Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1148-1163 (จบ)
GGS:บทที่ 1148 โกลาหล
หลังจากการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกวันนี้สิ้นสุดลง ขอบเขตการชำระล้างของเหรียญตราเทวฑูตก็ได้ไปถึงทวีปแอฟริกาเรียบร้อยแล้ว
ในพื้นที่แห่งนั้นทันทีที่ขอบเขตการชำระล้างไปถึงเหล่าเงาสีดำที่คนทั่วไปยากจะเห็นได้นั้นก็ได้ปรากฎมาเพียงชั่วครู่และหายไปแทบจะในทันทีที่สัมผัสกับแสงชำระล้าง
เย็นวันนั้นเองซูจิ้งก็ได้รับสายจากหลัวฉือหลิน โดยเขาได้พูดออกมาว่า “นายท่าน พลังงานชั่วร้ายที่ปกคลุมที่นี่ได้จางหายไปแล้วครับ”
“แล้วเงาดำล่ะ มันไม่มีท่าทีอะไรเลยเหรอ” ซูจิ้งถามออกมา
“ไม่มีครับ ดูเหมือนมันจะไหวตัวทันและออกจากพื้นที่นี้ไปก่อนน่าจะประมาณครึ่งชั่วโมงเพราะช่วงเวลาดังกล่าวไม่มีการตายประหลาดเลย” หลัวฉือหลินพูดออกมา
“งั้นนายกลับมาหาฉันได้แล้ว” ซูจิ้งพูดออกมา
เจ้าเงาดำนั่นสมควรจะแกร่งเกินกว่าที่หลัวฉือหลินจะติดตามได้อย่างปลอดภัยแล้ว หากคราวนี้มันพบตัวหลัวฉือหลินอีกแน่นอนว่าย่อมฆ่าทิ้ง
ในเมื่อเงาดำนั่นพบลำแสงชำระล้างแล้วหนีออกไปแบบนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องให้หลัวฉือหลินอยู่อีกแล้ว การให้มาอยู่ข้างเขานั้นจะดีกว่า
“ได้ครับ” หลังฉือหลินไม่พูดอะไรอีก เขาได้บังคับสแตนด์ของตัวเองให้กลับประเทศจีนอย่างรวดเร็ว ในเช้าวันถัดมา แสตนด์ของหลัวฉือหลินก็ได้เข้าไปเจอซูจิ้ง ซูจิ้งเองก็ได้กล่าวชมเชยและให้รางวัลก่อนที่จะบอกแผนการขั้นต่อไปกรณีมีอะไรเกิดขึ้น
ในตอนนี้ยิ่งเขาพบร่องรอยของเงาดำมากขึ้นเท่าไหร่เขาเองก็รู้สึกอยู่ไม่สุขมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่าอันตรายกำลังจะมาเยือนในไม่ช้า
วันนี้ ซูจิ้งต้องขึ้นชกมวยในรอบชิงชนะเลิศ ซูจิ้งตั้งจะรีบจบการแข่งนี้โดยไวโดยคู่ต่อสู้ของเขาในวันนี้นั้นคือนักชกชาวรัสเซีย
บรรยากาศภายในสนามแข่งนั้นมีชีวิตชีวาอย่างมาก โดยนอกจากชาวรัสเซียแล้ว คนส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่เชียร์ซูจิ้งทั้งหมดทั้งสิ้น
ที่เป็นแบบนี้ไม่ใช่ว่านักชกชาวรัสเซียคนนี้จะอ่อนแอแต่อย่างใดไม่งั้นเขาคงไม่มาถึงรอบสุดท้าย แต่เป็นเพราะซูจิ้งนั้น ในตอนนี้เขาได้คว้าเหรียญทองมากกว่า 19 เหรียญแล้ว ยังไงซะก็น่าเชียร์กว่าอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ทุกคู่ที่ซูจิ้งชกมานั้น ซูจิ้งล้วนแล้วแต่ชนะด้วยการน็อคเอ้าท์ทั้งหมดไม่มีการปล่อยให้มีการนับคะแนนแม้แต่น้อย แต่นักชกชาวรัสเซียเองก็มีประสบการณ์มาไม่น้อยเหมือนกัน แน่นอนว่าหากเขานั้นจะแพ้ไปก็คงไม่มีใครว่า แต่หากไม่มีอุบัติเหตุอะไรจริงๆ แน่นอนว่าเหรียญทองนี้ซูจิ้งต้องคว้ามาให้ประเทศจีนได้อย่างแน่นอน
ทันทีที่เริ่มต้นการแข่งขัน ซูจิ้งได้ก้าวเข้าประชิดนักชกชาวรัสเซียในทันที แต่ในตอนนั้นเอง สแตนด์ของหลัวฉือหลินก็ได้เข้ามาอยู่ในเงาของซูจิ้งก่อนที่จะบอกกับซูจิ้งว่า “เจ้านาย ผมพบ จุนฮ่าว โอฉิงหยุน และคนที่เคยมีเรื่องกับนายท่านได้เข้ามาในสนามอย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าพวกนั้นเล็งที่นายท่าน”
ซูจิ้งขมวดคิ้วในทันทีที่ได้ยิน เขานั้นให้หลัวฉือหลินคอยตรวจตราสถานการณ์โดยรอบไว้เพื่อว่าเงาดำนั่นจะคิดเล่นไม่สื่อ
ถึงแม้เขาจะเชื่อมั่นว่าการที่เงาดำนั่นหนีออกจากแอฟริกาไปเป็นเพราะไม่อาจต้านทานลำแสงชำระล้างได้ แต่ในเมื่อเขานั้นอยู่ในที่สว่าง
เขาก็เชื่อว่าเงาดำนั่นต้องเตรียมการเล่นงานเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง หรือมันอาจจะเข้ามาตรงๆเพราะฟื้นฟู สภาพสมบูรณ์ได้แล้วก็ยังมีความเป็นไปได้
หรือจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทันทีมันฟื้นฟูได้เต็มที่จึงเร่งออกจากแอฟริกาไปเพื่อเตรียมเล่นงานเขาก็เป็นไปได้เหมือนกัน เขาจึงให้หลัวฉือหลินเข้าเฝ้าดูแทนเขา
แต่เขานั้นไม่นึกมากก่อนเลยว่าจะได้พบ ซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และคนที่เคยคัดแย้งกับเขาแล้วหายตัวไปมาปรากฎที่นี่ เอาเจ้าพวกนี้ไปเอาความกล้ามาจากที่ไหนกันแน่
“หรือนี่จะเกี่ยวกับเงาดำจริงๆ” ซูจิ้งนั้นใจเต้นไม่เป็นส่ำในทันที เขานั้นเป็นที่ยอมเสียเวลาเป็นหมื่นปีเพื่อทำให้ร่องเรือไปได้อีกหมื่นอย่างสงบสุข
เขานั้นไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่เดินลงเวทีไปเสียดื้อแล้วตรงไปยังที่นั่งของซูเซินเย่ว เย่ฉิง ซูหยา และฉือชิงก่อนที่จะพาทุกคนไปยังห้องพัก
ผู้ชมที่กำลังดูการถ่ายทอดสดและที่อยู่ในสนามต่างก็สับสนกันไปหมดว่านี่เกิดอะไรขึ้น นี่ก็พึ่งจะเริ่มการแข่งขันเองแล้วทำไมซูจิ้งถึงได้ทิ้งการแข่งไปได้กัน
ซูเซินเย่วและคนอื่นๆเองก็พยายามคิดหาคำตามอยู่ในใจ ด้วยการที่พวกเขานั้นเห็นท่าทางและสีหน้าของซูจิ้งแล้วจึงไม่มีใครกล้าที่จะเสียเวลาถามและยอมตามไปแต่โดยดี
หลังจากเข้าไปถึงห้องพักแล้ว ซูจิ้งได้ทำการสะกดคนทั้งสี่ก่อนที่จะนำคนทั้งสี่ใส่เข้าไปในถุงกักอสูร
ถึงแม้ว่าถึงนี้จะเป็นถุงที่เอาไว้ใช้กักสัตว์ร้ายก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ถึงแม้ว่ามันจะดูโหดร้ายไปสักหน่อยแต่เขาก็ต้องทำ เพราะนี่ก็เพื่อความปลอดภัยของทั้งสี่คนทำให้เขาไม่ได้สนใจความรู้สึกของทั้งสี่คนมากนัก
ในตอนนี้คนทั้งแปดซึ่งมีซงจุนฮ่าวและโอฉิงซงอยู่ด้วยได้ก้าวขึ้นไปบนสนามมวย พวกนั้นพยายามมองรอบๆราวกับตรวจสอบอะไรบางอย่างโดยไม่ใส่ใจท่าทีของกรรมการและผู้ชมเลยแม้แต่น้อย
คนทั้งแปดมองไปรอบๆอยู่พักหนึ่งก็ได้มีชายผิวดำท่าทางกำยำสองคนก้าวขึ้นไปบนเวที “พวกแกเป็นใครเนี่ย นี่มันสนามแข่งขันอันทรงเกียรตินะ ออกไปเดี๋ยวนี้” นักชกชาวรัสเซียรีบถามออกมาด้วยความรู้สึกไม่ดีแบบสุดๆเมื่อเห็นชายผิวดำสองคนและคนอื่นๆ
ชายผิวดำนั้นยกมือขึ้นช้าๆก่อนที่จะตบไปบนหน้าของนักชกชาวรัสเซียจนทำให้เขากระเด็นตกสนามไปในทันที หัวของเขานั้นกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง ทันทีที่เขากระแทกลงพื้นก็ได้กระอักเลือดออกมาคำโตและสลบเหมือดไปในทันที
“ห้ะ…./ว้าย…./กรี๊ด…” เสียงอันสับสนอลหม่านได้เกิดขึ้นในทันทีที่เกิดฉากนี้ขึ้นมา เหล่าเจ้าหน้าที่และหน่วยรักษาความปลอดภัยได้เข้ามาในทันที แต่ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรพวกเขาก็ได้ตกตายไปตามๆกันด้วยความเร็วที่แทบจะยังไม่ได้กระพริบตา
“มันต้องอยู่แถวนี้แหล่ะ”
“หาให้เจอ”
ซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และคนอื่นๆรีบหาตัวซูจิ้งในทันที
แต่ในตอนนั้นเอง ทั้งแปดคนก็ปรากฎสายตาที่ราวกับได้เห็นเหยื่ออันโอชะ เป็นซูจิ้งที่ปรากฎตัวขึ้น เขาได้ปล่อยกระแสจิตเข้าไปป่วนสมองของคนทั้งแปดในทันทีเพื่อหมายจะสะกดจิต
แต่ในทันทีที่คนทั้งแปดโดนกระแสจิตของซูจิ้งป่วนสมอง คนทั้งแปดเพียงแค่หยุดชะงักไปชั่วครู่แล้วก็กลับมาสู่สภาพเดิมได้อย่างรวดเร็ว
นี่ไม่ใช่เป็นเพราะเขานั้นสามารถสะกดคนทั้งแปดได้อย่างรวดเร็วแต่อย่างใด แต่ซูจิ้งนั้นสัมผัสได้ว่าทันทีที่เขาโจมตีจิตสำนึกของคนทั้งแปด ในตอนนั้นก็ได้มีแรงบางอย่างปะทะกับกระแสจิตของเขาทำให้ไม่สามารถทำอะไรจิตสำนึกและจิตวิญญาณของคนพวกนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
“หึ ไอ้เงาดำนั่นสินะ” ใบหน้าของซูจิ้งนั้นในตอนนี้ราวกับคิดอะไรบางอย่าง หากดูจากการที่คนเหล่านี้ฆ่าคนได้อย่างไม่สะทกสะท้าน แสดงว่าจิตใจของคนเหล่านี้สมควรจะแข็งแกร่งกว่าเดิมมากจึงสามารถป้องกันการโจมตีทางจิตของเขาได้ขนาดนี้ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะกับซงจุนฮ่าวและโอฉิงซงที่มีเรื่องกับเขาโดยตรงแล้ว หากว่าสองคนนี้มีจิตใจระดับนี้ตั้งแต่ต้น เขาคงวุ่นวายมากกว่านี้อย่างแน่นอน นี่แสดงว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทั้งแปดคนสมควรจะไปทำอะไรบางอย่างมาจนมาถึงระดับนี้ได้ ไม่ว่าจะมองยังไง เจ้าเงาดำนั่นสมควรจะเป็นต้นเหตุอย่างแน่นอน ส่วนซูจู่และฉิวจิงที่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าสองคนนั้นไปไหน
“หึหึหึ ซูจิ้ง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” ซงจุนฮ่าวมองซูจิ้งในขณะที่กล่าวทักทายด้วยเสียงอันโหดเหี้ยม นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้ป่วยจิตอีกแล้วแถมยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีอีกด้วย
และดูเหมือนว่าเขาจะจำได้ด้วยซ้ำว่าซูจิ้งนั้นทำอะไรกับหมอนี่ไว้บ้างจนต้องเข้าห้องขังจิตเวทไป หากไม่ใช่ว่าเขานั้นได้รับการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญล่ะก็ทั้งชีวิตของเขาคงจะต้องอยู่ที่ห้องขังแห่งนั้น ยิ่งคิดก็ยิ่งทำให้ซงจุนฮ่าวนั้นแค้นฝังลึกลงไปเรื่อยๆ
“โฮ่…แล้วไอ้คนที่ช่วยแกออกมาแล้วทำให้แกกลับมาสภาพเดิมนี่ไปอยู่ไหนซะล่ะ” ซูจิ้งถามออกมา ซูจิ้งนั้นได้ปล่อยกระแสจิตของตัวเองออกไปทั่วก็ไม่พบร่องรอย
การที่คนพวกนี้มีจิตแข็งพอจนกล้าที่จะฆ่าคนต่อหน้าผู้คนกลางการถ่ายทอดสดแบบนี้สมควรจะเป็นฝีมือของเงาดำนั่น
นี่ราวกับจะบอกว่าต่อให้ฆ่าเขาตายไปคนพวกนี้ก็ไม่ได้แยแสต่อสิ่งใด และนี่ค่อนข้างจะดูมีเหตุผลพอสมควรเพราะหากฆ่าเขาในระหว่างออกอากาศ ลำแสงชำระล้างของเหรียญตราเทวฑูตเองก็สมควรจะส่งผลกระทบ นี่จึงเป็นเหตุผลที่คนพวกนี้ต้องการฆ่าเขาในระหว่างถ่ายทอดสดให้จงได้
ความจริงแล้วซูจิ้งนั้นไม่ได้สนใจแปดคนนี้แต่อย่างใด เขานั้นกลัวแต่ร่างเงาดำนั่นที่หลบซ่อนอยู่เท่านั้น
GGS:บทที่ 1149 ไม่ควรเป็นอย่างนี้
ฉากที่กำลังเกิดขึ้นผ่านการถ่ายถอดสดอยู่ตอนนี้เต็มไปด้วยความโกลาหล ทั้งผู้ชมที่หนีตายในทันทีที่เห็นว่า กรรมการและเจ้าหน้าที่ถูกจัดการจนแน่นิ่งไป
และในตอนนี้เองการถ่ายทอดสดนี้ได้ตัดสัญญาณภาพไปแล้ว แต่ผู้ชมนั้นยังคงตกตะลึงกับฉากที่มีคนตายต่อหน้าต่อตาแบบนี้อยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้นกัน”
“ใครกันที่มันหาญกล้ามาฆ่าคนในที่สาธารณะที่เต็มไปด้วยผู้คนแบบนี้เนี่ย”
“การรักษาความปลอดภัยของงานโอลิมปิกในครั้งนี้แย่ถึงขนาดปล่อยให้ไอ้พวกนักเลงนั่นเข้ามาในงานได้ยังไง”
“แต่ฉากเมื่อกี้นี้ฉันว่าพวกมันแข็งแกร่งมากเลยนะ ขนาดตบนักมวยรัสเซียนั่นตกตายในทีเดียวเลย”
เหล่าผู้คนที่สนิทกลับซูจิ้งและเพื่อนของซูจิ้งอย่างหวังจ้าว เฉิงหนาน หวังซือหยา มู่หรงเซียนเอ๋อที่เห็นฉากนี้ต่างก็อดที่จะเป็นห่วงซูจิ้งไม่ได้ในทันที
ในตอนนี้ทั้งซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และคนอื่นนั้นต่างก็ไม่แยแสกับผู้คนที่กำลังหนีตายแม้แต่น้อย พวกมันนั้นเพียงมองที่ซูจิ้งด้วยสายตาอำมหิตและพูดออกมาว่า “คนอย่างแกนี่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเลยนะซูจิ้ง ฉันว่าคงไม่ต้องลูกพี่ของพวกเราหรอก แค่พวกเราก็พอแล้ว”
“ลูกพี่? โห่ ฉันละอยากจะรู้จริงๆว่าไอ้ลูกพี่ของแกนี่มันเป็นใครกัน” ซูจิ้งถามออกมาในขณะที่กำลังปล่อยกระแสจิตออกไปตรวจสอบพื้นที่โดยรอบอย่างไม่ว่างเว้น เขานั้นยังไม่พบร่องรอยเงาดำนั่นแม้แต่น้อยแต่ก็ยังมั่นใจเต็มสิบว่าเงาดำนั่นต้องมาแน่จึงได้เตรียมโต้ตอบเต็มอัตราศึก
ไป๋ฮิตูที่เคยมีหน้าที่คอยป้องกันฉือชิงและครอบครัวของซูจิ้งนั้นในอตนนี้ได้มายืนเคียงข้างซูจิ้งพร้อมทั้งมีสแตนด์สายฟ้าของหลัวฉือหลินที่มายืนขนาบอีกข้างหนึ่งเตรียมพร้อมรบเช่นเดียวกัน
ซงจุ่นฮ่าวได้สบถออกมาว่า “หึหึหึ ฉันก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าพี่ใหญ่ของเรานั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหน แต่เขานั้นทำให้ฉันรู้ได้ก็แล้วกันว่าบนโลกใบนี้ยังมีคนที่มีความสามารถเหนือมนุษย์อยู่
ลูกพี่ของฉันถามเรื่องของแกมากมายเลยทีเดียวจนทำให้ฉันเขาใจได้ว่าตัวแกนั้นเป็นพวกเหนือมนุษย์เช่นเดียวกัน
ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไมแกนั้นที่มาจากการเป็นเศษขยะแต่นับวันกลับทรงพลังมากยิ่งขึ้นได้ถึงขนาดนี้ ไม่แปลกในเลยจริงๆที่ทำไมฉันนั้นทำอะไรแกไม่ได้เลย การที่ต้องสู้กับการในฐานะมนุษย์ธรรมดานั้นช่างเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่ตอนนี้พวกเราไม่เหมือนเดิมอีกแล้วโว้ย….”
ทั้งซงจุนฮ่าวและโอฉิงซงนั้นหลังจากที่สิ้นสภาพโดยซูจิ้งมานับครั้งไม่ถ้วน ในตอนนี้พวกมันมีความมั่นใจอย่างเต็มสูบราวกับว่าได้รับทักษะที่สุดแสนจะทรงพลังมาเรียบร้อยแล้ว
พวกมันทั้งแปดคนได้ทำการรุมล้อมซูจิ้งในทันทีก่อนที่จะปลดปล่อยไอปีศาจออกมา เหล่าผู้คนที่กำลังสับสนอลอ่านหนีตายอยู่นั้น ในตอนนี้กลับหยุดนิ่งไม่ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนแม้สักก้าวเดียว สายตาของทุกคนเหม่อลอยและกลอกกลิ้งไปมาราวกับเป็นลูกตาปลอมพร้อมร่างกายที่สั่นราวกับถูกเข้าทรง แม้แต่หน่วยรักษาความปลอดภับที่ถูกส่งเข้ามาจัดการสถานะการก็มีสภาพไม่ต่างกัน
ในตอนนี้เอง กลิ่นไอปีศาจได้ไหลออกมาจากร่างของเหล่าผู้คนที่เกิดอาการ นี่คนผลมาจากลำแสงชะระล้างจากเหรียญตราเทวฑูตของซูจิ้ง แต่ถึงแม้ผู้คนเหล่านี้จะได้รับการชำระล้างและขับไล่ไอปีศาจออกไปได้แต่ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณของพวกเขานั้นจะได้รับผลกระทบไปไม่น้อยจนยากจะฟื้นคืนทีเดียว
“ระยำ” ซูจิ้งหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย ผู้คนที่ยังเหลืออยู่นี้มีบางคนเป็นแฟนคลับขั้นเทพของเขาแน่นอนว่าซูจิ้งนั้นย่อมห่วงใยคนเหล่านี้เพียงรองจากครอบครัว คนสนิทและ เพื่อนๆของเขาเท่านั้น
“ฆ่า” ซูจิ้งออกคำสั่งในทันที สแตนด์สายฟ้าได้พุ่งเข้าไปประชิดราวกับสายฟ้าและหมายที่จะต่อยอัดโอฉิงซงไปเต็มแรง
อย่างไรก็ตาม โอฉิงซงนั้นราวกับสัมผัสได้ มันได้ใช้ฝ่ามือที่มีไอสีดำล้อมรอบทำการหยุดการโจมตีนั้นไป ไป๋ฮิตูที่เห็นเองก็ได้โจมตีด้วยเช่นกัน เขาได้ปล่อยแสตนด์หมายที่จะเสียบชายชาวแอฟริกันที่ยืนอยู่ด้ยดาบปลายปืน แต่ชายชาวแอฟริกันคนนั้นกลับว่องไวอย่างมาก มันได้ใช้มือที่มีไอปีศาจตั้งท่ารับและจับดาบปลายปืนเอาไว้ได้ด้วยมือเปล่า
“ก็อย่างที่พวกเราบอกล่ะนะว่าพวกเรานั้นก็เป็นพวกเหนือมนุษย์เหมือนกัน” ซงจุนฮ่าวสบถออกมา ด้วยความเร็วประดุจเสือชีต้า มันพุ่งเขาใส่ซูจิ้งและโจมตีไปที่หน้าอกของซูจิ้งในทันที
“ปัง” ทันทีที่สิ้นเสียง หมดของซงจุนฮ่าวนั้นหยุดอยู่กับที่กลางอากาศ ซูจิ้งได้ยื่นมือของตัวเองไปจับหมัดนั้นอย่างรวดเร็วนี่ทำให้ซงจุนฮ่าวนั้นหน้าถอดสีไปเล็กน้อย
มันพยายามที่จะดึงมือตัวเองออกมาจากมือของซูจิ้ง แต่นั่นทำให้มันรู้สึกได้ว่ามือตัวเองนั้นราวกับติดอยู่ในก้อนหินที่ต่อยทะลุเข้าไปจนยากจะดึงออก
มันได้จ้องมองซูจิ้งด้วยสายตาที่อาฆาตแต่ซูจิ้งนั้นหาได้สนใจมันไม่ ซูจิ้งกำลังมองดูโดยรอบราวกับกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง
“ทำไมกันว….”ซงจินฮ่าวที่ยังไม่ทันได้พูดจบดี ในตอนนี้มันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่เกิดขึ้นภายในร่างกายตัวเองที่เกิดจากความหวาดกลัว
มันนั้นถือตัวเองว่าได้ลูกพี่ที่สุดแสนจะมหัศจรรย์มาช่วยเหลือจนหลุดออกมาจากคุกจิตเวชได้ แถมยังมอบพลังเหนือมนุษย์ให้กับมันอีกจึงทำให้มันเข้าใจได้ว่าทำไมตัวเองนั้นจึงไม่สามารถสู้ซูจิ้งได้
และด้วยการที่ได้รับพลังเหนือมนุษย์มานี้นั้นทำให้มันมั่นใจได้ว่าตัวเองนั้นจะจัดการซูจิ้งได้เพราะพลังของมันนั้นทำได้แม้แตะทั่งตัดหินผาด้วยมือเปล่า มันเชื่อมั่นว่าตัวเองก็กลายเป็นพวกเหนือมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อมันฆ่าซูจิ้งได้และคอยติดตามลูกพี่ของมันไปเรื่อยๆล่ะก็ ไม่นานมันจะเป็นผู้ควบคุมโลกนี้อย่างแน่นอน และซูจิ้งจะเป็นเพียงก้อนหินที่มันจะได้ขึ้นไปเหยียบย่ำโลกใบนี้
อย่างไรก็ตาม เพียงหมัดเดียวนี้มันกลับบังเกิดความรู้สึกราวกับพึ่งจะปีนสวรรค์แต่กลับโดนถีบสู่นรกอเวจีในทันที หมัดที่สามารถผ่าหินผาได้แต่กลับโดนซูจิ้งจับเอาไว้โดยไม่สามารถขยับเลยแม้แต่น้อย ฉากนี้ช่างแตกต่างจากสิ่งที่มันนั้นจินตนาการไว้อย่างมาก
ในตอนนี้ซงจุนฮ่าวนั้นได้ตั้งฝ่ามือให้กลายเป็นมือดาบก่อนที่จะสับไปยังคอของซูจิ้งเพื่อที่จะพยายามดิ้นให้หลุดจากซูจิ้งให้จงได้
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งนั้นรวดเร็วกว่า เขาได้ต่อยสวนมือดาบของโอฉิงหยุนไปด้วยท่าทีธรรมดาแต่กลับแผงไว้ด้วยกลิ่นอายของกระบวนท่าที่หนึ่งในตำราวิถีมังกร ตราประทับมังกร
ทันทีที่สิ้นเสียงดังสนั่น อกของซงจุนฮ่าวนั้นยุบตัวลงราวกับโดนค้อนทุบ หลังของมันนั้นโค้งงอจนทำให้เสื้อที่อยู่ด้านหลังนั้นฉีกขาด ยังไม่ต้องพูดถึงสภาพในตอนนี้ที่มันนั้นโดนซัดกระเด็นจนจมฝังเข้าไปในกำแพงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซงจุ่นฮ่าวนั้นราวกับพึ่งเข้าใจได้ว่าตัวเองนั้นโดนต่อยอย่างรุนแรง มันได้พ่นเลือดออกมาคำโตพร้อมกับสายตาที่สับสนว่าเกิดอะไรขึ้น มันแข็งแกร่งขึ้นเพราะได้รับทักษะเหนือมนุษย์มาแล้วไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมซูจิ้งยังแข็งแกร่งกว่ามันได้อีกกัน
“…..ในเมื่อฉันหาไอ้เวรนั่นไม่เจอ….งั้นก็ขอฆ่าพวกแกเลยแล้วกัน” เมื่อสิ้นเสียง ซูจิ้งได้ก้าวเท้าอย่างหนักหน่วงจนเกิดแรงกระแทกมหาศาลและได้พุ่งเข้าใส่ชาวแอฟริกันในทันที
ชาวแอฟริกันที่เห็นดังนั้นทำได้เพียงแค่ตกใจจนหน้าถอดสีเท่านั้น และยังไม่ทันที่จะทำอะไรได้ ซูจิ้ง ก็ได้ตบลงไปบนชายโครงของชายคนนี้ไปหนึ่งที และทำให้ร่างกายของชายคนนี้โค้งงอราวกับกุ้งพร้อมรอยละลิ่วไปอีกคน
ในครั้งนี้ ซูจิ้งไม่ได้ใช้ทักษะพิเศษอะไรเลย เขาใช้เพียงพละกำลังที่มีพลังราวห้าพันกิโลเท่านั้น อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่รถบรรทุกสักคัน ในตอนนี้ซูจิ้งก็สามารถพลิกมันได้ด้วยมือเปล่า
เมื่อได้ลองดูแล้ว ซูจิ้งก็ไม่ยากจะเสียเวลาอีกต่อไป เขาได้ใช้ตราประทับมังกรใส่คนที่เหลือขนตกตายไปในทันที
หลังจากโอฉิงซงได้เห็นพวกพ้องของตัวเองบินลอยละลิ่วไปทั่วภายในเสี้ยววินั้นก็มีสีหน้าเป็นกังวล แต่ยังไม่ทันที่จะได้สติดี มันก็โดนแสตนด์สายฟ้ากระชากออกมาจากกำแพง และลากไปหาซูจิ้งในทันที
ในตอนนี้ในความคิดของมันนั้นมีเพียงหาวิธีเอาตัวรอดเท่านั้น มันรู้ดีว่าในครั้งนี้มันจบแล้วแต่ก็ยังต้องการจะดิ้นรนเฮือกสุดท้าย
แต่เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น โอฉิงซงก็พบว่าตัวเองมาอยู่ตรงหน้าของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่โอฉิงซงจะได้พูดหรือขัดขืนอะไร มันรู้สึกได้ว่าตัวเองนั้นกำลังรอยไปบนอากาศ พร้อมหัวสมองที่ขาวโพลน มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับมันบ้าง
ถึงแม้คนทั้งแปดนี้จะเหนือกว่าไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินอย่างมากและเรียกได้ว่าแกร่งสุดในโลกเลยก็ว่าได้ และพวกมันนั้นไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป แต่เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วนั้น คนเหล่านี้ไม่ได้ต่างไปจากขี้เล็บเลยจริงๆ
แกร๊ก แกร๊ก แกร๊ก
เสียงแปลกประหลาดราวกับเสียงโครงกระดูกในห้องทดลองวิทยาศาสตร์ได้ดังขึ้น เหล่าคนทั้งแปดในตอนนี้ที่ก่อนหน้านี้กระเด็นกระดอนไปทั่วพร้อมสภาพที่ไม่เหลือชิ้นดีนั้น อยู่ๆก็ได้ขยับรุกขึ้นยืนด้วยท่าทางที่แปลดประหลาดราวกับหนังซอมบี้ในวันวิปโยกเลยทีเดียว
เหล่ากรรมการและหน่วยรักษาความปลอดภัยที่พึ่งตื่นขึ้นมาเองนั้น อยู่ๆพวกเขาก็ขยับไม่ได้อีกครั้ง และเป็นอีกครั้งที่พวกเขามีอาการสั่นอย่างหนัก และในที่สุดวิญญาณก็ได้หลุดลอออกจากร่างไป
GGS:บทที่ 1150 ตัวตนที่แปลกประหลาด
“เกิดอะไรขึ้น” ซูจิ้งนั้นคิดว่าเพียงตนทำให้ทั้งแปดคนนี้บาดเจ็บจนลุกไม่ขึ้นก็น่าจะทำให้สถานการณ์คลี่คลายลงได้แล้ว
เขาไม่คิดว่าคนพวกนี้จะลุกขึ้นมาได้อีกแถมยังปล่อยกลิ่นไอปีศาจออกมาจากตัวได้มากมายขนาดนี้ อีกทั้งวิญญาณของผู้ชมโดยรอบยังถูกดึงไปแบบนี้ย่อมมีความเกี่ยวข้องกันเป็นแน่
“ดูเหมือนไอ้แปดตัวนี้จะไม่ใช่มนุษย์แล้วสินะ” ซูจิ้งในตอนนี้ไม่มีท่าทีจะอ่อนข้ออีกแต่อย่างใด เขาเชื่อว่าซงจุนฮ่าวและโอฉิงซงนั้นแค่ต้องการจะแก้แค้นเขาเท่านั้น พวกมันไม่ทางจะรู้เลยว่าตัวเองถูกเปลี่ยนเป็นตัวอะไรไปแล้ว
ซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และอีกหกคนในตอนนี้เองก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกตินี้ นั่นก็เพราะทั้งหมดนั้นหลังจากได้รับบาดเจ็บเจียนตายมาขนาดนี้แต่กลับยังสามารถลุกขึ้นยืนมาได้อีก พวกมันนั้นไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดอีกต่อไป ไม่สิ แม้แต่ร่างกายของตัวเองยังไม่มีความรู้สึกว่าควบคุมได้เลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะทุกร่างได้เคลื่อนที่เข้าไปโจมตีซูจิ้งทั้งๆที่ตัวพวกมันนั้นไม่ได้มีความรู้สึกอยากจะโจมตีต่อเลยแม้แต่น้อย
คราวนี้เอง ซูจิ้งก็ไม่ได้มีท่าทียั้งมือแต่อย่างใด เขาเข้าเผชิญหน้ากับชายชาวแอฟริกาอีกครั้งเขาได้ปลดปล่อยตราประทับมังกรออกมาแล้วทำการขับเคลื่อนตราประเทศด้วยพลังภายในราชันย์แห่งสายน้ำ
ท่านี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อกระดูกทั่วทั้งร่างให้แตกหักแล้ว อวัยวะทั้งหกนั้นโดนโจมตีจนแหลกเลอะ
ซูจิ้งได้ตรงเข้าไปยังชาวแอฟริกันอีกคนหนึ่งพร้อมทั้งโจมตีด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว แต่ในตอนนั้นเอง ก็ได้มีไอปีศาจสายหนึ่งออกมาจากอกของซงจุนฮ่าวลอยเข้าไปคว้าเหรียญตราเทวฑูตที่แควนอยู่กับคอของซูจิ้ง
“ออกมาสักที” ซูจิ้งนั้นแม้จะมีใบหน้ากระตุกไปเล็กน้อยแต่นั่นก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขามากนักเพราะเขาได้เตรียมตัวไว้ก่อนอยู่แล้ว เขาจะไม่ยอมให้ร่างเงาดำนี่หนีไปได้อีกต่อไป ไม่สิ ต้องบอกว่าไม่มีโอกาสแม้แต่จะถอยหนี
ก่อนที่ไอปีศาจนี้จะคว้าถึงเหรียญตราได้ จิตวิญญาณมังกรดวงใหญ่ยักษ์ก็ได้ปรากฏกายเบื้องหลังของซูจิ้ง มันส่งเสียงคำรามออกมาพร้อมทั้งคลื่นพลังแห่งมังกรฟ้าได้กระจายยออกไปทั่ว นี่ส่งผลต่อมือไอปีศาจนี้ในทันที
“ตู้มมมม”
มือไอปีศาจได้ระเบิดออกพร้อมทั้งปรากฎเสียงกรีดร้อนอันแสนเย็นยะเยือกและแสนเจ็บปวดที่เพียงได้ยินก็แทบจะเจ็บปวดตาม ร่างกายของชายชาวแอฟริกาได้เกิดการระเบิดและมีบางสิ่งกระเด็นลอยออกไปไกลในทันที
“หืม…ร่างเงาดำนั่นซ่อนอยู่ในไอ้ยักษ์นั่นงั้นเหรอ” ซูจิ้งไม่ได้สนใจคนอื่นอีกต่อไป เขาวิ่งไปยังร่างของชายร่างยักษ์ที่ระเบิดลอยไปเมื่อครู่นี้ แต่ซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และคนที่เหลือก็พยายามจะเข้ามาขวางทางเอาไว้
ซูจิ้งนั้นไม่คิดที่จะเสียเวลากับคนพวกนี้อีกต่อไป ดั่งสุภาษิตที่ว่าจับโจรต้องจับหัวหน้าให้ได้ก่อน หากเขาต้องมายุ่งกับลูกกระจ๊อกพวกนี้อยู่อีก แน่นอนว่าร่างเงาดำต้องหนีไปได้อีกครั้งอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ทั้งแปดคนในตอนนี้ต่างก็พุ่งเข้าหาเพื่อหยุดยั้งซูจิ้งพร้อมกับไอปีศาจที่ลอยออกมาจากมือจนเห็นได้อย่างชัดเจน
“แม่…เอ๊ย” ซูจิ้งนั้นหน้าเปลี่ยนสีไปอีกเล็กน้อย เขาได้ใช้งานมังกรคำรามอีกครั้งพร้อมทั้งพุ่งตัวหลบและป่ายปัดมือที่อาบเอาไว้ด้วยไอปีศาจอย่างรวดเร็ว
เขานั้นสามารถหลับและปัดมือปีศาจที่พุ่งโจมตีมาหาเขาได้เกือบทั้งหมด แต่ก็ได้มีฝ่ามือหนึ่งเข้ามาจับแขนซูจิ้งจนได้ มือนี้ได้เผาไหม้แขนซูจิ้งจนต้องรู้สึกเจ็บปวด เมื่อซูจิ้งสลัดหลุดและหันไปดูก็พบรอยแผลเป็นสามรอยบนแขนของเขา มันลึกเข้าไปจนเห็นกระดูกราวกับว่าเนื้อของเขานั้นได้ละลายหายไป โดยรอบแผลนั้นมีสีดำทมิฬแม้เลือดที่ไหลออกมาก็ยังกลายเป็นสีดำ
โชคยังดีที่เหรียญตราเทวทูตนั้นยังคงทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี รอยไอปีศาจที่หลงเหลือไว้บนบาดแผลได้หายไปอย่างรวดเร็ว
ซูจิ้งเอง ในตอนนี้เขาได้สังเกตเห็นแล้วว่าในตอนนี้ฝ่ามือไอปีศาจของทั้งแปดคนนั้นได้จางหายไปแล้ว นี่เป็นผลของลำแสงชำระล้างจากเหรียญตราเทวฑูตเมื่อครู่นี้
ซูจิ้งจึงได้หยิบยารักษาชีวิตที่ได้ออกมาจากห้วงเวลาจูเซียนจากกระเป๋ามิติในทันที และนี่ได้ทำให้รอยแผลทั้งหายไปในทันใด พร้อมกับความคิดหนึ่งที่กำลังวิเคราะห์อยู่ในจิตใต้สำนึกว่า “ร่างเงาดำนั่นใช้วิธีการใดกันแน่ในการหลับเลี่ยงลำแสงชำระล้างในร่างกายแปดคนนี้ได้
มีสักกี่ชีวิตที่ต้องสังเวยให้กับร่างเงาดำนี้ไปแล้วกัน และไม่ใช่ว่าฉันต้องทำลายล้างทั้งแปดคนนี้ให้สิ้นซากเลยรึเปล่า แต่ที่แน่ๆร่างเงาดำนั่นสมควรจะอยู่ที่นี่แล้ว”
ซูจิ้งนั้นได้คิดอะไรบางอย่างก่อนที่จะส่งควบคิดเข้าไปควบคุมเหรียญตราเทวทูตอีกครั้ง เหรียญตรานี้มีคุณสมบัติอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการป้องกันร่างกายของผู้สวมใส่ด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ อีกหนึ่งคือการปลดปล่อยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อชำระล้าง
ลำแสงนี้แน่นอนว่าหากยิ่งไกลออกปล่อยย่อมมีฤทธาที่ลดน้อยถอยลง แต่ในเมื่อร่างเงาดำนั่นอยู่ที่นี่…..ในเมื่อไอ้เวรนั่นไม่ต้องการให้ฉันใช้นักล่ะก็ ฉันจะคลุมที่นี่ด้วยลำแสงชำระล้างให้หมด
นี่ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างมาก เพราะขนาดมีลำแสงชำระล้างแพร่ออกไปซะขนาดนี้ร่างเงาดำนี่ยังเข้ามาใกล้ไดแถมยังเล็งโจมตีเหรียญตรานี้เอาไว้อีก
ต้องขอบคุณที่ตัวเขานั้นไหวตัวทันจึงได้ไล่ร่างเงาดำออกไปได้ หากเหรียญตรานี้โดนทำลายไปล่ะก็ โลกนี้คงถึงจุดจบเป็นแน่
“ก้ะกะก่ะ ไม่นึกเลยจริงๆว่าเด็กเวรแบบแกจะสามารถบ่มเพาะจิตวิญญาณมังกรได้ ดูเหมือนว่าผู้ไม่ตายผู้นี่จะดูแคลนเจ้าไปหน่อย ไอ้มนุษย์น่ารังเกียจ แกทำให้ฉันโกรธอีกแล้ว” ทั้งแปดคนในตอนนี้ต่างก็พูดออกมาด้วยคำพูดเดียวกันอย่างพร้อมเพรียงจนน่าขนหัวลุก ราวกับว่าพวกมันนั้นคือร่างเงาดำนั่นเสียเอง
ในขณะเดียวกันนี้ ซูจิ้งก็ได้พบกับเรื่องน่าแปลกใจ นั่นก็เพราะ เขาพบว่าชายร่างยักษ์ที่สมควรจะถูกเขาบดขยี้จนน่าจะตกตายไปเมื่อครู่นี้ได้ค่อยๆฟื้นคืนกลับมาเรียบร้อยและไม่มีทางเจ็บปวดเลยสักนิด ถึงแม้ว่าจะมีสภาพร่างกายที่พิกลพิการและหลงเหลือร่องรายบาดเจ็บอยู่บ้างก็ตาม
ในตอนนี้ซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และคนอื่นๆอีกสองคนได้วิ่งเข้าไปหาผู้ชมที่ยังตกค้างอยู่ แน่นอนว่าพวกมันนั้นต้องการฟื้นคืนร่างของตัวเองให้สมบูรณ์ด้วยการฆ่าผู้คน
ความจริงซูจิ้งนั้นต้องการที่จะดูเหมือนกันว่าไอ้เวรตะไลจะฟื้นฟูร่างกายอย่างไร แต่ประเด็นคือไอ้เวรตะไลซงจุ่นฮ่าวนั้นดันพุ่งเข้าไปหาผู้ชมชาวจีน แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นย่อมไม่ยินดี
อย่างไรก็ตาม คนที่เหลือในตอนนี้ได้มาพยายามหยุดซูจิ้งอย่างเต็มความสามารถพร้อมทั้งไอปีศาจที่กลับมาพวยพุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมไม่ใช่แค่เพียงบนเวทีเท่านั้น ในตอนนี้ซูจิ้งเห็นไอปีศาจจากพื้นที่รอบๆเรียบร้อยแล้ว
ผู้คนทั้งหลายในตอนนี้อยู่ในสภาพที่น่าอดสู พวกเขานั้นชักราวกับจ้าวเข้าทรงและโดนดูดวิญญาณออกไป
นี่แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ซูจิ้งเป็นคนกระทำแต่เป็นเงาดำนั่นกระทำ ในเมื่อซูจิ้งสามารถแพร่ขยายลำแสงชำระล้างออกไปได้ เงาดำนั่นจึงคิดตอบโต้ด้วยการปลดปล่อยคลื่นแห่งความตายออกไป
ในคราวนี้ซูจิ้งจึงเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมเงาดำนั่นถึงกล้าที่จะลงมือในที่นี้ ไม่ใช่ว่ามันไม่สนใจที่จะทำการอุกอาจต่อหน้าผู้คน แต่มันต้องการใช้พื้นที่ที่เต็มไปด้วยผู้คนเพื่อสูบวิญญาณให้ได้มากที่สุด มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่เหมาะสมกับการเป็นแหล่งอาหารของมันในตอนนี้
“กิ้ก่ะก่ะ ตอนนี้แกนั้นไม่เหลือชื่อเสียงแล้วล่ะม้างงงง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่ายิ่งแกมีชื่อเสียงมากเท่าไหร่แล้วลำแสงชำระล้างนั่นจะทรงพลังมากขึ้นเท่านั้นน่ะ
ข้ารู้วิธีการจัดการเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วไอ้เด็กเวรเอ๊ย แต่ที่ข้าไม่หยุดแกนั่นเป็นพระว่าฉันสามารถใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ได้ยังไงล่ะ ก้ะก่ะก่ะ คราวนี้แหล่ะ ข้าจะฟื้นฟูร่างกายกลับสู่จุดเดิมอีกครั้ง และแก ไม่สิ เมื่อแกตกตายไป โลกนี้ก็จะกลายเป็นของข้า….ก้ะกะก่ะ” ร่างเงาดำได้หัวเราออกมาด้วยนำเสียงแห่งความสุขแต่เยือกเย็นอย่างน่าขนลุก
“ก็ยังไม่รู้หรอกนะว่าใครจะตายก่อนกัน” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมทั้งกางมือออก ในตอนนี้กระบี่บินจำนวนหนึ่งได้ปรากฏออกมาท่ามกลางอากาศ ทุกเล่มล้วนแล้วแต่มีสีแดงฉาน
กระบี่พวกนี้นั้นไม่ใช่กระบี่ธรรมดาแต่อย่างใด แต่กระบี่เหล่านี้คือกระบี่บินที่มาจากต้นประกายแดงเพลิง ต้นประกายแดงเพลิงนั้นเป็นต้นไม้ที่ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
ในตอนนี้พวกมันได้สูงเกินกว่าสามถึงสี่เมตรไปแล้ว นี่คือผลพวงจากการที่ซูจิ้งนั้นได้บ่มเพราะต้นไม้นี้จากดินจอมเขมือบและหัวกะโหลกเร่งเวลา
ด้วยการที่ต้นไม้นี้นั่นเติบโตในสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมทำให้มันนั้นเติบโตได้ไม่ดีนัก แต่หลังจากทดลองนำต้นประกายแดงเพลิงนี้ไปไว้ในรังนก นี่ทำให้ต้นไม้นี้เติมโตจนทำให้เขานั้นสามารถนำมาใช้ทำกระบี่เหล่านี้ได้ในที่สุด
ซูจิ้งได้โบกมือของตัวเองไปเล็กน้อย กระบี่สามเล่มได้แหวกอากาศทะยานฝ่าฝูงงชนและปักเข้าไปที่ร่างของซงจุนฮ่าวที่เตรียมจะกัดผู้ชมชาวจีนในทันที
GGS:บทที่ 1151 ต่อสู้
ชิ่วววว……วิ่ววววววิวววววว
กระบี่บินทั้งสามได้พุ่งผ่านแหวกอากาศด้วยความเร็วจนเกิดเสียงที่แปลกหู นี่ทำให้ซงจุนฮ่าวอดที่จะหันไปหาที่มาของเสียงไม่ได้ ทันทีที่มันหันไปดูก็ต้องชะงักนิ่งไป มันรู้สึกเป็นบ้าเป็นหลังขึ้นมาในทันที
“แก….เป็นแกเหรอ”
ซงจุนฮ่าวนั้นจำได้ดี เมื่อเกือบสองปีที่แล้ว มัน หวังหยาน ถังเสี่ยวหยูและถังยี่ถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ ในตอนนั้นมีตำรวจและชายที่น่าอัศจรรย์พันลึกคนหนึ่งได้เข้าช่วยเหลือคนทั้งหมด
ในภายหลัง ถังเสี่ยวหยูได้เรียกชายคนนี้ว่า “จอมยุทธ์มีดบิน(ลี้คิมฮวง)” เพราะว่าเธอเห็นชายคนนี้บังคับมีดบินให้ลอยไปมากลางอากาศได้
ในตอนแรกนั้น มันและหวังหยาน ถังเสี่ยวหยู และถังยี่ต่างก็พยายามที่จะหาตัวจริงของจอมยุทธ์มีดบินคนนี้เพื่อที่จะทำการขอบคุณและต้องการดึงมาเป็นบอดี้การ์ดส่วนตัว หากว่าได้คนที่มีความสสามารถขนาดนี้มาเป็นบอดี้การ์ดล่ะก็ เขาจะไม่ต้องกลัวใครอีก
แต่ไม่เพียงจะไม่เจอตัวเป็นๆเท่านั้น แม้แต่ตำรวจเองก็ยังสืบไม่พบอะไรเลยด้วยซ้ำไป
มาคราวนี้เมื่อซงจุนฮ่าวได้เห็นมีดบินเหล่านี้ในอากาศเขาก็จดจำเรื่องนี้ได้ในทันที คนที่มีทักษะแบบนี้ในโลกนี้คงไม่มีดาดดื่นอย่างแน่นอน
หากเป็นคนทั่วไปนั้นเมื่อเจอเหตุการณ์แบบนี้ล่ะก็คงจะรู้สึกสำเนียกสำอายและสำนึกผิดในสิ่งที่ตัวเองกระทำลงไปอยู่บ้าง เพราะยังไงซะ ซูจิ้งก็ถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยชีวิต
แต่กับคนอย่างซงจุนฮ่าวแล้วนั้น นี่เปรียบได้ดั่งเติมเชื้อไฟให้กับความโกรธเกรี้ยวของคน เป็นเพราะมันพี่นี้นั้นได้นึกไปว่าที่ซูจิ้งไปช่วยทุกคนในเหตุการณ์ในครั้งนั้นเป็นเพราะต้องการช่วยหวังหยานเอาไว้เท่านั้น ถึงแม้ซูจิ้งกับหวังหยันในตอนนั้นจะไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว แต่เพราะเรื่องนี้ทำให้หวังหยานยังคงจดจำซูจิ้งได้ฝังใจและไม่มีพื้นที่ในหัวใจให้เขาได้แทรกแทรง
“อั้กกกกก…….” ซงจุนฮ่าวที่ตกอยู่ในภาวะเลือดขึ้นหน้านั้นได้ใช้มือที่เต็มเปี่ยมไปด้วยไอปีศาจเข้มข้นรับการโจมตีกระบี่บินทั้งสามในทันทีหมายที่จะใช้มือบดขยี้กระบี่บินทั้งสามให้แหลกเป็นจุล
ร่างเงาดำนี้รู้ดีว่าซูจิ้งสามารถใช้มีดบินได้ มันจึงได้ฝึกฝนคนทั้งแปดให้รับมือมีดบินเอาไว้แล้ว หากเป็นไอปีศาจที่เข้มข้นเหล่านี้ล่ะก็ ต่อให้เป็นกระบี่แต่ก็มากพอที่จะทำลายลงได้ แม้ว่าอาจได้รับบาดเจ็บไปบ้างแต่นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับได้แล้ว
อย่างไรก็ตาม กระบี่ทั้งสามนี้หาใช่กระบี่บินธรรมดาไม่
ถึงแม้ในหัวซงจุนฮ่าวนั้นจะนึกถึงภาพของกระบี่บินทั้งสามที่แหลกลาญภายใต้มือตัวเองอย่างแจ่มชัดขนาดไหนก็ตาม มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ไอปีศาจที่มันปล่อยออกไปนั้นไม่ได้สะกิดผิวของตัวกระบี่เลยด้วยซ้ำ
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับเป็นฝ่ามือของมันที่แยกออกและผ่าขึ้นมาจนถึงหัวไหล่ และกระบี่นั้นหมุนควงตัวเองตัดทั้งแขนและบ่าของซงจุนฮ่าวออกไปอย่างง่ายดาย
ส่วนกระบี่อีกสองเล่มนั้น หนึ่งได้ตัดหัวของซงจุนฮ่าว อีกหนึ่งได้ตัดขาของซงจุนฮ่าวทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
ที่กระบี่บินสามารถตัดเฉือนเนื้อได้ง่ายดายขนาดนี้นั้นเหตุหนึ่งมาจากการที่พลังจิตของซูจิ้ง ในตอนนี้พลังจิตของซูจิ้งนั้นสามารถปล่อยพลังทำลายได้มากกว่า 1,500 กิโลกรัม นี่ย่อมส่งผลต่อความเร็วในการควบคุมกระบี่บินไปโดยปริยาย ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังสามารถควบคุมกระบี่นี้ได้อย่างแม่นยำ และเสถียรได้กว่าตอนที่เกิดเหตุลักพาตัวชนิดที่เรียกว่าคนละระดับกันเลยทีเดียว
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่ากระบี่นี้ทำมาจากต้นประกายแดงเพลิงซึ่งเป็นวัสดุในการทำกระบี่บินที่ดีที่สุดในห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ
ต้นไม้นี้เป็นวัสดุที่มีความแข็งแกร่งกว่าเหล็กและทองแดงทั่วไปนับร้อยเท่า แถมยังเป็นต้นที่แฝงไว้ด้วยเปลวไฟศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่ามันนั้นมีอำนาจในการต่อต้านและกำหราบมารร้ายหรือกับสิ่งไม่ดีทั้งหลายนั่นเอง
ซงจุ่นฮ่าวที่ใช้มือเปล่าของตัวเองพยายามหยุดกระบี่นี้โดยตรงนั้นย่อมไม่ต่างจากการรนหาที่ตาย
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าซงจุนฮ่าวในตอนนี้จะถูกตัดหัวจนขาด ร่างกายที่ไร้หัวไร้แขนหนึ่งข้างไร้ขาสองข้างก็ยังคงขยับไปมาราวกับไม่รู้ตัวว่าตายเลยด้วยซ้ำ
ชายแอฟริการ่างยักษ์เองที่เห็นก็ได้พุ่งเข้าซงจุนฮ่าวเพื่อทำการป้องกัน ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นไหนๆก็เสียเวลาแล้วก็ไม่คิดจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านเลยไปแต่อย่างใด เขาได้ปล่อยกระบี่ออกไปอีกแปดเล่มและทำการสับร่างของซงจุนฮ่าวจนกลายเป็นชื้นเล็กๆกระเด็นกระดอนกระจายทั่วไปหมด
“ระยำ..” ร่างเงาดำกล่าวสบถออกมาด้วยเสียงที่เย็นยะเยียบ มันนั้นคิดว่าตัวเองนั้นรู้จักซูจิ้งถ่องแท้แล้วจึงได้คิดแผนการทั้งสองขึ้นมา หนึ่งคือวิธีการรับมือมีดบิน อีกหนึ่งคือวิธีการรับมืออาณาเขตชำระล้าง จนคิดว่าทำให้ตัวมันเป็นต่อซูจิ้งได้แล้วแถมหากสำเร็จจะทำให้ตัวมันนั้นฟื้นฟูสภาพวิญญาณให้กลับคืนดังเดิมได้
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นนี้หากซูจิ้งโจมตีด้วยวิธีปกติแล้วนั้น ต่อให้ร่างกายของทั้งแปดคนนี้แหลกเละขนาดไหนก็ยังฟื้นคืนสภาพเดิมได้ไม่ว่าจะกี่ครั้งก็ตาม
แต่กับการโดนตัดชิ้นส่วนใดๆไปนี้ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่เพียงจะต้องใช้เวลาในการฟื้นคืนเท่านั้น เมื่อโดนหั่นเละไม่ต่างจากหมูในโรงเชือดขนาดนี้จะฟื้นคืนร่างกายโดยเร็วได้ยังไง
แถมหากว่ามันดึงพลังกับมาในตอนนี้ล่ะก็จะต้องถูกลำแสงชำระล้างโดยตรง ต่อให้ไม่ถึงกับโดนชำระล้างไปทั้งหมดแต่ก็ต้องเสียหายอย่างหนักอยู่ดี
“….ชิ คืนกลับบบบ” เพียงสิ้นเสียงอันเย็นยะเยียบของร่างเงาดำ ไอปีศาจก็ได้พวยพุ่งออกมาจากเศษเนื้อเหล่านั้น ขนาดซูจิ้งที่มีมีดบินและได้รับการป้องกันจากแสงศักดิ์สิทธ์เองก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งไปเล็กน้อย
แน่นอนว่าไอปีศาจเหล่านั้นล้วนถูกลำแสงชำระล้างอาบไปทั่วจนจางหายไป
แต่ดวงตาของซูจิ้งนั้นไม่ได้มีท่าทีจะผ่อนคลายลงแต่อย่างใด เขานั้นในตอนนี้จ้องมองไปยังก้อนสีดำทั้งแปดที่น่าจะเป็นร่างกายของทั้งแปดคนเอาไว้ ก่อนที่จะมีไอปีศาจรูปมือลากก้อนทั้งแปดไปบนอากาศและทะลุหลังคาลอยออกไป
พวกมันทั้งแปดได้ดูดซับกลิ่นไอแห่งปีศาจอย่างเต็มสูบจนทำให้ค่อยกลับมาสู่สภาพเดิมอย่างรวดเร็ว แขนขาต่างๆในตอนนี้ได้เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนบังเกิดเสียงกร๊อบแกร็บดังลั่นอย่างน่าขนลุก
แต่กับซงจุนฮ่าวและชายร่างยักษ์สองคนนั้นถึงแม้จะยังฟื้นคืนร่างกายได้แต่เหมือนจะช้ากว่าร่างอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“…ดูเหมือนว่าไอ้แปดตัวนนี้จะไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว ไม่เพียงวิญญาณเท่านั้น แม้แต่ร่างกายก็คงจะเต็มเปี่ยมไปด้วยไอปีศาจเรียบร้อยแล้วจึงไม่ได้เจ็บปวดแต่อย่างใดยามโดนโจมตี
….ดูเหมือนว่าต่อให้ทำลายไปกี่ครั้งก็ยังคงกลับมาได้ใหม่อยู่สินะ หึหึหึ ซงจุนฮ่าวหนอซงจุนฮ่าว อ้อ ยังมีโอฉิงซงอีกคน พวกแกนี่น้าคิดว่าตัวเองได้ขึ้นสวรรค์ชั้นฟ้า คงไม่คิดสินะว่าจะต้องกลายเป็นวิญญาณเหลือเดนแบบนี้” ซูจิ้งคิดออกมาก่อนที่จะเหยียบกระบี่เล่มหนึ่งและบินตามขึ้นไปก่อนที่จะขึ้นปืนอยู่บนหลังคา
ตัวเขานั้นในตอนนี้ไม่ได้เกรงกลัวที่จะมีคนเห็นแต่อย่างใด เพราะในตอนนี้ ไม่ว่าจะปิดบังอีท่าไหนก็ตามแต่กับพื้นที่ที่เต็มไปด้วยตึกสูงระฟ้าขนาดนี้ยังก็จะต้องมีคนเห็น
แต่ที่เขากลัวนั้นก็คือการถูกสนใจจนถูกมุงดูมากกว่า หากเป็นแบบนั้นจริงคงจะกลายเป็นเรื่องแย่มากกว่าเดิม
แต่ที่สำคัญกว่าเหนือสิ่งอื่นใดก็คือเขานั้นไม่อยากจะสูญเสียพลังงานไปกับการควบคุมกระบี่เพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำอะไร
การต่อสู้โดยที่เขานั้นไม่ต้องบินแบบนี้จะเรียกว่าสามารถตอบโจทย์ให้เขาได้หลายอย่างมากกว่าก็ได้เหมือนกัน
ซูจิ้งในตอนนี้ได้บังคับกระบี่บินหกเล่มให้พุ่งตรงไปยังก้อนสีดำแปดก้อนที่กำลังลอยจากไป ร่างทั้งแปดนี้นอกจากจะใช้ไอปีศาจในการฟื้นคืนร่างกายแล้ว พวกมันยังใช้ในการป้องกันตัวเองได้อีกด้วย
โดยซูจิ้งเห็นได้ชัดเจนจากการที่ก้อนทั้งแปดนี้มีมือที่เป็นไอมารสีดำได้ปัดป้องมีบินของซูจิ้ง และนี่สมควรจะเป็นไอมารของร่างเงาดำหาใช่ของร่างทั้งแปดนี้ไม่ นั่นก็เพราะพวกมันสามารถป้องกันการโจมตีจากระบี่ของซูจิ้งได้
อย่างไรก็ตาม ในทุกๆครั้งที่มือไอมารเหล่านี้ปรากฏออกมา พวกมันได้รับความเสียหายจากลำแสงชำระช้างในทุกๆครั้งไปจนก่อเกิดควันที่ลอบโชยออกมา นี่ยิ่งแสดงให้เห็นว่าร่างเงาดำนั่นสมควรจะไม่กล้าปรากฎตัวออกมาโดยง่ายอย่างแน่นอน
ภายใต้การควบคุมของซูจิ้งนั้น กระบี่บินทั้งสี่เล่มนี้มีความเร็วไม่ต่างไปจากสายฟ้าแปดสาย พวกมันกระหน่ำซัดไปยังก้อนสีดำทั้งแปดอย่างไม่ขาดสาย ในตอนนี้กระบี่ทั้งแปดได้เข้าถึงก้อนสีดำจนไปตัดแขนขาต่างๆจนเริ่มมีชิ้นส่วนหลุดล่วงมาบ้างแล้ว
ในที่สุดร่างทั้งแปดก็ได้ร่วงลงสู่พื้นดิน แต่นี่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งพวกมันได้ พวกมันได้แฝงตัวเข้าไปในฝูงชนบนท้องถนน พวกมันคิดว่านี่จะทำให้ซูจิ้งนั้นไม่กล้าวางยาฆ่าหนูท่ามกลางดงสัตว์เลี้ยงได้ แถมนี่ยังทำให้พวกมันก็ยังคงฟื้นฟูร่างกายตัวเองจากพลังหยางของผู้คนโดยรอบได้อยู่ดี สำหรับพวกมันแล้วนี่เรียกได้ว่าสุดยอดแผนการเลยทีเดียว
อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งไม่ได้มีความคิดที่จะลดละในการกำจัดร่างทั้งแปดนี้แต่อย่างใด
ต่อให้ใจเขานั้นไม่อยากจะสังหารบริสุทธิ์มากมายขนาดไหนก็ตาม แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้แล้วนั้นไม่ว่าจะหลีกเลี่ยงยังไงก็คงจะเลี่ยงไม่พ้นอีกแล้ว
เขารู้ดีว่าหากเขายังคงทำตัวเป็นคนจิตใจดีงามล่ะก็ไม่มีทางเลยที่จะจัดการร่างเงาดำได้อย่างแน่นอน
อีกอย่าง
ยังไงซะคนเหล่านี้ก็โดนกาหัวว่าต้องตายอยู่แล้วเพื่อจะได้เปลี่ยนเป็นพลังปีศาจให้กับไอ้เวรตะไลพวกนั้น หากไม่ยอมเสียสละคนพวกนี้ไปล่ะก็เกรงว่าโลกนี้คงบรรลัยจักรเป็นแน่
“โว้ เกิดอะไรขึ้นกันวะนั่น”
“ฉันได้ยินแค่ว่าที่นั่นเกิดเรื่องนะ แต่ไม่นึกว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น พระเจ้าช่วย”
“กระบี่บิน กระบี่บินในตำนานนั่นน่ะเหรอ”
“ทำไมแปดคนนั้นบินได้กันล่ะ”(คนธรรมดาไม่เห็นไอปีศาจ)
ที่บนตึกต่างๆในตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นระยะไกลก็ตามแต่นั่นไม่ได้ช่วยลดทอนความตกตะลึงลงไปเลยแม้แต่น้อย
บางคนนั้นตกตะลึงจนอึ้งทำอะไรไม่ถูก บ้างก็รู้สึกได้ถึงลางร้าย บ้างก็นิ่งจนเป็นลมล้มพับไป บางคนต่างก็ให้ความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นว่าคืออะไรกันแน่
บางคนต้องการจะรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่จนต้องนำกล้องมือถือมาส่องดูใกล้ๆ บางคนถ่ายรูป บางคนถ่ายเป็นวิดีโอเอาไว้แม้เพียงเสี้ยววิก็ยังดี
และนี่ทำให้วิดีโอและภาพเหตุการณ์ต่างๆ เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วบนโลกอินเตอร์เน็ต
แม้แต่ชาวเน็ตจีนก็ไม่เว้น
“โอ้ แม่ จ้าวววว กระบี่บิน พี่จิ้งขี่กระบี่บินได้ด้วย”
“นี่….บนโลกใบนี้ยังมีคนที่ทำได้ดั่งตำนานเหล่านั้นได้จริงๆเหรอ”
“แล้วคนที่ดูชั่วร้ายเหล่านั้นเป็นใครกัน พระเจ้า ดูนั่นสิ พวกนั้นกระโดดเข้าไปกัดคอคนด้วย เฮ้ยยย คนที่โดนกัดนั่นโดนดูดเลือดจนเหลือแต่ซากเลยยยย….”
“นี่เกิดเรื่องขนาดนี้คนยังไม่มีใครคิดทำอะไรอีกเหรอ”
ทั่วทั้งโลกในตอนนี้นั้นต่างก็เกิดความโกลาหลไปทั่วเมื่อเห็นฉากนี้ งานกีฬาโอลิมปิคในตอนนี้แน่นอนว่าต้องล่มเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ให้ไม่ล่มเพราะฉากนี้ก็ล่มตั้งแต่ตอนที่เกิดฉากนองเลือดภายในงานก่อนหน้านี้อยู่แล้ว
GGS:บทที่ 1152 สถานถูกเปิดเผย
“ข่าวใหญ่…ข่าวหย่ายยยย….”
ณ โรงเรียกมัธยมที่หนึ่งเมืองจงหยุน ณ ห้องเรียนแห่งหนึ่ง ในตอนนี้นักเรียกกำลังสงเสียงเอะอะกันอย่างตื่นเต้น เป็นเพราะว่าเด็กๆเหล่านี้ได้เห็นวิดีโอหนึ่งในอินเตอร์เน็ต ทำให้ทุกคนนั้นไม่อาจดูกันเฉยๆได้
“พระเจ้าเถอะ กระบี่บิน”
“พี่ของหยาน้อยจะน่ากลัวไปถึงไหนเนี่ย”
“ไอ้แปดคนนั่นแค่ดูจากไกลๆก็รู้เลยว่าตัวอันตรายชัดๆ”
ถังเสี่ยวหยูจ้องมองด้วยสายตาที่เบิกกว้าง เธอนั้นทั้งหวั่นไหวและตื่นเต้น ที่เธอหวั่นไหวนั้นเป็นเพราะว่ากลัวว่าซูจิ้งต้องได้รับอันตราย แต่ที่เธอตื่นเต้นนั้นเป็นเพราะได้เห็นกระบี่บินของซูจิ้ง
ฉากที่เห็นทำให้เธอพลันนึกถึงชายปริศนาที่เคยช่วยเธอไว้มาก่อน เธอเองก็เคยนึกว่าเป็นซูจิ้งเหมือนกันแต่ก็ไม่มีอะไรยืนยันได้ แต่นี่แทบจะกลายเป็นหลักฐานยืนยันได้ในทันที
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หวังเสี่ยวเคยให้ใบประกาศเกียรติคุณกับซูจิ้งอยู่เหมือนกันและนั่นทำให้เธอรู้ดีว่าซูจิ้งต้องไปทำอะไรที่สำคัญมาแน่ๆ แต่รายละเอียดเหล่านั้นไม่ได้รับการเปิดเผยทำให้เธอนั้นไม่แน่ใจ
ถึงเสี่ยวหยูรีบหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเพื่อโทรหาถังยี่พี่ชายของตนในทันที เธอถามออกไปด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่ พี่เห็นข่าวของพี่จิ้งแล้ว…”
“เห็นแล้ว ฉันว่าเขาต้องเป็นจอมยุทธมีดบินที่เคยช่วยพวกเราไว้อย่างแน่นอน คนแบบนี้ฉันคิดว่าคงมีเพียงหนึ่งไม่มีสองหรอก จะมีใครสักกี่คนที่สามารถบังคับอาวุธได้แบบนี้” ถึงยี่เองก็พูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
เหตุที่ตื่นเต้นนั้นเป็นเพราะ หนึ่ง เขารู้ตัวคนที่ช่วยชีวิตเขาสักที อีกหนึ่งก็คือฉากการไล่ล่าของซูจิ้งนี้ช่างน่าตื่นตะลึงราวกับกำลังดูหนังเลยทีเดียว
“…..” หวังซือหยาอึ้งกิมกี่ในทันทีที่เห็นข่าวนี้
“พี่จิ้งเป็นใครกันแน่เนี่ย” หยินหนิงหนิง เชิงชิเหยา โจวเสวี่ย และคนอื่นๆต่างก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขานั้นคือเทพเซียนในร่างมนุษย์ แต่คำพูดเหล่านั้นไม่ครั้งไหนที่จะเหมาะสมไปกว่าฉากนี้เลยสักนิด
ณ กลุ่มทุนห้วงเวลา หวังจ้าว เฉิงหนาน เว่ยเสี่ยวหยวนและคนอื่นๆเองต่างก็นิ่งกันไปนานโดยไม่พูดอะไรออกมาสักคำ
หวังจ้าวเองรู้สึกถึงภัยอันตรายในครั้งนี้จนอดเป็นห่วงไม่ได้และรู้ดีว่าตัวเขาเองก็ทำอะไรไม่ได้จึงรีบโทรไปยังปักกิ่งในทันที
หลังจากได้ยินและเห็นข่าวเดียวกันนี้ หวังซวนจี้ หวังจุ่น และหวังเจิ้งที่กลับไปอยู่ที่เมืองหลวงแล้วต่างก็นิ่งอึ้งไปนาน ทุกคนต่างรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแบบพวกเขาแต่ในครั้งนี้สมควรกับความตกตะลึงอย่างแท้จริง ทุกคนในที่นี้รู้สึกได้เลยว่ามุมมองของพวกเขาที่มีต่อโลกใบนี้ถึงคราวต้องาสั่นคลอนแล้ว
“คุณพระ นี่….ไม่ใช่หมายความว่าพี่จิ้งเป็นเทพเซียนหรอกเหรอ” ฉินซูหลานในตอนนี้แสดงท่าทีตื่นเต้นออกมาอย่างหยุดไม่อยู่ในทันทีที่เห็นข่าว
“ฉันรู้มาตั้งนานแล้วว่าพี่จิ้งนั้นไม่ใช่คนธรรมดา ความรู้สึกของฉันถูกต้องแล้วสินะ” หลิวฉิงเองที่เห็นข่าวนี้ก็รู้สึกได้ในทันทีว่าการได้พบและคบหาซูจิ้งนั้นเป็นพรประเสริฐในชีวิตย่างแท้จริง
ในตอนนี้ บรรยากาศในหมู่บ้านตระกูลซูนั้นต่างก็เริ่มรู้สึกหนึกอึ้ง ทุกคนต่างก็มารวมกันที่หอบรรพชนอย่างไม่ได้นัดหมายเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุผลก็เพราะซูจิ้งที่ตอนนี้เปรียบได้ดั่งผู้นำสูงสุดของตระกูลของพวกเขากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วง
“เซิ้นฮง นายติดต่อเซินเย่วได้รึเปล่า” หัวหน้าถามออกมาอย่างเป็นกังวล
“ติดต่อไม่ได้เลย” ซูเซินฮองตอบออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีแบบสุดๆ ในวิดีโอนี้ทุกคนนั้นได้เห็นเพียงซูจิ้งเท่านั้น พวกเขาไม่เห็นซูเซินเย่ว เย่ฉิง ซูหยา และฉือชิงที่ตามไปเชียร์ซูจิ้งเลยสักคน
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย” จ้าวเมิงเซียงได้กระทืบเท้าไปมาเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นในใจ ซูเหลี่ยง ซูเสี่ยวหลิน ซูฮู และคนอื่นๆที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้สนับสนุนซูจิ้งต่างก็รู้สึกไม่ต่างกันและพวกเขาก็ไม่สามารถด่วนตัดสินใจทำอะไรได้เลยสักอย่างเดียว
“อย่าพึ่งด่วนสรุปกันนะ ต่อให้เราติดต่อชิงชิงไมได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าลูกของเราจะตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้ายน่า” พ่อของฉือชิงพยายามปลอบฉือกวงหลูและภรรยาของตน ที่กำลังเป็นกังวลจนร้องไห้ออกมา
ถึงแม้ลูกเขยของเขาจัดการเรื่องราวต่างๆมาได้อย่างมากมาย ถึงแม้เขานั้นจะรู้สึกได้ว่าครั้งนี้เป็นซูจิ้งที่ทำให้ลูกสาวของเขาต้องตกอยู่ในอันตราย แต่เขาก็ยังต้องควบคุมไม่เรื่องราวทางฝั่งนี้เลยเถิดไป
น้องชายของฉือชิงหรือฉือหยุนที่ไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไรออกมามากนักกับพี่สาวของตน แต่เมื่อรู้สึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาคอเหมือนกัน
“อย่างเพิ่งกังวลไปเลย ฉันเชื่อว่าซูจิ้งต้องปกป้องพวกเขาไว้ได้” ซูเซินฮองพยายามปลอบประโลม แต่เขาก็รู้ว่านี่ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ นั่นก็เพราะฉากที่เกิดขึ้นนี้คือฉากแห่งความโกลาหลที่คนแปดคนไล่กัดผู้คนไปทั่วก็ตาม
นอกจากนั้น จูเจียนฮัว เป็งหมิง เสี่ยวรุย หลินฮ่าว ชิเล่ย และคนที่มีความสัมพันธ์อันดีกับซูจิ้งต่างตกอยู่ในอาการตกตะลึงและเป็นห่วงไม่ได้เมื่อได้เห็นข่าวนี้
ต่อให้ไม่รู้จักยังซะก็ต้องตกตะลึง โดยเฉพาะกับคนที่เคยอิจฉา ริษยา และขัดแย้งกับซูจิ้งทั้งมากและน้อย แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมานั้นก็คืออาการเหงื่อไหลเย็นยะเยียบฉโลมกาย
นั่นก็เพราะที่ผ่านมานั้นทุกคนต่างก็คิดว่าที่ซูจิ้งมีทุกวันนี้มาได้นั้นเป็นเพียงเพราะเขามีเงินมากมายล้นฟ้าเท่านั้น
เมื่อได้มาพบว่าคนที่ตนคอยหาเรื่องและเคยหาเรื่องมาในอดีตกลับมีความทรงพลังที่ไม่ธรรมดาเหนือคนทั่วไป
ทั้งๆที่หากเขาจะจัดการเรื่องราวต่างๆที่คนพวกนี้ก่อมาไม่ได้ต่างจากการฆ่ามดปลวกเลยแม้แต่น้อย
การกระทำของพวกเขาที่ผ่านมานั้นเปรียบได้ดั่งคอยสะกิดยมฑูตให้มาฆ่าตัวเองแท้ๆ จึงไม่แปลกที่คนพวกนี้จะตกอยู่ในอาการดังกล่าว
“เฮ้อออออ….. เป็นเรื่องใหญ่จริงๆสินะ” ณ กรมตำรวจ หวังเสี่ยวที่เห็นข่าวของซูจิ้งทำได้เพียงถอดถอนหายใจออกมา
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้พยายามปิดบังสถานะของซูจิ้งมาโดยตลอด มาถึงตอนนี้เขาคงทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เมื่อดูจากสถานการณ์แล้วและเมื่อได้เห็นว่าซูจิ้งนั้นยอมเปิดเผยตัวตนที่หลบซ่อนมานานแบบนี้ เขารู้ในทันทีว่าเรื่องนี้ต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ นี่เขาพบเจอเหตุการณ์อะไรจนต้องเปิดเผยตัวตนออกมากันเนี่ย
“ในระดับของพี่จิ้งบรรลุมาถึงขั้นนี้แล้วเหรอเนี่ย” เฉาเล่ยพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“อย่าได้ดีใจไป อาจิ้งดูเหมือนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายอย่างแท้จริงไม่อย่างนั้นเขาคงไม่เปิดเผยตัวออกมาอย่างแน่นอน ไอ้แปดตัวนั่นดูยังไงก็ไม่ใช่คนธรรมดาเป็นแน่” จ้าวหมิงพูดออกมาด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น
พวกเขานั้นเคยเห็นความวิเศษของซูจิ้งในตอนนี้จัดการกองโจรเกล็ดงูมาแล้วจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรับรู้ในตัวตนนี้ของซูจิ้ง
แต่เมื่อเห็นฉากนี้พวกเขานั้นก็อยากจะตกตะลึงและประหลาดใจเหมือนกัน แต่เมื่อรับรู้ถึงสถานการณ์แล้ว พวกเขานั้นต่างก็กังวลและอยากไปช่วยเสียมากกว่า แต่เมื่อคิดดูอีกทีพวกเขาก็เกรงว่าจะช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน พวกเขาคงทำอะไรไม่ได้เหมือนคนที่ตกตายแบบในวิดีโออย่างแน่นอน
ก่อนหน้านี้ได้มีวิดีโอสั้นๆปล่อยออกมา มันเป็นฉากที่หน่วยรักษาความปลอดภัยกำลังจะเข้าไปจัดการแปดคนนี้แต่ต้องตกตายไปในทันที คนเหล่านั้นสมควรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ต่างจากตนแต่ก็ต้องตกตายอย่างรวดเร็วแบบนั้น หากพวกเขาต้องเจอกับคนทั้งแปดคงทำไม่ได้แม้แต่ขยับตัวหนี
“คุณหวัง เกิดเรื่องขึ้นในงานแข่งโอลิมปิกค่ะ” ในสำนักงานแห่งหนึ่ง ผู้ช่วยสาวได้วิ่งเขามาหาหวังหยานด้วยท่าทีที่ร้อนลน
“หืม เรื่องใหญ่อะไรล่ะนั่น ก็แค่ซูจิ้งได้เหรียญทองอีกเหรียญรึเปล่า” หวังหยันนั้นเมื่อได้ยินก็ได้ละสายตาจากเอกสารพร้อมทั้งนวดขมับของตน
ก่อนหน้านี้ที่เธอกลับมาสนใจอีกครั้งนั้นเป็นเพราะว่าเธอต้องการจะรู้จริงๆว่าซูจิ้งจะไปได้ถึงไหนกันแน่ แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆเธอกลับต้องพบเจอเรื่องที่ต้องประหลาดใจซ้ำๆจนเริ่มชาชินแล้ว
นี่ทำให้เธอคิดว่าจะเลิกสนใจเรื่องของซูจิ้งอีก จึงมาจบลงที่การมานั่งอ่านเอกสารบนโต๊ะทำงานแบบนี้
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นเรื่องที่จะเรียกว่ามหัศจรรย์ก็ได้ ลองดูสิคะ” ผู้ช่วยได้ยื่นแท็บเล็ตให้หวังหยันดูอย่างรวดเร็ว
หวังหยานเองในตอนแรกเธอเพียงหรี่ตามองเท่านั้น แต่เมื่อได้เห็นฉากที่ปรากฎก็ทำให้ดวงตาของเธอเบิกโตในทันที
มันเป็นฉากที่ซูจิ้งนั้นเหยียบกระบี่ออกมาจากช่องบนหลังคา ก่อนที่เขาจะยืนอยู่บนหลังคาแล้วบังคับกระบี่ให้ถาโถมโจมตีร่างแปดร่าง ถึงแม้กระบี่ดูเหมือนจะโจมตีพลาดแต่กระบี่เหล่านั้นก็ไม่ได้ล่วงหล่นสู่พื้นแต่อย่างใด กระบี่ยังคงถาโถมทิ่มแทงศัตรูราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต
ฉากนี้ทำให้เธอนึกย้อนไปถึงคนบางคนที่ยังคงประทับใจเธอไม่เสื่อมคลาย คนๆนั้นก็คือจอมยุทธมีดบินที่เคยช่วยเธอเอาไว้จากเหตุการณ์ลักพาตัว
เธอนั้นใช้เวลาตามหาชายคนนี้เพื่อจะต้องการขอบคุณเป็นการส่วนตัวแต่สุดท้ายก็หาไม่พบว่าเป็นใคร ดูเหมือนว่าชายคนนั้นไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนจริงๆเธอจึงทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ไป เธอไม่เคยนึกเลยจริงๆว่าคนที่ยังประทับฝังใจเธอเสมอมาจะกลับกลายเป็นซูจิ้ง แฟนเก่าของเธอคนนี้
“เป็น…เป็นเขาเหรอ” หวังหยานนั้นเกิดอาการหัวใจเต้นแรงจนหมดเรี่ยวแรงและทรุดตัวไปบนของประดับในห้อง เมื่อเธอนึกย้อนความถึงเรื่องราวต่างๆที่เธอไม่เคยพบคำตอบแล้วแทนที่ด้วยตัวซูจิ้งทำให้สิ่งที่ข้างคาใจเธอนั้นกระจ่างชัดในทันที
ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนรักที่ถูกเธอถอดทิ้งไปทำให้เขานั้นไม่อยากเปิดเผยตัวตนแต่ทำเพียงช่วยเหลือเธอไว้อย่างลับๆ นี่ทำให้เธอเกิดคำถามใหม่ขึ้นมาในใจ
นั่นก็เพราะในตอนที่เกิดเรื่อง แม้ซูจิ้งจะเลิกกับเธอไปแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ได้คบกับฉือชิง แล้ว…..ทำไมเขาถึงไม่ยอมเผยตัวตนล่ะ นี่เขารังเกียจเธอขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเขาจะไปช่วยเธอทำไมกัน
หรือเพราะเรื่องในวันนั้นทำให้เขาไม่อยากจะคบกับเธอแล้วจริงๆ
GGS:บทที่ 1153 อีกตัวตนหนึ่ง
หลังจากวิดีโอเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานกีฬาโอลิมปิคได้เฟยแพร่ออกไปนั้น ในตอนนี้ ซูจิ้งยังคงต่อสู้อยู่กับร่างเงาดำและสมุนของมันอยู่
ในตอนนี้ญี่ปุ่นได้ส่งเฮลิคอปเตอร์จำนวนหนึ่งเพื่อเข้าไปคลี่คลายสถานการณ์
แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไร เหล่าคนขับก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างจากผู้ชมที่อยู่ในวิดีโอและทำให้พวกเขาไม่สามารถควบคุมเครื่องได้จนทำให้เฮลิคอปเตอร์ตกในย่านกลางเมืองไปทุกลำ นี่เรียกได้ว่าไม่ใช่การต่อสู้ของมนุษย์ไปแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่สามารถใช้อาวุธหนักอย่างจรวดหรือนิวเคลียได้เพราะต้องนึกถึงความปลอดภัยของประชาชนที่ยังอยู่ในพื้นที่เมืองโตเกียว
ไม่สิต่อให้อยากแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้ นั่นก็เพราะในช่วงเวลาโอลิมปิกแบบนี้ ผู้คนจากนานาประเทศต่างก็ไปรวมตัวกันที่นั่น หากญี่ปุ่นตัดสินใจใช้อาวุธนิวเคลียไปล่ะก็ ผู้คนทั้งโลกจะต้องคิดว่าประเทศญี่ปุ่นนั้นไร้ศักยภาพอย่างแน่นอนที่ต้องใช้ของขนาดนั้นเพียงเพื่อกำจัดคนแปดคนโดยไม่สนใจความปลอดภัยของคนประเทศอื่น และนี่จะเป็นการสั่นคลอนความมั่นคงในโลกใบนี้ในทันที
โดยเฉพาะในตอนนี้ ทุกคนได้เห็นอยู่ว่าซูจิ้งกำลังพยายามควบคุมสถานการณ์อย่างเต็มที่ หากทำเช่นนั้นจริง ประเทศญี่ปุ่นคงไม่พ้นการถูกลอยแพจากชาวโลกเป็นแน่
ชายร่างยักษ์ชาวแอฟริกันคนหนึ่งที่พึ่งตกลงมาและพยายามจะหาทางหนีต่อนั้นได้ถูกรุมล้อมด้วยกระบี่บินสามเล่มจนทำให้ร่างกายกระจายเป็นชิ้นๆลงไปกองกับพื้น
กับคนที่เหลืออีกเจ็ดคนนั้น โอฉิงซงและคนอื่นอีกสองคนที่เห็นฉากนี้ได้พุ่งเข้ามาเพื่อช่วยชายร่างยักษ์ในทันที แต่ซูจิ้งเองก็ได้รับรู้และมาถึงร่างชายคนนี้ก่อนแล้ว
ในตอนนี้เบื้องหน้าของชายร่างยักษ์คนนี้ มันต้องเห็นฉากการถาโถมโจมตีจากซูจิ้งอย่างบ้าคลั่งทั้งตราประทับมังกร ตราประทับเทพเซียน และตราประทับพระสูตร
ในร่างกายของชายร่างยักษ์คนนี้ ในตอนนี้ไม่เพียงแค่มือเงาดำจะปรากฎออกมาแล้ว แม้แต่ร่างเงาดำเองก็ยังต้องปรากฎออกมา จะเรียกว่าถูกบังคับให้ออกมาก็ว่าได้
ถึงแม้ก่อนหน้านี้ตราประทับมังกรจะทำได้เพียงเป็นการโจมตีโดนร่างเงาดำเท่านั้น แต่ในคราวนี้ซูจิ้งไม่เพียงใช้แต่ตราประทับมังกรเท่านั้น
เขายังประเคนทักษะศักดิ์สิทธิ์แทบจะทั้งหมดที่เขามีในคราวเดียว แต่ให้เป็นจอมปีศาจก็ยังต้องได้รับบาดเจ็บไม่น้อย นี่ยังไม่รวมกับที่ต้องพบเจอกับลำแสงชำระล้างในระยะเผาขนซึ่งถือได้ว่าทรงพลังแบบสุดๆ แน่นอนว่าประสิทธิภาพในการชำระล้างด้วยเช่นเดียวกัน
ด้วยการที่โดนพลังที่เปรียบได้ดั่งยาพิษชนิดเข้มข้นแบบนี้ ชิ้นส่วนของร่างเงาดำที่แฝงไว้ในร่าง ไม่สิต่อให้ร่างเงาดำอยากจะหาทางทำอะไรเป็นการตอบโต้ก็ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป
ในตอนนี้ร่างของชายร่างยักษ์ได้กลับกลายเป็นร่างเน่าและเปลี่ยนโคลนดำไปในที่สุด จากโคลนค่อยเปลี่ยนกลายเป็นไอดำและสลายหายไปและไม่อาจฟื้นคืนอีก
ร่างเงาดำเองในตอนนี้เมื่อเสียร่างให้สิงสู่แล้วมันได้กลายเป็นไอสีน้ำเงินลอยอยู่พร้อมกับส่งเสียงกรีดร้องเย็นยะเยือกจนได้ยินไปทั่ว
ทันทีที่มันต้องสติได้มันรีบพุ่งตรงไปยังโอฉิงซงที่กำลังวิ่งตรงมาทางนี้ในทันที
“ไอ้…ตัว…ตำ…บอน แก…กล้าดียังไงถึงทำลายชิ้นส่วนวิญญาณของข้า แก…กล้าดียังไงทำให้วิญญาณของข้าบาดเจ็บ…” ร่างเงาดำในตอนนี้โกรธจัดในทันทีเมื่อตนเองต้องบาดเจ็บและเริ่มรู้สึกได้แล้วว่าในตอนนี้มันหนีไปไหนไม่ได้อีกแล้ว
ก่อนหน้านี้มันนั้นคิดว่าเตรียมตัวมาดีแล้วและยังไงก็คิดว่าแผนการต้องสำเร็จแน่จึงเรียกที่จะตามมาดูผลงานใกล้ๆ เหตุที่มันต้องเร่งรีบก็ไม่แปลกอะไร นั่นก็เพราะนับวันพลังของแสงชำระล้างเองก็ยิ่งทรงพลังและขยายอาณาเขตไปมากขึ้นมันจึงไม่สามารถรอได้อีกต่อไป
ด้วยการที่ก่อนหน้านี้ มันไม่คิดว่าซูจิ้งจะพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว มันนั้นทั้งพยายามเก็บสะสมพลังงานหยาง ใช้คนที่เกี่ยวข้องกับมันเพื่อหลอกล่อให้ไขว้เขว ทั้งๆที่มันนั้นทำเรื่องตั้งมากมายแต่ซูจิ้งยังไม่สนใจทำให้มันคิดว่าซูจิ้งนั้นเกรงกลัวมันจนทำได้เพียงเพิ่มฤทธาแห่งเหรียญตราเทวฑูตเพื่อใช้แสงชำระล้างจัดการมันเท่านั้นมันจึงได้กล้าที่จะเข้ามาเพื่อทำลายความหวังสุดท้ายของซูจิ้งนี้ หากมันสามารถทำลายเหรียญตรานี้ได้ การฆ่าซูจิ้งต้องเป็นเรื่องง่ายๆอย่างแน่นอน
มันนั้นไม่คิดเลยจริงๆจะกลายเป็นว่าตัวเองต้องมาบาดเจ็บอย่างหนักอีกครั้ง มันรู้แล้วว่ามันไม่สามารถจัดการซูจิ้งได้อีกต่อไป
ต่อให้ชายทั้งหกคนนี้แข็งแกร่งยังไงแต่เมื่อต้องเจอกับซูจิ้งในตอนนี้แล้วแน่นอนว่ามีเพียงรอเวลาที่จะตกตายเท่านั้น ในครั้งนี้ร่างเงาดำจึงคิดจะเข้าสู้ด้วย
อย่างไรก็ตาม ทุกการกระทำของร่างเงาดำนั้นทำได้เพียงแค่พันแข้งพันขาซูจิ้งเอาไว้ได้เท่านั้นแต่นี่ก็มากพอที่จะเป็นการเปิดช่องในการโจมตีซูจิ้งได้
เมื่อเห็นดังนั้น หลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูแน่นอนว่าต้องเข้าร่วมสู้ด้วย ถึงแม้ก่อนหน้านี้ทั้งสองจะทำอะไรไม่ได้ก็ตาม แต่นั่นมันเป็นเพราะทั้งสองต่างคนต่างต่อสู้ในแบบของตน
แต่เมื่อต้องต่อสู้กับคนทั้งคู่ที่ร่วมมือกันแล้ว พลังอำนาจของคนทั้งสองกลับกลายเป็นสามารถสะกดข่มคนทั้งหกไว้ได้ทั้งๆที่มีร่างเงาดำคอยลอบโจมตีอยู่ก็ตาม
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ ชายร่างยักษ์ที่เหลือได้แสดงออกถึงความเกลียดชังอย่างที่สุด มันได้พุ่งเข้าไปจับตัวคนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่แล้วโยนเข้ามาในสนามรบเพื่อทำการก่อกวนในทันที บางคนก็ตกลงมากีดขวางการต่อสู้ บางคนก็ถูกกระบี่ของซูจิ้งฟันตกตาย บางคนก็ถูกหกคนที่เหลือกัดกิน เรียกได้ว่าเป็นฉากที่นองเลือดเลยทีเดียว
แน่นอนว่าด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดแบบนี้ส่งผลดีต่อฝั่งร่างเงาดำอย่างมาก ชายทั้งหกคนได้ทำการกัดกินและดูดเลือดเพื่อฟื้นฟูร่างกาย
และเมื่อนึกได้ว่าก่อนหน้านี้ซูจิ้งนั้นต้องการปกป้องคนชาติเดียวกัน ชายร่างยักษ์จึงได้ไปควานหาคนจีนและได้ทำการโยนลงมาเพื่อยั่วยุให้ซูจิ้งโกรธเลือดขึ้นหน้า จะได้เปิดโอกาสให้พวกมันได้เล่นงาน
เมื่อซูจิ้งเห็นดังนั้น ซูจิ้งไม่ได้สูญเสียความเยือกเย็นแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ชูแขนตัวเองราวกับให้สัญญาณบางอย่าง
ในตอนนั้นเองก็ได้บังเกิดเสียงๆหนึ่งแหวกอากาศออกไป เมื่อมองให้ถนัดตาก็พบว่ามันคือใยมองมุมที่มีขนาดใหญ่พอสมควร
ใยแมงมุมได้เข้าไปยึดร่างผู้คนกลางอากาศและดึงกลับเข้าไปยังที่ที่พวกมันพุ่งออกมา เมื่อมองไปยังต้นทางก็พบกับแมงมุมขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งได้ปรากฎตัวออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และในตอนนี้พวกมันกำลังช่วยผู้คนที่กำลังร่วงหล่นลงมา
“ฉือหลิน ฮิตู ป้องกันแมงมุมและช่วยเหลือพวกมัน อย่าให้ไอ้เวรนั่นโยนใครลงมาอีก หากมันยังโยนคนลงมาแบบนี้ไม่ดีต่อพวกเราเป็นแน่” ซูจิ้งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย
“ครับ” ทั้งหลัวฉือหลินและไป๋ฮิตูรับคำสั่งแต่โดยดี ทั้งคู่รู้ดีว่าทั้งสองไม่สามารถช่วยอะไรได้ในการต่อสู้นี้ อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือผู้คนเหล่านี้กลับจะเป็นการช่วยซูจิ้งเสียมากกว่า
และในเมื่อตัวเขาเองนั้นได้เรียกแมงมุมยักษ์ออกมาแล้วก็ไม่คิดจะปิดบังตัวตนอีกต่อไป ซูจิ้งเองในครั้งนี้ก็ได้ใช้ใยแมงมุมของเขาในการต่อสู้ด้วย ใยแมงมุมของเขานั้นนอกจากจะแข็งกว่าเหล็กกล้าแล้วหากใช้ดีๆยังช่วยในการบดบังทัศนวิสัยและทำให้ศัตรูโจมตีได้อย่างยากลำบากได้เป็นอย่างดี
แน่นอนว่าแค่การใช้ใยแมงมุมของซูจิ้งนี้ก็มากพอที่จะเรียกความสนใจของผู้คนอีกครั้ง มีคนๆหนึ่งได้ถ่ายวิดีโอฉากนี้และรีบส่งขึ้นอินเตอร์เน็ตในทันทีที่มีโอกาส
ถึงแม้ว่าการต่อสู้นี้จะโหดร้ายเกินกว่าที่คนทั่วไปจะรับได้ก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันก็มีคนอีกจำพวกหนึ่งที่ชื่นชอบการรับชมฉากการต่อสู้แบบนี้นั่นก็เพราะคนเหล่านั้นชื่นชอบในฉากความบ้าเลือดและความตื่นเต้นแบบสุดๆ
ยกตัวอย่างเช่นกีฬาเอ็กซตรีม กีฬาเช่นนี้ทำให้ผู้คนนั้นต้องตกตายกันอย่างง่ายๆ บางคนถึงขนาดยินดีที่จะกระโดดออกจากเครื่องบินโดยไม่มีแม้แต่ร่มชูชีพเพื่อสัมผัสประสบการณ์ที่เหนือจินตนาการ
แน่นอนว่าเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกไปแล้วย่อมทำให้โลกต้องตกตะลึง โดยเฉพาะประเทศจีน
“โฮ่….ทำไมฉันรู้สึกว่าแมงมุมพวกนั้นมันคุ้นๆจัง”
“…..ไม่ใช่ว่านั่นมันเป็นแมงมุมของมนุษย์แมงมุมเมืองจีนที่เขาลือกันเมื่อไม่กี่ปีก่อนหรอกเหรอ”
“ใช่ๆ จริงด้วย อย่าบอกนะว่าพี่จิ้งคือมนุษย์แมงมุมคนนั้น”
“ถ้าเป็นคนเดียวกันล่ะก็ นี่ก็ใช้เป็นคำอธิบายได้นะว่าทำไมซูจิ้งถึงเรียกแมงมุมออกมาได้ แถมทั้งสองคนนั้นยังเป็นพวกเหนือมนุษย์อีกด้วย…เอ….ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้มนุษย์แมงมุมเคยเผยหน้าออกมาแล้วนะ ตอนนั้นก็ไม่ใช่ซูจิ้งนี่นา”
“นั่นสิ ฉันว่าไม่ใช่คนเดียวกันหรอก อย่างมาก มนุษย์แมงมุมนั่นก็น่าจะเป็นเพื่อนซูจิ้งนะ”
“ที่ร้ากกกก มีข่าวใหญ่ล่ะ……..” ณ บริษัททางด้านวงการบันเทิงแห่งหนึ่ง ผู้ช่วยคนสนิทของนาหลันเฟยได้เข้ามาหานาหลันเฟยเพื่อแจ้งจ่าว
“เรื่องโอลิมปิกของซูจิ้งอีกแล้วเหรอ บอกมาเลยก็แล้วกันฉันขี้เกียจอ่าน” นาหลันเฟยยกมีขึ้นห้ามปรามในขณะเอนกายบนเก้าอีกราวกับไม่ได้ใส่ใจในซูจิ้ง
เอาจริงๆเธอก็ไม่ได้ใส่ใจซูจิ้งอะไรจริงๆ ต่อให้คนทั่วทั้งโลกตกตะลึงกับการคนอยู่กับการที่มีคนเลวฆ่าผู้คนที่ไปร่วมงานโอลิมปิกโดนฆ่าตายไปนิดหน่อยจนโดนซูจิ้งตามฆ่า สำหรับเธอไม่ได้น่าสนใจเลยสักนิด
“…..แต่….มันเกี่ยวกับมนุษย์แมงมุมแล้วนะ” ผู้ช่วยของนาหลันเฟยพูดออกมา
“อะไรนะ” นาหลันเฟยนั้นนิ่งอึ้งไป เธอนิ่งคิดไปสักพักจึงได้รีบเปิดวิดีโอที่ผู้ช่วยนำมาให้เธอดู มันเป็นวิดีโอที่ซุจิ้งนั้นในตอนนี้กำลังใช้ใยแมงมุมโจมตีชายเจ็ดคนและโหนใยแมงมุมไปมาระหว่างตึกในระหว่างต่อสู้
ในตอนแรกนั้นเธอเองก็คิดว่าเป็นมนุษย์แมงมุมที่เข้าร่วมการต่อสู้ด้วย แต่เมื่อมองดูๆดีๆก็พบว่าคนที่โหนใยแมงมุมไปมานั้นเป็นซูจิ้ง ไม่สิ เธอบอกได้เลยว่าแม้แต่มนุษย์แมงมุมที่เคยช่วยเธอนั้นก็ยังทำได้ไม่ดีเท่าซูจิ้งเลยด้วยซ้ำ นี่มันเรื่องอะไรกัน
“พี่จิ้ง…นี่พี่จิ้งเป็นมนุษย์แมงมุมจริงๆเหรอเนี่ย” เว่ยเสี่ยวหยวนที่เห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมา
เธอเองนั้นก็เคยมีความคิดนี้มาก่อนเหมือนกัน แต่ยังไงซะความคิดก็เป็นเพียงความคิด มันห่างไกลเกินกว่าความเป็นจริงต่างจากสิ่งที่เธอเห็นกับตาตัวเองแบบนึ้
ในตอนนี้เธอได้ทำการสวดอ้อนวอนจริงๆที่จะให้ซูจิ้งกลับมาอย่างปลอดภัย และเมื่อถึงตอนนั้น เธอจะเป็นคนถามจากปากของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้
“พระเจ้า…” เลาชงและคนอื่นๆที่เคยถูกมนุษย์แมงมุมช่วยเอาไว้นั้นต่างก็รู้สึกประหลาดใจไม่ได้ในทันทีเมื่อเห็นข่าวนี้
แต่เดิม ที่ทุกคนมาดูข่าวนี้เป็นเพราะว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นเลยมาดูเพื่อให้ตัวเองตื่นเต้นก็เท่านั้น ไม่มีใครเคยคิดว่าจะมีเรื่องของมนุษย์แมงมุมเข้ามาเกี่ยวข้องได้
แน่นอนว่ามนุษย์แมงมุมเองก็มีแฟนคลับอยู่มากมายในประเทศจีน แต่ด้วยการที่ไม่ได้ปรากฎตัวออกมานานทำให้หลายๆคนต่างก็ลืมเลือน แต่ในตอนนี้เรื่องนี้กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่ง
ในขณะที่ทั่วทั้งโลกกำลังสนใจข่าว ณ สนามบินเมืองจงหยุน คนกลุ่มหนึ่งได้ลงมาจากเครื่องบิน สองคนในนั้นประกอบด้วยวูจูและฉิวจิ้งที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ ส่วนคนอื่นๆนั้นล้วนแล้วแต่เป็นชาวแอฟริกันทั้งสิ้น
GGS:บทที่ 1154 ตัวตนของอีกคน
ณ สนามบินเมืองจงหยุน วูจู่ ฉิวจิง และกลุ่มคนแอฟริกันที่หายตัวไปก่อนหน้านี้ได้ลงมาจากเครื่องบิน
“หมู่บ้านตระกูลซูอยู่ไกลแค่ไหน” ชายแอฟริกาคนหนึ่งถามออกมา
“ไม่ไกลเท่าไหร่ นั่งรถไปแค่เกือบสองชั่วโมงเท่านั้น” วูจู่ที่ในตอนนี้ไม่ได้อ้วนแบบเมื่อก่อนแล้วได้พูดออกมา มันเปรียบได้ดั่งผลลูกนัทที่กระเทาะเปลือกออกแล้ว และตัวมันในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเอง
“เดี๋ยวฉันจะพาไปเอง” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มเย็นยะเยือก
ทั้งวูจู่และฉิวจิงต่างก็เป็นคนที่มีเรื่องขัดแย้งกับซูจิ้ง วูจู่คือคนที่ครั้งหนึ่งเคยแปลงโฉมเป็นกวนจูจิ่วที่เป็นดาราดังในช่องเว็บไซต์ชาร์คทีวีโดยการใช้หนังแปลงโฉมของซูจิ้ง
ภายหลัง ด้วยการที่มันผู้นี้ละโมบโลภมากจึงได้ถูกซูจิ้งตัดหางปล่อยวัดไปโดยการดึงโฉมกวนจูจิ่วกลับคืน เรื่องนี่ทำให้มันโกรธแค้นในตัวซูจิ้งอย่างที่สุด
ส่วนฉิวจิงนั้นคือเพื่อนเก่าของซูจิ้งที่มีความรู้ทางการแพทย์แต่ไปกล่าวหาใส่ร้ายป้ายสีฝีมือแพทย์ของซูจิ้ง แต่ผลสุดท้ายก็ได้แพ้ภัยตัวเองจนหมดอนาคตทางการแพทย์ไป เรื่องนี้ถึงกับทำให้ภรรยาขอเลิกจึงทำให้มันผู้นี้แค้นฝังใจซูจิ้งไปจนวันตาย
แต่เดิมนั้น ทั้งสอง ต่อให้เกลียดโกรธแค้นซูจิ้งขนาดนั้นแต่ก็ไม่อาจหาญจะหาเรื่องซูจิ้งต่อได้อีกเพราะช่องว่างระหว่างทั้งสองกับซูจิ้งนั้นนับวันยิ่งห่างไกล หากว่ายังคอยตอแยอยู่ไม่ใช้นานคงต้องตายเพราะซูจิ้งเข้าในสักวันหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองได้รับการติดต่อจากลูกพี่ผู้ยิ่งใหญ่(ร่างเงาดำ)จนได้รับพลังเหนือมนุษย์ขึ้นมา นี่ทำให้ความคิดแก้แค้นซูจิ้งกลับมาอีกครั้ง
เมื่อคนกลุ่มนี้ได้เดินไปถึงทางออกสนามบิน พวกมัน ได้เห็นข่าวบางช่วงบางตอนของเรื่องที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นบนจะทีวีขนาดยักษ์ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ฉากดังกล่าว อยู่ๆก็ได้ตัดไป ฉากในตอนนี้จึงได้ตัดไปเป็นฉากอื่นแทน
สิ่งที่ฉายอยู่ในจะทีวีขนาดยักษ์ในตอนนี้คือฉากที่มีชายคนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในสุดยอดดาราออกมาพูดเกี่ยวกับโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น
วูจู่ที่เห็นสุดยอดดาราคนนี้ได้เปลี่ยนสีหน้าของตนเองเป็นเย็นยะเยียบพร้อมทั้งหัวเราะสั้นๆอย่างไร้อารมณ์ออกมาสามที นั่นก็เพราะใบหน้าของสุดยอดดาราคนนี้ เขาเองก็เคยได้รับมาก่อน
ใบหน้านั้นก็คือใบหน้าของกวนจูจิ่วที่ตอนนี้ซูจิ้งได้มอบให้ลูจิงยี่ไปแล้ว เขาได้เปรียบได้ดั่งโดนดึงขึ้นไปสู่ทรวงสวรรค์และได้กลายเป็นสุดยอดดาราในที่สุด
“ลูจิงยี่….ช่องชาร์คทีวีงั้นเหรอ….” วูจู่ได้พูดออกมาเบาๆก่อนที่จะพูดกับคนอื่นว่า “พวกนายไปบ้านซูจิ้งกันก่อนเลยก็แล้วกัน ฉันมีอะไรที่ต้องทำสักหน่อย เดี๋ยวเสร็จเรื่องแล้วจะตามไป”
“เฮ้…นี่จะขัดคำสั่งหัวหน้ารึไง พวกเราต้องทำตามคำสั่งให้เสร็จสิ้นเร็วที่สุด” ชายผิวดำร่างยักษ์ถามออกมาพร้อมทั้งขมวดคิ้ว
“ก็แค่เรื่องเล็กน้อยเองน่า แปบเดียวก็เสร็จแล้ว” วูจู่พูดออกมา
ฉิวจิงที่ได้ยินก็ได้ลองมองไปยังทิศทางที่วูจู่มองไปเมื่อครู่นี้เมื่อเห็นภาพการสตรีมบนจอทีวีก็เข้าใจได้ในทันที
ด้วยการที่ทั้งสองเองก็เป็นคนที่สูญเสียเพราะซูจิ้งจึงทำให้มันเองเข้าใจจิตใจของวูจู่ในตอนนี้เป็นอย่างดีจึงได้พูดออกมาว่า “ให้เขาไปเถอะ ไม่เป็นไรหรอก”
“…..ก็ได้ เสร็จเรื่องแล้วก็รีบตามมาแล้วกัน” ชายผิวดำพูดออกมา
ทั้งหมดจึงได้แยกกันไปจากจุดนี้ ฉิวจิงและชายอีกหกคนได้ตรงไปยังบ้านของซูจิ้ง ส่วนวูจู่นั้นได้แยกตัวไปยังสถานที่หนึ่งคนเดียว
ณ สตูดิโอถ่ายทำแห่งหนึ่ง ลูจิงยี่ได้กำลังนั่งพูดอะไรไปเรื่อยก่อนที่จะเตรียมตัวพากษ์การแข่งขันชกมวยรอบสุดท้ายของซูจิ้ง เหตุผลที่สุดยอดดาราอย่างเขานั้นมานั่งพากษ์แบบนี้นั้นเป็นเพราะ
หนึ่งคือซูจิ้งนั้นมีบุญคุณกับเขาอย่างมากและทำให้เขานั้นเคารพและเทิดทูนซูจิ้งไม่น้อยไปกว่าใคร
สอง การแข่งขันโอลิมปิคในครั้งนี้ร้อนแรงกว่าครั้งใดๆเพราะซูจิ้งแน่นอนว่าเขาย่อมสนใจเป็นพิเศษ
และสามการที่สุดยอดดารามาทำการสตรีมแบบนี้จะยิ่งทำให้เขาน้นมีชื่อเสียงมากขึ้น
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ด้วยเหตุที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นทำให้การถ่ายทอดจึงได้ยุติลง เขาจึงเลือกที่จะนั่งพูดคุยกับแฟนคลับของเขาเกี่ยวกับความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในญี่ปุ่นพร้อมท่าทีที่กังวล
ในระหว่างที่พูดคุยอยู่นั้น อยู่ๆประตูห้องส่งที่ปิดล็อคเอาไว้ก็ได้ถูกฝืนเปิดออกอย่างง่ายดาย และในตอนนี้เองเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ได้ดูหล่อเหลาแต่ก็ดูคมสันและมีใบหน้าเหลี่ยม ชายคนนี้มีร่างกายที่ใหญ่โตเดินเข้ามาอย่างช้าๆ มันผู้นี้ก็คือวูจู่
“คุณเป็นใครกัน ไม่เห็นเหรอว่าคุณลูกำลังออกอากาศอยู่น่ะ ออกไปเดี๋ยวนี้” พิธีการสาวสวยที่หลงไหลได้ปลื้มลูจิงยี่เป็นพิเศษจนร้องขอเป็นพิธีกรคู่กับลูจิงยี่เพื่อดำเนินรายการนี้ได้พูดออกมา
นี่ทำให้มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบตรงเข้าไปหาด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวและโกรธที่อยู่ๆก็มีคนเข้ามารบกวนการถ่ายทอดสดแบบนี้
อย่างไรก็ตาม วูจู่นั้นไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ มันเพียงเคลื่อนไหวมือไปจับคอของเจ้าหน้าที่คนนี้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะยกเจ้าหน้าที่คนนี้ขึ้นด้วยมือเดียว เจ้าหน้าที่ผู้โชคร้ายได้เกิดอากรชักดินชักงอไปครู่หนึ่งก่อนที่จะหมดสติไป
เจ้าหน้าที่คนอื่นที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกใจจนร้องโหวกเหวกโวยวายออกมา มีบางคนพยายามที่จะโทรเรียกตำรวจ แต่นั่นก็ไม่ได้เร็วพอเพราะทุกคนถูกวูจู่ทำให้หมดสติจนล้มลงแทบจะพร้อมๆกัน
ลูจิงยี่และพิธีการสาวที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกใจและพยายามจะลุกขึ้นวิ่งหนีในทันที แต่ทั้งสองก็ถูกจับโดยวูจู่ที่ตอนนี้มาอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้กดลงให้นั่งอยู่กับเก้าอี้ดังเดิม
“แก….ต้องการอะไร”ลูจิงยี่ถามออกมาพลางกัดฟันแน่น
“อย่ากังวลไปเลยน่า ฉันไม่ทำอะไรนายหรอก ก็แค่อยากจะให้ผู้คนได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของแกก็เท่านั้น” วูจู่ได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก เมื่อได้ยินดังนี้ก็ทำให้สีหน้าของลูจิงยี่เปลี่ยนไปในทันที
“ได้โปรด…ปล่อยฉันไปเถอะ” พิธีการสาวสวย ในตอนนี้เริ่มร้องไห้ออกมาพร้อมร้องขอชีวิตตัวเอง
“คนสวย อย่าได้กังวลไปเลย เดี๋ยวฉันจะดูแลเธอเป็นกรณีพิเศษก็แล้วกัน เอาแบบไม่ต้องทุกข์ทรมานก็แล้วกัน แต่ก่อนหน้านั้นฉันคงต้องขอให้เธอคอยเฝ้าดูใบหน้าของหนุ่มหล่อที่อยู่ข้างๆเธอเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน ฉันอยากจะรู้ว่าเมื่อเธอได้เห็นชายหนุ่มที่เธอนั้นเฝ้าใฝ่ฝันที่จะได้หลับนอนด้วยคนนี้นั้นมีใบหน้าที่แท้จริงเป็นยังไงกันแน่” วูจู่พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ฉีกกว้าง
ด้วยการที่การสตรีมในครั้งนี้ยังไม่ได้หยุดแต่อย่างใด เหล่าผู้ชมจึงได้เห็นการกระทำของวูจู่ในทุกประการ เมื่อได้เห็นฉากนี้ทำให้ทุกคนนั้นต่างอยู่กันไม่สุข
“ไอ้เวรตะไล ปล่อยพี่ยี่เดี๋ยวนี้นะ”
“ถ้าแกกล้าทำอะไรล่ะก็ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”
“เรียกตำรวจ เรียกตำรวจเดี๋ยวนี้”
วูจู่เองในตอนนี้ก็ได้เห็นบรรดาข้อความต่างๆจากผู้ชม บางรายชื่อเป็นผู้ชมที่มันคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ชื่อที่คุ้นเคยนี้คือชื่อของคนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของมันสมัยที่ยังอยู่ในโฉมของกวนจูจิว นี่ยิ่งทำให้มันนั้นอดที่จะพ่นลมหายใจสั้นๆออกมาไม่ได้
“เหอะ….เพื่อนเก่ามารวมตัวอยู่นี่มากมายเลยสินะ..ดี..ดี..” วูจู่สบถออกมา
“แก…แก…ไม่ใช่ว่าแกคือ…” ลูจิงยี่จ้องมองไปยังใบหน้าของวูจู่อย่างตาไม่กระพริบจนเริ่มเขม่นดวงตาของตัวเองให้หรี่เล็กลง
เขารู้จักชายคนนี้เป็นอย่างดีเพราะหมอนี่เองก็เคยผ่านการศัลยกรรมขั้นเทพมาก่อนหน้าเขาและยังรู้อีกว่าชายคนนี้คือคนที่เคยใช้รูปโฉมเดียวกับเขาคนก่อนหน้า
เพียงแต่ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นชายคนนี้กับตาตัวเองจึงจำไม่ได้ในตอนแรก ไม่สิ จะบอกว่าจำไม่ได้ก็ไม่แปลกเพราะชายคนนี้ไม่ได้เหมือนเดิมเลยสักทีเดียว หมอนี่ผอมลงอย่างผิดหูผิดตาเลยก็ว่าได้
“ฮึ…ใช่…ฉันเอง ในเมื่อแกรู้ว่าฉันเป็นใครก็คงจะรู้สินะว่าฉันมาทำอะไรที่นี่”วูจู่พูดออกมา
ใบหน้าของลูจิงยี่ในตอนนี้ขาวซีดเซียวม่วงสลับกันไป หลังจากเขาได้เปลี่ยนโฉมตัวเองแล้ว เขานั้นมีความสุขกับตัวเองในตอนนี้อย่างที่สุด หากแฟนคลับของเขาได้รู้ความจริงเรื่องนี้ล่ะก็ ชีวิตของเขาคงจบสิ้นเพียงชั่วข้ามคืนเป็นแน่
“ไง กลัวเหรอ เยี่ยม…” วูจู่ในตอนนี้รู้สึกมีความสุขอย่างมากที่ได้ทรมานจิตใจของลูจิงยี่อย่างช้าๆ
ลูจิงยี่เองในตอนนี้ก็ได้แสดงสีหน้าที่น่าเกลียดออกมาในทันที แต่หลังจากที่เขาได้จ้องมองไปยังวูจู่ไปสักพัก เขาได้สูดหายใจไปลึกๆก่อนที่จะพ่นลมหายใจออกมายาวๆพร้อมสีหน้าที่เป็นปกติอย่างขัดกับเหตุการณ์ในตอนนี้ แล้วเขาก็ได้พูดออกมาว่า “ไอ้กลัวน่ะมันก็กลัวอยู่ล่ะนะ แต่ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วฉันเองก็ไม่รู้จะกลัวอะไรอีกเหมือนกัน
ฉันเองก็คิดไว้แล้วเหมือนกันว่าวันนี้ต้องมาถึงไม่ช้าก็เร็ว แต่อย่างน้อยๆในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้ ขอฉันตอบแทนแฟนคลับของฉันหน่อยได้รึเปล่า”
ลูจิงยี่นั้นแตกต่างจากวูจู่อย่างสิ้นเชิง เขานั้นไม่เคยลืมตัวถือดีในสิ่งที่ได้รับมา ในทุกๆวัน เขาคอยหมั่นฝึกฝนตัวเองอยู่บ่อยครั้ง
ก่อนหน้านี้ เขาเองก็อยู่ในวงการบันเทิงอยู่แล้ว ถึงจะไม่ได้โด่งดังอะไรมากแต่ก็ยังถือว่าพออยู่ได้ ต่อให้เขาต้องเผยใบหน้าที่แท้จริงออกไป เขาเองก็ยังหลงเหลือทักษะเอาไว้อยู่ดี ต่อให้ตัวตนภายนอกจะเหมือนกัน แต่ตัวตนภายในนั้น เรียกได้ว่าคนละระดับอย่างสิ้นเชิง
วูจู่นั้นนิ่งอึ้งไปในทันทีที่ได้ยิน มันนั้นไม่คิดว่าลูจิงยี่จะยอมรับเรื่องนี้ได้เร็วขนาดนี้ เมื่อมันหวนนึกไปถึงตัวเองแล้วยิ่งทำให้มันโกรธมากขึ้นไปอีก
“ตอบแทน… คนอย่างแกเนี่ยนะยังจะไปมีหน้าไปตอบแทนใครเขาได้ ฮึ” วูจูพูดพลางสบถออกมาก่อนที่จะใช้มือซ้ายดึงผมของลูจิงยี่แล้วใช้เล็บของมือข้างขวากรีดไปบนหน้าผากอย่างตั้งใจ ราวกับว่า วูจู่ต้องการลอกใบหน้าของลูจิงยี่ออกมา
GGS:บทที่ 1155 ตัวตนของอีกคน(2)
“นี่แกจะทำอะไรเนี่ย” พิธีการสาวสวยที่เห็นการกระทำของวูจู่ก็อดที่จะกรีดร้องโวยวายออกมาไม่ได้ เธอใช้มือปิดตาราวกับไม่อยากจะเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้วโว้ย อย่ามาทำอะไรบ้าๆให้เห็นอย่างนี้นะ”
“เรียกตำรวจ พวกเราเรียกตำรวจไปแล้ว แกหนีไม่พ้นหรอก”
“ใครก็ได้หยุดหมอนั่นที”
เหล่าผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมในครั้งนี้ต่างแสดงท่าทีกังวลออกมาอย่างสุดกู่
หลังจากได้ฟังทั้งสองคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบอกความจริงและตอบแทนแล้วแต่ก็ไม่มีใครรู้เลยว่าทั้งสองคนพูดเรื่องอะไรกันแน่ เอาจริงๆไม่มีใครใส่ใจเลยด้วยซ้ำไป
“หึหึหึ” วูจู่หัวเราะออกมาเบาๆอย่างอารมณ์ดีโดยไม่ได้สนใจพิธีกรสาวสวยและผู้ชมเลยแม้แต่น้อย นิ้วของเขาค่อยกรีดลงไปบนใบหน้าของลูจิงยี่ด้วยนิ้วมือที่อาบไว้ด้วยไอปีศาจ
มันค่อยๆดึงผิวหนังแปลงโฉมที่ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯออกมาอย่างช้าๆ
“อึ่กก…” ลูจิงยี่ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
“อ๋า…..”พิธีการสาวสวยที่เห็นฉากนี้เองก็อดที่จะร้องตามไม่ได้ แต่กับผู้ชมนั้น พวกเขาร้องดังลั่นยิ่งกว่าใครราวกับรู้สึกเจ็บแทน
อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่เห็นต่างก็ต้องรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง นั่นก็เพราะภาพฉากที่พวกเขาคิดไปไกลว่าเป็นฉากของเลือดและเนื้อที่ทะลักคลั่งนั้นกลับกลายเป็นผิวหนังหนึ่งที่อยู่ข้างใต้ผิวหนังอีกที ถึงจะบอกว่ามันเป็นผิวหนังแต่มันก็ยังดูสีแดงกว่าผิวหนังปกติอยู่
ความจริง วูจู่เองก็ไม่ได้แน่ใจในเรื่องนี้นัก มันเพียงแค่ทดลองดูเพราะต่อให้ลูจิงยี่ตายไปมันก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้ว แต่ด้วยการที่มันนั้นไม่ได้มีฝีมือทางด้านการแพทย์เทียบเท่าซูจิ้ง แน่นอนว่าไม่มีทางเลยที่จะลอกโฉมของลูจิงยี่ได้อย่างไม่เจ็บปวด แต่ก็อย่างที่กล่าวมาคือมันไม่ได้สนใจว่าลูจิงยี่จะเจ็บปวดสักแค่ไหนก็ตาม
ไม่นาน ผิวหนังที่อยู่บนใบหน้าทั้งหมดก็ลอกออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของลูจิงยี่ออกมา พิธีกรสาวสวยและเหล่าผู้ชมต่างก็ตกอยู่ในสภาพอึ้งกิมกี่
“เกิดอะไรขึ้น”
“ใครกันน่ะ”
“ฉันรู้จักนะ เขาเป็นดาราระดับสามดาว ชื่อของเขาเหมือนจะชื่อลูจิงยี่…พระเจ้าเถอะ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่เนี่ย”
ในประเทศจีนนั้นการที่มีคนที่มีชื่อเดียวกัน นามสกุลเดียวกันนั้นที่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ง่ายเลย แต่ดาราที่มีชื่อเดียวกันก็ยังน้อยครั้งมากที่จะเกิดขึ้น ที่จะมีก็คงเป็น ลี่เชิน เท่านั้นในตอนนี้
กับดาราระดับสามดาวอย่างลูจิงยี่นนั้นยิ่งแล้วใหญ่ มีคนไม่มากนักที่รู้จักเขา ด้วยเหตุผลทางอุบัติเหตุทำให้เขานั้นต้องออกจากวงการไป นี่ยิ่งทำให้ผู้คนแทบจะจำเขาไม่ได้อีกต่อไป
และตรงหน้าของผู้คน ในตอนนี้ คนที่ปรากฎอยู่ภายใต้ผิวหนังที่ลอกออกก็คือลูจิงยี่คนนั้น
ถึงในตอนแรกผิวของเขาจะแดงจนดูม่วงไปก็ตาม แต่หลังจากผิวหนังของเขาปรับสภาพจนกลายเป็นสีแดงแล้วทำให้ทุกคนที่รู้จักจะได้ในทันทีว่าเขาคือลูจิงยี่คนที่ออกจากวงการไปนั่นเอง
แต่ยังไงซะการที่ลูจิงยี่ปรากฎตัวในฉากนี้มานั้นก็ช่างน่าแปลกประหลาดอยู่ดี
“พวกแกเห็นรึยัง นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของลูจิงยี่ ฉันรู้ว่าพวกแกอยากที่จะทำใจยอมรับได้ แต่หากพวกแกรู้ว่านี่คือหนึ่งในวิธีการศัลยกรรมรูปแบบใหม่ของซูจิ้งพวกแกจะเข้าใจได้ทันที มันคือหนึ่งในผลิตภัณฑ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลา เข้าใจรึเปล่า หึหึหึ” วูจู่พูดออกมาอย่างผู้ชนะ
“ไม่จริงใช่รึเปล่า”
“จิงยี่ของเราคือคนดีเกี่ยวกับดาราระดับสามที่ชื่อจิงยี่นั่น…”
“ไม่มีทาง ฉันไม่เชื่อหรอก”
“ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงแต่พึ่งจะมาเปิดโปงเนี่ยนะ”
หัวใจสีดำถูกส่งหนึ่งดวง
หัวใจสีดำถูกส่งสองดวง
ในตอนนี้ผู้ชมทั้งหลายต่างก็ได้เห็นใบหน้าเกือบทั้งหมดของลูจิงยี่แล้ว จากใบหน้าที่หล่อระเบิดระเบ้อเปลี่ยนกลายเป็นใบหน้าธรรมดาทั่วไป เรื่องแบบนี้ใครจะไปรับได้กัน
“โอโอ้ จริงสิฉันจะมีเพื่อนเก่าอยู่ที่นี่ด้วยนี่นา คนที่เคยสนับสนุนช่องของกวนจูจิ่วน่ะ ตอนที่พวกแกสนับสนุนไอ้เวรนี่ในตอนนั้นความจริงไม่ใช่ไอ้นี่หรอกนะ บอกไว้ก่อน” วูจู่พูดออกมา
“…แกหมายความว่ายังไง” บรรดาอดีตแฟนคลับของกวนจูจิวสงสัยจนต้องพิมถามออกมา
“เดี๋ยวพวกแกก็รู้” วูจู่ได้นำหนังที่ลอกออกจากใบหน้าของลูจิงยี่มาวางทาบไว้ที่หน้าถึงแม้ว่าแผ่นหนังนี้จะได้รับความเสียหายไปบ้างแต่มันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้อยู่ดี และนี่ทำให้เกือบทั้งใบหน้าของวูจู่กลายเป็นใบหน้าของชายที่หล่อระเบิดแทน
“พระเจ้าเถอะ นี่มันยังกับแค่วาดรูปทับไปเฉยๆเลย”
“มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว”
“อดีตแฟนคลับที่เหนียวแน่นของฉัน ถ้าจะไม่ผิดจะเป็น เหวินโป ไปฉิง เหลียงไป่ กูกู ซิวเย่ว เสี่ยวเย่ว เสี่ยวนู ไจเป่า เหล่าเซิน เหล่าชิ เหล่าไท… จำฉันได้รึยังล่ะ” วูจู่ได้ส่งเสียงที่ผู้คนที่เขาเรียกรู้สึกได้ว่าคุ้นเคน หลังจากนั้น มัน ก็ได้ร้องเพลงหนึ่งออกมา
เหล่าอดีตแฟนคลับของกวนจู่จิวในตอนนี้ต่างนิ่งอึ่งไปในทันทีที่ได้ยินเพลงที่วูจูกำลังร้องอยู่ นี่ทำให้ขนหัวของพวกเขาลุกขึ้นตั้งชันในทันที
“ฉันจำได้แล้ว ไอ้หมอนี่คือคนอ้วนๆที่เคยอ้างตัวว่าเป็นกวนจูจิวนี่นา แต่ตอนนี้มันผอมกว่าตอนนั้นเท่านั้น”
“ตอนนั้นฉันจำได้ว่าเขาทำทุกอย่างได้เหมือนกับกวนจูจิวเลย แต่ที่ต่างกันเพียงอย่างเดียวคือเขาอ้วนและน่าเกลียดเท่านั้น”
“พระเจ้าเถอะ เขาไม่ได้โกหก เขาคือกวนจูจิวจริงๆ”
ความจริงๆแล้วในตอนที่ลูจิงยี่แปลงโฉมเป็นกวนจูจิวใหม่ๆนั้น เหล่าแฟนคลับก็แปลกใจไม่น้อยเหมือนกันเพราะหลายๆอย่างมันไม่เหมือนกับกวนจูจิวที่พวกเขารู้จัก
แต่พวกเขาไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะในตอนนั้นกวนจูจิวได้มีอะไรใหม่ๆที่มากกว่าเดิมหลังจากห่างหายไปทำให้พวกเขานั้นคิดว่าคงมีเหตุผลที่ทำให้เสียงของเขาหายไปเลยไปซุ่มซ้อมทำอย่างอื่นเพื่อมาแสดงแทน แต่หากเทียบกันในตอนนี้แล้ว นี่ คือกวนจูจิวที่พวกเขาเคยรู้จักอย่างแท้จริง
ในตอนนี้ผู้คนบังเกิดความรู้สึกที่หลากหลาย หลังจากได้พบว่าสุดยอดดวงดาราที่พวกเขาติดตามมานานนั้นกลับกลายเป็นตัวปลอมด้วยวิธีการแปลงโฉม
อีกทั้งยังได้รับรู้ว่าชายอ้วนที่พวกเขาเคยขับไล่ไสส่งไม่เชื่อถือในคราวนั้นกลับกลายเป็นกวนจูจิวที่แท้จริงกลับกลายเป็นตัวจริงที่เขาเคยหลงรัก
อย่างไรก็ตาม ที่ทุกคนนั้นตกตะลึงมากที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นผิวหนังที่สามารถแปลงโฉมผู้คนได้อย่างง่ายดายที่สามารถเปลี่ยนคนที่สุดแสนจะน่าเกลียดให้กลายเป็นหนุ่มหล่อระเบิดเถิดเถิงได้
ความรู้สึกน่าตกตะลึงมากมายได้หลั่งไหลตามหัวสมองจนทำให้พวกเขาไม่สามารถจะทำอะไรได้อีก สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ในตอนนี้ก็คงเป็นเพียงสาปส่งพระเจ้าที่เล่นตลกกับพวกเขา
ผู้คนจำนวนมากต่างก็ยอมรับไม่ได้จนออกจากการดูช่องนี้ไปในทันที แต่ก็ยังมีผู้คนอีกจำนวนหนึ่งที่ยังคงอยู่ดูต่อด้วยความรู้สึกราวกับได้เห็นแสงสว่างบางอย่าง
ข่าวนี้แพร่ออกไปในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างรวดเร็วจนก่อเกิดแรงกระเพื่อมในวงการบันเทิงไปทั่ว แน่นอนว่าหัวข้อหลักก็คือตัวจริงของสุดยอดดาราลูจิ้งยี่คือลูจิงยี่ที่เป็นอดีตดาราระดับสาม อีกหนึ่งคือเทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมใบหน้าของกลุ่มทุนห้วงเวลา
หลังจากนั้นไม่นานก็มีใครบางคนนึกถึงเรื่องใบหน้าที่แท้จริงของมนุษย์แมงมุมที่เคนปรากฎออกมา
ในตอนนั้น มนุษย์แมงมุมได้เปิดเผยใบหน้าของตัวเองออกมาอย่างจงใจและเปิดเผยราวกับไม่แยแสว่าจะมีคนพบตัวจริงของเขาซึ่งนั่นทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกว่ามันผิดปกติจนน่าสงสัยเหมือนกัน
แต่ในภายหลัง ตำรวจและผู้คนมากมายต่างตามหาตัวจริงของเจ้าของใบหน้านั้นกับไม่พบอะไรเลยราวกับว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่บนโลกใบนี้ ซึ่งนั่นยิ่งน่าแปลกประหลาดมากขึ้นกว่าเดิม
แต่ในตอนนี้ ซูจิ้ง ได้แสดงความสามารถต่างๆที่ดีเยี่ยมราวกับเป็นมนุษย์แมงมุมออก เรียกได้ว่าหากปิดใบหน้าของซูจิ้งไว้ มองยังไงก็เห็นเป็นมนุษย์แมงมุมแน่ๆ
ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีคนนึกถึงเรื่องนี้เพราะไม่มีสิ่งใดเชื่อมโยงระหว่างคนทั้งสอง
แต่ในตอนนี้เมื่อได้เห็นเทคโนโลยีเปลี่ยนโฉมใบหน้านี้แล้วเรียกได้ว่านี่คือจุดเชื่อมโยงสำคัญ
ถ้าซูจิ้งคือมนุษย์แมงมุมจริงล่ะก็ เขาเองก็ไม่ได้มีเหตุผลที่ต้องปิดบังสถานะของตัวเองอีกต่อไปเพราะตอนนี้เขาทำอะไรได้อย่างสะดวกสบายโดยไม่ต้องสนใจภัยอันตรายใดๆ
แต่คำถามคือทำไมในตอนนั้นเขาต้องแปลงโฉมและเผยใบหน้านั้นออกมาล่ะ
เมื่อมาคิดดูดีๆแล้วในตอนนั้นมีเรื่องราวมากมายที่ทำให้มนุษย์แมงมุมต้องเปิดเผยตัวเองเพื่อจะได้จบเรื่องราว
ในเมื่อซูจิ้งนั้นมีวิธีการเปลี่ยนโฉมใบหน้าจริงจนไม่สามารถติดตามร่องรอยได้ว่าตัวตนของมนุษย์แมงมุมคือใครโดยไม่ต้องเผยตัวจริงแล้วทำไมเขาจะไม่เลือกวิธีการหยุดปัญหาด้วยวิธีที่ง่ายที่สุดกันล่ะ
เมื่อคิดแบบนี้ออกมา ทุกอย่างกลับกลายเป็นเหตุเป็นผลต่อกันอย่างลงตัว
GGS:บทที่ 1156 บ้าน
“มนุษย์แมงมุมนี่มองยังก็ยังเป็นพี่จิ้งแหะ” เมื่อเว่ยเสี่ยวหยวนได้เห็นข่าวของซูจิ้ง เธอได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลที่เห็นในทันที และยิ่งเธอวิเคราะห์ข้อมูลมากที่ไหล่ก็ยิ่งมั่นใจในควรามคิดของเธอมากขึ้น และนั่นทำให้เธอนั้นอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาราวกับหัวใจที่เคยเร้นกายจากโลก ออกมาเต้นให้เห็น
ความจริงแล้วก็มีหลายครั้งหลายหนเหมือนกันที่เธอคิดว่าซูจิ้งนั้นคือมนุษย์แมงมุม นั่นก็เพราะหลังจากที่เธอถูกมนุษย์แมงมุมช่วยเธอเอาไว้นั้น เธอได้พบเศษใยแมงมุมจากเสื้อผ้าของซูจิ้ง มาในภาพหลัง เธอยังแกล้งซูจิ้งพร้อมทั้งทำการทดสอบเรื่องนี้ไปในตัวอีกด้วย
ในตอนนั้นเอง ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ตาม จากเซ้นส์ของผู้หญิงแล้ว ยังเธอก็คิดว่าซูจิ้งนั้นต้องเป็นมนุษย์แมงมุม แต่ดันมีเรื่องที่ทำให้มนุษย์แมงมุมต้องเผยโฉมออกมาในตอนนั้นทำให้เธอเลิกคิดเรื่องนี้ไปแล้ว
“ฮ่าฮ่า พี่จิ้งคือมนุษย์แมงมุมมมมม….” เวี่ยเสี่ยวหยวนในตอนนี้แสดงสีน้ำที่เบิกบานอย่างที่สุด หลังจากนั้นเธอก็ได้ขอพรขึ้นมาว่า “คุณพระคุณเจ้า ขอให้พี่จิ้งจัดการเรื่องในคราวนี้ให้สำเร็จเสร็จสิ้นไปด้วยดีและกลับมาอย่างปลอดภัยด้วยเถ้ออออออ เขานั้นเป็นทั้งอัจฉริยะ เขานั้นทั้งเป็นคนดี ไม่ว่ายังไงโลกนี้ก็ขาดเขาไม่ได้ ได้โปรดเถอะนะคะ”
เว่ยเสี่ยวหยวนก็ได้มีโอกาสพบปะซูจิ้งนอกเวลางานหลายครั้งหลายหนอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ถึงเธอจะไม่ได้มีสีหน้าหรือท่าทางที่ผิดแผกก็ตาม แต่นับจากนี้เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำตัวต่อหน้าซูจิ้งยังไงดี
“ไม่จริงน่า อาจิ้งเป็นมนุษย์แมงมุมเหรอเนี่ย” เลาชงและคนอื่นๆที่เคยถูกมนุษย์แมงมุมช่วยเอาไว้ต่างก็ตกตะลึงในทันทีที่เห็นข่าว
เลาชงนั้นไม่เคยคิดว่าซูจิ้งคือมนุษย์แมงมุมเลยสักครั้ง เขายังเคยนำเรื่องมนุษย์แมงมุมมาถกเถียงกับซูจิ้งอยู่หลายครั้งหลายหนเหมือนกัน
เมื่อรู้เช่นนี้ก็อดไม่ได้ที่จะทำให้เลาชงหัวเราะออกมาเบาๆพลางคิดว่าไอ้เด็กนี่ช่างลึกล้ำจริงๆ เขาคงต้องหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับซูจิ้งจริงจังสักครั้งหนึ่ง
“ซูจิ้งเป็นมนุษย์แมงมุมเหรอ ไม่จริงน่า เป็นไปได้ยังไง” หลังจากที่เห็นข่าวนี้ นาหลันเฟยแสดงท่าทีไม่เชื่อออกมาในทันที เธอได้พูดออกมาต่อว่า “ก็ตอนนั้นหมอนั่นยังพูดว่าร้ายมนุษย์….แมง…มุม…เลยไม่ใช่…เหรอ….” นาหลานเฟยพูดออกมาอย่างหมดเรี่ยวแรงเพราะทำใจเชื่อได้ยากยิ่ง นั่นก็เพราะเธอนั้นคิดมาตลอดว่าที่ซูจิ้งพูดอย่างนั้นออกมาเป็นเพราะเขาไม่ต้องการมีสายสัมพันธ์อันดีกับมนุษย์แมงมุมเลยพูดออกมาแบบนั้น
ก่อนหน้านี้เธอนั้นมีความรู้สึกดีๆกับซูจิ้งอยู่เหมือนกันแต่ก็เพราะเรื่องนี้ทำให้เธอนั้นเกือบจะเกลียดเขาไปแล้ว ในภายหลังเป็นเพราะซูจิ้งเข้าไปช่วยคนในกองเพลิงอย่างกล้าหาญทำให้เธอเปลี่ยนใจกลับมารู้สึกดี แต่เธอก็ยังจดจำคำว่าร้ายของซูจิ้งที่มีต่อมนุษย์แมงมุมฝังใจไปเธอเลยเลือกพบเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น
พอตอนนี้มาคิดว่าซูจิ้งคงแค่ประชดประชันตัวเองว่าเคยอยากเป็นมนุษย์แมงมุมจนถึงป.สองซะมากกว่า แล้วเธอจะไปโกรธกับคำประชดของเขาทำไมกัน
“หึหึหึ ไอ้หมอนี่…. ตอนที่เราโกรธเขาเรื่องมนุษย์แมงมุมไปนี่คงจะแอบหัวเราะเยาะเราอยู่สินะ เฮ้ออออ” นาหลันเฟยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของเธอนั้นเต็มไปด้วยรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที
ซูจิ้งเป็นปรมาจารย์กู่จิ้ง เรื่องนี้เธอยอมรับได้
ซูจิ้งนำเรื่องมนุษย์แมงมุมมาพูดล้อเล่นได้อย่างน่าตาเฉยก็เป็นเพราะมนุษย์แมงมุมก็คือตัวเขาเอง เขาจะว่าอะไรยังไงก็ได้อยู่แล้ว แต่กับคนที่นับถือมนุษย์แมงมุมประดุจดั่งเทพช่วยชีวิตอย่างเธอนั้นเป็นเรียกยากที่จะให้อภัย
แต่ในเมื่อทั้งสองคือคนเดียวกันแล้วแน่นอนว่าเธอต้องชอบซูจิ้งอย่างที่สุดแน่นอนอยู่แล้ว คราวนี้ถ้าเธอได้เจอซูจิ้งล่ะก็จะขอเข้าไประดมจูบให้หายหมั่นเคี้ยวสักที
“นายกลับมาได้เมื่อไหร่นะ ฉันจะทำให้รู้ว่าการมาล้อเล่นกับผู้หญิงนั้นจะต้องจบลงยังไง ฮิฮิฮิ” นาหลันเฟยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม แต่ท่าทางนั้นราวกับหญิงสาวที่ตกหลุมรักใครสักคนเลยทีเดียว
แต่เมื่อเธอได้เห็นสถานการณ์ที่ญี่ปุ่นดีๆแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวขึ้นมา และพูดออกมาว่า “ ฉันหวังว่านายจะรอดปลอดภัยกลับมานะ ต่อให้ฉันรู้ว่านายเป็นใครแต่นายไม่ปลอดภับกลับล่ะก็…” นาหลันเฟยที่คิดแบบนั้นจึงทำได้คุกเข่าวิงวอนต่อพระเจ้าใจทันที เธอยินดีที่จะให้ซูจิ้งกลับมาอย่างปลอดภัยเพื่อแลกกับอายุสั้นลงไปสิบปีก็ตาม
ฉิวจิงและชายผิวดำหกคนได้ถึงหมู่บ้านตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว พวกมันถึงกับฉงนในทันทีเมื่อได้ยินเสียงแว่วข่าวเรื่องที่เกิดในโตเกียวจากการพูดคุยและเสียงข่าวที่ลอยเข้าหูมา
แต่เดิมพวกมันคิดว่าด้วยการที่หัวหน้าของพวกมันนั้นไปด้วยตัวเองน่าจะจัดการซูจิ้งได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดเลยว่าจะกลายศึกใหญ่ที่ยากจะจัดการได้ลง นี่เป็นเพราะซูจิ้งนั้นทรงพลังเหนือกว่าที่พวกมันรู้มากมายนัก
“ซูจิ้งไปได้ความแข็งแกร่งพวกนั้นมาจากไหนกันทำไมถึงได้ทรงพลังได้ถึงขนาดนั้น” ชายผิวดำถาม
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าทำไมมันถึงแข็งแกร่งได้ขนาดนั้น สองปีมานี้มันไปเจออะไรกันแน่” ฉิวจิงได้เขม่นตาพลางนึกถึงเหตุกาณ์ที่มันได้เจอกับซูจิ้งสมัยก่อน
ซูจิ้งในมหาวิทยาลัยเป็นเพียงคนธรรมดาสามัญอย่างมาก ที่ดีที่สุดก็เป็นเพียงผลการเรียนแต่ก็ยังด้อยกว่าตัวมัน ขนาดในตอนหลังซูจิ้งถูกหวังหยานทิ้งขว้างก็ยังเห็นซูจิ้งทำท่าจะเป็นจะตายอยู่เลย
นี่แสดงว่าซูจิ้งนั้นสมควรจะพบเจอบางสิ่งถึงสามารถพัฒนตัวเองได้ขนาดนี้หลังจากเรียนจบเท่านั้น
ฉิวจิงได้บอกหัวหน้าของมันเกี่ยวกับเรื่องนี้ทำให้มันได้รับหน้าที่ในการมาที่บ้านของซูจิ้งเพื่อนำโลงศพและคัดลอกสิ่งต่างๆแม้แต่การนำของมีค่าของซูจิ้งกลับไป นี่จึงถือได้ว่าเป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับฉิวจิงในทันที
“ดูเหมือนว่าหัวหน้าจะกล่าวไว้ถูกต้องแล้ว ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้อ่อนแอเหมือนแต่ก่อน แต่เราก็ไม่สามารถดูถูกซูจิ้งได้เช่นเดียวกัน ฉันว่าบ้านของมันคงจะเข้าไปไม่ได้ง่ายๆแน่ๆ” ชายผิวดำอีกคนหนึ่งพูดออกมา
“เห็นด้วย พวกเรารอวูจู่ดีกว่า”
“ไอ้เด็กนั่นช่างเป็นตัวก่อปัญหาจริงๆ”
ชายผิวดำทั้งหกนั้นไม่มีใครชอบวูจู่เลยแม้แต่น้อย กลับกัน ฉิวจิงเมื่อได้อยู่กับวูจู่ราวกับได้พบเจอสหายสนิทที่สนิทมาตั้งแต่ชาติปางก่อน และในครั้งนี้เขาก็เลือกที่จะรอวูจู่มาก่อนด้วยเช่นกัน
ความจริงหลังจากที่ฉิวจิงได้รับทักษะมาจากร่างเงาดำแล้วทำให้ตัวมันนั้นมีจิตใจที่แข็งกล้ามากขึ้น และนี่เองทำให้มันคิดว่าภารกิจที่ได้มานั้นช่างง่ายราวกับการปลอกกล้วยเข้าปาก
แต่เมื่อได้เห็นว่าหัวหน้าที่มันเคารพนักเคารพหนากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากขนาดนี้ นี่ทำให้มันนั้นเลือกที่จะทำภารกิจให้ละเอียดรอบคอบมากขึ้นอย่างช่วยไม่ได้
ทันทีที่พวกมันถึงหมู่บ้านตระกูลซู พวกมันได้รอคอยวูจู่อยู่พักหนึ่ง ไม่นาน วูจู่ก็ได้ตามมาสบทบและพวกมันจึงได้เข้าไปในหมู่บ้านด้วยกัน
ด้วยการที่ไม่ต้องการเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น พวกมันจึงเรียกที่จะลอบเข้าไปจนตอนนี้พวกมันเข้าไปยังสวนหลังบ้านของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว
เมื่อพวกมันไปถึงกลับต้องรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จากข้อมูลที่พวกมันหามาได้นั้น สวนของซูจิ้งสมควรจะมีสุนัขมากมายคอยเฝ้าอยู่ แน่นอนว่าพวกมันย่อมไม่ใส่ใจในเรื่องนั้นและพร้อมที่จะเก็บกวาดสุนัขที่ว่าให้เรียบวุธในทันทีที่เจอ แต่นี่กับเงียบสนิทจนน่าสงสัย
“ไม่เงียบไปหน่อยเหรอ”
“หรือว่าเป็นกับดัก”
“ซูจิ้งอยู่โตเกียวไม่มีทางวางกับดักไว้หรอกน่า”
“ระวังตัวไว้ก่อนแล้วกัน”
พวกมันทั้งแปดค่อยๆเข้าไปยังสวนหลังบ้านของซูจิ้งอย่างช้าๆ สิ่งเดียวที่พวกมันคิดได้ในตอนนี้ก็คือกับระเบิด แต่เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีพวกมันจึงได้ย้ายไปอีกพื้นที่ส่วนหนึ่งแทน
แต่พวกมันไม่รู้เลยว่าทันทีที่พวกมันไม่รู้เลยว่าสิ่งที่พวกมันกำลังจะทำอยู่นี้จะทำให้พบกับความตายที่ไม่อาจหนีพ้นไปได้
ทันทีที่พวกมันพบเจอประตู พวกมันได้ทำการพังประตูเข้าไป ร่างเงาดำได้บอกพวกมันไว้ว่าทันทีที่พังเข้าไปนั้นพวกมันจะสามารถพบโลงศพได้อย่างไม่ยากเย็นนัก นี่ทำให้พวกมันไม่ได้คิดจะถามอะไรเพิ่มเติมและมีเพียงความต้องการในการทำภารกิจให้ลุล่วงโดยเร็วเท่านั้น
เมื่อพวกมันก้าวเขาไปในประตูกับต้องพบกับความตกตะลึงพรึงเพริศ สิ่งที่พวกมันเห็นนั่นก็คือตึกๆหนึ่ง มันเป็นตึกที่มีความสูงไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ตึกๆนี้ทำด้วยสิ่งที่เหมือนจะเป็นโลหะบางอย่างที่พวกมันก็ไม่รู้ว่าทำจากโลหะอะไรกันแน่ นี่ทำให้พวกมันทั้งแปดนิ่งมองด้วยความสงสัยอย่างหมดหัวใจว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกัน
ในตอนนั้นเอง ประตูที่พวกมันพังเข้ามานั้นอยู่ๆก็ได้ปิดตัวลง
ราวกับได้ยินเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง พวกมันหันไปทางต้นตอของเสียงในทันที ในตอนนั้นพวกมันได้เห็นสิ่งต่างๆมากมายได้ปรากฎออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า
สิ่งที่พวกมันเห็นในตอนนี้ก็คือหมาป่าตัวใหญ่ยักษ์ กลุ่มก้อนเถาวัลย์ที่เลื้อยไปมา หญิงสาวงามที่มีหางเป็นงู ปลาหมึกยักษ์หัวกลม และกระรอกที่มีหูใหญ่มาก
GGS:บทที่ 1157 วิกฤตเพิ่มทวี
ในทันทีที่พวกมันทั้งแปดคนเห็นหมาป่า เถาวัลย์ หญิงร่างงู ปลาหมึก และกระรอก ที่กำลังจ้องพวกมันอย่างเขม็งและไม่กะพริบตาแม้แต่น้อยทำให้พวกมันทั้งแปดอดนึกถึงข้อมูลที่พวกมันเคยได้มาไม่ได้
พวกมันเคยได้ยินข่าวลือมาบ้างว่าซูจิ้งเลี้ยงหมาป่าเอาไว้ก็จริงแต่นี่จะไม่ตัวใหญ่ไปหน่อยรึไงกัน เท่าที่มันเห็นนั้นหมาป่าตัวนี้จากด้านหน้าความสูงก็ไม่ต่ำกว่าสองเมตรแล้ว ความยาวของมันเท่าที่กะด้วยสายตาได้จากหัวจรดหางไม่น่าจะต่ำกว่าห้าเมตร ไม่ว่าจะมองจากทางไหนนี่มันยิ่งกว่าที่ข้อมูลที่พวกมันได้รับมามากนัก
นี่ยังไม่รวมถึงเถาวัลย์ หญิงสาวหางงู และหมึกยักษ์นั่นอีก พวกมันไม่เคยได้ยินมาก่อนเพี่ยวกับเรื่องพวกนี้ บนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตแบบนี้อยู่ได้ยังไงกัน
ที่กระรอกหูใหญ่ไม่ได้รับการสังเกตจากทั้งแปดเป็นเพราะว่าดูยังไงก็ไม่สามารถทำอะไรพวกมันได้อย่างแน่นอน
“แน่นอนอยู่แล้วสินะที่ต้องมีคนเฝ้า”
“เถาวัลย์นั่นมันอะไรกัน ไหนจะหญิงสาวสวยครึ่งงูนั่นอีก”
“หมึกยักษ์ตัวใหญ่โคตร ซูจิ้งนี่มันเป็นแหล่งรวมตัวประหลาดจริงๆ”
ถึงแม้ฉิวจิง วูจู่และอีกหกคนนั้นจะไม่เหมือนก่อนอีกต่อไป แต่เมื่อพบกับฉากตรงหน้าก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวไปเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่ได้แสดงท่าทีออกมาด้วยความเกรงกลัวแต่อย่างใด พวกมันมองหน้ากันก่อนที่จะแยกออกจากกันไปในหลากหลายทิศทางอย่างรวดเร็ว
เป็นบิงบิง(กระรอกหูใหญ่)ที่เปิดฉากโจมตีก่อน มันได้ร่ายเวทย์ระเบิดน้ำแข็งจากระยะไกล เถาวัลย์กินคนเองก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน ด้วยการปลดปล่อยเถาวัลย์ออกไปจนปกคลุมเกือบทั้งพื้นที่ในตอนนี้ ก่อนที่เถาวัลย์แต่ละเส้นจะเริ่มการโจมตีอย่างหนักในทันที
หมาป่าสงคราม เหมิงเม่ยเอ๋อ และหมึกยักษ์ได้พุ่งเข้าไปยังทิศทางของคนทั้งแปด หมาปลาสงครามได้เข้าสู้กับชายผิวดำคนหนึ่ง ชายคนนั้นได้เร่งความเร็วจนเข้าประชิดทางด้านข้างของหมาป่าสงครามอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะพยายามตบไปที่ชายโครงของหมาป่าสงครามด้วยมือที่เต็มไปด้วยไอมาร
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าร่างกายของหมาป่าสงครามจะใหญ่โตแต่มันกลับมีความเร็วที่มากเกินคาดเดาได้ ในตอนนี้มันได้เบี่ยงตัวหลบอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งหมุนตัวและกางอุ้งเท้าของมันออกเตรียมตะปบไปยังชายผิวดำ
ชายผิวดำนั้นหน้าถอดสีในทันที เมื่อมันรู้ตัวว่าหลบไม่ได้จึงใช้มือที่เปี่ยมไปด้วยไอปีศาจยกขึ้นมาปะทะในทันที
แต่หลังจากที่บังเกิดเสียงดังลั่น มันจึงพบว่ามันทำได้แค่เพียงหยุดยั้งการตะปบของหมาป่าสงครามได้เพียงเท่านั้น
มันไม่สามารถหยุดยั้งกรงเล็บที่ยื่นจิกลงมาบนอกของมันได้ เล็บทั้งสามได้ฝังลึกเข้าไปในอกของชายผิวดำ นี่ทำให้ชายผิวดำเสียจังหวะและเสียหลักรายไปตามแรงตะปบในทันที
ถึงแม้จะมีรอยสีดำฝากทิ้งเอาไว้บนอุ้งเท้า แต่นั่นก็ยังถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับหมาป่าสงครามในตอนนี้
ก่อนหน้านี้ไม่นาน หมาป่าสงครามได้แข็งแกร่งขึ้นจนถึงระดับที่เรียกได้ว่าสัตว์อสูรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในตอนนี้ต่อให้เป็นไป๋ฮิตูก็ตาม เขาก็ไม่ใช่คู่มือของหมาป่าสงครามแต่อย่างใด และในเมื่อร่างของชายผิวดำคนนี้ไม่ได้มีชิ้นส่วนของร่างเงาดำด้วยแล้ว เพียงแค่ทักษะที่ได้รับการถ่ายทอดมานั้นไม่เพียงพอกับการต่อกรกับหมาป่าสงครามเลยสักนิด
“…อึ้ก…ทุกคน…ระวังไว้… ไอ้หมาเวรนี่…แข็งแกร่ง…มาก” ชายผิวดำที่โดนหมาป่าสงครามตบออกไปนั้นได้ตะคอกออกมา ถึงแม้มันจะบาดเจ็บหนักแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีจะยอมแพ้แต่อย่างใด
มีสิ่งที่ชายผิวดำคนนี้ยังไม่รู้อยู่ นั่นก็คือยามเฝ้าของซูจิ้งนั้นไม่ได้มีความกระจอกงอกง่อยเลยสักตนเดียว
อีกทางหนึ่ง ห่าฝนเปลือกหอยไททาเนียมอัลลอยถูกปล่อยออกมาจากปากของหมึกยักษ์ใส่ชายผิวดำสองคน ถึงแม้จะป้องกันอยู่ได้แต่ก็ถือได้ว่าเต็มกลืนอย่างมาก และชายผิวดำอีกคนหนึ่งกำลังตกอยู่ในสภาพไม่ค่อยต่างกันจากการกระหน่ำโจมตีจากเถาวัลย์
จะมีเพียงหนึ่งตัวตนที่ยังไม่ได้ลงมีเป็นจริงเป็นจังนั้นก็คงจะมีเหมิงเม่ยเอ๋อ(สาวสวยครึ่งงู) ที่ในตอนนี้กำลังพนมมืออยู่กลางอกพร้อมทั้งสวดมนต์อะไรบางอย่างให้เก็บเศษซากของบางสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
หมึกยักษ์นั้นเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มก่อนที่จะเจอกับซูจิ้งด้วยซ้ำ หลังจากที่มันได้พันธสัญญากับซูจิ้งและได้รับการฝึกฝนและบ่มเพาะจากซูจิ้งก็ยิ่งทำให้ตัวมันนั้นแข็งแกร่งมากกว่าเดิม
ส่วนเหมิงเม่ยเอ๋อนั้น ถึงแม้ส่วนใหญ่จะอยู่แต่ในถุงกักอสูร แต่เธอก็ฝึกฝนตนเองอย่างไม่ว่างเว้นจนในตอนนี้บรรลุอย่าที่ขั้นรู้แจ้งเรียบร้อยแล้ว เมื่อเทียบกับห้วงเวลาฯที่เธอจากมานั้นยังถือได้ว่าเป็นระดับสูง เมื่อมาอยู่ในโลกนี้แล้วย่อมหมายความว่าเธอนั้นแข็งแกร่งแบบสุดๆ
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยการที่เธอมีสติปัญญาที่สูงล้ำ เพียงไม่นานเธอก็สามารถอ่านการเคลื่อนไหวและท่วงท่าของคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย จะให้เธอต้องบาดเจ็บหรือวุ่นวายกับคู่ต่อสู้เพียงระดับนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคนที่กล้าเข้ามาดวลเดี่ยวแบบนี้ แน่นอนย่อมต้องแหลกลาญ
อย่างไรก็ตาม เพียงการโจมตีเดียวของเธอนั้น ไม่ได้เพียงบดขยี้ร่างๆเดียว ผลจากการโจมตียังได้ทำให้คนที่เหลืออย่างวูจู่ ฉิวจิง และชายผิวดำอีกคนหนึ่งบาดเจ็บสาหัส
ทั้งสามมองไปยังพื้นที่แตกออกราวกับกำลังพิจารณาอะไรบางอย่าง พวกเขาไม่คิดเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าจะทรงพลังขนาดนี้
“เล่นไอ้พวกนั้นก่อน” เมื่อเห็นฉากตรงหน้านี้ไม่ได้ทำให้พวกมันถอดใจแต่อย่างใด พวกมันยังคงเชื่อมั่นในทักษะและไอปีศาจที่พวกมันได้รับมา
ฉิวจิงตะคอกออกมาก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังบิงบิงและเถาวัลย์เพราะคิดว่าทั้งสอง อ่อนแอที่สุดในที่นี้แล้ว จึงทำให้เกิดฉากชลมุนขึ้นในทันที
อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้ภายในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้นถือได้ว่ายามเฝ้าของซูจิ้งนี้ได้เปรียบอย่างมาก นั่นก็เพราะ ฉิวจิง วูจู่ และชายผิวดำอีกคนหนึ่งนั้นไม่ได้มีเศษเสี้ยววิญญาณของร่างเงาดำแต่อย่างใด
นี่ทำให้พวกมันนั้นไม่สามารถดูดซับไอปีศาจมาช่วยในการต่อสู้ รวมถึงการฟื้นฟูร่างกายจากการดูดซับหรือแม้แต่ดูดกินพลังชีวิตก็ไม่สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
เรียกได้ว่าสถานการณ์ของพวกมันนั้นแย่ยิ่งกว่าแปดคนที่ไปโตเกียวอย่างมาก เรียกได้ว่า ต่อให้ซูจิ้งอยู่ที่นี่พวกมันก็ไม่มีทางได้พบเห็นซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อยเพราะต้องตกตายโดยบรรดาสัตว์เลี้ยงของซูจิ้งก่อนอย่างแน่นอน
สถานการณ์ในตอนนี้ หมาป่าสงคราม เหมิงเม่ยเอ๋อ และหมึกยักษ์ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย บิงบิงนั้นหลังจากเปิดฉากโจมตีแล้วก็ทำการรักษาระยะห่างคอยหาจังหวะโจมตีอยู่จากระยะไกล
จะมีบาดเจ็บหนักก็คงจะมีเพียงเถาวัลย์กินคนเท่านั้นที่ในตอนนี้มันสูญเสียเถาวัลย์ของตัดไปมากมายจากการต่อสู้ บางส่วนก็ถูกเผาไหม้จากไอปีศาจ แต่ด้วยการเป็นพืช ตัวมันนั้นไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งมันยังได้งอกเถาวัลย์อันใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิมออกมาเพื่อรับมืออีกด้วย
ขณะเดียวกัน การต่อสู้ที่โตเกียวยังคงดำเนินต่อไป
ซูจิ้งในตอนนี้สวมเกราะที่ทำจากใยแมงมุมเหล็กกล้าและเกล็ดของกิ้งก่าเขี้ยวงูพร้อมทั้งใช้ยันต์หมื่นลี้เพื่อเร่งความเร็วในการต่อสู้ พร้อมทั้งได้ใช้ยันต์หมื่นลี้อีกแผ่นหนึ่งกับไป๋ฮิตูเรียบร้อยแล้ว
สำหรับหลัวฉือหลินนั้นเขาช่วยเสริมแกร่งให้ไม่ได้มากนักเพราะร่างที่ใช้ในการต่อสู้นี้เป็นเพียงสแตนด์เท่านั้น
ถึงจะพูดแบบนั้นแต่สถานการณ์ในตอนนี้ แมงมุมกว่าโหลของซูจิ้งได้ตกตายไปกว่าครึ่ง ไป๋ฮิตูและหลัวฉือหลินก็ได้รับบาดเจ็บพอสมควร ส่วนซูจิ้งนั้นถึงแม้จะมีชุดเกราะอยู่ แต่ตัวเขาในตอนนี้เองก็ถือได้ว่าบาดเจ็บยิ่งกว่าใคร
ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะว่าการโจมตีของร่างเงาดำนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก จะบอกว่าเป็นการโจมตีที่ไม่สนใจพลังป้องกันของชุดเกราะก็ว่าได้ เรียกได้ว่าต่อให้มีเกราะดีขนาดไหนก็ไร้ค่าเมื่อเจอร่างเงาดำ
ในทำนองเดียวกัน การโจมตีทางกายภาพทุกอย่างนั้นล้วนไม่มีผลต่อร่างเงาดำแต่อย่างใด การสวมเกราะไว้เอาจริงๆแล้วสมควรจะเพียงถ่วงแข่งถ่วงขาซูจิ้งเอาไว้เท่านั้น
ถึงจะเป็นแบบนั้น ซูจิ้งก็ไม่ได้ย่อท้อเหมือนดังตะเกียงที่ไร้น้ำมัน ในตอนนี้เขาได้จัดการทำลายลูกสมุนของร่างเงาดำไปได้แล้วสองคน เหลืออีกเพียงแค่ห้าคนเท่านั้น และสองในห้านั้นก็คือ ซงจุนฮ่าวและโอฉิงซง
ในตอนนี้คนสี่คนกำลังต่อสู้อย่างพัลวันกับซูจิ้ง โดยที่ซงจุนฮ่าวนั้นมีหน้าที่ในการจับผู้คนโดยรอบเข้ามาในสนามรบ
ถึงแม้ว่าไป๋ฮิตู หลัวฉือหลิน และแมงมุมของซูจิ้งจะสามารถช่วยเอาไว้ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีบางคนที่พวกเขาไม่สามารถช่วยไว้ได้ขริงๆ และนี่เองก็ยิ่งทำให้สนามรบในทั้งนี้ส่งผลดีต่อร่างเงาดำและลูกสมุนมากขึ้นทีละน้อย ถึงแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งขึ้นมากนักแต่ก็ไม่อ่อนแอลงอย่างแน่นอน
ซงจุนฮ่าวได้ทำการก่อกำเนิดคลื่นพลังหนึ่งส่งผลให้ผู้คนกว่าสิบถึงยี่สิบคนล่วงหล่นลงมาในสนามรบกลางเมืองอย่างรวดเร็ว
ทั้งแมงมุม ไป๋ฮิตู และหลัวฉือหลิน จะช่วยคนเหล่านี้ไว้ได้อีกครั้ง แต่ก็ยังมีสองคนที่ต้องตกลงไปตายในสนามรบแห่งนี้
“เจ้านาย ระวังครับ” หลัวฉือหลินได้ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ เมื่อครู่ หลัวฉือหลินเห็นซงจุนฮ่าวใช้วิธีการที่น่ารังเกียจอย่างการโยนร่างหนึ่งใส่ซูจิ้งจากจุดอับสายตา เขาจึงได้บังคับให้สแตนด์ของตนยิงสายฟ้าไปยังซงจุนฮ่าวเพื่อขัดขวาง
แต่ซงจุนฮ่าวกลับคว้าจับสายฟ้าของหลัวฉือหลินเอาไว้ได้ด้วยมือที่อาบด้วยไอปีศาจก่อนที่จะเขวี้ยงไปยังซูจิ้งร่างกายของมันหายไปพร้อมกับสายฟ้าสีดำทมิฬที่กำลังพุ่งไปหาซูจิ้ง และได้ไปปรากฎอยู่ด้านหลังซูจิ้งอย่างเงียบเฉียบ
“มาสักที” ซูจิ้งไม่ได้มีท่าทีหวาดวิตกแต่อย่างใดราวกับกำลังรอเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นอยู่ ตอนนั้นเอง ฮัวเหยา(ปีศาจดอกไม้) ก็ได้เบ่งบานอยู่บนหัวของซูจิ้ง เธอได้ใช้เถาวัลย์รัดพันร่างทั้งห้าเอาไว้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่ารวมถึงซงจุนฮ่าวด้วย
เมื่อมั่นใจว่าร่างทั้งห้าไม่สามารถดิ้นรนออกไปได้ ซูจิ้งได้บีบวงของลำแสงชำระล้างให้เหลือเพียงสองเมตรเท่านั้น ส่งผลให้ความเข้มข้นและประสิทธิผลของลำแสงชำระล้างพุ่งขึ้นถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว
GGS:บทที่ 1158 ตายด้วยกัน
ทันทีที่ฮัวเหยาปรากฎและลัดพันคนทั้งห้าเอาไว้ ซูจิ้งได้บีบวงของแสงลำระล้างลงอย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกัน เงาร่างของมังกรไฟตัวใหญ่ยักษ์ก็ได้ปรากฎอยู่ตรงหน้าของซูจิ้ง และทำการพุ่งผ่านร่างทั้งห้าในทันที พร้อมทั้งในตอนนี้เงาร่างมังกรสีทองอร่ามที่อยู่ข้างหลังของก็ได้ปรากฎแล้วทำการเหยียบร่างทั้งห้าในทันที
ร่างกายทั้งห้าได้ปริแตกออกมา พวกมันจ้องมองซูจิ้งด้วยความโกรธเกรี้ยว ดูเหมือนว่าทั้งมังกรทองและมังกรที่สถิตย์ในร่างของซูจิ้งนั้น ทั้งคู่จะเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งสวรรค์และโลก และนี่ส่งผลกระทบต่อทั้งห้าคนนี้อย่างมาก
โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะมาที่โตเกียวนี้ ซูจิ้งได้บรรลุตำราวิถีมังกรทั้งหมด ส่งผลให้ทั้งจิตวิญญาณและพลังภายในของเขานั้นมีกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์อยู่
คราวนี้ซูจิ้งได้ทำการผนวกรวมวิญญาณมังกรสถิตย์ร่างและตราประทับมังกรของเขาเข้าด้วยกัน แล้วทำการกระหน่ำโจมตีไปที่ห้าร่างอย่างบ้าคลั่งราวกับอสูรที่โกรธเกรี้ยว
“ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม……”
ในตอนนี้ดูเหมือนร่างเงาดำนั้นจะไม่สามารถหยุดยั้งซูจิ้งได้แต่อย่างใด ร่างทั้งห้าซึ่งมีซงจุนฮ่าวและโอฉิงซงรวมอยู่ด้วยได้เริ่มแหลกเลอะไม่เหลือชิ้นดี และในตอนนี้ ได้มีเงาดำห้าสายได้รวมตัวกลายเป็นและก่อร่างขึ้นมาเป็นร่างเงาดำในที่สุด และในตอนนี้ ร่างเงาดำเองก็ได้เกิดไอควันเกิดทั่วทั้งร่างกายอย่างช้าๆ
ในวันนั้นที่หมู่บ้านตระกูลซู ร่างเงาดำได้ทำการซ่อนตัวในร่างของซูคันหนันอย่างดี แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับลำแสงชำระล้าง ร่างเงาดำกลับต้องวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต นี่แสดงให้เห็นว่าหากมันนั้นเลือกที่จะควบคุมร่างกายนี้โดยตรงย่อมไม่อาจรอดพ้นจากลำแสงชำระล้างนี้ได้
แต่ในตอนนี้ ร่างเงาดำเลือกที่จะแบ่งวิญญาณของตัวเองแฝงเข้าไปอยู่ในวิญญาณของมนุษย์อย่างซงจุนฮ่าว โอฉิงซง และคนอื่นๆ เพื่อจะหลบเลี่ยงจากลำแสงชำระล้าง
แต่ด้วยการที่แบ่งวิญญาณเป็นส่วนแบบนี้แน่นอนว่าต้องมีผลกระทบอย่างแน่นอน เมื่อเสียร่างที่มันนั้นสถิตย์ไป ตัวมันสมควรจะต้องใช้เวลาเพื่อหลอมรวมกันได้อีกครั้ง และในครั้งนี้ ร่างเงาดำจะไม่มีที่หลบอีกต่อไปแล้ว
ในตอนนี้ร่างเงาดำที่หลอมรวมเสร็จแล้วได้ทำการกรีดร้องด้วยความโกรธและเจ็บปวด ความจริงนั้นหากเป็นสถานการณ์ปกติแล้ว มันนั้นสามารถหนีจากซูจิ้งได้ในทันทีที่ออกจากร่างเศษสวะพวกนี้ได้เลยด้วยซ้ำ และไม่มีทางเลยที่ซูจิ้งจะตามจับมันได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อมันออกมาแล้วต้องพบกับลำแสงชำระล้างที่เข้มข้นขนาดนี้ มันรู้ดีว่าหากในครั้งนี้ตัวมันไม่สามารถกำจัดซูจิ้งได้ล่ะก็ อีกไม่นาน มันจะไม่มีที่ให้ซ่อนและหลบหนีอีกต่อไป มันจึงเลือกที่จะไม่ถอยหนีอีกแล้ว
“มนุษย์…. ฉันจะสู้เป็นตายกับแก… เขตแดนแห่งผู้ไม่ตายยยยย”
ภายใต้แสงชำระล้างอันเข้มข้นนั้น ร่างเงาดำได้พูดออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากนั้นก็ได้มีไอสีดำพวยพุ่งออกมา ผู้คนนับไม่ถ้วนได้ตกตายกลายเป็นศพในทันที
ในขณะเดียวกัน ในตอนนี้ไอปีศาจนับไม่ถ้วนได้มาหมุนวนอยู่รอบตัวซูจิ้งราวกับนรก ราวกับว่าโลกมนุษย์นี้คือเขตแดนของร่างเงาดำไปเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าภายใต้แสงชำระล้างนี้วิญญาณปีศาจร้ายต่างๆจะทำได้เพียงกรีดร้องและทำอะไรซูจิ้งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ด้วยการจำนวนของพวกมันมากมายราวกับนรกขนาดย่อม นี่ทำให้ความสามารถในการชำล้างค่อยลดถอยลงไปอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าต่อให้เป็เหรียญตราเทวฑูต ก็ไม่อาจชำระล้างนรกไปได้ในคราวเดียว
ซูจิ้งที่เห็นสถานการณ์ก็ได้รีบให้ฮัวเหยาเข้าไปอยู่ในกระเป๋ากักอสูรในทันที ร่างวิญญาณเหล่านี้ขนาดมังกรสถิตร่างของซูจิ้งยังทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าฮัวเหยาย่อมไม่สามารถด้วยเช่นกัน หากอยู่นานจะบาดเจ็บไปเสียเปล่าๆ
ซูจิ้งในตอนนี้ยังคงเร่งใช้ตราประทับมังกร และมังกรสถิตย์ร่างออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการที่วิญญาณและปีศาจร้ายที่ล้อมรอบนั้นมากเกินไป
จนในที่สุดลำแสงชำระล้างก็ได้แตกออกราวกับลูกโป่งที่โดนเข็มทิ่มแทงในทันทีที่ร่างเงาดำพุ่งเข้าใส่ซูจิ้ง ในตอนนี้มันได้คว้าจับไปยังลำคอของซูจิ้งในทันที พร้อมทั้งกับอีกมือหนึ่งได้คว้าจับไปยังเหรียญตราเทวฑูต
ในตอนนี้ทั่วทั้งร่างของซูจิ้งได้อาบไปด้วยแสงศักดิ์สิทธิ์ พร้อมทั้งใช้มือสองข้างที่เปี่ยมไปด้วยพลังของมังกรสถิตย์ร่างจับแขนของร่างเงาดำเอาไว้ ในขณะที่ใช้วิญญาณมังกรและตราประทับมังกรคอยต่อกรกลับวิญญาณร้ายและปีศาจที่ล้อมรอบเข้ามา
ในตอนนี้ซูจิ้งรู้สึกหมดสิ้นหนทางอย่างบอกไม่ถูก ร่างกายของเขานั้นมีเหงื่อชโลมกายไปทั่วพร้อมสีหน้าที่ซีดเซียว บ่งบอกได้ว่าเขานั้นน่าจะยื้อไว้ไม่ได้นานอีกต่อไป
ขณะเดียวกัน ร่างเงาดำเองก็เริ่มจะฝืนยื้อไม่ไหวแล้วเหมือนกัน การเปิดเขตแดนของผู้ไม่ตายนี้สูบพลังงานของมันอย่างบ้าคลั่ง
อีกทั้งมันยังต้องเผชิญหน้ากับลำแสงชำระล้างและการโจมตีของซูจิ้งอย่างต่อเนื่องจนทำให้ร่างกายของมันเองก็เกิดไปกลุ่มควันไหลออกมาอย่างไม่หยุด เรียกได้ว่าบาดเจ็บหนักไม่ต่างกัน สถานการณ์ของมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าซูจิ้งเลยสักนิด
มันรู้ดีว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปนั้นหากไม่เสมอแล้วไปตั้งต้นใหม่ทั้งคู่ก็ต้องตกตายไปพร้อมกัน
“ยอมแพ้ซะ ไอ้มนุษย์ แล้วฉันจะไว้ชีวิตแก” ร่างเงาดำเริ่มหลอกล่อ
“แกต่างหากที่ต้องยอมแพ้ไอ้นรก” ซูจิ้งสบถออกมา
ในตอนนี้ร่างเงาดำได้สั่นไหวไปมาอยู่พักใหญ่ก่อนที่มันจะหยุดพร้อมรอยยิ้มอันขมขื่น มันพยายามจะอดทนต่อความเจ็บปวดที่ได้รับและได้พูดออกมาด้วยเสียงที่นุ่มลึกว่า “แกก็เป็นคนฉลาดนี่นา แกไม่เห็นหรือว่าหากพวกเรายังทำแบบนี้ต่อไปก็คงต้องตกตายไปตามกัน
ตอนนี้ฉันยอมรับแล้วว่าแกนั้นทรงพลังอย่างมาก จะดีกว่าไหมหากเราแบ่งเขตแดนกันปกครอง หากแกยอมล่ะก็ ฉันยินดีที่จะปกครองพื้นที่ส่วนใต้ของโลกใบนี้ ส่วนแกก็ปกครองดินแดนส่วนบนไป เห็นไหม เพียงแค่นี้พวกเราก็แบ่งสันน้ำในบ่อไม่ต้องไปตักน้ำในแม่น้ำแล้ว”
“ฝันไปเถอะ ต่อให้ฉันตายก็ไม่ยอมปล่อยยแกอย่างแน่นอน” ซูจิ้งสบถออกมาด้วยท่าทีที่จะไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย ไม่เกี่ยวกับว่าเขานั้นจะเชื่อไปผีร้ายนี่หรือไม่ แต่มันเป็นเรื่องที่ว่าเขานั้นไม่ยินดีให้ปีศาจนี่มามีตัวตนอยู่ในโลกนี้
ในตอนนี้จากมุมของเขาแล้วเป็นเรื่องที่ว่าใครถอยก่อนคนนั้นจึงพ่ายแพ้ และหากเขาในตอนนี้ยอมผ่อนปรนกับผีร้ายตนนี้เพียงเล็กน้อย อีกไม่นานจะเป็นเขาเองที่ตกตายแล้วหลังจากนั้นโลกนี้คงถึงจุดจบ
ต่อให้ร่างเงาดำนี้พูดความจริงแต่ก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะยินยอม
“ถ้าแกไม่รู้อะไรดีอะไรชั่วแบบนี้ก็รีบตายซะเถอะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ร่างเงาดำได้หัวเราออกมาด้วยเสียงเย็นยะเยือก พร้อมกับทำการบีบวงของเขตแดนให้กระชับเข้ามายิ่งขึ้น
ซูจิ้งในตอนนี้เริ่มยอมรับชะตาตัวเองแต่ก็ไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด ภายใต้การโจมตีที่ไม่หยุดยั้งจากเขตแดนนี้ต้องขอบคุณเหรียญตราเทวฑูตที่ช่วยให้เขาสามารถต่อต้านเขตแดนได้อยู่
ต้องขอบคุณวิถีแห่งใต้หล้าที่ทำให้เขานั้นยังมีจิตที่สมบูรณ์แข็งแกร่งไม่สติแตกไปก่อน
ต้องขอบคุณวิถีแห่งมังกรที่ช่วยเสร้มสร้างร่างกายและจิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม
ต้องขอบคุณหัวใจพระสูทรูปพระพุทธที่ช่วยเขายังคงควบคุมลมหายใจให้ปกติและต่อสู้ได้อย่างยาวนาน
ต้องขอบคุณวิญญาณมังกรสถิตย์ร่างที่คอยส่งเสริมร่างกายของเขา
แน่นอนว่าซูจิ้งนั้นในตอนนี้รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพบเจอจนทำให้รับมือกับสถานการณ์ในตอนนี้ไหว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เก่งกาจชั่วข้ามคืนแต่เป็นการค่อยๆเสริมแกร่งเขาก็ยังถือว่าดีอยู่ดี
ในตอนนี้เอง ซูจิ้งได้ปลดปล่อยความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดที่มีโดยไม่คิดจะเก็บซ่อนเอาไว้อีกต่อไป สิ่งที่เขาหวังได้เพียงอย่างเดียวในตอนนี้ก็คือหวังว่าไอ้ร่างเงาดำนี่คงไม่เก็บซ่อนเอาไว้แบบเขาเหมือนกัน
อย่งไรก็ตาม มาถึงตอนนี้ทั้งพลังใจ ร่างกาย และวิญญาณของซูจิ้งนั้นเรียกได้ว่าเริ่มเหือดแห่งแล้ว สติของเขาเองแม้จะคงอยู่แต่ก็เริ่มที่จะเรือนราง เช่นเดียวกับการมองเห็นของเขาที่เริ่มเบลอไปแล้วราวกับว่าร่างเงาดำนี้ได้หายไปแล้ว แต่นั่นเป็นไปได้เลยเพราะเขานั้นยังได้ยินเสียงหัวเราเยาะอย่างสะใจของร่างเงาดำอยู่ดี
ในตอนที่ซูจิ้งกำลังกึ่งหลับกึ่งตื่นนี้เอง เขานั้นยังฝืนดื้อดึงเอาไว้ไม่ให้หมดสติไปเพราะรู้ดีว่าหากเขาหลับไปตอนนี้ทถกอย่างต้องจบสิ้นเป็นแน่
หากเป็นอย่างนั้นล่ะก็ ทั้งครอบครัว เพื่อนพ้อง และฉือชิง และคนทั้งโลกจะต้องจบสิ้น
ในตอนนี้ ซูจิ้งกำลังใช้สติที่เหลืออยู่พยายามนึกหาวิธีต่างๆเพื่อให้ได้สติกลับคืนมานั้น วิถีแห่งใต้หล้าที่กำลังขับเคลื่อนอยู่ในจิตสำนึกของซูจิ้งก็ได้บรรลุไปอีกขั้นหนึ่ง
ในตอนนี้เองซูจิ้งราวกับฟื้นคืนสติอย่างสมบูรณ์ วิญญาณร้ายมากมายหลากหลายที่อยู่โยรอบ แม้แต่ร่างเงาดำเอง ในตอนนี้ สำหรับซูจิ้งแล้วช่างเคลื่อนไหวไปมาอย่างช้าเชื่องและน่ารังเกียจ
เขาไม่ได้มีความรู้สึกถึงภัยคุกคามหรือเสียงรบกวนจากทุกสิ่งอย่างรอบตัวแม้แต่น้อย ราวกับว่าตัวเขาในตอนนี้นั้นอยู่ในอีกมิติที่เงียบงันก็ว่าได้
ในตอนนี้เอง ขนของไซอิ๋วที่คอยปักอยู่บนหลังหัวของเขาก็ได้ส่องสว่าง พวกมันค่อยๆส่องสว่างอย่างแรงกล้าราวกับพวกมันนั้นไม่เคยสว่างได้เท่านี้มาก่อน
และทันใดนั้นขนทั้งสามก็ได้หายไป ตอนนั้นเอง ซูจิ้งก็ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของตนไปแล้ว ในตอนนี้เขานั้นมีสามเศียร หกมือ หรือก็คือสามหน้าหกแขนก็ว่าได้
GGS:บทที่ 1159 ฝุ่น
ซูจิ้งที่ตอนนี้กลายสภาพเป็นสามเศียรหกกรราวกับสัตว์ประหลาดก็ว่าได้ แขนทั้งหกนั้นปกคลุมไปด้วยขนเช่นเดียวกับขนของหงอคงในเรื่องไซอิ๋วก็ว่าได้
แขนทั้งหกนี้ได้ยืดออกและจัดการภูติผีปีศาจในเขตแดนที่ร่างเงาดำสร้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วและหนักแน่นราวกับลูกธนูที่ยิงด้วยหน้าไม้
และนี่เองทำให้เขารู้สึกได้ว่าในตอนนี้เขาสามารถจับต้องปีศาจด้วยมือของตนทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถทำได้เลยแม้แต่น้อย
สองมือของเขาจับไปที่มือของร่างเงาดำ อีกสองมือจับไปที่ขา และอีกสองมือจับไปที่หัว
ร่างเงาดำที่พึ่งจะรู้สึกตัวได้กรีดร้องและดิ้นรนพยายามจะดิ้นให้หลุดจากพันธนาการมือทั้งหกข้างของซูจิ้งอย่างสุดความสามารถ
แต่ยังไม่ทันที่ร่างเงาดำจะกรีดร้องได้สุดเสียงดี มือทั้งหกได้บีบอัดร่างเงาดำอย่างช้าๆ ไอสีดำค่อยๆลอยไหลรั่วไปในอากาศและจางหายไป ท่ามกลางเสียงกร็อบแกร็บมากมาย ในที่สุดในตอนนี้มันนั้นได้กลายลูกกลมสีดำทมิฬในมือซูจิ้ง
ร่างเงาดำยังคงพยายามดิ้นรนไปมาและเรียกรวมไอดำที่ลอยออกไปให้กลับเข้าร่าง อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ มันนั้นราวกับไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และไม่สามารถที่จะขัดขืนได้แต่อย่างใด
ภายใต้แขนอันทรงพลังทั้งหกข้าง และลำแสงชำระล้างที่อาบอยู่บนกายของซูจิ้ง ร่างเงาดำได้เริ่มร้องโหยหวนออกมาด้วยเสียงที่เย็นยะเยียบ และในที่สุดแล้วมันก็กลายเป็นควันและจางหายไป
ในตอนนี้ พื้นที่รอบข้างได้ถูกแสงชำระล้างที่กลับมาขยายตัวอีกครั้งชำระล้างสิ่งต่างๆไปจนหมด และเขตแดนของผู้ไม่ตายที่ร่างเงาดำเรียกมาก่อนหน้านี้ก็หายไปไม่เหลือร่องรอย
ซูจิ้งที่มีสามเศียรหกกรนั้น ในตอนนี้ได้หายไปแล้วเหลือเพียงร่างกายธรรมดา ขนของหงอคงทั้งสามก็กลับไปอยู่ประจำที่ของมัน แต่ในตอนนี้สีสันของมันนั้นไม่ได้คงกลับคืนเหมือนเดิมแต่อย่างใด พวกมันทำให้ซูจิ้งนั้นกลายเป็นคนที่มีผมหงอกเรียบร้อยแล้ว
“เฮ้ออออ ไม่นึกเลยจริงๆว่าเมื่อถึงยามขับขันแล้ว ขนสามเส้นนี้กลับมาช่วยเราอีกจนได้ พึ่งจะรู้แหะว่าพวกแกนี้สามารถกลายสภาพได้ด้วย” ซูจิ้งพูดในขณะใช้นิ้วมือลูบขนทั้งสามเส้นอย่างเอ็นดู แต่เมื่อดูจากสภาพแล้วเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าการกลายสภาพนี้ยังทำได้อีกหรือเปล่า
ที่ผ่านมานั้นซูจิ้งไม่ใช่ไม่พยายามศึกษาขนทั้งสามเส้นนี้ แต่เป็นเพราะเขานั้นอ่อนแอเลยใช้ได้แค่เพียงเป็นอาวุธลับเท่านั้น
ในตอนนี้เขาได้ใช้ฝ่ามือตัวเองมาประกบใบหน้าก็ได้รับสัมผัสความรู้สึกสดชื่นราวกับพืชที่ได้รับแสงอาทิตย์ยามเช้า
ถึงแม้ว่าบรรยากาศโดยรอบจะเต็มไปด้วยซากศพและกลิ่นเลือดที่รอยคละคลุ้ง แต่ซูจิ้งสัมผัสได้ในทันทีว่าโลกใบนี้นั้นช่างบริสุทธิ์เหลือเกิน
เมื่อเทียบกับความรู้สึกเมื่อตอนอยู่ในเขตแดนของผู้ไม่ตายเมื่อครู่ เรียกได้ว่าที่นั่นคือนรกอย่างแท้จริง และเหตุการณ์นี้สมควรจะไม่เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน
ซูจิ้งในตอนนี้คิดไปถึงเรื่องงานแข่งกีฬาโอลิมปิคที่ยังข้างคา เขาก็ไม่รู้หรอกว่างานยังคงจะดำเนินไปต่อรึเปล่า แต่ที่แน่ๆ การแข่งที่เหลืออยู่เขาคงจะไม่ลงแข่งด้วยแล้ว
เขาตัดสินใจผิวปาก และนั่นทำให้อินทรีย์ทองที่บินล่อนไปมาอย่างกังวลรีบลงมาหาเขาในทันที ด้วยร่างกายที่เหนื่อยอ่อน ซูจิ้งเขาไปเกาะอินทรีย์ทองอยู่สักพักเพื่อรวบรวมเรื่องแรง ก่อนที่เขาจะปีนขึ้นไปบนหลังมันและบอกมันว่าให้กลับบ้าน
ฉากที่เกิดขึ้นนี้เรียกได้ว่ายากที่จะอธิบายหากต้องถูกถามออกมา และในครั้งนี้เขาเองก็ไม่ได้คิดจะปกปิดและแก้ไขอีกต่อไปแล้ว จะให้บอกตรงๆก็คือเขาขี้เกียจจะยุ่งแล้วนั่นเอง
…
ไม่กี่เดือนให้หลัง
ช่วงที่ผ่านมานี้ซูจิ้งไม่ได้แสดงตัวต่อหน้าสาธารณชนเลยแม้แต่น้อย เขานั้นพักฟื้นอยู่ในบ้านไม่ได้ก้าวออกไปพ้นบริเวณบ้านเลยสักก้าวเดียว
เขาชนะร่างเงาดำก็จึงแต่นั่นก็ต้องแลกกับการที่ต้องบาดเจ็บหนักและต้องการการพักฟื้นอย่างเต็มสูบ
ในช่วงที่ผ่านมานั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงโกลาหลอย่างแท้จริง แต่หลังจากผ่านมาหลายเดือนแล้วก็ทำให้ความโกลาหลเหล่านั้นทุเลาลง
หลังจากศึกที่กรุงโตเกียว งานกีฬาโอลิมปิกได้ตัดจบลงไปในทันที แน่นอนว่าเป็นซูจิ้งที่คว้าเหรียญทองได้มากที่สุด ส่งผลให้ประเทศจีนนเป็นจ้าวเหรียญทองและสูงล้ำกว่าอเมริกาอยู่หลายขุม
ต้นเหตุของภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในโตเกียว และที่มาของเหล่าผู้คนที่ก่อเรื่องนั้นถึงแม้จะไม่ชัดเจน แต่ก็มีหลายคนที่รู้ว่าบางส่วนนั้นคือใคร
และยิ่งได้เห็นว่าซูจิ้งแทบจะต้องสละชีวิตเพื่อกำจัดคนเหล่านั้น แม้แต่จะเห็นว่าสังหารคนเหล่านั้นกับมือของซูจิ้ง แต่ด้วยการที่ซูจิ้งทุ่มเททุกสิ่งอย่างที่มีกำจัดคนเหล่านั้น ด้วยพลังที่ยากจะมีคนทัดทาน นี่ทำให้หลายๆคนเกรงกลัวซูจิ้งอยู่บ้าง แต่กับคนที่กลัวนั้นก็ยังยอมรับว่าซูจิ้งนั้นคือฮีโร่อย่างแท้จริง
มีเพียงญี่ปุ่นนั้นที่ออกมาตั้งคำถามและถามหาความรับผิดชอบจากซูจิ้ง พวกน้ำกล่าวหาว่าเป็นซูจิ้งที่นำพาคนทั้งแปดไปญี่ปุ่น และยังกล่าวหาอีกว่าในระหว่างการต่อสู้ ซูจิ้งได้สังหารคนญี่ปุ่นอีกหลายคน ญี่ปุ่นจึงได้เรียกร้องให้ทางจีน ส่งตัวซูจิ้งไปที่ญี่ปุ่นเพื่อทำการตัดสินโทษ
อย่างไรก็ตาม มีหรือที่จีนจะยอมส่งซูจิ้งไปให้ง่ายๆ โดยเฉพาะกับหลักฐานที่มีแต่ปากแต่ไม่มีมูลแบบนี้ ประเทศจีนได้ตอกหน้ากลับไปด้วยคำถามที่ว่า ผู้คนมากมายที่ตายนั้นมีเท่าไหร่ และต่อให้ตายเยอะจริง ต่อให้มีผู้คนตายเยอะไประหว่างที่ซูจิ้งต่อสู้จริงๆ แต่หากไม่มีซูจิ้ง ประเทศญี่ปุ่นก็สมควรจะล่มสลายไปแล้ว อีกอย่าง ประเทศจีนก็รู้มาอีกว่าเมื่อตอนที่กองทัพป้องกันตนเองของญี่ปุ่นได้เข้าไปสนามรบนั้น ทหารเหล่านั้นหากไม่ตกอยู่ในสภาพโคม่า ก็ต้องแห้งตายกลายเป็นผีตายซากทั้งหมด แม้แต่เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขับไล่แค่บินโฉบเข้าไปก็ยังต้องตกเป็นว่าเล่น แค่พวกเอ็งหากขาดซูจิ้งไปจะทำอะไรได้กัน
เรียกได้ว่าจีนนั้นพร้อมที่จะทำสงครามในทันทีหากญี่ปุ่นยังคิดดื้อดึงหาเรื่อง ญี่ปุ่นเองในตอนแรกก็คิดว่าอเมริกาจะผสมโรงและเห็นด้วย แต่กลายเป็นว่าอเมริกากลับนิ่งเฉยแบบสุดๆ
และนี่จึงทำให้เรื่องนี้สงบลง
“ยังไม่มีข่าวของซูจิ้งอีกเหรอ” ณ ห้องสำนักงานแห่งหนึ่ง หวังหยานได้ถามผู้ช่วยของตัวเองออกมา
“ยังค่ะ ทั่วทั้งโลกในตอนนี้เองก็กำลังรอการแถลงการณ์จากเขาอยู่เหมือนกัน แต่หลังจากเกิดเรื่องที่โตเกียวแล้ว เขานั้นได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย …เขาคงจะไม่….”
“ไม่หรอก เขาคงแค่จะกลับหมกตัวอยู่ที่บ้านเพื่อเลี่ยงผู้คนแบบทุกทีน่ะ เขาต้องไม่ได้รับบาดเจ็บด้วยเรื่องของประเทศอื่นสิ ใช่ เขาต้องไม่เป็นไรแน่ๆ” หวังหยานได้พูดออกมาด้วยท่าทีที่พยายามจะมีความหวังอยู่
หลังจากที่เธอรู้ว่าซูจิ้งนั้นคือจอมยุทธมีดบินที่เคยช่วยเธอเอาไว้ นี่ทำให้เธอไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะมีความรู้สึกยังไงกับซูจิ้งดี
ที่ผ่านมานั้นเธอเองแค่สงสัยเฉยๆว่าทำไมเขาถึงได้พัฒนาไปไกลนักเมื่อไม่มีเธอ และตลอดมาเธอเองก็พยายามที่จะใส่ใจซูจิ้งและต้องการจะมีชีวิตที่ดีกว่าตอนคบกับซูจิ้งเท่านั้น
แต่ในตอนนี้ เธอกลับต้องการพบกับซูจิ้งอีกครั้ง แค่นั้นเธอก็รู้สึกเพียงพอแล้ว
“ยังไม่มีข่าวเกี่ยวกับอาจิ้งอีกเหรอ” นาหลันเฟยถามผู้ช่วยของเธอ
“ยังเลย ตอนนี้พยายามติดตามเรื่องของซูจิ้งอย่างทุกฝีก้าวแล้ว หากเขาปรากฎตัวออกมาจะรีบแจ้งให้เธอรู้นะ”
“เฮ้ออออ” นาหลันเฟยถอนหายใจในทันทีที่ได้ยินคำตอบ หลังจากเธอรู้ว่าซูจิ้งคือมนุษย์แมงมุม เธอก็พยายามหาข้อมูลทุกวิธีทางเพื่ออยากรู้ว่าซูจิ้งนั้นกลับมาอย่างปลอดภัยรึเปล่า และต้องการพบกับซูจิ้งเป็นการส่วนตัว
แต่เธอนั้นกับรู้เพียงว่าเขานั้นกลับมาถึงประเทศจีนแล้วแต่ไม่ทราบถึงสถานการณ์หรือที่อยู่ปัจจุบันเลยแม้แต่น้อย เรียกว่าหายตัวอย่างไร้ร่องรอยเลยทีเดียว นี่ทำให้เธอนั้นอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นอกจากนาหลันเฟยและหวังหยานแล้ว ผู้คนมากมายที่สนิทชิดใกล้แม้แต่เพื่อนพ้องอย่างหวังจ้าว เฉิงหนาน หวังซือหยา เว่ยเสี่ยวหยวน จูเจียนฮัว เป็งหมิง หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย ฉินซูหลัน หลิวฉิง และคนอื่นๆต่างก็เป็นกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ของซูจิ้งอย่างมาก
ถึงแม้ว่าคนสนิทอย่างฉือชิงและน้องสาวของเขาอย่างซูหยาออกมาบอกว่าซูจิ้งนั้นยังคงอยู่อย่าได้เป็นกังวล แต่เมื่อคิดว่ายังอยู่แต่ไม่ยอมออกมาให้เห็นตัว แถมหายไปนานมากนี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะเป็นกังวล
แต่ในที่สุดแล้ว ซูจิ้งก็ออกมาปรากฎตัวอีกครั้ง โดยครั้งนี้เขาได้ออกมาชนิดที่ว่าเหนือกว่าใครจะคาดคิด
เขาได้ไปปรากฎตัวในรายการสัมภาษณ์ของช่องCCTV
ทันทีที่เขาปรากฎตัวนั้นได้เรียกความสนใจจากทั่วทั้งโลกราวกับลุกเป็นไฟทันที ในรายการนั้น ซูจิ้งได้ตอบคำถามจากพิธีกรถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และเป็นคำถามที่สมควรจะค้างคาใจมากที่สุดนั่นก็คือศัตรูของเขาในครั้งนี้คือใครกันแน่
ซูจิ้งได้อธิบายออกมาร่างเงาดำที่ทุกคนเห็นนั้นคือพวกพ่อมดหมอผีที่มีวิชาอาคมอันแกร่งกล้าและชั่วร้าย ด้วยการที่มันนั้นทำเรื่องเลยร้ายมามากมายทำให้มีความแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป
และนั่นไม่ใช่เรื่องที่แค่ความรู้ทั่วไปของโลกนั้นยุคนี้จะจัดการได้ และนี่คือสิ่งที่เขานั้นพยายามจะอธิบายให้ง่ายที่สุดเท่าที่ทุกคนจะยอมรับได้
ถึงแม้ว่าสิ่งที่ซูจิ้งพูดออกมานั้นจะดูเรียบง่ายและเหลือเชื่อจนยากจะเชื่อได้ก็ตาม แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นทำให้โลกตื่นตะลึงด้วยสิ่งต่างๆมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องจิตวิญญาณและเสริมสร้างร่างกาย
ยังไม่รวมถึงทักษะของซูจิ้งที่ใช้ในระหว่างการต่อสู้ที่ทรงพลังเหนือล้ำกว่าความรู้ของผู้คนบนโลกใบนี้จะทำความเข้าใจได้อีก นี่ทำให้ทุกคำพูดของเขาที่พูดออกมานั้นน่าเชื่อถืออย่างช่วยไม่ได้
และด้วยเหตุนี้ ตอนนี้ซูจิ้งไม่ใช่เพียงคนที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกเท่านั้น ตัวเขาในตอนนี้ได้กลายเป็นที่เคารพศรัทธาของผู้คนจากนานาประเทศไปแล้ว
และด้วยเหตุนี้อีกเช่นเดียวกัน ค่าการใช้ประโยชน์ของซูจิ้ง ทะยานอย่างไม่หยุดยั้งจนในตอนนี้ค่าการใช้ประโยชน์ของซูจิ้งที่ได้รับมาจากการช่วยโลกนี้ไว้ถ่งสูงขึ้นไปกว่าเก้าแสนหน่วยไปแล้ว และยังพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่าค่าหนึ่งล้านหน่วยที่ตั้งหวังไหว ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อมอีกต่อไป นี่ทำให้ซูจิ้งยิ้มไม่หุบและหน้าบ้านเป็นจานเชิงในทันทีที่รู้เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม กว่าจะได้ครบหนึ่งล้าน เขาคาดการไว้ว่าน่าจะเลยผ่านช่วงงานแต่งงานของเขาไปแล้ว และในตอนนี้เขาก็ได้วุ่นอยู่กับการเชิญคนสนิทและเพื่อนฝูงมาเข้าร่วมงานหมั้นและงานแต่งที่จะจัดขึ้นที่หอตระกูลของเขา
GGS:บทที่ 1160 แต่งงาน (1)
ในวันมงคลของซูจิ้ง ชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลซูเต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี
หอบรรพชนได้ถูกปรับปรุงยกเครื่องใหม่เรียบร้อยแล้ว หอบรรพชนในตอนนี้ดูสวยงาม งามสง่า และดูสูงศักดิ์ อีกทั้งยังดูหรูหราและน่าดึงดูดใจ พื้นที่ของหอนั้นกว้างมากราวกับหอประชุม พื้นที่ภายนอกเป็นสวนที่สวยงามและทอดยาวไปจนถึงชายหาด
สวนภายนอกในตอนนี้เต็มไปด้วยดอกไม้ มองรวมๆแล้วช่างดูสวยสง่า ราวกับถูกปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกแห่งแดนสวรรค์ มีตะเกียงดอกบัวลอยละล่องอยู่ในท้องทะเล สภาพโดยรวมช่างดูน่าหลงใหลและดึงดูดใจ ประกอบกับมีบทเพลงบรรเลงขับกล่อมในงานแล้ว เปรียบได้ดั่งสรวงสวรรค์ก็ไม่ปาน
ในตอนนี้ไม่เพียงแต่แขกเหรื่อของซูจิ้งจะได้มาถึง แม้แต่บรรดาสัตว์เลี้ยงของซูจิ้ง หรือสัตว์อื่นๆที่อาศัยโดยรอบ ราวกับรับรู้ได้ถึงวันแห่งความสุขนี้ได้มารวมตัวกันพร้อมกับส่งเสียงไปมาเป็นระยะราวกับกำลังพูดคุยถึงเจ้าของงานอย่างมีความสุข
ในช่วงตอนเย็น แขกมาจนเกือบแน่นพื้นที่แล้ว
“ใกล้ได้เวลาแล้ว” หวังซือหยา หวังจ้าว และคนอื่นๆพูดคุยกัน
“ใช่” หวังจ้าวที่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขามาที่นี่พร้อมภรรยา ลูกชาย เฉิงหนาน ซูฉือ และผู้บริหารของกลุ่มทุนห้วงเวลา
“ฉันล่ะอิจฉาศิษย์พี่จิ้งจริงๆเลยน้า…ที่ได้แต่งกับภรรยาสาวสวยแบบนี้ แต่ก็อีกล่ะนะ มีเพียงแค่พี่จิ้งอีกเหมือนกันที่คู่ควรกับพี่สะใภ้น่ะ” หลิวฉิงพูดออกมาพลางถอดถอนลมหายใจ
“แน่นอน พี่สะใภ้สวยประดุจดั่งนางฟ้าขนาดนั้น หากไม่ได้แต่งกับเทพซูแล้วใครจะคู่ควรกัน” ฉินซูหลานพูดออกมา ทำให้โจวหลันที่ยืนอยู่ข้างๆถึงกับอมยิ้ม
โจวหลันนั้นในครั้งนี้ไม่ได้แสดงท่าทีหึงหวงหรือต่อว่าฉินซูหลานแต่อย่างใด ยังไงซะอย่างน้อยๆในวันนี้ตัวเอกของงานก็เป็นถึงซูจิ้งและฉือชิงเลยล่ะนะ
เฉินเจี่ยเหยาและเฉินฮองกำลังชื่นชมบรรดาสัตว์เลี้ยงของซูจิ้ง
แม้แต่อาจารย์ของพ่อเขาอย่างรุยเซียงและจิงดงก็ยังมา
ฮัวฮงหยาง ฮัวเฟยหยุน ไคหวูเฟิง หวู่หลง จี้เสี่ยวติง และคนอื่นๆได้มาถึง
มู่หรงเซียนเอ๋อ กู่เย่ว กู่หยุน หลี่หยวนและคนอื่นๆได้มาถึง
ตัวแทนสี่ตระกูลใหญ่แห่งเมืองจงหยุน หวังหยาน หวังหยิงหมิง ถังเสี่ยวหยู ถังยี่ ถังฮ่าว ซงเกาหยุน ซงจุนยี่ โจวเทียนรุย โจวฮงหยาน ได้มาถึง
เฉียนหยินหนิง เฉียนไจบิง ตงซุน เจียงหนี่ เลาชง เตียนจงยี่ หลูฉิงหมิง ผู้อาวุโสหวู่ และบรรดาเศรษฐีที่พอจะรู้จักมักคุ้นซูจิ้งอยู่บ้างได้อยู่ในงานเรียบร้อยแล้ว
แน่นอนว่าย่าของซูจิ้ง ลูกพี่น้องอย่างเย่ปิงและเย่หลินต้องไม่พลาดโอกาสนี้ แม้แต่เพื่อนร่วมชั้นเรียกที่สนิทชิดเชื้อตั้งแต่ช่วงม.ต้น ม.ปลาย และมหาวิทยาลัยก็มาเข้าร่วมแสดงความยินดี
ในคราวนี้ เว่ยเสี่ยวหยวน หวังหยาน และนาหลันเฟยได้เข้าร่วมแสดงความยินดีด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง ด้วยการที่ทั้งสามได้รู้แล้วว่าซูจิ้งคือจอมยุทธมีดบินและมนุษย์แมงมุม ผลก็คือทั้งสามจับกลุ่มพูดคุยกันบ่อยครั้งเรื่องซูจิ้งจนสนิทสนมกัน แต่เมื่อได้พยกับซูจิ้งในงานแต่งงานของเขาแบบนี้ ทำให้ทั้งสามอดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้เหมือนกัน
ณ บ้านของซูจิ้ง
บรรดาญาติสนิทมิตรสหายของซูจิ้งได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่
ซูจิ้งในตอนนี้เขาอยู่ในชุดงานแต่งสีแดงที่ดูงามสง่าสมกับการเข้าพิธีงานแต่งตามธรรมเนียมโบราณทุกระเบียดนิ้ว ไม่มีกลิ่นอายของชุดแต่งงานสมัยใหม่เลยแม้แต่น้อย
แม่ของซูจิ้งหรือก็คือเย่ฉิงได้พูดออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดีว่า “อาจิ้ง ถึงเวลาแล้วนะยังมาอ้อยอิ่งอยู่ได้ รีบๆไปงานแต่งของลูกได้แล้ว”
“โฮ่ แม่ งานเพิ่งจะเริ่มเองจะรีบไปไหนเนี่ย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่าฮ่าฮ่า จักรพรรดิ์ไม่รีบ ขันทีรีบซะงั้น” ซูหยาพูดออกมาดังๆ
“ใครเป็นขันทีกันยะ” เย่ฉิงพูดออกมาพลางเบิดกระโหลกซูหยาไปเบาๆหนึ่งทีพร้อมหัวเราะออกมา
“ได้เวลาแล้ว” จูเจียนหัวส่ายหน้าไปมาพลางหัวเราะ
“ไปกันเถอะครับ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม และในทันทีที่กลุ่มของซูจิ้งไปถึง เหล่าผู้คนที่เตรียมพร้อมได้เป่าทรัมเป็ตต้อนรับพร้อมทั้งโยนกระดาษงานเลี้ยงให้หลิวว่อนในทันทีตั้งแต่ทางเข้าหมู่บ้าน
“มาแล้วมาแล้ว เจ้าบ่าวมาแล้ว”
“ไปกันเถอะ อยากรู้จริงๆว่าวันนี้มีอะไรน่าสนุกบ้าง”
หวังจ้าว หวังซือหยา หลิวฉิง ฉินซูหลาน หวังหยาน เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และคนอื่นๆได้เดินตามทีมเจ้าบ่าวไป ด้วยการที่หมู่บ้านตระกูลฉืออยู่ใกล้มากๆทำให้ไม่ต้องเดินไกลสักเท่าไหร่
เมื่อเข้าไปถึงหมู่บ้านตระกูลฉือ ผู้คนในหมู่บ้านก็ได้เตรียมพร้อมรอต้อนรับอยู่แล้ว สถานที่ที่กลุ่มของซูจิ้งไปนั้นก็คือหอตระกูลฉือ เพื่อกราบไหว้ กล่าวบรวงทรวง และสู่ขอฉือชิงจากบรรพบุรุษ
หลังจากนั้นกลุ่มของซูจิ้งได้เดินต่อไปยังบ้านของฉือชิง ระหว่างทางบรรดาเด็กๆในชุดสีแดงได้กั้นประตูเอาไว้อย่างง่ายๆตลอดทาง และแน่นอนว่าต้องไม่ยอมให้ผ่านไปง่ายๆนอกจากจะมีค่าเปิดทาง นี่ทำให้งานดูมีสีสันและชีวิตชีวาในทันที
ด้วยเรื่องแบบนี้ซูจิ้งย่อมไม่ตระหนี่ให้เสียชื่อแต่อย่างใด เขาทั้งโปรยเหรียญและแจกเงินที่อยู่ในซองแดงมากมายจนกระทั่งถึงประตูหน้าบ้านของฉือชิง
อย่างไรก็ตาม ตรงนี้ได้มีหลิวหยิน ลูฉิงหยา หยางเว่ย ตงเจียว และคนอื่นๆอยู่รอซูจิ้งพร้อมรอยยิ้มแสยะ ในฐานะที่เป็นพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงมีหรือที่พวกเธอจะยินยอมให้ซูจิ้งผ่านไปได้โดยง่าย
การที่ซูจิ้งจะผ่านพวกเธอไปได้นั้น แน่นอนว่าต้องผ่านการทดสอบของพวกเธอไปได้ซะก่อน
“ไม่ต้องมาทำหน้าแบบนั้นกันเลยนะ รีบๆไปเลยไป” ซูจิ้งที่เห็นรอยยิ้มของบรรดาพี่น้องนอกเลือดฉือชิงก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มและได้แต่ขับไล่ไสส่งไปเท่านั้น
เมื่อได้ยินคำพูดของซูจิ้ง ทุกคนก็ได้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ลูฉิงหยาเองที่ได้ยินก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ซูจิ้ง พวกเราออกจะสวยสดงดงามขนาดนี้จะทำตัวเป็นสุภาพบุรุษสักหน่อยไม่ได้รึไงเนี่ย นี่นายคิดว่าการที่ฉือชิงได้แต่งงานกับนายเป็นเรื่องวิเศษวิโสนักรึไง”
“แหงซิ วิเศษแบบสุดๆไปเลยล่ะ สำหรับฉันแล้วการได้แต่งงานกับชิงชิงนั้นสุดแสนจะวิเศษเลย ด้วยความวิเศษนี้จะทำให้ฉันมีชีวิตต่อได้อีกแปดชีวิต และสามารถช่วยพิทักษ์จักรวาลแห่งนี้ได้ตราบที่ชีวิตจะหาไม่ หลังจากนั้นฉันก็จะพาฉือชิงไปอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ต่อให้นายสามารถช่วยเหลือจักรวาลแห่งนี้ได้แปดครั้งแปดหน สำหรับพวกเรานั้นนั่นยังไม่เพียงพอหรอกนา หากนายต้องการแต่งกับชิงชิงของพวกเรานั้นต้องผ่านการทดสอบของพวกเราก่อน
ในฐานะที่นับถือกันเป็นพี่เป็นน้องกับชิงชิงแล้ว พวกเราต้องแน่ใจว่านายจะรักเธอคนเดียวไปจนวันตาย” ลูฉิงหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“จะให้ทำอะไรก็ว่ามา” ซูจิ้งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เยี่ยม พวกเราได้เตรียมด่านทดสอบเอาไว้แล้วสามด่าน หากนายผ่านไปไม่ได้อย่าหวังเลยว่าจะได้เห็นดวงตะวันของนายได้” หลูฉิงหยาพูดออกมา
“จัดมาเลยมะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีมั่นใจแบบสุด ตัวเขาที่ทำให้แม้แต่อเมริกาก็ยังต้องสยบ แม้แต่เรื่องร่างเงาดำนั่นก็ยังแก้ได้ แล้วเขาต้องกลัวอะไรกับสาวน้อยพวกนี้กัน
“เอาล่ะนะ ด่านแรก ฉันรักเธอด้วยร่างกาย…” เมื่อลูฉิงหยาพูดออกมานั้น ซูจิ้งก็ยังคงยิ้มออกมาบนใบหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน
แต่เมื่อเขาได้เห็นภาพต่อมานั้นทำให้เขาถึงกับหดรอยยิ้มลงไปเล็กน้อย ข้างหลังของบรรดาพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงก็คือเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังใส่หูฟังที่กำลังฟังเพลงอยู่และกินมาร์ชเมลโล่อย่างสนุกปาก
เมื่อซูจิ้งเห็นก็จำได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คือลูกสาวของฉือฉิงถัง เธอมีอายุเพียงสี่ขวบกว่าๆเท่นั้น ลูฉิงหยาได้พูดต่อว่า “นายต้องทำให้นีนี่รู้จักคำว่ารัก”
สายตาของซูจิ้งในตอนนี้ราวกับปลาตายในทันทีพร้อมกับโวยวายออกมาว่า “เธอจะบ้าเหรอ นีนี่อย่างมากก็น่าจะพึ่งจำได้แค่ตัวอักษรเท่านั้น คำว่ารักเนี่ยนะ ไม่มากเกินไปหน่อยรึไง”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงหรอกน่า พวกเราสอนเธอให้รู้จักคำว่ารักแล้วว่าเขียนยังไง นายก็แค่จะต้องทำท่าทางให้เธอรู้ว่านายกำลังทำตัวอักษรอะไรอยู่เท่านั้น หากนายทำไม่ได้ก็จะถือว่าไม่ได้รักชิงชิงของพวกเราดีพอ” ลูฉิงหยาได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่มากกว่าเดิม
ความมั่นใจของซูจิ้งราวกับวิ่งแตกกระเจิงหายไปในทันที ถ้าทำให้นีนี่จำคำว่ารักไม่ได้ก็จะถือว่าไม่ได้รักฉือชิงจริงงั้นเหรอ บ้านเอ็งเถอะ เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย เรียกได้ว่านี่มันหาเรื่องกันชัดๆ
แต่อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ฝ่ายเจ้าบ่าวแบบเขานั้นไม่สามารถปฏิเสธได้เป็นอันขาด ต่อให้ต้องยากเย็นแสนเข็ญแค่ไหนแล้วก็ต้องทำให้จงได้ แต่ที่จะพอทำได้ในตอนนี้ก็คงเป็นการต่อรองเท่านั้น
“ขอตัวช่วยได้ไหม” ซูจิ้งถามออกมา
“แน่นอน” หยางเว่ยรีบตอบออกมาก่อนที่จะโดนใครขัด
ซูจิ้งหันมองยังบรรดายอดชายเพื่อนพ้องของเขาอย่างจูเจียนหัว เป็งหมิง หลินฮ่าว ฉือเล่ย เสี่ยวรุย และคนอื่นๆที่โดนสบตานั้นต่างก็รู้สึกใจเต้นราวกับต้องประสบพบเจอกับรางร้าย แต่ในเมื่อเขานั้นคือเพื่อเจ้าบ่าวโดยเฉพาะเจ้าบ่าวอย่างซูจิ้ง ย่อมไม่มีทางถอยให้พวกเขาอยู่แล้ว ทุกๆคนที่โดนจ้องมองก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งและเดินออกมาแต่โดยดีโดยไม่ต้องให้ซูจิ้งถามย้ำความสมัครใจ
ผ้าห่มได้ถูกปูลงไปกับพื้นทั่วลานบ้าน หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้สั่งให้เหล่ายอดชายทุกคนประกอบร่างแสดงท่าทางออกมาเป็นคำว่ารัก ด้วยวิธีการนี้ถือได้ว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้วที่จะให้เด็กน้อยได้รู้จักคำว่ารัก
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นต้องการให้เป็นตัวอักษรแบบสมบูรณ์ที่สุด เพราะเด็กน้อยยังไม่รู้ว่าทุกคนทำอะไรกันแน่ ไม่แน่ก็ได้มีเสียงกระซิบออกมาจากปากจูเจียนฮัวและเปิงหมิง
“โอ้…ไม่ไม่ไม่ ขาจะหักแล้ว”
“เดี๋ยวๆๆหยุดก่อน ตัวฉันงอไม่ได้ขนาดนั้นนะ”
“เอ็งยังไม่ได้ดูเป็นวงกลมเลยนะเว้ย ตำแหน่งของเอ็งต้องทำเป็นรูปวงกลมสิ”
“วงกลมกับผีน่ะสิ ไหนลองทำให้ดูสิว่าต้องกลมขนาดไหน อึก..หลังช้านนนน”
ผู้คนที่เห็นฉากนี้ทั้งจากหมู่บ้านตระกูลฉือ หมู่บ้านตระกูลซู และแขกเหรื่อที่เห็นฉากนี้ต่างก็อดที่จะขำไม่ได้ บางคนได้เข้าไปช่วยดัดท่าทางให้เหล่าผู้โชคดีด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าทำให้ความสุขเบ่งบานกันได้ตั้งแต่ด่านแรกเลยทีเดียว
GGS:บทที่ 1161 แต่งงาน (2)
บรรดายอดชายเพื่อนของซูจิ้งนั้นในตอนนี้กำลังร้องโอดโอยกันระงมท่ามกลางเสียงหัวเราะของแขกเหรื่อที่เข้ามาเชียร์คนเหล่านี้ ช่างเป็นฉากเหตุการที่แสนรื่นเริงอย่างมาก
และผลสุดท้ายก็คือสิ่งที่พวกเขาลงทุนลงแรงแปลงร่างกายให้เป็นอักษรนั้นไม่ง่ายเลยแม้แต่น้อย เพราะสาวน้อยผู้ซึ่งเป็นคนตัดสินมัวแต่กินขนมอย่างเอร็ดอร่อยพร้อมทั้งหัวเราะเริงล่า ไม่ได้สนใจใยดีเลยว่าผู้คนที่อยู่ตรงหน้าของเธอนั้นทำอะไรกันแน่
“สาวน้อย อย่ามัวแต่กินสิ ลองดูดีๆหน่อย”
“หืออออออ ลุงใจร้าย ลุงดุหนู หนูไม่สนใจลุงแล้ว หนูไม่ดูอะไรทั้งนั้น”
“อ่า…เทพธิดาตัวน้อยคะ ช่วยดูให้ลุงหน่อยน้า… ลุงไม่ดุหนูแล้วนะ เห็นไหม ลุงพูดดีๆแล้ว เมื่อกี้ลุงผิดเอง หนูลองดูดีๆนะ ถ้าหนูตอบถูกล่ะก็เดี๋ยวลุงเอามาร์ชเมโล่มาให้อีกคันรถนึงเลย”
หลังจากตล่อมอยู่สามครั้งสามครา เมื่อนีนี่กินมาร์ชเมลโล่จนหมดแล้ว เมื่อนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ นีนี่จึงได้ตั้งใจมองจริงๆจังๆขึ้นเป็นครั้งแรก จนในที่สุดนีนี่ก็ได้พูดออกมาด้วยเสียงดังลั่นว่า “รัก”
เพียงสิ้นเสียงนี้เท่านั้น ทุกคนในงานต่างก็โห่ร้องแสดงความยินดีออกมาไปทั่ว จะมีก็เพียงเหล่ายอดชายเพื่อนของซูจิ้งเท่านั้นที่ค่อยๆลุกขึ้นมาพร้อมเสียงโอดโอยจับหลังจับแข้งจับขาราวกับซอมบี้เลยก็ว่าได้
“โหดแท้” เป็งหมิงพูดออกมาในขณะที่มองไปยังพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงด้วยความเข็ดขยาด
“เจียนฮัว…..ในนั้นมีแฟนนายอยู่ด้วยนี่เนาะ ไม่ลองขอให้เธอช่วยดูหน่อยล่ะ” หลินฮ่าวพูดออกมาในขณะใช้มีจับบ่าจูเจียนฮัว
“ยัยนั่นเป็นคู่หมั้นของฉันก็จริง… แต่ในงานนี้เธอไม่มีทางอยู่ข้างฉันอย่างแน่นอน…” จูเจียนฮัวในตอนนี้ทำท่าทางคอตกเล็กน้อยราวกับว่าอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ร้องไม่ออก
“ได้แต่หวังว่าอีกสองด่านจะไม่โหดเท่านี้ล่ะนะ” ฉือเล่ยพูดออกมาด้วยท่าทีแหยๆ
“เอาน่า อย่างน้อยๆก็คงไม่ถึงตายล่ะนะ แต่พี่สามนี่ก็จริงๆเล้ย เมื่อกี้เห็นรึเปล่า เขาไม่อยากทำรูปร่างเป็นวงกลมเลยให้พวกเราทำแทน” เสี่ยวรุยพูดออกมาออกแนวเคืองนิดๆ
“ด่านแรกนี่ทำได้ดี” ลูฉิงหยาพยักหน้าออกมาราวกับยอมรับในความพยายามก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า “เอาล่ะ ด่านที่สอง ด่านนี้นายไม่สามารถให้ใครช่วยได้ นายจะต้องผ่านด่านไปให้ได้ด้วยตัวเอง เอาจริงๆต่อให้พวกเขาอยากจะช่วยแต่ฉันว่าก็น่าจะช่วยไม่ได้อ่ะนะ” เมื่อได้ยินคำพูดของลูฉิงหยาแล้วทำให้ทั้งจูเจียนฮัว เป็งหมิง และคนอื่นๆต่างรู้สึกโล่งอกขึ้นมาในทันที
“…………………….ทำอะไร…………” หากเป็นก่อนหน้านี้ ซูจิ้งนั้นย่อมไม่หวันไหวอย่างแน่นอน แต่หลังจากผ่านด่านแรกมาอย่างหืดขึ้นคอก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ซะแล้ว
“ปิดตาแล้ววาดรูปออกมาให้ดีที่สุด แน่นอนว่าคนตัดสินคือนีนี่และพวกเรา” ลูฉิงหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ฉิบหายละ”
“ต่อให้เป็นซูจิ้งก็เถอะ แต่ไอ้การปิดตาวาดรูปนี่มันจะไม่เกินไปหน่อยรึไง”
“….ร้ายชะมัด…”
“ฮ่าฮ่า มีเรื่องสนุกๆให้ดูอีกแล้วสิ”
เมื่อเจอกับปัญหานี้ซูจิ้งถึงกับยิ้มกว้างในทันที แน่นอนว่าเมื่อลูฉิงหยาเตรียมด่านนี้มาย่อมต้องเตรียมอุปกรณ์วาดรูปอย่างกระดาษ พู่กัน น้ำหมึก และหินฝนไว้ให้
หลังจากซูจิ้งนั่งประจำที่และหยิบพู่กันแล้ว เขาก็ได้ปิดตาตัวเอง หลังจากนั้นจึงได้เริ่มลงมือวาดรูป
ในตอนแรกทุกคนที่ได้ยินต่างก็คิดว่าซูจิ้งที่ในตอนนี้ต้องปิดตาวาดรูปนั้นต้องวาดได้อย่างยากลำบากอย่างแน่นอน นั่นก็เพราะการวาดรูปพู่กันจีนนั้น นอกจากการวาดแล้วจะเป็นต้องจัดเตรียมน้ำหมึก ฝนหมึก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ทำได้ยากเมื่อต้องปิดตา ต่อให้ความจำดียังไงก็ต้องมีคลาดเคลื่อนกันบ้าง
โดยไม่มีใครคาดคิด ซูจิ้งในตอนนี้ยังคงวาดรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งการจรดหมึกจากหัวแปลง ทั้งการวาดเส้นล้วนลื่นไหลราวสายน้ำ เรียกได้ว่าเป็นลายเส้นที่สมบูรณ์พร้อมเลยก็ว่าได้
“พระเจ้าช่วย” ลูฉิงหยา หยางเว่ย หลิวหยิน ตงเจียว และคนอื่นๆต่างก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
เหล่าสาวๆนั้นต่างปรึกษากันแล้วและคิดว่าการทดสอบนี้ยากที่สุดเลยด้วยซ้ำ พวกเธอนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นจดจำฉือชิงได้ฝังลึกในจิตใจมากมายขนาดไหน
แต่พวกเธอไม่คิดว่าซูจิ้งจะวาดออกมาได้แม้แต่จะปิดตาอยู่ได้ดีถึงขนาดนี้ นี่เรียกได้ว่าจากด่านที่ยาก กลายเป็นด่านที่ช่วยซูจิ้งซะอย่างนั้น
ส่วนแขกในงานตอนนี้ต่างก็รู้สึกมหัศจรรย์ใจในตัวซูจิ้งในทันที
ซูจิ้งยังคงวาดรูปต่อไป เขาวาดด้วยความเร็วที่สูงมากและยังไม่ได้จุ่มหมึกเลยแม้แต่น้อย เพียงชั่วเวลาไม่นาน รูปวาด ก็ได้ปรากฎออกมาเป็นรูปของฉือชิงที่ดูงามสง่าและอยู่ในชุดสีขาว ถึงแม้ว่าสีขาวนี้จะเป็นสีของกระดาษแต่ภาพวาดของซูจิ้งนั้นก็สื่อออกมาเป็นแบบนั้น
ราวกับว่าต่อให้วาดภาพนี้เสร็จและทิ้งไว้อีกนาน ชุดก็ยังเป็นสีขาวอยู่ดีต่อให้กระดาษเปลี่ยนสีไปแล้วก็ตาม
และด้วยเหตุนี้ทำให้แขกเหรื่อที่เห็นต่างก็ตกตะลึง ส่วนสาวๆในงานต่างก็รู้สึกอิจฉาฉือชิงอย่างช่วยไม่ได้ นั่นก็เพราะการจะวาดรูปให้ออกมาเหมือนได้ถึงขนาดนี้นั้นไม่เพียงต้องรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดี ยังต้องมีความจำเป็นเลิศและทักษะการถ่ายทอดออกมาในระดับที่สูงล้ำ
นาหลันเฟยและเว่ยเสี่ยวหยวนที่เห็นนั้นยิ่งรู้สึกอิจฉามากกว่าใคร แต่กลับหวังหยานนั้นตัวเธอเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน มันเป็นความรู้สึกอิจฉาปนเสียดายปนชื่นชมผสมกันจนยากจะบอกได้ และนี่ก็ทำให้เธออดที่จะคิดไปไม่ได้ว่าหากตอนนี้เธอยังไม่ได้เลิกกับซูจิ้ง คนในภาพก็สมควรจะเป็นเธอไปแล้ว
หลังจากผ่านไปกว่ายี่สิบนาที ซูจิ้งก็ได้หยุดมือลง กับคนรอบๆในตอนนี้ถึงแม้จะยืนเฉยๆผ่านมากว่ายี่สิบนาทีแล้วแต่พวกเขากับไม่รู้สึกเหนื่อย เบื่อ หรือเมื่อยเลยแม้แต่น้อย เรียกได้ว่าพวกเขานั้นถูกการวาดภาพของซูจิ้งนั้นดึงดูดจนหลงลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น
ซูจิ้งได้แก้ผ้าผูกตาออกพร้อมจะถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ผ่านมะ”
“….ผ่านนนน…..” ลูฉิงหยาตอบออกมาอย่างจำใจ จะให้แกล้งบอกว่าไม่ผ่านได้ยังไงกัน ก็เมื่อกี้ตอนที่หยางเว่ยอุ้มนีนี่ไปดูใกล้ๆเธอได้พูดออกมาว่าเป็นฉือชิงไม่หยุดเลย
ไม่เพียงนีนี่จะจำได้แต่เด็กน้อยยังนึกว่าฉือชิงไปอยู่ในรูปซะด้วยซ้ำ ต่อให้อยากบอกปัดก็คงจะบอกออกมาไม่ได้ล่ะนะ
แม้แต่หยางเว่ยที่เห็นก็ยังอดที่จะบอกออกมาไม่ได้ว่ารูปนี้คือสมบัติด้วยซ้ำ เธอบอกว่ามันประเมินค่าไม่ได้ ถึงขนาดที่ว่าเธอต้องพานีนี่ถอยห่างจากรูปในทันทีเพราะไม่อยากให้เด็กน้อยทำให้รูปนี้เสียหาย
“หึหึหึ แล้วด่านสุดท้ายล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ด่านสุดท้ายนี่ง่ายมาก นายก็แค่ต้องทำอะไรสักอย่างให้พวกเราเห็นถึงความรู้สึกที่นายมีต่อชิงชิงของพวกเราจนทำให้พวกเรานั้นหวั่นไหวและใจอ่อนพอที่จะยอมเปิดทางให้ก็เท่านั้นเอง” ลูฉิงหยาพูดออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อ กู่เย่ว กู่หยุน หลี่หยวน นาหลันเฟย และคนอื่นๆได้ยินก็ถึงกับตาเป็นประกายในทันที ราวกับว่าพวกเขานั้นรู้ได้เลยว่าซูจิ้งจะทำอะไรกันแน่
“อืมมมม ช่างง่ายดายจริงๆด้วย” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มนี่ทำให้รอยยิ้มของลูฉิงหยา หยางเว่ย หลิวหยิน และคนอื่นๆกระตุกมุมปากในทันที
ซูจิ้งได้มองไปบนท้องฟ้าและทำการผิวปาก ไม่นาน เสี่ยวจินที่ในตอนนี้ได้ปรากฎออกมา ที่เท้าของมันนั้นขยุ้มกู่จิ้งเอาไว้ มันบินต่ำลงมาก่อนที่จะปล่อยกู่จิ้งจากลางอากาศ และซูจิ้งก็ได้กระโดดขึ้นไปรับอย่างสวยงาม
หลังจากได้กู่จิ้งมาแล้ว ซูจิ้งไม่ได้ไปที่โต๊ะหรือม้านั่งแต่อย่างใด เขาได้นั่งลงและตั้งเข่าของตัวเองขึ้นมาหนึ่งข้างก่อนที่จะวางกู่จิ้งไว้บนเข่าของตน
เขา ได้เริ่มบรรเลงเพลงจากกู่จิ้งด้วยท่วงทำนองที่แสดงออกถึงความเดียวดาย เหงียบเหงา ก่อนที่จะตามมาด้วยท่วงทำนองที่สวยงามและมีความสุข
ในทันทีที่เสียงกู่จิ้งได้กระจายออกไปก็แทบจะเข้าไปตราตรึงใจของผู้คนได้ในทันที
ยิ่งทุกคนได้ฟังมากขึ้นเท่าไหร่ ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของซูจิ้งที่มีต่อฉือชิงว่าตัวเขานั้นรักฝังลึกในตัวฉือชิงมากมายขนาดไหน
แค่ฟังก็รู้สึดได้ว่าสำหรับซูจิ้งแล้ว ฉือชิงคือคนที่สวยที่สุดบนโลกใบนี้ และหากจะถามเขาว่ารักได้ขนาดไหน เขาก็พร้อมที่จะบอกออกมาในทันทีว่ารักไปจนวันตาย ราวกับอยากจะสอนผู้คนที่ได้ฟังให้รู้จักว่าความรักนี้สมควรจะเป็นเช่นไร เช่นเดียวกับการสอนผู้คนให้ใช้ชีวิตและเตรียมรับการดับสูญของตนเอง
ยิ่งฟังยิ่งดื่มด่ำไปในบทเพลง
ในตอนนี้ ผู้คนต่างก็หลงลืมไปแล้วว่านี่เป็นเพียงบททดสอบเท่านั้น พวกเขารับฟังบทเพลงด้วยความรู้สึกแห่งรักที่ไม่เคยแสดงออกมาแม้แต่น้อย
ผู้หญิงหลายๆคนที่ได้ยินต่างก็อดไม่ได้ที่จะตาชื้นออกมา พวกเธอไม่ได้โศกเศร้าแต่อย่างใด จะมีก็เพียงความหวั่นไหวเท่านั้น กลับไกล ฝั่งผู้ชายซะอีกที่หลั่งน้ำตาออกมาหลายคน
ในกลุ่มคนที่กำลังเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพลงอยู่นี้ คนที่หลั่งน้ำตาออกมาจริงๆและมากที่สุดคงหนีไม่พ้นมู่หรงเซียนเอ๋อ เว่ยเสี่ยวหยวน นาหลันเฟย และหวังหยาน ในขณะเดียวกัน พวกเธอก็ได้บังเกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาในจิตใจว่าทำไมคนๆนั้นที่ซูจิ้งหมายถึงในเพลงไม่ใช่พวกเธอกัน
สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นมาเป็นไปตามความตั้งใจที่แฝงเอาไว้ในบทเพลงนี้ บทเพลงนี้ ซูจิ้งได้มาจากห้วงเวลาฯพระเจ้าจากทางตะวันออก
บทเพลงนี้ซูจิ้งเก็บเอาไว้เป็นพิเศษเพื่อเล่นในงานมงคลวันนี้โดยเฉพาะ มันมีชื่อว่า “เมามายความรัก”
GGS:บทที่ 1162 แต่งงาน (3)
หลังจากบรรเลงกู่จิ้งไปได้พักใหญ่ เสียงบรรเลงก็ได้ค่อยๆเบาลงจนจางหายไป ในระหว่างการบรรเลง บรรดาแขกเหรื่อต่างนิ่งเงียบละตกตะลึงละคนกันไป และยังเป็นอย่างนี้อยู่นานจนบางคนเริ่มกลับออกมาจากภวังและปาดน้ำตาตัวเองทีละคนสองคน พวกเขาตบมือกันอย่างหนักหน่วงที่สุดเท่าที่จะหนักได้แสดงถึงความยอดเยี่ยมของบทเพลงนี้
“ว่าไง ใจอ่อนรึยัง” ซูจิ้งพูดในขณะที่เขานั้นยกกู่จิ้งแนบไว้ข้างลำตัวและลุกขึ้นยืนพลางจ้องไปทางลูฉิงหยาและถามออกมาด้วยรอยยิ้ม
“…ไม่…ไม่…ยัง…ฉันยังไม่ใจอ่อน…” ลูฉิงหยาพูดออกมาในขณะที่พี่น้องนอกเลือดของพวกเธอต่างก็ร้องไห้กันระนาวไม่เว้นแม้แต่ตัวเธอเอง แต่ทุกคนก็ยังส่ายหัวไปมาไม่ยอมรับอยู่ดี
“จะบ้าเรอะ พวกเธอก็ร้องไห้ออกมากันขนาดนั้นยังบอกว่าไม่ใจอ่อนอีกเนี่ยนะ” หลินฮ่าวพูดออกมาในขณะที่เริ่มจ้องไปยังกลุ่มของลูฉิงหยาด้วยสายตาไม่พอใจ
“อย่าบอกนะว่าผงเข้าตาน่ะ เหอะ”
“พวกเราบอกว่าไม่ก็คือไม่สิ” ลูฉิงหยาและบรรดาพี่น้องนอกเลือดของเธอนั้นได้เริ่มโต้เถียงทั้งๆที่มีน้ำตาออกมา แค่ดูก็รู้ว่าพวกเธอนั้นโกหกแน่ๆ
ตั้งแต่ต้นนั้นพวกเธอตั้งใจว่าจะไม่แสดงท่าทีอ่อนไหวออกมาในเพลงแรกและจะยอมรับในเพลงที่สอง นึกไม่ถึงว่าพวกเธอจะอดที่จะร้องไห้ออกมาอย่างทราบซึ้งไม่ได้ตั้งแต่เพลงแรก แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นพวกเธอก็ไม่ยินดีที่จะปล่อยผ่าน เพราะพวกเธอต้องการที่จะได้ยินเพลงบรรเลงสดของซูจิ้งที่ยากจะได้รับนี้อีกสักเพลง
“โห่…อีกเพลงสินะ” ซูจิ้งหัวเราะออกมาพลางยกมีขึ้นเป็นสัญลักษณ์เชิงให้ทุกคนหยุดต่อล้อต่อเถียง เขารู้ดีว่าเถียงไปก็เท่านั้น เพราะเท่าที่ดูนั้นพวกเธอเพียงต้องการฟังเพลงของเขาอีกสักเพลงสองเพลงก็เท่านั้นเอง
ซูจิ้งได้นั่งลงและชันเข่าขึ้นมาหนึ่งข้างอีกครั้ง หลังจากวางกู่จิ้งลงไปที่ท่อนขาแล้ว เขายังไม่ได้เริ่มบรรเลงแต่อย่างใด ในตอนนี้เขาเพียงหลับตาลงและอยู่นิ่งๆเงียบๆ แต่ในตอนนี้กลับไม่มีใครเลยที่กล้าจะส่งเสียงอะไรออกมา แม้แต่เด็กน้อยอย่างนีนี่เองก็ยังไม่แม้แต่พูดอะไรสักคำ
หลังจากผ่านไปสักพัก ทันใดนั้นซูจิ้งได้ลืมตาขึ้นมาพร้อมทั้งนิ้วมือที่กดลงไปบนสายกู่จิ้ง แค่เพียงเสียงแรกก็เข้าไปจับใจของผู้คนที่ได้ยินได้แล้ว เพียงแค่ได้ยินก็ทำให้ผู้คนดื่มด่ำกับเสียงกู่จิ้งได้เลย
และเพียงเสียงแรกที่ออกมานี้ทำให้ทั้งกู่เย่ว และมู่หรงเซียนเอ๋อถึงกับต้องถลึงตาด้วยความประหลาดใจ ในขณะที่กู่หยุน หลี่หยวน นาหลันเฟย และคนอื่นๆกลับรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก
ช่างเป็นเสียงที่ส่งผลต่อจิตใจได้อย่างน่าประหลาด
เพียงเสียงบรรเลงแรกนี้ทำให้ผู้คนปรากฎภาพที่สวยงามขึ้นมาในจิตใจ พวกเขาหันไปหาคู่ครองของตัวเองอย่างช่วยไม่ได้ราวกับว่าแค่ได้ฟังก็ทำให้รับรู้ได้ว่าคู่ครองของตนนั้นทำไมถึงได้รักกันได้ขนาดนี้ ระหว่างทางแห่งความรักของทั้งสองผ่านอะไรมาบ้างถึงสามารถแต่งงานและอยู่กินกันมาได้จวบจนปัจจุบัน เพลงเสียงๆเดียวก็สามารถบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตรักของตนออกมาได้ในทันที
ทุกคนในที่นี้ได้ยอมรับเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าเพียงเสียงหนึ่งนี้ดีกว่าบทเพลงไหนๆที่ซูจิ้งเคยเล่นมาทั้งหมดแล้ว
มันเป็นเสียงที่แฝงเอาไว้ด้วยทักษะทั้งหมดที่ซูจิ้งมี เรียกได้ว่าแค่เสียงๆเดียวก็จับใจผู้คนไปอีกนาน ถ้าไม่เรียกว่าจับใจก็ไม่รู้แล้วเหมือนกันว่าควรจะใช้คำว่าอะไรดี
เว่ยเสี่ยวหยวนร้องไห้ออกมา
นาหลันเฟยร้องไห้ออกมา
หวังหยานร้องไห้ออกมา
มู่หรงเซียนเอ๋อร้องไห้ออกมา
ถึงแม้ในคราวนี้ทั้งสี่คนจะร้องไห้ออกมา แต่คราวนี้ความรู้สึกในใจแบบก่อนหน้านี้อย่างทำไมถึงไม่ใช่พวกเธอไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด
ตอนนี้พวกเธอรู้สึกถึงความรักที่ซูจิ้งมีต่อฉือชิงเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และไม่มีใครที่จะสอดแทรกความรักของคนทั้งสองได้อีก ต่อให้ฉือชิงจะเป็นฝ่ายถอยไปเอง แต่ซูจิ้งก็ไม่คิดที่จะเลิกรักแต่อย่างใด
แต่หากใครก็ตามที่คิดจะเข้าสอดแทรกก็คงไม่แคร้วที่จะถูกพระเจ้าลงทัณฑ์เป็นแน่ แน่นอนว่าพวกเธอย่อมไม่เหลือใจที่จะกีดขวางอีก
กับคนอื่นนั้นก็ปรากฎภาพในจิตสำนึกที่แตกต่างกันไป แม้แต่เด็กน้อยเองก็ยังต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างช่วยไม่ได้ บางคนที่ไม่มีคู่ครองกลับต้องร้องไห้อย่างหนัก จนทำให้หนุ่มโสดบางคนอดไม่ได้ที่จะซับน้ำตาให้
เพียงเสียงหนึ่งได้หมดลง หลงเหลือไว้เพียงผู้คนที่ประทับใจอย่างสุดซึ้ง
กู่เย่วและมู่หรงเซียนเอ๋อนั้นเป็นคนที่ตกตะลึงมากกว่าใครเพื่อน ทั้งสองรู้ในทันทีว่าเพียงเสียงกู่จิ้งเสียงหนึ่งของซูจิ้งนี้บรรลุไปยังระดับที่แม้แต่ทั้งสองก็ไม่รู้จัก
ความรู้สึกของทั้งสองคนนั้นในตอนนี้ยกซูจิ้งให้เป็นเทพกู่จิ้งเรียบร้อยแล้ว นั่นก็เพราะเพียงเสียงกู่จิ้งหนึ่งของเขานั้นก็สามารถส่งความรู้สึกตรงไปยังผู้คนที่ได้ยินเรียบร้อยแล้ว
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมานั้น ซูจิ้งไม่เพียงจะพักผ่อนเพื่อรักษาบาดแผลเท่านั้น เขาได้ทำการฝึกฝนกู่จิ้งเพื่อบรรเลงเพลงมัวเมาความรักเพื่อให้ไปถึงระดับที่เขาพอใจ
และในตอนนี้เองที่ซูจิ้งรู้สึกได้ว่าตนเองได้บรรลุไปถึงระดับแก่นแท้แห่งซูจิ้งจึงได้ลองใช้เทคนิคนี้ดู
“…นี่…คือเพลง…อะไรน่ะ” หยางเว่ยถามออกมาในขณะที่หลั่งน้ำตาออกมาอย่างไม่ขาดสาย
“กิ่งทองใบหยก” ซูจิ้งได้นำกู่จิ้งแนบไว้กับลำตัวอีกครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นยืน เพลงเมามายความรักและเพลงกิ่งทองใบหยกต่างก็เป็นเพลงจากห้วงเวลาฯเทพจากตะวันตก ที่นั่นเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสุ่มเสียงแห่งธรรมชาติ ในตอนแรกที่ตัวเอกอย่างฮองยี่ได้พบที่นั่น เขาจึงได้แรงบรรดาลใจเล่นบทเพลงนี้ขึ้นมา
“โชคดี….โชคชะตาที่ดีสินะ” หวังหยานพึมพำออกมาราวกัยพูดกับตัวเอง เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเหมือนกันแต่ในตอนนี้เธอนั้นแค่เหมือนจะร้องไห้แต่ก็ไม่ได้จะร้องไห้ออกมา
ส่วนเว่ยเสี่ยวหยวนและนาหลันเฟยนั้นทั้งสองต่างก็ร้องไห้แต่กลับมีความคิดภายในใจที่แตกต่างกัน ทั้งสองต่างก็พึ่งจะรู้ว่าซูจิ้งคือมนุษย์แมงมุมและนั่นทำให้อยากจะพบกับซูจิ้งเป็นการส่วนตัวอีกสักครั้ง แต่มาในตอนนี้ทั้งสองกลับคิดว่าต่อให้ซูจิ้งจะเป็นมนุษย์แมงมุมจริง เป็นผู้ช่วยชีวิต เป็นผู้ชายที่สุดแสนจะเปอร์เฟคขนาดไหนก็ตาม แต่ในตอนนี้เขาได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขานั้นได้ครองคู่กับฉือชิงที่เป็นคู่ครองที่ดีที่สุดในชีวิตของเขาอยู่แล้ว
“ผ่านรึยังเอ่ย” ซูจิ้งถามออกมา
ทั้งลูฉิงหยา หยางเว่ย ตงเจียว และหลิวหยินนั้นต่างก็มองหน้ากันในทันที ทั้งหมดต่างก็รับรู้ได้แล้วว่าคงเป็นการยากที่จะได้รับฟังบทเพลงของซูจิ้งได้อีกสักเพลงแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเธอไม่สามารถต้านทานความรู้สึกกดดันจากเสียงบรรเลงกู่จิ้งของซูจิ้งเมื่อสักครู่นี้ได้เลย หากพวกเธอดื้อดึงต่อไปคงไม่ต่างจากการล่มงานแต่งเป็นแน่
หากว่าพวกเธอได้รับฟังบทเพลงที่พวกเธอคาดหวังอย่างเพลงกิ่งทองใบหยกล่ะก็เธอก็ยังพอที่จะดื้อดึงอยู่ได้เหมือนกัน เพราะตอนที่พวกเธอได้ฟังบทเพลงนั้นทำให้พวกเธออดไม่ได้ที่จะเห็นซูจิ้งแต่งงานกับฉือชิงเร็วๆ และด้วยเหตุนั้นทำให้พวกเธอคิดด่านนี้ขึ้นมา
แต่มาตอนนี้พวกเธอกับรู้สึกได้แล้วว่าหากพวกเธอยังคงฝืนดื้อดึงต่อไปคงไม่แคร้วโดนสวรรค์ลงทันเป็นแน่
แต่ยังไม่ทันทีที่พวกเธอนั้นจะได้พูดอะไรออกมา ฉือชิงในตอนนี้เธอได้ออกมาจากห้องด้วยตัวเอง พร้อมทั้งน้ำตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุข การที่ได้รับฟังบทเพลงทั้งสองนี้ทำให้เธอทนรอไม่ไหวแล้ว
เมื่อซูจิ้งได้เห็นฉือชิงที่ในตอนนี้สวมมงกุฏนกเพลิงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกมีความสุขเต็มหัวใจ
เดิมทีแล้ว วัสดุที่ใช้ทำมงกุฎนี้ก็คือขนของนกเพลิงฟินิกซ์ของจริงที่เขาพึ่งจะได้มาจากห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน ส่วนผ้าไหมนั้นได้มาจากห้วงเวลาฯคัมภีร์วิถีเซียน ส่งผลให้มงกุฎนี้เต็มไปได้กลิ่นอายที่ดูหรูหรา งามสง่า และน่าหลงไหล และเมื่อสวมใส่โดยสาวงามอย่างฉือชิงแล้ว บอกได้แลยว่าเป็นการส่งเสริมกันได้อย่างลงตัว
ทุกคนที่เห็นฉือชิงในตอนนี้ก็อดที่จะรู้สึกไม่ได้ว่าอยากจะจัดงานแต่งงานของตนตามพิธีจีนโบราณแบบนี้บ้าง
“ชิงชิง ทำไมเธอถึงออกมากันล่ะ” ลูฉิงหยาได้แต่นิ่งอึ้งไปในทันทีที่เห็น
“ก็ท่าไม่ออกมาพวกเธอก็มัวแต่เล่นอยู่น่ะสิ” ฉือชิงพูดพลางมองค้อนพร้อมทั้งใช้นิ้วตัวเองปาดน้ำตาของตัวเองไปด้วย การที่ฉือชิงนั้นสวยอยู่แล้วทำให้เธอนั้นไม่จำเป็นต้องแต่งหน้า และนั่นทำให้เธอไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องสำอางหลุดเรอะไปแม้แต่น้อย
“โอ้ ชิงชิงน้อชิงชิง ชิงชิงของพวกเรานั้นอดใจรอไม่ไหวซะแล้ว เป็นความผิดของพวกเราเองแหล่ะฮิฮิ” เมื่อได้โอกาสถอยหนี ลูฉิงหยาก็ได้รีบคว้าโอกาสนั้นทันทีและนี่ทำให้เพื่อนๆของเธออดไม่ได้ที่จะหัวเราะตามไปด้วย
ฉือชิงที่ได้ยินนั้นในตอนนี้ก็หน้าแดงอย่างที่สุด แต่เธอนั้นไม่อยากจะรอแล้วจริงๆ และในครั้งนี้เธอไม่คิดจะถอยอีกแล้วเลยพูดออกไปว่า “ใช่ซี้ ฉันอยากจะแต่งงานเร็วๆ แล้วยังไง คนไม่มีคู่ไม่รู้หรอก”
ในคราวนี้เป็นชาวบ้านที่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แต่เป็นกลุ่มพี่น้องนอกเลือดของฉือชิงที่ได้แค่ยิ้มแหยๆ นี่ทำยิ่งทำให้ฉือชิงน่าแดงเป็นการใหญ่และเตรียมที่จะกลับไปห้องของเธอ
“คุณผู้หญิง ผมเองก็รอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน” ฉือชิงที่กำลังจะกลับเข้าห้องไปนั้นก็ได้ถูกซูจิ้งคว้ามือเอาไว้ เมื่อทั้งสองได้หันมาสบตากันนั้น ราวกับแค่มองตาก็รู้ใจ เธอไม่ได้เข้าห้องไปแต่อย่างใด แต่เธอเลือกที่จะกระโดดเข้าไปกอดซูจิ้งแทน ถึงแม้ว่าเธอจะยังอายอยู่บ้าง แต่นี่ทำให้เธอนั้นรู้สึกได้ว่าคุ้มค่าที่จะอายจริงๆ
หลังจากนั้น ซูจิ้งและฉือชิงได้ทำการกราบไหว้พ่อแม่ของฉือชิงเพื่อเป็นการสู่ขอ หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้พาฉือชิงเดินกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลซู
ระหว่างทางนั้นซูจิ้งได้กางร่มสีแดงให้กับฉือชิง และทำการโปรยปรายข้าวเปลือกในระหว่างเดินทางไปด้วย หลังจากลดเลี้ยวไปมาตามถนนเล็กน้อย ทั้งหมดก็ได้ไปถึงหอประจำตระกูลของหมู่บ้านตระกูลซู
และในที่สุดก็ถึงขั้นตอนสุดท้ายนั่นก็คือการกราบไหว้ หนึ่งคือการกราบไหว้ฟ้าดิน หนึ่งคือการกราบไหว้บรรพบุรุษ และอีกหนึ่งกราบไหว้ให้กันละกัน และนี่ทำให้ทั้งสอง เป็นคู่สามีภรรยาอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว
GGS:บทที่ 1163 บริบูรณ์ ?
ภาพบรรยากาศงานแต่งของซูจิ้งในตอนนี้ได้กลายเป็นที่พูดคุยกันไปทั่วทั้งโลก
ภาพที่ซูจิ้งและบรรดายอดชายเพื่อนของเขากำลังทำท่าทางออกมาเป็นตัวอักษรคำว่ารักด้วยร่างกายนั้นสร้างเสียงหัวเราะให้กับผู้คนไปทั่ว
ภาพวาดฉือชิงที่ซูจิ้งปิดตาวาดนั้นสร้างความตกตะลึงและสุดยอดให้กับผู้คนที่พบเห็น
บทเพลงที่ซูจิ้งบรรเลงเอาไว้ในงานอย่าง เมามายความรัก และ กิ่งทองใบหยก ได้ประทับฟังใจผู้คนไปอีกนานแสนนาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพของฉือชิงที่สวมมงกุฎนกเพลิง ม้านั่งโยกสีขาว และนกยูงขาวเริงระบำนั้นล้วนแล้วทำให้งานแต่งในครั้งนี้ราวกับจัดขึ้นในสรวงสวรรค์จนทำให้เป็นที่พูดคุยกันได้ไปอีกนาน
ซูจิ้งนั้นรู้สึกภูมิใจแบบสุดๆกับงานแต่งของเขา แต่นั่นไม่ได้เกิดมาจากที่ผู้คนภายในงานมีความสุข นั่นไม่ได้เกิดจากการที่ผู้คนภายในงานมีอารมณ์ร่วมและชื่นมื่นไปกับเขา แต่มันเกิดจากความสมบูรณ์แบบจนทำให้ผู้คนเปรียบงานแต่งของเขาว่าจัดขึ้นในสรวงสวรรค์ สิ่งนี้ต่อให้มีเงินมากมายขนาดไหนก็ไม่อาจจะทำขึ้นมาได้
หากจะให้เขาสรุปงานแต่งของตัวเองออกมาว่าควรจะเรียกว่าอะไร เขาก็จะเรียกมันว่าความโรแมนติก
ด้วยงานแต่งของเขานี้ทำให้เหล่าแฟนคลับสาวๆของเขานั้นอดไม่ได้ที่จะอิจฉาฉือชิงแบบสุดๆ
บางคนถึงกับอิจฉาจนร้องไห้ออกมาทีเดียว และในตอนนี้ทุกๆคนใฝ่ฝันที่จะมีงานแต่งแบบนี้ให้เหมือนกับฉือชิงบ้างให้จงได้
“ฮือออฮืออออ ต่อให้พี่จิ้งแต่งงานไปแล้วพวกเราก็ไม่คิดที่จะเลิกติดตามหรอกนะ”
“ฉันล่ะอิจฉาฉือชิงจริงๆเลย”
“แต่ฉันอิจฉาซูจิ้งนะ โชคดีจริงๆที่ได้ครองคู่กับสาวงามอย่างฉือชิงแบบนั้น”
“ฉันก็ยินดีกับทั้งคู่นะ แต่ทำไมรู้สึกเศร้าใจยังไงก็ไม่รู้สิ”
“พี่จิ้งแต่งงานแล้วอีกไม่นานก็คงจะมีจิ้งน้อยออกมาสินะ ในอนาคตไม่รู้ว่าพี่จิ้งจะออกมาทำเรื่องๆดีๆน่าเหลือเชื่ออยู่อีกรึเปล่านะ”
“ฉันว่าก็ยังมีโอกาสอยู่นะ ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานไปแล้ว ถึงเขาจะบอกกันว่าครอบครัวต้องมาก่อน แต่อย่างน้อยๆโลกนี้ก็ยังคอยเขาอยู่”
“พี่จิ้งไม่น่าจะทอดทิ้งพวกเราไปหรอกน่า แต่เขากับฉือชิงนี่ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ ขอให้พระเจ้าอวยพรทั้งคู่น้า…”
“ฉันได้ทำการจัดเรียงไทม์ไลน์การเติบโตของพี่จิ้งไว้แล้วนะ ฉันเก็บไว้ในพื้นที่เก็บข้อความของกลุ่มเรา ถ้าใครว่างๆก็ลองไปศึกษาดูและยึดถือพี่จิ้งเป็นแบบอย่างๆเพื่อจะได้พัฒนาตนเองเป็นแบบพี่เขาได้บ้าง”
“ในฐานะที่เป็นแฟนคลับพันธุ์แท้ของพี่จิ้งนั้น พวกเราทุกคนถือได้ว่ามีพัฒนาการมากแล้ว และในตอนนี้พวกเรานั้นก็ไม่อยากจะรบกวนเขาอีก ต่อให้พี่จิ้งจะไม่ว่างจนยากที่จะปรากฎตัวอีกในอนาคต แต่เมื่อถึงตอนนั้นพวกเราจะแข็งแกร่งพอที่จะเจริญรอยตามพี่จิ้งได้แล้ว”
“อย่าเพิ่งพุดเรื่องนี้เลยดีกว่า ยิ่งนายพูดยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าพี่จิ้งนั้นจะลาจากวงการในทุกวงการยังไงก็ไม่รู้สิ ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แย่น่ะสิ หากโลกนี้ขาดพี่จิ้งไปแล้วคงขาดสีสันไปเลย”
“นั่นก็เป็นเรื่องในอนาคตล่ะนะ ใครจะไปรู้ เมื่อถึงตอนนั้นคนที่จะออกมาเฉิดฉายอาจจะเป็นจิ้งน้อยก็ได้นา…”
สำหรับเส้นทางการเติบโตของซูจิ้งฉบับสมบูรณ์นี้ในตอนแรกนั้นเป็นสมบัติเฉพาะเหล่าแฟนคลับของซูจิ้งเท่านั้น
แต่เพียงไม่นานเส้นทางการเติบโตของซูจิ้งก็ได้หลุดไปยังกลุ่มคนภายนอกและแพร่กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว
ส่งผลให้ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นต่างก็อดที่จะอัศจรรย์ใจไม่ได้เลยทีเดียว ถึงแม้จะเป็นเพียงเรื่องเล่า ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ข่าวลือ ถึงแม้นี่จะเป็นหนังสือทำมือ แต่ทุกหน้าที่เปิด ทุกสิ่งที่อ่านล้วนแล้วแต่ทำให้ผู้อ่านนั้นอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกราวกับนิยายแฟนตาซีหรือแม้แต่เป็นเรื่องปรุงแต่งขึ้นมาเลยทีเดียว
และด้วยเหตุนี้ทำให้ซูจิ้งกลายเป็นเทพในจิตใจของใครหลายๆคน ถึงแม้เรื่องราวของเขาจะดูเวอร์วังไปบ้าง แต่นั่นก็มากพอที่จะทำให้ใครหลายๆคนคุกเข่าสวดมนต์ภาวนาและเคารพบูชาซูจิ้งได้แล้ว
เอาจริงๆก็พอจะบอกได้เลยว่าในอนาคตจะต้องมีลัทธิที่มีซูจิ้งเป็นศาสดาอย่างไม่ต้องสงสัย และด้วยการที่เรื่องราวที่เปรียบได้ดั่งตำนานเผยแพร่ไปทั่วโลก ยามใดที่โลกถึงคราวขับขัน เขาจะกลายเป็นที่พึ่งสุดท้ายแห่งมวลมนุษยชาติ
ในคืนวันแต่งงานนั้น หลังจากเสร็จเรื่องราวต่างๆและส่งตัวเข้าห้องหอไปแล้ว
ณ เวลาเที่ยงคืน อยู่ๆ ซูจิ้งก็ได้ยินเสียงของฉิงหยุนดังอยู่ในหัวโดยฉิงหยุนถามเขาว่า “ท่านเจ้าของ ในขณะนี้ค่าพลังงานและค่าการใช้ประโยชน์ได้เกินหนึ่งล้านหน่วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนี่ตรงกับเงื่อนไขในการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ ท่านเจ้าของตั้งการยกระดับหรือไม่”
“ยก..ยกสิ ยกไปเลย ยกระดับไปเลย” มีหรือที่ซูจิ้งได้ยินดังนี้แล้วจะตอบปฏิเสธลงได้ เขานั้นถึงกับเผลอร้องตะโกนออกมาในทันทีไม่ใช่แค่เพียงใช้ความคิดตอบกลับไปแบบทุกครั้ง
เขานั้นทำงานมาอย่างหนักเพียงเพื่อสิ่งนี้เท่านั้น ต่อฉิงหยุนเสนอกับเขาว่าให้เลื่อนไปอีกสักวันเขาก็จะไม่สนใจที่จะเลื่อนอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเขาจะจัดการกับร่างเงาดำไปได้แล้วก็จริง แต่เขาก็ยังอดกลัวอยู่ลึกๆไม่ได้ หากว่าขยะห้วงเวลาฯชุดถัดไปมีสิ่งที่ทรงพลังกว่านี้ติดมาล่ะ หากว่าเขานั้นไม่สามารถจัดการได้ล่ะ หากเป็นเช่นนั้นจริง โลกนี้ก็คงต้องถึงจุดจบ
มีเพียงการยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเป็นระดับสองเท่านั้นถึงจะสามารถเปิดปิดการรับขยะห้วงเวลาฯมาได้ มีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่จะทำให้เขามั่นใจ และเชื่อได้ว่าโลกนี้อยู่รอดปลอดภัยแล้วเท่านั้น
“รับทราบค่ะ สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเริ่มการยกระดับ การยกระดับในครั้งนี้จะใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นขอให้ท่านเจ้าของไม่ต้องเป็นกังวล
แต่ขอเตือนก่อนว่าในระหว่างทำการยกระดับนี้ขอให้ท่านอย่าพึ่งเข้าไปในสถานีโดยเด็ดขาด มิฉะนั้นอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้” หลังจากพูดเสร็จแล้ว เสียงของฉิงหยุนก็ค่อยๆหายไปและเงียบไปโดยไม่มีอะไรอีก
“ฉิงหยุน เฮ้ ฉิงหยุน” ซูจิ้งได้วิ่งลงมาที่ขั้นแรกและทำการเรียกฉิงหยุนผ่านทางหินทรงแปดเหลี่ยม ในตอนแรกที่เขาพูดออกไปนั้นเขาแค่ดีใจมากจนรีบตอบออกไปโดยยังไม่ได้พูดคุยกับฉิงหยุนก่อนทำให้เขานั้นต้องลงมาที่นี่เพื่อทราบสถานการณ์ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ระบบจะเริ่มยกระดับเรียบร้อยไปแล้ว
ด้วยการที่ฉิงหยุนกำชับเขาไว้ว่าห้ามเข้าไปข้างในเป็นอันขาดเพราะอาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิต นี่จึงทำให้ตัวเขานั้นไม่กล้าจะเข้าไป
ต่อให้เข้าไปได้โดยไม่เป็นอันตรายก็ตาม แต่การเข้าไปรบกวนของเขาอาจจะทำให้กระบวนการยกระดับถูกยกเลิก และนั่นจะทำให้ความเหนื่อยยากของเขานั้นเสียแรงเปล่า หากเป็นแบบนั้นจริง คงถึงคราวที่เขาต้องร้องไห้บ้างแล้ว
ในตอนนี้สำหรับซูจิ้งแล้วช่างเป็นการรอคอยที่ยาวนานซะเหลือเกิน ในช่วงนี้ ความจริงแล้วในช่วงนี้จะต้องเป็นการย้ายของเข้าบ้านและการฮันนีมูนระหว่างเขากับฉือชิง
แต่ด้วยการที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้นอยู่ในระหว่างยกระดับ ทำให้เขานั้นต้องขอปฏิเสธไปก่อน โดยอ้างเหตุผลว่ายังมีเรื่องที่ต้องทำอยู่
นี่ถึงแม้จะสร้างความประหลาดใจและไม่พอใจให้กับพ่อแม่ของฉือชิงอยู่บ้าน พวกเขานั้นต่างก็คิดว่าพึ่งจะแต่งงานมาจะหยุดพักเรื่องงานไว้ก่อนไม่ได้เลยรึไง
หากไม่ใช่เป็นเพราะฉือชิงเชื่อใจเขาว่าเขานั้นต้องทำสิ่งสำคัญจริงๆล่ะก็ ตัวเขานั้นคงต้องถูกพ่อแม่ซือฉิงฟ้องหย่าแทนลูกสาวเรียบร้อยไปแล้ว
หนึ่งวันผ่านไป สองวันผ่านไป สามวันผ่านไป สี่วันผ่านไป ในตอนนี้เอง ฉิงหยุน ได้ส่งเสียงเข้าไปในจิตสำนึกของซูจิ้งว่า “สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศจะยกระดับเสร็จในสิบ เก้า แปด …”
ซูจิ้งเมื่อได้ยินดังนั้นก็อดที่จะมีใจเต้นเร็วไม่ได้ เขานั้นรู้สึกว่าเวลาในช่วงสี่วันมานี้ยาวนานราวกับเป็นแรมปี
ในช่วงระหว่างที่รอนี้ทำให้เขานึกย้อนไปถึงช่วงฤดูร้อนที่เขาได้เห็นวังวนมิติเป็นครั้งแรก
ความรู้สึกแรกที่ได้กินเนื้อวิเศษ ความประหลาดใจเมื่อได้เห็นซากศพเป็นครั้งแรก ความกลัวในครั้งแรกเมื่อเห็นสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้
ความยินดีที่ได้ยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ ทุกครั้งนั้นล้วนเต็มไปด้วยความสุข และผลพลอยได้ที่หอมหวานราวกับว่าเป็นมันหวานและซุปสำหรับการใช้ชีวิตของเขา
หากไม่มีสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ล่ะก็ ตัวเขาคงจะขาดสีสันแห่งชีวิตไปอย่างแน่นอน
“ในตอนนี้สถานีกำจัดขยะห้วงเวลฯได้ยกระดับเป็นระดับสองเรียบร้อยแล้วค่ะ ท่านเจ้าของสามารถควบคุมได้ว่าท่านจะต้องการปิดวังวนมิติเพื่อที่จะป้องกันอันตรายที่แฝงมากับขยะห้วงเวลาฯได้ หรือท่านต้องการที่จะไปสำรวจห้วงเวลาอื่น”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งได้นิ่งอึ้งไปในทันที ตัวเขานั้นที่ต้องการยกระดับเป็นระดับสองแต่เดิมมีเป้าหมายในการหยุดยั้งการไหลของขยะห้วงเวลาฯเพียงเท่านั้น แต่เขาไม่คิดมาก่อนว่าจะต้องมาพบกับตัวเลือกที่เขาเคยคิดเอาไว้แต่ตัดใจไปก่อนหน้านี้แบบนี้
ในขณะที่ซูจิ้งกำลังใช้ความคิดอยู่นั้น ฉิงหยินได้ทำการนับถอยหลัง “สาม สอง หนึ่ง” เมื่อสิ้นเสียง หินแปดเหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้าของซูจิ้งก็ได้สั่นไปมาและได้ยืดยาวราวกับเป็นตะปูก่อนที่จะลอยขึ้นไปบนอากาศเบื้องหน้าของซูจิ้ง
ซูจิ้งในตอนนี้ทำได้เพียงแค่เดินเข้าไปดูใกล้ๆด้วยความฉงนสนเท่ เขาพบหินแปดเหลี่ยมนี้ในส่วนหน้าตัดนั้นขังคงมีขนาดเท่าเดิม
ที่ต่างไปคือการที่มีวงแหวนที่อยู่ภายใต้หินแปดเหลี่ยมนี้ ขนาดของมันใหญ่พอที่จะสวมเข้าไปในนิ้วของเขาได้ ราวกับว่าหากเขาตอบตกลงนั้นเขาต้องสวมวงแหวนนี้เข้าไปในนิ้วของตน
ซูจิ้งในตอนนี้นั้นไม่เคยคิดมาก่อนว่าหากยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแล้วยังจะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อยู่อีก
“ท่านเจ้าของ สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาระดับที่สองนี้ พื้นที่ภายนอกได้ลดลงจนมีขนาดเหลือเพียงหนึ่งเซนติเมตร
สำหรับพื้นที่ภายในตอนนี้พื้นที่ได้ขยายไปเป็นสิบตารางกิโลเมตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สำหรับวงวนมิติ ในตอนนี้อยู่ในสถานะปฏิเสธการรับขยะ และในตอนนี้สถานีฯได้เพิ่มระบบสับเปลี่ยนอุโมงค์มิติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านต้องการทดสอบเลยหรือไม่” ฉิงหยินถามออกมาพร้อมน้ำเสียงกระจ่างใส
“…………….” ซูจิ้งยังคงนิ่งเงียบอยู่ หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงกระโจนเข้าไปอย่างไม่ต้องคิดอะไรมากแล้ว แต่มาในตอนนี้ เขานั้นกลับต้องรู้สึกว่านี่เป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิตของเขาอีกครั้งหนึ่ง…
——————————————-
จบบริบูรณ์ ขอบคุณที่ติดตามจ้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น