เมื่อเทียบกับไวน์ชั้นสูงที่ผลิตได้มาจำนวนน้อยกว่ามากแต่คุณภาพพอๆกัน ก็ถือได้ว่าไม่เลวเลย
หลังจากพวกเขาคุยกันเรื่องรายละเอียดแล้ว เขาก็ได้ให้หวังจ้าวและเฉิงหนานเป็นคนจัดการเรื่องไวน์ไป หลังจากนั้นไม่นาน ซูจิ้งก็ได้ส่งไวน์ให้ทั้งสองคนเพื่อใช้เป็นทั้งดื่มเอง ของรางวัล สินค้า หรือแม้แต่การมอบเป็นของขวัญให้แขก ภายในวันเดียวนี้ หวังจ้าวและเฉิงหนานทำได้แค่ชื่นชมในความสามารถของซูจิ้งที่ทำให้พวกเขาได้มีโอกาสทางธุรกิจถึงสองอย่างนั่นคือเรื่องฟาร์มม้าและไวน์ ซูจิ้งคงเป็นคนเดียวในโลกที่ทำให้ทั้งสองได้ช่องทางทำธุรกิจที่จะใหญ่โตขึ้นได้ในอนาคต มากมายขนาดนี้
ตอนที่ 667
เหตุฉุกเฉิน
ในตอนเช้าฉือชิงได้ไปทำงานตามปกติ
ซูจิ้งได้ไปนั่งคนเดียวอยู่ใต้ต้นหลิว นั่งนิ่งไม่ไหวติงถึงขนาดที่ถ้ามีคนมามองผ่านๆจะไม่รู้สึกเลยว่าเขานั่งอยู่ เขาพยายามคิดอยู่ว่าตัวเองคือต้นไม้ จิตสำนึกของซูจิ้งทั้งหมดมุ่งเข้าสู่ต้นหลิว ก่อสร้างร่างสัมผัส การรับรู้ และการเคลื่อนไหว เลียนแบบพลังงานธรรมชาติที่อยู่ภายในต้นหลิว ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วเหมือนกัน ซูจิ้งก็ได้เข้าสู่ห้วงทะเลวิญญาณของตนเอง
เขานั้นพยายามลอกเลียนแบบแม้กระทั่งการหายใจของต้นหลิว ต้นหลิวเองก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจของซูจิ้งก็พยายยามเลียนแบบเขาเช่นกัน
ในเวลานั้นก็ได้มีกระแสบางอย่างวิ่งเข้าสู่ร่างกายของซูจิ้ง เขารับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างค่อยๆไหลเข้ามาในร่างกาย มันไหลแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไป ไม่รีบร้อนใดๆ ประหนึ่งดังร่างกายกำลังหายใจเอาอากาศเข้าไป ซูจิ้งรู้สึกว่าร่างกายของเขาสบายจนเกือบจะครางออกมา เหมือนกับคนที่กำลังร้อนและกระหายน้ำอย่างแรงกล้าแล้วได้ดื่มน้ำเย็นๆ จากแหล่งน้ำธรรมชาติ แต่มันแค่รู้สึกดีกว่านั้นนับร้อยเท่าจนยากจะอธิบายออกมาได้
ในที่สุดฉันก็ดูดซับพลังธรรมชาติได้ซักที
ซูจิ้งเปิดตาขึ้นมา ดวงตาของเขาแสดงสีออกมาเป็นสีที่น่าหลงใหล นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขารู้สึกได้ถึงพลังธรรมชาติในร่างกายจริงๆ แล้วจู่สัมผัสนั้นหายไป คงเป็นเพราะว่าเขาตื่นเต้นเกินไปนั่นเอง แต่เมื่อเขาจับทริคได้แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในการฝึกฝน
ซูจิ้งหายใจเข้าลึกๆ เพื่อปรับอารมณ์ของเขาให้เป็นปกติอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงหลับตา แล้วปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ภวังค์ ซักพักเขาก็รู้สึกถึงพลังธรรมชาติอีกครั้ง มันกำลังไหลเข้าสู่ทะเลวิญญาณของเขา
ซูจิ้งนั้นไม่ได้รู้สึกว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นแต่อย่างใด แต่เขากลับรู้สึกว่าร่างกายมีความทนทานมากขึ้น มันให้ความรู้สึกไม่เหมือนกับตอนเขาบ่มเพาะพลังภายนอกมันให้ความรู้สึกว่ามีพลังแผ่ออกมาจากข้างในร่างกาย
6-7ชั่วโมงแล้วที่ซูจิ้งไม่ได้ขยับเคลื่อนไหว ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เขารู้ได้ในทันทีว่าเขาถึงขีดจำกัดในการบ่มเพาะพลังแล้วสำหรับวันนี้ เขาก็ได้ลืมตาและเมื่อเห็นว่าเป็นหลิวฉิงที่โทรมาเขาได้รับสายทันที แต่สิ่งที่ได้ยินกลับเป็นคำถามว่า “พี่จิ้ง ผมขอยืมเงินได้หรือเปล่า”
“เกิดอะไรขึ้น” เขาถามออกไปด้วยความสงสัย
“เครื่องบินที่ปู่ผมนั่งอยู่ถูกไฮแจ็ค พวกมันบอกว่าต้องการเงิน 10 ล้านหยวนเป็นเงินสดและให้เวลาเตรียมแค่ 1 ชั่วโมง และด้วยการที่เที่ยวบินนี้นี้เป็นเที่ยวบินชั้นธุรกิจทำให้มีมหาเศรษฐีและผู้อาวุโสตระกูลใหญ่อยู่ในเครื่องจำนวนมากทำให้พวกมันยอมขยายเวลาในการหาเงินมาไถ่ตัวแต่มันก็ยังสั้นเกินไปอยู่ดี ผมหาเงินสดมากมายขนาดนั้นไม่ทันจริงๆ” หลิวฉิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ ถ้าพวกมันไม่ได้ต้องการเงินสดหล่ะก็เขาสามารถให้พวกมันมากกว่านี้ก็ยังได้ แต่เพราะพวกมันต้องการแต่เงินสด ถ้าไม่ได้มีสายสัมพันธ์อันดีกับธนาคารล่ะก็ไม่มีทางธนาคารจะยอมปล่อยเงินสดมากมายขนาดนี้ได้แน่นอน
“ทำไมเหตุการณ์ถึงเปลี่ยนไปหล่ะ” ซูจิ้งถามตัวเองเขานั้นไม่คิดว่าสิ่งที่เขาได้รับข้อมูลจากสมองจะคลาดเคลื่อนมากมายขนาดนี้ซึ่งไม่เคยเป็นมาก่อน เต็มที่ก็คลาดเคลื่อนเล็กน้อยเท่านั้น แต่นี่กลายเป็นว่าคนประสบเหตุเป็นปู่ของหลิวฉิงแทนที่จะเป็นหลิวฉิงเอง
ซูจิ้งทันใดนั้นเขาก็นึกได้ว่าหลิวฉิงได้โพสข้อความไว้ว่าวันนี้ปู่ของเขาจะเดินทางกลับจากการท่องเที่ยวโดยเที่ยวบินวันนี้ เป็นไปได้ว่าการกระทำบางอย่างของเขาได้เปลี่ยนไปจากข้อมูลที่ซูจิ้งได้รับทำให้เหตุการณ์เปลี่ยนตาม ด้วยข้อมูลนี้ส่งผลให้เขามีเข้าใจความสามารถในการคาดการณ์มากขึ้น ข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์ และขาดช่วง ทำให้เหตุเการณ์ที่เขาคาดไว้นั้นคลาดเคลื่อนไปถือว่าเป็นการเรียนรู้ที่ดีสำหรับเขาเลย ถึงจะยังไม่เข้าใจในความสามารถการคาดการณ์ได้ทั้งหมดก็ตาม
ซูจิ้งทำได้แค่ถอนหายใจ ช่วงนี้ทำไมพวกโจรมันเยอะแยะซะจริง เขานั้นรู้สึกอย่างนั้นเพราะนอกจากเรื่องการไฮแจ็คเครื่องบินนี้ เขายังได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการแบล็คเมลล์และการก่อการร้าย ยิ่งกว่านั้นโชคร้ายยังมาตกอยู่ที่ปู่ของหลิวฉิง เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ในหมู่ผู้โดยสารจะมีคนร้ายแฝงตัวคอยชี้เป้าและเลือกเฉพาะผู้โดยสารที่ร่ำรวยก่อนจะมีการขึ้นบิน
“เป็นเงินสดสักสองล้านได้รึเปล่าครับ” หลิวฉิงพูดด้วยน้ำเสียงสั้นๆ
“ฉันให้สามล้าน แล้วจะให้เอาไปให้ที่ไหนหล่ะ” ซูจิ้งถามกลับไป
“ขอบคุณมากครับ ลูกพี่จิ้ง โปรดส่งเงินไปที่…” หลิวฉิงรู้สึกขอบคุณอย่างหมดหัวใจ เขานั้นจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครเป็นพี่น้องของเขาจริงๆ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ยากลำบากแบบนี้ ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมซูจิ้งมีเงินสดมากมายขนาดนั้นแต่เขาก็ไม่มีอารมณ์ที่จะถามไถ่ในเวลาแบบนี้ เขาเชื่อใจซูจิ้งและรับปากว่าจะคืนให้อย่างแน่นอน
“ยังดีนะเนี่ยที่ฉันยังพอมีเงินสดเอาไว้บ้าง” ซูจิ้งวางสายและบ่นพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะเปิดกระเป๋ามิติ
เขาหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋ามิติ เงินนี้เป็นเงินฉุกเฉิน เขาเตรียมสำรองเอาไว้ 50 ล้านหยวน ผู้คนทั่วไปไม่มีใครจะอยากเก็บเงินสดมากขนาดนี้เอาไว้เพราะต่างก็กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่ปลอดภัย แต่กับซูจิ้งเขาไม่ได้มีปัญหาแน่นอนเพราะเขาพกติดตัวตลอดเวลา
ซูจิ้งนำเงินสามล้านหยวนไปยังจุดนัดพบอย่างเร็วที่สุด มันเป็นสวนแห่งหนึ่งแต่เมื่อซูจิ้งไปถึงก็มีคนที่ยืนอยู่ก่อนแล้วเมื่อพวกเขาสังเกตุเห็นซูจิ้งถึงกับตกใจ คนที่มาก่อนหน้าซูจิ้งที่กำลังยืนอยู่ข้างๆหลิวฉิงนั้นประกอบด้วย หวังเซี่ยว เจ้าหมิง และเฉาเล่ย
“อาจิ้ง นายมาทำอะไรที่นี่หล่ะ” หวังเซี่ยวคนที่เคยบาดเจ็บจากเหตุการณ์”กองโจรมนุษย์งู” แต่ได้ถูกซูจิ้งช่วยเหลือไว้ หลังจากเขาเขาโรงพยาบาลจนหายดีแล้วก็ได้กลับไปสนามรบต่อ
“หลิวฉิงโทรหาผมบอกว่ามีเงินสดไม่พอเลยขอยืมน่ะ เอ้านี่สามล้านหยวน” ซูจิ้งลงจากรถพร้อมเอากระเป๋ามาให้
ทุกคนต่างพากันประหลาดใจเพราะหลิวฉิงเพิ่งโทรได้ไม่นานแต่ซูจิ้งกลับสามารถนำเงินมาให้แทบจะในทันที่ ไม่ใช่คนทั่วไปสามารถทำได้
“ในที่สุดก็ได้ครบสิบล้านแล้ว” ชายวัยกลางคนในชุดสูทพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้น หลิวฉิงแนะนำให้รู้จักว่าเป็นผู้ช่วยของปู่ของเขา
นอกจากจะเป็นผู้โดยสารบนเครื่องบินแล้วปู่ของเขายังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของสายการบินนี้และชายคนนี้เป็นคนที่ออกเงินค่าไถ่ส่วนใหญ่ เขานั้นไม่ได้สนใจเรื่องจำนวนเงินเลยสักนิด เขาเพียงหวังให้ผู้โดยสารทั้งหมดปลอดภัยแค่นั้นเอง
หวังเซี่ยวเองก็รู้สึกแบบเดียวกัน เขานั้นก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ลักพาตัวมากมาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมเหตุการจี้เครื่องบิน ถ้าเป็นการลักพาตัวปกติเขายังพอใส่เครื่องติดตามหรือแบงค์ปลอมลงไปได้ แต่กับการจี้เครื่องบินนี้เขาแทบจะตุกติกไม่ได้เลยเพราะว่าไม่มีหนทางที่จะเข้าไปสร้างสถานการณ์เพื่อช่วยตัวประกันได้
หวังเซี่ยวและคนอื่นๆนำกระเป๋าเงินสดออกมา น้ำหนักของพวกมันรวมๆกันอยู่ที่ 200 ชั่ง พวกเขาเตรียมตัวที่จะนำเงินไปส่งให้ตามสถานที่ที่โจรได้นัดหมายไว้
“รอก่อน” ซูจิ้งได้พูดออกมาทันที เขาตรงไปที่กระเป๋าเงินอีกสามกระเป๋า เขาเปิดกระเป๋าออกทำท่าทางเหมือนกับกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่างก่อนที่จะรูดซิปปิดแล้วบอกว่าเรียบร้อยแล้ว
นั่นทำให้คนที่เหลือต่างพากันสงสัยว่าซูจิ้งได้ทำอะไรลงไปแต่ตอนนี้ทุกคนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะตั้งคำถามอะไรได้ ทำได้เพียงรีบเอาเงินไปส่งที่จุดนัดหมายให้เร็วที่สุด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น