Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 651 - 659
ตอนที่ 651
ความสุนทรีย์
หลี่หยิงบอกหลี่เทียนเฮอเกี่ยวกับสิ่งที่ซูจิ้งพบให้ฟัง ในขณะที่หวังจ้าวก็เข้าไปคุยกับหวังซวนจี้ ซึ่งผลก็เป็นไปตามที่ซูจิ้งคิด พวกเขาต้องคิดถึงผลกระทบระยะยาวไว้ก่อน การที่“ภาพเขียนเทพธิดาจีน” ได้ถูกส่งเข้าไปที่พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นไปแล้ว ทำให้ปัญหานี้ใหญ่หลวงเกินกว่าที่พวกเขาจะทำอะไรได้ ความจริงนั้นซูจิ้งก็มีความคิดในการแก้ปัญหานี้อยู่แล้ว เขานั้นไม่ต้องเร่งรีบอะไร เขาเองก็มีแผนแก้ปัญหาในระยะยาวเหมือนกัน อย่างไรก็ตามเขายอมไม่ได้แล้วถ้าเกิดว่าภาพเขียนจีนเข้าไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นจริงๆ
“คุณซูครับ สนใจจะดื่มกันหน่อยไหม” ในขณะนั้นจ้าวซือเฟิงชวนซูจิ้งดื่มพร้อมกับที่จ้าวหยวนเดินมาข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม
ซึ่งทำให้หวังซือหยาที่อยู่ข้างๆ หน้ามึนตึง รวมถึงเฉิงหนานที่ถึงกับต้องขมวดคิ้ว คืนนี้เธอไม่ได้ยิ้มเลยแม้แต่น้อยนั่นเป็นเพราะจ้าวหยวนอย่างแน่นอน เธอนึกถึงตอนที่เธอบอกไปว่าเธอออกจากตระกูลเฉิงเพื่อไม่ให้ถูกจับแต่งงานกับจ้าวหยวน เขาก็ไม่มีท่าทีจะล้มเลิกความคิดแต่งงานเลยซักนิด (กลายเป็นว่าจ้าวหยวนคือคน รอต่อคิวจากสามีเก่า เฉิงหนาน)
“มีอะไรที่ผมช่วยได้ครับ คุณจ้าว” ซูจิ้งถามอย่างตรงไปตรงมา
“เอาเป็น เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวดีกว่านะครับ” จ้าวหยวนจ้องไปที่เฉิงหนานตาไม่กระพริบ
“น้องซือหยาและคุณเฉิงเองก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล เราคุยกันตรงนี้เลยดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมา
“ก็ได้” จ้าวหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคิดว่าซูจิ้งนั้นไม่ค่อยฉลาดซักเท่าไหร่ น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นโทนเสียงต่ำแล้วก็พูดออกมาว่า
“ผมได้ยินมาว่าคุณรับคุณเฉิงหนานให้เป็นผู้จัดการทั่วไปฝ่ายขายของกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” ซูจิ้งพยักหน้ารับ
“งั้นพูดตรงๆ เลยละกัน ผมนั้นสนใจในตัวคุณเฉิงหนานมานานแล้ว คุณซูพอจะช่วยผมเกี่ยวกับเรื่องนี้หน่อยได้รึเปล่า ถ้าคุณทำได้พวกเราจะเป็นเพื่อนกัน ในภายภาคหน้าเมื่อคุณต้องการให้ผมช่วยอะไร ผมยินดีจะช่วยคุณเต็มที่เลย” จ้าวหยวนพูดออกมา
“ขอโทษนะ ผมไม่สามารถตัดสินใจแทนพวกพ้องของผมในเรื่องส่วนตัวของเขาได้หรอก” ซูจิ้งกล่าวแบบเย็นชา
“คุณซู คุณกล่าวมาแบบนี้ไม่ดีเลยนะ มันไม่ดีกับพวกเราทุกคนเพราจะทำให้พวกเราทุกคนไม่มีความสุขได้” จ้าวหยวนขมวดคิ้วมากกว่าเดิมจนแทบจะชนกัน เขาคิดว่าซูจิ้งเป็นแค่คนที่อาศัยใบบุญต้นไม้ใหญ่จากตระกูลหวังเท่านั้น แต่ซูจิ้งกลับคิดว่าตัวเองเป็นนายน้อยตระกูลหวังจริงๆ เมื่อเทียบกับเขาที่เป็นตระกูลจ้าวที่แท้จริง ซูจิ้งไม่มีดีอะไรที่จะเทียบเขาได้เลย แต่ซูจิ้งก็ยังไม่ยอมไว้หน้าเขาเลยซักนิด
“คุณจ้าว น้องชายของฉันทำให้คุณเสียหน้างั้นหรอคะ” หวังซือหยาที่อยู่ใกล้ๆ นั้น เมื่อฟังแล้วก็รู้สึกงงๆ เลยถามออกไป
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คือ…” ยังไงก็ตามจ้าวหยวนนั้นเป็นเพียงแค่คนจากตระกูลสาขาของตระกูลจ้าว ต่อหน้าหวังซือหยาเขานั้นไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร ถ้าจะพูดอีกอย่างนึงก็คือ ใจของเขาบอกเขาว่าอย่าพูดอะไรอีกเลย
หลังจากมองไปที่ซูจิ้งและเฉิงหนาน จ้าวหยวนก็รีบเดินจากไป
หวังซือหยาและซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจจ้าวหยวนอยู่แล้วเพราะเขาก็แค่อาศัยอำนาจตระกูล เฉิงหนานกลับเป็นฝ่ายนิ่งเงียบ เธอมองไปที่ซูจิ้งและหวังซือหยา เมื่อเห็นทั้งสองไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่จ้าวหยวนทำเธอก็รู้สึกโล่งใจ ไม่อย่างนั้นการที่เธอเข้าร่วมกลุ่มทุนห้วงเวลาและกาลอวกาศจะไม่ส่งผลดีแน่นอน
ไม่นานนักในขณะที่งานเลี้ยงยังดำเนินต่อไป ได้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นที่ประตู ซูจิ้งและคนอื่นมองไปแล้วก็เห็นจ้าวหยวนนำกลุ่มคนเข้ามา ผู้นำกลุ่มเป็นชายวัยกลางคนท่าทางทะมัดทะแมงที่อยู่ในชุดสูทเนี๊ยบ พวกเขาตรงไปที่หลี่เทียนเฮอ จ้าวหยวนได้แนะนำชายคนนั้นแก่หลี่เทียนเฮอ ผู้คนที่เห็นต่างพูดคุยเรื่องดังกล่าวกันไปทั่ว
“อะไรอีกหล่ะ” หวังซือหยาบ่นออกมา
“ชายวัยกลางคนคนนั้นดูคุ้นๆ นะ” หวังจ้าวพูดออกมา
“นายไม่รู้จักหรอ เขาคือหลิวจี้ อดีตนักร้องน่ะ เป็นไปได้ที่จ้าวหยวนจะเชิญเขามาร้องเพลงให้ในงาน” หลี่หยิงพูดออกมา
“จ้าวหยวนบ้าไปแล้วรึยังไง” หลี่เหนียนหยิงยิ้มแบบแหยๆ
สำหรับคนทั่วไปนั้น การจะชวนนักร้องชั้นนำมางานเลี้ยงวันเกิดไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามสำหรับตระกูลจ้าว ตระกูลหลี่ และตระกูลหวังเป็นเรื่องที่ง่ายมากที่จะให้คนพวกนี้เข้ามาแสดงในงาน จ้าวหยวนคงจะมีเรื่องบางอย่างขอร้องหลี่เทียนเฮอ เขาจึงเรียกนักร้องเก่าคนนี้มา ไม่คิดว่าคนที่เรียกมาจะเป็นราชาแห่งสรวงสวรรค์ ความสามารถของเขานั้นไม่มีใครเลียนแบบได้ การันตีด้วยรางวัลงานกาล่าฤดูใบไม้ผลิสองปีซ้อน
เพราะว่าที่ที่พวกเขาอยู่ค่อนข้างไกลเลยไม่ได้ยินที่จ้าวหยวนกับคนอื่นๆ คุยกัน เว้นแต่ซูจิ้งที่ได้ยินอย่างชัดเจน
เขามองไปที่ผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปี ที่นั่งอยู่ข้างหลี่เทียนเฮอแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “ลุงหลี่กับป้าคนนั้นที่นั่งแทบจะตัวติดกันนี่…” ผู้หญิงอายุประมาณ 60 ปีที่น่าจะเป็นภรรยาของหลี่เทียนเฮอ แม่ของหลี่เหนียนหยิงและหลี่หยิง เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะเรียกคนๆ นี้ว่าอะไรดี เขาเดินตามหวังจ้าวและหวังซือหยาเข้าไปพร้อมเรียกพวกเขาว่าคุณลุงและคุณป้า
“ฮ่า ฮ่า ประวัติของพ่อแม่ของฉันนี่มีค่าพอที่จะเขียนหนังสือได้เลยนะ” หลี่เหนียนหยิงพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหลี่เทียนเฮอและภรรยา หลังจากซูจิ้งฟังเรื่องราวเขาอดไม่ได้ที่จะเห็นใจ
ตอนที่หลี่เทียนเฮอและภรรยา สมัยตอนที่ทั้งคู่ยังวัยรุ่นอยู่นั้น สมัยนั้นสังคมยังไม่เปิดกว้างเหมือนตอนนี้ ในตอนแรกนั้น ครอบครัวของทั้งสองคนนั้นไม่ถูกกันและคอยขัดขวางความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ทั้งคู่ต้องฟ่าฟันอุปสรรคนานับประการด้วยความยากลำบาก ต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมืองทำให้ทั้งสองต้องแยกจากกันจนเหมือนกับตัดขาดกันไปเลย
ถึงจะเป็นอย่างนั้นทั้งคู่ก็ยังไม่ยอมแพ้แต่ก็ยังต้องอดทนรอคอยอย่างอยากลำบาก จนกระทั้งสิบปีต่อมาเหตุผลทางการเมืองดังกล่าวสลายไป พวกเขาจึงได้กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมแสดงความตั้งใจจริงให้ครอบครัวของพวกเขาเห็นอีกครั้ง จนทำให้ตระกูลยอมรับและเห็นชอบการแต่งงานของทั้งสองคน
ในตอนที่จ้าวหยวนกำลังจะแนะนำตัวของหลิวจี้ต่อหลี่เทียนเฮอและภรรยาของเขา หลิวจี้ได้เดินตรงไปที่ทั้งสองคนพร้อมร้องเพลงที่ชื่อ เหลาหยูยิ(คนแก่,วันวาน) เขาร้องพร้อมทั้งอวยพรวันเกิดและขอให้ทั้งทั้งคู่มีความสุขไปตลอดชีวิต
แน่นอนว่าตระกูลหลี่นั้นมีระบบเสียงที่พร้อมอยู่แล้ว
หลังดนตรีเริ่มเล่นแขกในงานทุกคนต่างเงียบ หลิวจี้หยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วเริ่มร้องเพลง ถึงแม้เขาจะเป็นอดีตนักร้องแต่คุณภาพการร้องเพลงของเขาก็ไม่ได้เป็นอดีตตาม เขายังร้องได้ทราบซึ้งตราตรึงใจจนกระทั่งเมื่อร้องเพลงจบแล้วทำให้หลี่เทียนเฮอน้ำตาซึมออกมา
“ช่างเป็นเพลงที่ดีจริงๆ” หลี่หยิงกล่าวชมเชย
“ไม่ใช่แค่ดีหรอกนะ นักร้องคนนี้ดีกว่า จนนักร้องทั่วไปเทียบไม่ติด” หลี่เหนียนหยิงพูดเสริม
“ก็เท่านั้นแหละ เทียบกับเพลงบรรเลงกู่ฉินของอาจิ้งก็ยังด้อยกว่านิดหน่อย” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“พี่ซือหยา อย่าหาเรื่องให้ผมเลยน่า” ซูจิ้งยกมือห้าม
“ฮ่า ฮ่า ฉันไม่ได้หาเรื่องให้ซักหน่อย จริงๆ นะ” หวังซือหยาหัวเราะจนตัวสั่น
“จะว่าไป จิ้ง นายไม่เล่นให้ลุงหลี่ซักหน่อยหล่ะ” หวังจ้าวพูดขึ้นมาทันที
“ช่าย ช่ายย นี่เป็นเวลาแห่งดนตรีนะ” หลี่เหนียนหยิงและหลี่หยิงต่างทำตาลุกวาว
พวกเขาได้ยินฝีมือการเล่นกู่ฉินของซูจิ้งมานานแล้ว แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงหาฟังจากอินเตอร์เนตเท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีสายสัมพันธ์ถึงขนาดที่จะขอให้เขาเล่นได้ แต่ตอนนี้มีหวังซือหยาและหวังจ้าวอยู่ทำให้มีโอกาสมากขึ้น ทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
“เฮ้อออออ ก็ได้ แต่ฉันไม่ได้เอากู่ฉินมาเนี่ยสิ” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฉันเคยเรียนกู่ฉินมาพักนึงนะเลยมีติดไว้ตัวนึง” หลี่เหนียนหยิงพูดพร้อมแสยะยิ้ม เขาเรียนกู่ฉินอยู่ช่วงหนึ่งแต่ก็ไม่ได้อะไรเลยแม้แต่เรื่องพื้นฐาน เขาคิดว่ามันยากมากเลยยอมแพ้แต่ว่าก็ยังไม่ได้ทิ้งกู่ฉินไป
หลี่เหนียนหยิงขอให้แม่นมช่วยนำกู่ฉินมาให้ ซูจิ้งลองปรับเสียงดูก่อน ซึ่งดูแล้วกู่ฉินตัวนี้ถือว่าใช้ได้
เมื่อหลี่เทียนเฮอและภรรยารู้ว่าซูจิ้งจะเล่นเพลงให้พวกเขาได้ฟัง ทั้งคู่ก็มีรอยยิ้มขึ้นมา หลิวจี้ จ้าวหยวน จ้าวซือเฟิง และคนอื่นๆ มีความรู้สึกอยากฟังอย่างมาก
“ลุงหลี่ครับ ป้าหลี่ครับ เพลงนี้ผมขอมอบให้พวกคุณ” ซูจิ้งพูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะเริ่มบรรเลงกู่ฉินเขาคิดว่าเพลงเสียงแห่งความโดดเดี่ยวและห่างไกลเป็นเพลงที่เหมาะกับคู่สามีภรรยาคู่นี้
ตอนที่ 652
ณ ขณะจิต
เสียงที่น่าพิศวงได้ดังออกมา สื่อถึงความรู้สึกเงียบงัน โดดเดี่ยว อ้างว้าง ราวกับจะบอกเล่าทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาของหลี่เทียนเฮอและภรรยา บางช่วงให้ความรู้สึกถึงคลื่นลมโหมกระหน่ำที่สูงเทียมฟ้ายามมืดมิด บางช่วงก็ให้ความรู้สึกถึงสายลมในฤดูใบไม้ร่วงที่เยือกเย็นพัดพาจนใบไม้ร่วงหล่น ทุกคนที่ฟังอยู่ล้วนมีอารมณ์ร่วมไปกับเพลง
เพลงนี้รู้จักกันในนาม
“ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม”(ห้วงอารมณ์แห่งดอกฝาง)
ในห้วงเวลาและกาลอวกาศของ โซเฉินจิ มันบอกเล่าถึงเรื่องราวของเสินหนงบุคคลคนแรกในโลกของ โซเฉินจิ ที่คิดถึงและรักภูติแห่งมัลเบอรี่ที่ว่างเปล่า(ภูติของภูเขาที่ว่างเปล่า)อย่างหมดหัวใจ เขารักจนถึงขนาดยอมถูกเนรเทศไปเกาะแห่งทะเลทรายเพื่อช่วยเหลือเธอ แต่เขาทำถึงขนาดนั้นเขาก็ยังช่วยเธอไม่ได้
ในคืนหนึ่งในขณะที่เขาและเธอทำได้เพียงต้องจากกันไกลออกไปนั้น เขาดื่มไวน์เพื่อย้อมใจในชีวิตที่แสนขมขื่นต่อหน้าสายลมกรรโชกและแสงจันทร์ที่สว่างสดใส เขาดื่มมันพร้อมน้ำตาพร้อมพร่ำบอกขอโทษเธอที่ต้องทำให้ช่วงชีวิตที่แสนสวยงามของเธอต้องอยู่โดดเดี่ยวในเกาะแห่งทะเลทราย
ชีวิตของหลี่เทียนเฮอและภรรยาของเขามีทั้งดีและร้ายเปรียบได้เช่นเดียวกับ เสินหนงและภูติคงชาน(ภูติแห่งภูเขาที่ว่างเปล่า) พวกเขามีประสบการณ์ความรักที่แสนเจ็บปวดแต่ก็ยังไม่ได้อยู่คู่กัน เรื่องราวของพวกเขาสามารถบอกเล่าออกมาได้ผ่านเพลงๆนี้ คู่สามีภรรยาตระกูลหลี่เข้าใจความหมายของเพลงดีจนกระทั่งอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วยกันทั้งคู่
สำหรับคนอื่นนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้ยินการบรรเลงเพลงของซูจิ้งต่างตกตะลึง และต่างซึมซับความสุนทรีย์ของเพลงประดุจดั่งชีวิตคู่ของพวกเขาก็ไม่สมหวังเหมือนกัน
หลิวจี้ที่คิดว่าตัวเองมีประสบการณ์ด้านเสียงเพลงมามากนั้น เมื่อเขาได้ยินว่าซูจิ้งจะบรรเลงเพลง เขามีความรู้สึกดูถูกและเหยียดหยามอยู่ในใจ แต่กลายเป็นว่ายิ่งเขาได้ยินเพลงบรรเลงของซูจิ้งมากเท่าไหร่ เขายิ่งหลงลืมความคิดดูถูก เหยียดหยามที่มีก่อนหน้าจนกระทั่งจิตใจของเขาเข้าสู่ภวังค์
หวังซือหยาและหวังจ้าวเองผู้ที่เคยได้ยินการบรรเลงเพลงของซูจิ้งอยู่บ่อยครั้ง ก็ยังไม่สามารถจะต้านทานได้ ปล่อยอารมณ์ร่วมไปกับท่วงทำนองแห่งเสียงเพลง
มีการกล่าวไว้ว่าเพลงบางเพลงนั้นต่อให้ฟังบ่อยขนาดไหนก็ยังลืมไปได้ กลับกันก็ยังมีเพลงบางเพลงที่ต่อให้คิดว่าลืมไปแล้วแต่พอมีอารมณ์บางอย่างก็นึกถึงขึ้นมาได้ นอกจากนั้นยังมีเพลงที่มืออาชีพทุกคนล้วนอยากจะทำให้ได้ เพลงที่ทำให้คนฟังมีอารมณ์ร่วมกับมันทั้งสุขและทุกข์ มีอารมณ์ร่วมพร้อมคล้อยตามไปกับเพลง ซึ่งเพลงที่ซูจิ้งบรรเลงนั้นถือได้ว่าอยู่ในข้อนี้
นอกจากเสียงกู่ฉินแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสงบนิ่ง แม้แต่บริกรที่คอยเสริฟอาหารก็ยังหยุดชะงักและฟังอยู่หน้าประตู
การบรรเลงยังบรรเลงต่อไปจนกระทั่งเสียงแผ่วเบาลง
ในวินาทีนั้นเสียงปรบมือก็ค่อยดังขึ้น และดังขึ้นเรื่อยๆ และดังมากจนประหนึ่งเสียงระเบิดหรือพายุสายฟ้าก็ไม่ปาน หลี่เทียนเฮอและภรรยาหลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุดพร้อมสีหน้าที่แสดงออกมาด้วยความอบอุ่น
ถึงแม้ว่าเพลงนี้จะไม่ได้จบด้วยความสุขแต่เมื่อผ่านการเล่นโดยซูจิ้งแล้วมันก็ยังทิ้งความหวังเอาไว้ให้แทน ถึงแม้จะเป็นเพลงที่ฟังดูแล้วเศร้าแต่ก็ยังให้ความรู้สึกถึงความรักเปี่ยมหัวใจ ทำให้คนฟังรู้สึกว่าจะต้องให้คุณค่ากับความรักมากกว่าเดิม เมื่อเปรียบเทียบกับเพลงของหลิวจี้แล้ว เพลงของเขาก็แค่เพลงที่มีท่วงทำนองเดิมๆ ตามความนิยมของเพลงทั่วไป แต่กับเพลงที่สามารถเข้าถึงจิตใจผู้คนอย่าง “ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม” นั้น เที่ยบกันไม่ได้เลยซักนิด
“พระเจ้า มันสุดยอดที่สุด”
“ฉันไม่เคยเข้าใจเวลาคนที่ฟังเพลงแล้วร้องไห้เลย ในที่สุดฉันก็เข้าใจแล้ว”
“เป็นครั้งแรกเลยทีฉันได้ฟังซูจิ้งแสดงสด ช่างน่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนัก”
คนฟังส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่กล่าวสรรเสริญการบรรเลงของซูจิ้ง สำหรับคนที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา พวกเขาเป็นดารานักร้องดังที่มีงานเพลงมากมาย มีแม้แต่นักร้องเวทีแสดงสด อย่างไรก็ตามคนเหล่านี้ต่างนิ่งเงียบไม่กล้าขยับไปไหน พยายามทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนอยู่ในงานเลี้ยงแห่งนี้ ผู้หญิงหลายคนเองก็ต่างจ้องมองไปยังซูจิ้งด้วยอารมณ์อยากตกหลุมรัก
“ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่านี่เป็นการแสดงจากเด็กหนุ่มเลยนะเนี่ยถ้าไม่ได้ฟังด้วยตัวเองแบบนี้” หลี่เทียนเฮอกล่าวชมเชยออกมา งานเพลงชิ้นนี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถทางศิลปินอย่างเปี่ยมล้น ทันทีที่เขาได้ฟังมันทำให้นึกถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตขึ้นมา มันยากจะเชื่อได้ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะมีความสามารถมากมายขนาดนี้
“เจ้าหนูนี่เยี่ยมจริงๆ” ภรรยาของหลี่เทียนเฮอก็มองไปยังซูจิ้งด้วยความรู้สึกเดียวกับที่เธอเอ็นดูลูกๆ ของเธอ
อย่างไรก็ตามไม่มีใครที่ไม่ชื่นชมในบทเพลงนี้ แม้กระทั่งปรมารจารย์เพลงหลิวจี้ แม้กระทั่งจ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวน ผู้ที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับซูจิ้งก็ยังถึงกับพูดไม่ออก เพราะพวกเขาเองก็มีอารมณ์ร่วมไปกับบทเพลงเพลงนี้จนไม่สามารถทำเป็นหูทวนลมไปได้
“สำหรับการเล่นครั้งแรกก็ถือได้ว่าไม่เลวหล่ะนะ” ซูจิ้งพึมพำออกมา เขาใช้โทรศัพท์มือถือส่งเพลงที่อัดไว้ส่งขึ้นWeibo(เหมือนยูทูปแต่เป็นของประเทศจีน) จำนวนคนคลิ๊กเข้าดูเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและล้นหลามจนระบบแทบจะล่ม
“พระเจ้า นี่มันสุดยอดมาก”
“ดีต่อใจ”
“ฉันฟังไปแล้วห้ารอบยังหยุดฟังไม่ได้เลย”
“เพลง “กระบี่นิรันด์”(เพลงประกอบละครกระบี่เทพธิดา)ที่คุณพี่จิ้งเล่นไว้คราวก่อนก็ว่าเล่นได้สุดยอดแล้วนะ บางคนถึงกับอยากให้คุณพี่จิ้งบรรเลงเพลงทุกเพลงในโลกให้ฟังโดยใช้กู่ฉิน แต่ฉันบอกได้เลยว่าเสียเวลาเปล่าเมื่อเทียบกับเพลงที่แต่งโดยคุณพี่จิ้ง เพลงอื่นนี่ถือว่าห่างไกลจนเรียกได้ว่าคนละชั้นกันเลย”
“แน่นอนอยู่แล้ว เพลง“กระบี่นิรันด์” กับเพลงอื่นๆ นั้น ถือได้ว่าเป็นแค่เพลงที่ดีไปเลย ช่างเป็นเพลงที่ตราตรึงลึกเข้าไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียว”
“เทียบกับเพลง “กลับมา” แล้ว เพลง “ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม” ต่างก็มีความสวยงามเหมือนกัน แต่ต่างกันตรงที่ไม่มีความเศร้า แถมเพลงนี้ยังให้ทำให้มีอารมณ์ร่วมพร้อมทั้งทำให้คนฟังคล้อยตามไปกับเพลง มันเหมือนกับว่าต่อให้อีกร้อยปีให้หลังก็ยังไม่มีเพลงไหนที่เทียบเพลงนี้ของคุณพี่จิ้งได้เลย ที่มีทุกอารมณ์ในเพลงๆ เดียว จะว่าไปเขาเล่นยังไงถึงได้เป็นเพลงที่ไพเราะจับใจขนาดนี้นะ”
“ฉันหลงรักคุณพี่จิ้งจริงๆ นะ แต่คุณพี่เขามีฉือชิงอยู่แล้ว ฉันก็คงทำได้แค่อวยพรให้ทั้งคู่หล่ะนะ”
ต่อให้คนที่ไม่ใช่แฟนเพลงของซูจิ้งหรือแม้แต่คนโง่เง่าก็ตาม เมื่อได้ยินเพลงเพลงนี้ พวกเขาล้วนแต่จะต้องบ้าคลั่ง บางคนที่ฟังเพลงของซูจิ้งจนร้องไห้ขอสาบานว่าจะไม่มีวันฟังเพลงของซูจิ้งอีก แต่พวกเขาก็ยังฟังแล้วก็ร้องไห้อีกครั้ง ต่อให้เป็นคนที่ไม่มีความรักแต่มีสิ่งของแล้วคนๆนั้นไม่ได้เห็นของสิ่งนั้นมานาน เมื่อคนๆนั้นไปหาของสิ่งนั้นแต่ไม่เจอก็จะทำได้แต่กอดหมอนร้องไห้
ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่ในวงการดนตรีเองถึงกับต้องตกตะลึงเพราะว่าผลงานบรรเลงเพลงชิ้นนี้ เพราะเพลงๆนี้ได้ขึ้นสู่อันดับหนึ่งในรายการสิบสุดยอดอันดับเพลงฮิตในช่วงยังไม่พ้นข้ามคืนด้วยซ้ำ ซึ่งโดยปกติแล้วกว่าเพลงๆ หนึ่งจะขึ้นเป็นที่หนึ่งได้ต้องใช้เวลาสองวันเป็นอย่างน้อย
มู่หรงเซียนเอ๋อ ได้ส่งข้อความในเว่ยป๋อ(Weibo)ไว้ว่า
“เพลงนี้ยอดเยี่ยมที่สุด ตาของฉันแดงเลยเพราะร้องไห้ไม่หยุด นายจะรับผิดชอบยังไงเนี่ย”
ซูจิ้งส่งข้อความตอบไปว่า “ฉันอนุญาตให้เธอเล่นเพลงและพร้อมร้องเพลงประกอบได้เลยนะ แค่นี้พอรึเปล่า”
มู่หรงเซียนเอ๋อกดหัวใจให้พร้อมพิมพ์ตอบว่า “ขอบคุณค่า…..”
“รีบติดต่อตัวแทนของซูจิ้งเดี๋ยวนี้ หาวิธีติดต่อขอซื้อเพลงนี้ให้ได้” นาลันเฟยตื่นตัวทันทีหลังจากที่ได้ยินเพลง “ณ ขณะจิตแห่งความสวยงาม” เธออดรนทนไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา
“แต่เขาให้เพลงคนอื่นไปแล้วนะ” ผู้จัดการได้มองไปที่เธออย่างจนใจ เขา(ซูจิ้ง)ไม่รู้เลยรึไงกันว่าลิขสิทธิ์เพลงของเขาจะมีมูลค่ามากมายขนาดไหน
“คุณรู้ได้ยังไง ใครเป็นคนได้ไปกัน” นาลันเฟยรูสึกประหลาดใจ
“ลองดูที่เขาโต้ตอบกันในเว่ยป๋อ(Weibo)ดูซิ” ผู้จัดการบอกเธอ
นาลันเฟยนั้นเพิ่งจะได้ยินเพลงของซูจิ้งแล้วถึงกับหลงไหลเป็นอย่างมาก ถึงขนาดไม่เป็นทำการทำงาน เมื่อเห็นการโต้ตอบข้อความกันระหว่างซูจิ้งกับมู่หรงเซียนเอ๋อแล้ว เธอทำได้แต่หมดแรงพร้อมทั้งรู้สึกท้อใจ หลายครั้งแล้วที่เธอพยายามใช้เงินเพื่อซื้อสิ่งต่างๆของซูจิ้ง แต่ก็จบด้วยความล้มเหลว มีเพียงครั้งเดียวที่เธอได้มาก็คือ “การร่ายรำแห่งดวงจันทร์” ที่ได้มาเพราะโชคช่วย ถ้าเธอไม่ได้อาศัยความช่วยเหลือจากบริษัทเวชสำอางซือหยาก็ไม่มีทางเลยที่จะได้มันมา ไม่คิดเลยว่ามู่หรงเซียนเอ๋อแค่พิมพ์ข้อความเล็กๆ ก็ทำให้ได้ลิขสิทธิ์เพลงฟรีๆ ไป ทั้งๆ ที่คนอื่นต่างพยายามกันแทบเป็นแทบตาย นักดนตรีทั้งหลายที่อยากได้ลิขสิทธิ์เพลงนี้ต่างรู้สึกว่ากลายเป็นคนโง่กันไปเลย พวกเขาถึงกับเข้าไปติดต่อกับตัวแทนของซูจิ้งเพื่อจะขอซื้อลิขสิทธิ์เพลงเพื่อใช้เป็นทำนองประกอบการร้องเพลงแต่ก็เท่านั้น
ซูจิ้งชอบเล่นดนตรีมากกว่าร้องเพลง ถึงเขาจะเสียดายที่ไม่มีเนื้อเพลงดีๆ ที่เหมาะกับเพลงนี้ แต่ยังไงก็ตามซูจิ้งก็ยังไล่พวกนั้นไปอยู่ดี เฮ้ออออออ เขารู้รึเปล่าว่าเพลงของเขาจะได้ค่าลิขสิทธิ์มากมายขนาดไหน เลิกให้คนอื่นฟรีๆ ได้ไหมเนี่ย
ตอนที่ 653
จัดการขยะ
ภายในห้องห้องหนึ่ง หวังหยาน กำลังตัดแต่งเพลงๆ หนึ่งด้วยโทรศัพท์มือถือ หลังจากนั้นที่ก็เริ่มกดเล่นและฟังส่วนที่ตัดออกมาซ้ำๆ ไปเรื่อย ดวงตาของเธอได้แดงก่ำเพราะการร้องไห้ซ้ำๆ เธอระลึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตและเธอไม่สามารถหยุดมันได้
ในเวลาเดียวกันนั้นทั่วทั้งประเทศผู้คนนับไม่ถ้วนต่างฟังเพลงเพลงนี้ บางคนก็ถึงกับร้องไห้ มันเป็นคืนที่ผู้คนต่างก็นอนไม่หลับกัน เพลงนี้ใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงในการขึ้นไปอยู่อันดับสามของอันดับเพลงฮิต ซูจิ้งเองนั้นคิดว่าต้องใช้เวลาถึงสองวัน แต่ดูจากสภาพแล้วคิดว่าแค่วันเดียวก็น่าจะขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง ต่อให้ไม่มีการจัดอันดับนี้ก็ยังทำให้ผู้คนในวงการเพลงต้องสะท้านกันอยู่ดี
ซูจิ้งออกจากห้องน้ำแล้วจึงได้นำตราเทวฑูต(นางฟ้า)ออกมาแล้วทำการดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมากเข้าไป เขากลับไปที่ห้องโถงเพราะว่างานเลี้ยงยังไม่จบ ผู้คนมากมายต่างพยายามเข้ามาเพื่อขอพูดคุยกับซูจิ้ง บางคนเข้ามาเพราะสายสัมพันธ์กับนายน้อยตระกูลหวัง บางคนเข้ามาเพราะฝีมือในการเล่นกู่ซือน ด้วยการแนะนำจากหวังจ้าวทำให้ซูจิ้งได้ทำความรู้จักเล็กน้อยกับคนเหล่านี้ มีบางคนเป็นผู้ว่าราชการมณฑล บางคนเป็นผู้อำนวยการฝ่ายรักษาความมั่นคงประจำมณฑล บางคนเป็นประธานเครือบริษัทใหญ่ ฯลฯ เหล่านี้คือผู้คนแห่งสังคมชนชั้นสูงที่หลายๆ คนอยากเข้าร่วมแต่ไม่มีโอกาสแม้แต่น้อย แต่ด้วยการที่ซูจิ้งมีตระกูลหวังคอยหนุนหลัง รวมถึงหลี่เทียนเฮอและภรรยาก็ยังชื่นชมเขาเป็นการส่วนตัว ทำให้เหล่าคนใหญ่คนโตพวกนี้ต้องสุภาพกับเขา
จ้าวหยวนไม่ได้พูดอะไรกับซูจิ้งอีกต่อไป จ้าวซือเฟิงเองก็ไม่อยากยุ่งกับซูจิ้งเช่นกัน เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งงานเลี้ยงก็ได้จบลง อย่างไรก็ตามมัตซึโมโตะชาวญี่ปุ่นคนนั้นก็ยังพยายามที่จะคุยกับซูจิ้งให้ได้ ซึ่งแน่นอนว่าซูจิ้งได้คาดว่าแล้วว่าเขาจะคุยเรื่องอะไร “คุณซู คุณเป็นคนแต่งเพลง “นะขณะจิตที่สวยงาม”หรือครับ”
“ใช่แล้วครับ” ซูจิ้งพยักหน้าตอบรับ
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องลิขสิทธิ์สมควรยังอยู่ในมือคุณใช่รึเปล่าครับ” มัตซึโมโตะกล่าวพร้อมสายตาลุกวาว
“เรื่องนั้นผมให้คนอื่นไปแล้วน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ฮ่า ฮ่า คุณกำลังพูดถึงข้อความที่ส่งต่อกันในเหว่ยป๋อ(Weibo)ใช่ไหมครับ มันไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย ผมไม่มีปัญหาในการแบ่งลิขสิทธิ์กับมู่หรงเซียนเอ๋อ ผมขอพูดเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ผมมีความสนิทชิดเชื้อกับนักร้องคนหนึ่ง เธอมีชื่อว่าจิงเอ้อ เธอมีพรสวรรค์ด้านร้องเพลง ตอนที่ผมฟังเพลง“นะขณะจิตที่สวยงาม”ผมตกตะลึงเป็นอย่างมาก ผมต้องการให้คุณให้ลิขสิทธิ์แก่จิงเอ้อได้ไหมครับ ผมหวังว่าคุณจะยินยอม คุณสามารถบอกราคามาได้เลย” มัตซึโมโตะกล่าวออกมาอย่างจริงใจและตรงไปตรงมา เขานั้นไม่รู้จักซูจิ้ง ถ้าเขารู้จักกับซูจิ้งดีเหมือนกับที่เขารู้จักวงการเพลงหล่ะก็ เขาจะไม่มีทางทำอย่างนี้เพราะซูจิ้งนั้นจะไม่มีวันขายลิขสิทธิ์เพลงพวกนี้แน่นอน ยิ่งกว่านั้นเขายังมอบลิขสิทธิ์ให้มู่หรงเซียนเอ๋อไปแล้วจึงขายไม่ได้ ที่สำคัญเขาไม่ได้ขาดเงิน
“งั้น เราลองหาที่คุยกันซักหน่อยไหมครับ” ซูจิ้งไม่เคยได้ยินชื่อนักร้องที่ชื่อจิงเอ้อมาก่อน แต่มัตซูโมโตะก็ยังยินยอมพร้อมใจที่จะจ่ายเงินจำนวนมากให้เธอ แสดงว่าต้องเป็นบุคคลพิเศษสำหรับเขาอย่างแน่นอน ซูจิ้งนั้นรู้สึกเอือมระอากับมัตซึโมโตะเป็นอย่างมาก นี่ถึงกับก้าวล่วงมาวุ่นวายถึงนักแสดงในประเทศของจีน ทำให้ซูจิ้งรู้สึกว่าเขาช่างน่าขยะแขยง อย่างไรก็ตามซูจิ้งก็ไม่ได้ทำอะไรประเจิดประเจ้อ เขาได้แยกตัวออกไปเพื่อคุยกับมัตซึโมโตะ
“ถ้างั้นไปคุยกันในรถผมเป็นยังไงครับ” มัตซึโมโตะเสนอความคิด
“ก็ได้” ซูจิ้งพยักหน้าตอบรับพร้อมรอยยิ้ม เขาเข้าไปพูดกับหวังจ้าวและหวังซือหยาแล้วก็เดินออกมาพร้อมมัตซึโมโตะ หวังจ้าว หวังซือหยา หลี่หยิง หลี่เทียนเฮอ หลี่เหนียนหยิง และคนอื่นๆ ต่างรู้ในทันทีว่าซูจิ้งต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน พวกเขาต่างหวังให้ซูจิ้งทำอะไรซักอย่างเกี่ยวกับภาพเขียนเทพธิดา อย่างไรก็ตามซูจิ้งไม่ได้รีบร้อนเพราะยังไงซะภาพเขียนเทพธิดาก็ได้ตกอยู่ในเงื้อมมือพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นไปเรียบร้อยแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้กลับมาง่ายๆ
ซูจิ้ง มัตซึโมโตะ และผู้ติดตามอีกสองคน ขึ้นไปบนรถคาร์ดิแลครุ่นยาวพิเศษ มัตซึโมโตะพูดกับซูจิ้งด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซูครับ คุณว่าราคามาได้เลย ถ้าราคาไม่สูงเกินเอิ้อมผมไม่มีปัญหา พร้อมเซ็นสัญญากันได้ในภายหลัง”
ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ แล้ว เขาไม่ต้องระวังที่จะมีใครมาเห็น ซูจิ้งขี้เกียจจะพูดอีกต่อไป เขาได้ปลดปล่อยพลังจิตออกมาและทำการสะกดจิตมัตซึโมโตะและคนคุ้มกันทั้งสอง แล้วซูจิ้งก็ได้ยิงคำถามชุดใหญ่ใส่มัตซึโมโตะ เขายืนยันแล้วว่าภาพเขียนเทพธิดาตกไปอยู่ในเงื้อมมือของทางพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นเรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ตามเขายังได้ข้อมูลเพิ่มเติมบางอย่าง
ข้อมูลที่ซูจิ้งได้มาอย่างแรกคือ จ้าวซือเฟิงและจ้าวหยวนดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ร่วมมือกับมัตซึโมโตะ และทั้งสองเองก็ยังพยายามจะค้นหาภาพเขียนเทพธิดาด้วยเหมือนกัน
อย่างที่สองมัตซึโมโตะมีเส้นสายกับทางพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นชนิดที่ แทบจะทำอะไรก็ได้ทำให้เขามีข้อมูลเกี่ยวกับเส้นทางการขนส่ง รวมถึงที่อยู่ของภาพเขียนเทพธิดา
อย่างที่สามเนื่องจากเขามีเส้นสายกับพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น ทำให้รู้ข้อมูลของพ่อค้าคนกลางที่จะนำภาพเขียนเทพธิดา จากจีนไปญี่ปุ่นด้วย
“เส้นสายที่มัตซึโมโตะมีต่อพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นนี่น่าจะพอใช้อะไรได้อยู่แหะ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก รออีกสักสองสามวัน ถ้าลุงหวังกับลุงหลี่สามารถใช้ประโยชน์จากข้อมูลพวกนี้ได้ก็ไม่เป็นไร ต่อให้ไม่สามารถใช้วิธีทางการฑูตนำกลับคืนมาได้ ฉันจะไปจัดการเองเมื่อพิพิธภัณฑ์นำภาพเขียนไปแสดง” ซูจิ้งนึกพร้อมทำการปลดปล่อยมัตซึโมโตะและผู้ติดตามออกจากการสะกดจิตและทำเหมือนเพิ่งจะเริ่มคุยงานกัน โดยซูจิ้งแกล้งเสนอราคาที่สูงมากจนมัตซึโมโตะได้แต่ถอดใจจนต้องถอนตัว หลังจากนั้นซูจิ้งเดินออกมา
เขาเดินกลับไปที่รถลินคอนรุ่นพิเศษของหวังจ้าว หวังจ้าวและหวังซือหยาได้นั่งรออยู่ในรถเนื่องจากงานเลี้ยงได้เลิกไปซักพักนึงแล้ว เมื่อเห็นซูจิ้งกลับเข้ารถ หวังจ้าวรีบถามออกไปว่า “เป็นยังบ้าง ได้อะไรเพิ่มขึ้นมั่งไม๊”
“นี่คือข้อมูลของชายที่เป็นคนกลางที่จะนำภาพเขียนเทพธิดาออกจากจีนไปญี่ปุ่น คนของประเทศเราน่าจะรู้อะไรเพิ่มเติมถ้าติดตามตรวจสอบคนๆ นี้ ดีไม่ดีอาจเจอตัวคนขโมยด้วยก็ได้” ซูจิ้งยื่นมือถือที่มีข้อมูลที่เขาได้จากมัตซึโมโตะให้แก่หวังจ้าว
“นี่มันสุดยอดไปเลย ฉันจะส่งคนไปสืบสวนคนๆ นี้ทีหลัง ว่าแต่นายทำยังไงมัตซึโมโตะถึงยอมบอกข้อมูลเหล่านี้กับนายเนี่ย” หวังจ้าวรู้สึกทึ่งกับความสามารถของซูจิ้ง การที่ซูจิ้งเข้าไปคุยในตอนนั้นแล้วได้ข้อมูลพิพิธภัณฑ์จีนมาก็พอเข้าใจได้ แต่นี่กลับได้ข้อมูลลับมาเหมือนเป็นข้อมูลทั่วไปบอกใครก็ได้อย่างงั้นแหล่ะ แม้กระทั่งข้อมูลคนกลางนี่ก็ด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่จะใช้วิธีการถามตอบแบบปกติแล้วได้มันมา
“ฮ่า ฮ่า ผมก็มีวิธีของผมน่า…” ซูจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่หวังซือหยากลับยักไหล่ใส่ เธอนึกถึงตอนเรื่องรักครั้งแรกของเธอ เฉาซิ่ง ดูเหมือนซูจิ้งมีวิธีบางอย่างที่จะทำให้ผู้คนพูดความจริงทำให้เฉาซิ่งพูดความจริงทุกอย่าง บอกหมดทุกเรื่อง ไม่รู้ว่าซูจิ้งทำได้ยังไงเหมือนกัน
สำหรับเรื่องคนกลางนี้ซูจิ้งได้ปล่อยให้หวังจ้าวเป็นคนจัดการ ส่วนเขาจะมุ่งเน้นในการหาวิธีที่จะนำภาพเขียนเทพธิดากลับมา ตอนแรกนั้นหวังจ้าวคิดว่าจะให้รถไปส่งซูจิ้งที่บ้าน แต่ซูจิ้งเห็นว่ามันดึกมากแล้ว ประมาณซักตีสองไม่ก็ตีสามเห็นจะได้ เขาจึงเลือกที่จะขึ้นไปบนยอดตึกแล้วทำการผิวปาก ทันใดนั้นอินทรีทองได้ร่อนลงมาจากฟากฟ้าและเขาก็ขึ้นไปขี่มันแล้วจากไป หวังจ้าวและหวังซือยาทำได้แค่รู้สึกอัศจรรย์ใจกับเรื่องนี้ทุกครั้ง ถึงแม้จะเห็นมาหลายครั้งแล้วก็ตาม
เมื่อซูจิ้งกลับถึงบ้าน เขาก็ได้ไปจัดการกับขยะของเขาต่อและรอผลลัพธ์จากทางด้านตระกูลหวังและตระกูลหลี่ที่จะไปจัดการกับเรื่องภาพเขียนเทพธิดา เพราะว่าแค่กองขยะนี่ก็ทำให้เขางานล้นมือแล้ว
ตอนที่ 654
เรื่องแปลกๆ
ห้าวันต่อมา แผนการที่จะทวงคืนภาพเขียนเทพธิดาไม่เป็นไปอย่างที่คิด ลุงหลี่และลุงหวังพยายามใช้วิธีทางการฑูตกับญี่ปุ่นแต่ก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่ ฝั่งญี่ปุ่นเองนั้นยึดถือแต่ผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น ถึงจะมีการเสนอข้อเสนอเงื่อนไขในการส่งมอบคืนก็ตาม แต่ก็เป็นเงื่อนไขที่ญี่ปุ่นได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว แน่นอนว่าประเทศจีนไม่มีทางยอมรับข้อเสนอแน่นอน
ซูจิ้งเองก็ยังคงรอคอยต่อไป
ในวันที่ห้านั้นเขาได้จัดการขยะจากห้วงเวลาและกาลอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน(โซเฉินจิ) ปะการังแดงจำนวนมากถูกคัดแยกออกมา บางต้นก็ใหญ่จนทำให้โลกตะลึงได้เลย บางต้นก็เล็ก บ้างก็แตกหัก แน่นอนว่าซูจิ้งได้เก็บรวมรวบเอาไว้เพื่อเอาไว้ขาย ไม่ว่าชิ้นจะเล็กแค่ไหน สภาพยังไงแต่ก็ยังขายได้ราคาดีอยู่ดี นอกจากนั้นเขายังเจอม้วนตำราเวทมนต์ดีๆ อยู่บ้าง มันเป็นชุดม้วนตำราที่ชื่อว่า “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” ซึ่งเป็นชุดเวทมนต์ที่ใช้ในการรักษาของเผ่าไม้ ตอนที่เขาพบเขาแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ เพราะว่าชุดเวทมนต์นี้มีผลให้เกิดการรักษาทันทีที่ใช้ ถึงแม้ว่าระดับของชุดเวทมนต์นี้จะต่ำไปหน่อยแต่ความสามารถของมันก็ยังดีเทียบเท่ากับการรักษาของราชันย์พรงไพรแห่งอาณาจักรมู่อยู่ดี ตราบใดที่ไม่ได้บาดเจ็บหนักก็ยังถือได้ว่ามีประโยชน์อย่างมาก
เนื้อสัตว์วิเศษ ปลาเขี้ยวหยก พลังวิญญาณ ไอเทม น้ำยา หรือแม้แต่ สสารต่างๆ ที่มีผลต่อการรักษานั้นพวกมันยังมีข้อจำกัดในการรักษาอยู่บ้าง สิ่งที่กล่าวมานี้แค่ช่วยทำให้รู้สึกสดชื่นมากกว่า ต่อให้รักษาได้ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลา การใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อหวังในการรักษาถือได้ว่ายังไม่ใช่การรักษาที่แท้จริง แต่เมื่อเทียบกับเวทรักษาแล้วผลลัพธ์ที่ได้จากการใช้ถือว่าดีกว่ามาก
อย่างไรก็ตามปัญหาก็คือซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนของเผ่าไม้ที่มีวิญญาณแห่งป่าสถิตอยู่ในร่าง
หลังจากที่ฝึกใช้อยู่สองวันเขาก็ยังไม่สามารถใช้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ เขาฝึกฝนจนทำได้แค่ใช้เวทรักษาได้แค่ขั้นที่หนึ่งเท่านั้น ดูเหมือนว่าถ้าเขาอยากจะฝึกให้สำเร็จทั้งหมดจริงๆ จำเป็นจะต้องทำอะไรเพิ่มซะก่อน
หลังจากนั้นเขาก็พักการฝึกโดยการไปจัดการขยะต่อ เขาไม่พบอะไรที่มีค่ามากนัก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพบอำพันมังกร(T-Tไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงดีคิดว่าน่าจะคล้ายกับอำพันทะเล(อ้วกปลาวาฬ)นะ) หนังฉลาม แมลงไวน์ อำพันทะเลมรกต ปะการังแดง บทกลอนใบไม้ผลิ ฯลฯ นี่คือรายการของทั้งหมดที่เขาพบเจอจากห้วงเวลาและอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน เขาคิดอยู่ว่าจะเอาของพวกนี้ไปใช้ทำอะไรได้บ้าง
เขาเคยทดลองใช้อำพันมังกร(Longgu)ดูแล้วทำให้พอจะเข้าใจผลลัพท์ของมันอยู่บ้าง เขาลองใช้มันกับม้าผอมๆ ที่ให้ฉินซู่หลานไปซึ่งมีผลทำให้ม้าตัวนั้นเพิ่มสมรรถนะร่างกายด้านความแข็งแรงของร่างกายและความเร็ว ถึงแม้ว่าสมรรถนะที่เพิ่มนั้นจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนักเพราะว่าซูจิ้งไม่ได้เป็นคนขี่ม้าตัวนั้นแต่นั่นก็ยังทำให้ฉินซูหลานทำลายสถิติได้อยู่ดี ซึ่งในตอนนั้นฉินซูหลานพอใจเป็นอย่างมาก
ม้าสีขาวตัวน้อยๆ ตัวหนึ่งถูกนำมาทดลองดูบ้าง ผลที่ได้คือทำให้สมรรถนะร่างกายดีขึ้นอย่างมาก ร่างกายอึดขึ้น ความแข็งแรงและความเร็วเพิ่มขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ ขนาดผลจากการใช้อำพันมังกรยังแสดงผลอย่างไม่เต็มประสิทธิภาพแต่ก็ยังทำให้ร่างกายของม้าพัฒนาขึ้นประดุจดั่งอาชาสวรรค์ วันต่อมาเขาได้ใช้อำพันมังกรกับม้าตัวนั้นต่อไป ถึงแม้จะทำให้เสริมศักยภาพร่างกายอย่างน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็ไม่ได้ผลดีเท่ากับการใช้ครั้งแรกที่เขาใช้กับมัน ในตลอดห้าวันเขาลองใช้วันละก้อนผลจากการใช้ค่อยๆ ลดลงจนกระทั่งไม่เกิดผลอะไรขึ้นเลย
อย่างไรก็ตามหลังจากร่างกายปรับสภาพได้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เพียงจะทำให้สมรรถนะร่างกายสูงขึ้นและร่างกายแข็งแรงขึ้น ผลลัพธ์ยังทำให้ร่างกายฟื้นฟูสู่สภาพดั้งเดิม หรือจะเรียกว่าสภาพที่ดีที่สุดก็ว่าได้ เขาที่หายไปกลับงอกขึ้นมาทำให้มันดูเหมือนกับยูนิคอร์นในตำนาน ยิ่งกว่านั้นความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก เมื่อเทียบกันแล้วถึงแม้เจ้าม้าผอมตัวนั้นจะรวดเร็วแต่ก็ยังไม่เท่ากับเจ้าม้าขาวตัวนี้ แถมเจ้าม้าขาวตัวนี้ยังเด็กอยู่ยังมีเวลาเติบโตอีกมากนัก
สำหรับเจ้าหนอนแดงนั้นซูจิ้งได้รู้ซึ้งถึงคุณสมบัติของมันอย่างดี ความสามารถในการดื่มแบบไร้ขีดจำกัดและที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่านั้นคือมันสามารถที่จะดื่มแอลกอฮอล์ 70 ดีกรีได้ถึง 30 ชั่งในหนึ่งวัน มันทำความเข้าใจได้ยากยิ่งว่าร่างกายเล็กๆ ของมันรับเอาไว้ได้ยังไง ยิ่งมันดื่มมากเท่าไหร่คุณภาพและความบริสุทธิ์ของไวน์ที่ได้จากการนำมันไปแช่น้ำจะยิ่งสูงขึ้น เมื่อนำมันแช่น้ำไปหนึ่งครั้งแล้วก็จะต้องเริ่มให้แอลกอฮอลล์มันดื่มใหม่อีกครั้งไม่งั้นมันจะไม่สามารถผลิตไวน์ได้อีก มันเหมือนกับเครื่องผลิตไวน์ชั้นเลิศที่ไม่จำเป็นต้องใช้การหมักด้วยด้วยข้าวหรือมอลต์ มันเหมือนกับการทำไวน์ด้วยการหมักไวน์ทำให้ไวน์ที่ได้กลายเป็นสุดยอดไวน์ไปเลย
นอกจากนี้ยังมีเจ้าดินจอมเขมือบ(ดินเซราง)ที่ตอนนี้มีน้ำหนักโดยรวมได้ 20 ชั่งเข้าไปแล้วและยังเติบโตมากขึ้นไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับสารอาหารในดินที่เพิ่มขึ้นตามไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย
หลังจากซูจิ้งแน่ใจแล้วว่าเขาได้จัดการทุกอย่างแล้ว
เขาจึงได้ทำการกวาดล้างของไร้ค่าทั้งหมดออกไปทันทีเพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาและเพิ่มเนื้อที่รองรับขยะ ทำให้สถานีกำจัดขยะของเขาว่างเปล่าอีกครั้ง
ในคืนนั้นหลังจากฟื้นฟูสภาพร่างกายแล้ว เขานั้นได้หลับเป็นตายจนถึงตอนเช้าของอีกวันนึง เมื่อเขาลุกขึ้นก็ล้างหน้าแปรงฟันเสร็จแล้วเขาก็กินข้าวเช้า เลี้ยงสัตว์ รดน้ำต้นมา ตามปกติของเขา อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังจะขึ้นไปที่ชั้นสามเพื่อให้อาหารแมลงปอ เขาต้องพบเจอเรื่องที่ต้องทำให้มึนงงอีกครั้ง สิ่งที่เขาเห็นคือในโหลแก้วเหล่าแมลงปอตัวเล็กนั้นยังอยู่ดี ร่างของเจ้าแมลงปอตัวใหญ่เองก็เริ่มเน่าและสลายไปแล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขามึนงงนั้นเป็นเพราะที่ข้างโหลแก้วนั้นกลับปรากฎใบไม้หล่นอยู่ข้างๆ ผงเศษกิ่งไม้บางอย่างและกองผ้าเก่าๆ
พื้นที่เลี้ยงสัตว์ของซูจิ้งนั้นเป็นพื้นที่ที่ลับสุดยอดและรัดกุมอย่างไม่ต้องสงสัย เหล่าสัตว์เลี้ยงไม่มีวันหลุดออกมาได้อย่างแน่นอน รวมถึงเจ้าแมลงพวกนี้เองก็ไม่มีทางหลุดออกมาได้ แล้วของพวกนี้มาได้ยังไงกัน มันมาจากสิ่งมีชีวิตอื่นที่เขายังไม่พบตัวงั้นรึ
ซูจิ้งนั่งยองๆ เขาพยายามมองสำรวจอย่างถี่ถ้วนจนกระทั่งเขาพบบางอย่างที่ทำให้เขาต้องตกใจจนอ้าปากค้าง
เขาพบสิ่งที่คล้ายๆเม็ดถั่วซึ่งก็คือใบไม้ที่มีสีของเลือดสีดำสองใบ ลักษณะของใบคล้ายกับใบไม้ที่หล่นออกมาจากต้นอึ่งน้อย(Coptis ,สมุนไพรชนิดหนึ่ง) ซึ่งนิยมกินกันอย่างแพร่หลายในห้วงเวลาและกาลอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน ซึ่งจะลักษณะเดียวกับต้นอึ่งน้อยของโลกนี้ ถึงแม้จะเหมือนกันมากแต่ซูจิ้งก็เข้าใจถึงสรรพคุณที่แตกต่างกันอย่างมากของสมุนไพรนี้
เขาเองก็จำได้ว่าเจ้าใบนี้คือใบไม้ที่เปื้อนเลือดที่พบบนตัวแมลงปอตัวแม่ เขาจำได้ว่าลูกแมลงปอนั้นไม่สนใจมันและเขาได้ทิ้งมันพร้อมขยะอื่นๆ ไปแล้วทำไมมันยังมาอยู่ตรงนี้อีกล่ะ เขาพลาดอะไรไปนะ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ต่อให้พลาดยังไงมันก็ไม่ควรมาอยู่ที่ชั้นสามได้เลย
ซูจิ้งได้หยิบผงเศษกิ่งไม้และกองผ้าเก่าๆ ขึ้นมาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนอีกครั้งแล้วพบว่าทั้งผงเศษกิ่งไม้และกองผ้าเหล่านี้ล้วนเปื้อนเลือด แถมยังเป็นเลือดของเจ้าแมลงปอตัวใหญ่ที่กระจายไปทั่วกองขยะเมื่อตอนนั้น แต่ปัญหาคือมันอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
“ฉันอาจจะเผลอหยิบมาหรือไม่ก็มีสัตว์เลี้ยงบางตัวที่เจอแล้วเอากลับมาด้วยเพราะว่ามีกลิ่นเลือดเหมือนเจ้าแมลงปอนั่น” ซูจิ้งคิดไปต่างๆนาๆถึงเหตุผลที่มันมาปรากฎอยู่ที่นี่ จนกระทั่งเขาเลิกคิดและโยนพวกมันทิ้งไปรวมกับขยะอื่นๆ
ตอนแรกเข้าก็คิดว่าเรื่องๆนี้จบลงแล้วแต่ว่าเมื่อรุ่งเช้าอีกวันมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม ใบไม้ใบเดิม ผงเศษกิ่งไม้และกองผ้าเก่าๆ กลับมาอยู่ข้างโหลแก้วอีกครั้งเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ครั้งนี้ทำให้เขาอึ้งกว่าเดิมจนถึงขั้นพูดอะไรไม่ออก
“เป็นไปไม่ได้น่า ต่อให้สัตว์เลี้ยงจะเก็บกลับมาจอกกองขยะอีกครั้งแต่มันก็ไม่ควรจะเหมือนเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนี้ เกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย” ซูจิ้งรู้สึกฉงนสงสัยอย่างหนักและติดสินใจหาคำตอบในเรื่องนี้
เขาทดลองนำทุกอย่างแบ่งออกเป็นสองส่วน แล้วนำแต่ละส่วนไปทิ้งไว้ในถุงขยะต่างที่กัน โดยนำส่วนหนึ่งไปทิ้งขยะในบ้าน อีกส่วนไปทิ้งไว้ที่ขยะหน้าหมู่บ้าน หลังจากนั้นเขาก็เดินกลับมาและรอดูผลลัพธ์
ตอนที่ 655
สิ่งมีชีวิตในตำนาน
หลังจากซูจิ้งทิ้งใบไม้ เศษกิ่งไม้ และกองผ้าไว้ในถังขยะแต่ละที่ไปแล้วนั้น เขากลับเข้าไปในห้องและเฝ้ารออย่างจดจ่อ หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว หลังจากนั้นอีกหลายสิบนาทีก็มีไก่ตัวหนึ่งกระโดดเข้าไปในถังขยะแล้วใช้กรงเล็บเขี่ยเปิดถุงขยะออกมา
ถุงขยะหลายใบที่ซูจิ้งโยนสุมเข้าไปตอนทิ้งของสามอย่างนั้นเหมือนถูกโยนออกมากระจายเกลื่อนเต็มพื้นซึ่งเป็นถุงที่ไม่มีของทั้งสาม สำหรับถุงที่มีของทั้งสามตอนนี้ได้มาอยู่ที่ข้างบ้านของซูจิ้งพร้อมถูกคุ้ยกระจายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นพักใหญ่มีมดจำนวนหนึ่งได้ขนใบไม้เปื้อนเลือดในตอนแรกเขาก็นึกว่ามันจะขนกลับไปที่รังมด แต่กลายเป็นว่าพวกมดขนใบไม้ตรงมาที่บ้านของเขา แต่ความพยายามก็ต้องสูญเปล่าเพราะพวกมันหมดแรงและเลิกล้มแทบจะทันที่เมื่อเจอแมลงแห่งความตายเข้า พวกมดทำได้เพียงทิ้งใบไม้ไว้แล้วเดินจากไป ทันใดนั้นก็มีสายลมสายหนึ่งพัดมาพร้อมทั้งมีกองผ้าเก่าๆ ผืนนั้นพัดมากองอยู่ที่พื้นซึ่งอยู่ห่างจากบ้านของเขาประมาณสิบเมตร แล้วก็ยังมีนกตัวหนึ่งที่ในอุ้งเท้ามีเศษกิ่งไม้อยู่ในอุ้งเท้าบินตรงมาที่บ้านของซูจิ้งแต่ก็ต้องถอยกลับไปเพราะมาเจออินทรีทองดักไว้ในกลางอากาศ มันทำได้แต่เพียงปล่อยเศษกิ่งไม้ลงพื้นในบ้านของเขาแล้วบินหนีไป
ภายใต้การจับตามองของซูจิ้งนั้นก็ยังเหตุการณ์ในลักษณะคล้ายๆ กันเกิดขึ้นอยู่เรื่อยๆ และเป้าหมายของทุกเหตุการณ์ก็คือการนำของทั้งสามกลับมายังบ้านของซูจิ้งและค่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ซูจิ้งถึงกับโง่งมเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มันน่าเหลือเชื่อเกินไป ถ้ามันแค่ครั้งสองครั้งก็ไม่น่าเปลกใจแต่นี่กลับเหตุการณ์ซ้ำๆ โดยมีของสามอย่างนั้นเป็นศูนย์กลางของเหตุการณ์
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าซูจิ้งจะเชื่อหรือไม่แต่สุดท้ายแล้วของทั้งสามก็ได้กลับมาปรากฎอยู่ในบ้านของเขาอีกครั้ง หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ของกว่าครึ่งหนึ่งได้กลับมาอยู่ในที่เดิมของมันเรียบร้อยแล้ว
ซูจิ้งยังได้ลองเอาของทั้งสามไปโยนทิ้งออกจากสะพานชิงหยุนที่อยู่บริเวณทางเข้าเมืองชิงหยุน ผลลัพท์ก็ยังเหมือนเดิมคือจะมีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นจนทำให้ของทั้งสามกลับมาอยู่ทีเดิมอยู่ดีไม่ว่าเขาจะทำซ้ำๆ กี่ครั้ง กี่หน กี่วิธีก็ตาม
“อะไรกันเนี่ย เป็นไปไม่ได้ น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว” ซูจิ้งทำได้แต่ประหลาดใจ เขารู้สึกไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขี้น เขานั้นค่อนข้างกลัวนิดๆ เกี่ยวกับเรื่องลี้ลับที่เกิดขึ้นในโลกนี้ มันน่าเหลือเชื่อจนยากที่จะเชื่อได้ถ้าไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง แม้แต่เห็นด้วยตาก็ยังไม่อยากเชื่ออยู่ดี เขาทำได้เพียงตรวจสอบเรื่องนี้จนกระทั่งพอจะสรุปได้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้น เป็นเพราะเลือดของแมลงปอตัวนั้น
ซูจิ้งยังพบใบของต้นอึ่งน้อยเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม ซึ่งคราวนี้มันปรากฎข้างโหลแก้วและพวกมันก็ล้วนเปื้อนเลือดทั้งสิ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อนมันให้ความรู้สึกเหมือนใบไม้เหล่านี้ ถูกนำมาด้วยเลือดของแมลงปอ
“เดี๋ยวนะ ฉันเหมือนจะจำได้นะว่ามันมีตำนาน….”
ทันใดนั้นหัวใจของซูจิ้งก็เต้นระส่ำระสาย เขามองไปที่ลูกแมลงปอด้วยตาที่เบิกโผลง เขาเริ่มหายใจช้าลงเรื่อยๆ ยิ่งมองเท่าไหร่เจ้านี่ก็ยิ่งเหมือนกับสิ่งมีชีวิตในตำนานที่เขารู้จัก ในตำนานที่กล่าวไว้เรียกสิ่งนั้นว่าแมลงผิวสีเขียวชนิดหนึ่ง ซึ่งคิดๆไปมันก็เหมือนกับแมลงปอเหมือนกัน พวกมันวางไข่ไว้บนใบไม้หรือใบหญ้า ต่อให้แม่และลูกของมันต้องพรากจากกันมันก็จะกลับมาอยู่ด้วยกันอยู่ดี ต่อให้ไข่ถูกเอาไปไม่ว่าจะไกลแค่ไหน พวกมันจะหาทางบินฝ่าฟันกลับมา ต่อให้ต้องแยกกันตั้งแต่ยังไม่ฟักตัวออกมา พวกมันก็ยังรับรู้ด้วยสัญชาตญาณของพวกมัน วิธีการใช้ประโยชน์แมลงในตำนานนี้ที่เขารู้จักก็คือการป้ายเลือดไว้บนเงิน เงินที่ถูกป้ายเลือดนั้นไม่ว่าจะเป็นตัวแม่หรือตัวลูกพวกมัน ก็จะมีเหตุการณ์ให้นำพาเงินที่เปื้อนเลือดของอีกฝ่าย กลับมายังเลือดของอีกฝ่าย เรียกได้ว่าจ่ายไปเท่าไหร่ก็ได้คืนมาเท่านั้น
“ฉันนึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งมีชีวิตในตำนานตัวนั้นจะเป็นแมลงปอพวกนี้ ต่อให้จะดูเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง แต่สำหรับในห้วงเวลาและอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีนนั้น เป็นเรื่องจริงอย่างไม่ต้องสงสัย” ซูจิ้งประหลาดใจและตื่นเต้นอย่างมาก ไม่คิดว่าแมลงน้อยเหล่านี้จะคือสิ่งมีชีวิตในตำนานตนนั้น
ซูจิ้งยังคงทดลองต่อไปในหลายๆรูปแบบ ลองตัดส่วนที่เปื้อนเลือดออกจากส่วนที่ดีและนำไปไว้ในที่ห่างไกลนับร้อยกิโลเมตรชนิดที่แทบจะข้ามไปมณฑลอื่นไปเลย
ผลลัพท์ที่ได้นั้นก็คือ
ส่วนที่ไม่ได้เปื้อนเลือดจะไม่เกิดเหตุการณ์ที่จะนำพาพวกมันกลับมา แต่อีกฝั่งหนึ่งสำหรับส่วนที่เปื้อนเลือด ไม่ว่าจะไกลแค่ไหนก็จะมีเหตุการณ์ที่นำพาพวกมันกลับมาอยู่ดี จนพอจะรู้ได้ว่าน้ำหนัก ระยะทาง เวลาที่ห่าง และปริมาณเลื้อดล้วนส่งผลต่อการกลับมาของพวกมัน
อย่างไรก็ตามหลังจากเขาทดลองด้วยวิธีการหลายๆ อย่าง เขาก็พบข้อจำกัดในการใช้เลือด นั่นคือมันไม่สามารถใช้กับของที่มีพลังชีวิตหรือพลังวิญญาณได้ อย่างเช่น พืช สัตว์ กระเป๋ามิติ โดยเลือดจะมีผลแค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ยังมีเลือดอีกเยอะในตัวของแมลงปอตัวแม่ฉันยังพอเอามาใช้ได้ เสียดายที่ทิ้งไว้นานไปหน่อยทำให้มันมีบางส่วนที่เริ่มเน่าไปแล้ว” เขานึกเสียดายถ้าเขารู้สึกตัวเร็วกว่านี้หล่ะก็คงไม่ต้องสูญเสียเลือดอันแสนมีค่าไปมากมายขนาดนี้ โชคดีหน่อยที่แมลงปอตัวนี้ไม่เหมือนแมลงปอทั่วไปทำให้มันคงสภาพไว้นานกว่าปกติไม่งั้นป่านนี้คงเน่าหมดไปแล้ว
ซูจิ้งยังได้ทดลองเพิ่มเติมด้วยการนำเลือดของลูกแมลงปอไปป้ายบนของบางอย่าง ผลที่ได้ออกมาทำให้สรุปได้แน่นอนแล้วว่ามันคือแมลงในตำนาน สิ่งของที่ถูกป้ายเลือดได้เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้มันเคลื่อนที่ไปยังแมลงปอตัวแม่ แถมยังเกิดขึ้นเร็วกว่าก่อนหน้านี้อีกด้วย
ซูจิ้งได้เผาของทุกชิ้นที่เปื้อนเลือดแล้วพบว่าไม่เกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก ทำให้เขาสรุปได้ว่าการใช้เลือดนี้ถูกทำลายได้ถ้าสิ่งของถูกทำลายแบบสิ้นซาก อย่างไรก็ตามถ้าเขาเลี้ยงแมลงปอพวกนี้จนออกลูกออกหลานในอนาคตเขาก็จะมีเลือดไว้ใช้เป็นจำนวนมากอย่างไม่ต้องสงสัย
ซูจิ้งนั้นใช้เวลาในการทดลองหาวิธีการใช้เลือดของแมลงปอนี้อยู่หลายวัน จนกระทั่งเขาได้ข่าวความคืบหน้าเกี่ยวกับภาพเขียนจีนแล้วว่า มีการสืบสวนขยายผลจนจับกุมตัวกลุ่มโจรที่ขโมยภาพเขียนจีนไปได้ แต่การยังไม่ได้ภาพเขียนจีนกลับมาอยู่ดี โดยภาพเขียนจีนได้ถูกนำไปจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นตั้งแต่วันนี้
ซูจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวในเรื่องภาพเขียนเทพธิดาแล้ว ในตอนแรกนั้นแผนการของเขาก็คือการไปที่พิพิธภัณฑ์แล้วไปขโมยกลับมา อย่างไรก็ตามในตอนนี้เขามีความสามารถเพิ่มมากขึ้นจึงได้เปลี่ยนแผน
“ฉันไม่ต้องเอาตัวไปเสี่ยงอีกแล้ว แค่ให้เจ้ามัตซึโมโตะไปป้ายเลือดไว้บนกรอบรูปของภาพเขียน มันจะกลับมาหาเขาเองต่อให้มีความเสี่ยงที่จะถูกติดตามกลับมาก็เถอะ” พอคิดได้ดังนั้นซูจิ้งจึงได้โทรไปหามัตซึโมโตะที่ได้มาในคืนนั้นและทำการสะกดจิตผ่านโทรศัพท์มือถือ ด้วยคำพูดไม่กี่คำผ่านโทรศัพท์ทำให้มัตซึโมโตะ ตกอยู่ในภวังค์อย่างง่ายดาย ซูจิ้งได้ให้มัตซึโมโตะแอบมาหาเขา แล้วให้มัตซึโมโตะ กลับไปญี่ปุ่นพร้อมหลอดทดลองที่มีเลือดอยู่
ตอนที่ 656
ถูกขโมยอีกครั้ง
ได้มีข่าวข่าวหนึ่งพาดหัวไว้ว่า “พิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นได้ทำการจัดการแสดงภาพเขียนจีน “เทพธิดาจีน”” ถูกเผยแพร่ในอินเตอร์เน็ตไปทั่วประเทศจีน ซึ่งในตอนที่มีข่าวว่าภาพเขียนจีนถูกขโมยไปนั้นไม่ได้เป็นที่สนใจขนาดนี้ แต่เมื่อทุกคนได้ยินมาว่าภาพเขียนที่ถูกขโมยไปถูกขายให้กับประเทศญี่ปุ่น รวมถึงการกระทำอันไร้ยางอายของญี่ปุ่นที่กล้านำมาออกจัดแสดงประหนึ่งดังเป็นของๆตัวเอง เรื่องนี้ได้กระตุ้นให้ชาวจีนรู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก มันไม่ได้จบแค่การขโมยศิลปะแห่งชาติอีกต่อไป
“ฉันโกรธมากจนแทบจะแยกแผ่นดินเลย(โกรธแต่ทำอะไรไม่ได้)”
“ญี่ปุ่นนี่หน้าหนาดีจริงๆ”
“ไอ้พวกสารเลวที่ขโมยภาพเขียนไปจะต้องถูกสับเป็นหมื่นๆชิ้น”
“ไม่มีทางเอาภาพเขียนเทพธิดากลับมาเลยรึไงกัน”
เหล่าชาวเน็ตทั้งหลายต่างๆ พิมพ์ด่าทอออกมาต่างๆ นานา บางคนถึงขนาดพิมพ์บอกว่าจะไล่ฆ่าล้างคนญี่ปุ่น อย่างไรก็ตามสิ่งที่พิมพ์ช่างง่ายดายแต่เมื่อเทียบกับในชีวิตจริงช่างยากเย็นนัก การกระทำแต่ละอย่างจะต้องคำนึงถึงผลกระทบหลายๆ ด้าน แม้กระทั่งหลี่เทียนเฮอ หวังซวนจี้ และคนอื่นๆ ยังจนใจทำอะไรไม่ได้
ตอนที่ข่าวนี้ออกมาเมื่อเช้าไม่มีใครคิดว่าจะเป็นเรื่องที่ร้อนแรงจนกลายเป็นประเด็นร้อนแทบจะทันทีโดยเวลายังไม่เข้าช่วงสายเลยด้วยซ้ำ
ในวันที่ญี่ปุ่นจัดแสดงภาพเขียนจีนนั้น ในคืนวันนั้นเองวัตถุโบราณหลายๆชิ้น ซึ่งรวมถึงภาพเขียนจีน ได้ถูกขโมยออกจากพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น ในตอนแรกนั้นชาวจีนไม่มีใครเชื่อข่าวนี้เลยจนกระทั่งข่าวได้รับการยืนยัน ชาวเน็ตต่างแสดงความเห็นออกมาอย่างหน้าชื่นตาบาน
“ฮ่าฮ่า ช่างเป็นการแก้แค้นที่ดีจริงๆ”
“ฉันไม่คิดเลยว่าจะแก้แค้นได้เร็วขนาดนี้ น่าสะใจซะจริงๆ”
“สิ่งเดียวฉันกังวลตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่า ภาพเขียนเทพธิดาจะไม่เสียหายอะไรนะ”
“ฉันก็คิดเหมือนกัน ก็ไม่รู้ว่าใครขโมยหรอกนะ แต่ก็ได้แค่หวังว่าเขาจะนำภาพเขียนกลับมาให้ประเทศจีน”
เรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ชาวเน็ตแทบจะเรียกได้ว่าปรับตัวไม่ทัน
ณ ตระกูลหวัง หวังซวนจิ้ได้อ่านทุกคอมเม้นต์อย่างตั้งใจมากกว่าอ่านข่าวเสียอีก หลังจากอ่านเสร็จเขาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดออกมาว่า “พนักงานรักษาความปลอดภัยของพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นไม่ได้กระจอกเลยนะ แต่กลับเกิดเหตุการณ์ที่โบราณวัตถุหลายชิ้น ถูกขโมยไปแบบจับต้นชนปลายไม่ได้ โจรเดี๋ยวนี้นับวันช่างเก่งกาจกันเหลือเกิน เฮ้ออออ…ได้แต่หวังว่าภาพเขียนเทพธิดายังคงอยู่ดีนะ ได้แต่หวังว่าพวกเขาจะส่งมอบกลับให้จีนในซักวันหนึ่ง”
“ในครั้งนี้ญี่ปุ่นได้สูญเสียโบราณวัตถุระดับชาติไปหลายชิ้น ช่างเป็นเวรกรรมจริงๆ” หวังจุนที่อยู่ข้างๆ พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“มันเขียนไว้ว่ามีคนเห็นมัตซึโมโตะ ที่เป็นคนสนิทของผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่น ถูกพบใกล้ๆกับโบราณวัตถุที่ถูกขโมยไปเมื่อคืนนี้ และตอนนี้เขาถูกจับกุมตัวเพื่อไปสอบสวนเรียบร้อยแล้ว ทำไมฉันถึงคิดว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับอาจิ้งด้วยนะ” หวังซวนจี้พูดด้วยรอยยิ้ม
“ได้ยินมาจากเสี่ยวจ้าวว่าคืนนั้นอาจิ้งได้พูดคุยกับมัตซึโมโตะ มัตซึโมโตะก็ไม่ได้แสดงพิรุธอะไร ต่อให้ซูจิ้งเป็นคนสั่งมัตซึโมโตะเขาก็ไม่มีทางขโมยภาพเขียนได้เลย” หวังจุนกล่าวออกมา
“ฉันก็คิดเหมือนกัน” หวังซวนจี้แค่ลองคิดเล่นๆ ช่างเป็นความคิดที่น่าขันเป็นยิ่งนัก มันเป็นไปไม่ได้แน่นอน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดไปได้ยังไง อาจเป็นเพราะซูจิ้งมีความสามารถท้าทายสวรรค์นั่นหล่ะมั้ง ทำให้เขาเผลอคิดไป
หลายวันต่อมายังไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับภาพเขียนจีน และวัตถุโบราณชิ้นอื่นที่ถูกขโมยไปจากพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นเลยซักนิด นั่นทำให้ซูจิ้งผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังเริ่มรู้สึกว้าวุ่นใจ หากว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างทางหล่ะ หรือว่าจะเป็นที่ระยะทางกัน เขาเองก็รู้หล่ะนะว่ามันต้องใช้เวลาซักหน่อยแต่มันก็รู้สึกกังวลอยู่ดี รู้หยั่งงี้ใช้เลือดทั้งหมดบนภาพเขียนจีนซะยังดีกว่า ซูจิ้งได้แต่คิดอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง
เที่ยงวันนั้น ทันทีที่ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงวาฬออก้าดังมาจากทะเล เขารีบเดินไปที่ทะเลแล้วพบปลาวาฬออก้าที่โผล่หัวยื่นเข้ามา และพ้นน้ำออกมาทางหัวใส่ซูจิ้ง ถ้าซูจิ้งไม่ได้ตั้งรับไว้ด้วยพลังจิตล่ะก็เขาต้องเปียกแน่นอน
วาฬออก้าตัวนั้นยาวประมาณเจ็ดไม่ก็แปดเมตร มันตัวใหญ่มากๆ มันไม่สามารถเข้ามาชายฝั่งได้นอกจากจะเป็นช่วงร่องทะเลน้ำลึกเท่านั้น
“เสี่ยวหู นายแกล้งฉันอีกแล้วนะ” ซูจิ้งยิ้มออกมาพลางลูบหัวออก้า
“ฉันพบสมบัติหล่ะ” ออก้าพูดออกมาด้วยเสียงกังวัลเหมือนเจอขุมทรัพย์ก็ไม่ปาน มันดำน้ำลงไปแล้วก็ดึงถุงตาข่ายขึ้นมา
นอกจากวาฬเพชรฆาตตัวนี้แล้วยังมีหมึกจักพรรดิ์ และปลาบลูอาย(ตาฟ้า)ที่ยังคงค้นหาสมบัติใต้ทะเลอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่ได้ต้องการให้พวกมันรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของพวกมัน เขาต้องการให้มันทำไปเล่นๆ มากกว่า แต่พวกมันก็ยังคงตั้งใจทำกันอย่างแข็งขันอยู่ดี โดยปลาบลูอายทำหน้าที่ค้นหา หมึกจักรพรรดิ์ทำหน้าที่เก็บรวบรวม และสุดท้ายมอบหมายให้ออก้าทำหน้าที่ในการขนส่ง โดยซักสองสามวันออก้าจะเอาสมบัติมาส่งให้เขาซักหนนึง
ซูจิ้งดึงเอาถุงตาข่ายที่เต็มไปด้วยสมบัติขึ้นมาจากทะเล มันมีน้ำหนักรวมอย่างน้อย 200 ชั่ง สมบัติส่วนใหญ่เป็นของทะเล มีทั้งปะการังแดง ไข่มุก ซึ่งส่วนใหญ่มีมูลค่าสูงถึงบางชิ้นจะดูไม่ค่อยมีค่าก็ตาม แต่ก็พูดได้ว่ามีค่าอยู่ดี
“ห้ะ” เขาส่งเสียงออกมาทันทีที่สังเกตุเห็นกล่องแก้ว มันดูไม่เหมือนของที่อยู่ในทะเลมาเป็นเวลานาน มันมีม้วนกระดาษอยู่ข้างในและถูกผนึกไว้อย่างดี ซูจิ้งค่อยๆ เปิดกล่องแก้วออกแล้วคลี่ม้วนกระดาษออกมาดู เมื่อเขาเห็นสิ่งที่ปรากฎในกระดาษถึงกับนิ่งจนแทบหยุดหายใจ
“นี่มันภาพเขียนเทพธิดา” ซูจิ้งตกใจพร้อมแสดงความปลาบปลื้มออกมา เขาหลับตาสบัดหัวแล้วตั้งใจมองดูอีกครั้ง
แน่นอนอย่างที่สุดว่าเป็นภาพเขียนเทพธิดา เพราะว่ามันมีรอยแต้มเลือดบริเวณไม้ที่ใช้ม้วนเก็บภาพทั้งสองด้าน มันต้องเป็นรอยเลือดแมลงปอที่มัตซึโมโตะป้ายเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย ซูจิ้งไม่คิดว่ามันจะกลับมาหาเขาโดยเป็นออก้าที่ส่งมาให้ สงสัยภาพจะถูกเหตุการณ์เพราะผลจากเลือดเข้าทำให้หล่นไปในทะเลแล้วปลาบลูอายไปเจอเข้า
เหตุการณ์ที่เกิดจากผลเลือดนี้ซูจิ้งไม่อาจคาดเดาได้เลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่ชิงเจิ้ง(ตัวละครในล่าลี้ลับตำนานจีน) ที่จะได้เงินคืนมาแต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้มายังไงและเมื่อไหร่
“ในเมื่อภาพเขียนเทพธิดากลับมาแล้ว นั่นก็หมายความว่า…. โบราณวัตถุอื่นๆก็ควรจะอยู่ในนี้สินะ” หัวใจของซูจิ้งเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เขารีบค้นของในตาข่าย เขาได้พบโบราณวัตถุของญี่ปุ่นสามชิ้น ได้แก่ ภาพเขียนหนึ่งม้วน พระพุทธรูปหนึ่งองค์ และมีดสั้นหนึ่งเล่ม ทุกชิ้นล้วนเป็นของจากพิพิธภัณฑ์ญี่ปุ่นอย่างไม่ต้องสงสับเพราะทุกชิ้นมีรอยเลือดแมลงปออยู่
“ฮ่า ฮ่า ถึงเวลาที่พวกแกได้ลิ้มรสความเจ็บปวดบ้างแล้วหล่ะ” ซูจิ้งมีความสุขอย่างมาก ความกังวลในใจของเขาได้หลุดออกไปแล้ว เขาได้จัดเก็บโบราณวัตถุทั้งสามเอาไว้และได้ส่งภาพเขียนเทพธิดาจีนส่งคือพิพิธภัณฑ์ที่ถูกขโมยแบบไม่ประสงค์ออกนาม
ณ พิพิธภัณฑ์ราชวงศ์เหลียว มีผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์กำลังนั่งใช้คอมพิวเตอร์อยู่ ทันใดนั้นเธอก็เพิ่งสังเกตุเห็นกล่องพัสดุที่มีรูปร่างค่อนข้างยาว วางอยู่ข้างโต๊ะด้านขวามือ
น่าแปลกจังทำไมฉันนึกไม่ออกว่ามีของวางอยู่ข้างโต๊ะเลยนะ ใครเอามาวางไว้กัน
เธอได้แต่นึกและหยิบพัสดุขึ้นมาดู กล่องไม่มีอะไรติดอยู่ ไม่มีอะไรเขียนอยู่ ด้วยความสงสัย เธอทำได้แค่แกะกล่องออกมาดูและพบว่ามันคือม้วนกระดาษ เธอค่อยๆ บรรจงดึงกระดาษออกมาอย่างผู้ชานาญการ เธอค่อยๆ เปิดมันดูช้าๆ ถึงแม้ภาพเขียนนั้นจะมีขนาดค่อนข้างยาวแต่พอเธอเปิดม้วนกระดาษออกมาได้บางส่วน ดวงตาเธอก็เบิกกว้าง และตีไปที่ผู้หญิงอีกคนอย่างตื่นเต้นพร้อมพูดว่า
“เซี่ยวฟาง เซี่ยวฟาง ดูนี้ นี่มันภาพเขียนเทพธิดาไม่ใช่หรอ”
“เหลวไหลน่า เธอรู้ได้ยังไงว่าเป็นภาพเขียนเทพธิดา ภาพจะมาอยู่ในมือเธอได้ยัง” ผู้หญิงอีกคนตอบกลับมา
“แต่นี่มันเหมือนกับภาพจำลองเทพธิดานั่นเลยนะ”
“ไหนลองเอามาดูสิ ก็เหมือนจะเหมือนนะ เธอเอามาจากไหนกัน”
“แค่หยิบมาจากข้างๆ นี่เอง”
“ใครเลียนแบบขึ้นมากันนะ”
หลังจากที่พวกเธอลองประเมินดูแต่ไม่สามารถฟันธงได้ว่าใช่ภาพเขียนเทพธิดาของจริงหรือไม่ พวกเธอได้รายงานไปยังผู้จัดการพิพิธภัณฑ์ เมื่อผู้จัดการมาเห็นเข้าก็แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เขาประหลาดใจและรีบให้ผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คนช่วยกันตรวจสอบ ในที่สุดผลการประเมินก็ได้ลงความเห็นว่า นี่คือภาพเขียนเทพธิดาที่เคยอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
ข่าวการได้ภาพเขียนคืนมานั้นได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนมากมายต่างแสดงความปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก เรื่องที่น่าเหลือเชื่อนี้กลายเป็นประเด็นพูดคุยกันไปหลายวัน หวังซวนจี้นั้นเมื่อเห็นข่าวนี้เขาก็ยังได้แต่คิดเล่นๆ อยู่ดีว่าคนทำคือซูจิ้ง
ตอนที่ 657
สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ
“อาจิ้ง เรื่องที่ภาพเขียนเทพธิดาถูกส่งคืนไปพิพิธภัณฑ์เป็นนายรึเปล่า” หวังซวนจิ้เรียกซูจิ้งมาหาพร้อมทั้งยิงคำถามอย่างตรงประเด็น
“ได้ภาพเขียนเทพธิดากลับมาแล้วหรือครับ” ซูจิ้งทำท่าทางตกใจ
“นายไม่รู้เรื่องงั้นรึ”
“ผมไม่รู้เรื่องครับ เพิ่งรู้จากลุงนี่หล่ะ”
ซูจิ้งทำท่าโง่งม
หลังจากนั้นเขาก็ต้องไปหาหวังจ้าวและหวังซือหยาเพื่อตอบคำถามเดียวกัน เหล่าผู้คนกว่าค่อนตระกูลต่างก็คิดว่าต้องเป็นฝีมือของซูจิ้ง พวกเขาต่างก็คิดว่าอย่างน้อยๆ ซูจิ้งก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ที่น่าสงสัยก็เพราะว่าอยู่ๆ ทำไมมัตซึโมโตะถึงกลับไปญี่ปุ่นเพื่อไปดูภาพเขียนเทพธิดา นั่นแสดงว่าซูจิ้งต้องทำอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่ได้ถูกจับถึงแม้จะถูกจับไปสอบสวนก็ตาม
ถ้าไม่ใช่ซูจิ้งหล่ะก็จะไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะทำให้ภาพเขียนเทพธิดาจะถูกขโมยไปได้ แถมยังการส่งคืนพิพิธภัณฑ์ราชวงศ์เหลียวแบบไม่ประสงค์จะออกนามอีก จะมีคนอื่นที่ยอมทำเรื่องดีๆอยู่ในโลกนี้นอกจากซูจิ้งได้ยังไง แต่ซูจิ้งเองก็อยู่ที่บ้านทั้งวัน เขาไม่ได้ออกจากบ้านเลยซักก้าว ต่อให้มีบางช่วงเวลาที่อยู่คนเดียวบ้างก็ตาม ในทางทฤษฎีแล้วไม่มีทางเป็นไปได้เลย
ไม่ว่าอย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเรื่องก็จบลงอย่างมีความสุข
สำหรับทางด้านญี่ปุ่นชาวญี่ปุ่นได้ถามหาวัตถุโบราณ ที่ได้หายไปพร้อมกับพร้อมเขียนจีน พวกเขาต่างพยายามกล่าวหาว่าชาวจีนเป็นคนขโมยไปเพียงเพราะ ภาพเขียนเทพธิดาได้กลับไปอยู่ที่จีนแล้ว แต่ก็ไม่มีใครใส่ใจเรื่องที่ญี่ปุ่นพยายามกล่าวหาเลยซักนิด
ไม่กี่วันต่อมานอกจากซูจิ้งจะใช้เวลาจัดการกับขยะของเขาแล้ว เขาก็ยังคงศึกษาสิ่งต่างๆอยู่ในเมืองชิงหยุนบ้านของเขา เขาแบ่งเวลาในการฝึกฝนพลัง ตอนนี้พลังจิตของเขาทำให้พลังหมัดของเขามีน้ำหนักหมัด 430 กิโลกรัม เขายังฝึกฝนร่างกายด้วยเพลงหมัด18อรหันต์ขั้นต้นที่ได้ร่ำเรียนมา เมื่อนำมาผนวกกับพลังจิตของเขาทำให้ตอนนี้น้ำหนักหมัดของเขาอยู่ที่ 1,600 กิโลกรัม
นอกจากนั้นด้วยการฝึกฝนจากม้วนเวทมนต์สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ที่เขาได้มาจากการจัดการขยะที่ได้จากห้วงเวลาและกาลอวกาศ จากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีนในที่สุดก็เกิดผลซักที เจ้าม้วนเวทย์
“สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” นี้คือเวทย์มนต์ ที่ใช้ในการรักษาโดยใช้พลังภายใน ซึ่งต่อให้ไม่มีพลังภายในก็ยังพอที่จะใช้ได้ถึงจะใช้ได้ไม่ดีนักก็ตาม ในตอนแรกซูจิ้งคิดว่าการฝึกฝนนั้นล้มเหลวไม่เป็นท่า ไม่ว่าฝึกฝนยังไงก็ไม่เกิดผลซักที ในตอนหลังเขาถึงนึกได้ว่าเวทมนต์ที่ชนชาติมู่มีนั้น จริงๆแล้วพวกเขาได้มันมาเพราะเกิดจากความใกล้ชิด กับพลังแห่งธรรมชาติ เมื่อนึกได้ดังนั้นเขาจึงได้นั่งใต้ต้นหลิวในสวน และได้ทำการฝึกฝนในการสัมผัสธรรมชาติเป็นเวลาสามวัน มันช่วยได้จริงๆ ในที่สุดเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังในธรรมชาติ สิ่งที่แตกต่างที่สุดก็คือในตอนนี้เขาสัมผัสถึงพลังชีวิตได้ ต่อให้สิ่งมีชีวิตนั้นไม่มีจิตวิญญาณ ซึ่งตอนนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตจากต้นหลิว
ซึ่งที่ผ่านมานั้นเขาได้ใช้เพียงพลังจิตและการสะกดจิตเป็นหลัก โดยปกติแล้วมันเป็นพลังที่ช่วยในการสัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตที่มีวิญญาณและสติปัญญาอย่างพวกสัตว์หรือแมลงเท่านั้น ซึ่งมันแทบใช้ไม่ได้ผลเลยกับพวกพืช ถึงแม้จะใช้ได้กับพืชบางชนิดแต่นั่นก็เพราะพวกมันมีจิตวิญญาณและสติปัญญาเท่านั้น เมื่อเขาวางมือทาบลงไปบนต้นหลิว เขาได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหัวใจของต้นหลิว มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ามีอากาศกำลังไหลเวียนอยู่ในลำต้น เขารู้สึกได้ถึงการไหลเวียนของต้นไม้ทั้งหมดตั้งแต่รากไปจนถึงกิ่งก้านใบทุกสัดส่วน
ในห้วงเวลาและกาลอวกาศจากเรื่องล่าลี้ลับตำนานจีน เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลไม้นั้น สามารถสร้างเสื้อผ้าได้จากใบหญ้าหรือต้นไม้เพียงใช้การทักสาน และควบคุมต้นไม้ให้ช่วยโจมตีศัตรูได้ด้วยการใช้เถาวัลย์ พลังเวทมนต์ที่ตระกูลไม้ใช้นั้นสามารถแบ่งแยกได้สองสายก็คือ สายควบคุมพืชกับสายที่ใช้พลังงานธรรมชาติจากพืช
“ฉันฝึกฝนร่างกายด้วยเพลงหมัดขั้นต้น บ่มเพาะร่างกาย ถ้าจะให้พูดในอีกความหมายนึงคือเป็นการฝึกฝนด้วยพลังภายนอก นั่นหมายถึงยังขาดวิธีการฝึกฝนพลังภายใน มีเพียงต้องฝึกให้ครบทั้งสามอย่างถึงจะทำให้ แก่นร่างกายและจิตวิญญาณสมบูรณ์อย่างแท้จริง น่าจะดีน้า…ถ้าได้วิธีฝึกฝนพลังภายในจากม้วนคัมภีร์ “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ”” ซูจิ้งนึกถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขี้นได้ถ้ายอมถูกครอบงำจากปีศาจและได้ฝึกฝนทักษะทั้งสามด้าน(การขายวิญญาณให้ปีศาจ)
เขาคิดมาเสมอว่าวิธีการฝึกระหว่างการฝึกเองกับยอมให้ปีศาจครอบงำแล้วฝึกฝนนั้นไม่ได้มีความแตกต่างกันเลย แต่ก็อีกหล่ะนะ มันไม่ทางเป็นไปได้เลยที่จะถูกปีศาจครอบงำได้ ต่อให้เขารู้จักผู้เฝ้าประตูยมบาล ต่อให้มีอะไรเกิดขึ้นก็แค่ไล่มันออกไปแค่นั้น
“ความจริงแล้วในต้นไม้ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณสีเขียว(พลังงานธรรมชาติจากพืช) แม้กระทั้งต้นหลิวต้นนี้ที่มาจากห้วงเวลาและกาลอวกาศเรื่อง
“กลืนดารา” ถึงแม้มันจะไม่ได้มีโอกาสเติบโตเป็นต้นไม้วิญญาณก็ตาม แต่มันกันยังมีพลังธรรมชาติสูงกว่าต้นไม้ทั่วไป ถึงแม้ว่าต้นหลิวจะได้รับพลังจากเศษดินวิญญานก็ตาม แต่แค่นั้นก็ยังไม่เพียงพอ ถ้ามันไปอยู่ในห้วงเวลาของตัวเองป่านนี้คงกลายเป็นต้นไม้วิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่รู้เหมือนกันแหะว่าฉันจะดูดซับพลังงานธรรมชาติผ่านพวกมันได้รึเปล่า” ซูจิ้งพลันนึกวิธีการนี้ออกมาได้
ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ซูจิ้งต้องเผชิญอยู่ตอนนี้ก็คือการที่ร่างกายของเขา ไม่มีพลังภายในที่แท้จริงภายในร่างกายเลยแม้แต่นิดเนียว ด้วยการที่เวทย์ “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” นี้ต้องใช้พลังภายในในการรักษาบาดแผลและเขาไม่มีวิธี ในการฝึกฝนบ่มเพาะพลังภายในขึ้นมาได้ ที่เขาต้องการจะเรียนเวทย์ “สัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ” นั้น เป็นเพราะว่าพลังภายนอกของเขานั้นถือได้ว่าเข้มแข็งพอแล้ว พูดอีกอย่างคือเขาเข้าใจวิธีการใช้พลังภายนอกได้เป็นอย่างดี แต่ปัญหาคือร่างกายที่ไม่มีพลังภายในเลยซึ่งมันไม่สมดุล
“เอาล่ะ ลองดูแล้วกัน” ซูจิ้งทาบมือไปบนลำต้นของต้นหลิว เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจของต้นไม้ที่อยู่ภายในต้นไม้ มันช่างรู้สึกน่ามหัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกได้ วิธีนี้ช่วยเขาได้อย่างมาก ซูจิ้งค่อยๆ สงบจิตใจแล้วตั้งสมาธิและค่อยๆ เพิ่มจิตสัมผัสของเขา
อย่างไรก็ตามการสัมผัสพลังชีวิตของต้นหลิวนี้ ถึงแม้เขาจะไม่สามารถใช้พลังจิตของเขาในการดูดซับพลังธรรมชาติ จากต้นหลิวมาได้ตรงๆ แต่เขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เขายังปล่อยจิตใจให้จมดิ่งเข้าไปในต้นหลิว ลึกขึ้นเรื่อยๆ จนเข้าสู่ภวังค์
เขาค่อยๆ รู้สึกได้ถึงทุกสิ่งของต้นไม้ รู้สึกได้แม้กระทั่งลมหายใจของใบต้นหลิว มันเหมือนกับการหายใจของมนุษย์
เมื่อเขาสัมผัสได้ดังนั้นเขาเริ่มปรับลมหายใจของตัวเอง ให้สอดคล้องกับต้นไม้ และนั่นทำให้ได้รับสัมผัสบางอย่างซึ่งเขาเองยังไม่สามารถอธิบายสัมผัสนี้ได้
สองวันต่อมา สัมผัสที่เขารู้สึกได้นี้เขาเริ่มรู้สึกถึงมันมากขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเขาถอนฝ่ามือที่ทาบลำต้นออกแล้วใช้มือจับไปที่กิ่งต้นหลิว เขาจับแล้วค่อยๆดัดมันอย่างช้า จากกิ่งตรงไปเป็น 60 องศา 90 องศา 120 องศา 180 องศา จนกระทั่งปลายกิ่งแทบจะชนกับโคนกิ่งแต่กิ่งต้นหลิวก็ไม่ได้หักแต่อย่างใด ดูเหมือนมันไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่ากิ่งของมันเองกำลังโดนดัดอยู่ ซูจิ้งปล่อยมือจากกิ่งที่ดัดพวกมันไม่ได้ดีดตัวเองกลับ แต่มันกลับโค้งงออยู่อย่างนั้นเหมือนมันเติบโตอย่างนั้นมาตั้งแต่ต้น หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้ดัดกิ่งต้นหลัวกิ่งนั้นกลับอย่างช้าๆ จนมันตั้งตรงเหมือนก่อนที่จะดัดมัน โดยที่กิ่งต้นหลิวไม่มีความเสียหายใดๆแม้แต่น้อย
ซูจิ้งจับไปที่โคนกิ่งแล้วหักมันออกมา ทั้นใดนั้นเขาค่อยๆวางมือทาบลงบนจุดที่หักอย่างนุ่มนวล แล้วกระตุ้นพลังธรรมชาติของต้นหลิว ซักพักจุดที่เกิดการแตกหักนั้นเริ่มซ่อมแซมตัวเองอย่างช้าๆ แต่ก็ยังเร็วพอที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงได้ด้วยตาเปล่า ใบของต้นหลิวค่อยงอกออกมาและเติบโตเป็นกิ่งต้นหลิวดังเดิม
นี่คือผลจากการที่ซูจิ้งได้ใช้เวทสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ในการกระตุ้นพลังธรรมชาติที่อยู่ในต้นหลิว
ตอนแรกเขาเองก็กลัวเหมือนกันว่าจะไม่สามารถใช้พลังเวทนี้ในโลกนี้ได้ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่ามนุษย์บนโลกนี้แค่ไม่คิดว่า จะมีพลังธรรมชาติอยู่และไม่เคยศึกษามันจนสามารถเขียนความรู้ออกมา เป็นตำราได้เท่านั้น
“ตอนนี้ ฉันสามารถใช้เวทสัมผัสแห่งใบไม้ในฤดูใบไม้ผลิ ในการรักษาต้นไม้ได้แล้ว แสดงว่าฉันควรจะมีพลังธรรมชาติแห่งต้นไม้ในร่างกายแล้ว แล้วฉันควรจะส่งผ่านพลังนี้เพื่อจะรักษาสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นได้เหมือนกัน” ซูจิ้งได้จ้องไปที่กิ่งต้นหลิวที่งอกใหม่อย่างภูมิใจ
เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้คุ้นเคยกับพลังนี้ เขาได้เริ่มเปลี่ยนเป้าหมายเป็นต้นอื่น วางมือบนกิ่ง ดัดกิ่งให้โค้ง ดัดกิ่งให้เป็นไปตามที่ใจเขาต้องการ ปรับรูปร่างของต้นไม้ให้เป็นไปตามที่ใจเขานึก
ต้นไม้แต่ละต้นที่ผ่านมือเขาไปต่างสวยงามมากขี้น ดูดีขี้น ที่สำคัญคือต้นไม้ไม่เป็นอันตราย หรือส่งผลกระทบต่อพลังธรรมชาติของพวกมันแม้แต่น้อย
หลังจากนั้นสามวัน ต้นไม้ในสวนของเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่แค่สวนของเขาเปรียบเหมือนสวนสวรรค์ แต่ยังเหมือนกับประติมากรรมงานศิลป์ เหมือนกับเป็นการแต่งสวนจากนักแต่งสวนมืออาชีพ ที่คัดสรรและเลือกเฟ้นต้นไม้มาเป็นอย่างดี
ซูจิ้งได้ทำให้พลังธรรมชาติของต้นไม้ในสวนของเขา เพิ่มขึ้นจากก่อนหน้านี้อย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถดูดซับพลังธรรมชาติจากพวกมันได้ เขาได้แต่หวังเพียงว่าเขาคงไม่จำเป็นต้องเป็นต้นไม้ซะเอง ถึงจะสามารถดูดซับพลังธรรมชาติจากต้นไม้เหล่านี้ได้
ตอนที่ 658
ปิดร้านขายเสื้อผ้า
ณ เวลาแปดโมงเช้า ได้มีรถยนต์ออดี้และรถบรรทุกวิ่งเข้ามาจอดที่ประตูของตึกหลงถังอินเตอร์เนชั่นแนลในเมืองจงหยุน ประตูรถออดี้ได้ถูกเปิดออกและได้มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบปีที่อยู่ในชุดสูทสั่งตัดที่ช่างดูเซ็กซี่น่าหลงใหลก้าวออกมาจากรถ ผู้หญิงคนนั้นคือหวังซือหยา เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรหาใครซักคน ซักพักฉือชิงที่ใส่ชุดสูตรตัดเช่นเดียวกันได้เดินมาพร้อมกลุ่มผู้ชายที่รูปร่างกำยำออกมาต้อนรับ
“พี่สาวซือหยา ในที่สุดของก็มาส่งซักที แล้วทำไมพี่ถึงมาด้วยตัวเองเลยหล่ะ” ฉือชิงได้กุมมือซือหยาเอาไว้พร้อมพูดด้วยความสนิทสนม
“ฮิ ฮิ ก็ร้านเธอเปิดวันนี้นี่นา ฉันจะไม่มาด้วยตัวเองได้อย่างไงกันล่ะ ว่าแต่อาจิ้งยังไม่มาหรอ” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม
“เขามานั่งอยู่ข้างในใต้ต้นไม้มาพักใหญ่แล้วหล่ะ ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรเหมือนกัน แต่ก็อาจเป็นเพราะร้านเราเน้นไปที่เสื้อผ้าผู้หญิงด้วยหล่ะนะ ยิ่งกว่านั้นกว่าครึ่งยังเป็นชุดชั้นในซะอีก ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าฉันจะให้เขาช่วยทำอะไรดี” ฉือชิงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ก็จริงนะ งั้นก่อนอื่นก็ขนเสื้อผ้าพวกนี้เข้าไปในร้านกันเถอะ ” พอหวังซือหยาพูดจบคนขับรถบรรทุกก็ได้เปิดประตูด้านหล้งและก็ได้ขนของลงไว้หน้าร้าน ที่จริงแล้วร้านนี้ก็มีเสื้อผ้าเต็มร้านอยู่แล้วนั่นก็เพราะซูจิ้งเป็นคนจัดเตรียมมาให้
“พี่ชายคะรบกวนหน่อยนะคะ” ฉือชิงพูดด้วยรอยยิ้มกับผู้ชายกลุ่มนั้น
“ได้ ได้” เหล่าชายกำยำพูดตอบทั้งทำหน้าแบบยังไงก็ต้องทำ บางคนขนทีละกล่องบางคนก็ขนทีสองกล่องเพื่อนำไปไว้ที่ชั้นสองของร้าน คนเหล่านี้คือคนของหวูตี้ที่เคยสู้กับซูจิ้งแล้วพ่ายแพ้ในคืนที่มีงานเลี้ยงเฉลิมฉลองกระบี่เทพธิดา โดยมีการพนันกันว่าพวกเขาจะต้องมาให้ซูจิ้งใช้แรงงานเป็นเวลาสามวันแบบฟรีๆ ซูจิ้งก็เลยให้พวกเขามาช่วยในงานวันเปิดร้านนี้
ร้านเสื้อผ้าตั้งอยู่บริเวณหนึ่งที่ชั้นสองของตึก สภาพร้านถือได้ว่าดูดีอยู่แล้วแค่ต้องมีของบางอย่างที่จะตั้งปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเพราะเป็นของเดิมที่ตั้งไว้ในร้านอยู่แล้ว
คนของหวู่ตี้เหล่านี้ต่างรู้สึกเสียใจว่าคืนนั้นพวกเขาไม่ควรไปท้าประลองกับซูจิ้งเลย อย่างไรก็ตามการสู้แพ้แบบเจ็ดต่อหนึ่งกับซูจิ้งแบบนั้นใครจะไปคิดว่าจะแพ้คนๆเดียวได้
กล่องเจ็ด-แปดกล่องถูกขนขึ้นไปที่ชั้นสองของตึกโดยมีฉือชิงและหวังซือหยาก็ได้เดินตามเข้ามา หวังซือหยามองไปรอบและสามารถประเมินความเหมาะสมของร้านอย่างมืออาชีพ เธอรู้ได้เลยว่าแต่ละส่วนของร้านเหมาะกับวางสินค้าชนิดไหน
“การตกแต่ง แสง และการจัดวางของร้านช่างดูดีจริงๆ และตึกนี้ก็ยังเป็นตึกเดียวกับบริษัทที่เกี่ยวกับวงการบันเทิงถือที่มีคนพลุกพล่านอย่างไม่ต้องสงสัย ถือได้ว่าเป็นพื้นที่ทำเลทองได้เลย โชคดีจริงๆที่เธอได้ร้านนี้มาในช่วงเวลาสั้นๆขนาดนี้”
“เพื่อนของอาจิ้งเขาช่วยฉันเปิดร้านนี้น่ะ แต่ร้านของเขาใหญ่กว่านี้อีกนะ ฉันกลัวจะขายของได้ไม่สู้ร้านของเขาไม่ได้เนี่ยสิ” เพื่อนของอาจิ้งที่ฉือชิงพูดถึงนั้นก็คือผู้หญิงหุ่นดีๆภรรนาของซุนเยว่ที่เคยเอาชุดชั้นในให้ลูกของเธอ มันทำให้ลูกสาวของเธอลดน้ำหนักและปรับรูปร่างได้ รวมถึงช่วยเธอรักษาโรคไข้เย็นของเธอด้วยยาที่ทำจากสมุนไพรธาตุไฟ นั่นทำให้เธอถือว่าซูจิ้งเป็นเพื่อนแท้ของเธอคนหนึ่ง เธอเต็มใจที่จะช่วยซูจิ้งทันทีเมื่อได้ยินว่าซูจิ้งตั้งใจจะเปิดร้านเสื้อผ้า ถึงขั้นหาทำเลที่ตั้งร้านนี้ให้เลยด้วยซ้ำ
“ฮ่า ฮ่า อย่าเพิ่งกังวลไปหน่อยเลยน่า เธอเองก็มีประสบการณ์ในร้านเสื้อผ้าของฉันอยู่แล้วนี่ ผลิตภัณฑ์ของทางเราไม่มีทางแพ้แน่นอน” หวังซือหยาพูดด้วยรอยยิ้ม พร้อมคิดว่าฉือชิงถือได้ว่าเป็นผู้หญิงที่ดีคนนึงเลย ตอนที่ได้ยินมาว่าอาจิ้งได้ใช้บัญชีร่วมกับเธอแล้วเธอเห็นเงินในบัญชีที่มีเป็นหมื่นล้าน เธอกังวลที่จะนำเงินไปใช้จนใช้ไปแค่นิดเดียวเท่านั้น
ในระหว่างที่พูดกันนั้น พวกเธอได้แกะกล่องออกมาพร้อมทั้งเอาเสื้อผ้าที่ซูจิ้งจัดเตรียมมาแสดงให้ลูกค้าดู พวกเธอก็ได้ยินเสียงพูดจากหน้าร้านว่า
“ว้าวววววว……ชิงชิงร้านของเธอใหญ่เหมือนกันนะ” คนที่เข้ามานั้นเป็นผู้หญิงหน้าตาหน้ารักคนนึงและผู้หญิงตัวสูงอีกคนนึง นั่นก็คือลู่ชิงหยาและหยางเว่ย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ พวกเธอจึงตั้งใจที่จะมาช่วย
“พวกเธอมาช่วยฉันด้วยหรอ” ฉือชิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“แหงซิ พวกเราไม่ได้มาเพื่อช่วยเธอขายคุ้กกี้แน่นอน” ลู่ชิงหยาพูดด้วยรอยยิ้มพร้อมทั้งเข้าไปช่วยแกะกล่องรวมถึงหยางเว่ยและพนักงานหญิงคนอื่นๆ ก็เข้ามาช่วยด้วยเช่นกัน เพราะว่าเสื้อผ้าที่ออกแบบโดยซูจิ้งนั้นส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าผู้หญิง และกว่าครึ่งเป็นชุดชั้นในผู้หญิง พวกผู้ชาย(คนของหวู่ตี้)จึงได้แต่ยืนอยู่ห่างๆ
ในตอนที่ชิงชิงตัดสินใจจะเปิดร้านเสื้อผ้าผู้หญิงนั้น แน่นอนว่าของทั้งหมดล้วนเป็นเสื้อผ้าผู้หญิงและเกือบครึ่งเป็นชุดชั้นใน เพื่อไม่ให้ลูกค้าผู้หญิงต้องกระดากใจตอนที่ซื้อ เธอจึงได้จ้างพนักงานเป็นผู้หญิงทั้งหมด
ตงเจี๋ย ผู้หญิงน่ารักผิวขาว เธอเองเคยเรียนด้วยกันกับฉือชิงและยังเคยทำงานกับฉือชิงที่ร้านของซือหยา ด้วยการที่เธอสนิทกันมากจึงได้ร่วมหุ้นกันและก็ได้มาทำงานที่นี่ด้วยกันตั้งแต่แรก ส่วนคนอื่นนั้นเธอจ้างมาทีหลัง
“นี่มันชั้นในกระชับสัดส่วนไม่ใช่หรอ” หยางเหว่ยอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาหลังจากที่เห็นของในกล่อง เธอมองพร้อมทำตาปริบๆ เธอเคยได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชั้นในนี้พร้อมสรรพคุณแต่ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
“ฉันได้ยินมาว่าชั้นในนี่ราคาชิ้นละห้าล้านหยวนเลยไม่ใช่หรอ” ลู่ชิงหยาพูดสำทับออกมาพร้อมหยิบขึ้นมาดู
“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า… รุ่นนี้แค่เกือบๆหนึ่งล้านหยวนเอง” หวังซือหยาหยิบขึ้นมาดูเช่นกันพร้อมพูดตอบไป
ที่จริงแล้วชั้นในชิ้นนี้ทำมาจากหนังของสไลม์ที่ซูจิ้งได้ไอเดียจากเสื้อผ้าของพวกคนแคระ ถึงความยืดหยุ่นและผลในการกระชับสัดส่วนนั้นจะไม่ได้ดีมากแต่ก็ยังดีกว่าชั้นในกระชับสัดส่วนที่มาขายกันในท้องตลาดอยู่หลายเท่า
ลู่ชิงหยาและหยางเหว่ยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้เมื่อได้ยินราคาชั้นในนี้ ห้าล้านถือว่าราคากำลังดี ห้าแสนถือว่าถูก ไม่ว่าราคาไหนสำหรับพวกเธอก็ยังถือว่าแพงอยู่ดี ตอนแรกพวกเธอตั้งใจว่าจะซื้อซักอันแต่เมื่อพวกเธอได้ยินราคาจึงทำได้แต่เพียงยอมแพ้เท่านั้น
อีกด้านหนึ่งตงเจี๋ยเมื่อได้ยินอดไม่ได้ที่ประหลาดใจเมื่อได้ยินราคาของชั้นในที่จะขาย เธอได้ยินมาว่าราคาต่อชิ้นห้าล้านหยวนและคิดว่ามันเป็นข่าวลือเท่านั้น แต่หวังซือยากลับบอกราคาออกมาว่าไม่แพงหรอก ใครกันนะที่พร้อมจะจ่ายในราคานั้น อย่างไรก็ตามเธอก็ไม่ได้ถามอะไรเพราะว่าดูเหมือนราคานี้จะเป็นราคาที่ถูกตั้งโดยหวังซือหยา ซูจิ้ง และฉือชิง
พวกเธอนำชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นประหยัดออกมาและแขวนไว้ที่มุมๆ หนึ่งจำนวนหกชิ้น นอกจากนั้นยังได้นำกระโปรงยาวออกมา แต่ละตัวมีรูปแบบที่ดูสวยงามมากทำให้ลู่ชิงหยา หยางเว่ย และตงเจี๋ย ตาเป็นประกาย ยิ่งรู้ว่าคนออกแบบคือซูจิ้งพวกเธอยิ่งไม่อยากจะเชื่อเข้าไปใหญ่
นอกจากลู่ชิงหยา และหยางเว่ยแล้ว พนักงานคนอื่นต่างก็เคยเป็นเพื่อนของซูจิ้งในชั้นมัธยม ในตอนนั้นซูจิ้งเรียกได้ว่าไม่มีรสนิยมด้านเสื้อผ้าอย่างสิ้นเชิง เขาใส่แค่เครื่องแบบนักเรียนและเสื้อผ้าพื้นๆ ในช่วงวันหยุด เขาจะกลายเป็นแฟชั่นดีไซน์เนอร์มือดีได้ยัง อย่างไรก็ตามพวกเธอขี้เกียจจะคิดถึงเรื่องนั้น เพราะถ้าพวกเธอคิดอย่างนั้น ซูจิ้งในตอนนี้เปรียบได้ดั่งเทพเลยทีเดียว
“อืมมมม ชุดนี้มันให้ความรู้สึกสบายดีจริงๆ” ตงเจี๋ยได้หยิบชุดยาวขึ้นมาตัวหนึ่งและรู้สึกประหลาดใจทันที่ที่ได้สัมผัส เธอเองก็ทำงานที่ร้านเสื้อผ้าและเคยสัมผัสผ้ามาแล้วแทบจะทุกชนิดแต่ไม่เคยรู้เลยว่ามีผ้าที่นุ่มสบายอย่างนี้ มันให้ความรู้สึกเหมือนได้ใส่ชุดว่ายน้ำที่ทำมาจากผ้าลูกไม้บางๆ แต่ก็ให้ความรู้สึกมั่นใจต่อให้ไม่ว่าส่วนไหนจะเผยออกมา
“มันช่างละมุนนนน” หยางเหว่ยและลู่ชิงหยาอดไม่ได้ที่จะลองจับดูบ้าง ยิ่งพวกเธอจับยิ่งให้ความรู้สึกดีจนกระทั่งไม่อยากจะวางมือเลย
“พี่ซือหยา ชุดนี้พี่ขายเท่าไหร่” ฉือชิงลองหาป้ายราคาดูและพบว่าไม่ได้แขวนราคาไว้
“อาจิ้งบอกวาชุดนี้ให้นำออกแสดงหนึ่งเดือนแล้วให้ลูกค้าประมูลเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวน หลังจากหนึ่งเดือนใครประมูลได้มากสุดก็ขายไป” หวังซือหยาบอกพร้อมรอยยิ้มนั่นทำให้ทุกคนทำได้แค่มองไปที่เธออย่างพูดไม่ออก
ตอนที่ 659
กิจการเจริญรุ่งเรือง
“ชุดว่ายน้ำราคาเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวน หยางเหว่ย ลู่ชิงหยา และตงเจี๋ย” ต่างคิดพร้อมกันว่าพวกเขาได้ยินผิดไปรึเปล่า ชุดว่ายน้ำชุดเดียวราคาอยู่ที่หนึ่งแสนหยวนไม่ซิถ้าตามที่หวังซือหยาต้องเป็นเริ่มต้นที่หนึ่งแสนหยวน แถมยังต้องใช้เวลาประมูลอีกหนึ่งเดือน
“จะมีคนซื้อจริงๆงั้นหรอ ชุดว่ายน้ำตัวนี้น่ะ” ฉือชิงเองก็ตกใจแต่เธอก็นึกถึงความนุ่มสบายยามสัมผัสชุดว่ายน้ำตัวนี้พลางนึกว่าหนึ่งแสนหยวนไม่แพงไปหรอกหรอ ถ้าไม่มีคนประมูลมันเลยหล่ะ
“ให้พูดจริงๆ นะ ฉันก็คิดว่ามันแพงไปเหมือนกัน แต่อาจิ้งค่อนข้างคาดหวังกับชุดว่ายน้ำนี้นะ ฉันได้ยินมาว่าที่นี่มีสระว่ายน้ำที่ชั้นหนึ่งใช่ไม๊ล่ะ เขาบอกว่าเห็นบางคนใส่ชุดว่ายน้ำราคาหมื่นหยวนที่สระน่ะ เขาเลยอยากลองดู” เมื่อได้ยินที่หวังซือหยาพูดทำให้คนอื่นๆ ถึงกับพูดไม่ออก ชุดว่ายน้ำราคาหมื่นหยวนก็ว่าแพงเกินไปแล้วแต่นี่ราคาหนึ่งแสนหยวนเลยนะ นี่ถือว่าปล้นกันชัดๆ
พวกเธอเองก็รู้สึกว่าราคาที่ซูจิ้งตั้งเอาไว้นั้นแพงเกินไป นั่นรวมถึงชุดชั้นในกระชับสัดส่วนราคาประหยัด และกระโปรงรูปทรงใหม่นั่นด้วย พวกเธอไม่ได้คิดเกินจริงหรอกแต่มันแพงมากจริงๆ
เวลาเปิดขายร้านฉือชิงนั้นได้กำหนดไว้ที่ตอนเก้าโมงเช้า นอกจากมีการโฆษณาบนทีวีแล้ว ซูจิ้งยังบอกเอาไว้ผ่านเหว่ยป๋อ ถึงจะบอกไปอย่างนั้นก็ยังมีคนมารอก่อนหน้านั้นนานแล้ว พอเก้าโมงคนก็เข้ามาแน่นร้านในทันที
ส่วนหนึ่งเป็นแฟนคลับของซูจิ้ง แต่เมื่อพวกเธอเห็นฉือชิงพวกเธอทำได้แต่ตกใจเพราะฉือชิงสวยกว่าในรูปอย่างเทียบกันไม่ได้ อีกส่วนหนึ่งนั้นเป็นผู้คนที่เข้ามาดูเพราะเห็นเสื้อผ้าที่แขวนโชว์ให้ดูแล้วรู้สึกหลงไหลเลยเข้ามาดู คนส่วนนี้อดใจไม่ได้จนต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับออกไปคนละชิ้นสองชิ้น ซึ่งแน่นอนว่าที่ซื้อไปไม่ใช่แค่ต้องการเอาใจซูจิ้งแต่เป็นเพราะพวกเธอรักมันจริงๆ แถมเสื้อผ้าพวกนี้ยังไม่มีขายที่ไหนนอกจากที่นี่อีกด้วย
“สวัสดีคะคุณนายซุน” ฉือชิงเข้าไปคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“สวัสดีจ้ะฉือชิง” คุณนายซุนทำหน้าดีใจพร้อมกับถามกลับไปว่า
“ฉันได้ยินมาว่ามีชั้นในกระชับสัดส่วนขายจริงรึเปล่า”
“เป็นเรื่องจริงค่ะ แต่คุณนายซุนก็ดูดีอยู่แล้วนะคะไม่เห็นต้องใช้เลย” ฉือชิงพูดตอบด้วยรอยยิ้ม
“อย่ามายอกันหน่อยเลยน่า ว่าแต่มันอยู่ตรงไหนล่ะ พาฉันไปดูหน่อย” คุณซุนพูดตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง เธอเองก็รู้สึกดีที่ได้ยินฉือชิงพูดอย่างนั้น แต่เธอก็รู้ตัวเองดีว่าต่อให้ดูดีแค่ไหนแต่ด้วยอายุอานามของเธอแล้วมันยังไม่ดีพอ ก่อนหน้านี้ที่ลูกสาวเธอลดน้ำหนักได้นั้น เธอไม่ได้คิดอะไรมาก แต่หลังจากที่ลูกสาวเธอลดน้ำหนักได้สำเร็จ เธอได้เห็นความอัศจรรย์ของชั้นในกระชับสัดส่วน จึงเป็นเรื่องปกติที่เธออยากจะได้ไว้ใช้ซักอัน เพราะตอนนี้กลายเป็นว่าลูกสาวของเธอตัวเล็กกว่าเธอไปแล้ว มันจะไม่สมดุลเวลาอยู่ข้างๆกัน
“ถ้างั้นก็ตามฉันมาทางนี้ค่ะ แต่ว่าชั้นในรุ่นนี้ไม่ดีเท่ากับรุ่นที่ขายให้กับลูกสาวคุณนะคะ อย่าหวังผลกับมันมากดีกว่า เพราะว่ามันไม่ได้แพงเท่ารุ่นนั้น ราคาของมันถูกลงมามากกว่าครึ่งเลย” ฉือชิงพาคุณซุนไปยังพื้นที่ขายชั้นในกระชับสัดส่วน
“ฮ่า ฮ่า ยังไงฉันก็ยังเชื่อในผลิตภัณฑ์ของคุณซูอยู่ดีค่ะคุณชิง” คุณซุนพูดด้วยร้อยยิ้ม
ฉือชิงได้เลือกขนาดที่เหมาะกับคุณนายซุนที่สุดถึงแม้ว่าชั้นในนี้จะกระชับเข้าสัดส่วนได้ไม่ว่าคนใช้จะมีร่างกายเล็กใหญ่ขนาดไหนก็ตาม แต่การเลือกขนาดให้พอเหมาะกับขนาดตัวก็ยังดีกว่าอยู่ดี คุณซุนไปที่ห้องลองเสื้อผ้า เมื่อลองเสร็จเธอซื้อทันที
ฉากนี้ทำให้ตงเจี๋ย หยางเหว่ย และลู่ชิงหยาที่แอบมองอยู่ไกลๆ การที่พวกเธอมัวแต่กังวลว่าจะขายไม่ได้นั้น ต่างคิดไม่ถึงว่าจะขายได้เร็วขนาดนี้ เงินห้าแสนหยวนนี่หาง่ายขนาดนั้นเลยหรอ
“สวัสดีค่ะคุณนายเหยา” หลังจากนั้นไม่นาน ฉือชิงเข้าไปพบผู้หญิงคนหนึ่งเป็นการส่วนตัว เธอคือภรรยาของเหยาฉีจิ้ง(เหยาชิง) คนที่ลูกชายคนโตของเธอเกือบเป็นเจ้าชายนิทราหลังจากโดนพิษงูเข้าไป แต่ได้ซูจิ้งช่วยรักษาเอาไว้ได้ ครอบครัวของเธอต่างถือว่านี่เป็นบุญคุณที่ใหญ่หลวงนัก เมื่อเธอได้ยินข่าวเกี่ยวกับชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นแรกนั้น เธอเองก็อยากได้ซักอันแต่น่าเสียดายได้ยินข่าวช้าเกินไปทำให้ซื้อไม่ทัน ตอนนี้เธอได้ยินข่าวว่าซูจิ้งจะขายมันอีกครั้งจึงช่วยไม่ได้ที่เธอจะอยากได้ไว้ สำหรับผู้หญิงรวยๆ คนหนึ่งนั้นการที่จะให้ได้หุ่นดี มีสัดส่วนที่กระชับต่อให้เสียเงินเป็นล้านก็ยอม
“สวัสดีค่ะคุณชิง” คุณนายเหยาพูดด้วยร้อยยิ้มอย่างหมดใจ เธอเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้ลองชั้นในกระชับสัดส่วนแล้วซื้อโดยทันที่อย่างง่ายดาย ถึงแม้ว่าใจจริงของเธออยากได้รุ่นแรกที่ราคาห้าล้านหยวนก็ตามแต่เธอก็ยังซื้อรุ่นประหยัดนี้ติดมือไปอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากนั้นก็ได้มีผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งกับเด็กสาวผมยาวจนถึงเอวคนหนึ่งเดินเข้ามา พวกเธอคือซุนลู่และซุนซินซิน สามีของซุนลู่นั้นมีปัญหาเรื่องช่วงล่างแต่ก็ได้รับการรักษาจากซูจิ้ง ตอนนี้เธอมาเพื่อแสดงความยินดีและเธอเองก็ต้องการชั้นในกระชับสัดส่วน ฉือชิงนั้นไม่ได้รู้จักเธอหรอกแต่เธอก็ยังแนะนำตัวให้ฉือชิงรู้จัก หลังจากเธอได้ทดลองสวมชั้นในเข้าไปเธอก็รีบซื้อเช่นกัน
สักพักฉือชิงก็มีสายเรียกเข้าจากหลินฉีหยู เธอต้องการสั่งชั้นในกระชับสัดส่วนหนึ่งชิ้นและอยากให้ช่วยส่งให้เธอทันที สำหรับนักแสดงหญิงแล้วการที่เธอจะมาที่ร้านได้เป็นเรื่องที่แสนจะลำบากยากเย็น ด้วยเหตุเหล่านี้ทำให้ชั้นในถูกขายออกไปอย่างรวดเร็วจำนวนสี่ชิ้นด้วยกัน ความนิยมของชั้นในนี้ยังยากที่จะจินตนาการได้
“ทำไมชุดว่ายน้ำตัวนี้ราคาแพงจัง” เด็กสาวคนหนึ่งรู้สึกประหลาดใจในราคาของชุดว่ายน้ำตัวนั้น ผู้หญิงบางคนนั้นชอบชุดว่ายน้ำแบบโชว์สามส่วน(ทูพีช) แต่เธอก็ยังกังวลในสัดส่วนของตัวเองและอยากได้ชุดว่ายน้ำที่ดูมิดชิด และสวมใส่แล้วรู้สึกสบายตัวมากกว่า ซึ่งชุดว่ายน้ำที่ซูจิ้งออกแบบตัวนี้เป็นชุดว่ายน้ำสีขาวทั้งตัว การออกแบบที่ดูเรียบง่ายและสง่างามช่างตรงกับใจเธออย่างมาก แต่เมื่อเห็นป้ายราคาเขียนว่าหนึ่งแสนหยวนเธอจึงอดถามไม่ได้เพราะคิดว่าเข้าใจอะไรผิด
“ชุดว่ายน้ำชุดนี้ทำจากวัสดุที่พิเศษน่ะค่ะ” ฉือชิงได้พยายามอธิบายซึ่งเธอเองก็ไม่รู้อะไรมากเกี่ยวชุดว่ายน้ำชุดน้ำทำให้ไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไงดี
“ลดราคาลงหน่อยไม่ได้หรอ” หญิงสาวคนนั้นถาม
“เราลดราคาไม่ได้จริงๆ ค่ะ อันที่จริงแล้วชุดว่ายน้ำนี้ไม่สามารถซื้อได้ทันที หากคุณอยากได้คุณต้องทำการประมูลโดยเราได้ทำการเปิดประมูลชุดว่ายน้ำชุดนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือน ถ้าคุณเป็นคนที่ให้ราคาสูงที่สุดคุณถึงจะได้มันไป” ฉือชิงอธิบาย
หญิงสาวคนนั้นทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อเธอได้ยิน แถมราคาหนึ่งแสนนี่ก็ยังเป็นแค่ราคาเริ่มต้นเท่านั้น มันแทบจะทำให้เธอร้องกรี๊ดออกมาเลยพร้อมคิดว่านี่มันปล้นกันชัดๆ ทำไมถึงแพงได้ขนาดนี้กัน
คุณนายซุน คุณนายเหยา และซุนลู่ ที่ซื้อชั้นในกระชับสัดส่วนไปก่อนหน้า ทันทีที่พวกเธอได้ยินเสียงการสนทนาจึงอดใจไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปดู พวกเธอเองก็ตกใจเหมือนกันเมื่อได้ยินราคาตามที่ฉือชิงบอก แต่ด้วยการที่ทั้งสามต่างเชื่อมั่นในตัวซูจิ้ง ทำให้ต่างก็คิดว่ามันต้องมีเหตุผลดีๆ อย่างแน่นอนที่ซูจิ้งตั้งราคาไว้สูงขนาดนี้ และล้วนนึกไปถึงตอนที่ซูจิ้งนำชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นแรกที่มีราคาห้าล้านหยวนออกมาขาย ขนาดราคาแพงขนาดนั้นยังขายหมดอย่างรวดเร็วและหาซื้อที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว พวกเธอเองก็พยายามแล้วแต่ก็ยังหาไม่ได้
“คุณชิงคะ ถ้าฉันขอลองชุดว่ายน้ำนี้หน่อยจะเป็นอะไรไหมคะ ฉันยอมจ่ายหนึ่งแสนเลยถ้าคุณให้ลองใส่ดูได้” ซุนลู่ถาม
“ลองครั้งแรกทางร้านให้ลองฟรีค่ะ” ฉือชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้นให้หลานของฉันเป็นคนลองใส่ดูแล้วกันค่ะ” ซูนลู่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มแล้วผายมือให้ซุนซินซินที่อยู่ข้างๆเธอที่ทำท่ายากลองใจจะขาดอยู่ลอมล่อ เธอนำชุดว่ายน้ำวันพีซไปที่สระว่ายน้ำที่อยู่ชั้นล่างและลองเปลี่ยนชุดว่ายน้ำนี้ดู ซุนลู่ คุณนายซุน คุณนายเหยา หวังซือหยา หยางเว่ย ลู่ชิงหยา และผู้หญิงคนที่ถามราคาก่อนหน้านี้เดินตามไปติดๆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น