Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1136-1138
GGS:บทที่ 1136 แรงกระเพื่อมอันยิ่งใหญ่
ชายเคราดกที่นั่งขับรถอยู่นั้น เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นมาจากที่นั่งข้างๆก็อดไม่ได้ที่จะหันไปดู เขานั้นสับสนในทันทีก่อนที่จะรีบถามออกมาว่า “เฮ้ย…เป็นอะไรของเอ็งวะอยู่ๆก็ร้องไห้ออกมา แค่ดูการสตรีมนี่เอ็งถึงกับร้องไห้เลยเหรอ”
“ฮือออ……ลูกพี่ เราเอาหมาสามตัวนี่ไปคืนเขาไม่ได้เหรอ สิ่งที่พวกเราทำมันไม่ถูกต้องนะ สิ่งที่พวกเราทำมันโหดร้ายเหลือเกิน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งผู้โดยสารได้ขอร้องออกมาด้วยสายตาที่ชุ่มแฉะ
ชายเคราดกที่ได้ยินถึงกับโง่งมและนิ่งอึ้งจนเกือบจะขับรถไถลลงข้างทางไปในทันที
ทันทีที่เขานั้นประคองรถกลับมาเป็นปกติได้ เขาได้รีบทำการจอดเข้าข้างทางในทันทีก่อนที่จะตบหน้าของชายหนุ่มที่กำลังร้องไห้เสียงดังชาดใหญ่จนคนที่นั่งอยู่ที่กระบะก็ยังได้ยิน
ชายไว้หนวดตะคอกออกมาว่า “เป็นห่าอะไรของเอ็งเนี่ย อยู่ๆนึกจะมีจิตใจอ่อนโบนขึ้นมารึไงกันเหอะถึงได้ร้องไห้เป็นผู้หญิงแบบนี้”
“ผม…ผม…ฮึก..ผมก็แค่คิดว่าการที่พวกเรานำสุนัขสามตัวนี้มา….มา….ฮึก..มาจากเจ้าของที่คิดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแบบนี้มัน…ฮึก..โหดร้ายเกินไป แถม….ฮึก..ที่เราจะทำนั้น….เป็นฮึก..การจับไปฆ่าเพื่อขายเป็นเนื้ออีก…ฮึก..”
“หากลูกพี่ฮึก..ได้ฟังบทเพลงของพี่จิ้งล่ะก็ฮึก..ลูกพี่จะรู้ว่าพวกเรานั้นทำผิดแค่ไหนฮึก..พวกเรานั้นคือคนบาปฮึก..” ชายหนุ่มพยายามอธิบายออกมาด้วยจิตใจที่รู้สึกสำนึกผิดจนร้องไห้หนักขึ้น
ชายหนุ่มไว้หนวดถึงกับอารมณ์เสียจนประเคนมือและเท้าไปอีกชุดหนึ่งพร้อมทั้งตะคอกขู่เข็ญต่างๆนานา แต่จนที่สุดแล้ว ชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังคงขอร้องแทนสุนัขทั้งสามตัวที่อยู่ด้านหลังต่อไป
หนุ่มไว้หนวดเองก็รู้สึกจนไปยาจนในที่สุดเขาก็ต้องหยิบโทรศัพท์มาดูว่าเป็นเพระอะไร อยู่ๆ มีเพชรฆาตสังหารหมาของเขาถึงได้เปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
ด้วยการที่การสตรีมของซูจิ้งนั้นจบไปแล้ว เขาจึงได้กดย้อนดูการสตรีมดู แต่เพียงหลังจากที่ได้ยินนั้น หนุ่มไว้หนวดก็นิ่งอึ้งไปในทันที
“ผมพูดถูกใช่รึเปล่าลูกพี่ ผมว่าเราควรเอาสุนัขสามตัวนี้ไปคืนนะ” ชายหนุ่มคนที่ร้องไห้ในตอนนี้พยายามเอ่ยถามอีกครั้ง
“อืม…ได้…ใช่แล้ว นายพูดถูก” ชายหนุ่มไว้เครานั้นไม่ได้มีมีท่าทางอะไรมากนัก เขาเพียงแค่พยักหน้าอย่างเห็นด้วยพร้อมพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเบาๆ เขาเดินไปข้างหลังรถก่อที่จะเปิดท้ายกระบะและปลุกหมาทั้งสามตัว
หมาทั้งสามที่กึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นได้พยายามลุกขึ้นอยู่หลายครั้งก่อนที่จะพากันเดินออกมาจากรถอย่างุนงงและเดินแทบจะไม่ตรงราวกับพึ่งสร่างเมา จนในที่สุด สุนัขทั้งสามก็ค่อยๆเดินลับหายไป
ชายหนุ่มที่มองไปยังสุนัขทั้งสามที่เดินลับหายไปนั้นเขาได้ยิ้มออกมาอย่างละไม แต่ในใจของเขานั้นกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งต่างๆอันโหดร้ายที่ตัวเองนั้นได้กระทำมา แต่อีกใจหนึ่งนั้นเขาก็คิดอยู่ว่าทำไมตัวเขานั้นต้องปล่อยสุนัขทั้งสามนี้ไปด้วย
ชายไว้หนวดในตอนนี้เริ่มนึกสงสัยขึ้นว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก่อนหน้านี้เรื่องแบบนี้สำหรับเขาแล้วนั้นไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด
สำหรับเขาแล้วหากว่าไม่โหดร้ายแบบนี้แล้วเขาก็จะไม่สามารถมีชีวิตดีๆอยู่ได้ สำหรับคนอื่นพวกมันคือครอบครัวแล้วยังไง สำหรับเขาแล้วพวกมันก็แค่เนื้ออย่างหนึ่งเท่านั้นเอง
“แม่…เอ๊ย ฉันไม่หน้าหลงไปฟังสตรีมนั่นเลยจริงๆ ฉันเป็นไอ้ขี้แพ้ใจอ่อนในทันทีที่ฟังสตรีมนั่น” ชายไว้หนวดในตอนนี้เริ่มแสดงความโกรธอีกครั้งก่อนที่จะหันไปต่อยและเตะใส่ชายหนุ่มต้นเหตุเรื่องอีกทีสองทีอย่างหมั่นเขี้ยว
นี่คือผลพวงที่เกิดขึ้นจากการได้ฟัง บทเพลงแห่งนิจนิรันดร ผู้คนที่ได้ยินนั้นแน่นอนว่าจะซาบซึ้งในรสพระธรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนนั้นจะสามารถซึมซับได้เท่ากัน
โดยทั่วไปแล้วผู้คนนั้นต่างก็คิดว่าตัวเองนั้นอยู่ในฝากฝั่งหนึ่งแห่งการกระทำ ไม่ดีไปเลยก็ชั่วไปเลย แต่ในความเป็นจริงนั้นช่างต่างออกไป ในคนที่คิดว่าตัวเองดีนั้นก็ยังมีด้านไม่ดีอยู่บ้าง หรือกับบางคนนั้นแต่เดิมก็ไม่ได้มีจิตใจที่โหดร้ายอะไรแต่โดนสถานการณ์บังคับเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
แต่ก็ยังมีบางคนเช่นกันที่จิตใจนั้นผิดบาปไปจนถึงแก่นก็ไม่น้อย คนแบบนี้แน่นอนว่าย่อมทำให้เห็นธรรมนั้นช่างยากยิ่ง
แต่ในที่สุดแล้วไม่ว่าใครก็ตาม ไม่อาจจะต้านทานบทเพลงแห่งนิจนิรันดรนี้ได้
ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ ทั่วทั้งประเทศนั้นได้มีผู้คนไม่ต่ำกว่าสามล้านคนได้ซึมซับธรรมะและความสงบจากบทเพลงแห่งนิจนิรันดรนี้ และยิ่งเวลาล่วงเลยผ่านไป ผู้คนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาเพื่อย้อนดูวิดีโอย้อนหลัง และจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว และด้วยการที่ผู้คนศรัทธาบทเพลงนี้มากขึ้นเท่าไหร่ ผลกระทบด้านดีที่จะเกิดขึ้นบนโลกนี้ก็ยิ่งมากขึ้นตามไปด้วย
หลังจากนั้น ซูจิ้งได้เล่นบทเพลงอรหันต์ทองคำที่นอกจากจะทำให้จิตใจของผู้คนสงบลงเท่านั้น แต่นี่ยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้คนเข้าสู่ภวังค์แห่งสมาธิ
เขายังได้เล่นเพลงอรหันต์เพชรแท้ที่ช่วยผู้รับฟังนั้นละทิ้งจิตใจที่อ่อนแอและสับสน และช่วยให้มีความมั่นใจยิ่งขึ้นไป
ผลจากเพลงแต่ละเพลงนั้นถึงแม้จะแตกต่างกันไปแต่ล้วนแล้วช่วยส่งเสริมจิตใจของผู้คนทั้งสิ้น และนี่ก็ไม่ถือว่าเป็นการสะกดจิตแต่อย่างใด
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าแต่ละคนนั้นย่อมซึมซับธรรมะได้ไม่เท่ากัน คนไหนที่มีความดีอยู่เป็นพื้นเดิมนั้นเมื่อฟังแล้วจิตใจก็ยิ่งเข้าถึงธรรมะในใจได้อย่างกระจ่างชัด
ส่วนเหล่าผู้คนที่ทำไม่ดีมาตลอดชีวิตนั้น บทเพลงนี้ก็ไม่ได้ต่างจากบทเพลงต้องสาปแต่อย่างใด เพียงเท่านี้ย่อมไม่เพียงพอที่จะละทิ้งจิตใจด้านมืดแล้วเข้าสู่ด้านสว่างอย่างเต็มตัว
ในตอนนี้จำนวนของผู้ชมในช่องสตรีมของซูจิ้งนั้นเพิ่มขึ้นอย่างล้นหลาม สี่ล้าน…. ห้าล้าน…. หกล้าน…. เจ็ดล้าน…. ราวกับว่าทุกคนที่เข้ามานั้นต้องการแสวงหาการล้างบาปของตน
ณ วัดหลานเร่อ ที่นี่มีการเปิดช่องสตรีมของซูจิ้งอยู่เช่นกัน ไม่เพียงแต่โจวฮงหยวนเท่านั้น แม้แต่ปรมาจารย์เฉินหยาน เจ้าอาวาสซูหยุน เสี่ยวไจ่ และพระรูปอื่นๆเองต่างก็ฟังด้วยจิตใจที่เลื่อมใส
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่อาตมาได้รับรู้ว่าบนโลกนี้เองก็ยังมีบทเพลงที่แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบแบบนี้ แถมยังเข้าถึงทุกสรรพสิ่งแบบนี้ได้” ปรมาจารย์เชิงหยานพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น
“ระดับของอาจารย์สูงขึ้นอีกแล้ว” เสี่ยวไจ๋ดออกมาด้วยสายตาที่เปล่งประกาย
เฉินฮงในตอนนี้มีสีหน้าที่อวบอิ่ม เขาเองก็ได้ดูการสตรีมของซูจิ้งในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ตั้งแต่ต้น เขาได้รับฟังบทเพลงต่างๆของซูจิ้งโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่น้อยจนในตอนนี้เขารู้สึกได้ว่ากำลังสดับฟังเสียงแห่งพระพุทธเจ้าอยู่เลยทีเดียว
ในห้องซ้อมดนตรีแห่งหนึ่ง เป่ยเจียฮ่าวกำลังสอนลูกศิษย์ในการเล่นกู่จิ้งอยู่ นี่คือเนื้อหาหลักของคอร์สการสอนนี้
ด้วยการที่เขานั้นเข้าใจเนื้อหาเกี่ยวกับกู่จิ้งทั้งหมดที่มีแล้วทำให้เขานั้นค่อนข้างว่างจึงได้เปิดสอนการเล่นกู่จิ้งขึ้นมาฆ่าเวลา
ในขณะที่สอนอยู่นั้น เขาได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นพ่อของเขาเป็นคนโทรมาจึงได้ออกจากห้องเพื่อรับสาย ตอนที่รับสาย พ่อของเขาได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่า “เจียฮ่าว ลูกดูช่องสตรีมของซูจิ้งอยู่รึเปล่า”
“เปล่าครับ ผมกำลังสอนอยู่” เขาตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ
“รีบเปิดดูเร็วเข้า มันช่างน่ามหัศจรรย์นัก”
“น่ามหัศจรรย์ยังไงพ่อ…อย่าบอกนะว่าเขาแต่งเพลงใหม่อีกแล้ว” เป่ยเจียฮ่าวถามออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย ในฐานะสุดยอดแฟนตัวยงคนหนึ่งมีหรือที่เขาจะไม่สนใจผลงานของซูจิ้ง
“ไม่เพียงจะเป็นผลงานใหม่ แต่บทเพลงนี้ยังเป็นบทเพลงแห่งพุทธอีกด้วย แถมไม่ใช่แค่หนึ่งแต่ยังมีอีกหลายเพลง และล้วนแล้วแต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบเอาไว้อีก”
เมื่อเป่ยเจียฮ่าวได้ยินแบบนี้ก็อดที่จะใจต้นแรงไม่ได้ในทันที ด้วยการที่พ่อของเขานั้นเลื่อมใสในพุทธศาสนาทำให้ตัวเขาเองนั้นได้เรียนรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เล็ก
ในตอนที่เขานั้นเคยเทียบเคียงฝีมือในครานั้น ด้วยบทเพลงท่วงทำนองแห่งพระเจ้าในตอนนั้นทำให้เขาต้องแพ้พ่ายไป แต่ในครานั้นต่อให้เพลงท่วงทำนองแห่งพระเจ้าจะดีขนาดไหนแต่เขาก็ยากที่จะยอมรับว่านั่นคือบทเพลงแห่งพุทธ นี่ทำให้เมื่อได้ยินแบบนี้ เป่ยเจียฮ่าวจึงยากที่จะหักห้ามใจตนเอง
เป่ยเจียฮ่าวได้ทำการเปิดช่องสตรีมของซูจิ้งขึ้นมาและเตรียมที่จะใส่หูฟังเพื่อฟังบทเพลงบรรเลงกู่จิ้งให้หนำใจ
แต่ทันใดนั้น เขาได้หยุดคิดสักพักก่อนที่จะตัดสินใจบอกให้นักเรียนเลิกฝึกและมานั่งดูการสตรีมนี้ด้วยกัน
ด้วยการที่ซูจิ้งถูกเรียกว่าปรมาจารย์ด้านกู่จิ้งอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์ การได้ยินบทเพลงของซูจิ้งนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่สูญเปล่าแต่อย่างใด
เมื่อเป่ยเจียฮ่าวกดเข้าไปในช่องสตรีมของซูจิ้งนั้น ในตอนนี้เขากำลังขับร้องบทเพลงมหาวัจระ หลังจากได้ยินเพียงชั่วครู่ เป่ยเจียฮ่าวนั้นมีสายตาที่เปล่งประกายในทันที
สำหรับนักเรียนของเขานั้น ทั่วทุกคนต่างสับสนในตอนแรก แต่ก็รู้สึกประหลาดใจในตอนหลัง นั่นก็เพราะบทเพลงนี้มีเสียงบรรเลงที่แปลกประหลาด คำร้องที่ไม่เหมือนเพลงธรรมดา แต่เมื่อผสมรวมกันแล้วกลับกลายเป็นส่งเสริมและแฝงเอาไว้ด้วยบรรยากาศแห่งความสงบอย่างน่าประหลาดใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งสงบ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกลุ่มลึก หลังจากฟังไปได้สักพัก ทั้งเป่ยเจียฮ่าวและลูกศิษย์ของเขานั้นราวกับตกอยู่ในภวังค์อย่างช่วยไม่ได้
ณ บ้านตระกูลหลักของมู่หรงเซียนเอ๋อ มู่หรงเซียนเอ๋อ มู่หรงฉิน และคนอื่นๆเองก็ได้ดูการสตรีมของซูจิ้งอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
ยิ่งทุกคนได้ฟังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึง แม้แต่มู่หลงฉินเองก็ยังอดไม่ได้ที่จะนำมือทาบอกตัวเองบ่อยครั้ง
“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่รู้ว่าบทเพลงแห่งพุทธนั้นจะทำให้รู้สึกดีขนาดนี้” แม่ของมู่หลงเซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยอารมณ์ที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่
“หนูเหมือนกันค่ะ” มู่หรงเซียนเอ๋อพูดออกมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ
“นี่ไม่ใช่เพลงแห่งพุทธทั่วไปหรอกนะ แต่เพลงนี้แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ เรียกได้ว่าแฝงไว้อย่างลุ่มลึกเลยทีเดียว อาจิ้งได้สร้างโลกใหม่ของวงการกู่จิ้งขึ้นมาแล้วล่ะนะ บทเพลงนี้จะนำพาให้กู่จิ้งนั้นไปต่อได้อย่างไม่มีสิ้นสุด”
มู่หลงฉินได้พูดออกมาบ่งบอกถึงการให้คุณค่าแก่บทเพลงที่ซูจิ้งบรรเลงในการสตรีมในครั้งนี้อย่างสูงล้ำ ในฐานะผู้นำสมาคมกู่จิ้งแล้ว เขานั้นต้องยอมในตัวซูจิ้งอย่างที่สุด
อีกเหตุผลหนึ่งนั้นเพราะเขารู้ว่าระดับการเล่นกู่จิ้งของซูจิ้งนั้นได้สูงขึ้นเกินกว่าที่ประวัติศาสตร์ของวงการกุ่จิ้งนั้นเคยบันทึกไว้
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ในตอนนี้การสตรีมของซูจิ้งนั้นได้จบลงพร้อมทั้งการเล่นบทเพลงแห่งพุทธทั้งเจ็ดเพลง
ถึงแม้ว่าการสตรีมครั้งนี้จะจบลงแต่การพูดคุยในเรื่องนี้นั้นหาได้จบสิ้นแต่อย่างใด วิดีโอบันทึกการสตรีมของซูจิ้งนั้นได้ถูกโพสต์ขึ้นบนอินเตอร์เน็ตและถูกส่งต่อไปในเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับวงการเพลงอย่างรวดเร็ว
นี่จึงทำให้บทเพลงแห่งพุทธทั้งเจ็ดของซูจิ้งได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วราวกับนักร้องมืออาชีพที่ออกบทเพลงใหม่เลยทีเดียว
ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทุกคนทุกผู้ทุกระดับในวงการบันเทิงนั้นต่างก็สับสนกันในทันที
พวกเขานั้นรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นทำตัวไม่หวั่นเกรงต่อสิ่งใดอยู่ แต่ในครั้งนี้ พวกเขานั้นอดที่จะคิดไม่ได้ว่าซูจิ้งนั้นจะไม่มากไปหน่อยรีไงกัน
ถึงแม้ว่าบทเพลงนั้นจะเป็นการเล่นกู้จิ้งธรรมดาทั่วไป
ถึงแม้ว่านั่นจะเป็นบทเพลงแห่งพุทธที่น่ามหัศจรรย์ล้ำลึกขนาดไหน
แต่นี่เขานั้นไม่คิดจะเหลือทางเดินให้ผู้คนเลยรึไงกัน
GGS:บทที่ 1137 ท่านเทพคลั่ง
บทเพลงพุทธทั้งเจ็ดนี้ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันดร ด้วยการที่เขานั้นทั้งร้องและเล่นเพลงนี้เองคนเดียวจึงทำให้เขายิ่งได้ความเคารพและศรัทธาไปเต็มๆคนเดียว
บทเพลงเหล่านี้ไม่เพียงจะโค่นล้มผลงานเพลงทั้งสิบได้ในทีเดียวเท่านั้น แต่บทเพลงเหล่านี้ยังติดอันดับไปอีกหลายสิบวัน
แต่ไม่ใช่เพียงการขึ้นอันดับเพลงดังเท่านั้น บทเพลงทั้งเจ็ดนี้ยังส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและพลิกชีวิตของใครหลายๆคน
และในไม่ช้าบทเพลงก็จะส่งให้กระทบที่ดีต่อคนทั่วทั้งโลก
ณ ประเทศอินเดีย ชายคนหนึ่งที่ดีแสนธรรมดาได้เดินไปบนท้องถนนของเมืองธรรมดาเมืองหนึ่ง อยู่ๆเขาก็ต้องหยุดเท้าลงพร้อมกับปิดตาตัวเอง
เงาดำที่คนธรรมดาไม่อาจจะเห็นได้นั้นได้แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทางและแฝงไปตามสิ่งแวดล้อมต่างๆราวกับว่าเขานั้นกำลังค้นหาในบางสิ่ง
ชายคนนี้ทำท่านี้อยู่นานแล้วเขาก็ต้องหยุดการกระทำของตัวเองลงก่อนที่จะถอดถอนลมหายใจออกมาอย่างท้อแท้
สิ่งที่อยู่ในร่างกายชายคนนี้ก็คือเงาดำผู้ที่หนีออกจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั่นเอง ในตอนนี้เงาดำนั้นได้พยายามซ่อนตัวเองจากการไล่ล่าของซูจิ้งและพยายามฟื้นอาการบาดเจ็บของตน
มันนั้นพยายามจะทำความรู้จักสถานที่อันแปลกประหลาดนี้และมองหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งหยินและไอปีศาจ
อย่างไรก็ได้ มันนั้นเริ่มจะถอดใจแล้วจริงๆ นั่นก็เพราะอย่าว่าแต่สถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังงานแห่งหยินและไอปีศาจเลย แม้แต่พลังงานแห่งสวรรค์และโลกมันนั้นก็ยังไม่เจอเลยสักนิด นี่บ่งบอกได้เลยว่าดินแดนแห่งนี้นั้นช่างยากจนค้นแค้นจริงๆ
มันนั้นเริ่มขึ้นแล้วด้วยซ้ำว่าดินแดนแห่งนี้คงจะไม่มีทางเชื่อมไปยังโลกแห่งเซียนเสียด้วยซ้ำ มันนั้นเคยได้ยินมาว่ามีบางคนนั้นสามารถฝึกตนจนบรรลุและก้าวข้ามไปยังโลกแห่งเซียนได้
พอนึกว่าโลกนี้จะมีคนแบบนั้นอยู่บ้างมันจึงเริ่มเดินทางอย่างระมัดระวังตัวอย่างที่สุด ต่อให้ที่นี่ไม่มีทรัพยากรในการบ่มเพราะเทียบเท่ากับดินแดนที่มันจากมา แต่มันก็ยังคงคิดว่าคงจะมีผู้คนแบบนั้นอยู่บ้าง และหากคนเหล่านั้นรู้การมีอยู่ของมัน มันต้องถูกกำจัดจนสิ้นอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เงาดำนั้นพบว่าสิ่งมีชีวิตบนดินแดนแห่งนี้นั้นช่างอ่อนแอแทบจะทั้งโลกนี้เลยก็ว่าได้ หลังจากสืบสวนและตรวจสอบเป็นอย่างดีแล้วก็พบว่าต่อให้คนที่ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของที่นี่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าคนที่อ่อนด้อยที่สุดของที่ที่มันจากมา
แถม คนเหล่านี้นั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการบ่มเพาะนั้นคืออะไรกันแน่ แล้วมันก็ตรวจสอบได้แล้วว่าคนที่ขับไล่มันนั้นคือซูจิ้งช่างแตกต่างจากคนเหล่านี้เหลือเกิน
ราวกับว่าชายคนนั้นไม่ใช่คนของโลกนี้ แต่เงาดำนั้นก็เชื่อได้อย่างหนึ่งว่า ซูจิ้งนั้นไม่ได้มากจากดินแดนเดียวกับมันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ซูจิ้งนั้นในโลกนี้ถือได้ว่ามีสถานะที่สูงส่งและได้รับความนิยมไปทั่ว
“ไอ้เด็กเวรนั่นมันคือตัวอะไรกันแน่ แล้วมันพาข้ามาที่นี่อย่างนั้นหรือ” ร่างเงาดำคิดอยู่ในใจ แต่ทันใดนั้น มันก็ได้ยินเสียงดนตรีเสียงหนึ่ง มีใครบางคนกำลังเล่นเพลงอยู่
ทันทีที่ร่างเงาดำนั้นได้ยินเสียงเพลงนี้มันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งมันได้ฟังมากเท่าไหร่ คิ้วของมันนั้นก็ยิ่งขมวดแน่น
บทเพลงนี้เป็นเพลงแห่งพุทธที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบ เจ้าร่างเงาดำนี้หากต้องได้ยินบทเพลงแห่งพุทธอันทรงพลังล่ะก็แน่นอนว่าย่อมส่งผลด้านลบต่อไอปีศาจในร่างของมัน ขนาดที่ว่าต่อให้ได้ฟังแค่เสียงแว่วๆยังแทบจะทำให้มันต้องสูญเสียตัวตนไปเลยด้วยซ้ำ
ถึงแม้บทเพลงแห่งพุทธที่มันได้ยินอยู่ตอนนี้จะไม่ได้ทรงพลังขนาดนั้น แต่ก็ยังต้องทำให้มันรู้สึกหนาวๆร้อนๆเลยทีเดียว
ร่างเงาดำนั้นได้เดินตามต้นกำเนิดแห่งเสียงเพลงนี้ไปเรื่อยๆจนพบร้านค้าแห่งหนึ่งที่มีเสียงเพลงนี้เล็ดลอดออกมา
มันได้ทำการระเบิดประตูทิ้งในทันที และนี่เองก็ได้เรียกความสนใจจากผู้คนรอบข้างในทันใด
ร่างเงาดำนั้นไม่สนใจเรื่องที่จะตกเป็นจุดสนใจแต่อย่างใด ด้วยการที่มันนั้นต้องการสืบหาสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังหยินและไอปีศาจ มันได้ฆ่าคนไปจำนวนหนึ่งเพื่อดูดซับพลังแห่งหยางเพื่อฟื้นฟูตัวเองพร้อมทั้งฝังชิ้นส่วนแห่งไอปีศาจลงไปในวิญญาณคนเหล่านั้นและใช้พวกนั้นให้เป็นมือและเท้าของตน
อย่างไรก็ตาม ไม่กี่วันต่อมา มันก็พบว่าไม่ว่ามันนั้นจะไปที่ไหนก็ตาม บทเพลงแห่งพุทธก็จะตามหลอกหลอนมันไปเกือบทั้งหมดทุกที่ นี่ยิ่งทำให้มันนั้นเกลียดซูจิ้งหนักกว่าเดิม
หากไม่ใช่เพราะว่าซูจิ้งนั้นใช้แสงศักดิ์สิทธิ์ได้ล่ะก็ มันนั้นสมควรจะฆ่าซูจิ้งได้ตั้งแต่แรกแล้ว
“หึ หากว่าข้ากลับไปอยู่ในจุดสูงสุดได้เมื่อไหร่ล่ะก็ ฆ่าจะตรงไปฆ่าแกเป็นคนแรกแล้วจะหลอมแกให้เป็นอาวุธวิญญาณ เมื่อถึงตอนนั้น ข้า จะเป็นจ้าวแห่งโลกนี้และจะเปลี่ยนโลกนี้ให้เป็นนรกส่วนตัวของข้า และจะไม่มีใครหยุดยั้งข้าได้อีกต่อไป” ร่างเงาดำนั้นได้คิดขึ้นมาได้จิตสำนึกดำมืดสุดหยั่งพร้อมแผ่รังสีอำมหิตออกมาอย่างไม่รู้ตัว
แต่ในตอนนั้นเอง ร่างเงาดำนั้นก็รู้สึกถึงลางร้ายบางอย่าง มัน ได้นำแผ่นยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แผ่นยันต์นั้นลุกไหม้เป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว
ร่างเงาดำนั้นหน้าเปลี่ยนสีในทันที มันได้นำแผ่นยันต์อีกแผ่นออกมา คราวนี้มันได้จ้องมองอยู่นาน อยู่ๆแผ่นยันต์นั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นเถ้าถุลีเช่นเดียวกัน
“ฉิบหายล่ะ แสงชำระล้างของไอ้เด็กเวรนั่นมาถึงนี่แล้ว” ร่างเงาดำกัดฟันแน่นบ่งบอกถึงความเกลียดชังอย่างสุดหัวใจ ก่อนหน้านี้ตัวมันนั้นพึ่งจะได้ฝังไอปีศาจไปบนจิตวิญญาณผู้คนเอาไว้เพื่อคอยตรวจสอบและสังเกตุการณ์
ด้วยการที่ผู้คนทั่วไปนั้นไม่มีทางได้เห็น และแถวนี้เองก็ไม่มีนักบวชที่พอจะตรวจเจอไอปีศาจได้มันเลยชะล่าใจไม่ได้เรียกไอปีศาจกลับคืนมา แต่การที่อยู่ๆไอปีศาจที่ฝังร่างแบบนี้หายไปได้นั้น มันนึกออกได้เพียงอย่างเดียวคือแสงชำระล้างของซูจิ้งเท่านั้น
“ดูเหมือนว่าที่ไอ้หนูนั่นออกมาทำแบบนี้เป็นเพราะต้องการล่าหัวฉันสินะ หึหึหึ ดูสิว่าตอนจบ ใครจะได้หัวเราะออกมากันแน่” ร่างเงาดำนั้นสบถออกมา และในตอนนี้ มันนั้นเตรียมตัวที่จะเริ่มต้นฆ่าล้างผู้คนเพื่อเร่งการฟื้นฟูของตัวเอง
ร่างเงาดำนั้นไม่ได้คิดไปเองแต่อย่างใด การที่แสงชำระล้างแผ่ขยายออกมาได้นั้นเป็นเพราะผู้คนนั้นต่างเลื่อมใสและศรัทธาซูจิ้ง ผู้เล่นบทเพลงแห่งพุทธทั้งเจ็ดนั่นเอง
ความเลื่อมใสและศรัทธาเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของซูจิ้งเท่านั้น ความเลื่อมใสและศรัทธานี้ยังช่วยเพิ่มพลังให้กับเหรียญตราเทวฑูตได้อย่างมหาศาล เรียกได้เลยว่าเหลือล้นจนไม่รู้จะล้นยังไง
และค่าส่วนใหญ่นั้นมาจากผู้คนที่กลับใจและรู้สึกลึกล้ำในบทเพลงนี้ จึงทำให้พลังแรงศรัทธานี้ล้นเหลืออย่างไม่ต้องสงสัย
และนี่เองจึงเป็นเหตุผลให้ขอบเขตของลำแสงชำระล้างนั้นเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและต่อเนื่องโดยมีอัตราการขยายขอบเขตอยู่ประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรต่อวัน
ไม่นานขอบเขตนี้ก็ได้ครอบคลุมทั้งประเทศจีนและขยายไปประเทศรอบข้าง โดยในตอนนี้นั้นอาณาเขตของแสงชำระล้างได้ไปถึงหนึ่งในห้าของประเทศอินเดียแล้ว
ด้วยการที่การประชันระหว่างซูจิ้งและร่างเงาดำนี้เป็นไปในการลับ พวกผู้คนในโลกหล้าต่างก็รับรู้แค่ว่าซูจิ้งนั้นทำตัวเด่นดังและเป็นอัจฉริยะเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่ทำให้เหล่าแฟนคลับและชาวเน็ตนั้นต้องประหลาดใจอยู่อีก
ในวันนี้ มีงานประชันนักมายากลระดับโลก โดยทุกคนที่เข้าร่วมนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักมายากลที่ได้รับการยอมรับจากคนทั่วทั้งโลกแล้วทั้งสิ้น งานชุมนุมนี้จึงเป็นที่จับตามองจากผู้คนทั่วทั้งโลกอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิธีการได้พูดขึ้นมาว่า “ผู้ประกวดคนต่อไปคือ ซูจิ้ง” เหล่าผู้ชมถึงกับเงียบไปนานในทันทีนั่นก็เพราะชื่อของซูจิ้งโด่งดังไปทั่วแล้วจริงๆ แต่ทุกคนนั้นก็ยังคิดอยู่ว่าใช่ซูจิ้งคนเดียวกันรึเปล่า
ผลที่ออกมาก็เป็นไปตามที่ทุกคนนั้นสงสัย ท่ามกลางความประหลาดใจของทุกคนนั้น ซูจิ้งที่ทุกคนนึกถึงก็ปรากฏออกมา ท่ามกลางความสงสัยของผู้คนว่า ซูจิ้งนั้นเล่นกลได้ด้วยเหรอ
ในตอนแรกทุกคนคิดว่าซูจิ้งนั้นมาเพื่อร่วมสนุกเท่านั้น เขาอาจจะเป็นแขกรับเชิญพิเศษของงานนี้เฉยๆก็เป็นได้
ในตอนนี้เขานั้นอยู่ในชุดธรรมดาสามัญ กางเกงขาสั้น เสื้อทีเชิตธรรมดา ท่ามกลางความเห็นต่างๆของผู้คน ซูจิ้งได้บอกออกมาว่าเขาพึ่งตื่นนอนแล้วนึกได้ว่าต้องมางานนี้จึงรีบมาโดยไม่มีเวลาแต่งตัวมากมายนัก ขอเวลาเขาแต่งตัวสักหน่อย
เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้นำกระดาษออกมา เขาเริ่มทำการตัด ตัด ตัด และตัด ก่อนที่จะวาดรูปต่างๆลงบนกระดาษตัดเหล่านั้นก่อนที่เขาจะซุกพวกมันไว้ในกำปั้นและดึงพวกมันออกมาเป็นชิ้นส่วนเสื้อผ้าต่างๆตามที่วาด
เขาทำการสวมชุดที่เขาพึ่งดึงออกมาจากมือตัวเอง จนในตอนนี้เขานั้นอยู่ในชุดสูทที่หล่อเท่และมีสง่าราศรีอย่างที่สุด นี่แสดงให้เห็นว่าพวกมันนั้นคือของจริงแบบจริงแท้แน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม เขาทำท่าดูตัวเองแล้วรู้สึกยังไม่พอใจ ซูจิ้งจึงถอดชุดสูทออกมาก่อนที่จะโยนกลับเข้าไปในกระดาษป่าวอันหนึ่ง
ทันใดนั้น กระดาษก็ได้ปรากฏรูปชุดสูทขึ้นมา เขาทำการวาดรูปต่อเติมและลงสีอีกครั้ง หลังจากแก้ๆลบๆไปหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็ได้ชุดสูทที่เขานั้นพอใจแล้ว คราวนี้เขาได้ทำการดึงชุดสูทออกมาจากกระดาษโดยตรง
เมื่อซูจิ้งลองดูตัวเองในชุดสูทแล้วก็ได้แสดงท่าทีพึงพอใจออกมา เขาก็ได้ทำการวาดรูปหวีในกระดาษ แล้วทำการดึงหวีออกมาจากกระดาษนั้น ก่อนที่จะทำการหวีผมจนมีความรู้สึกหล่อขึ้นแล้วจึงพอใจ
การแสดงของซูจิ้งนั้น สำหรับในทางมายากลแล้วเรียกได้ว่าเป็นมายากลระยะประชิด ถึงแม้ว่ามันจะดูเรียบง่ายแต่ก็หน้ามหัศจรรย์ไปด้วยในขณะเดียวกัน
หากมองจากสายตาของผู้ชมในตอนนี้บอกได้เลยว่าสร้างความตกตะลึงในวงการมายากลได้ดีทีเดียว อย่าว่าแต่ผู้ชมเลย แม้แต่นักมายากลมืออาชีพเองก็ยังแสดงออกมาด้วยท่าทางที่ตกตะลึง เหตุผลนั่นก็เพราะว่าไม่มีใครบอกได้เลยว่าเขานั้นทำได้ยังไง
แน่นอนว่าย่อมไม่มีคนรู้ว่าที่ซูจิ้งนั้นไม่ใช่มายากลแต่คือเวทย์มนต์จริงๆ สิ่งที่ซูจิ้งใช้นั้นก็คือเวทย์มนต์ในตำรากระดาษการสงครามที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่า ด้วยการที่ว่าสิ่งที่เขาใช้นั้นคือเวทย์มนต์จริงๆ ในเมื่อใช้ออกมาทั้งที แน่นอนว่าเขานั้นไม่ต้องการจบลงเพียงเท่านี้อย่างแน่นอน
หลังจากซูจิ้งได้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำการตัดกระดาษเป็นรูปร่างต่างๆ จากนั้นก็ได้ทำการวาดรูปลงไป และในที่สุด เขาก็ได้ปลดปล่อยบรรดาสรรพสัตว์ออกมามากมาย นก ไดโนเสา และมังกรบิน นี่ทำให้เหล่าผู้คนนั้นต่างก็ตกตะลึงจนสับสนถึงกับยืนขึ้นมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ด้วยฉากมายากลที่สุดแสนจะมหัศจรรย์นี้ถูกส่งออกไปทำให้ผู้คนทั่วทั้งโลกต่างก็ตกตะลึง และนี่เองก็จะกลายเป็นมายากลแห่งตำนานของโลกนี้ไปอีกนานแสนนาน
ไม่กี่วันผ่านไป ซูจิ้งได้กลับเข้าสู่วงการกีฬาเอ็กซตรีมอีกครั้งและได้ทำการสตรีมการเล่นกีฬาของเขาออกไป เขาได้ประสบความสำเร็จการท้าทายกีฬาเอ็กซตรีมทั้งแปดชนิด
ไม่ว่าเป็นก่อเกิดจากสวรรค์(กระโดดร่มต่ำกว่าความสูงหมื่นฟุต) เขย่าพสุธา(กระโดดน้ำในถ้ำสวอลโล่) เป็นหนึ่งกับสายลม(กระโดดจากหน้าผาในชุดวิงแมน) จ้าวแห่งชีวิต (ปีนผามือเปล่า) และกีฬาชนิดอื่นๆอีก เรียกได้ว่าสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้คนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำลายสถิติของกีฬาเอกซตรีมทุกอย่างที่เขาเข้าร่วมจนกลายเป็นตำนานแห่งวงการไปในทันที
ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังได้สร้างความมหัศจรรย์ในวงการต่างๆไม่ว่าจะเป็น โกะ ศิลปะการต่อสู้ การเต้นรำ แข่งความจำ เรียกได้เลยว่าซูจิ้งนั้นได้ท้าทายขีดจำกัดของตัวเองในทุกสิ่งที่เขานั้นได้เคยทำมาเลยทีเดียว
ในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าซูจิ้งได้ทำการกินรวบหมดแทบจะทุกวงการที่ใช้ความสามารถในตัวบุคคลเลยก็ว่าได้ จนถูกกินเนสเวริดเรคคอร์ดขนานนามเขาไว้ว่าเป็นบุคคลที่ทำสถิติโลกมากที่สุดในโลก จนตอนนี้ผู้คนไม่ได้ถือว่าเขานั้นคือมนุษย์อีกต่อไป
ในตอนนี้ทั่วทั้งโลกนั้นกำลังตกตะลึงในการกระทำของซูจิ้ง ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าซูจิ้งนั้นคือคนเก่งอยู่แล้วเพียงแต่ว่าพยายามกดข่มตัวเองไม่ให้เด่นดังจนเกินไป
และนี่เองทุกคนต่างก็เริ่มสงสัยว่าทำไมกับคนที่ไม่เคยสนใจเรื่องชื่อเสียงแต่กลับมาทำตัวเด่นดังแทบจะในทุกวงการแบบนี้ต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ
เป็นไปได้รึเปล่าว่าเขานั้น คลั่ง ไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะคิดว่าเป็นอย่างนั้นแต่ก็ยังทำให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะหาคำตอบว่าชายคนนี้นั้น สรุปแล้วเขาคือมนุษย์หรือพระเจ้ากันแน่
GGS:บทที่ 1138 คลื่นใต้น้ำ
ในขณะที่ทุกคนนั้นต่างก็เริ่มรู้สึกว่าซูจิ้งนั้นคลั่งไปแล้วนั้นก็ได้มีข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งออกมาอย่างไม่คาดคิด นั่นก็คือ
ซูจิ้ง ได้กลายเป็นหนึ่งในผู้แข่งขันในกีฬาโอลิมปิคในฐานะตัวแทนทีมชาติจีน ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขานั้นได้ลงแข่งในเกือบทุกรายการเลยก็ว่าได้
ไม่ว่าจะเป็นวิ่งร้อยเมตร สองร้อยเมตร สี่ร้อยเมตร วิ่งข้ามสิ่งกีดขวางหนึ่งร้อยสิบเมตร วิ่งข้ามสิ่งกีดขวางสี่ร้อยเมตร กระโดดสูง กระโดดไกล วิ่งมาราธอน ไตรกีฬา ชกมวย คาราเต้ บาสเก็ตบอล ฟุตบอล
นี่จึงทำให้ทุกคนได้ฟันธงในทันทีว่าท่านเทพของพวกเขานั้นได้คลั่งไปแล้ว นั่นก็เพราะหากไม่เรียกว่าคลั่งแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะใช้คำไหนดี
บางคนก็ได้บังเกิดความคิดดูถูกซูจิ้งขึ้นมา คนเหล่านั้นสงสัยว่าการที่ซูจิ้งคือปรมาจารย์ได้การต่อสู้ก็จริงแต่คิดว่าตัวเองนั้นจะสามารถทำได้ดีในการกีฬาด้วยรึไงกัน สำหรับด้านการกีฬาแล้วคนเหล่านั้นเชื่อว่าซูจิ้งย่อมไม่ได้มีทางเก่งกาจไปได้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะเขานั้นไม่ได้มีความชำนาญในแต่ละด้านมากพอ ต่อให้เคยเล่นมาบ้างแต่ยังไงซะก็ไม่มีทางจะเทียบชั้นกับนักกีฬาระดับโลกได้เป็นแน่โดยเฉพาะกับการลงแข่งเอาซะทุกอย่างแบบนี้
มันก็เหมือนกับที่จะให้บูซลีไปแข่งวิ่งกับนักกีฬาอาชีพนั่นแล และยิ่งซูจิ้งลงแข่งซะเกือบทุกอย่างแบบนี้ เกรงว่าเขานั้นจะทำเพื่อเพิ่มโอกาสของตัวเองเฉยๆเท่านั้น
อีกทั้งในตอนนี้ข้าวสีน้ำเงินก็ถูกซื้อไปเพื่อบำรุงนักกีฬาในนานาประเทศอยู่แล้ว แน่นอนว่าร่างกายของนักกีฬาในตอนนี้ล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม สถิติโลกต่างๆนั้นถูกทำลายกันเป็นว่าเล่น เรียกได้เลยว่ายังไม่ทำจะให้ตกตะลึงก็ถูกทำลายซ้ำไปแล้ว ต่อให้ซูจิ้งเก่งแค่ไหนก็ยังถือว่าด้อยกว่าในด้านประสบการณ์
ไม่เพียงเท่านั้น ซูจิ้งยังลงแข่งในกีฬามวย คาราเต้ และกีฬาอื่นๆที่เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้อีกไม่น้อยกว่าโหล ที่เรียกได้ว่าคนละขั้วกันเลยด้วยซ้ำ
“พระเจ้าเถอะ ซูจิ้งคลั่งไปแล้ว”
“มันจะเป็นการดีกว่าล่ะน้าที่ปล่อยเส้นทางให้พูดคนได้เดินกันบ้าง การที่ซูจิ้งได้ก้าวเข้าไปมีส่วนในวงการโอลิมปิคแบบนี้แถมยังลงแข่งไปกว่าโหลแบบนี้เขาคิดว่ากีฬาโอลิมปิคเป็นอะไรกัน”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่นายอย่าลืมเรื่องที่น่ากลัวที่สุดอยู่นะ นั่นก็คือการที่เขานั้นมีชื่ออยู่นี่แสดงว่าเขาเองก็เป็นนักกีฬาตัวจริงไปแล้ว แถมยังผ่านรอบคัดเลือกแล้วนะ”
“บ้าไปแล้ว ต่อให้เป็นรอบคัดเลือกแต่การผ่านรอบคัดเลือกในการแข่งมากมายขนาดนี้มันก็มากเกินไปแล้ว”
“นี่ยิ่งทำให้ฉันเดาไม่ถูกจริงๆว่าเขาจะได้กี่เหรียญกันแน่”
“ฉันว่าอย่างน้อยๆเขาก็น่าจะได้จากมวยและคาราเต้นะ ต่อให้กฎของมวยและคาราเต้จะค่อนข้างเข้มงวด แต่ซูจิ้งเองก็เก่งในด้านการต่อสู้ด้วยเหมือนกัน สองเหรียญนี้ไม่พลาดแน่ๆ สวยเหรียญอื่นนี่ยังพูดยากอยู่นะ คงต้องรอดูกันต่อไป”
การกระทำของซูจิ้งนั้นส่งผลให้เหล่าคนสนิทและมิตรสหายของเขานั้นอดที่จะถามไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เพราะการกระทำเหล่านี้นั้นขัดกับตัวตนของซูจิ้งเกินไป
หวังจ้าวเองนั้นสงสัยถึงขนาดที่จะต้องโทรหาซูจิ้งถึงสองรอบ “อาจิ้ง ตกลงว่านายไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่า ก่อนหน้านี้นายเองก็ได้ถามเฉิงหนานว่าทำยังไงถึงจะเด่นดังได้ ตอนนั้นฉันก็ว่านายแปลกแล้วนะ
ก็ก่อนหน้านี้นายพยายามไม่ทำตัวให้เด่นดังเลยนี่นา นอกซะจากว่านายจะถูกบังคับให้พัฒนาชีวิตของผู้คนและช่วยเหลือผู้คนใช่รึเปล่า บอกหน่อยเถอะว่าการที่นายทำตัวแบบนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“ลูกพี่จ้าวก็พูดเกินไป ฉันเองก็พึ่งจะนึกได้เฉยๆน่ะว่าชีวิตของคนเรานั้นหากทำอะไรได้ก็ควรทำให้สุดก็เท่านั้นเอง
และในเมื่อพวกเราทำให้ดีที่สุดได้แล้วในขณะที่เรานั้นยังหนุ่มแน่นล่ะก็ ต่อให้เราลาลับไปแต่ทิ้งชื่อไว้มันจะไม่สุดยอดกว่าไม่ใช่เหรอ”
ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม แน่นอนว่าเขานั้นไม่มีทางเลยสักนิดที่จะพูดความจริงออกไปได้เพราะบอกไปก็ทำให้หวังจ้าวกังวลไปอย่างเปล่าประโยชน์
เมื่ออยู่เบื้องหน้าร่างเงาดำนั่นแล้วนั้น อย่าว่าแต่หวังจ้าวเลย แต่ให้คนทั้งโลกก็ช่วยเขาไม่ได้
“…..ก็ได้ แต่นายต้องไม่ลืมนะว่าสิ่งที่นายทิ้งไว้นั้นไม่ใช่อะไรที่ผู้คนจะหลงลืมได้ สิ่งที่นายจะทำนั้นเรียกได้ว่าเป็นการรีเซ็ตโลกใบนี้ใหม่อีกครั้ง
ว่าแต่…..นายแน่ใจนะว่านายลงแข่งวิ่ง กระโดดไกล กระโดดสูง และกีฬาอื่นที่ไม่ใช่การต่อสู้ได้น่ะ” หวังจ้าวถามออกมาอย่างห่วงใย
“แหม่…พูดมาอย่างนี้นี่รอดูเลยดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ดี งั้นฉันจะไม่พูดเรื่องนี้อีก แล้วฉันจะคอยดุแล้วกันว่านายนั้นสุดท้ายแล้วจะสง่างามแค่ไหน….หรือนายทำแบบนี้เพื่อกลุ่มทุนฯของพวกเรา….เหรอ” หวังจ้าวอดไม่ได้ที่จะถามออกมาอีกครั้ง
“ฮ่าฮ่าฮ่า นายและเฉิงหนานเองก็จัดการเรื่องในบริษัทได้ดีอยู่แล้วนี่นา อันไหนที่ต้องยกถึงเวลามันก็ยกระดับได้เองแหล่ะ อย่าไปกลัวว่ากลุ่มทุนฯของพวกเราจะยกรวดเร็วเกินไปก็พอ”ซูจิ้งพุดออกมา
หลังจากวางสายไป ซูจิ้งก็ได้กลับไปในสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศอีกครั้งเพื่อจัดการขยะฯต่อไป
ในช่วงหลายวันนี้ นอกจากซูจิ้งยังสร้างชื่อเสียงอย่างสุดยอดที่สุดในทุกก้าวที่เดินไปจนทำให้ได้รับแรงศรัทธามามากมาย
ถึงจะยุ่งวุ่นวายขนาดนั้น เขาก็ยังไม่ลืมที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯของเขา โดยเฉพาะกับขยะห้วงเวลาฯนิจนิรันดรแบบนี้ อย่างไรก็ตาม เขาในตอนนี้ก็ยังไม่เจอหนทางอื่นที่จะใช้ต่อกรกับร่างเงาดำนั่นได้
หลังจากที่จัดการขยะฯไปอีกพักใหญ่ ก็ได้มีสายแปลกๆโทรเข้ามาหาซูจิ้ง ซูจิ้งได้ตัดสายไปอย่างไม่คิดอะไรมาก แต่หลังจากตัดสายไปพักหนึ่ง เขาก็ได้รับข้อความมาจากเบอร์ที่เขาพึ่งจะตัดสายไปเมื่อครู่นี้
“สวัสดีครับคุณซู ผมเป็นนักแกะสลักคนหนึ่ง ผมเคยมีเรื่องกับคุณเว่ยเสี่ยวหยวนเพราะว่าเรื่องเข้าใจผิดกัน แถมมาตอนหลังนั้นหัวหน้าของผมนั้นทำตัวไม่กลัวเสือ จนไปรับเงินมาจากซงจุนฮ่าวและส่งคนไปจับตัวคุณ
เมื่อผมรู้เรื่องนี้ผมกลัวจนไม่กล้าจะไปเสนอให้คุณเห็นอีกถ้าไม่มีเรื่องจำเป็นจริงๆ ผมพึ่งจะได้ข่าวสำคัญมาและคิดว่าควรจะต้องบอกคุณเอาไว้”
เมื่อได้อ่านข้อความ ซูจิ้งได้คิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะนึกออกว่าชายคนนี้น่าจะเป็นใคร ชายคนนี้เขาเองก็ไม่รู้ชื่อเหมือนกัน
แต่เขาจำได้คร่าวๆว่าเขาเป็นชายวัยกลางคนเท่านั้น และพอจะจำได้ว่าครั้งหนึ่ง เขาเองได้ช่วยเว่ยเสี่ยวหยวนด้วยการเขียนอักษรกระบี่จนทำให้ชายคนนี้เกรงกลัวจนยอมแพ้แต่โดยดี
ภายหลังไม่นานนักกลุ่มของหมอนี่เองไปรับค่าจ้างจากซงจุนฮ่าวและพยายามจะจับตัวเขาไป นี่ทำให้เขานั้นได้พบชายคนนี้อีกครั้ง
ซูจิ้งเลยได้กวาดล้างกลุ่มของคนผู้นี้จนน่าจะกลายเป็นเงาในใจไปแล้ว
ในครั้งนี้ซูจิ้งไม่คิดว่าชายคนนี้จะกล้ามีปัญหากับเขาอีก เมื่อชายคนนี้โทรมาอีกครั้ง เขาจึงได้รับสายและถามออกไปว่า
“ข่าวอะไร ขอสั้นๆ”
“คุณยังจำซงจุนฮ่าวได้รึเปล่าครับ” นักแกะสลักถามออกมา
“จำได้” ซูจิ้งตอบกลับไป จะไม่ให้เขานั้นจำไม่ได้ได้ยังไงกัน หวังหยานที่ทิ้งเขาไปนั้นเกือบจะไปแต่งงานกับหมอนั่น และเพราะหมอนั่นทำให้ผู้นำตระกูลในตอนนั้นมีปัญหาบาดหมางกับเขาอย่างฝังลึก
จนท้ายที่สุด ซงจุนฮ่าวนั้นส่งคนมาลักพาตัวเขาเพื่อจะหั่นแขนหั่นขาให้พิการ เขาเลยจัดหนักจนหมอนี่โดยการโจมตีจิตสำนึกของหมอนั่นอย่างหนัก และโยนเข้าไปไว้ในคุกของผู้ป่วยทางจิตไป
เมื่อได้ยินแบบนี้ ซูจิ้งก็รู้สึกประหลาดใจเหมือนกันไม่ได้ว่าชายคนนี้จะพูดถึงเรื่องนี้ทำไมอีก เขาจึงได้ถามออกมาว่า “แล้วนายจะรื้อฟื้นเพื่อ?”
“ผมได้ข่าวมาว่าหมอนั่นออกมาแล้วและคิดที่จะทำร้ายคุณ ผมเลยต้องการที่จะเตือนคุณเอาไว้” ช่างแกะสลักพูดออกมา
“ออกมาจากห้องขังเหรอ เชื่อได้ใช่รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมาพร้อมคิ้วแน่น
“เชื่อได้อย่างที่สุดครับ” ช่างแกะสลักพูดยืนยันด้วยน้ำเสียหนักแน่น
“ขอบคุณมาก ถ้าฉันยืนยันแล้วว่านี่เป็นเรื่องจริงล่ะก็ ฉันต้องตอบแทนนายแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมา
“ไม่ต้องหรอกครับ ผมเองก็ทำเรื่องเลวร้ายมาก็มาก ในตอนนี้ผมนั้นรู้สึกสำนักผิดกับเรื่องราวเหล่านั้น สิ่งใดที่ผมพอจะทำดีตอบแทนได้พบก็ทำเท่านั้นเอง” ช่างแกะสลักพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสำนึกผิด
“จงรักษาความดีนี้เอาไว้แล้วความดีนั้นจะตอบแทนนายอย่างแน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาก่อนที่จะวางสายไป เขาได้ให้ซูฉือเช็คข้อมูลเรื่องนี้ในทันที และผลก็คือว่านี่เป็นเรื่องจริง ซงจุนฮ่าวออกมาจากคุกแล้ว
ในตอนแรกนั้น ซูจิ้งไม่เห็นเรื่องราวของซงจุนฮ่าวอยู่ในสายตา เพราะยังไงซะหมอนี่ก็กลายเป็นนักโทษผู้ป่วยทางจิตไปเรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่าเพราะเหตุนี้เขาเลยคิดจะไม่สนใจ ถึงแม้ว่ายังมีข้อสงสัยอยู่ว่าขนาดหมอนี่โดนเขาโจมตีจิตสำนึกไปหนักขนาดนั้นแล้วยังแหกคุกออกมาได้ยังไงกัน
อย่างไรก็ตาม ซูตินั้นได้พบข้อมูลภายในบอกไว้ว่าเป็นไปได้ว่ามีคนช่วยซงจุนฮ่าวออกไปไม่ใช่การแหกคุกด้วยตัวเอง แต่เป็นการปล้นคุกชิงตัวนักโทษ
เมื่อได้ยินแบบนี้แล้วซูจิ้งยิ่งงงหนักเข้าไปใหญ่ ใครกันที่ยอมลำบากลำบนไปช่วยนักโทษผู้ป่วยทางจิตแบบนี้กันแน่ ตระกูลซงเหรอ หากพวกนั้นอยากช่วยน่าจะช่วยออกไปนานแล้วไม่ใช่รึไง ทำไมถึงพึ่งจะมาช่วยในตอนนี้
ซูจิ้งรู้สึกว่าเรื่องนี้มีอะไรแปลกๆและอาจมีลับลมคมในก็เป็นได้ เขาจึงได้ให้ซูฉือและหลัวฉิหลินทำการสืบสวนเรื่องนี้
ยังไม่ถึงวันดี ซูจิ้งก็ได้ข่าวมาอีกว่า โอฉิงสง วูจู่ ซิวจิ้ง และคนอื่นๆได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และทุกคนที่หายไปนี้ล้วนแล้วแต่มีปัญหากับซูจิ้งทั้งหมดทั้งสิ้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น