Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1139-1147

 GGS:บทที่ 1139 วิญญาณสัตว์ร้าย


ผู้คนมากมายที่เคยมีเรื่องกับซูจิ้งนั้นได้หายตัวไปในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ว่ามองยังไงมันก็แปลกประหลาดเกินไป ซูจิ้งเองในตอนแรกก็คิดถึงเงาดำนั่นเหมือนกัน แต่ว่าในตอนนี้ ลำแสงชำระล้างนั้นยังคงสาดส่องอยู่เขายังเชื่อว่าเจ้าเงาดำนั่นไม่น่าเข้าใกล้เขาได้มากนัก ต่อให้เป็นผู้ไม่ตายชั้นสูงก็ตามแต่ก็ไม่น่าเข้ามาได้ง่ายๆโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ถึงแม้ว่าตามหลักเหตุผลแล้วสมควรจะเป็นเงาดำนั่น แต่ในใจของซูจิ้งนั้นกลับหวังไว้ว่าอย่าเป็นเงาดำนั่นอยู่ดี


ด้วยการที่ว่าเงาดำนั้นทรงพลังเกินกว่าที่เขาจะจัดการได้ง่ายๆ แต่กับศัตรูอื่นนั้นสำหรับเขาแล้วไม่ใช่อะไรเลย แต่ให้รวมกลุ่มกันมาแล้วแอบลอบโจมตีเขา แต่ยังไงซะก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามของซูจิ้งแต่อย่างใด

“เรื่องพวกนี้ให้ไป๋ฮิตู หลัวฉือหลิน และคนอื่นๆจัดการไปแล้วกัน ตอนนี้ฉันจำเป็นต้องเสริมพลังจิตวิญญาณของฉันและจัดการขยะห้วงเวลาฯก่อน” คิดได้ดังนั้น เขาจึงคิดถึงเรื่องที่เว่ยเสี่ยวหยวนได้ค้นหาและสืบเสาะสถานที่สำหรับการแสดงสิ่งต่างๆของเขามาให้ และเขาก็เข้าร่วมเสียทุกอย่างจนผู้คนนั้นตกตะลึงจนชาชินกันไปแล้ว

พลังศรัทธาที่ถูกแปลเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณด้วยเหรียญตราเทวทูตนั้นเขาดูดซับจนเรียกได้ว่าดูดซับแทบไม่ทันเลยทีเดียว

ในตอนนี้เขานั้นเหลือเพียงรอการแสดงความสามารถของที่สุดท้ายก็คืองานกีฬาโอลิมปิดเท่านั้น ในช่วงนี้เขาจึงคิดว่าจะมุ่งเน้นไปที่การจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขาไปก่อน


ซูจิ้งได้ทำการจัดการขยะมากมายไปแล้ว ในตอนนี้เขากำลังจ้องมองไปยังกองใบไม้ร่วงทั้งกองอยู่ ใจของเขานั้นคิดว่ากองใบไม้พวกนี้อย่างน้อยๆก็มาจากห้วงเวลาฯแห่งนิจนิรันดร ใครจะรู้ ใบไม้พวกนี้อาจจะสุดยอดกว่าทีเห็นก็ได้ ด้วยความคิดนี้ทำให้ซูจิ้งนั้นได้ทำการศึกษาใบไม้เหล่านี้อย่างละเอียดลออ

ใบไม้พวกนี้มีลักษณะคล้ายใบอู๋ถง พวกมันมีสีทองอร่ามมีแฉก 3-5 แฉก และมีรอยแฉกเล็กๆระหว่างแฉกอีกที หากดูไกลๆนั้นคงยากจะแยกแยะออกได้ แต่เมื่อดูใกล้ๆจะรู้ว่าใบพวกนี้ใหญ่กว่าใบอู๋ถง

ซูจิ้งได้ให้แมลงของเขากินใบไม้เหล่านี้ดู และทดลองในหลากหลายวิธีการ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาก็ไม่พบว่าใบไม้พวกนี้ไม่ได้ส่งผลอะไรเขาจึงถอดใจไป

แต่ในตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้สังเกตเห็นอักขระบางอย่างอยู่บนใบไม้ร่วงบางส่วน เขาจึงได้ลองดูอักขระเหล่านั้น เขาจ้องมองอยู่นานแต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้

เขานั้นก็พอจะได้เห็นอักขระะต่างๆของห้วงเวลาฯนิจนิรันดรนี้จากขยะฯกองกระดาษมาบ้างแล้วแต่ก็ไม่เหมือนกับอักขระบนใบไม้พวกนี้ ซูจิ้งจึงได้ทำการรื้อใบไม้ดูทีละใบก็พบว่ามีกระดาษจำนวนมากพอสมควรที่มีอักขระนี้อยู่ และแต่ละใบนั้นมีอักษรที่เหมือนกัน แถมตัวอักษรแต่ละตัวนั้นยางวางทาบทับกันได้พอดีอีกด้วย

“มีบางคนวางอักขระไว้ที่นี่งั้นเหรอ” ซูจิ้งใจเต้นขึ้นมาในทันทีก่อนที่จะทำการรวบรวมใบไม้ที่มีตัวอักษรทั้งหมดออกมาเพื่อจะนำมาซ้อนทับกัน


แต่ยังที่ซูจิ้งจะได้ทำอะไรมาก เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆดังมาจากพื้นที่ทั่วไป เสียงนี้มาจากโลงศพของเงาดำที่ก่อนหน้านี้เขานั้นได้ปล่อยให้เจ้าหน้าผีไปอยู่ในนั้นเพื่อเป็นการบ่มเพาะ เสียงแบบนี้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้าหน้าผีนั่นรึเปล่า

ซูจิ้งได้ให้ฉิงหยุนพอตัวเขาเข้าไปยังพื้นที่ทั่วไป เมื่อไปถึง เขาลอยตัวอยู่บนโลงศพ ก่อนที่จะใช้กระแสจิตเปิดโลงศพขึ้นดู

“เกิดอะไรขึ้น” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกตะลึง นั่นก็เพราะว่าภายในโลงศพนั้นเขาไม่รู้สึกถึงการคงอยู่ของเจ้าหน้าผีแม้แต่น้อย เมื่อยื่นหน้าตัวเองเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่าโลงนั้นว่างเปล่าและไม่มีร่องรอยของเจ้าหน้าผีแม้แต่น้อย

เขาได้ลองเอาธงหลอนจิตขึ้นมาดูก็ไม่พบเจ้าหน้าผีแต่อย่างใด เจ้าหน้าผีนั้นโดนเขาควบคุมไว้ตั้งนานแล้วต่อให้หายตัวอย่างไร้ร่องรอยแต่ก็ยังมีการเชื่อมต่อกันทางวิญญาณอยู่

หากว่ายังอยู่ที่นี่แน่นอนว่าเขาต้องรู้สึกได้ แล้วนี่เจ้าหน้าผีออกไปจากที่นี่ได้ยังไง

“ฉิงหยุน มีอะไรออกไปจากที่นี่รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา

“ไม่ค่ะ” ฉิงหยุนตอบ


ซูจิ้งพยักหน้าพลางเห็นด้วย ต่อให้เจ้าหน้าผีดูดซับไอปีศาจจากโลงศพนั่นมากเกินไปแต่ก็ยังมีระดับห่างไกลจากร่างเงาดำนั่นนับพันนับหมื่นโยชน์ ไม่มีไปถึงขั้นทำลายกำแพงมิติได้อย่างแน่นอน แถมต่อให้เจ้าหน้าผีออกไปได้จริงแน่นอนว่าฉิงหยิงต้องจับสัมผัสได้

“เจ้าหน้าผีตายแล้วเหรอ” ซูจิ้งนึกถึงอีกความเป็นไปได้อื่นซึ่งมีความเป็นไปได้มากที่สุด

อย่างไรก็ตามโลงนี้เองก็เต็มไปด้วยพลังงานหยินและไอปีศาจมากขนาดนี้สมควรจะมีประโยชน์มากกว่าโทษนี่นา แล้วเจ้านั่นจะตายได้ยังไงกัน


ซูจิ้งนั้นไม่เข้าใจจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาได้ลองตรวจสอบโลงศพดีๆอีกครั้งทั้งข้างนอกและข้างใน ในตอนแรกเขาเองนั้นก็นึกกลัวเหมือนกัน แต่ในที่สุด เขาก็พบอักขระะบางอย่างตรงส่วนลึกของโลงศพ

“….เดี๋ยวนะ ฉันว่าฉันเคยเห็นอยู่นา” ซูจิ้งใจเต้นแรงในทันทีก่อนที่จะให้ฉิงหยุนส่งกระดาษที่เขาอ่านก่อนหน้านี้ที่เขาเก็บไว้ในพื้นที่เก็บของมาให้ดู

เขารีบเปิดหาตัวอักขระะเหล่านี้ในทันทีและก็ได้พบเนื้อหาที่เกี่ยวข้องจนได้

เนื้อหาส่วนนี้เป็นเพียงแค่เนื้อหาบางส่วนเท่านั้น มันกล่าวถึงการใช้อักขระเหล่านี้ในการฝึกฝนและควบคุมสัตว์ร้าย


เมื่อได้เห็นข้อความนี้ทำให้ซูจิ้งไม่ได้สนใจมันอีกต่อไป ไอ้การควบคุมสัตว์ร้ายอะไรนี่นั้นสำหรับเขาแล้วมันช่างไร้ประโยชน์อย่างมาก อย่างน้อยๆก็ควรจะเป็นบ่มเพาะให้เขาสู้กับไอ้ร่างเงาดำนั่นถึงจะดี

นี่คือสิ่งที่ตอนนี้ซูจิ้งต้องการมากที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม ปัญหาในตอนนี้ก็คือเจ้าเงาดำนี่มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันดร ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่ใช้กำหลาบวิญญาณร้ายนี้ได้เลยสักอย่าง


“…..แล้ว….ตัวอักขระพวกนี้มาอยู่นี่ได้ยังไงกันล่ะ” จิตใต้สำนึกของซูจิ้งราวกับกระตุ้นให้นึกถึงอะไรบางอย่าง ความจริงแล้วทั้งสัตว์ร้ายและผู้ไม่ตายนั้นมีความเหมือนกันอยู่ นั่นก็คือทั้งสองนั้นล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณอันโหดร้าย

เป็นได้ว่าด้วยการที่ตัวอักขระนี้มีการบ่มเพาะวิญญาณอยู่ ต่อให้เจ้าเงาดำนั่นไม่สามารถบ่มเพราะร่างกายได้ แต่ด้วยการที่อักขระนี้มีผลต่อทั้งร่างกายและวิญญาณเป็นไปได้ว่าเงาดำนั่นนำมาใช้เพราะดีกว่าไม่มี


ในตอนแรกนั้นซูจิ้งเองก็พอรู้สึกได้ว่าโลงดำนี้ไม่ธรรมดาเพราะว่าโลงนี้นั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งหยินและไอปีศาจ

ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่ากลิ่นไอทั้งสองแรงมากจนทำให้เขานั้นไม่สามารถศึกษามันได้ ตอนนี้เมื่อเขาได้ศึกษามันรู้จึงได้คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่งขึ้นมา

ที่ซูจิ้งคิดเอาไว้ก็คือโลงนี้ตอบรับต่อลำแสงชำระล้างจนทำให้ตัวมันนั้นกลับคืนสู่ความสภาพเดิมของมัน ด้วยการนั้นเขานั้นไม่อยากจะเห็นโลงศพที่น่าขนลุกขนนพองนี้ เขาจึงได้ส่งมันไปไว้ที่พื้นที่ทั่วไป มาในตอนนี้ซูจิ้งนั้นกลับแทบจะไม่อยากให้มันละสายตาเลยทีเดียว


หลังจากนั้นสักพัก กลิ่นอายแห่งหยินและไอปีศาจจก็ได้หายไปอย่างรวดเร็ว โลงศพทั้งโลงได้สั่นราวกับจ้าวเข้า ทันใดนั้นก็ได้มีเสียงกรีดร้องขึ้นมาจากภายใน และออกมาอย่างรวดเร็ว

สิ่งที่ออกมานั้นก็คือมังกรดำสนิทตัวใหญ่ยักษ์ โดยมันนั้นพุ่งออกมาจากอักขระที่ซูจิ้งเจอก่อนหน้านี้ และมันได้ลงมือกับซูจิ้งอย่างรวดเร็ว

ซูจิ้งนั้นมีสายตาที่เปล่งประกายในทันที เขาได้หายวับออกมาจากพื้นที่ทั่วไป นี่ทำให้เจ้ามังกรไม่สามารถทำอะไรซูจิ้งได้

มันได้หันกลับเข้าไปที่โลงแล้วมุดเข้าไปยังอักขระที่มันออกมาเมื่อครู่นี้

“ในโลงนี้มีจิตวิญญาณสัตว์ร้ายอยู่ แถมยังเป็นดวงวิญญาณของมังกรที่ทรงพลังซะด้วย” ซูจิ้งในตอนนี้มีความสุขอย่างมากจนใจเต้นแรงเลยทีเดียว


ในที่สุดเขาก็เข้าใจได้สักทีว่าทำไมเขานั้นรู้สึกระแวงโลงนี้แบบสุดๆ และทำไมเจ้าหน้าผีของเขาถึงได้ตายลง ในกรณีมีเพียงอย่างเดียวก็คือ ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าผีหน้าจะสูบกลิ่นอายแห่งหยินและไอปีศาจมากไปจนทำให้เจ้าวิญญาณมังกรตัวนี้โกรธ และน่าจะโดนกินไปแล้ว

ก็นั่นล่ะนะ นอกจากเจ้าเงาดำนั่นแล้วจะมีอะไรที่จะต่อการกับวิญญาณมังกรได้กัน


GGS:บทที่ 1140 รังเวทย์มนต์


“มันมีวิธีบ่มเพาะด้วยวิญญาณสัตว์ร้ายมาสถิตย์อยู่ในร่างนี่นา….น่าลองแหะ ถ้าฉันสามารถนำวิญญาณมังกรนั่นมาสถิตในร่างฉันได้ล่ะก็

ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกายและจิดวิญญาณต้องเพิ่มขึ้นอย่างสุดๆแน่ๆ และคราวนี้ขอบเขตของลำแสงชำระล้างก็จะขยายออกไปอีกเหลือคณานับ

ยิ่งไปกว่านั้น แค่วิญญาณมังกรนั่นมาสถิตในร่างฉันล่ะก็ คราวนี้ฉันจะได้ตีกับไอ้เงาดำนั่นได้ตรงๆสักที”


ซูจิ้งคิดได้ดังนี้จึงได้กลับไปศึกษาเอกสารที่ได้จากขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันดรดีๆอีกรอบ แต่เขาก็ต้องขมวดคิ้วอีกครั้ง นั่นก็เพราะตัวเขานั้นอ่อนแอเกินไป

การบ่มเพาะโดยใช้วัญญาณสัตว์มาสถิตอยู่ในร่างนั้นไม่เพียงต้องใช้ความแข็งแกร่งของร่างกายเท่านั้น จะเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณและพลังภายในด้วย

แถมยังต้องแข็งแกร่งกว่าวิญญาณที่นำมาสถิตไว้ในร่างเสียอีก ให้พูดตรงๆนั้นแค่ความแข็งแกร่งอย่างเดียว ซูจิ้งก็อ่อนด้อยกว่ามังกรนั่นหลายขุมแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงด้านอื่นเลย นั่นก็เพราะหากว่าวิญญาณเหล่านี้ถูกบังคับ พวกมันมีสิทธิขัดขืนและโต้ตอบได้ทุกเมื่อ


“ความแข็งแกร่ง….. ฉันต้องเพิ่มความแข็งแกร่งเดี๋ยวนี้” ซูจิ้งไม่สามารถอดทนรอได้แม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะรู้ว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายของเขานั้นเป็นเรื่องอย่ากในตอนนี้ก็ตาม

เขาในตอนนี้นั้นฝึกฝนทั้งวิถีแห่งใต้หล้า วิถีแห่งมังกร และราชันย์แห่งสายน้ำ กินทั้งข้าวสีน้ำเงิน เนื้อกิ้งก่างูเหล็ก ปลาเขี้ยวหยก และอาหารที่เสริมสร้างร่างกายต่างๆจนร่างกายนี้ถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ทำให้ในตอนนี้ยากที่จะเสริมสร้างแข็งแกร่งได้ในทันที


“….ถ้าฉันเจอวิธีการบ่มเพาะใหม่ๆ หรืออาหารที่ส่งเสริมร่างกายจากห้วงเวลาฯนิจนิรันดรล่ะก็ ฉันก็น่าจะเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายได้อีกล่ะนะ” ด้วยความตั้งใจที่แรงกล้านี้ทำให้ซูจิ้งรีบกลับยังพื้นที่รองรับขยะห้วงเวลาฯและทำการจัดการขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันตรต่อ

เขาได้ทำการค้นหาในขยะฯกองไม้ต่อเพราะค่อนข้างสนใจตัวอักขระที่อยู่บนใบไม้ร่วงเหล่านั้น เขาค่อยคัดแยกใบไม้ทีละชิ้นจนกองสุมและมั่นใจว่าใบไม้ที่มีอักขระเหล่านั้น ถึงแม้จะฉีกขาดแต่ก็น่าจะอยู่ที่นี่หมด เขาจึงคิดจะให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมใบไม้เหล่านี้ดู

ซูจิ้งได้เรียกเสี่ยวไป๋มาเพื่อซ่อมแซมใบไม้เหล่านี้ เศษใบไม้ที่ขาดกระจัดกระจายนั้นค่อยรวมตัวกันอย่างช้าๆ หลังจากผ่านไปสักพัก เสี่ยวไป๋แสดงท่าทีเหนื่อยล้าออกมา นี่แสดงให้เห็นว่าใบไม้เหล่านี้ซ่อมแซมได้ยากกว่าที่คิด


ซูจิ้งเมื่อเห็นดังนี้จะไม่ได้บ่นเมื่อเห็นว่าเสี่ยวไป๋หยุดพักแต่อย่างใด เขาเลือกที่จะไปจัดการขยะฯกองอื่นเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ

สามวันถัดไป ใบไม้ร่วงเหล่านั้นก็ซ่อมใกล้เสร็จในที่สุด นี่ทำให้ซูจิ้งต้องรู้สึกสับสนในทันที เพราะในครั้งนี้มันช้าเกินกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากพอดู แต่ที่ทำให้เขานั้นสับสนยิ่งกว่าก็คือหลังจากซ่อมแซมแล้ว กลายเป็นว่า ใบไม้เหล่านั้นคือรังนกขนาดยักษ์

“เหอะเหอะเหอะ จะบ้าตาย ฉันเฝ้ารอถึงสามวันแต่กลับได้มาเป็นรังนกเนี่ยนะ….แล้ว…ทำไมรังนกนี่ถึงได้ซ่อมแซมเสร็จได้ช้านักล่ะ” ซูจิ้งนั้นถึงแม้จะบ่น แต่ในเมื่อเสียเวลามานานขนาดนี้แล้วเขานั้นไม่มีทางปล่อยไปอย่างแน่นอน เขายังคงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมต่อไป


สองวันถัดมาในที่สุดรังนกนี่ก็ซ่อมแซมเสร็จ เจ้ารังนกยักษ์นี้ไม่เพียงจะดูพิลักพิลั่นแล้ว มันนั้นยังมีลำแสงเรืองรองออกมาจนราวกับว่าไม่ใช่รังนกเลยแม้แต่น้อย

“สิ่งนี้ไม่ใช่รังนกธรรมดาสินะ ทั้งยังใบอู่ถังยักษ์นั่น ไหนจะตัวอักขระประหลาดนั่นอีก ไหนจะซ่อมแซมได้ยากเย็น ไหนจะรังใหญ่ยักษ์………รังนกเพลิงงั้นเหรอ” ซูจิ้งเมื่อคิดออกมาได้ดังนั้นก็อดที่จะมีหัวใจเต้นแรงไม่ได้เลยทีเดียว เพราะสิ่งนี้มันยอดมาก


ที่ห้วงเวลาฯนิจนิรันดรนั้นย่อมต้องมีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่านกเพลิงอย่างแน่นอน ถึงแม้นี่จะเป็นเพียงรังของนกเพลิงแต่นั่นแน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา เพราะตัวอักษรที่อยู่ในรังนี้นั้น สมควรจะเป็นตัวอักษรที่ใช้ในการรวบรวมพลังแห่งสวรรค์และโลกเอาไหว้

“ขอลองสักหน่อยนะ” ซูจิ้งได้นำรังนกนี้ไปไว้ยังสวนด้านนอกโดยวางไว้บนสนามหญ้า ทันทีที่นำออกมาวาง รังนกไม่ได้สัมผัสพื้นหญ้าแต่อย่างใด มันลอยอยู่แม้จะไม่สูงมากนักแต่ก็เห็นได้ชัดอยู่ดี

นอกจากจะลอยแล้ว ซูจิ้งยังได้เห็นว่ามีออร่าไหลผ่านอากาศไปรวบรวมยังรังนกจากทั่วทุกสารทิศและรวบรวมไว้ในรังนกนี้


ซูจิ้งได้เข้าไปในรังนกนี้และนั่งลงเพื่อทำการบ่อเพาะ เขารู้สึกได้ถึงคลื่นออร่ามากมายไหลบ่าเข้าสู่ร่างกายของเขา เขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นหมุนเวียนได้พลังทำให้เขามีความสุขอย่างมาก

การบ่มเพาะของเขานั้นสูงขึ้นมากกว่าสิบเท่า เรียกได้ว่าสูงกว่าวิธีการบ่มเพาะต่างๆของเขามากนัก

“สวรรค์โปรดจนได้สินะ” ซูจิ้งอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความรู้สึกยินดี เขานั้นกังวลมาตลอดว่าจะไม่มีวิธีการเร่งการบ่มเพราะความแข็งแกร่งของเขาแล้ว เขารู้สึกได้ทันทีว่ารังนกเพลิงนี้มาได้ถูกที่ถูกเวลาจริงๆ


“รังนกเพลิงนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังจิตวิญญาณ น่าจะเป็นว่าก่อนหน้านี้ใบไม้เหล่านี้นั้นอาจจะกองทัพวัตถุจิตวิญญาณเอาไว้ทำให้หลงเหลือร่องรอบบนใบไม้

เมื่อนกเพลิงมาเห็นเข้าจึงได้นำมาทำเป็นรังของพวกมัน น่าจะมีเหตุผลบางอย่างทำให้พวกมันนั้นต้องทำลายรังนี้ทั้ง ไม่อย่างนั้นล่ะก็คงไม่หลงเหลืออักขระเหล่านี้ไว้บนใบไม้เหล่านี้อย่างแน่นอน” ซูจิ้งนึกถึงความเป็นไปได้ขึ้นมาอยู่ในใจ รู้สึกโชคดีที่เขานั้นไม่ได้ตัดใจไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้วัตถุวิญญาณดีๆแบบนี้มาฝึกอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้ดังนั้นซูจิ งก็เริ่มคิดว่าของอย่างอื่นจะใช้รังนกนี้ด้วยได้รึเปล่า


ซูจิ้งได้เข้าไปยังพื้นที่ระบบนิเวศเสมือน เขาได้เก็บโสมเจ็ดใบที่ใหญ่ราวกับหัวแครอท ต้นไผ่จากห้วงเวลาฯจักรพรรดิดวงดารา ต้นไผ่จากห้วงเวลาจักพรรดิฉิงเทียน ลูกท้อจากห้วงเวลาฯล่าลี้ลับตำนานจีน ต้นสนจากห้วงเวลาฯกลืนดารา ต้นดอกบ้านเช้า(ต้นไม้กินคน)จากห้วงเวลาฯเขตแดนนองเลือด ต้นหลิวจากห้วงเวลาฯจูเซียน(กระบี่เทพสังหาร) และต้นประกายแดงเพลิงจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่า


ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าต้นไม้เหล่านี้นั้นต้องใช้กลิ่นอายแห่งสวรรค์และโลกในการเติมโต ทำให้เขานั้นไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพืชพันธุ์เหล่านี้ได้มากนักจึงทำได้เพียงชุบเลี้ยงพวกมันให้อยู่รอดไว้เท่านั้น

ถึงแม้ว่าต้นไม้เหล่านี้จะไม่ได้ปลูกบนดินธรรมดาก็ตามแต่ก็ยังแคะแกลนและไม่เติบโตเลยสักนิด นี่ทำให้เขาค่อนข้างปวดใจไม่น้อย


ซูจิ้งได้กลับลงไปในรังนกเพลิงอีกครั้งด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ผลที่เกิดขึ้นก็คือกลิ่นอายแห่งสวรรค์และโลกได้เพิ่มสูงขึ้นมากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก


ต้นไม้เหล่านี้ที่ซูจิ้งเสียเวลาชุบเลี้ยงมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็เป็นประโยชน์กับเขาได้สักที ถึงแม้โสมเจ็ดใบนั้นจะดีต่อร่างกายของเขาแต่ก็ยังถือได้ว่าห่างไกลมากเมื่อเขานำมาใช้กับรังนกเพลิงนี้

ไม่กี่วันถัดมา ซูจิ้งได้ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในรังนกเพลิงนี้จนแทบจะลืมกินลืมนอนไปเลย และในตอนนี้ร่างกาย พลังภายใน และพลังจิตของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นในทุกส่วน

ในด้านร่างกาย หมัดของเขาในตอนนี้ก่อนหน้านี้หมัดของเขาเพิ่มขึ้นจาก 2,200 กิโลกรัม ไปเป็น 2,400 กิโลกรัมในช่วงห้าวันแรก และพุ่งไปที่ 2,500 กิโลกรัมในวันที่สิบ


พลังจิตของซูจิ้งนั้นในห้าวันแรก พลังจิตของเขาเพิ่มขึ้นจาก890ชั่งเป็น950ชั่งในห้าวันแรก และเพิ่มเป็น 1,000 ชั่งในวันที่สิบ

ในวันที่ยี่สิบ ซูจิ้งได้บรรลุเคล็ดวิชาในตำราวิถีมังกรถึงขั้นที่สามและสามารถเรียนรู้ตราประทับมังกรได้แล้ว ในส่วนของตำราหัวใจพระสูตรรูปพระพุทธนั้นมีความก้าวหน้าขึ้นอีกเล็กน้อย


ถึงแม้จะแข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว ซูจิ้งก็ยังไม่รีบร้อนในการจับวิญญาณมังกรนั่นแต่อย่างใด เขายังคงฝึกฝนอย่างแต่เนื่องเพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของเขา จนเมื่อผ่านไปอีกสิบวัน การบ่มเพราะของซูจิ้งจึงเริ่มถึงจุดอิ่มตัว

“น่าจะถึงเวลาแล้วสินะที่จะต้องจับวิญญาณมังกรนั่น” ในตอนเช้า ซูจิ้งที่นั่งอยู่ในรังนกแทบจะตลอดเวลา ในที่สุดเขาก็ได้เดินออกมา


เขากลับเข้าไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและตรงไปยังโลงศพ ในวันนี้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม เขาตัดสินใจไว้แล้วว่ายังไงซะเขาจะตั้งจับมังกรนั่นให้มาเป็นวิญญาณสถิตย์ร่างของเขาให้ได้


GGS:บทที่ 1141 เหตุฉุกเฉิน


 


หลังจากซูจิ้งเข้าไปอยู่ในพื้นที่ทั่วไปแล้ว เขาได้ตรงไปยังโลงศพในทันที ซูจิ้งได้ก้าวเข้าไปในโลงศพและเริ่มทำการขัดเกลาจิตวิญญาณของตัวเองในทันที เขาอยู่ในนั้นและไม่ได้ออกมาเป็นเวลากว่าสองวัน


ในช่วงระหว่างนั้นโลงได้มีเสียงร้องครางของซูจิ้งบ้างก็เป็นเสียงกรีดร้องของวิญญาณมังกรสลับกันไปมา เสียงทั้งสองที่สลับกันไปมานี้ค่อนข้างจะโหดร้ายอย่างมากจนยากจะบอกได้ว่าสถานการณ์ภายนั้นเป็นยังไงกันแน่


 


สองวันถัดมา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นได้สงบลง ซูจิ้งได้ก้าวออกมาจากโลงศพด้วยท่าทางเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่เพียงก้าวออกมานั้น โลงศพ ก็ได้แตกออก และไม่ได้แสดงออกถึงไอปีศาจอีกต่อไป ในตอนนี้มันนั้นไม่ได้ต่างไปจากโลงธรรมดาเลยสักนิด


ใบหน้าของซูจิ้งนั้นมีสีหน้าที่ซีดเผือดไปเล็กน้อย เขาดูเหนื่อยล้า การก้าวแต่ละก้าวนั้นดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรง แต่ดวงตาของเขานั้นช่างสว่างสดใสและใบหน้าของเขา บ่งบอกได้ว่าพยายามแอบซ่อนความรู้สึกมีความสุขเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมจนเก็บไว้ไม่ได้


 


ซูจิ้งได้ครงไปยังยิมออกกำลังกายของเขาที่ชั้นสี่ เขาได้ตรงไปยังเครื่องวัดพลัง ในคราวนี้เขาไม่ได้ใช้เทคนิคและวิชาใดๆทำเพียงแค่ต่อยออกไปเท่านั้น


“ก๊าซซซซซซซ”(นึกให้เป็นเสียงก๊อดซิลล่าร้อง)


เบื้องหลังของเขาในตอนนี้ราวกับมีเงาของมังกรตัวใหญ่แสดงตนออกมา ด้วยยเสียงที่ดังลั่น เครื่องวัดพลังกระเด้งไปข้างหลังเล็กน้อยพร้อมตัวเลขที่แสดงข้อมูลออกมาว่า 4,000 กิโลกรัม แต่นี่ก็ยังไม่แน่นอนนักเพราะเครื่องนี้วัดเต็มที่ได้แค่นี้


ในตอนที่ซูจิ้งนั้นนั่งบ่มเพาะอยู่ในรังนกเพลิง หมัดของเขามีน้ำหนักเพียง 2,500 กิโลกรัมเท่านั้น แต่ตอนนี้ หมัดของเขาน่าจะเกิน 4,000 กิโลกรัมเข้าไปแล้ว


 


คราวนี้ซูจิ้งได้ลองใช้พลังจิตของเขาโจมตีดูบ้าง ผลก็คือพลังจิตของเขาในตอนนี้อยู่ที่ 1,500 กิโลกรรัมเรียบร้อยแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้นคือด้วยเขาในตอนนี้นั้นมีพลังสถิตของวิญญาณแห่งสัตว์ร้ายอยู่ ต่อให้ไม่มีเหรียญตราเทวทูต ซูจิ้งก็สามารถโจมตีร่างเงาดำนั่นได้โดยตรงแล้ว แถมยังทำให้บาดเจ็บได้ในหมัดเดียวด้วย จะเรียกว่าเป็นไพ่ลับของเขาอีกอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้


ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้วิญญาณสัตว์ร้ายของเขานั้นจะแปดเปื้อนก่อนที่จะกลายมาเป็นพลังสถิตย์ร่างของซูจิ้งก็ตาม แต่หลังจากที่มันกลายเป็นพลังสถิตร่างของซูจิ้งไปแล้ว วิญญาณที่แปดเปื้อนนี้ไม่ได้สูญสลายหายหรือส่งผลต่อซูจิ้งแต่อย่างใด


 


วิญญาณที่แปดเปื้อนได้กลายไปเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์อีกส่วนหนึ่งไปแล้ว ต่อให้ซูจิ้งใช้ลำแสงชำระล้าง วิญญาณส่วนนี้ก็ไม่ได้รับผลกระทบต่อย่างใด


ในตอนนี้ ซูจิ้ง รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังทั้งทางร่างกายและจิตใจ อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังไม่หยุดฝึกฝน เขาได้ตรงกลับเข้าไปยังรังนกเพลิงและทำการเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าเพื่อทำการปรับร่างกาย ฟื้นคืนพลังวิญญาณ บ่มเพาะเคล็ดวิชาต่างๆเพื่อเตรียมพร้อมในการเผชิญหน้ากับเงาดำนั่น


 


ไม่กี่วันถัดมา ซูจิ้งยังใช้เวลาไปกับการจัดการขยะห้วงเวลาฯและฝึกฝนตัวเองโดยการเปิดใช้วิถีแห่งใต้หล้าไปด้วย เรียกได้ว่าบ่มเพาะทุกย่างก้าวกันเลยทีเดียว และนี่ทำให้เขานั้นไม่ต้องพักผ่อนเลยสักนิด


ส่งผลให้ขยะห้วงเวลาฯในตอนนี้ถูกจัดการลงไปอย่างรวดเร็ว แต่เขานั้นก็ยังได้พบของดีๆอยู่บ้าง


อย่างเช่นพระพุทธรูปแกะสลักพระพุทธรูปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ วัตถุโบราณที่แฝงกลิ่นอายแห่งศิลป์เอาไว้ และไม้ที่มีค่ามากกว่าครั้งไหนๆที่เขาเคยพบมา


 


โดยกับเรื่องนี้ ซูจิ้งไม่ได้เสียเวลาในการแกะสลักหรือเอาไปเปิดตัวแต่อย่างใด เขามอบให้เฉิงหนานเพื่อนำไปจัดการต่อ แค่ไม้ท่อนนี้ก็บอกได้เลยว่าเขานั้นสามารถได้รับทั้งเงินและค่าการใช้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแล้ว


อย่างไรก็ตาม นอกจากของพวกนี้แล้ว ซูจิ้งยังไม่พบของที่ช่วยเขาเพิ่มความแข็งแกร่งแอย่างใด


 


ในช่วงตอนกลางคืน ในที่สุด พื้นที่รองรับขยะห้วงเวลาฯของซูจิ้งก็ได้ว่างลงอีกครั้งหนึ่ง และในตอนนี้เอง ซูจิ้งก็ได้พบทั้งข่าวดีและข่าวร้าย


ข่าวที่ว่าคือเกิดการตายที่แปลกประหลาดในทวีปแอฟริกาโดยมีผู้เสียชีวิตไปกว่าสองล้านคน สาเหตุการตายไปแน่ชัด


เพียงแต่ผู้เสียชีวิตทุกคนนั้นมีอาการอย่างหนึ่งเหมือนกันก็คือใบหน้าที่ซีดเผือดและร่างกายที่ผอมแห้งราวกับว่าโดนสูบชีวิตกันไปเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันดูแปลกมาก บางคนนั้นได้ออกมาให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่านี่น่าจะเป็นโรคละบาดชนิดใหม่ก็เป็นได้


 


หลังจากที่ซูจิ้งเห็นข่าวนี้ เขาถึงกับต้องขมวดคิ้วพร้อมความคิดที่ว่า โรคระบาดใหม่…ไม่มีทาง ต่อให้เก้าในสิบส่วนเลยว่าเจ้าเงาดำนั่นต้องเป็นคนก่อเรื่องอย่างแน่นอน


ก่อนหน้านี้ ซูจิ้งเองก็ได้ข่าวแปลกๆ เกี่ยวกับการตายที่แปลกประหลาดมาบ้าง แต่ด้วยจำนวนที่ไม่มากทำให้เขานั้นไม่ได้สนใจอะไรและไม่คิดว่านั่นเป็นฝีมือของร่างเงาดำแม้แต่น้อย แต่ด้วยจำนวนขนาดนี้แล้ว ต่อให้เขานั้นยังไม่มั่นใจเต็มสิบ แต่ยังซะเขาก็ยังเชื่ออยู่ดีว่าร่างเงาดำนั่นต้องเกี่ยวข้อง


 


“ดูเหมือนว่าร่างเงาดำนั่นไม่ต้องใจจะปิดเรื่องนี้เลยแหะ”


ถึงแม้หากมองเผินๆแล้วนี่เป็นข่าวดีสำหรับเขาที่จะได้รู้สักทีว่าร่างเงาดำนี่อยู่ที่ไหนกันแน่ แต่หากมีหัวคิดอีกสักหน่อยล่ะก็ตั้งคิดเอะใจอยู่บ้างว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะเกิดขึ้น


ร่างเงาดำนั่น่ไม่ใช้ผู้ไม่ตายไร้สมองงอกง่อยอะไรพวกนั้น เจ้าเงานั่นสมควรจะเตรียมการไว้พร้อมที่กำจัดเขาแล้วจึงกล้าที่จะเผยร่องรอยออกมาให้เห็นแบบนี้ ดีไม่ดีเจ้านั่นอาจจะฟื้นฟูกลับมาสมบูรณ์พร้อมแล้วถึงได้กล้าเผยร่องรอยออกมาก็เป็นได้


 


โดยปกติแล้ว เหล่าผู้ไม่ตายนั้นจะใช้การฆ่าสิ่งมีชีวิตเพื่อเป็นการบ่มเพาะจิตวิญญาณของตนเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเงาดำนั่นจะแกร่งขึ้นมาอีกขนาดไหนกันแน่หลังจากฆ่าคนไปกว่าหนึ่งล้านคน


ซูจิ้งเองในตอนแรกก็มีความคิดที่จะไปตามคำเชิญนี้เหมือนกันแต่ก็ต้องละทิ้งความนี้ไปแทบจะในทันที นั่นก็เพราะหากว่าเขาไปในตอนนี้แล้วเจ้าเงาดำดันคิดว่าเขาเตรียมตัวมาดีกว่าแล้วจะพานหนีไปแล้วไม่ทิ้งร่องรอยอะไรอีก


 


ในตอนนี้เจ้าเงาดำนั่นเปรียบได้ดั่งเสือที่มาจากภูเขา หากว่ามันฆ่าเขาได้ล่ะก็ อย่าว่าแต่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯและสมบัติของเขาจะตกกลายเป็นของมันเลย ต่อให้มันทำลายสถานีกำจัดขยะห้วงเวลา หรือแม้แต่กวาดล้างคนจีนและเปลี่ยนประเทศจีนให้กลายมหาสุสาน เมื่อถึงตอนนั้นใครจะขวางมันได้


 


แถมนั่นยังไม่รวมถึงว่าจะเป็นการเปิดเผยการคงอยู่ของรังนี่ด้วยอีก เป็นสิ่งที่เขาปล่อยให้มันเกิดขึ้นไม่ได้จริงๆ


อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งเองก้ไม่สามารถนั่งรอดูเฉยๆได้เหมือนกัน นั่นก็เพราะการที่เจ้าเงาดำนั่นเปิดเผยตัวเองแบบนี้นั่นก็หมายความว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากนัก


นี่ยิ่งทำให้เขานั้นรู้สึกว่าการแข่งกีฬาโอลิมปิกที่เขากำลังเฝ้ารออยู่นี้มีความสำคัญยิ่งกว่าเดิมไปอีก


“หลังจากฉันได้มังกรนั่นมาสถิตอยู่ในร่างแล้วทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมากนัก มาตอนนี้วิธีการฝึกทั้งหลายของฉันนั้นล้วนธรรมดาไปเลย ในอนาคตคงอยากที่จะเพิ่มแล้วล่ะนะ


 


ส่วนเหรียญตราเทวฑูตนี่ก็ยังพัฒนาได้อีกมากนัก งานแข่งกีฬาโอลิมปิดในครังนี้ก็หวังว่าจะเติมเต็มเหรียญตราเทวฑูตนี้ได้จนเต็มน้า…” ซูจิ้งในตอนนี้นั้นยังผลีผลามที่จะโจมตีไม่ได้ เขาจึงเรียกวิธีการที่สามารถพัฒนาตัวเองให้เร็วที่สุดจะดีกว่า


ซูจิ้งได้โทรหาหลัวฉือหลินเพื่อให้ไปสืบสวนเรื่องการตายแปลกๆที่แอฟริกา โดยครั้งนี้เขาได้ย้ำอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าห้ามเข้าใกล้เกินไป เพราะหากว่าโดนเจอตัวครั้งนี้รับรองว่าแม้แต่เขาในตอนนี้ก็ช่วยไม่ได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นซูจิ้งก็ได้ทำการรอต่อไป


 


ไม่กี่วันถัดมา งานแข่งกีฬาโอลิมปิคที่โตเกียวก็ได้มาถึง เหล่าผู้คนที่มีสัมพันธ์อันดีและเพื่อนๆของซูจิ้งนั้นความจริงก็อยากจะมาเห็นฉากความสำเร็จของซูจิ้งด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถแบ่งเวลามาได้นั่นก็เพราะงานที่ซูจิ้งหามาให้


มีบางคนเหมือนกันที่อยากจะไปดูด้วยตัวเองจริงๆแต่ก็ถูกปฏิเสธไปและโดนบอกกลับมาว่าให้ดูอยู่ที่บ้านดีกว่า เรื่องแบบนี้ดูที่ไหนก็ไม่ต่างกัน


พ่อแม่ของซูจิ้งและซูหยานั้นอยู่ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อนจึงได้ขอตามไปด้วย ฉือชิงก็เช่นกัน ช่วงนี้ร้านเข้าที่เข้าทางแล้ว ต่อให้ฉือชิงอยู่หรือไม่คนที่เหลือก็ยังดำเนินการต่อไปได้


 


หลังจากพิธีเปิดเสร็จสิ้น การแข่งขันก็ได้เริ่มขึ้น งานแข่งกีฬาอย่างแรกก็คือยิงธนู ทีมจีนชนะเลิศจนได้เหรียญทองมาครองอย่างง่ายดาย ถือว่าเป็นเบิกฤกษ์เบิกชัยที่ดีทีเดียว


แน่นอนว่าทีมจีนนั้นได้ใช้ธนูและลูกธนูที่ดูล้าหลังแบบสุดๆ เรียกได้ว่าโลเทคเลยก็ว่าได้ สิ่งนี้เป็นที่โจษจัณฑ์กันทั่วสนามในคราแรกในทันทีที่มีคนเห็น แต่ไม่มึใครรู้เลยสักคนว่าธนูนี้มาจากห้วงเวลาฯลอร์ดออฟเดอะริง


ถัดมาเป็นการแข่งยิมมนาสติกชาย บาสเก็ตบอลหญิงรอบรองชนะเลิศ บาสเก็ตบอลชายรอบชิงชนะเลิศ ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นเป็นนักกีฬาตัวจริงทำให้เขานั้นต้องลงเล่นในที่สุด


 


ทีมนักกีฬาบาสเกตบอลชายนั้นถือได้ว่าเป็นจุดอ่อนของทีมชาติมาโดยตลอด การที่ซูจิ้งเขามาอยู่ในทีมนี้ต้องทำให้ทุกคนต้องมองทีมบาสเก็ตบอลใหม่อีกครั้ง


แต่ก็มีเพียงบางคนเท่านั้นที่คิดว่าการที่ทีมบาสเก็ตบอลชายมีซูจิ้งอยู่แบบนี้จะประสบความสำเร็จ และส่วนใหญ่นั้นคิดว่าซูจิ้งนั้นไม่ว่าจะเล่นบาสเก็ตบอลได้จริงๆหรือไม่


สุดท้ายแล้วเล่นแบบบ้านๆกับเล่นแบบกีฬายังไงก็ยังแตกต่างกันมากมายนัก ไหนจะกฎระเบียบที่จุกจิกชนิดที่ว่าคนที่ไม่ใช่นักกีฬานั้นย่อมหัวหมุนในทันทีที่ได้ยิน อีกอย่างคนที่แข็งแกร่งจนล้ำหน้าชาวบ้านแบบเขาจะไปเข้าขาคนในทีมได้ยังไง การแข่งกีฬาบาสนั้นเป็นการแข่งแบบทีม เล่นเด่นคนเดียวมันก็เท่านั้น


การมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้ช่วยอะไรกับเรื่องนี้เลยจริงๆ กับคนที่ไม่ได้อยู่ในวงการแล้วอยู่ๆมาลงแข่งแบบนี้ พวกเขาก็อยากรู้เหมือนกันว่าซูจิ้งนั้นจะจบยังไงกันแน่


GGS:บทที่ 1142 เริ่มเกม


งานกีฬาโอลิมปิคที่เมืองโตเกียว สนามบาสเก็ตบอล

ทีมประเทศจีนและทีมประเทศออสเตรเลียได้ทำการจับมือกัน นอกจากผู้ชมชาวญี่ปุ่นแล้วนั้น ในการแข่งขันนี้มีผู้ชมจากนานาประเทศทั่วโลกได้เข้าชม โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นชาวจีนที่มาดูทำให้บรรยากาศในการแข่งนี้ร้านระอุเล็กน้อย


“นี่หมายความว่าพี่จิ้งเขาเล่นบาสด้วยสินะ”

“ไม่รู้เหมือนกันแหะ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”

“ฉันไปตรวจสอบมาแล้วนะ พี่จิ้งเคยเล่นบาสเมื่อตอนม.ปลายแต่ก็แค่ระดับธรรมดาเท่านั้น เขาไม่ได้ติดตัวจริงแต่อย่างใด เขาติดแค่ตัวสำรองเท่านั้น หลังจากนั้นเขาก็ไม่ค่อยได้เล่นสักเท่าไหร่นัก”

“เอาจริงดิ แล้วพี่จิ้งไปติดตัวจริงทีมชาติได้ไงเนี่ย”


“ฉันว่าเป็นเพราะความแข็งแกร่งของร่างกายนะ ต่อให้เล่นบาสไม่เป็นแต่ด้วยความแข็งแกร่งนั้นไม่มากก็น้อยต้องช่วยทีมได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการบล็อค รีบาวน์ และอย่างอื่น ทุกอย่างล้วนแล้วต้องการคนที่มีสมรรถนะร่างกายดีเยี่ยมทั้งสิ้น กับคนอื่นเวลาเล่นเกมอาจจะคุมได้แค่ครึ่งสนาม แต่เมื่อมีพี่จิ้งอยู่ เขาสามารถทำเองได้ด้วยตัวคนเดียวทั้งสนามเป็นแน่”

เมื่อได้ยินคำพูดของทุกคนแล้ว ซูเซินเย่วและเย่ฉิงก็รู้สึกประหม่าในทันที เย่ฉิงอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “อาจิ้งนี่จริงๆเล้ย เขานั้นก็ไม่ได้แตกฉานในกีฬานี้สักเท่าไหร่แล้วทำไมเขาถึงได้เข้าร่วมได้กัน หากเขาทำผลงานออกมาไม่ดีล่ะก็นี่ไม่ทำให้เขาเสียชื่อหรอกเหรอ”


“ในเมื่อเขากล้าที่จะลงเล่นแน่นอนว่าเขาต้องเตรียมพร้อมไว้แล้ว” ซูเจิ้งฮงพูดออกมาด้วยเสียอันหนักแน่ แต่ใจเขานั้นก็อดที่จะเป็นกังวลไม่ได้เหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นในประเทศจีนหรือนอกประเทศจีนนั้นล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยนักเลงคีย์บอร์ด ซูจิ้งเองก่อนหน้านี้ได้เอาชนะคำปรามาศจากคนพวกนี้มามากมายหลายครั้งหลายหน

หากมาในคราวนี้เขาเกิดพลาดท่าขึ้นมานั้นมีหวังคนพวกนี้ได้ออกมาถล่มเขายับเป็นว่าเล่นเป็นแน่ ดีไม่ดีอาจจะโดนกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุให้ประเทศต้องเสียชื่อเสียงด้วยซ้ำ


“พ่อคะแม่คะ อย่าเป็นกังวลไปเลยค่ะ พี่เขาเก่งมากเลยนะ ในเมื่อพี่เขาตั้งใจร่วมแล้วแน่นอนว่าเขาต้องทำได้ไม่อย่างนั้นเขาไม่ลงเล่นหรอก” ซูหยาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงใสซื่อ เธอเองนั้นมั่นใจในซูจิ้งอย่างมาก เธอได้หันไปหาฉือชิงและพูดออกมาว่า “พี่สะใภ้พี่ก็พูดอะไรออกมาสักหน่อยจิ”


“คะ หนูคิดว่าเขานั้นต้องมั่นใจสุดกู่ว่าตัวเองทำได้อยู่แล้วไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ลงเล่นหรอก” ฉือชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มในทันทีที่เธอถูกเรียกว่าพี่สะใภ้


“มั่นใจสุดกู่อะไรกัน เขานั้นไม่รู้จักฟ้าดินจะมากกว่า จะเกิดอะไรขึ้นหากเขาถูกน็อคไม่ก็ทำให้ผู้เล่นอีกทีมทำให้บาดเจ็บล่ะในเกมแบบนี้แม่เห็นเกิดเรื่องแบบนั้นออกจะบ่อย” เย่ฉิงพูดออกมา ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมานี้ซูจิ้งจะสูงขึ้นไปเป็นกว่า 1.83 เมตรแล้วก็ตาม แต่ในการแข่งขันแบบนี้แน่นอนว่าคนที่สูงกว่าซูจิ้งแม้แต่คนที่สูงเกินสองเมตรก็ยังดี นี่ทำให้แม่ของซูจิ้งค่อนข้างห่วงในเรื่องนี้


“เอาน่า ยังไงซะในการแข่งแบบนี้เขาก็ไม่อนุญาตให้เล่นงานกันแบบตั้งใจอยู่แล้ว” ซูเซินเย่วพูดออกมาในทันทีที่ได้ยินความกังวลของภรรยา

ซูหยาและฉือชิงเองที่ได้ยินออกมาแบบนี้ก็อดที่จะหัวเราะออกมากันไม่ได้ ถึงแม่ทั้งสองคนจะไม่รู้ว่าฝีมือการเล่นบาสของซูจิ้งนั้นเป็นยังไง แต่เธอทั้งสองคนนั้นไม่ได้มีความกังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย


นั่นก็เพราะว่าทั้งสองนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งโค่นล้มเหล่านักศิลปการต่อสู้มามากมาย ทั้งสองเคยเห็นแม้แต่การที่ซูจิ้งได้ใช้มือป่าวผ่าหินก้อนโต แล้วจะต้องมากังวลเรื่องนี้ไปทำไม

ก็คงจะเป็นเรื่องปกติสำหรับพ่อแม่ล่ะมั้งที่ไม่ว่าลูกจะเติบโตขนาดไหนแต่ทุกครั้งที่ต้องแข่งแบบนี้ก็อดเป็นกังวลไม่ได้ นี่ขนาดทั้งสองรู้ว่าลูกตัวเองแข็งแกร่งมากมายก็ยังกลัวลูกเป็นหวัดอยู่ดีสินะ


ในตอนนี้ผู้ชมมากมาย แม้แต่ผู้เล่นประเทศออสเตรเรียต่างก็สังเกตุซูจิ้งกัน ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขานั้นเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ แต่พวกเขาก็ยังรู้อีกว่าซูจิ้งคนนี้ได้รับความนิยมเล็กน้อยและสร้างเรื่องราวออกมาให้โลกต้องตกตะลึงได้หลายครั้งหลายครา


“ซุยจิ้งคนนั้นคือคนที่ก่อตั้งกลุ่มทุนห้วงเวลา รักษาฮอว์กิ้น ขี่อินทรีย์ทองคำ และทำลายสถิติของกีฬาเอ็กซตรีมมากมายสินะ”

“ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้เล่นบาสให้เห็นเลยนี่นา แล้วทำไมเขาถึงมาลงเล่นทีมชาติแบบนี้ได้ล่ะ”

“ใครจะไปรู้ล่ะ ประเทศจีนอาจไม่เหลือใครแล้วก็ได้นะ”


ไม่เพียงแต่ผู้ชมในสนามเท่านั้น ในตอนนี้แม้แต่ผู้ชมที่ดูผ่านการถ่ายทอดสดจากทั่วทุกมุมโลกต่างก็พูดถึงเรื่องนี้กันไปทั่ว

บ้างก็ว่าดีแล้วที่ส่งซูจิ้งมาจะได้ปิดเกมง่ายหน่อย บ้างก็สงสัยว่าเขาจะทำแต้มได้สักกี่แต้ม บ้างก็ว่าเขานั้นจะรีบาวน์ได้กี่ลูก บ้างก็ว่าเขานั้นจะไปแย่งลูกได้สักเท่าไหร่กันเชียว


ณ กลุ่มทุนห้วงเวลา หวังจ้าว เฉิงหนาน และผู้บริหารระดับสูงอีกหลายคนพึ่งจะประชุมกันเสร็จ ทุกคนก็ได้อยู่เพื่อดูการถ่ายทอดสดในครั้งนี้กันทุกคน

ถึงแม้ในระหว่างเวลางานนั้นมาดูการแข่งกีฬาแบบนี้ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีสักเท่าไหร่ แต่ในเมื่อคนเริ่มดูไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นหวังจ้าวและเฉิงหนาน อีกทั้งผู้ที่หุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัทของพวกเขานั้นลงแข่งเองซะขนาดนี้มีหรือจะพลาด


“”อาจิ้งเล่นบาสไม่เป็นไม่ใช่เหรอ ฉันไม่เคยเห็นเขาเล่นเลยนะ” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยความกังวล

“เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” เฉิงหนานเองก็ไม่รู้จะตอบออกมายังไงดีเหมือนกัน เธอเองนั้นรู้สึกว่าในคราวนี้ซูจิ้งกำลังบ้าคลั่งด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง แต่เธอเองก็อดที่จะหวังให้ซูจิ้งสร้างผลงานดีๆไม่ได้เหมือนกัน นั่นก็เพราะว่านอกจากบาสแล้ว ซูจิ้งยังตั้งลงแข่งอีกนับสิบยี่สิบเกมเห็นจะได้


“คุณซูนี่น้า….ช่างว่างดีจริงๆ” ผู้บริหารส่วนใหญ่ที่เห็นก็อดที่จะลอบถอดถอนหายใจไม่ได้ในทันที ต่อให้เป็นซูจิ้งแต่นี่คือการแข่งโอลิมปิดเลยนะ หากไม่มีเวลานานพอไปร่วมแข่งแน่นอนว่าย่อมไม่มีทางติดตัวจริง


ณ สำนักงานของซือหยา หวังซือหยา เชิงซิเหยา หยินหนิงหนิง โจวเย่ว และคนอื่นๆต่างก็ขมการถ่ายทอดโอลิมปิคเกมในครั้งนี้

“เย่วน้อย อาจิ้งเล่นบาสเป็นด้วยเหรอ” หวังซือหยาถามออกมา

“ถ้าจำไม่ผิดเขานั้นก็เคยเล่นอยู่บ้างช่วงมหาวิทยาลัยนะ แต่ตอนนั้นเขาก็ไม่ได้เก่งอะไรแม้แต่ทีมมหาวิทยาลัยยังไม่มองเขาด้วยซ้ำ” โจวเย่วพูดออกมา


“แล้วเขาไปติดทีมาติได้ยังไงกันเนี่ย” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยสายตาที่เลื่อนลอยมองไปไกล

เชิงชิเหยาและหยินหนิงหนิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในทันทีที่เห็นท่าทางของหวังซือหยา ทุกคนนั้นล้วนรักใคร่ซูจิ้งจนอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้เหมือนกัน


ณ ตระกูลหวัง หวังหยานที่ดูการสตรีมอยู่บ้าน ข้างๆเธอนั้นมีผู้ช่วยของเธอที่มองด้วยหน้าตาแบบยากจะบรรยายและอดไม่ได้ที่จะถามออกมาว่า “คุณหวัง ซูจิ้งนี่เล่นบาสเก่งเหรอคะ”

หวังหยานสายหน้าไปมาและไม่พูดอะไรออกมาเลยสักคำ เธอเองรู้ดีว่าฝีมือเล่นบาสของซูจิ้งในช่วงมหาวิทยาลัยนั้นเป็นยังไง แต่ด้วยการที่ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ทำเรื่องไว้มากมายที่เกินกว่าความเข้าใจของเธอที่มีต่อซูจิ้งทั้งสิ้น ทำให้เธอนั้นยากที่จะพูดออกมาได้อย่างเต็มปาก


“อ้อ ฉันลืมบอกไปค่ะว่าท่านอาจารย์ส่งข้อความมาบอกฉันว่าให้บอกคุณด้วยว่าซงจูนฮ่าวหนีออกมาจากคุกแล้ว” ผู้ช่วยหญิงพูดออกมา

“ซงจุนฮ่าวหนีออกมาจากคุกงั้นเหรอ” หวังหยานเมื่อได้ยินก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปในทันที ถึงเธอจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับซงจุนฮ่าวเลยก็ตาม ด้วยการที่หมอนั้นทำอะไรตั้งมากมายไว้กับเธอนี่จึงเป็นธรรมดาที่เธอต้องจดจำหมอนั่นได้ แต่ไม่ใช่ว่าหมอนั่นสติแตกจนถูกขังไว้ในคุกจิตเวชไม่ใช่เหรอ แล้วหมอนั่นจะออกมาได้ยังไงกัน


แต่ถึงจะได้ยินแบบนั้นแต่ด้วยการที่เธอนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรกับซงจุนฮ่าว เธอจึงเรียกที่จะไม่สนใจและรับชมการสตรีมกีฬาโอลิมปิดต่อไป

เธอไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ว่าโอฉิงซงที่เคยไล่ตามเธอและไปมีเรื่องกับซูจิ้งได้หายตัวไปอย่างปริศนาด้วยเหมือนกัน


นอกจากหวังหยานแล้ว มู่หรงเซียนเอ๋อ นาหลันเฟย จูเจียนฮัว เป็งหมิง หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย ฉินซูหลัน หลิวฉิง และคนอื่นๆที่คุ้นเคยกับซูจิ้งต่างก็หาโอกาสดูการถ่ายทอดโอลิมปิคในครั้งนี้ รวมถึงเหล่าแฟนคลับของซูจิ้งด้วยเช่นเดียวกัน


ในสายตาของผู้คนนั้น ในตอนนี้ต่างก็ตกตะลึง นั่นก็เพราะว่าในการแข่งขันบาสเก็ตบอลชายกลุ่มเอในครั้งนี้ ซูจิ้งไม่ได้นั่งอยู่ในที่นั่งตัวสำรอง แต่เขาลงเล่นในฐานะตัวจริง


GGS:บทที่ 1143 สุดยอดมืออาชีพ


หลังจากสิ้นเสียงสัญญาณนกหวีด เกมก็ได้เริ่มขึ้น

ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายได้ส่งตัวแทนทีมขึ้นมาเพื่อแย่งบอลกันที่กลางสนาม ฝั่งออสเตรเรียได้ส่งนักกีฬาที่มีส่วนสูงกว่า 2.15 เมตร ออกมากลางสนาม ส่วนฝั่งจีนนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นซูจิ้ง


“ไม่จริงน่า เรื่องอะไรกันเนี่ย”

“พวกเขาส่งพี่จิ้งลงไปแย่งบอลเนี่ยนะ ความสูงไม่ต่างกันเกินไปหน่อยรึ”

“ฉันว่าทีมจีนไม่อยากจะเป็นฝ่ายเปิดเกมนะถึงได้ส่งไอ้เตี้ยออกมาแบบนี้”

“ดูเหมือนว่าไอ้พวกนี้จะยอมแพ้แต่ต้นเลยแหะ”


ท่ามกลางความเห็นของผู้คน ซูจิ้งและตัวแทนนักกีฬาออสเตรีเลียได้มายืนอยู่กลางสนาม หลังจากนั้น กรรมการได้โยนลูกบาสขึ้นไปตรงกลางสนามนั้น

ในทันทีที่ลูกบาสถูกโยนขึ้น ตัวแทนนักกีฬาออสเตรีเลียก็ได้กระโดดขึ้นมาในทันที ถึงแม้ชายคนนี้จะตัวสูงแต่ก็ยังกระโดดได้ดีอย่างมาก

แต่ในกลางอากาศนั้น เขาได้สัมผัสถึงแรงลมมาปะทะที่ใบหน้าของเขาจนราวกับว่าตัวเองโดนผลักออกมาด้วยแรงลมเลยทีเดียว แต่สำหรับผู้เล่นคนอื่นแล้ว ที่พวกเขาได้เห็นนั้นก็คือซูจิ้งได้ทะยานขึ้นไป


“เพี้ยะ”

ซูจิ้งได้ปัดลูกบาสให้รอยไปยังฝั่งผู้เล่นจีน ผู้เล่นจีนที่ได้ลูกบอลมานั้นได้ทำการเดาะลูกบอลไปสองทีก่อนที่จะส่งต่อให้ซูจิ้งที่พึ่งจะถึงพื้นราวกับว่านัดแนะกันไว้แล้ว

หลังจากรับบอลมา ซูจิ้งได้เลี้ยงเข้าไปยังพื้นที่ฝ่ายตรงข้ามอย่างรวดเร็วประดุจดั่งเสือชีต้า

ฉากที่คนสองคนได้แย่งบอลกันแล้วถูกส่งลูกบอลมาเพื่อเล่นต่อแบบนี้ช่างรวดเร็วจนผู้คนต่างก็รู้สึกว่าราวกับตาฝาดไป ในขณะที่ผู้เล่นออสเตรเรียกำลังอึ้งๆอยู่นั้น ซูจิ้งได้หยุดแล้วกระโดดยิงลูกบาสออกไปเข้าห่วงอย่างง่ายดาย เขาทำคะแนนได้สองแต้ม


“โอ้…..” ผู้คนโดยรอบต่างก็เฮกันลั่น ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องสองคะแนน การที่ซูจิ้งที่เป็นคนธรรมดาแต่กลับกระโดดได้สูงขนาดนั้นตอนชิงบอล ส่งบอล เลี้ยงบอล ไม่ว่าจะท่าทางไหนก็บ่งบอกว่าเขานั้นคือมืออาชีพชัดๆ

“ใครลอกว่าพี่จิ้งเล่นบาสไม่เป็นกันเนี่ย มองยังไงก็มืออาชีพขนานแท้เลย สุดยอดดดดด”

“ทรงพลังยิ่งนัก”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ฉันว่าหมอนั่นจะกลัวมากเกินไปแล้วล่ะ”


ฉือชิงและซูหยาต่างก็เชียร์ออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา ในขณะที่พ่อแม่ของซูจิ้งกับนิ่งตะลึงงัน นั่นก็เพราะทั้งคู่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าลูกของตัวเองจะเล่นบาสเก่งถึงขนาดมาเล่นในกีฬาโอลิมปิคจนทำให้ผู้คนตกตะลึงกันไปทั่ว

“คนจีนนั่นเก่งจริงๆ”

“เห็นด้วย เลี้ยงลูกก็ดี แย่งลูกก็เร็ว ไหนจะท่วงท่าการเคลื่อนไหว้นั่นอีก ถึงแม้ว่าการยิงลูกจะดูธรรมดาไปหน่อยก็เถอะ”

“โอ้ะ หมอนั่นดูเหมือนจะเล่นเป็นตัวจ่ายแหะ”


เหนือสิ่งอื่นใด ทั่วทั้งโลกนี้กำลังรับชมการสตรีมนี้อยู่ทั่วทั้งโลก ทุกคนต่างตกตะลึงกันทั่วทั้งโลก โดยเฉพาะกับกลุ่มผู้บริหารของกลุ่มทุนห้วงเวลานั้น หวังจ้าวได้ประหลาดใจจนอดพูดออกมาไม่ได้ว่า “อาจิ้ง ดูยังไงก็ระดับมืออาชีพชัดๆ”


“แต่ฉันไม่เคยเห็นเลยนะว่าเขาจะเล่นบาสมาก่อนเลยนะ นี่เขาไปแอบเล่นตอนไหนกัน” เฉิงหนานพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เหล่าผู้บริหารคนอื่นเองก็ได้แต่ส่ายหน้ากันไปมา การที่ซูจิ้งมีฝีมือบาสเก็ตบอลระดับนี้โดยไม่มีใครรู้นี้ช่างน่าอัศจรรย์อย่างที่สุด นี่ทำให้คนอื่นนั้นดูแย่กันจริงๆ


“สุดยอดดดดด….” ซือหยาที่นั่งอยู่ในออฟฟิศและกำลังดูการถ่ายทอดนี้อยู่อดที่จะแสดงความตื่นเต้นออกมาไม่ได้ แม้แต่เชิงชิเหยาและหยินหนิงหนิงเองก็ก็ส่งเสียงครึกครื้นไม่ต่างกัน

“เย่วน้อย ไม่ใช่ว่าเธอบอกว่าฝีมือการเล่นบาสเก็ตบอลของซูจิ้งนั้นไม่ได้เรื่องไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมในการแข่งตอนนี้เขาแสดงฝีมือได้สุดยอดขนาดนี้ล่ะ” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ก็ตอนที่เขาอยู่มหาวิทยาลัยเขาไม่ได้เรื่องจริงนี่นา ฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขานั้นไปเรียนมาตอนไหนเหมือนกัน” โจวเย่วพูดออกมาด้วยท่าทีที่พูดไม่เข้าคายไม่ออก

นั่นก็เพราะตอนเธออยู่มหาวิทยาลัยนั้นซูจิ้งไม่ได้แสดงความเก่งกาจอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย ในตอนนั้นเขามีฝีมือแค่เล่นแบบไปวัดไปวาได้เท่านั้น ใครจะไปคิดว่าคนๆนั้นจะมีฝีมือขนาดนี้ได้กันล่ะ


“กลายเป็นว่าเขาเล่นบาสเก็ตบอลเก่งมาก…” ผู้ช่วยของหวังหยานพูดออกมาด้วยท่าทางประทับใจ

“……” หวังหยานนั้นไม่ได้พูดอะไรออกมา แน่นอนแล้วฝีมือของซูจิ้งนั้นอยู่เหนือกว่าที่เธอรู้จักมากมายนัก นี่เขาไปทำอะไรมาในช่วงสองปีที่ผ่านมานี้กันนะ


มู่หรงเซียนเอ๋อ นาหลันเฟย จูเจียนฮัว เป็งหมืง หลินฮ่าว เสี่ยวรุย ฉือเล่ย ฉินซูหลาน หลิวฉิง และคนอื่นๆที่เห็นฉากการเล่นบาสของซูจิ้งอดที่จะแสดงความประทับใจที่มีต่อซูจิ้งไม่ได้เลยสักคน

อย่างไรก็ตาม เพียงหนึ่งลูก ต่อให้มหัศจรรย์ยังไงก็ไม่ได้หมายความว่าเกมทั้งหมดจะชนะ เป็นไปได้ว่าเขานั้นฉวยโอกาสที่คนอื่นจะละเลยเขาไม่ได้ระวังตัวก็เป็นได้ คราวนี้เป็นทางฝั่งออสเตรเรียเป็นฝ่ายรุกบ้าง

เกมถัดมา ฝั่งซูจิ้งเป็นฝ่ายป้องกัน แต่เท่าที่ดูแล้วไม่มีใครเลยที่คิดจะป้องกันผู้เล่นฝ่ายออกสเตรีเรียแต่อย่างใด

นี่ทำให้ตัวจ่ายของฝั่งออสเตรเรียถึงกับงงกับการกระทำของผู้เล่นฝั่งจีนไม่น้อยเลยทีเดียว


โดยเฉพาะกับซูจิ้ง พวกเขานั้นถือว่าซูจิ้งนั้นไม่ใช่อะไรเลยกับพวกเขา ไม่มีใครเลยที่คิดจะสนใจซูจิ้ง ทีมออสเตรีเรียแค่ส่งผ่านไปให้เพื่อนร่วมทีมที่อยู่ฝั่งซ้ายของสนามเท่านั้น หลังจากส่งให้กับอีกสองคนแล้ว พวกเขาก็ได้ส่งให้ตัวทำแต้มในทันที


ในตอนนี้ ซูจิ้งที่เห็นฉากนี้ก็ได้ย่อตัวเองราวกับเป็นขดสปริง ในตอนนั้นเขาพุ่งตัวเองตามลูกบาสไปในทันที เขาเหยียดแขนไปสุดมือเท่าที่จะเป็นไปได้ ร่างกายของเขานั้นราวกับว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรกับแรงโน้มถ่วงเลยแม้แต่น้อย และในที่สุดแล้วเขาก็แย่งบอลไปได้


ตัวจ่ายของออสเตรีเรียที่เห็นฉากนี้ก็อดที่จะสะเทือนใจไม่ได้เช่นเดียวกัน เขานั้นได้พุ่งตัวออกไปเพื่อพยายามที่จะแย่งบอลคืน แต่ซูจิ้งนั้นไวกว่า เขานั้นย้ายบอลหนีระหว่างอยู่กลางอากาศก่อนที่จะปัดบอลไปยังเพื่อนร่วมทีมของเขา ด้วยท่าทางที่ไหลลื่นราวกับกระต่ายเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าแย่งมาจากมีตัวจ่ายของออสเตรีเรียได้อย่างง่ายดาย


เมื่อได้เห็นดังนั้น เหล่าผู้เล่นฝั่งออสเตรเรียนั้นได้พากันกุลีกุจอวิ่งกลับกันไปยังฝั่งของตัวเองในทันที แต่ก็ยังอยู่ตามหลังซูจิ้ง ที่ในตอนนี้เพื่อนร่วมทีมของเขาได้ส่งกลับมาให้ซูจิ้งในทันทีที่ได้ลูกไป

เหล่าผู้เล่นฝั่งออสเตรเลียพยายามวิ่งไล่กวดอย่างหนัก แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทิ้งระยะสองเมตรตลอดสนามแต่อย่างใด ไม่สิ ต้องบอกว่ายิ่งวิ่งไล่ยิ่งห่างไกลก็ว่าได้

และยังไม่ทันจะเข้าถึงตัว ซูจิ้งก็ได้เข้าไปในพื้นที่สองคะแนนและกระโดดเบาเพื่อยิงลูกลงห่วงไปอย่างง่ายดาย….ประเทศจีนได้อีกสองคะแนน


จากผู้ชมทั้งหมดทั้งสิ้น ในการแข่งขันวันนี้ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ใช่ชาวออสเตรเรียแต่อย่างใด ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนของประเทศเจ้าภาพอย่างญี่ปุ่น ตามมาด้วยจีนและประเทศอื่นๆ จะเรียกว่าผู้ชมที่เข้ามาชมนี้ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ชาติเดียวกับทีมที่แข่งก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้ทำให้ผู้คนต่างก็รู้สึกทึ่งในฉากที่เห็น

กลับกัน กับผู้คนจากฝั่งออสเตรเรียนั้นเริ่มประหม่าขึ้นมา ในตอนนี้พวกเขาต่างรู้แล้วว่าการละเลยไม่สนใจซูจิ้งนั้นเป็นสิ่งที่ผิด


ในตอนนี้เหล่าผู้เล่นฝั่งออสเตรเรียนั้นล้วนแล้วแต่ใส่ใจซูจิ้งชนิดที่ตามติดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แถมยังขนาบติดเท่าที่จะเป็นไปได้

ด้วยการที่ทีมชาติออสเตรเรียนั้นมีความแข็งแกร่งโดยรวมอยู่เหนือกว่าประเทศจีนโดยรวมอย่างมาก พวกเขาทำการส่งแบบโยนข้ามผู้เล่นชาวจีนทุกคนโดยความหวังที่ว่าจะเป็นการหลบไม่ให้ซูจิ้งได้แม้แต่น้อย

และด้วยการที่ฝั่งออสเตรเรียนั้นมีผู้เล่นที่ตัวสูงกันทุกคนทำให้การส่งบอลแบบโยนนี้รวดเร็วจนทำให้ตอนนี้ลูกบาสได้ลอยไปยังผู้เล่นฝั่งออสเตรเรียคนหนึ่งที่ตอนนี้อยู่หน้าแป้นบาสจีนเรียบร้อยแล้ว


อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ลูกบาสกำลังจะลอยถึงมือ มีผู้เล่นคนหนึ่งได้กระโดดและทำการปัดลูกบาสนั้นในทันทีโดยหวังให้ลูกบาสพุ่งไปไกลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

แต่ผู้เล่นออสเตรเลียนั้นยังคงไปจับลูกได้แล้วแล้วทำการกระโจนขึ้นและเตรียมที่จะยัดลูกลงห่วง ในตอนนั้นเอง ผู้เล่นเทียมออสเตรเรียคนนั้นได้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างบินไปเหนือไหล่ของตัวเอง มันเป็นมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาจากข้างหลังแล้วทำการดึงลูกบาสออกไปจากมือของตน

“แม่….เอ๊ย”

ผู้เล่นทีมออสเตรเลียในตอนนี้ที่เห็นฉากนี้แตกหือวิ่งกลับฝั่งตัวเองในทันที พร้อมความรู้สึกที่ว่าเป็นการรีบาวด์ที่น่างดงามที่สุดภายในใจของตน

นี่ขนาดว่าผู้เล่นฝั่งออสเตรเรียทุกคนนั้นกินข้าวสีน้ำเงินกันแทบทุกมื้อกันจนสภาพร่างกายดีขึ้นมากแล้วจนมั่นใจว่าจากผู้เล่นมีฝีมือมาถึงระดับซุปเปอร์แมนได้แล้ว

อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้วพวเขานั้นด้อยไปอย่างมาก

“หยุดมันให้ได้”

ผู้เล่นออสเตรีเลียที่ตอนนี้วิ่งกลับฝั่งของตนเพื่อจัดรูปแบบตั้งรับนั้น แต่ยังไม่ทันที่พวกผู้เล่นทีมออสเตรเรียจะได้ตั้งรับดีนั้นต่างก็พบว่า ซูจิ้งได้ไปปรากฎกายอยู่หน้าแป้นบาสทีมของตนเป็นที่เรียบร้อยโดยแทบจะไม่มีใครรู้สึกตัวเลยสักนิด


GGS:บทที่ 1144 กระหยิ่มย่อง


 


หลังจากซูจิ้งได้วิ่งผ่านผู้เล่นทีมออสเตรเรียคนแล้วคนเล่า ในที่สุดเขาก็ได้ผ่านไปกว่าครึ่งสนามโดยไม่มีมีใครตั้งตัวทัน


หลังจากผู้เล่นฝั่งออสเตรเรียสองคนที่อยู่ใกล็ซูจิ้งมากที่สุดนั้นก็ได้รีบวิ่งเข้าไปขวางซูจิ้งในทันที แต่ในตอนนั้นเองที่ทั้งสองต้องหน้าเปลี่ยนสีเพราะซูจิ้งได้ทำการกระโดดแล้วทำท่าจะยิงลูกถึงแม้มันจะได้สามคะแนน แต่จุดนี้เองก็ยังไกลอย่าไร้เหตุผลทั้งสองจึงคิดว่าซูจิ้งนั้นเพียงแค่หลอกเท่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม เมื่อทั้งสองนั้นค่อนข้างมั่นใจว่าซูจิ้งจะทำการยิงลูกสามแต้มจริงๆ ทั้งสองก็เร่งรีบทำการกระโดดปัดลูกในทันใด แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าซูจิ้งไม่ได้ทำท่าจะกระโดดสูงแต่อย่างใด เขานั้นราวกับกระโดดโจนทะยาน และในที่สุดแล้ว ลูกก็พุ่งลงห่วงไปอย่างส่วนงามด้วยคะแนนดั้งจากระยะสามแต้มอย่างสบายๆ


 


ประเทศจีนในตอนนี้ได้เจ็ดแต้ม ออสเตรเรียศูนย์แต้ม


“เฮ้…….”


เป็นเสียงเชียร์ที่กึกก้องอีกครั้ง


หากมีเสียงนี้เพียงหนึ่งครั้งบางคนถือว่าแค่เป็นสีสัน สองครั้งถือว่าโชคดี แต่หากสามครั้งขึ้นมานั้นเรียกได้ว่าของจริงอย่างไม่ต้องสงสัย


โดยเฉพาะการที่ซูจิ้งนั้นเป็นคนทำคะแนนในเกมนี้ด้วยกันถึงสามลูกติดต่อกัน แถมยังเป็นรูปแบบทำคะแนนที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย โดยเฉพาะลูกสุดท้ายที่เป็นการดั้งจากระยะสามแต้ม เรียกได้ว่าสุดกู่จนอยากจะต้านทานเลยทีเดียว ทั้งเลี้ยงลูกมาอย่างรวดเร็วหลบผู้เล่นฝั่งตรงข้ามตั้งมากมาย และกระโดดดั้งได้อย่างไร้ผู้ต้านทาน นี่เรียกได้ว่าแสดงศักยภาพทางด้านการกีฬาให้ประจักษ์อย่างที่สุด


 


ในตอนนี้โค๊ชของทีมบาสออสเตเรียนั่งอยู่กันไม่สุขอีกต่อไป เขาขอเวลานอกและได้ทำการพูดคุยกันเกี่ยวกับกลยุทธ อย่างแรกที่ต้องทำคือพยายามไม่ให้ซูจิ้งนั้นได้ครองบอล และหาใครสักคนพยายามประกบซูจิ้งไอ้ไว้


จนในที่สุดในเกมที่สี่นี้ ออสเตรเรียมก็ได้ทำแต้มตีตื้นขึ้นมาได้จากการเล่นลูกเร็วจึงสามารถทะลวงแนวป้องกันของจีนได้อย่างไม่ทันตั้งตัวจึงเป็นผลให้คะแนนในตอนนี้อยู่ที่ 7 – 2


ในรอบถัดมา ฝ่ายจีนเป็นฝ่ายรุก และแน่นอนว่า ลูกถูกส่งไปอยู่บนมือซูจิ้ง และเมื่อบอลอยู่ในมือซูจิ้งแล้ว เพียงไม่กี่วิเท่านั้นเขาก็ได้เลี้ยงเข้าไปในสนามฝั่งตรงข้าม จนกระทั่งกว่าจะทุกคนจะรู้ตัวนั้น ซูจิ้งก็โดนประกบด้วยนักกีฬาออสเตรเรียสองคนไปแล้ว


คราวนี้ ทั้งผู้เล่นทีมฝุ่งออสเตรเรียและผู้ชมต่างก็คิดว่าซูจิ้งจะต้องส่งต่อลูกบอลไปเพียงอย่างเดียว แต่โดยไม่มีใครคาดคิด ซูจิ้งได้ทำการพุ่งตัวทะลุผ่านผู้เล่นออสเตรเรียทั้งสองที่ได้ด้วยความเร็วที่อยากจะตามทัน


 


โดยเขาได้หลบฉากหนีผู้เล่นฝั่งตรงข้ามที่ขวางเขาอยู่ทางซ้ายมือ ผู้เล่นทางซ้ายมือของซูจ้งก็เหมือนจะรู้ตัวก็ได้ก้าวตามไปขวางอย่างรวดเร็ว และผู้เล่นที่อยู่ทางขวางมือของซูจิ้งเองก็พยายามจะก้าวตามไปเช่นเดียวกัน แต่โดยไม่มีใครคาดคิด ซูจิ้งเพียงแค่ทำท่าจะไปทางซ้ายเพียงเท่านั้น ความจริงแล้วนั้นเขากลับโยกตัวกลับแล้วหมุนหลบคนทางขวาด้วยการก้าวเท้าที่กว้างแต่มั่นคง และทำให้ผู้เล่นทั้งสองนั้นตั้งเสียการทรงตัวในทันที หลังจากนั้นซูจิ้งกระโดดพลางถอยหลังในมุมเอียงไปข้างหลังไปอย่างรวดเร็ว


ผู้เล่นออสเตรเรียคนหนึ่งก็พยายามกระโดดมาขึ้นขวางและแย่งบอลจากมือเขา แต่ซูจิ้งเองก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาได้ยกบอลขึ้นเหนือหัวก่อนที่จะทำการยิงออกไปอย่างสบายๆ และนั่นทำให้ประเทศจีนได้สองแต้มแบบสบายๆ


 


คราวนี้เสียเชียร์ดังลั่นสนามยิ่งกว่าเคย และนั่นทำให้ทีมฝั่งออสเตรเรียต้องตกตะลึง แน่นอนว่าด้วยการที่ผู้เล่นของจีนอื่นอีกสี่คนนั้นอ่อนแออย่างมาก แต่ด้วยการคงอยุ่ของซูจิ้ง ผู้เล่นออสเตรเรียไม่กล้าประมาทแต่อย่างใด


ด้วยการที่กีฬานี้เล่นกันเป็นทีม และด้วยการที่ทีมออสเตรเรียนั้นแข็งแกร่งและเล่นเป็นทีมกันได้อย่างเข้าขา เมื่ออย่างที่พวกเขานั้นต้องตีโต้ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถร่วมมือร่วมใจกันทำคะแนนได้ด้วยความสามัคคี และในครั้งนี้ก็ได้ตีตื้นกลับมาอยู่ที่ 9 – 4 คะแนน


แค่ในทางกลับกัน ยามเมื่อต้องเป็นฝั่งซูจิ้งนั้น เขากลับทำคะแนนขึ้นในในแต่ละครั้งได้อย่างรวดเร็ว สามคะแนนบ้าง สองคะแนนบ้างแต่ก็ยังนำได้อย่างรวดเร็ว จนในตอนนี้ผลของคะแนนอยู่ที่ 27 – 18  คะแนน


ด้วยการที่ว่าต่อให้เล่นกันเป็นทีมได้อย่างเหนียวแน่นขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อต้องเจอกับคนที่ทรงพลังอย่างซูจิ้งแล้ว


 


ต่อให้เล่นคนเดียวแต่ก็สามารถทำให้ได้ร้อยคะแนนได้อย่างง่ายดายแบบนี้  หากเขาโดนทำคะแนนไปสองเขาก็จะทำคะแนนคืนไม่สองก็สามคะแนน หากอีกฝ่ายโดนตัดไปก่อน เขาก็จะทำคะแนนได้สองเป็นอย่างน้อยอยู่แล้ว นี่จึงทำให้ผลคะแนนนั้นห่างกันออกเรื่อยๆ และในทุกครั้งๆที่ห่างไป ทีมฝ่ายออสเตรเรียก็จะยิ่งคลั่งขึ้นไปเรื่อยๆในทุกๆที


หลังจากจบครึ่งแรก ทีมออสเตรเรียทำคะแนนได้ 18 คะแนน นี่ถือว่าไม่ได้เลวร้ายอะไรในเกมปกติ แต่เมื่อเทียบกับทีมฝั่งจีนที่ได้คะแนนไปกว่า 27 คะแนน และมีถึงยี่สิบห้าคะแนนที่ซูจิ้งเป็นคนทำขึ้นมา


ที่น่ามหัศจรรย์สำหรับคนจีนที่สุดก็คือสองแต้มนั้นมาจากผู้เล่นคะหนึ่งของจีนที่ได้รับการจ่ายบอลจากซูจิ้งและตัดสินใจยิงลูกในทันทีโดยไม่คิดแต่อย่างใด และนั่นทำให้เขาทำลูกสองแต้มได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกัน


 


ศักยภาพของซูจิ้งนั้นเรียกได้ว่าเป็นที่ประจักษ์ของสายตาผุ้คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และนี่ยิ่งทำให้ผู้คนนั้นสนใจการแข่งกีฬาครั้งนี้มากกว่าเดิม


“ใครกันนะที่บอกว่าทีมจีนเล่นบาสอ่อนด้อยวะ ไม่เห็นจะอ่อนตรงไหนเลย”


“นี่ไม่ใช่ว่าประเทศจีนแข็งแรงอะไรหรอก แต่เป็นซูจิ้งต่างหากที่แข็งแกร่ง”


“ซูจิ้งนั้นไม่เพียงจะแข็งแกร่งเท่านั้น เขานั้นไม่มีจุดอ่อน เก่งรอบด้าน และไม่หลงไหลในโลกีย์ใดๆ….ไม่สิถ้าจะมีล่ะก็คงเป็นการอยากจะทำให้ได้ดีในทุกด้านนั่นล่ะมั้ง”


 


“ทำไมฉันรู้สึกว่าแม้แต่โคบี้กับจอร์แดนทำไม่ได้แบบซูจิ้งเลยอ่ะ”


“ไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั้นคือสุดยอดมืออาชีพเลยไม่ใช่เหรอ เป็นไปได้ยังไงกัน”


“ไม่เพียงเท่านั้นนะ เขานี้ยังเป็นปรมาจารย์ในอีกหลากหลายด้านไม่ว่าจะเป็นกู่จิ้ง หมอเทวดา เจ้าของธุรกิจขนาดยักษ์ และอื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่ามีชื่อเสียงมากมายก่ายกอง


ถึงก่อนหน้านี้จะไม่มีการแสดงออกมาว่าเขานั้นจะไม่ได้เป็นนักบาสอาชีพและเยงเข้ามาร่วมงานกีฬาโอลิมปิคในครั้งนี้เพียงเพราะต้องการประชาสัมพันธ์บริษัทของตัวเองก็ตามแต่ไม่ใช่แล้วล่ะมั้งเนี่ย”


“จริงดิ”


 


ในตอนนี้เหล่าผู้ชมชาวต่างประเทศต่างก็ตกตะลึง เรียกได้ว่าสลายแรงต้านทางจิตใจนิดนึงก็ว่าได้ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นตกตะลึงแต่อย่างใด พวกเขาแค่สงสัยว่าตัวตนของซูจิ้งนั้นเป็นใจกันแน่


“แต่ยังไงซะประเทศจีนก็ยังอ่อนแออยู่ดีล่ะว้า”


“ใช่ และด้วยการที่ซูจิ้งนั้นเป็นคนเดียวที่ทำแต้มได้ หากว่าเรานั้นสามารถหยุดเขาไว้ได้ล่ะก็ ในไม่ช้า ประเทศของเราก็จะตีตื้นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน”


“ดูเหมือนว่าทีมจีนคนอื่นเองจะรู้ตัวดีนะนั่น พอคิดว่าซูจิ้งนั้นแข็งแกร่งจนแม้แต่คู่ต่อสู้ยังต้องยอมแบบนี้ นี่มันราวกับว่าพวกเขานั้นเป็นเต่าที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อยเลยแหะ”


 


ในพื้นที่นั่งพักนั้น เหล่าผู้เริ่มทีมบาสเก็ตบอลชายของจีนนั้น ในตอนนี้ต่างก็ได้ยินข้อคิดเห็นต่างๆของผู้คนที่แว่วเข้าหูมาจนในตอนนี้พวกเขานั้นต่างก็ไม่รู้ว่าจะทำหน้ายังไงดีเหมือนกัน


พวกเขานั้นต่างก็หวังว่าซูจิ้งจะคงไม่เล่นแผนนี้อีก ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่มีหน้าเหลืออีกต่อไป


 


ในคราแรกนั้นเมื่อรู้ว่าซูจิ้งจะลงแข่งด้วย ทุกคนในทีมต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วยหันทั้งสิ้น แต่เมื่อซูจิ้งท้าทายพวกเขาให้เลี้ยงลูกผ่านซูจิ้งไปให้ได้ ปรากฎว่าไม่มีใครเลยที่จะทำได้สักคนเดียว


ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเขานั้นต้องยอมศิโรราบกับซูจจิ้ง และพวกเขานั้นถูกส่งให้ทำตามแผนนี้ในการเผชิญหน้ากับทีมออสเตรเรีย


เรียกได้ว่าในตอนนี้เพียงแค่พวกเขาได้เห็นคู่แข่งต้องมอดไหม้ พวกเขาก็ดีใจจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วในขณะที่มองคะแนนบนกระดานบอกคะแนนด้วยรอยยิ้มที่แทบจะฉีกถึงใบหู


GGS:บทที่ 1145 ที่สุดแห่งสนาม


หลังจากที่ครึ่งหลังนั้นได้เริ่มขึ้น ฝั่งประเทศออสเตรเรียนั้นยังคงเล่นเกมลุกแบบเร็วเหมือนเดิมไม่เสื่อมคลาย โดยที่ซูจิ้งก็ไม่ได้มีท่าทีจะติดตามหรือป้องกันแต่อย่างใด ราวกับว่าต่อให้อยากขนาดไหนก็ทำไม่ได้

นี่เองก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่าสงครามจิตวิทยาที่ผู้เล่นฝั่งออสเตรเรียนั้นสรรหามาจะทำได้ แต่กับซูจิ้งนั้น อย่าเรียกว่าเป็นสงครามจิตวิทยาเลย เขาแค่ขี้เกียจที่จะไล่ตามเท่านั้น เพราะเขาคิดว่ามันเสียเวลาในการทำคะแนน


ด้วยท่าทีในตอนนี้ของเขาราวกับอยากจะบอกว่า “ยิงๆไปเถอะ ฉันไม่ป้องกันหรอก เพราะยังไงซะพวกเอ็งก็ป้องกันลูกยิงของฉันไม่ได้อยู่แล้ว”


หลังจากผู้เล่นออสเตรเรียทำแต้มไป ผู้เล่นจีนก็ได้ส่งลูกให้กับซูจิ้ง และเพียงไม่ถึงวินาที ออสเตรเรียก็เสียแต้มไปอีกครั้ง


ไม่ใช่ว่าออสเตรเรียไม่ได้หาวิธีตอบโต้ซูจิ้ง พวกนั้นได้ส่งคนมาประกบถึงสองคนด้วยกัน และยังมีอีกคนคอยปัดลูกไม่ให้ถึงมือซูจิ้ง แต่ด้วยการที่คนๆนี้อยู่ห่างมากจึงราวกับว่าเขานั้นคอยป้องกันคนอื่น จะเรียกได้ว่าใช้ครึ่งทีมเพื่อการนี้เลยก็ว่าได้ (แข่งบาสใช้นักบาสทีมละห้าคน)

ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นได้แสดงศักยภาพทางด้านการกีฬาบาสอันสูงล้ำออกมาก่อนหน้านี้ก็ได้เห็นแล้วว่าแค่สองคนยังไม่แม้แต่จะทำให้เขาหยุดคิด ไม่ต้องพูดถึงสามคนแต่อย่างใด เมื่อลูกลงห่วงไปอย่างสบายทุกคนต่างก็วิ่งกลับไปยังฝั่งของตน นี่รวมถึงซูจิ้งด้วย


แต่ในครั้งนี้ ซูจิ้งได้ตัดบอลมาได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งๆที่นักกีฬาออสเตรเรียยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกได้หายไปจากมือตัวเองเรียบร้อยแล้ว เมื่อทีมออสเตรเรียเห็นว่าลูกบาสอยู่ในมือของซูจิ้งทุกคนต่างก็กระตุกไปเล็กน้อยก่อนที่จะวิ่งกลับไปป้องกันด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากแม้แต่น้อย เพราะพวกนั้นไม่สามารถทำอะไรกับซูจิ้งเลยสักนิด

สำหรับฝั่งออสเตรเรียนั้นยามที่พวกเขานั้นถูกแย่งบอลไปนั้นช่างเอาคืนกลับมาได้อย่างยากลำบากนัก แถมยังไม่ทันไรก็สามแต้มไปอีกแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะดูง่าย แต่ก็ยากที่จะทำตามอย่างเห็นได้ชัด

ในครั้งนี้ทีมฝั่งออสเตรเรียทั้งหมดต่งก็ยืนอึ้งกันไปหมด พวกเขานั้นราวกับไม่เคยเห็นซูจิ้งอยู่ในสายตาเลยจริงๆ จะพูดให้ถูกก็คงจะเป็นหาซูจิ้งไม่เจอเสียมากกว่า กว่าจะรู้ตัวก็คือซูจิ้งกระโดดลายกลางอากาศกระโดดดั้งค์สามคะแนนไปแล้ว


เกมยังคงดำเนินต่อไป สิ่งที่ทีมนักกีฬาบาสเก็ตบอลออสเตรียกังวลอยู่มาตลอดเลยก็เป็นจริง นั่นคือซูจิ้งนั้นยังไม่ได้เอาจริง

เหล่าผู้เล่นจากทีมฝั่งออสเตรเรียในตอนนี้นั้นเรียกได้เลยว่าดูได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเขาก็ไม่ได้นิ่งดูดายแต่อย่างใด พวกเขาได้เริ่มเกมอีกครั้ง บอกได้เลยว่าต่อให้ทั้งหมดมารวมตัวกันใต้ห่วงก็ไม่มีทางที่จะหยุดยั้งซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย


“โว้ว การกระโดดดั้งค์จากระยะสามแต้มนี่สุดยอดไปเลยแหะ”

“นี่ฉันเพิ่งรู้นะเนี่ยว่ามีการเล่นบาสแบบนี้อยู่ด้วย แต่ดูเหมือนว่าพวกเขานั้นไม่จะเป็นต้องเล่นบาสแบบนี้มาก่อนหน้านี้แต่อย่าใด นี่สมควรจะเป็นกลยุทธในเหตุฉุกเฉินเท่านั้น และนี่ก็ยังไม่เพียงพออีกด้วย”

“จบแล้ว ซูจิ้งแกร่งเกินไป แถมเขานั้นยังเข้าขากับคนทีมแบบสุดๆแบบนี้ยิ่งแล้วไปกันใหญ่ นี่เรียกได้ว่าหยุดไม่อยู่แล้ว”

“เออเออ แล้วยังไงล่ะ ต่อให้ทีมจีนแข็งแกร่งยังไงก็ต่ามแต่ยังไงซะคะแนนแทบจะทั้งหมดนั้นแล้วได้มาจากซูจิ้ง ฉันอยากรู้เหมือนกับว่าซูจิ้งนั้นจะทนแข่งแต่อไปได้อีกนานสักเท่าไหร่กัน”


เกมยังคงดำเนินต่อไป สิ่งที่อยู่ในใจทีมฝั่งออกสเตรเรียมาตั้งแต่ต้นเกมนั้นได้เริ่มปรากฎออกมา นั่นก็คือ ซูจิ้งนั้นยังไม่ได้ใช้พลังที่แท้จริงออกมา

ในตอนนี้ซูจิ้งเพียงใช้ความเข้าขากับทีมของตนเพียงเท่านั้น ทีมออสเตรเรียก็ไม่สามารถหยุดยั้งซูจิ้งได้แล้ว นี่ยังนึกไม่ออกจริงๆว่าหากเขานั้นไม่ได้สนใจทีมและเล่นด้วยตัวเองคนเดียวจะน่ากลัวขนาดไหน มีอยู่หนหนึ่งที่เขานั้นทำท่าจะกระโดดยิงลูกจนถูกกระแทกเซถอยหลัง แต่ซูจิ้งนั้นเพียงแค่หมุนตัวกลางอากาศเพื่อปรับสมดุล และยิงลูกบาสในมือออกไปเท่านั้น ล่ะนั่นก็ทำให้เขาได้อีกสองคะแนน เรียกได้ว่าทุกคนต่างก็รู้สึกว่าซูจิ้งนั้นอยากได้คะแนนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นเลยทีเดียว


ทีมนักกีฬาบาสฝั่งออสเตรเรียในตอนนี้พยายามยื้อสุดฤทธิ์เช่นเดียวกัน พวกนั้นพยายามทำประตูไล่ตามอย่างสุดฝีมือเพื่อร่นระยะห่างคะแนน อีกทางหนึ่งก็พยายามหยุดยั้งซูจิ้งไว้หมดฤทธิ์

โดยพวกเขานั้นต่างก็คิดว่าหากไม่สามารถหยุดซูจิ้งได้ อย่างน้อยทำให้ซูจิ้งเหนื่อยได้ก็ยังดี ยังซะต่อให้ซูจิ้งแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตามต่อก็เหนื่อยเป็นอยู่ดี


อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังคงแข่งบาสต่อไปด้วยรอยยิ้มที่สดใส ด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยพลังงานอย่างที่สุด นี่ทำให้ผู้คนต่างก็สับสนกันไปหมด ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นตัวทำแต้มมาตั้งแต่เริ่มเกมนั้น ไม่ว่ามองยังไงก็เรียกได้ว่าเผาพลาญพลังงานตัวเองอย่างมาก แต่ทำไมยิ่งเขาเล่นยิ่งแรงดีก็ไม่รู้เหมือนกัน


และผลที่ออกมานั้น ซูจิ้งไม่ได้เสแสร้งแกล้งทำแต่อย่างใด ในเกมที่สาม ซูจิ้ง ยังคงเป็นตัวทำแต้มอยู่คนเดียวจนหมดโดยไม่มีการขอเวลานอกเพื่อพักแต่อย่างใด

หลังเสร็จเกมที่สามนี้ เกมในตอนนี้อยู่ที่คะแนน 98-72 คะแนน เรียกได้ว่าคะแนนห่างอย่างไม่เห็นฝุ่นกันเลยทีเดียว หากเป็นเกมปกตินั้นจะเรียกว่าทีมชนะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงนั้นพลักกลับกันจนยากจะเอ่ย


ในเกมที่สี่ ซูจิ้งไม่ได้ลงเล่นแต่อย่างใด นี่ทำให้เหล่าผู้เล่นออสเตรเรียต่างก็คือว่าซูจิ้งนั้นหมดแรงแล้วแน่ๆจึงได้ทำคะแนนตีตื้นมาอีกหกคะแนน แต่ไม่ทันไร ซูจิ้งก็กลับลงมาในสนามอีกครั้ง นี่เขานั้นเป็นคนเหล็กรึไงกัน

และทุกๆการกระทำของซูจิ้งนั้นยิ่งทำให้เขานั้นกลายเป็นคนเหล็กในสายตาผู้คนเข้าไปเรื่อยๆ และนี่ทำให้ความหวังที่จะตีตื้นขึ้นมาของทีมบาสออสเตรเรียนั้นแทบจะพังทลายลงในทันที

จบเกม คะแนนอยู่ที่ 122-91 และคะแนนทั้งหมดนี้มาจากซูจิ้ง 102 คะแนน เรียกได้ว่าทำสถิติเหนือกว่าแชมเบอร์เลนที่ทำไว้หนึ่งร้อยคะแนนในแมทซ์เดียว


“พระเจ้าช่วย หนึ่งเกม คนเดียว ทำได้ 102 คะแนน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่”

“ขนาดโคบี้ยังทำได้แค่ 81 คะแนนเองนะ”

“อย่าว่าแค่โคบี้เลย แชมเบอเลนเองยังทำได้ 100 คะแนนเองนะ ในครั้งนี้จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งของวงการบาสอย่างไม่ต้องสงสัย”

“สุดยอดดดดดดดด”


ทีมบาสเก็ตบอลชายจีนสามารถชนะทีมบาสเก็ตบอลออสเตรเรียนั้นก็เป็นข่าวใหญ่สำหรับผู้คนที่สนใจในวงการนี้มากมายแล้ว แต่เมื่อทุกคนรู้ว่าเป็นซูจิ้งที่ทำได้ 102 คะแนนด้วยตัวคนเดียว นี่สิคือคนที่โค่นล้มออสเตรเรียได้ของจริง


ในครั้งนี้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วด้วยการแข่งเพียงครั้งเดียวเพราะว่าการแข่งขันครั้งนี้นอกจากจะถ่ายทอดสดออกทีวีแล้ว ทุกคนยังประทับใจในความสุดยอดของซูจิ้ง และยิ่งสร้างแรงคราตรึงใจให้กับแฟนคลับของเขาอย่างที่สุด

“ชนะล่ะ….วู้” ซูหยาตบมือแสดงความยินดี

“นี่คือลูกของเราใช่รึเปล่า” เย่ฉิงพูดออกมาด้วยความไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น

“ไอ้เด็กนี่ไปเรียนบาสเก็ตบอลถึงระดับนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย ไม่บอกไม่กล่าวกันเล้ยยยย” ซูเซินเย่วเองก็พูดออกมาราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น และก็อดที่จะคิดไม่ได้เหมือนกันว่าตัวเขาเองจะมีความสามารถนี้ซุกซ่อนอยู่รึเปล่า

“สุดยอดดดดด” ณ กลุ่มทุนห้วงเวลา ทั้งเฉิงหนาน หวังจ้าว และเหล่าผู้บริหารต่างกับจับมือแสดงความยินดีกันไปมา

“หมอนี่น้า ทำได้ทุกอย่างจริงๆ” หวังซือหยาเองที่เห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา หยินหนิงหนิง เชิงชิเหยา โจวเสวี่ย และคนอื่นๆต่างก็อดที่จะนิ่งเงียบพร้อมตกตะลึงไม่ได้เช่นเดียวกัน พร้อมความคิดที่ว่าซูจิ้งนั้นยังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่า


“เกิดอะไรขึ้นในช่วงสองปีนี้กันแน่” หวังหยานในตอนนี้รู้สึกแปลกใจขึ้นมาจริงๆ เธอนั้นรู้ดีว่าซูจิ้งต้องไปทำอะไรมาสักอย่างแน่ๆถึงได้ทรงพลังขนาดนี้

หากเป็นคนอื่นล่ะก็บอกได้เลยว่าไม่มีทางที่จะมาถึงระดับนี้ได้ด้วยเวลาเพียงสองปีอย่างแน่นอน แม้แต่เธอเองต่อให้ใช้ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางเป็นได้ด้วยซ้ำ

นี่รวมถึงทุกคนที่สนิทและรู้จักซูจิ้งมาอย่างยาวนานต่างก็คิดแบบนี้กันไปหมด

แต่ก่อนที่ทุกคนนั้นจะตั้งตัวอะไรได้ ซูจิ้งก็ได้ขึ้นสังเวียนชกมวยในรอบเย็นของวันนั้นเรียบร้อยแล้ว ด้วยการที่เป็นประเภทกีฬาที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง นี่จึงให้ผู้ชมต่างประเทศอดไม่ได้ที่จะสับสนออกมา


GGS:บทที่ 1146 เยือนประตูบ้าน


บนสนามมวยหนึ่ง ซูจิ้งและนักมวยชาวอเมริกันนั้นต่างก็ยืนอยู่ที่กลางสนาม ผู้ชมที่เห็นฉากนี้ทั้งรอบเวทีและที่กำลังดูการ่ายทอดสดนั้นต่างสับสนกันไปหมด

“นั่นมันซูจิ้งที่พึ่งจะทำลายสถิติบาสเก็ตบอลมาไม่ใช่เหรอ”

“ก็ใช่เองนะ”

“จะบ้าตาย เขาเป็นนักบาสไม่ใช่เหรอแล้วทำไมเขาถึงได้มาต่อยมวยได้กันล่ะ ยิ่งไปก;ว่านั้น เขาเองก็พึ่งจะลงเล่นบาสไปเมื่อเช้านี้แล้วมาชกมวยต่อตอนเย็นเนี่ยนะ เขาจะเอาแรงที่ไหนมาชกได้”

“แถมถ้าเขาบาดเจ็บหนักแล้วหลังจากนี้เกมแข่งบาสจะทำยังไงล่ะ”

ในตอนนี้ เหล่าผู้ชมชาวจีนเองนั้นก็ค่อนข้างจะสับสนไม่น้อยเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้มีความกังวลเท่าไหร่นัก ต่อให้มวยนั้นจะเป็นกีฬาการต่อสู้คนละชนิด แต่ยังไงแล้วมันก็คือกีฬาการต่อสู้เหมือนกัน ในฐานะประมาจารย์การต่อสู้แล้วในครั้งนี้ซูจิ้งสมควรจะทำได้ดีกว่าบาสซะอีก


แต่กับผู้ชมชาวต่างประเทศที่ไม่รู้จักซูจิ้งดีนั้นกลับคิดต่างออกไป เขาคิดว่าซูจิ้งนั้นช่างไร้สาระแบบสุดๆที่จีนต้องเอานักบาสมาชกมวยแบบนี้ ภายใต้การนำของกรรมการมวย ในตอนนี้กรรมการกำลังอธิบายกฎระเบียบ ก่อนที่จะให้สัญญาณการชกในทันที

นักมวยอเมริกานั้นมีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด เขาเต้นฟุตเวริคไปรอบซูจิ้งโดยรักษาระยะห่างไว้ก่อนจะต่อยหมัดแย็บเพื่อเป็นการขมขู่ซูจิ้งไปเล็กน้อย

แต่กับซูจิ้งนั้นไม่ได้มีท่าทีอะไรเลย เขาไม่แม้แต่จะตั้งการ์ดตัวเองขึ้นมาด้วยซ้ำ เขายืนอยู่นิ่งไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ นักชกอเมริกาได้ก้าวขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวก่อนจะต่อยไปที่ใบหน้าของซูจิ้งอีกครั้งด้วยหมัดแย็บด้วยความรวดเร็ว


ในตอนนี้เกือบทุกคนนั้นต่างก็รู้สึกสมน้ำหน้าของซูจิ้งที่ไม่ยอมตั้งการ์ดขึ้นมาดีๆ จะมาโยกหลบตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งไม่ได้โยกหลบแต่อย่างใด หมัดของเขาในตอนนี้กลับสัมผัสของนักมวยชาวอเมริกาด้วยความเร็วปานไวแสงจนทำให้นักมวยชาวอเมริกาต้องกระเด็นถอยหลังไปในทันที

ก่อนที่นักมวยอเมริกาจะตั้งตัวเพื่อทำอะไรได้ต่อนั้น ซูจิ้งปล่อยหมัดที่สองออกมาใส่ที่ปลายคางของนักมวยชาวอเมริกาจนเขานั้นต้องล่วงลงไปกองนอนกับพื้นสิ้นสภาพตาเหลือกขาวในทันใด

เป็นอีกครั้งที่เหล่าผู้ชมต้องตกตะลึง

….เกิดอะไรขึ้น

กรรมการที่พึ่งจะตั้งสติได้ก็ได้รีบเข้าไปนับในทันที ในการแข่งันกีฬามวยโอลิมปิกนั้นมีกฎอยู่ว่าการแพ้หรือชนะนั้นมีการตัดสินกันอยู่สองรูปแบบ


หนึ่งคือการนับคะแนนจากกรรมการข้างเวที ใครได้มากกว่าก็ชนะไป โดยคะแนนจะเป็นการจากจำนวนหมัดที่เข้าเป้าโดยไม่สามารถป้องกันได้ คะแนนที่ป้องกันได้ คะแนนที่สวนกลับได้

ยังไม่รวมกับที่กรรมการผู้ให้คะแนนต้องเห็นพ้องต้องกันอีก และเมื่อเสร็จสิ้นคะแนน คะแนนจะถูกนับรวมกันเมื่อสิ้นเสียงระฆังในแต่ละยก แล้วนับผลรวมตอนสิ้นสุดการแข่งขัน

อีกหนึ่งคือการชนะน็อค จะเป็นการนับเวลาหลังจากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งโดนหมัดสำคัญจนทำให้หมดสภาพลงไปนอนกับพื้น


หากมีส่วนใดไม่ได้ลงไปอยู่กับพื้นเช่นแขนพ้นเวที ขาวางพาดเชือก หรือยืนอยู่ด้วยสภาพหมดแรง กรรมการจะต้องรีบกันไม่ให้นักมวยฝ่ายตรงข้ามเข้าไปใกล้และทำการนับหนึ่งถึงสิบ

หากฝ่ายที่ตกอยู่ในสถานะดังกล่าวนั้นชกต่อไม่ไหวแล้วก็ถือให้อีกฝ่ายเป็นฝ่ายชนะ หรือหากอีกฝ่ายนั้นต้องตกอยู่ในสภาพโดนนับถึงแปดสามครั้งในหนึ่งรอบการแข่งขันก็ให้ถือว่าไม่สามารถต่อสู้ได้เล่นเดียวกัน

สำหรับในกรณีนี้ นักมวยอเมริการ่วงลงไปกองกับพื้นอย่างไม่ต้องสืบ กรรมการจึงได้นับหนึ่งถึงสิบในทันที และเมื่อถึงสิบ นักชกชาวอเมริกายังไม่มีท่าทีจะฟื้นขึ้นมาแต่อย่างใด กรรมการจึงประกาศยุติการแข่งขันและให้ซูจิ้งชนะไปในทันที


เหล่าผู้ชมในตอนนี้ที่อยู่หน้าทีวีนั้นต่างก็ส่งเสียงกู่ร้องกันอย่างยกใหญ่

“เอาจริงดิ สองหมัดก็ชนะน็อก”

“ประกาศอย่างยาวจบในเพียงเสียววิเนี่ยนะ”

“ซูจิ้งคนนี้ไม่แกร่งไปหน่อยหรอ”

“คนละระดับเลยมากกว่า”


เหล่าแฟนคลับของซูจิ้งเองก็ได้แสดงความตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร

“แน่นอนว่าพี่จิ้งนั้นเก่งที่สุด”

“ฉันเองก็นึกมาตลอดว่าด้วยกฎที่ต่างกันทำให้พวกเรานั้นไม่สามารถแสดงออกมาด้วยแม้แต่ในกีฬาวูซูก็ตาม แต่พี่จิ้งนั้นไม่ใช่คนธรรมดาแบบนั้นจริงๆถึงสามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาได้ขนาดนี้”

“ฉันนั้นคิดว่าพี่จิ้งยังไงก็ต้องชนะแต่ก็ไม่นึกว่าจะชนะน็อคแบบนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า นี่เรียกว่าไม่ไว้หน้ากันเลยจริงๆ”


เพียงการแข่งขันโอลิมปิกแค่สองเกม ซูจิ้งก็สร้างชื่อเสียงของตัวเองให้คนทั่วทั้งโลกนั้นต้องได้ยินชื่อของเขาจนหมดสิ้น เพียงแค่ทำคะแนนในการแข่งบาสเพียงนัดเดียวได้กว่า102คะแนนก็คือว่ามากพอจะกลายเป็นประเด็นร้อนไปได้นานแล้วเพราะยังไงซะนี่ก็เป็นหนึ่งในสถิติโลก

แต่ในวันเดียวกันนั้น เขายังใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีชนะน็อคคู่ต่อสู้ได้นี่ยิ่งทำให้เขานั้นเป็นที่พูดถึงกันมากยิ่งขึ้นไปอีก


ในวันถัดมา ซูจิ้งได้เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาคาราเต้ คาราเต้นั้นแต่เดิมไม่ได้ถูกจัดไว้ในการแข่งกีฬาโอลิมปิกแต่อย่างใด กีฬานี้ถูกเพิ่มเข้ามาเพียงเพราะว่าญี่ปุ่นนั้นเป็นเจ้าภาพเท่านั้น

ในทันทีที่ซูจิ้งก้าวเข้าสนามมานั้นแทบจะไม่มีใครเชียร์ซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย มีเพียงกลุ่มชาวจีนจำนวนหนึ่งเท่านั้น โดยในครั้งนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่เป็นชายญี่ปุ่นที่เข้ามาเพราะต้องการเชียร์ในกีฬาของชาติตนเองเท่านั้น

ด้วยการที่ประเทศญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับกีฬาไม่น้อยไปกว่าใคร แถมในครั้งนี้ยังเป็นการแข่งในประเทศตัวเองด้วยกีฬาประจำชาติ มีหรือที่คนญี่ปุ่นจะพลาดได้กัน


ต่อให้คนญี่ปุ่นเหล่านี้ได้เห็นความทรงพลังของซูจิ้งในการแข่งขันชกมวยเมื่อวานจนทั่วไปหมด แต่ผู้ชมและนักกีฬาต่างก็ไม่มีใครใส่ใจในเรื่องนั้นแม้แต่น้อย เพราะยังไงซะ กติกาของกีฬาทั้งสองชนิดก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงอยู่แล้ว ยกตัวอย่างเช่น มวยให้ใช้เท้าในการต่อสู้ แต่คาราเต้นั้นแทบจะใช้เท้าเป็นหลักซะด้วยซ้ำ

“หมอนี่เหรอที่ชนะนาย” กรรมการถามไปยังคนที่อยู่ข้างๆ คนๆนี้ก็คือคิมูระที่ถูกซูจิ้งอัดยับคาโรงฝึกไปก่อนหน้านี้

“เป็นมันนั่นแหล่ะ ไม่เพียงมันจะเล่นงานฉันเท่านั้น มันยังเล่นงานลูกศิษย์สำนักฉันไปกว่าสี่สิบคนอีกด้วยด้วยตัวคนเดียว” เมื่อคิมูระพูดออกมาก็อดที่จะนึกย้อนไปช่วงเวลาอันแสนเจ็บปวดไม่ได้ เขานั้นยังจำได้ฝังใจถึงความอัปยศในชีวิตอันนั้นก่อนที่จะพูดออกมาอีกว่า “ไอ้หมอนี่ไม่ใช่คนธรรมดา”


“เอาน่า ฉันรู้ว่าหมอนี่มันแกร่งแต่ยังไงซะนายก็อย่าให้ความโกรธมาบังตาสิ ยังซะนี่ก็เป็นการแข่งคาราเต้ มันสมควรใช้เพียงคาราเต้เท่านั้น ตอนนี้ยังไม่รู้หรอกว่าใครจะเป็นคนชนะกันแน่


อ่ะ ต่อให้หมอนี่เล่นคาราเต้ได้จริงแล้วยังไงล่ะ ยังไงซะนี่มันการแข่งขันเพียงแค่นับแต้มเท่านั้นไม่ใช่การต่อสู้สักหน่อย ยังไงซะหมอนั่นก็สู้นักกีฬาอาชีพไม่ได้หรอก” กรรมการพูดออกมา


“ใช่” คิมูระพยักหน้าเห็นด้วยในทันที นี่ไม่ใช่การต่อสู้อย่างที่กรรมการว่าไว้จริงๆ ต่อให้ในการต่อสู้เทียบฝีมือนั้นซูจิ้งจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่นี่เป็นกีฬาเท่านั้น มีเพียงนักกีฬาคาราเต้ของญี่ปุ่นเท่านั้นที่รู้ดีว่าทำยังไงถึงจะได้แต้ม ทำยังไงถึงจะชนะ


ในขณะที่คิมูระกำลังพูดกับกรรมการคนหนึ่งอยู่นั้น ซูจิ้งก็ได้ขึ้นไปบนเวทีพร้อมนักคาราเต้ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง หลังจากกรรมการกล่าวเปิดเพียงสั้นๆก็ได้ให้สัญญาณเริ่มการแข่งขันในทันที


GGS:บทที่ 1147 ไม่มีใครหยุดยั้ง


การแข่งขันกีฬาคาราเต้โอลิมปิคได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ นักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นได้เข้าสู่ท้าเตรียมพร้อม ในครั้งนี้ ซูจิ้งเองก็ได้เข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมเช่นเดียวกัน

ความจริงเขาไม่ได้มีความต้องการจะตั้งท่าแต่อย่างใด แต่ตามกฎของการแข่งคาราเต้นั้น นักกีฬาต้องอยู่ในท่าเตรียมพร้อมเสมอในการแข่งขัน เรียกได้ว่าซูจิ้งนั้นตั้งท่าไปอย่างลวกๆแค่พอเป็นพิธีเท่านั้นเอง ต่อให้เป็นคนที่อ่อนด้อยขนาดไหนก็ตาม ยังไงซะในการแข่งกีฬาก็ต้องรักษากฎนี้เอาไว้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็จะถูกปรับแพ้ไปในทันทีโดยไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้แม้แต่น้อย


หลังจากนักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นได้ทำการประเมินซูจิ้งแล้ว เขาได้ก้าวขึ้นหน้าอย่างรวดเร็วก่อนที่จะโจมตีไปที่หน้าอกของซูจิ้งด้วยลูกเตะกลาง แน่นอนว่าหากเขาโดนซูจิ้งบริเวณนี้เขาจะได้สองแต้มในทันที

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งได้เครื่อนไหวรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ เขาได้เข้าประชิดด้านข้างของนักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นก่อนที่จะเตะกวาดขานักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นจนล้มลงและทำการต่อยไปที่หน้าอกของคู่ต่อสู้ในทันที

แต่ด้วยการที่นี่เป็นเพียงการแข่งขันเท่านั้น หากว่าซูจิ้งทำให้คู่ต่อสู้ได้รับบาดเจ็บจะต้องจับแพ้ไปในทันที แต่ซูจิ้งก็ยังปฏิบัติตามกฎได้เป็นอย่างดี ในครั้งนี้เขาได้รับคะแนนในทันทีสามคะแนน

นักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นได้ส่งเสียงคำรามในทันที นั่นก็เพราะว่าในการแข่งกีฬาคาราเต้นั้น ใครก็ตามที่ทำได้แปดคะแนนก่อนก็จะถือว่าเป็นผู้ชนะ แต่นี่เพียงไม่กี่วินาทีเขากลับโดนทำแต้มนำไปแล้วสามแต้ม


นี่ทำให้มุมมองของเหล่านักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นที่มีต่อซูจิ้งนั้นเปลี่ยนไปในทันทีเพราะคะแนนเป็นการบ่งบอกความแข็งแกร่งของซูจิ้งในเชิงกีฬาคาราเต้ได้อย่างดีเลยทีเดียว

แน่นอนว่าเหล่าผู้ชมชาวญี่ปุ่นไม่ถูกใจสิ่งนี้ โค๊ชทีมนักคาราเต้ชาวญี่ปุ่นได้ขมวดคิ้วในทันที และคิมูระเองก็ได้รู้สึกถึงลางร้ายในทันใด

บนสนามปะลอง ทั้งสองฝั่งได้แยกออกจากกันเล็กน้อยก่อนที่จะเข้าสู่ท่าเตรียมพร้อมก่อนที่กรรมการจะให้สัญญาณอีกครั้ง

นักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นในคราวนี้ได้ก้าวเท้าเข้าหาเพื่อที่จะลองโจมตีดูอีกครั้ง แต่ซูจิ้งได้ทำการก้าวประชิดก่อนที่จะอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหวได้เข้าทางแล้วทำการโจมตีโดยการเตะเท้าซ้ายของเขาไปยังลำตัวช่วงบนของนักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบอีกครั้ง

ด้วยการที่มันรวดเร็วมากจนทำให้นักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นเคลื่อนไหวป้องกันไม่ทัน เขาก็โดนเตะไปที่ใบหน้าจนต้องเสียหลักถอยออกไป และซูจิ้งได้ไปอีกสามคะแนน


ผู้ชมชาวญี่ปุ่นที่เห็นต่างก็พูดคุยกันเมื่อเห็นฉากนี้

“อะไรกัน ทำไมหมอนั่นเตะทำคะแนนได้ง่ายอย่างนี้ล่ะ”

“เอาจริงหน่อยสิโว้ย อย่าทำให้ประเทศของเราเสียหน้าสิ”

“ใช่แล้ว สั่งสอนซูจิ้งไปซะ”


ผู้ชมชาวจีนรวมถึงฉือชิง ซูหยา ซูเซินเย่วและเย่ฉิงต่างก็หัวเราะออกมาด้วยท่าทางมีความสุขในทันที นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นราวกับว่าเป็นปรมาจารย์คาราเต้ไปเรียบร้อยแล้ว

โค๊ชนักกีฬาญี่ปุ่นและคิมูระที่เห็นฉากนี้ต่างมีใบหน้าที่น่าเกลียดในทันที ซูจิ้งในมุมมองของทั้งคู่นั้นไม่ได้เหมือนนักคาราเต้ที่เรียนรู้มาจากตำราหรือครูฝึกสำนักไหนๆ

ท่วงท่าของซูจิ้งนั้นราวกับถอดแบบมาจากต้นตำรับคาราเต้สมัยโบราณที่มีกลิ่นอายแห่งพุทธแฝงอยู่ในท่วงท่าของเขา

ทุกๆการเคลื่อนไหวของเขานั้นล้วนแล้วแต่ธรรมดาแต่กลับทรงพลังอย่างที่สุด ยิ่งพอนึกถึงว่าพึ่งจะเริ่มการแข่งขันได้ไม่นานแต่ซูจิ้งก็ไม่ได้มีท่าทีประหม่าหรือแสดงท่าทางที่ผิดหลักการแข่งขันแต่อย่างใด แน่นอนว่าหากกรรมการไม่ใช่คนตาบอด เขาย่อมได้สามคะแนนนี้ไปอย่างไม่มีข้อคัดค้าน


การแข่งขันยังคนดำเนินต่อไปแต่ความกังวลของทั้งโค๊ชทีมชาติญี่ปุ่นและคิมูระนั้นไม่ได้คลายกังวลเลยแม้แต่น้อย

นั่นก็เพราะซูจิ้งนั้นยังคงเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าแห่งคาราเต้ได้ดีเสียยิ่งกว่านักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นไปมากโข แถมแค่ดูก็รู้ว่าทุกท่วงท่านั้นทรงพลังขนาดไหน และนี่เองทำให้เขาได้คะแนนไปอีกสามคะแนน

ด้วยการแข่งขันเพียงชั่วครู่ นักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นได้พ่ายแพ้ลงโดยไม่ได้คะแนนไปเลยซักคะแนนเดียว ฉากนี้ทำให้เหล่านักกีฬาคาราเต้ชาวญี่ปุ่นคนอื่นถึงกับสับสนไปตามๆกัน

ชาวญี่ปุ่นเองก็สับสนไม่ต่างกัน

ผู้ชมชาวจีนนั้นกลับแสดงออกมาด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมสุข


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ว่ายังไงซะหากเป็นเรื่องการต่อสู้นี้พี่จิ้งนั้นย่อมไร้พ่าย”

“เขานั้นไม่ได้ว่าหน้านักกีฬาชาวญี่ปุ่นเลยจริงๆแถมยังจบเกมอย่ารวดเร็ว เรียกได้ว่าง่ายแต่ทรงพลังยิ่งนัก ทั้งๆที่เขานั้นสามารถใช้กำลังทั้งหมดกำหราบศัตรูได้อย่างรวดเร็วแต่ยอมเล่นตามเกมแบบนี้ ช่างเสียเวลาจริงๆ”

“ฉันว่ามันก็ดีอยู่นะ เท่ดีออก”

“ทำไมช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างสั้นนักนะ”

“เอาน่า เดี๋ยวเราก็ได้เห็นกันอีก”


เหล่าผู้ชมต่างชาติต่างก็รู้สึกฉงนสนเท่ในตัวซูจิ้งอย่างมาก

“ชายคนนี้ช่างน่ามหัศจรรย์จริง ทั้งบาสเก็ตบอล ชกมวย คาราเต้ ทุกอย่างล้วนแล้วผลออกมาดีทั้งหมด”

“ฉันได้ยินมาว่าเขาลงแข่งกีฬาอีกเป็นสิบเลยนะ”

“จริงดิ ไม่เกินไปหน่อยเหรอ เขาคงจะไม่ได้ทำคะแนนดีๆไปเสียทุกการแข่งขันหรอกนะ”

“เป็นไปไม่ได้หรอกน่า คนๆเดียวลงสามอย่างนี้ก็หน้าเหลือเชื่อมากพอแล้ว นี่เขายังลงแข่งอีกเป็นสิบเนี่ยนะ”


ในช่วงหัวค่ำ การแข่งขันฟุตบอลชายได้เริ่มขึ้น โดยในคู่แรกนี้เป็นประเทศจีนต้องเจอกับเม็กซิโก และนี่ก็ต้องทำให้ผู้ชมทั้งหลายต้องประหลาดใจอีกครั้งนั่นก็เพราะซูจิ้งได้ลงแข่งอีกครั้งหนึ่ง

ท่าจะให้บอกตรงๆล่ะก็ไม่มีทางเลยที่คนๆหนึ่งจะมีความสามารถลงแข่งพอในหลากหลายเกมการแข่งขันแบบนี้ได้

แต่ให้นักกีฬาคนนั้นรู้กฎในแต่ละประเภทกีฬาได้เป็นอย่างดี แต่ด้วยสภาพร่างกายและจิตใจนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่พร้อมในการลงแข่งได้ทุกการแข่งขันอย่างแน่นอน….ไม่ใช่เหรอ


อย่างไรก็ตาม เมื่อเกมได้เริ่มขึ้น เป็นอีกครั้งที่เหล่าผู้ชมต้องอ้าปากค้าง นั่นก็เพราะเหมือนกับตอนแข่งบาสเก็ตบอล ผู้เล่นคนอื่นที่ได้บอลมานั้นต่างก็พยายามส่งบอลให้ซูจิ้งเท่าที่เป็นไปได้ และซูจิ้งเองก็ไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยล้าให้เห็นแต่อย่างใด แถมซูจิ้งยังได้แสดงให้เห็นว่าเขาเองก็มีทักษะการเล่นบอลที่เด่นกว่าใครเพียงแค่ได้เห็น แทบจะไม่มีใครเลยสามารถหยุดซูจิ้งได้

เขานั้นรับได้อย่างไม่พลาดเลยสักลูก เข้าเลี้ยงบอลไปมาได้ง่ายราวกับสนามนี้อยู่ในมือตัวเอง เขาขึ้นหน้าเข้าไปในเขตฝั่งตรงข้ามและทำคะแนนได้บ่อยครั้ง

เรียกได้ว่าแม้เม็กซิโกทำคะแนนได้บ่อยครั้ง แต่จีนเองก็ได้ตีตื้นมาแทบจะในทันทีหลังจากโดนทำประตูก็ว่าได้


วันถัดมา ซูจิ้งต้องลงแข่งกีฬาทั้งสี่ประเภทอย่างไม่ว่างเว้น แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งซูจิ้งไว้ได้แต่อย่างใด

นั่นก็เพราะต่อให้คู่แข่งของเขานั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ตาม ซูจิ้งก็ยังสะกดข่มไว้ครึ่งก้าวในทุกการแข่งขันไป

ยิ่งแข่งขัน ซูจิ้งที่เริ่มแสดงฝีมือออกมามากขึ้นก็ยิ่งทำให้ผู้คนนั้นมหัศจรรย์ไปกับความสามารถของเขามากขึ้นไปในทุกๆครั้งที่เห็น ราวกับว่าเขานั้นยังไม่ได้แสดงฝีมือทั้งหมดออกมา

โดยเฉพาะเรื่องเครื่องอึด ด้วยการที่เขานั้นต้องแข่งกีฬาหลากหลายประเภทในทุกๆวัน หากเป็นคนทั่วไปก็คงจะเหนื่อยตายไปแล้ว แต่ซูจิ้งนั้นยังไม่เคยแสดงท่าทีอะไรแม้แต่น้อย


ไม่กี่วันถัดมา การแข่งกีฬาวิ่งก็ได้เริ่มขึ้น ซูจิ้งเองก็มีส่วนในการแข่งเหล่านี้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยในรอบนี้เป็นการแข่งขันวิ่งร้อยเมตรชาย โดยซูจิ้งนั้นใช้เวลาไป9.01วินาที

แต่ด้วยการที่มีข้าวสีน้ำเงินอยู่บนโลกนี้แล้วจึงทำให้สติทางด้านการกีฬาถูกทำลายได้อย่างรวดเร็ว โดยก่อนหน้านี้นั้น นักวิ่งชาวอเมริกาได้ทำสถิติไว้ที่ 9.13 วินาที แต่เพียงไม่นานก็ถูกซูจิ้งฝังกลบไป


ไม่เพียงแต่วิ่งร้อยเมตรเท่านั้น ทั้งวิ่งชายสองร้อยเมตร สี่ร้อยเมตร วิ่งข้ามเครึ่องกีดขวางหนึ่งร้อยสิบเมตร วิ่งข้ามเครื่องกีดขวางสี่ร้อยเมตร กระโดดสูง กระโดดไกร ไตรกีฬา ทุกๆการแข่งขันนั้นล้วนแล้วถูกทำลายสถิติโดยซูจิ้ง หากมีการประกวดว่าใครได้เหรียญทองมากที่สุด แน่นอนว่ารางวัลนั้นตั้งมอบให้ซูจิ้งอย่างแน่นอน

หลังจากได้เห็นสถิติที่ซูจิ้งทำไว้นั้น ผู้คนทั่วทั้งโลกนั้นแสดงออกอย่างบ้าคลั่ง พลางพูดถึงซูจิ้งว่าเขานั้นยังเป็นมนุษย์อยู่รึเปล่าถึงสามารถมีความสามารถที่หลากหลายได้ถึงขนาดนี้

ในการแข่งกีฬาโอลิมปิคในปี2008นั้นมีนักกีฬาคนหนึ่งได้รับไปแปดเหรียญทอง หากถามว่าเขานั้นทำได้ยังไงน่ะเหรอ เขานั้นได้ลงแข่งทุกการแข่งขันว่ายน้ำที่เขาลงได้ นั่นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่อย่างใด

แต่กับซูจิ้งที่ลงแข่งกว่า20รายการนั้นแน่นอนว่าหากทำได้หมดย่อมยิ่งใหญ่กว่า


ทั่วทั้งโลกในตอนนี้ต่างก็กล่าวขานกันว่าซูจิ้งนั้นคือผู้ที่เปรียบได้ดั่งองค์เทพ ยิ่งซูจิ้งลงแข่งมากเท่าไหร่ ชื่อเสียงของเขานั้นก็สูงขึ้นตามระดับ

และนี่ก็ทำให้เขานั้นสามารถดูดซับเหรียญตราเทวฑูตได้อย่างบ้าคลั่งจนทำให้ขอบเขตชำระล้างนั้นแพร่ขยายมากขึ้นไปอีกจนในตอนนี้แพร่ขยายไปถึงพื้นที่ที่เกิดความตายอันแปลกประหลาดบนทวีปแอฟริกาเรียบร้อยแล้ว 


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)