Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1133-1135

 GGS:บทที่ 1133 ตัวตนแห่งโลก


หลังจากชั่วเวลาหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บทางวิญญาณที่เงาดำจนหายได้สมบูรณ์

หลังจากนั้นซูจิ้งได้โทรไปหาเว่ยเสี่ยวหยวน ซูฉือ เฉิงหนาน และคนอื่นๆเพื่อจะขอความเห็นและหาสถานที่ที่จะทำให้เขานั้นเด่นสะดุดตาที่สุดในโลกหล้าถ้าเขาได้ทำการแสดงออกไป


เมื่อได้ยินแบบนี้แล้ว ทุกคน อดไม่ได้ที่จะแสงท่าทีอึ้งๆออกมาพลางนึกถามอยู่ในใจว่าแค่นี้ซูจิ้งยังเด่นไม่พออีกรึไงกัน ทำหมอนี่ถึงกลายเป็นพวกชอบเด่นชอบดังแบบนี้ได้เนี่ย


แต่ที่พวกเขาไม่รู้นั่นก็คือ ซูจิ้งสุดจะรังเกียจและไม่อยากจะเด่นดังเลยสักนิด แต่ถ้าเขายังคงทำตัวไม่โดดเด่นล่ะก็ ไม่มีทางเลยที่เขานั้นจะพัฒนาจิตวิญญาณตัวเองไปได้ เฮ้ออออ

นอกจากนี้ ซูจิ้ง ยังได้ให้เฉิงหนานตั้งกองทุนขึ้นมาโดยจะใช้เป็นช่องทางในการบริจาคเงินไปยังเหล่าผู้ยากไร้และสร้งโรงเรียนในพื้นที่ธุรกันดาร

โดยความหวังที่ว่าจะทำให้ผู้คนศรัทธาเขามากขึ้นและจะเป็นช่องทางหลักในการทำให้เขาได้รับแรงศรัทธาตอบแทนมา


การก่อตั้งกองทุนในรูปแบบมูลนิธินี้เรียกได้ว่าเป็นช่องทางที่ดีที่สุดในการเรียกแรงศรัทธาจากผู้คนให้เขาเลยก็ว่าได้

ถึงแม้ว่าในคราวนี้มันจะดูเป็นการตอบสนองความต้องการของเขาเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งก็ตาม แต่ในความจริงนั้น หากเขาไม่ทำ โลกนี้ก็จะไม่ปลอดภัย หากไม่เป็นเช่นนี้แน่นอนว่าเขาคงไม่ทำแม้แต่น้อย

ในตอนนี้ จำนวนเงินที่เขาได้รับมานั้นจะช่วยเขากรุยทางเพื่อเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของขยะห้วงเวลาโดยการใช้ที่ได้สร้างแรงศรัทธา และนี่ จะทำให้อัตราการเพิ่มของค่าใช้ประโยชน์กลับมาสมดุลอีกครั้ง


หลังจากที่ซูจิ้งอธิบายสิ่งต่างๆที่ทุกคนต้องทำออกไปแล้ว ซูจิ้งได้ไปยังชั้นแรก เขามีความตั้งใจจนกว่าเขาจะมีที่ที่จัดแสดง

เขาจะต้องรู้ให้ได้ว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากที่ไหนกันแน่ เพื่อที่จะได้รู้ว่าเจ้าเงาดำนั่นคือตัวอะไรกัน อย่างที่เขาว่ากันว่ารู้เขารู้เราชัยชนะอยู่แค่เอื้อม

ใครจะไปรู้ เขาอาจจะรู้จุดอ่อนหรือไม่ก็หาวิธีที่ดีกว่านี้ในการจัดการมันก็ได้

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังมีเรื่องคาใจอยู่ เขาตรงเข้าไปยังสถานีกำจัดขยะฯห้วงเวลา สิ่งที่ยังคาใจเขาอยู่ก็คือเงาดำนั่นทำไมถึงสามารถออกไปจากที่นี่ได้ทั้งๆที่กางกำแพงมิติไว้แล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามฉิงหยุนออกมาเป็นอย่างแรก


ฉิงหยุนตอบกลับออกมาว่า “แน่นอนว่าตัวฉันนั้นคือเจ้านายของมิติแห่งนี้ และฉันเองก็ยังสามารถที่จะให้นายท่านเข้าหรือออกที่นี่ได้ตามใจปรารถนา แม้แต่แสงชำระล้างที่ท่านใช้ฉันเองก็ยังปล่อยให้มันออกไปได้หากท่านต้องการ แต่ก็ต้องแลกกับการใช้ปฏิสสารเล็กน้อยด้วยเหมือนกัน”

“ต้องใช้เท่าไหร่กัน” ซูจิ้งถามออกมา

“แค่เล็กน้อยค่ะ เพียงแค่0.1กรัมต่อปี” ฉิงหยุนตอบออกมา

0.1กรัมต่อปีถึงแม้จะดูมากไปหน่อย แต่เมื่อเทียบกับปริมาณของเงินที่ซูจิ้งทำได้และนำไปใช้ผลิตปฏิสสารแล้วไม่ได้มากมายอะไรเลย

ซูจิ้งจึงให้ฉิงหยุนเพิ่มหน้าที่โดยการควบคุมให้กำแพงมิติปิดกั้นต่อทุกอย่างยกเว้นแสงศักดิ์สิทธิ์


ซูจิ้งได้กลับเข้าไปที่ลานทิ้งขยะห้วงเวลาฯ ในตอนนี้เขาไม่ได้สนใจทะเลกองกระดูก ตะขาบยักษ์ หรือต้นไม้ยักษ์แม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่เขาสนในตอนนี้ก็คือโลงของเงาดำนั่น

เมื่อซูจิ้งไปถึงโลงดำนั่นก็ได้เข้าทำการตรวจสอบทันที โลงนี้มีสีดำทมิฬและกลิ่นอายที่ชวนหลอกหลอน เพียงแค่จ้องมองก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของปีศาจในทันที


แน่นอนว่าโลงศพนี้ย่อมไม่ธรรมดา แต่ในเมื่ออยู่ภายใต้แสงแห่งการชำระล้างทำให้ไอปีศาจนี้ไม่ได้แผ่ออกมา

“พอคิดมาว่าตัวฉันนั้นไม่ได้ต้องการไอ้ของแบบนี้ก็จริง อืมมม….. แต่ฉันก็พอมีของที่พอเหมาะพอเจาะอยู่ล่ะนะ” ซูจิ้งคิดด้วยหัวใจที่เต้นแรงก่อนที่จะให้ฉิงหยุนย้ายโลงศพนี้ไปยังพื้นที่ทั่วไปเพื่อไม่ให้ไอมารแผ่ออกมาและเขาก็ได้นำธงหลอนจิตออกมา

ด้วยการที่เจ้าหน้าผีที่อยู่ในธงหลอนจิตนั้นก็เป็นปีศาจชนิดหนึ่งและโลงนี่เองก็ผลิตไอมารออกมาด้วยเช่นเดียวกัน นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นอีกสิ่งที่พอเหมาะพอเจาะ

ภายในโลงนั้น ซูจิ้งได้เห็นเจ้าหน้าผีค่อยๆโผล่ออกมา ในทันทีที่มันเห็นโลงนี่พร้อมกับไอมารที่แผ่อยู่ภายในนั้น เป็นอย่างที่ซูจิ้งคาดไว้ มันแสดงท่าทางดีใจออกมาก่อนที่จะพุ่งเข้าไปในโลงพร้อมทั้งปิดฝาโลงในทันที

ซูจิ้งที่เห็นท่าทีของเจ้าหน้าผีก็ไม่ได้มีท่าทีห้ามปรามแต่อย่างใด เจ้าหน้าผีของซูจิ้งนี้โดนซูจิ้งควบคุมสมบูรณ์เรียบร้อยไปแล้ว

และเอาจริงๆท่าหากเขาจะใช้เจ้านี่มันย่อมมีประโยชน์ดีกว่าสิ่งใด แน่นอนว่าการที่มันแข็งแกร่งขึ้นย่อมดีกว่าอย่างแน่นอน โดยเฉพาะหากว่ามันแข็งแกร่งจนพอจะใช้สู้ได้ล่ะก็ยิ่งดี


หลังจากเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะฯกองกระดาษ เสี่ยวไป๋กำลังซ่อมแซมกระดาษกองนี้อยู่ และเกือบทั้งหมดได้รับการซ่อมแซมแล้ว

ซูจิ้งไม่ได้เข้าไปกวนเสี่ยวไป๋แต่อย่างใด เขาวางแผนว่าจะรอให้เสี่ยวไป๋ซ่อมเสร็จทั้งหมดก่อนแล้วค่อยดูทีเดียว ในตอนนี้เขาเลือกที่จะจัดการขยะฯกองอื่นก่อนแล้วเลือกของที่เขาสนใจออกมา

ในของทั้งหมดนั้น เขาได้พบกับกระดองหนึ่งที่แตกหัก มันเต็มไปด้วยลวดลายแปลกๆราวกับหยกก้อนหนึ่ง ยิ่งดูก็ยิ่งไม่ธรรมดา

ส่วนกองกระดูกเหล่านั้น ซูจิ้งเองแน่นอนว่าย่อมสนใจ กระดูกส่วนใหญ่นั้นล้วนแล้วแต่แตกหักและไม่มีชิ้นดี แต่เพียงแค่ดูเศษชิ้นส่วนเหล่านี้ก็พอเพียงที่จะรู้ได้เลยว่าตอนที่สิ่งเหล่านี้มีชีวิตอยู่นั้นตัวใหญ่มากมายเพียงใด

ยกตัวอย่างเช่นหัวกระโหลกหนึ่งที่มีความสูงราวตึกหนึ่งชั้น ฟันที่มีขนาดไม่ต่ำกว่าหนึ่งเมตร แม้แต่กระดูกท่อนหางที่ยาวหลายเมตรจนยากจะขาดเดาเพราะส่วนหนึ่งจมฝังลงไปในกองกระดูก สิ่งเหล่านี้ยามมีชีวิตอยู่ล้วนแล้วแต่เป็นสัต์ประหลาดอย่างแท้จริง


ซูจิ้งเองที่ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัยจนเขาอดทนรอไม่ได้อีกต่อไป เขาให้เสี่ยวไป๋เข้าซ่อมแซมของที่เขาต้องการ เปลือกที่มีลวดลายแปลกประหลาดกลับกลายไข่ฟองยักษ์ แน่นอนว่าภายในของมันนั้นกลวงโบ๋

ส่วนกระดูกของสัตว์ยักษ์นั่นเมื่อคืนสภาพเดิมแล้วมันช่างใหญ่ยักษ์ราวกับไดโนเสาร์ แต่มันก็ไม่ได้เหมือนกับไดโนเสาร์ที่เขารู้จัก มันช่างดูพิลึกพิลั่นและทรงพลัง ต่อให้คนธรรมดามาเห็นล่ะก็แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้แต่แรกเห็น


“…..พระเจ้า…..ไม่ใช่ว่าโครงกระดูกนี่คือกระดูกของมังกรหรอกนะ….แล้ว….ก้อนไข่หยกนั่นคงไม่ใช่

….ไข่มังกร…เหรอ” ซูจิ้งคิดถึงความเป็นไปได้นี้มาพร้อมปากที่อ้ากว้าง

ในตอนนี้ซูจิ้งได้ตรงไปยังขยะฯกองกระดาษเพื่อดูเอกสารที่เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมในทันที เขาเริ่มอ่านกระดาษเหล่านั้นและได้ข้อมูลมาพอสมควร เขาได้ทำการจัดการข้อมูลเหล่านั้นในจิตใต้สำนึกในทันที

อิกดาซิส ชิชาง ยู่คง นิพพาน ชางเชิง หลงเต๋า ประตูแห่งความไม่ตาย ตระกูลตู่กู้ มหาวิทยาลัยเป่ยโต๋ว สำนักไป๋ลู่ สำนักโตวเชิน สำนักผีดิบ สำนักลี่เชิน ตระกูลผู้ใช้ซากศพ สำนักหยวนหลิง เกาะแห่งความว่างเปล่า วังนกเพลิง วังปีศาจ

ซูจิ้งได้ทำการเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้ด้วยวิถีแห่งใต้หล้าในทันที สมองของเขาแล่นอย่างรวดเร็วและจัดเรียงข้อมูลทั้งหมดอย่างรวดเร็ว


และชั่วขณะหนึ่ง ซูจิ้งก็ได้คำตอบและพูดออกมาอย่างตื่นเต้นว่า “ขยะฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันด์อย่างงั้นเหรอ ถ้างั้นเงาดำนำสมควรจะเป็นปีศาจอย่างแน่นอน….ผู้ไม่มีวันตายงั้นเหรอเนี่ย”

ในห้วงเวลาฯนิจนิรันด์นั้นถูกสร้างสรรค์ขึ้นโดยเกาหวูฮ่าว โลกแห่งนั้นเต็มไปด้วยเผ่าพันธุ์นับร้อยเผ่า มีสงครามเกิดขึ้นมาตั้งแต่ช่วงโบราณกาลระหว่างแต่ละเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งประดุจดั่งเทพเจ้า คนเถื่อนที่ทรงพลัง และสัตว์แห่งโลกเซียนที่อยู่กันเป็นเผ่าพันธุ์ ผู้คนที่งดงามและทรงพลังประดุจดั่งพระเจ้า

เป็นดินแดนที่มีเรื่องราวในตำนานของโลกที่ซูจิ้งอยู่โลดแล่นไปดั่งเรื่องปกติ

ซุยเร็น อาศัยอยู่ในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ โยวเชาสร้างรังอยู่บนท้องฟ้า ฟูไซหลอมเหล็กนับล้านพันจนกลายเป็นภูเขาทองแดง ณ ขั้วโลกตะวันตก ทะเลจีนใต้เต็มไปด้วยนักบวชผู้สูญเสียแรงศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า

เสี่ยวเชินที่เป็นตัวเอกของเรื่องได้ถูกนำไปยังโลกของเหล่าผู้ไม่ตายด้วยเหตุบังเอิญ ตั้งแต่เริ่ม เขานั้นอยู่ในหลงเต๋า เกาะต้องห้ามที่มีมังกรเดินเล่นไปมาอยู่ทั่วไปหมด


ในเมื่อขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันด์ล่ะก็ ไม่แปลกใจเลยที่ขยะห้วงเวลาฯกองนี้จะมีของอย่างมังกร ไข่มังกร ต้นไม้ใหญ่ยักษ์ ตะขาบยักษ์ วิญญาณร้าย และของในตำนานอย่างอื่น

ส่วนเงาดำนั่นสมควรเป็นวิญญาณของเหล่าผู้ไม่ตาย ด้วยการที่ได้เห็นสิ่งน่าเหลือเชื่อปรากฎอยู่ตรงหน้าแบบนี้ทำให้ซูจิ้งนั้นยากจะนึกออกจริงๆว่าการมีชีวิตอยู่ที่นั่นจะยากเย็นเพียงใด

ในตอนนี้หน้าตาของซูจิ้งไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อเทียบกับซูจิ้งแล้ว เงาดำนั่นทรงพลังเกินไป อย่างไรก็ตาม ขยะฯกองนี้น่าจะพอมีอะไรที่พอจะเล่นงานเงาดำนั่นได้อยู่บ้าง ในตอนนี้เขาไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯถึงไม่สามารถกักขังเงาดำนั้นได้

ยิ่งไปกว่านี้คือเงาดำนั่นได้บอกว่าอยู่ในระหว่างการฟื้นฟู หากว่ามันสามารถรักษาตัวเองได้สำเร็จล่ะก็ไม่รู้เลยว่ามันจะกลับมาทรงพลังแค่ไหน


GGS:บทที่ 1134 บทเพลงแห่งธรรมะ


หลังจากรู้แล้วว่าขยะห้วงเวลาฯกองนี้มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันด์ ซูจิ้งได้เข้าใจในทันทีว่าวิกฤตในครั้งนี้อันตรายเกินกว่าที่ผ่านมามากจนไม่รู้จะมากเท่าไหร่

หากพูดถึงวิธีการบ่มเพาะของห้วงเวลาฯนิจนิรันด์แล้วนั้นการฟื้นฟูของเจ้าเงาดำนั่นสมควรจะฟื้นฟูตัวเองได้เพียงแค่รอเวลาให้ผ่านไปเท่านั้น เมื่อเจ้านั่นฟื้นฟูสมบูรณ์แน่นอนว่าเหตุการณ์จะยิ่งเลวร้ายกว่านี้แบบสุดๆ

แต่ตอนนี้ต่อให้เขากังวลไปก็เท่านั้นแถมถ้ามัวแต่กังวลอาจคิดอ่านอะไรพลาดเอาได้ ยังไงเขาก็ยังคิดที่จะดำเนินการในเรื่องนี้ตามแผนเดิม


โดยตอนนี้เขาต้องมุ่งไปที่สองอย่าง หนึ่งดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์และยกระดับเหรียญตราเทวฑูต

อีกหนึ่งคือหาวิธีอื่นในการต่อกรกับเงาดำนั่นให้ได้ก่อนที่เว่ยส่วนหยวนจะส่งสถานที่ที่เหมาะสมกับการแสดงของเขา เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงได้จัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ


เพราะเขายังมีความหวังว่าจะพบเจอหนทางที่ช่วยเพิ่มแรงศรัทธาและความเคารพ ไม่ก็อาจจะเจออะไรดีๆที่ทำให้เขาต่อกรกับเหล่าผู้ไม่ตายก็ได้ ส่วนเรื่องที่เหลือก็คงจะเป็นอยากรู้จริงๆว่าจะได้อะไรดีๆในขยะกองนี้บ้าง


ซูจิ้งยังคงอ่านกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมเสร็จต่อไปด้วยความคาดหวังที่ว่าจะได้อะไรดีๆเพิ่มเติม เพราะใจตอนนี้เขารู้แล้วว่าขยะฯกองนี้มาจากไหน และข้อมูลเหล่านั้นก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้แล้ว

เขาได้ทำการอ่านกระดาษที่เสี่ยวไป๋ซ่อมไว้อย่างรวดเร็ว หลังจากอ่านไปสักพัก อยู่ๆเขาก็ได้สะดุดการอ่านไปเฉยๆ นั่นก็เพราะเขาเหลือบไปเห็นเศษหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่มีปก ในหน้าที่เขาเห็นเนื้อหานั้นเขียนไว้ด้วยตัวอักษรที่แปลกตาแต่พอจะอ่านตรงหัวหน้าได้ว่า “สำเนียงแห่งนิจนิรันด์”

เมื่อซูจิ้งลองตั้งใจอ่านดูก็พบตัวอักษรที่เขียนไหวว่า นันวูนารา, มาฮา, โบโด, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, สามา, ธรรมา, ธรรมา, ธรรมา, ธรรมา, ธรรมา, ธรรมา, ธรรมา, สามา, สามา, สามา, สามา

ซูจิ้งแทบจะกระอักเลือดออกมาในทันทีที่อ่านเพราะปรับสภาพไม่ทัน ตัวเขานั้นก็ว่าอ่านตำราทางศาสนาพุทธมาก็เยอะ แม้แต่บทสวดทางพระพุทธศาสนาไม่น้อยแต่ก็ยังพบกับความยากลำบากขนาดนี้

แต่นี่ก็ไม่ได้ทำให้เขาแปลกใจอะไรนัก นั่นก็เพราะตำราพุทธนี้มาจากห้วงเวลาฯนิจนิรันด์ ห้วงเวลาฯนั้นมีศาสนาพุทธโดยมีราชาแห่งทิเบตเป็นอัครสาวก นอกจากนั้นยังมีพระพุทธเจ้ามากมายหลากหลายพระองค์สถิตอยู่


สถานะทางศาสนาพุทธของที่นั่นเรียกได้ว่าสูงสุดหยั่งเพราะศาสนาพุทธที่นั่นนั้นเป็นหนทางแห่งนิจนิรันด์หนทางหนึ่ง มีแม้กระทั่งเครื่องรางของขลังที่ทรงพลังจนเป็นที่เรื่องลือ

เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่าที่นั่นนั้นเต็มไปผู้คนที่ศรัทธาในศาสนาพุทธอย่างหมดใจ มีแม้กระทั่งตำราทางพุทธศาสนาที่ล้ำลึกจนแม้แต่ตำราศาสนาพุทธที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯยังห่างไกลนัก ไม่ต้องพูดถึงตำราพุทธบนโลกนี้เลย

“ลองอีกที” ซูจิ้งพูดจบจึงได้เปล่งเสียงตามบทสวดที่อยู่ตรงหน้า แต่แทบจะในทันทีเขาก็พบว่ามันยากมากที่จะเปล่งเสียงตามบทสวดนี้ได้


คำแต่ละคำนั้นแค่จะอ่านก็ยังยากเลย แทบไม่ต้องพูดถึงการเปล่งเสียงออกมา ต่อให้เขาสามารถเปล่งเสียงออกมาได้ต่อกันคำสองคำก็แทบจะกัดลิ้นในทันที ที่สำคัญที่สุดคือบทสวดนี้สูบพลังงานของร่างกายและจิตใจอย่างแรงกล้า

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ซูจิ้งพยายามเปล่งเสียงอยู่อีกสักพัก เขาก็รู้สึกได้ถึงร่องรอยแห่งความสงบ ความรู้สึกนี้ไม่ใช่เพียงเพราะซูจิ้งพอจะเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งพุทธอยู่ก่อนแล้ว แต่เป็นเพราะบทสวดพุทธเหล่านี้ไม่ใช่ธรรมดา


“น่าสนใจ” หัวใจของซูจิ้งสั่นไหวในทันทีและยังคงพยายามอย่างหนักที่จะเอ่ยบทสวดเหล่านี้ออกมา หลังจากผ่านไปเกือบสองชั่วโมง ในที่สุดเขาก็สามารถเอ่ยบรรทัดแรกของ สำเนียงแห่งนิจนิรันด์ หลังจากความพยายามอยู่นานในที่สุดเขาก็เอ่ยคำเหล่านั้นได้หมดสิ้น ขณะเดียวกัน ในจิตสำนึกของซูจิ้งก็ได้ปรากฎท่วงทำนองที่ทำให้ความรู้สึกไพเราะ และเสียงที่เพราะพริ้งขึ้นมา

“นี่ สมควรเป็นบทเพลงแห่งพุทธ….น่าจะปรับใช้กับกู่จิ้งได้อยู่นะ หากว่าฉันเพิ่มพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าไปด้วยพร้อมทั้งใช้เม็ดพระธาตุที่ได้มาจากห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่านั่นล่ะก็ แทบจะนึกไม่ออกเลยจริงๆว่าบทเพลงนี้จะทรงพลังแค่ไหนกัน”

หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุด ซูจิ้งก็สามารถผสมผสานทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาตั้งใจจะใช้ได้อย่างสมบูรณ์ บทเพลงแฝงเอาไว้ด้วยสำเนียงแห่งความสงบอย่างสมบูรณ์แบบ และนี่เองก็ทำให้สัมผัสของเขาที่มีต่อความสงบยกระดับขึ้นแล้ว และด้วยเม็ดพระธาตุยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลลัพท์ว่าจะทรงพลังแค่ไหน


ด้วยการที่บทเพลงนี้ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด ซูจิ้งจึงทดลองเล่นเพลงนี้ให้สัตว์เลี้ยงของเขาฟัง ตามมาด้วยคนในหมู่บ้าน ผลที่ออกมานั้นช่างน่ามหัศจรรย์ ทุกสิ่งมีชีวิตที่ได้ฟังนั้นราวกับเป็นผู้ตื่นรู้ แม้แต่วิดีโอที่ซูจิ้งได้ลองอัดและส่งให้จูเจียนฮัวก็ยังได้ผล ถึงแม้ผลจะด้อยลงแต่ก็ยังได้ผลมากอยู่ดี

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าหากว่าได้ฟังบทเพลงนี้ต่อหน้าซูจิ้ง คนเหล่านั้นจะได้รับผลจากเม็ดพระธาตุทำให้ซึมซับความสงบที่แฝงอยู่ในบทเพลงนี้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตาม เป็นไปได้เลยที่จะส่งผ่านผลจากพระธาตุนี้ผ่านวิดีโอ ต่อให้เป็นการสตรีมก็ตามก็ยังไม่สามารถทำได้ นี่จึงทำให้เหล่าผู้คนที่ไม่ได้สนใจในด้านนี้ยากที่จะซึมซับความสงบได้เหมือนกัน


“ฉิงหยุน ถ้าฉันใช้ความสงบแห่งพุทธเพื่อทำให้ผู้คนเลื่อมใสศรัทธาแบบนี้มันถือว่าไม่ใช่การสะกดจิตหรือส่งผลลดอัตราการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์ใช่รึเปล่า” ซูจิ้งถามออกมา

“ไม่นับค่ะ” ฉิงหยุนตอบออกมา

“เยี่ยม” ในตอนนี้สิ่งซูจิ้งกำลังอยู่นั้นก็คือทำยังไงเขาถึงจะแพร่กระจายบทเพลงนี้ออกไปให้ได้รับความนิยม ที่ผ่านมานั้นเขาได้ใช้ตำราทางพุทธและพระพุทธรูปมากมายที่เขาได้รับมาจากห้วงเวลาฯเทพตะวันตกในการสร้างค่าการใช้ประโยชน์มามากมาย รวมถึงยกระดับจิตวิญญาณของตัวเอง

ด้วยบทเพลงแห่งพุทธนี้แน่นอนว่าย่อมจะสร้างค่าการใช้ประโยชน์มากมายอย่างไม่ต้องสงสัย รวมถึงพลังงานศักดิ์สิทธิ์ที่เขาจะได้รับมากมายอย่างแน่นอน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่เขานั้นต้องการมากที่สุดในตอนนี้


ยิ่งไปกว่านั้น ซูจิ้ง ยังคิดต่างอีกมุมหนึ่ง เขาคิดว่าบทเพลงแห่งพุทธนี้ควรจะส่งผลต่อเหล่าผู้ไม่ตายอย่างแน่นอน หากว่าบทเพลงนี้ได้รับความนิยมไปทั่วโลกจริงล่ะก็ ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าเงาดำนั่นจะทนได้รีเปล่านะ

“เพียงบทเพลงเดียวคงไม่พอสินะ งั้นเรียนมันทั้งเล่มนี่แหล่ะ” ซูจิ้งคิดก่อนที่จะเริ่มเรียนรู้บทเพลงแห่งพุทธบทอื่น กว่าเขาจะเรียนรู้ได้หมดก็หมดเวลาไปเกือบค่อนวันเลยทีเดียว


“โอ้…. ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิดนี่มันน่าจะเป็นชุดนักบวชนี่นา” ตอนแรกที่เห็นขยะฯกองผ้า ซูจิ้ง

นั้นไม่ได้สนใจมากนัก แต่ในตอนนี้เขาเริ่มมีความคิดที่จะใช้ประโยชน์ด้วยการเอามาเป็นชุดล่ะ

ซูจิ้งได้ทำการคุ้ยขยะกองผ้าอยู่พักใหญ่ เขาพบชุดของนักบวชทั้งชุด ชุดนักบวชที่มีลวดลาย และในที่สุดเขาก็คุ้ยจนหมด

ในตอนนี้ซูจิ้งมีสีตาเป็นประกาย เขารู้สึกถูกใจชุดนักบวชที่มีลวดลายเป็นพิเศษ ชุดนี้สมควรจะเป็นชุดของผู้เชี่ยวชาญจากศาสนาพุทธ และเจ้าชุดนี้เองก็ได้แฝงเอาไว้ด้วยกลิ่นอายแห่งความสงบด้วยเหมือนกัน

ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมชุดนักบวชที่มีลวดลายนี้ เมื่อซ่อมเสร็จ เขาก็ได้นำมันไปซักและสวมมันลงบนร่างกาย แน่นอนว่าเขานั้นไม่ได้โกนหัวแต่อย่างใด ราวกับว่าเขาในตอนนี้เป็นนักบวชฝึกหัดเท่านั้น


ในตอนนี้เป็นเวลามืดแล้ว ประมาณสักสองทุ่มเห็นจะได้ ซูจิ้งได้ทำการโพสต์ข้อความลงบนไมโครบลอก ตามด้วยช่องสตรีมของเขา และเตรียมที่จะทำการสตรีม

เหตุผลที่เขาเลือกที่จะสตรีมนั้นเป็นเพราะวิธีการนี้เร็วที่สุด อย่างที่สอง ผู้บริหารของช่องชาร์คทีวีเป็นผู้ศรัทธาในตัวของเขา ทันทีที่เขาสตรีม หมอนั่นจะผลักช่องของเขาขึ้นเป็นช่องแรกที่เว็บไซต์นำเสนอ อย่างที่สาม เขาเคยใช้วิธีการนี้มาแล้ว แน่นอนว่าแฟนคลับของเขาย่อมให้ความสนใจ

แน่นอนว่าในตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นวิธีการไหนล้วนแล้วแต่ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขาในตอนนี้ก็คือทำให้ผู้คนศรัทธาในตัวเขา และด้วยบทเพลงแห่งพุทธนี้ ซูจิ้งเชื่อว่าความต้องการเหล่านั้นล้วนไม่ห่างไกล และอีกไม่นาน เขา ไม่จำเป็นต้องเล่นผ่านสตรีมอีกต่อไป


อย่างที่คาด ไมโครบลอกของซูจิ้งได้รับความสนใจอย่างรวดเร็ว

“ว้าวววว พี่จิ้งจะสตรีมอีกแล้ว”

“น่าประใจจริงๆ น่าประหลาดใจสุดๆ”

“ฉันไม่คิดว่าเขาจะสตรีมเร็วขนาดนี้เลยนะ”

“เป็นไปได้ยังไงกัน ไม่ใช่ว่าพี่จิ้งพึ่งจะจัดคอนเสริตขอบคุณแฟนคลับไปไม่ใช่เหรอ”

“ไม่รู้เหมือนกันแหะ อยากรู้จริงๆว่าคราวนี้พี่จิ้งจะทำอะไร เล่นกู่จิ้งเหรอ หรือจะเล่นเอ็กซตรีมอีก”

“ไม่ว่ายังไงก็เถอะ ตอนนี้พี่จิ้งสตรีมแล้วก็ไปดูกันดีกว่า”

“ไปไปไปไป”


แฟนคลับของซูจิ้งในเว่ยป๋อเองและแฟนคลับทุกคนที่รู่ข่าวต่างก็เข้าไปดูช่องสตรีมของซูจิ้งอย่างรวดเร็ว

แม้แต่คนที่ไม่ใช่แฟนคลับแต่รู้ข่าวก็รีบเข้าไปดูด้วยเช่นเดียวกัน แต่ในทันทีที่ทุกคนเห็นชุดของซูจิ้ง ทุกคนอดที่จะมึนงงในทันทีไม่ได้เหมือนกัน นี่มันอะไรกันเนี่ย


GGS:บทที่ 1135 ทราบซึ้งรสพระธรรม


หลังจากเห็นชุดของซูจิ้ง เหล่าผู้ชมในช่องสตรีมต่างก็งงเป็นไก่ตาแตก

“เอาจริงดิ ทำไมพี่จิ้งถึงใส่ชุดนักบวชล่ะ”

“ไม่ใช่ว่า….เขาจะสวดมนต์ให้เราฟังหรอกนะ”

“ไม่ใช่น่า ต่อให้พี่จิ้งนั้นรู้ลึกซึ้งในพุทธศาสนายังไงก็ตาม แต่กับเรื่องนี้เท่านั้นที่ฉันไม่สนใจ ฉันสนแค่เพลงกู่จิ้ง กีฬาเอกสตรีม ฝึกสัตว์ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ศาสนา….”

“เฮ้ ดูดีๆสิ พี่จิ้งเขาวางกู่จิ้งไว้ข้างหน้าอยู่นะ”

“เอ้อ ก็จริงแหะ นี่แสดงว่าพี่จิ้งน่าจะเล่นกู่จิ้งให้ฟัง…..แล้วทำไมเขาถึงใส่ชุดนักบวชล่ะ”

“อย่าพึ่งด่วนตัดสินใจไป ชุดนักบวชของพี่จิ้งดูมีลวดลายนะ ถึงเขาจะยังไม่ได้โกนหัว แต่มันก็ส่งเสริมให้เขาดูหล่อเท่ยังไงก็ไม่รู้ เอาจริงๆนี่ทำให้เขาดูเป็นนักบวชที่สง่างามกว่านักบวชทั่วไปซะอีก”


ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกอัศจรรย์ใจในทันที ขณะเดียวกันทุกคนต่างก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นซูจิ้งที่ดูราวกับนักบวชแห่งพุทธที่งามสง่าได้ยังไงก็ไม่รู้

ทั้งๆที่ซูจิ้งนั้นยังหนุ่มแน่น มีคู่หมั้นที่งดงาม พร้อมทักษะที่มากมาย แล้วคนอย่างนี้จะรู้ซึ้งในพุทธศาสนาได้อย่างไร

ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “ขอต้อนรับสู่ช่องสตรีมของฉัน พอดีวันนี้ฉันได้เข้าใจในพุทธและเปิดโลกทัศน์อีกนิดหน่อยนะ ก็เลยคิดที่จะแบ่งปันประสบการณ์นี้กับทุกคน ด้วยการที่ตอนนี้คนยังเข้ามาดูไม่มากนักฉันเลยว่าจะนั่งคุยกันไปก่อน เดี๋ยวพอคนดูถึงสักสามล้านคนฉันค่อยเริ่มก็แล้วกัน”


ผู้ชมทุกคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกอึ้งกันไปหมด เพียงแค่เข้าใจในศาสนามากขึ้นถึงกับต้องสตรีมเลยเหรอ แล้วนี่….เขาจะคุยอะไรกันล่ะ ศาสนางั้นเหรอ

ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะถามคำถามต่างๆออกมาไม่หยุด แต่ซูจิ้งเองก็ทำเพียงเลี่ยงตอบในสิ่งที่จะต้องโกหก และไม่ได้พูดคุยอะไรมากมายนัก

เพียงไม่นาน ผู้ชมในห้องสตรีมก็พุ่งสูงขึ้นกว่าสามล้านแล้ว ตอนนี้เอง ซูจิ้งได้วางมือหนึ่งลงบนกู่จิ้งจนทำให้เกิดเสียงหนึ่งขึ้นมา และเพียงเสียงหนึ่งนี้ทำให้ทุกคนต่างก็เงียบงันในทันที


พวกเขาแม้จะยังไม่รู้ว่าซูจิ้งต้องการอะไรก็ตาม แต่ด้วยท่วงทำนองต่างๆที่ซูจิ้งเล่นออกมานั้นได้ทำให้ทุกคนนิ่งเงียบราวกับกำลังจัดระเบียบความคิด แต่เพียงซูจิ้งได้เปิดปากร้องเพลงออกมาเท่านั้น ทุกคนต่างก็อ้าปากค้างกันในทันที

อย่างน้อยๆ ทุกคนนั้นเขาใจเป็นอย่างดีว่ากู่จิ้งและพุทธศาสนานั้นสามารถเชื่อมโยงกันได้ แต่ที่ทุกคนยังไม่เข้าใจก็คือการเล่นกู่จิ้งพร้อมทั้งท่องบทสวดไปด้วยนี่ใช้ได้ด้วยเหรอ

แต่ไม่ทันที่ทุกคนจะหายสนใจ เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงบทสวดที่ตอนนี้กลายเป็นบทเพลงของเพลงที่กู่จิ้งเล่นอยู่นี้ ทุกคนต่างก็รู้ได้ในทันทีว่าบทเพลงนี้ไม่ใช่ธรรมดาแม้แต่น้อย


มันให้ความรู้สึกราวกับเป็น บทสวดจักรวาลสิบทิศ เลยทีเดียวแต่มันแฝงเอาไว้ด้วยความลึกล้ำที่มากกว่านับพันเท่า

ในตอนแรกทุกคนนั้นต่างก็รู้สึกว่าพี่จิ้งของพวกเขาแค่เล่นกู่จิ้งอย่างเดียวก็ดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่าจะสวดมนต์ออกมาด้วยทำไมกัน

อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาได้ฟังดีๆแล้วก็พบว่าบทสวดมนต์นี้ช่างเข้ากับกู่จิ้งได้อย่างน่าประหลาด ต่อให้เป็นคนที่ไม่อยากที่จะฟังบทสวดก็อดไม่ได้ที่จะต้องรับฟัง และยิ่งฟังนานเท่าไหร่ ทุกคนก็รู้สึกดีขึ้นจนอยากจะฟังต่อ ยิ่งฟังยิ่งอยาก ยิ่งอยากก็ยิ่งฟัง เรียกได้ว่าทุกคนนั้นเคลิบเคลิ้มไปกับบทเพียงนี้อย่างสมบูรณ์และยากจะถอนตัวแล้ว


ณ วัดหลานเร่อ โจวฮงหยวนที่พึ่งจะเสร็จกิจประจำวันเขาจึงพึ่งจะได้เห็นข้อความจากไมโครบลอกของซูจิ้ง เขาได้ลองเข้าไปดูในห้องสตรีมของซูจิ้ง ความจริงนั้นเขาเองก็แค่อยากรู้เฉยๆว่าซูจิ้งนั้นจะทำอะไร แต่เมื่อได้ยินบทเพลงและคำร้องของซูจิ้งแล้ว สายตาของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งสายตาที่เปล่งประกายออกมา ยิ่งเขาฟังเท่าไหร่เขาก็ยิ่งตื่นเต้นเท่านั้น ยิ่งเขาฟังมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งทราบซึ้งในรสพระธรรมมากขึ้นเท่านั้น


ณ ห้องส่งของบิ๊กวีของเว่ยป๋อ นักข่าวคนหนึ่งได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นกำลังสตรีมอยู่ และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าไปดู

เขาเองได้ยินมามากมายเกี่ยวกับซูจิ้งคนนี้และเขาก็คิดว่านี่คือข่าวชั้นดีสำหรับเขา แต่เพียงเมื่อเขาเข้าไปดูก็พบว่าซูจิ้งกำลังเล่นกู่จิ้งประกอบการสวดมนต์อยู่ นี่แทบจะทำให้เขานั้นปิดช่องสตรีมของซูจิ้งลงในทันที นั่นก็เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงก็ตาม การสตรีมบทสวดมนต์แบบนี้ไปก็ไม่มีทางจะได้รับความนิยมอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นักข่าวก็พบว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป นั่นก็เพราะไม่เพียงพวกเขานั้นจะหลงลืมเรื่องหาข่าว พวกเขายังฟังราวกับได้รับความชำระล้างได้เลย


เว่ยเสี่ยวหยวน ซูฉือ เฉิงหนาน และคนอื่นๆที่ได้ยินว่าซูจิ้งนั้นทำการสตรีมต่างก็พูดกันไม่ออก ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ถามวิธีที่จะทำให้ตัวเขาเด่นดังได้ไม่นาน และในที่สุดเขานั้นก็มาทำการสตรีมแบบนี้ นี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขานั้นจะรีบไปทำไม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นซูจิ้งในชุดนักบวชแปลกๆ ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาในทันที

อย่างไรก็ตาม เพียงเมื่อทุกคนได้เห็นซูจิ้งที่ได้เล่นกู่จิ้งพร้อมสวดมนต์ รอยยิ้มบนใบหน้าของทุกคนต่างก็เปลี่ยนเป็นสำนึกผิดในบัดดล


ในตอนนี้เหล่าผู้ชมที่กำลังดูการสตรีมอยู่นั้นอยู่ในอาการเมามายและดื่มด่ำไปกับบทเพลงของซูจิ้ง แม้แต่คนที่เข้ามาช่วงครึ่งหลังของการสตรีมก็ตกอยู่ในสภาพไม่ต่างกัน

สติของทุกคนนั้นร่วงหล่นสู่ภวังค์ ในภวังค์แห่งนี้ทุกคนต่างรับรู้ได้ถึงความสงบในจิตวิญญาณของตัวเอง ด้วยบทเพลงแห่งนิจนิรันดรทำให้ทุกคนที่ร่วงหล่นอยู่ในภวังค์นั้นได้เข้าสู่การตามหาจิตใจของตนเอง

ซูจิ้งใช้เวลากว่าห้านาทีจนเล่นเพลงนี้จบลง ช่องสตรีมนี้ยังอยู่ในภาวะเงียบงันราวกับยังไม่มีคนตื่นจากภวัง หลังจากผ่านไปเจ็ดถึงแปดวินาที บางคนจึงเริ่มกล่าวทักออกมาในช่องสตรีม และไม่นาน ทุกคนต่างก็เข้ามาแสดงความเห็นของตัวเองออกมาอย่างตื่นเต้น


“โชคดีที่ได้ฟัง นี่สมควรเป็นบทเพลงแห่งพุทธศาสนาสินะ”

“มหัศจรรย์จริงๆ ฉันเข้าสู่ภวังค์เลยนะ”

“เอ๋ นี่แสดงว่าฉันไม่ได้ตาฝาดไปสินะ ตอนแรกฉันก็นึกว่าตัวเองนึกไปคนเดียวซะอีก นี่ไม่ใช่ว่าทุกคนเป็นเหมือนกันหรอกเหรอเนี่ย”


ณ อพาร์ทเมนต์ธรรมดาแห่งหนึ่ง หญิงสาวคนหนึ่งอายุประมาณสามสิบปี เธออยู่ในชุดประโปรงสั่งตัดกำลังนั่งเล่นคอมพิวเตอร์ดูนู่นดูนี่อยู่

สาวน้อยคนหนึ่งที่อายุประมาณสิบปีคนหนึ่งกำลังถูกพื้นด้วยความขยันขันแข็ง ร่างกายของเธอตัวเล็กและผอมแห้ง แขนของเธอนั้นพอๆกับที่จับไม้ถูพื้นเลยก็ว่าได้ นี่ทำให้เธอนั้นเหนื่อยกับเรื่องนี้จริงๆ

นี่คือครอบครัวธรรมดา หญิงสาวคนนี้คือแม่เลี้ยงของสาวน้อยคนนี้ หญิงสาวคนนี้ไม่ชอบสาวน้อยคนนี้อย่างมาก ยามที่เธออารมณ์เสีย เธอมักระบายอารมณ์กับเด็กน้อยคนนี้บ่อยๆ


แม้สาวน้อยจะเคยบอกต่อพ่อของเธอแล้วแต่พ่อของเธอกลับทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นไม่รับฟัง

ในตอนนี้ หญิงสาวได้กดเข้าไปฟังบทเพลงแห่งนิจนิรันดรของซูจิ้ง เธอได้ฟังเพลงนี้จนจบและนิ่งไปนานก่อนที่จะหันไปดูเด็กสาวตัวน้อยที่กำลังเหนื่อยอ่อนพร้อมเหงื่อที่โทรมกาย

หัวใจของหญิงสาวรู้สึกผิดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก ในตอนนี้อยู่ๆเธอก็มีความคิดว่าในฐานะที่เป็นแม่คนหนึ่ง ถึงแม้จะต่างสายเลือดแต่เธอกลับปล่อยให้สาวน้อยคนนี้ตกอยู่ในสภาพยากลำบากได้ยังไงกัน

ถึงแม้จะไม่ใช่เชื้อสายของเธอแต่เธอก็เป็นเชื้อสายของคนที่เธอรักไม่ใช่เหรอ ขนาดเธอทำเรื่องไม่ดีไปขนาดนั้นแล้วเด็กสาวยังเรียกเธอว่าแม่อยู่ทุกวันเลย ช่างเป็นเด็กที่ฉลาดและนอบน้อมขนาดนี้แล้ว….ฉันยัง….รังแก….ลูกของฉันได้ยังไง ช่างไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ

“หยุนน้อย มานี่” หญิงสาวพูดออกมา


“แม่อย่าเพิ่งโกรธนะคะ เดี๋ยวหนูจะรีบทำให้เสร็จเดี๋ยวนี้ อีกนิดเองค่ะ” สาวน้อยที่คิดว่าแม่ของเธอกำลังจะโกรธเพราะว่าเธอทำความสะอาดช้าได้รีบพูดออกมาด้วยท่าทีสั่นกลัว

เมื่อเห็นสาวน้อยหวาดวิตกยิ่งทำให้หญิงสาวผู้นี้รู้สึกผิดมากยิ่งขึ้น ผิดจนไม่รู้จะรู้สึกยังไงแล้ว เธอตรงไปใช้มือลูบศีรษะของสาวน้อย ก่อนที่เธอจะพาไปยังห้องน้ำ ก่อนที่จะใช้มีไปแตะน้ำแล้วนำมาลบหน้าของสาวน้อยไปทั่วพร้อมพูดว่า “เสี่ยวหยุน ก่อนหน้านี้แม่ทำไม่ดีกับลูกมามากนัก ช่างทำตัวไม่สมกับเป็นแม่แต่เธอเลยจริงๆ แม่จะไม่เรื่องไม่ดีกับลูกอีกแล้วนะ ยกโทษให้แม่ด้วยนะ ตอนนี้ลูกไม่ต้องทำความสะอาดแล้วล่ะ ตอนนี้ลูกก็อาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวที่เหลือแม่จะจัดการเอง หลังจากนั้นเดี๋ยวแม่จะทำอาหารอร่อยๆให้ลูกกิน แต่ว่าต้องรอกินพร้อมพ่อนะ”


“ค่ะ” สาวน้อยถึงแม้จะตอบรับอย่างงงๆเพราะว่าเธอไม่เคยได้รับความรู้สึกแบบนี้จากแม่เลี้ยงของเธอมาก่อน แต่เธอนั้นรู้สึกว่ามันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก


ในเวลาเดียวกัน ที่ครอบครัวอื่นๆหญิงสาววัยกลางคนที่กำลังการสตรีมต่างๆอยู่ หญิงสาวที่อายุประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบปีคนหนึ่งกำลังล้างผักและทำกับข้าวอยู่ มือและเท้าของเธอนั้นสั่นไม่หยุด หญิงสาวอายุวัยกลางคนคนนั้นเป็นลูกสะใภ้ของเธอเอง

นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นระหว่างลูกเลี้ยงและแม่เลี้ยง บางครอบครัวนั้นลูกเลี้ยงถูกรังแก บางครอบครัวนั้นฝ่ายที่รังแกนั้นกลับเป็นลูกเลี้ยงหรือไม่ก็ลูกสะใภ้ได้เหมือนกัน สำหรับครอบครัวนี้เป็นเหตุการณ์ในอย่างหลัง


เมื่อลูกชายของหญิงชราคนนี้เติบโตขึ้น เขานั้นก็ได้หลงลืมบุญคุณที่เธอได้ชุบเลี้ยงเขามา และนี่เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ลูกสะใภ้ของเธอเริ่มรังแกเธอ

แต่ในตอนนี้ หญิงสาววัยกลางคนนั้น หลังจากได้ฟังบทเพลงแห่งนิจนิรันดรจบลง เธอค่อยๆเข้าไปในครัว มองแม่สามีของตนที่กำลังง่วนอยู่กับการทำครัวอย่างร้อนรน

ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่างแต่เธอกลับรู้สึกผิดอย่างมากจนพูดอะไรไม่ออก เธอจึงค่อยๆเข้าไปช่วยหญิงชราผู้นี้อย่างเงียบๆ

หญิงชราที่เห็นหญิงวัยกลางคนผู้นี้มาช่วยเธอเองนั้น เธอนิ่งอึ้งจนต้องหยุดมือไปพักหนึ่งก่อนที่เธอจะเริ่มทำครัวต่อพร้อมรอยยิ้มและดวงตาที่เปียกชื้น


ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ในส่วนชนบทของเมืองๆหนึ่ง รสกระบะคันหนึ่งที่กำลังแล่นอยู่ ที่หลังกระบะนั้นมีหมาสามตัวที่อยู่ในสภาพปางตายและมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ และมีอีกสองคนอยู่ในพื้นที่นั่งคนขับและที่นั่งร่วม

พวกเขานั้นเป็นคนที่คอยไล่จับสุนัขไปขายและนี่ก็เพิ่งจะจับมาได้หลายตัว ด้วยการที่ในบริเวณชนบทแบบนี้ผู้คนมักจะเลี้ยงสุนัขแบบปล่อยจึงทำให้พวกเขานั้นแอบไปจับมาได้อย่างง่ายดาย

ชายหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆที่สิวอยู่ทั่วใบหน้า เขากำลังใส่หูฟังพร้อมกับฟังการสตรีมหนึ่งอยู่ เขานั้นพึ่งจะฟังเพลง บทเพลงแห่งนิรันดรจบลงไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม อยู่ๆชายหนุ่มคนนี้ก็ได้ร้องไห้ออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)