Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1118-1132

 GGS:บทที่ 1118 สังเกต


หลังจากที่ตั๋วคอนเสริตของซูจิ้งได้ขายหมดไป ก็ได้มีการพูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้บนโลกอินเตอร์เน็ต

“ดูเหมือนว่าเป็นเรื่องจริงนะที่ว่าแฟนคลับของพี่จิ้งสามารถซื้อตั๋วได้อย่างง่ายดายแต่คนที่ไม่ใช่กลับซื้อตั๋วได้อย่างยากเย็นน่ะ

โดยเฉพาะกับคนที่เคยว่าร้ายพี่จิ้ง เห็นเขาว่าระบบไม่ให้เข้าหน้าซื้อตั๋วซะด้วยซ้ำ”

“แม่เจ้า….ระบบตรวจสอบอะไรกันเนี่ยที่สามารถแยกแยะผู้คนได้เยี่ยมยอดขนาดนี้”

“ไม่จริงน่า ฉันเองก็เป็นแฟนคลับพันธุ์แท้ของพี่จิ้งนะ ทำไมฉันถึงไม่ได้ตั๋วล่ะ ฉันยอมรับไม่ได้หรอก ฉันว่าต้องมีลับลมคมในแน่ๆ”

“ห้ะ กะอีแค่ตั๋วเพียงสิบหยวนเนี่ยนะจะมีลับลมคมใน”

“ไอ้คนที่ก่อนหน้านี้บอกว่าเป็นแฟนคลับขั้นสุดของพี่จิ้งแล้วบอกว่ามีลับลมคมในนั่นฉันว่านายรีบลบโพสที่ออกมาโวยวายจะดีกว่านะ

หากนายคิดว่าไม่ล่ะก็ฉันจะโพสภาพข้อความของนายที่วอแวพี่จิ้งมามากมายหลายครั้งจนขี้เกียจจะนับน่ะ”


ไม่นานนัก ภาพถ่ายที่ว่าก็ได้ถูกโพสขึ้นมาจนทำให้คนที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับขั้นสุดยอดของซูจิ้งยกเลิกบัญชีผู้ใช้ในทันที

ความจริงแล้วในการซื้อตั๋วครั้งนี้นั้นมีคนที่ไม่ใช่แฟนคลับของซูจิ้งแต่คิดจะลองแย่งดูเอามันส์ก็เยอะ ส่วนใหญ่แล้วนั้นก็หวังว่าเพื่อฟลุ๊คได้จะได้เอาไปขายต่อให้แพงๆ

นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าตั๋วผี หากว่าคนเหล่านี้ได้ไปจริงล่ะก็ต่อให้ตั้งราคาขายเอาไว้ร้อยหยวนหรือพันหยวนก็น่าจะขายได้อย่างง่ายดาย นั่นก็เพราะว่าหากตั๋วหมดไปแล้ว ยังไงซะก็ไม่มีตัวเลือกกับคนที่ต้องการดูจริงๆอยู่ดี เรียกได้เลยว่าเป็นธุรกิจที่กำไรงามอย่างหนึ่งเลยทีเดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตั๋วที่มอบโอกาสในการได้เห็นคนที่มีชื่อเสียงตัวเป็นๆแบบนี้ยิ่งเป็นที่ต้องการเข้าไปใหญ่


อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเหล่านี้ไม่มีใครได้ตั๋วไปเลยสักคน ทำให้คนเหล่านี้โกรธมากๆ จึงได้ออกมาอ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับของซูจิ้งเพื่อจะหาโอกาสให้ได้ตั๋วสักใบและทำให้ไม่มีการใช้ระบบนี้อีกในอนาคต

แต่คนเหล่านี้กลับทำให้แฟนคลับของซูจิ้งโกรธแบบสุดๆ จนในที่สุดกลับการเป็นการตอกฝาโลงตัวเองจนแทบจะไม่มีที่ยืน หลายๆคนก็ได้ยกเลิกชื่อผู้ใช้ไปเลยก็มี นี่ทำให้คอนเสริตของซูจิ้งนี้ ไม่มีการขายตั๋วผีเลยสักใบ


ในขณะที่ผู้คนกำลังสงสัยกับวิธีการคัดเลือกคนที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าชมคอนเสริตของซูจิ้งนั้น เว็บไซต์ที่ทำหน้าที่ในการขายบัตรได้ออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่า ในครั้งนี้พวกเขาได้ใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาในการคัดเลือก

ระบบปัญญาประดิษฐ์ได้ทำการคัดเลือกโดยดูจากชื่อจริงของผู้ซื้อบัตร และชื่อจริงที่ใช้ในการลงทะเบียนในแอปและเว็บไซต์ต่างๆแล้วดูว่าชื่อผู้ซื้อนั้นทำอะไรเกี่ยวกับซูจิ้งไว้บ้าง โดยหลักแล้วก็คือการวิเคราะห์ข้อความ ประวัติการโหวต จำนวนที่เข้ามาดูเว็บไซต์ที่เกี่ยวซูจิ้ง และวันที่ที่เริ่มมีการพูดคุยเกี่ยวกับซูจิ้ง ยิ่งแฟนคลับคนไหนมีคะแนนเหล่านี้มากเท่าไหร่ แฟนคนนั้นก็มีสิทธิที่จะเข้าถึงและซื้อบัตรก่อน


แฟนคลับซูจิ้งเมื่อเห็นแน่นอนว่าต้องชอบระบบนี้ในทันที

“กลายเป็นว่าพี่จิ้งใช้ระบบปัญญาประดิษฐ์หรือนี่ ฉันลืมไปเลยแหะว่าเขาสร้างสุดยอดปัญญาประดิษฐ์ขึ้นมา”

“ฮ่าฮ่าฮ่า พี่จิ้งนี่สุดยอดไปเลยจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ไม่มีใครเอาไปทำตั๋วผีได้”

“ก่อนหน้านี้ที่ฉันบอกว่าราคาตั๋วนั้นสิบหยวนถูกเกินไปนี่ฉันคิดไปเองจริงๆ ขนาดฉันวุ่นจนแทบไม่ค่อยได้สนับสนุนเขา ระบบนี้แน่นอนว่ามุ่งเน้นไปที่เหล่าแฟนคลับพันธุ์แท้อยู่แล้ว ฉันยอมรับเลยจริงๆ อ้อฉันเองก็ได้นะเออ”

สำหรับคนที่ไม่ใช่แฟนคลับของซูจิ้งแน่นอนว่าย่อมโวยวายออกมา

“ฉันโคตรเกลียดระบบนี้เลยว่ะ รู้อย่างนี้ฉันไม่เข้าไปซื้อตั้งแต่แรกแล้ว”

“แล้วทำไมไม่บอกกันก่อนวะ อยากจะแกล้งกันรึไง”

“ซูจิ้ง แกมันจะรังแกกันเกินไปแล้ว”

“หืม พวกนายบอกว่าทำไมเขาไม่ขายเฉพาะแฟนคลับเหรอ ไม่ใช่ว่าเขาบอกแต่แรกแล้วว่าต้องการที่จะตอบแทนแฟนคลับมาแต่แรกอยู่แล้วไม่ใช่รึไง”

“อย่าบอกนะว่าอิจฉาแฟนคลับของซูจิ้งจนอยากจะเป็นแฟนคลับของเขาขึ้นมาจริงๆ”


“โอ๋โอ๋อย่าเสียใจไปเลยนะ ฉันได้ยินมาว่าช่องชาร์คทีวีเองก็จะสตรีมสดด้วยเหมือนกัน ต่อให้พวกนายไม่ได้ไปนายก็ยังดูได้น่า”

“สตรีมสด จะไปหมือนกันได้ไงล่ะโว้ยยย”

“มันก็ดีกว่าไม่ได้ดูเลยรึไง ถ้าอยากจะเข้าจริงๆก็ทำตัวดีๆจะได้เลื่อนสถานะน้า…”


หลังจากขายตั๋วไปไม่กี่วัน วันที่มีการจัดคอนเสริตก็มาถึง ในคืนวันเสาร์ ณ ประตูของยิมเนเซียมจงหยุนได้มีคนเข้าแถวยาวเพื่อที่จะตรวจตั๋วเพื่อจะเข้าไปนั่งบนที่นั่งของตน ผู้คนที่มาเข้าแถวนั้นดูมีชีวิตชีวาอย่างมาก

ฉือชิง ลู่ฉิงหยา หยางเว่ย จูเจียนฮัว หลิวหยิน เป็งหมิง และคนอื่นๆได้มาถึง หวังซือหยา หวังจ้าว และเฉิงหนานก็ได้มาถึงแล้ว โดยพวกเขานั้นนั่งแถวหน้าสุด

“พี่สาม พี่ไม่เคยสนใจงานแบบคอนเสริตมาก่อนเลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมครั้งนี้พี่มาได้ล่ะ” หวังซือหยาถามออกมาด้วยความรู้สึกปลื้มปลิ่ม


“ก็แหม่ คอนเสริตครั้งนี้มันต่างกับคนอื่นตรงที่เป็นคอนเสริตของอาจิ้งเลยนี่นา ต่อให้ฉันไม่ชอบคอนเสริตก็จิ้งแต่ก็งานเพลงของซูจิ้งยังก็คุ้มค่าที่จะฟัง ที่ลืมไปแล้วเหรอว่าฉันติดตามงานเพลงของอาจิ้งทุกเพลงเลย” หวังจ้าวหัวเราะออกมาก่อนจะพูดว่า “เหนือสิ่งอื่นใดแล้ว นอกจากการตอบแทนแฟนคลับของอาจิ้งแล้ว อาจิ้งบอกว่าเขานั้นจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แล้วจะให้ฉันพลาดเรื่องดีที่สุดของงานนี้ได้ยังไงล่ะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น

“เทคโนโลยีอะไรล่ะนั่น” หวังซือหยานิ่งคิดไปในทันทีที่ได้ยิน

“บอกก็ไม่ประหลาดใจน่ะสิ เดี๋ยวก็ได้เห็นเองแหล่ะ” หวังจ้าวพุดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ชิงชิง เทคโนโลใหม่อะไรเหรอที่คุณเทพจิ้งของเธอจะมาเปิดตัวในงานนี้น่ะ” ลู่ฉิงหยาที่ได้ยินก็อดที่จะถามฉือชิงไม่ได้เหมือนกัน หยางเว่ย จูเจียนฮัว หลิวหยิน และเป็งหมิงเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองซูฉิงอย่างคาดคั้นคำตอบ

“ฉันก็คงจะต้องยกคำพูดของลูกพี่จ้าวมาก็แล้วกันนะว่าบอกก่อนก็ไม่ประหลาดใจน่ะสิ พวกเธอนี่รออีกนิดไม่ได้รึไงกัน ฉันว่าเก็บความสงสัยไว้ประหลาดใจดีกว่านะ” ฉือชิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


ซูหยา ถังเสี่ยวหยู และเพื่อนนักเรียนคนอื่นของเธอเองก็นั่งแถวหน้าเหมือนกันแต่ว่าอยู่อีกโซนหนึ่ง ทุกคนมีท่าทางตื่นเต้นพร้อมใบหน้าที่แดงเพราะตื่นเต้นมากๆ


ปันเสวี่ย เต็งหมินถัง และคนอื่นๆเองก็อยู่แถวหน้าเช่นเดียวกัน เต็งหมินถังเองที่ได้เจอเพื่อร่วมชั้นอย่างปันเสวี่ยและเพื่อนคนอื่นๆเองก็พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

“โอ้ ก่อนที่พวกเราจะมาถึงนี่เหมือนน้องสาวและแฟนของซูจิ้งจะมาก่อนแล้วแหะ”

“นายนึกดูก็แล้วกันว่าที่นั่งของพวกเรานั้นดีขนาดไหนกันที่ได้ใกล้ชิดคนเหล่านี้”

“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันเองก็ได้ยินมาว่ามีคนหลอกขายตั๋วที่นั่งวีไอพีนี้ในตลาดหลายพันหยวนเลยนะ แต่โดนรวบไปแล้ว”

“ต้องขอบคุณพี่น้องร่วมทุกร่วมสุขของเราคนนี้จริงๆ หากไม่ได้หมอนี่ อย่าว่าแต่ตั๋ววีไอพีเลย แม้แต่ตั๋วธรรมดาเราก็คงไม่ได้มาเหมือนกัน”


ที่นั่งที่ไม่ไกลนัก ฉินซูหลาน โจวหลัน หลิวฉิง และคนอื่นๆเองก็ได้นั่งที่เรียบร้อยแล้ว หลิวฉิงเองก็ได้ถือกล่องที่ดูสวยงามอยู่ในมือของเขาพร้อมกับช่อดอกกุหลายช่อหนึ่ง

“มาดูคอนเสริตของพี่จิ้งทั้งทีแล้วนายจะเอาดอกกุหลาบมาทำบ้าอะไรกันเนี่ย อย่าบอกนะว่านายจะมอบให้พี่จิ้งน่ะ” ฉินซูหลานพูดออกมาพร้อมกับจ้องมองไปยังหลิวฉิงด้วยสายตาปแลกๆ

“จะบ้าเรอะ พูดจาไร้สาระจริงๆ ทำไมฉันต้องให้พี่จิ้งด้วยล่ะนั่น” โจวหลานสวนกลับมาทันทีด้วยรอยยิ้ม

“ฉันได้ยินมาว่ามู่หรงเซียนเอ๋อจะมาที่นี่ด้วยนี่นา หรือว่านายจะให้เธอกัน” โจวหลันถามออกมาด้วยรอยยิ้มในทันที

“ไม่ใช่หรอก ฉันจะนำมามอบให้หยินหนิงหนิงน่ะ เธอเป็นเทพธิดาในใจของฉันไปแล้ว ฉันเองก็ได้คุยกับพี่จิ้งเกี่ยวกับของที่เธอชอบมาแล้ว และเขาก็แนะนำฉันมาเรียบร้อย” หลิวฉิงพูดออกมาในขณะที่ยิ้มหน้าบานยิ่งกว่าดอกไม้เสียอีก


“อย่างเอ็งเนี่ยนะคิดจะไล่จับนางฟ้าอย่างหยินหนิงหนิง ที่นายทำได้อย่างมากก็ได้แค่มองละว้า… นี่นายไม่รู้รึไงว่าเธอเป็นนางฟ้าของใครอีกตั้งหลายคน” ฉินซูหลานอดไม่ได้ที่จะยวนกลับแกมหยอกในทันที

“เฮ้เฮ้ นี่นายจะอวยฉันสักนิดให้มั่นใจกันหน่อยไม่ได้รึไงเนี่ย” หลิวฉิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มในทันที เขาเองในตอนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปเอาความกล้ามาจากไหนเหมือนกัน

ตอนที่ไล่จีบเฉียนหยินหนิงนั้นเขาเองก็ค่อนข้างที่จะประหม่าแบบนี้แต่เขานั้นไม่มีโอกาสจะจีบเธอเลยแม้แต่น้อยจึงได้ถอดใจไป


แต่ตอนนี้เขากลับมาชอบผู้หญิงอีกครั้งและคนๆนั้นก็คือหยินหนิงหนิง ถึงแม้ว่าในตอนแรกนั้นเขาจะชอบเธอเพราะเธอกำลังได้รับความนิยมอยู่ก็ตาม

หลิวฉิงนั้นไม่รู้เลยว่าหยินหนิงหนิงนั้นไม่เพียงจะสวยงามเพราะใส่หนังแปลงโฉมเท่านั้น เธอนั้นยังได้กลืนเม็ดเสียงแห่งปีศาจท้องทะเลไปด้วยทำให้เสียงของเธอนั้นน่าลุ่มหลงยิ่งกว่าใคร

เรียกได้ว่าเธอนั้นถูกแต่งแต้มขึ้นมาเพื่อเป็นสุดยอดดาราอย่างแท้จริง หากว่าเขานั้นรู้ความจริงว่าเธอเป็นยังไงแล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขายังชอบเธออยู่อีกรึเปล่า


หลังจากที่ผู้ชมเข้ามากันจนเต็มที่นั่งแล้ว ช่องสตรีมของซูจิ้งก็ได้เริ่มทำการสตรีมสดบนช่องชาร์คทีวีในทันที ถึงแม้ว่าในตอนนี้ยังมีแค่เวทีที่ฉากหลังสีดำมืดก็ตาม แต่ยอดคนดูนั้นกับพุ่งสูงขึ้นไปกว่าสองล้านเรียบร้อยแล้ว

เวลาสองทุ่ม พิธีการของงานได้ออกมากล่าวเปิดคอนเสริตอย่างเป็นทางการพร้อมทั้งเสียงดนตรีและแสงที่ปรับการส่องมุ่งไปตรงกลางเวที

ในตอนนี้มีชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดจีนโบราณนั่งอยู่ เขาคนนี้ก็คือซูจิ้งนั้นเอง ตรงหน้าเขานั้นก็ได้มีกู่จิ้งที่ดูสวยงามอย่างมากตั้งอยู่ข้างหน้าเขา

ในตอนนี้เองทำให้บรรยากาศภายในงานเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่สุด มันเต็มไปด้วยเสียงตะโกนเชียร์ เรียกชื่อ กรี๊ดวี๊ดว้ายออกมาอย่างอื้ออึงไปหมด และในตอนนั้นเอง หลังคาของยิมเนเซียมก็ได้เริ่มเปิดออกอย่างช้าๆ


GGS:บทที่ 1119 สุดขีด


บรรยากาศภายในงานคอนเสริตของซูจิ้งนั้นในตอนนี้ร้อนแรงแบบสุด แม้แต่ช่องสตรีมเองก็มีข้อความแสดงความตื่นเต้นบินว่อนออกมาแบบสุดขีดจนลานตา

ซูจิ้งที่นั่งอยู่ตรงกลางเวทีในชุดจีนโบราณนั้นทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขานั้นราวกับชายหนุ่มที่สุขุมลุ่มลึกจากยุคโบราณกาลเลยก็ว่าได้ เขาในตอนนี้ช่างดูงามสง่าและองอาจอย่างมาก

ซูจิ้งได้หัวเราะออกมาเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาใช้มือของตัวเองค่อยๆวางไปบนสายสายหนึ่งของกู่จิ้งที่วางอยู่ตรงหน้าก่อนที่จะดีดเสียงออกมาเสียงหนึ่ง มันเป็นเสียงที่กระจ่างใสและคมชัดราวกับว่าซูจิ้งมาดีดอยู่ตรงหน้าของทุกคนอย่างกระชั้นชิด เรียกได้ว่าได้ยินชัดเจนราวกับสุ่มสำเนียงแห่งเวทย์มนต์เลยทีเดียว

แน่นอนว่าทันทีที่เสียงของกู่จิ้งเสียงหนึ่งได้เริ่มขึ้น ผู้คนต่างก็นิ่งเงียบในทันทีทั้งผู้ชมในงานและผู้ชมในช่องสตรีม แม้แต่เสียงหายใจของผู้คนเองก็ราวกับว่าถูกควบคุมไปด้วยเช่นเดียวกัน เพียงเสียงดีดกู่จิ้งเพียงเสียงเดียวนี้ราวกับว่าเป็นเสียงอวยพรจากสรวงสวรรค์เลยก็ว่าได้

เมื่อเสียงทุกอย่างสงบลง ซูจิ้งได้เริ่มเล่นกู่จิ้งของเขาต่อในทันที เสียงทุกเสียงนั้นช่างกระจ่างชัด นิ่มนวล และเต็มไปด้วยความรู้สึกที่สุดแสนจะสูงส่งและห้าวหาญเหมือนกับเสียงระฆังแห่งวัดเล่ยหยินเลยทีเดียว


เสียงกู่จิ้งเหล่านี้ราวกับว่าได้ถูกส่งตรงไปยังจิตใต้สำนึกของผู้คนโดยตรงทีละเล็กทีละน้อยซ้ำไปซ้ำมาจนทำให้ผู้คนต่างก็ดำดิ่งไปในจิตสำนึกของผู้คนในทันที

ผู้คนที่ได้ยินเองต่างก็รับมันเอาไว้โดยไม่มีความคิดที่ต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขานั้นไม่อยากจะพลาดสุ่มเสี่ยงเหล่านี้ไปเลยสักระเบียดนิ้ว

ถึงแม้จะจมดิ่งไปกับจิตใจของตัวเองถึงขนาดนั้นแต่ก็ไม่มีใครเลยที่จะเผลอไผลเรื่องราวที่แย่ๆของตัวเองเลยสักนิด ต้องบอกว่าราวกับว่าความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายค่อยๆถูกชำระล้างออกไปที่ละเล็กทีละน้อย แม้แต่รอยแผลแห่งจิตใจก็ยังต้องขวนขวายรีบหนีไปในทันทีที่ได้ยินเสียงกู่จิ้งเหล่านี้


ในตอนนี้ผู้คนราวกับต้องมนต์แห่งสำเนียง ไม่มีใครคิดจะหลีกหนี ไม่มีใครคิดจะขยับไปไหนเลยแม้แต่น้อย


ท่วงทำนองแห่งกู่จิ้งยังคงบรรเลงต่อไป และค่อยๆซึมลึกเข้าไปเขย่าจิตใจผู้คนทีละเล็กทีละน้อย ผู้คนค่อยจมดิ่งไปกับตัวเองมากขึ้นมากชึ้น ถึงแม้จะมีบางช่วงบางตอนที่กดดันจิตใจราวกับภูเขาที่ทับไว้ แต่ไม่นานภูเขาเหล่านั้นก็ได้จางหายไปพร้อมทั้งจิตใจที่โล่งยิ่งกว่าเดิม

แม้แต่หัวสมองเองก็ราวกับสั่นไหวได้ คลื่นความคิดทั้งหลายหลอมรวมไปกับท่วงทำนอง จิตใต้สำนึกส่วนลึกราวกับถูกเปิดออก ความรู้สึกชั่วร้ายกระจายหายสิ้น

ผู้คนมากมายที่ได้ยินมีไม่น้อยเลยที่จะอดทนไม่ไหวจนร้องไห้ออกมาทั้งผู้ที่อยู่ใจงานและผู้ได้ชมผ่านช่องสตรีม ราวกับว่าพวกเขานั้นได้ชำระล้างจิดใจออกไปจนหมดสิ้น สิ่งไม่ดีทั้งหลายถูกขับไล่ออกไป แม้แต่หัวใจที่เคยหดรีบก็ยังต้องกลับมาพองโตอีกครั้ง และหลังจากเสียงสุดท้ายได้หายไปนาน ผู้คนก็ได้เริ่มรู้สึกตัวพร้อมทั้งเอ่ยปากพูดออกมาว่า

“สุดยอดไปเลย ทั้งที่เป็นเพียงการบรรเลงกู่จิ้งแต่ช่างรู้สึกเท่และนุ่มลึกอย่างบอกไม่ถูก”

“นั่นก็เพราะนี่คือกู่จิ้งที่พี่จิ้งเป็นคนเล่นยังไงล่ะ ช่างน่าตื่นเต้นอะไรอย่านี้”

“ฉันเองก็เคยได้ยินพี่จิ้งเล่นกู่จิ้งผ่านวิดีโอมาแล้วนะ แต่การที่ได้มาฝังสดๆแบบนี้นี่ดีกว่าวิดีโอพวกนั้นมากนัก”


“ไม่ใช่หรอก นี่ไม่ใช่เป็นเพราะว่าฟังพี่จิ้งเล่นกู่จิ้งกับหูตัวเองเท่านั้น ฉันรู้สึกได้เลยว่าฝีมือการเล่นกู่จิ้งของพี่จิ้งนั้นพัฒนาขึ้นจากเดิมอีกแล้วต่างหาก

ไม่อยากจะพูดออกมาเลยนะเพราะกลัวจะหาว่าฉันกล่าวเกินจริง แต่บอกได้เลยว่าเสียงกู่จิ้งที่พี่เขาเล่นในวันนี้มีแต่ทวยเทพที่อยู่บนสวรรค์เท่านั้นที่จะเล่นแบบนี้ได้”


ฉากการเล่นกู่จิ้งของซูจิ้งที่พึ่งจะผ่านหูผ่านตาของทุกคนไปนี้ทำให้เหล่าผู้มีความสัมพันธ์อันดี เพื่อน และแฟนคลับของซูจิ้งต่างก็ประทับใจอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ฉือชิงที่ได้ยินเสียงกู่จิ้งของซูจิ้งมากกว่าใครก็ยังอดที่จะมหัศจรรย์ไม่ได้ในทุกๆครั้งที่ซูจิ้งได้เล่นให้เธอฟัง

“….นี่ฝีมือเล่นกู่จิ้งของเขาพัฒนาขึ้นอีกแล้วแหะ” ที่ด้านหลังนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อได้พูดออกมาด้วยสายตาที่เป็นประกาย


“นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินเขาเล่นกู่จิ้งกับหูแบบนี้ ช่างน่าประทับใจอะไรอย่างนี้” หยินหนิงหนิงพูดออกมาด้วยสายตาที่ดูมีชีวิตชีวาและสุกสกาวราวกับสาดแส่งไปด้วยแสงดาวบนท้องฟ้า

ในวันนี้ ในที่นี้มีเพียงสองคนนี้เท่านั้นที่เข้าใจท่วงทำนองดนตรีอย่างแท้จริง และด้วยการที่ทั้งสองนั้นเข้าใจศาสตร์แห่งดนตรีเป็นอย่างดียิ่งทำให้ทั้งสองไม่เข้าใจจริงว่าซูจิ้งนั้นสามารถเล่นดนตรีที่สูงล้ำแบบนี้ได้อย่างไร


“นี่เขามัวแต่วุ่นอยู่กับการพัฒนาธุรกิจของกลุ่มทุนห้วงเวลาจริงๆเหรอเนี่ย ถ้าเขายุ่งจริงแล้วทำไมฝีมือของเขาถึงได้พัฒนาสูงล้ำมากกว่าเดิมอีกละ” นาหลันเฟยที่ดูการสตรีมอยู่เองก็อดที่จะแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาไม่ได้ในทันทีที่เพลงของซูจิ้งจบลง

ถึงแม้เธอเองจะอิจฉาซูจิ้งอยู่บ้างเพราะว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเขาพัฒนาธุรกิจของตัวเองให้พัฒนาขึ้นมากมาย แต่เธอก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากเพราะนั่นหมายความว่าเขานั้นจะวุ่นจนไม่น่าจะมีเวลาฝึกปรือฝีมือกู่จิ้งเลยแม้แต่น้อย


แต่ตอนนี้เองที่เธอเริ่มอิจฉาเขามากจริงๆ นั่นก็เพราะเธอเองก็ได้ศึกษาและล่ำเรียนเกี่ยวกับการดนตรีมาตั้งแต่เล็กๆ เรียกได้ว่าครอบคลุมทุกแขนงการดนตรีเลยก็ว่าได้

แต่ในเมื่อเธอทำถึงขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่สามารถเทียบกับซูจิ้งได้เลยแม้แต่น้อย ไม่สิควรจะบอกว่าแค่หนึ่งในสิบของเขาเธอเองก็ยังทำไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“นี่สินะสิ่งที่เรียกว่าอัจฉริยะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผู้คนถึงเรียกเขาว่าเทพเจ้าที่แท้จริง” ผู้จัดการสาวของน่าหลันเฟยได้พูดออกมาพร้อมความรู้สึกที่ยอมรับ


“สุด…ยอด…” นักร้องหญิงชั้นแนวหน้าที่กำลังโด่งดังคนหนึ่งได้พูดออกมา เธอเองก็ได้ดูการสตรีมครั้งนี้ด้วย ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่าซูจิ้งนั้นเปรียบได้ดั่งคู่แข่งอันดับหนึ่งของเธอแต่เธอเองก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นเต้นออกมาไม่ได้

ก่อนหน้านี้เธอเองก็เป็นหนึ่งในคนที่มีปัญหาเรื่องรูปร่าง มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เธออ้วนมากจนคิดอยากจะฆ่าตัวตายไปซะให้พ้นๆจากความอับอายนี้

แต่เป็นเพราะซูจิ้งได้เสนอวิธีการลดน้ำหนักให้เธอด้วยผงลดน้ำหนัก อีกทั้งเขายังยอมขายชั้นในกระชับสัดส่วนรุ่นดีที่สุดให้ทำให้เธอในตอนนี้กลายเป็นนักร้องชั้นแนวหน้าที่ร้อนแรงเกินกว่าชายใดจะทนได้


เธอนั้นรู้สึกยินดีอย่างมากในตอนที่ซูจิ้งนั้นชวนเธอมาร้องเพลงในค่ำคืนนี้ ถึงแม้ว่าเธอนั้นจะไม่ได้ไปร่วมงานด้วยตัวเองก็จริงเพราะตัวแทนของซูจิ้งจะพูดเอาไว้ แต่แค่นี้สำหรับเธอนั้นถือได้ว่าสุดยอดอย่างมากแล้ว

ดาราชั้นแนวหน้ามากมายที่ซูจิ้งได้เชิญชวนเอาไว้ต่างก็ได้ดูการสตรีมงานคอนเสริตของซูจิ้ง พวกเขานั้นถูกขอให้ร้องเพลงคนละหนึ่งบทเพลง ถึงแม้ในตอนแรกพวกเขานั้นจะคิดว่าซูจิ้งค่อนข้างจะถือดีไปหน่อยที่กล้าจะเชิญให้พวกเขาไปร้องแต่ไม่ได้เชิญให้เข้าไปร่วมในงานแบบตัวเป็นๆจนไม่อยากจะช่วยแล้วก็ตาม


แต่ในตอนนี้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตัวเองได้ช่างได้รับเกียรติอย่างมากจริงๆที่ซูจิ้งยอมให้พวกเขาได้เข้าร่วมร้องเพลงในงานนี้ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นไปบนเวทีก็ตาม

ขณะเดียวกัน เหล่าดารามากมายที่ไม่ได้รับเชิญบ้างก็ออกปากปฎิเสธไปต่างก็ได้รับชมคอนเสริตของซูจิ้งผ่านการสตรีมนี้และต่างก็รู้สึกประทับใจในทุกๆคนไป

พวกเขาต่างก็ตื่นเต้นจนต้องพิมพ์ความเห็นของตัวเองออกมาในช่องคอมเม็นต์ในช่องสตรีม แต่ก็ยากลำบากนิดหน่อยเพราะพวกเขานั้นแทบจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองให้สวยงามดั่งที่คิดไม่ถูกจริงๆ


“ระดับขั้นของอาจิ้งเพิ่มขึ้นอีกแล้วสินะ” ณ โรงเรียนสอนร้องเพลงทะเลคราม กู่เยว่ กู่หยุน หลี่หยวน และคนอื่นๆต่างก็รวมตัวกันดูการสตรีมในครั้งนี้

ทันทีที่พวกเขาเริ่มได้ยินเสียงกู่จิ้งของซูจิ้งตั้งแต่เสียงแรกนั้น ทุกคนต่งก็รับรู้ได้ถึงความอัศจรรย์ในท่วงทำนองตั้งต้น หลังจากนั่งฟังอยู่นานจนจบ ทุกคนต่างก็ดื่มด่ำไปกับท่วงทำนองของกู่จิ้งที่ซูจิ้งได้บรรเลงออกมาอย่างดำดิ่ง จนเมื่อจบแล้ว กู่เย่วก็อดไม่ได้ที่จะต้องหายใจออกมาอย่างพ่ายแพ้

“ก่อนหน้านี้ฉันก็นึกอยู่แล้วล่ะว่าอาจิ้งนั้นต้องมีฝีมือการเล่นกู่จิ้งที่ลึกล้ำอยู่แล้ว แต่ฉันเองก็ไม่ได้คิดว่าฝีมือของเขายังพัฒนาขึ้นให้สูงล้ำราวกับว่าเป็นท่วงทำนองแห่งโบราณกาลได้ขนาดนี้”

“ก็คงจะเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆว่าดนตรีนั้นไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้แค่ฟังฉันยังรู้สึกได้เลยว่าเขาได้บรรลุในจุดคอขวดของเขาได้อีกครั้งแล้ว


ตอนนี้ฉันว่าเขานั้นอยู่ในระดับที่ประสาทรับรู้นั้นสามารถได้ยินได้แม้แต่เสียงใบไม้ล่วงหล่นแล้วแน่ๆ จึงเป็นธรรมดาหากเขาสามารถบรรลุประสาทรับรู้ได้ ความสามารถทางดนตรีของเขาก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง” กูเย่วพูดออกมา

“ก้าวหน้าไปอีกขั้นเหรอ” กู่หยุน หลี่หยวน และคนอื่นๆที่ได้ยินต่างก็ทำหน้านิ่งในทันที แต่เดิมนั้นซูจิ้งก็อยู่ในระดับราชันย์ที่ทุกคนอย่างยิ่งกว่าจะบรรลุจนไปถึงได้ แต่หากบอกว่าเขานั้นบรรลุไปอีกขั้นแล้วตอนนี้เขานั้นสมควรจะอยู่ในขั้นไหนกัน

แน่นอนว่ากู่เย่วนั้นไม่ได้เข้าใจผิดไปแม้แต่น้อย ซูจิ้งนั้นในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มก้าวเข้าสู่ระดับขั้นในตำนานที่เรียกว่า หัวใจแห่งราชันย์เรียบร้อยแล้ว


แม้แต่เย่หยินจูเองที่ว่าพัฒนาด้านกู่จิ้งเร็วแล้วก็ยังก้าวข้ามชั้นบางๆที่ราวกับกระดาษกั้นนี้ไปไม่ได้เช่นเดียวกัน และเป็นจริงอย่างที่กู่เย่วว่าไว้นั่นก็คือหากไม่สามารถสัมผัสได้แม้แต่เสียงใบไม้ที่หล่นร่วง ก็ไม่มีทางเลยที่จะก้าวเข้าสู่หัวใจแห่งราชันย์นี้ได้


“สวัสดียามเย็นนะทุกคน” หลังจากซูจิ้งเล่นเพลงของตัวเองจบแล้ว เขาได้ยืนขึ้นและกล่าวคำทักทายออกมาอย่างเรียบง่าย

น้ำเสียงของเขานั้นแฝงเอาไว้ด้วยท่วงที่ทำนองอย่างอบอุ่นจนแม้แต่ผู้ชมที่อยู่ห่างไกลก็ยังรู้สึกได้ในทันที

ซูจิ้งได้พูดต่อว่า “คอนเสริตในวันนี้นั้น ฉันจัดขึ้นมาเพื่อต้องการตอบแทนเหล่าผู้มีความสัมพันธ์อันดี เพื่อนๆ และเหล่าแฟนคลับที่แสนน่ารักของฉัน

ตอนแรกฉันเองก็ไม่คิดว่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับทางด้านการบันเทิงแบบนี้เลยจริงๆแต่ฉันเองก็นึกอย่างอื่นไม่ออกแล้วจริงๆที่จะใช้ในการตอบแทนทุกคนทีอยู่ที่นี่ได้


ฉันต้องขอขอบคุณจริงๆนะ ที่ทุกคน คอยสนับสนุนฉันมาเป็นอย่างดีและยาวนาน คอยปกป้องและสนับสนุนฉันเรื่อยมา คอยเป็นปากเป็นเสียงแทนฉันในช่วงเวลาที่ฉันนั้นยากที่จะออกมาตอบโต้ สิ่งที่ฉันพอจะตอบแทนทุกคนได้นั้นก็มีเพลงบทเพลงเพียงไม่กี่เพลงของฉันเท่านั้น”

เมื่อพูดจบลง ซูจิ้งก็ได้เริ่มบรรเพลงของตัวเองต่ออีกครั้ง ในครั้งนี้เขาได้บรรบทเพลงเก่าๆอย่าง เพลง รวบรวมจิต,ฟีนิกซ์คู่รัก,ชนะสิบทิศ,ปิติสดุดี,ระบำดวงจันทร์, ห่านป่าร่วงหล่น ,การกลับมา และท่วงทำนองแห่งพระเจ้า

ต่อจากนั้น มู่หรงเซียนเอ๋อ ก็ได้ออกมาบรรเลงเพลงคู่กับซูจิ้งอย่าง หลงลืมบึงน้อยในแอ่งน้ำใหญ่ และณ ชั่วขณะจิต ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นบรรเลงคู่กับหยินหนิงหนิงในเพลง ฝากข้อความถึงเพื่อนเก่า ทำให้บรรยากาศภายในคอนเสริตนี้มีชีวิตชีวาจนยากเกินกว่าจะอธิบายได้

ถึงแม้เหล่าผู้ชมทุกคนจะผ่านงานคอนเสริตมามากมายก็จริง แต่เมื่อเทียบกับงานคอนเสริตของซูจิ้งแล้วแทบจะเทียบไม่ได้เลยแม้แต่น้อย จะให้บอกความรู้สึกออกมาตรงๆก็คงจะพูดได้แค่ว่าอยู่กันคนละระดับชั้นก็เท่านั้นเอง

เหตุผลที่กล่าวมาแบบนี้ก็เพราะว่า คอนเสริตของซูจิ้งนั้นไม่ได้มีเสียงโหวกเหวกโวยวายวี๊ดว้ายกระตู้วู้แบบคอนเสริตทั่วไป โดยหลักแล้วก็มีแต่เสียงกู่จิ้ง เสียงร้องเพลง และเสียงผู้ชมที่เอ่ยปากชมออกมาเบาๆอย่างจริงใจแค่นั้น


ในตอนเริ่มงานคอนเสริตนั้นที่ซูจิ้งได้เล่นกู่จิ้งด้วยตัวเองเพื่อเปิดงานนั้นไม่ใช่เพราะว่าเขานึกอยากจะเล่นเท่านั้น แต่ที่เขาออกมาเล่นเองนั้นเป็นเพราะว่าต้องการชำระล้างจิตใจของผู้คนที่ชมคอนเสริตนี้ ให้ความคิดร้ายๆหายไป และหลงเหลือไว้แต่หัวใจที่สนุกสนานไปกับท่วงทำนองก็เท่านั้น


และในตอนนี้เอง ณ กลางเวที ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “ในคำคืนนี้ นอกจากเซียนเอ๋อและหนิงหนิงของพวกเราแล้ว ในวันนี้มีเพื่อนของพวกเรามากมายที่ยินดีที่จะมาร่วมกันมอบความสนุกให้กับทุกคน เริ่มจากคนแรกที่ฉันได้เชิญมา ก็คือ นาหลันเฟย”

“ห้ะ นาหลานเฟยก็มาที่นี่ด้วยเหรอ” มู่หรงเซียนเอ๋อที่ได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไปไม่ได้

“แต่ว่าตอนอยู่หลังฉาก พวกเราก็ไม่เห็นเธอเลยนะ” หยินหนิงหนิงพูดออกมา

ทั้งสองหลังจากร้อนเพลงจบแล้วก็ได้เข้าไปนั่งยังที่นั่งของผู้ชมคอนเสริตเรียบร้อยแล้ว

ก่อนการแสดงนั้น ทั้งสองไม่เห็นนาหลันเฟยที่หลังฉากเลยสักนิด จะมีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คงเป็นเธอนั้นจะมาช่วยร้องเพลงผ่านทางการสตรีมเท่านั้น

แต่ในตอนนั้นเอง ทุกคนที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีก็ทำได้แต่นิ่งอึ้งไปเท่านั้น สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือ มีแผ่นอะไรบางอย่างต้องอยู่กลางเวที และในตอนนั้นเอง อยู่ๆนาหลันเฟยที่อยู่ในชุดเดรสลายกุหลาบ ก็ค่อยปรากฎอยู่ที่กลางเวที


GGS:บทที่ 1120 ตะลึงพรึงเพริด


“ทำไมเธอถึงมาร่วมงานนี้ด้วยตัวเองได้ล่ะ” มู่หรงเซียนเอ๋อพูดออกมาอย่างสับสน

“นั่นสิ ก่อนหน้านี้เราก็ไม่เห็นเจอเธอที่หลังเวลาทีนี่นา หรือว่าเธอพึ่งจะมากัน” หยินหนิงหนิงพูดออกมา

ทั้งมู่หรงเซียนเอ๋อและหยิงหนิงหนิงต่างก็ประหลาดใจในทันทีที่เห็นนาหลันเฟยค่อยๆออกมาปรากฏตัวบนเวที

หวังจ้าว เฉิงหนาน และฉือชิงต่างก็จ้องมองออกมาด้วยสายตาที่เปล่งประกายเป็นพิเศษ แต่กับหวังซือหยา จูเจียนฮัว ถังเสี่ยวหยู ซูหยา หลิวฉิง ฉินซูหลัน และคนอื่นๆเองไม่ได้มีท่าที่ตอบสนองที่พิเศษอะไร

แน่นอนว่าในเหล่าแฟนคลับของซูจิ้งเองก็มีบางส่วนที่ไม่ได้มีดาราในดวงใจแค่เฉพาะซูจิ้ง และนาหลันเฟยเองก็เป็นหนึ่งในคนที่พวกเขาชื่นชอบ พวกเขานั้นรู้สุขมีความสุขจริงๆที่ได้เห็นเธอตัวเป็นๆแบบนี้


ในตอนนี้นาหลันเฟยก็เริ่มขยับตัวเองอย่างช้าๆ ตามมาด้วยซูจิ้งที่เริ่มดีดกู่จิ้งอีกครั้ง ทันทีที่ได้ยินเสียงกู่จิ้ง เธอก็เริ่มตอบสนองเสียงนั้นในทันที ในตอนนี้นาหลันเฟยกำลังระบำแสงจันทร์เพื่อเกี้ยวพาราศีดวงจันทร์ที่ฉายแสงอยู่บนท้องฟ้า


ความจริงแล้ว ต่อให้ไม่มีเสียงกู่จิ้งของซูจิ้งนั้น เธอก็สามารถเต้นได้อย่างดีเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ไม่ได้รับการบรรเลงของซูจิ้งส่งเสริม ทำให้ในตอนนี้การร่ายรำของเธอราวกับกำลังโบยบินบนท้องฟ้าเพื่อเกี้ยวพาราศีดวงจันทร์อยู่จริงๆ ถึงแม้จะบอกว่าเธอจะแปลกใจอยู่บ้างเพราะเธอไม่คิดว่าซูจิ้งจะสามารถเล่นเพลงนี้ให้เธอ แต่เมื่อซูจิ้งเป็นคนเชิญชวนเธอมาแสดงในงานคอนเสริตนี้ จึงไม่แปลกที่เขานั้นจะเตรียมตัวมาก่อนแล้วเหมือนกัน

ด้วยท่วงทำนองของกู่จิ้งที่ซูจิ้งเป็นคนดีด นี่ช่วยทำให้นาหลันเฟยสามารถขับร้องและเต้นรำได้อย่างไหลลื่นและทรงพลังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ถึงแม้จะบอกว่าเพลงนี้คือเพลงประจำตัวของเธอ และเธอเองก็ฝึกอยู่เป็นประจำจนถึงขั้นช่ำชองแล้วก็ตาม แต่เธอเองก็รับรู้ได้ในทันทีว่าการร้องและระบำในครั้งนี้คือครั้งที่ดีที่สุดในชีวิตของเธอ ทั้งเธอและผู้ชมต่างก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่ไม่เคยสัมผัสได้จากเพลงนี้มาก่อนเลยทีเดียว


และหลังจากเพลงนี้จบลง เหล่าผู้ชมทั้งในคอนเสริตและสตรีมต่างกู่ร้องออกมาด้วยความปลื้มปลิ่มและมีชีวิตชีวา

นาหลันเฟยเองก็ได้ทำการโค้งคำนับให้ผู้คนพร้อมโบกมือและกล่าวขอบคุณเหล่าผู้ชมทั้งหลาย หลังจากเธอกล่าวเสร็จสิ้น ไฟบนเวทีก็ได้ดับลง จากหนึ่งวิ สองวิ สามวิ ล่วงเลยกว่าครึ่งนาที จนทำให้ในตอนนี้เหล่าผู้ชมต่างก็เริ่มรู้สึกแปลกๆอย่างบอกไม่ถูก

ทันใดนั้น แสงไฟก็ได้สาดกระทบไปยังฝากฝั่งหนึ่งของเวที ในตอนนั้นเองก็ได้มีชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่แล้ว

ใบหน้าของเขาเองก็ได้ปรากฏขึ้นที่จะสกรีนด้านหลัง แสดงให้เป็นใบหน้าของเขาอย่างกระจ่างชัดว่าคือผู้ใด และนั่นทำให้ผู้ชมหลายคนต่างกรี๊ดกร๊าดออกมาอย่างดังลั่นในทันที

ชายคนนี้คือนักร้องที่โด่งดังมากๆคนหนึ่ง ถึงมาว่าช่วงเวลาที่ผ่านมานั้น ชายคนนี้ได้ได้ออกผลงานเพลงออกมามากนัก

แต่ด้วยน้ำเสียงอันทรงพลังของเขานั้นได้ทำให้มีแฟนเพลงหลายๆคนที่ติดตามมานานมากต่างก็จดจำได้ทันทีว่าเขานั้นคือใคร


ถัดมานั้น อีกฝากฝั่งของเวทีก็ได้มีหญิงสาววัยกลางคนที่อยู่ในชุดสุดเซ็กซี่และร้อนแรงคนหนึ่งปรากฏขึ้นมา เธอเองก็เป็นนักร้องสาวที่มีน้ำเสียงทรงพลังมากๆอีกคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้เธอมีปัญหากับร่างกายจนทำให้ห่างหายจากวงการไปนาน

แต่ด้วยความช่วยเหลือจากผลิตภัณฑ์ต่างๆของซือหยาทำให้เธอกลับมาผอมและยังดูเซ็กซี่ยิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำ

เหล่าผู้คนที่เห็นต่างก็ตะลึงกันในทันที พร้อมทั้งความสงสัยภายในใจที่ว่า สุดยอดนักร้องทั้งสองคนนี้ต้องการร้องเพลงคู่ด้วยกันงั้นเหรอ

แต่ไม่ทันที่ความสงสัยของเหล่าผู้ชมจะหายไปนั้น ในตอนนี้ก็ได้ปรากฏนักร้องชายคนหนึ่งที่กำลังโด่งดังที่สุดแห่งยุค ได้มาปรากฏกายอยู่กลางเวที

และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ในตอนนี้ได้มีนักร้องมากมายทยอยปรากฏขึ้นมาบนเวทีมีทีละคน ทีละคน มีแม้กระทั่งดาราหนังแอคชั่นด้วยซ้ำ แม้ตัวเขานั้นจะไม่ได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ในเมืองจีน แต่เขานั้นกลับไปโด่งดังในต่างประเทศซะมากกว่า

นอกจากนี้ยังมีเหล่านักร้องที่เคยสร้างความบันเทิงไว้มากมายตั้งแต่ยุค 80 ยุค 90 และในยุคปัจจุบัน เรียกได้ว่าเพลงๆนี้คือเพลงที่รวบรวมเหล่าซุปเปอร์สตาร์ไว้อย่างแท้จริง แน่นอนว่าหนึ่งในนี้เองก็มีนาหลันเฟยอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน โดยตอนนี้เธอยืนอยู่ที่มุมขวาของเวที

เรียกได้ว่าในตอนนี้เหล่าผู้ชมคอนเสริตทั้งที่อยู่ในงานและในช่องสตรีม แทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่าจะมีโอกาสได้เห็นงานรวมดาราแบบนี้ขึ้นมาได้ โดยเฉพาะการที่ทำให้เหล่าดารามายืนพร้อมกันบนเวทีได้แบบนี้ งานนี้อย่าเรียกว่างานคอนเสริตเลย แม้แต่จะเรียกว่างานเทศกาลดนตรีก็ยังน้อยไปด้วยซ้ำ


“พระเจ้าช่วย…. นี่ฉันตาฝาดไปรึเปล่า ดาราชื่อดังทั้งนั้นเลยนี่นา”

“ฉันเองก็นึกว่าตาฝาดไปเหมือนกัน แต่นี่มันช่างเหลือเชื่อแบบสุดๆเลย”

“การที่ได้มาร่วมงานนี้ได้นั้นคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้มเสียอีก ไม่เพียงจะได้เห็นการแสดงของพี่จิ้งกับตาตัวเองแล้ว ยังได้เห็นเหล่าสุดยอดดารามากมายขนาดนี้ในครั้งเดียวอีกด้วย”

“พี่จิ้งนี่หน้าใหญ่หน้าโตจริงๆถึงได้ชวนพวกเขามาได้เยอะแยะขนาดนี้”


ในขณะที่ผู้ชมทุกคนกำลังตะลึงพรึงเพริดอยู่นั้น ในตอนนั้นเองก็ได้มีเสียงเพลงเสียงหนึ่งปรากฏขึ้นมาจนทำให้ทุกคนนั้นต่างก็นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย

ด้วยการที่เพลงนี้มันคุ้นหูมากจนในที่สุดทุกคนก็นึกออกว่ามันคือเพลงอะไร นั่นก็คือเพลงที่ใช้ประกอบงานแข่งกีฬาโอลิมปิกเมื่อปี2008 หรือก็คือเพลงขอต้อนรับสู่ปักกิ่ง

ในตอนนี้เองที่เหล่าสุดยอดดาราทั้งหลายได้รำลึกถึงความหลังในครั้งเก่าก่อน และสามารถร้องตามได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน ถึงแม้ว่าดาราที่ได้มีโอกาสร้องเพลงนี้ในวันนั้นจะมีเพียงครึ่งเดียว แต่ก็บอกได้เลยว่าในที่นี้ไม่มีดาราคนไหนเลยที่จะร้องไม่ได้เลยสักคน


ผู้คนที่ในตอนนี้ได้เห็นฉากร้องเพลงนี้ก็ได้มีท่าทีทึ่งๆออกมาไปตามๆกัน นั่นก็เพราะการที่สุดยอดดาราเหล่านี้มารวมตัวกันที่นี่เพื่อเพลงๆเดียวแบบนี้ทำให้อดไม่ได้ที่จะทำให้ผู้ชมคิดว่านี่มันไม่เกินไปหน่อยรึเปล่า

ถึงแม้ว่าการที่สามารถเชิญสุดยอดดารามากมายเหล่านี้มาได้แต่จะให้ออกมาร้องเพลงคนละเพลง ต่อให้ลากยาวข้ามคืนจะยังไม่หมดจึงถือว่าเป็นไปไม่ได้ก็จริง

แต่การให้สุดยอดดาราเหล่านี้มาที่นี่เพียงเพื่อร้องเพลงๆเดียวแบบนี้มันก็มากเกินไปจริงๆ ที่สำคัญที่สุดคือเหล่าแฟนคลับของซูจิ้งเองต่างก็ไม่คิดว่าซูจิ้งนั้นจะหน้าใหญ่พอที่จะทำได้จนถึงขนาดนี้

เรียกได้เลยว่าการรวมตัวกันของสุดยอดดาราในวันนี้นั้นมากเกินไปโดยเฉพาะกับงานคอนเสริตที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่เหมือนกับงานโอลิมปิกของปักกิ่ง แต่สุดยอดดาราเหล่านี้ก็ยังรวมใจกันมาที่นี่ได้


ในตอนแรกทุกคนต่างก็คิดว่าตัวเองเข้าใจผิดไปในความคิดเหล่านี้ แต่ก็ต้องตกตะลึงอย่างเต็มที่เพราะสิ่งที่พวกเขาคิดนั้นดันเป็นจริง นั่นก็เพราะในตอนนี้ดารามากมายบนเวทีต่างก็เริ่มร้องเพลง ขอต้อนรับสู่ปักกิ่งแล้ว

“อาจิ้งนี่หน้าใหญ่ชะมัดเลยจริงๆ” หวังซือหยาที่เริ่มตั้งสติได้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาเบาๆพลางใช้ความคิดของตัวไปด้วย เธอนั้นคิดว่าการที่ซูจิ้งมาชวนนักแสดงในสังกัดของเธอนั้นเป็นเพราะว่าเขานั้นหาคนไม่ได้แล้วจริงๆ แล้วทำไมกลายเป็นว่าพวกสุดยอดดาราเหล่านี้ถึงมาที่นี่ได้กันล่ะ

“นี่มันยิ่งกว่ากันมาเข้าร่วมเพื่อไว้หน้ากันแล้วนะ ดาราบางคนเองยังคงเป็นดาราใหญ่และวุ่นวายอยู่กับการถ่ายละคร หนัง และรายการต่างๆ บ้างก็ยังคงต้องเตรียมตัวออกเพลงใหม่ บางคนตอนนี้ถ่ายหนังอยู่ต่างประเทศด้วยซ้ำ

การที่สุดยอดดาราเหล่านนี้มารวมตัวกันที่นี่ได้ไม่ใช่แสดงว่าพวกเขาต่างก็เห็นแก่ซูจิ้งหรอกเหรอ อีกอย่างการที่พวกเขาต่างก็พร้อมใจร้องเพลงขอต้อนรับสู่ปักกิ่งแบบนี้นี่หมายความว่ายังไงกัน” จูเจียนฮัวแสดงความคิดเห็นอย่างตกตะลึงออกมา

“ฉากนี้มันช่างเกินบรรยายเลยจริงๆ” ฉินซูหลาน หลิวฉิง และคนอื่นๆต่างก็รู้สึกว่างานคอนเสริตในครั้งนี้นั้นมันช่างยิ่งใหญ่อลังการจริงๆเพราะว่าได้รวมเอาเหล่าดาราชั้นนำมาไว้มากมายเพียงเพื่อที่จะร้องเพลงเพียงหนึ่งหรือสองเพลงแบบนี้ นี่ไม่ได้ต่างกับการใช้มีดฆ่าวัวมาเชือดคอไก่เลยจริงๆ ซูจิ้งนี้หน้าใหญ่จนทะลุฟากฟ้าไปแล้วใช่ไหมเนี่ย


ในตอนนี้เหล่าผู้ชมคอนเสริตในครั้งนี้ ทั้งที่เข้าร่วมงานและดูจากช่องสตรีมต่างก็บังเกิดความรู้สึกที่คล้ายๆกันนั่นก็คือการเปี่ยมสุขและตื่นเต้นอย่างที่สุด

มันเป็นความรู้สึกที่พวกเขานั้นยากที่จะอธิบายออกมาได้จริงๆ ที่ใกล้เสียงที่สุดก็คงจะเป็นการซื้อลอตเตอรี่เสี่ยงโชคเพื่อหวังจะถูกรางวัลเล็กๆ แต่ปรากฏว่ามารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ถูกรางวัลที่หนึ่งไปแล้ว

เรียกได้ว่าเป็นความรู้สึกที่ได้รับมาแต่ก็ยังไม่เชื่อว่าได้รับความสุขนั้นมาจริงๆเลยก็ว่าได้ ประหนึ่งดังพวกเขาใช้โชคช่วยชีวิตแลกความสุขนี้มาเลยทีเดียว

นักข่าวที่เห็นฉากนี้เองก็อดไม่ได้ที่จะถ่ายรูปนี้แล้วทำหัวข้อข่าวรายงานขึ้นไปบนช่องของตัวเองในทันที แต่ในทันทีที่มีบางคนเห็นข่าวนี้ ตอนนั้นเองก็เริ่มมีคนที่รู้สึกถึงความผิดปกติได้แล้ว แน่นอนว่ารวบถึงตัวแทนของนักข่าวคนนี้ที่ได้เห็นรูปดาราคนหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาว่า “ได้ยังไงกัน กี่เชิงไปถ่ายหนังอยู่อเมริกานี่นา แถมเขานั้นยังไม่ได้มีกำหนดจะกลับมาเมืองจีนด้วยซ้ำนี่ แล้วเขาจะไปร่วมงานคอนเสริตของซูจิ้งได้ยังไงกัน

ไม่สิ นาหลันเฟยเองก็เหมือนกัน เธอในตอนนี้สมควรจะถ่ายรายการอยู่ที่ช่องแมงโกนี่นา เมื่อกี้คนของเราพึ่งจะไปสัมภาษณ์เธอมาเองนะ แล้วเธอจะไปปรากฏตัวในที่ๆอยู่ไกลจากที่นี่นับพันกิโลเมตรได้ยังไงกัน นี่ยังไม่ผ่านไปเกินสิบนาทีด้วยซ้ำ”

“แต่พวกเขาอยู่ที่นี่จริงๆนะครับ ลองดูนี่สิครับ มีทั้งภาพและวิดีโอเลยนะ”

“นายแน่ใจนะว่านายถ่ายมาเองกับตา”

“แน่ใจสิครับ จะให้ผมสตรีมเลยไหมล่ะ”

“อะไรวะเนี่ย”

ในตอนนี้เหล่านักข่าว ผู้แทนดารา และผู้ชมบางคนเองก็เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆแล้ว ทุกคนที่สงสัยแทบจะรวมตัวกันเพื่อทำการสืบสวนในเรื่องนี้ทันที

แต่ผลลัพธ์ที่พบนั้นกลับทำให้ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะในตอนนี้เหล่าดาราที่ปรากฏตัวในงานคอนเสริตที่สมควรจะอยู่ที่อื่นนั้น พวกเขาต่างก็อยู่ในสถานะขอเวลานอกกักตัวเองอยู่ในห้องกับทั่วทุกคน นี่ทำให้เหล่าผู้คนต่างยิ่งสับสนยิ่งกว่าเดิม


GGS:บทที่ 1121 ตกตะลึง


ณ สถานีถ่ายทำรายการของแมงโก้ทีวี นาหลันเฟยนั้นเดิมทีได้มีกำหนดในการถ่ายรายการอยู่ก่อนแล้ว เมื่อถังช่วงหนึ่ง เธอก็ได้ขอตัวออกมาพักถ่ายรายการเพื่อที่จะไปช่วยซูจิ้งร้องเพลงในคอนเสริตของเขา

ด้วยการที่การถ่ายรายการโดยปกตินั้น ดารามีการขอพักเหนื่อยกลางคันอยู่แล้วก็เลยไม่มีใครนึกเอะใจอะไรแม้แต่น้อย และด้วยช่วงเวลาที่ทางรายการยอมให้พักในแต่ละครั้งก็นานพอที่จะทำให้เธอสามารถร้องเพลงให้ซูจิ้งได้สักเพลงสองเพลงอย่างสบายๆ


ในตอนนี้เอง คนของซูจิ้งที่ส่งมาก็เตรียมสถานที่สำหรับถ่ายทำเอาไว้แล้ว ถึงแม้ว่านาหลันเฟยจะนึกสงสัยอยู่บ้างที่ทำไมซูจิ้งถึงกับส่งคนของตัวเองมาทั้งที่มันก็แค่สตรีมการร้องเพลงของเธอเท่านั้น

แต่ในเมื่อเรื่องในครั้งนี้หากเกิดปัญหาอะไรขึ้นมาเรื่องทั้งหมดจะเป็นซูจิ้งที่รับผิดชอบ แน่นอนว่าเธอยินดีและมีความสุขอย่างมากที่ไม่ต้องทำนู่นทำนี่ด้วยตัวเอง

หลังจากที่ร้องเพลงไปสองเพลงจนจบลง ตอนนั้นเองผู้ช่วยของเธอก็ได้นำโทรศัพท์มือถือมาให้ เมื่อเธอดูแล้วว่าเป็นเพื่อนของเธอจึงได้รีบรับสายในทันที

“ที่ร้ากกกกก ไหนเธอบอกว่าจะไปถ่ายรายการที่สถานีของแมงโก้ทีวีไม่ใช่เหรอ” เสียงหญิงสาวหวานหยาดเยิ้มคนหนึ่งได้ถามออกมาด้วยความรู้สึกสงสัยเต็มประดา

“ก็ถ่ายอยู่นี่” นาหลันเฟยตอบกลับไปอย่างงงๆ

“ไม่จริงอ่ะ ตอนนี้เธอต้องอยู่ในงานคอนเสริตของซูจิ้งแน่ๆ”

“ไม่ใช่นะ ตอนนี้ฉันอยู่ที่สถานีของแมงโก้ทีวีจริงๆ เธอได้ยินมาจากไหนเนี่ยว่าฉันไปเข้าร่วมงานคอนเสริตของซูจิ้ง ใครกันที่กล้าจะปล่อยข่าวลือแบบนี้ออกมา”


“ข่าวลืออะไร ฉันยังอัดวิดีโอสตรีมสดเอาไว้เลย เธอด้วยตาของตัวเองก็ได้” เมื่อพูดจบ หญิงสาวที่ปลายก็ได้ส่งคลิปวิดีโอมาให้เธอดู

นาหลันเฟยเองที่โดนกล่าวหาขนาดนี้จึงได้รีบเปิดดูในทันที แต่ทันทีที่เธอเห็น ตาของเธอก็ตกใจจนเบิกกว้างอย่างที่สุดราวกับได้เห็นพูดผีในทันที

ตอนนี้สมองเธอแทบจะตัดการรับรู้ต่างๆไปโดยสิ้นเชิงเลยทีเดียว นั่นก็เพราะเธอได้เห็นคนที่เหมือนเธออย่างกับแกะยืนอยู่กลางเวทีและร้องเพลงแบบเดียวที่เธอได้ร้องเมื่อกี้ ทั้งคำพูด ท่าทาง และคำร้อง เรียกได้ว่าไม่ว่ามองยังไงก็ต้องคือเธออย่างแน่นอน แต่ประเด็นคือเธอไม่ได้ออกจากสถานีแห่งนี้แม้แต่น้อย


ณ สตูดิโออัดเพลงแห่งหนึ่ง นักร้องสาวสุดเซ็กซี่ที่พึ่งจะหยุดการถ่ายวิดีโอเพื่อช่วยคอนเสริตของซูจิ้งนั้นกำลังจะเดินออกจากห้อง โดยมีคนที่ซูจิ้งส่งมานั้นทำการช่วยเธออัดวิดีโอไว้

หลังจากที่เธอพึ่งจะก้าวออกไปจากห้องนั้น ตอนนั้นเอง ผู้จัดการของเธอก็ได้ก้าวเข้ามาหาด้วยสีหน้าแตกตื่นพร้อมกับเปิดคอมพิวเตอร์ที่กำลังเล่นวิดีโอที่มีฉากนักร้องแสนเซ็กซี่คนนี้อยู่

“ฉันพึ่งจะร้องเพลงเสร็จเองนะ ไม่เห็นจะต้องรีบเอาอะไรมาให้ดูเลยนี่นา ขอพักก่อนไม่ได้เหรอ” นักร้องสุดแสนจะเซ็กซี่ได้ถามออกมา


“…..มันคือวิดีโอคอนเสริตของซูจิ้ง…” ตัวแทนของเธอได้พูดออกมา

“แล้วยังไงล่ะนะ ถ้าเขาให้ฉันไปร้องที่นั่นด้วยตัวเองล่ะก็จะดีกว่านี้อีกตั้งหลายเท่า….” นักร้องสาวสุดพูดออกมาด้วยเสียงใสกระจ่าง แน่นอนว่าตัวแทนของเธอผู้นี้ต้องรู้อยู่แล้วว่าเธอสตรีมการร้องเพลงจากที่นี่

แต่ในทันทีที่เห็นฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เธอถลึงตาโตออกมาด้วยความตกใจไมได้พร้อมกับพูดออกมาว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน”


ในขณะเดียวกัน เหล่าสุดยอดดาราทั้งหลายที่ได้เข้าไปช่วยซูจิ้งร้องเพลงในคอนเสริตนี้ต่างก็ต้องพบกับเรื่องแปลกประหลาดนี้กันอย่างถ้วนหน้า

แต่ให้ไม่ได้ประสบด้วยตัวเองก็ต้องมีเพื่อนฝูงหรือแม้แต่คนที่ทำงานด้วยโทรหาด้วยกันไปหมดเลยทั้งสิ้น และตอนนี้เองที่ทำให้สุดยอดดาราทุกคนต่างก็รู้ตัวแล้วว่า การสตรีมร้องเพลงในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดาซะแล้ว

ส่วนทางด้านคอนเสริตนั้น หลังจากที่ดาราทุกคนได้ร้องเพลงยินดีต้อนรับสู่ปักกิ่งจบไปแล้ว ทุกคนยังยืนอยู่นิ่งๆและยังไม่ได้ไปไหนแต่อย่างใด

เหล่าผู้ชมและนักข่าวต่างก็รู้สึกมหัศจรรย์ใจกับฉากที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้อย่างมาก พวกเขาสงสัยกันจริงๆว่าเหตุใดกันที่ทำให้เหล่าสุดยอดดาราเหล่านี้มารวมตัวกันได้ แถมตอนนี้ทุกคนยังไม่มีทีท่าจะไปไหนแถมยังแข็งค้างราวกับเห็นผีจนทำให้ตอนนี้เหล่าผู้ชมรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างผิดปกติแน่ๆ


อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีอีกหลายๆคนที่ไม่ได้สังเกตถึงเหตุปกติที่เกิดขึ้น และบางคนยังมีท่าทีตื่นเต้นยินดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างออกนอกหน้าที่ได้เห็นเหล่าดาราที่ตัวเองชื่นชอบมาอยู่ในที่เดียวกันแบบนี้

ในตอนนี้เอง ชายหนุ่มคนหนึ่งก็ได้ปีนขึ้นไปบนเวทีโดยที่หลุดรอดสายตาของหน่วยรักษาความปลอดภัยขึ้นไปได้ยังไงก็ไม่รู้

เขาได้ถือช่อดอกไม้ช่อหนึ่งพุ่งตรงเข้าไปหาสุดยอดดาราคนหนึ่งนั่นก็คิดราชานีนักร้องที่โด่งดังไปทั่วทั้งประเทศในขณะนี้ หลังจากที่ไปถึงแล้ว เขาก็ได้ยื่นดอกไม้ไปให้เธอคนนี้ในทันที

อย่างไรก็ตาม ดารานักร้องคนนี้ไม่ได้มีท่าทีจะมองเขาแต่อย่างใด เธอกำลังอยู่ในท่าทีที่กำลังมองตรงไปข้างหน้าราวกับไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงยิ้มออกมาอย่างสวยงามแต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนท่าทีไปเลยสักนิด


ชายหนุ่มคนนี้เมื่อเห็นว่ามีอะไรบางอย่างแปลกๆ เขาเริ่มสังเกตเห็นแล้วราชินีเพลิงที่กำลังอยู่ตรงหน้านี้เหมือนจะไม่เห็นเขาเลยแม้แต่น้อย และยิ่งดูไปเนิ่นนานก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายของราชินีเพลงคนนี้ดูเลือนรางโปร่งใสพิกล ร่างของเธอนั้นดูหลอนๆราวกับเป็นเงายังไงก็ไม่รู้


แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มคนนี้จะได้พิสูจน์อะไรไป เขาก็ได้ถูกหน่วยรักษาความปลอดภัยสองคนตรงเข้ามาพาเขาลงไปจากเวทีอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มเองที่เห็นที่ไม่ดีเพราะตอนนี้เขานั้นถูกล้อมเอาไว้แล้ว เขาจึงได้พยายามที่จะวางดอกไม้ให้กับมือของเธอเองโดยมุ่งหวังที่จะวิ่งไปหาซูจิ้งหลังจากนี้เพราะเขาเองก็เป็นแฟนคลับของซูจิ้งด้วยเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่เขาจะได้วิ่งออกไป ทันทีที่เขาได้จับมือราชินีนักร้องคนนี้ เขาก็ต้องพบกับเรื่องที่แปลกประหลาด ดอกไม้ที่ควรจะอยู่ในมือของราชินีนักร้องกับร่วงหล่นไปยังเท้าของเธอแบบดื้อ และนี่ไม่ใช่การร่วงหล่นโรรมดาแต่เป็นการทะลุผ่านราวกับไม่มีอะไรขวางกั้นเลยแม้แต่น้อย

ส่วนดาราคนอื่นเองก็ไม่ได้มีท่าทีแตกตื่นหรือถอยหนีไปแต่อย่างใด ราวกับว่าสำหรรับพวกเขาแล้วนั้นไม่ได้รับรู้ส่งที่เกิดขึ้นเลยสักคน


“นี่…..” ชายหนุ่มที่เห็นฉากที่เกิดขึ้นนี้ถึงกับไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว เขาจ้องมองไปยังดอกไม้ที่ลงไปกองอยู่กับพื้นที่ทะลุผ่านร่างกายของราชินีนักร้องที่เขาชื่นชอบ

ในตอนนี้เหล่าผู้ชมที่เห็นแกนี้ต่างก็ตกตะลึงกันไปทั่ว ตอนนี้ทุกคนคิดได้อย่างเดียวเลยว่าสุดยอดดาราเหล่านี้ไม่ได้มาด้วยตัวเองอย่างที่ว่าเอาไว้จริงๆ แต่นี่พวกเขาส่งมาแต่วิญญาณของตัวเองรึยังไงกัน


“พระเจ้าช่วยเกิดอะไรขึ้นกันเนี่ย”

“…อย่าบอกนะว่า….ดาราที่มามากขนาดนี้นั้น….ล้วน…ล้วนแล้วแต่เป็น….ผี…”

“ผีบ้าผีบออะไรกันนี่มันโลกยุคศตวรรษที่21 แล้วนะ ถ้าฉันไม่ผิดล่ะก็ นี่….สมควรจะเป็น….สิ่งนั้น….”

“เกิดอะไรขึ้นกัน อย่าบอกนะว่านี่เป็นผลิตภัณฑ์ของซูจิ้งที่จะเอามาแถลงในงานครั้งนี้น่ะ” หวังซือหยาตกตะลึงและได้รีบถามหวังจ้าวและเฉิงหนานในทันทีที่เธอตั้งสติได้

“ถูกต้องนะคร้าบบบบบบ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม ส่วนเฉิงหนานเองก็มองหน้าหวังซือหยาด้วยรอยยิ้มเช่นเดียยวกัน

“แม่จ้าวววว นี่มันเรื่องอะไรกันแน่” ลู่ฉิงหยา หยางเว่ย จูเจียนฮัว หลิวหยิน และคนอื่นๆต่างก็แสดงท่าทีประหลาดใจออกมากันอย่างสุดๆ เพราะว่าพวกเขานั้นไม่ได้คิดว่ามันจะแปลกอะไรถึงขนาดนี้

“เข้า…ใจ…แล้ว….นี่มันเครื่องฉายภาพสามมิติชัดๆ” ฉินซูหลานได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น

“น่าจะใช่นะ พระเจ้า พี่จิ้งทำเรื่องสุดยอดอีกแล้ว” หลิวฉิงพูดออกมาด้วยท่าทางตื่นเต้น

“เป็นไปได้ยังไงกัน ไอ้เครื่องนั้นมันมีแต่ในนิยายกับหนังไม่ใช่เหรอ” โจวหลันที่ได้ยินก็แข็งค้างไปในทันทีพร้อมกับความรู้สึกที่ว่ายังไงก็ไม่เชื่ออย่างแน่นอน


ขณะเดียวกัน บนเวทีนั้น ชายหนุ่มที่นำดอกไม้ขึ้นมาก็ได้ถูกลากตัวลงไปจากเวทีด้วยหน่วยรักษาความปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว

ด้วยการที่เขานั้นยังอยู่ในสภาพที่ตกตะลึงจึงทำให้หน่วยรักษาความปลอดภัยนั้นพาตัวเขาลงไปได้อย่างง่ายดาย

ซูจิ้งเอง ในตอนนี้ เขา ได้เดินไปยังราชินีเพลงที่ชายคนนี้พยายามที่จะมอบดอกไม้ให้โดยตรง แต่เขาไม่ได้มีท่าทีที่จะหลบหลีกเหล่าดาราที่ขวางทางเข้าแม้แต่น้อย

เขาได้เดินทะลุล่างต่างๆไปมากมายจนถึงร่างของราชินีเพลงคนนั้น ก่อนที่จะก้มตัวลงไปหยิบช่อดอกไม้นี้ขึ้นมา พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ต้องขอบคุณดอกไม้นี้แทนเพื่อนของฉันด้วยนะ แต่น่าเสียดายที่เธอไม่ได้เข้ามาร่วมงานคอนเสริตนี้โดยตรง เอาเป็นว่าหลังงานนี้จบลงเดี๋ยวฉันจะนำไปมอบให้เธอให้”


ซูจิ้งได้นิ่งเงียบไปพร้อมรอยยิ้มครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาต่อว่า “ฉันเชื่อว่าในตอนนี้ทุกๆคนน่าจะพบความผิดปกติแล้วว่า เหล่าสุดยอดดาราทั้งหลายเหล่านี้ที่ในตอนนี้อยู่ต่างที่ ต่างเมือง แม้แต่อยู่ในต่างประเทศก็ยังมี แต่พวกเขาก็ยังมาปรากฎอยู่ที่นี่ได้

แล้วทำไมดอกไม้ช่อนี้ถึงได้ทะลุผ่านร่างของเพื่อนฉันคนนี้ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้แต่การที่ฉันได้เดินทะลุผ่านร่างของเหล่าสุดยอดดาราทั้งหลายมาโดยไม่แม้แต่จะมีการขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย”

ซูจิ้งได้นิ่งเงียบไปอีกครั้ง ก่อนที่จะมองไปเหล่าผู้ชมโดยรอบด้วยรอยยิ้มกว้าง ก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้งว่า “ตอนนี้ผมเชื่อว่าหลายๆคนเริ่มจะนึกออกแล้วว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ถูกต้องแล้ว พวกเขาที่อยู่ต่อหน้าพวกเราในตอนนี้ไม่ใช่ตัวคนจริงๆ แต่เป็นเพียงภาพเท่านั้น และภาพที่ว่าก็คือภาพจากเครื่องฉายภาพสามมิติที่พวกเรากลุ่มทันห้วงเวลาได้พัฒนาขึ้นมา”


ตอนนี้เหล่าผู้ชมที่ได้ยินนิ่งเงียบกันไปชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มหันไปคุยกันไปมาด้วยความตื่นเต้นอย่างออกท่าออกทาง

“พระเจ้า….เครื่องฉายภาพสามมิติที่เชื่อกันว่ามีแต่ในหนังเท่านั้น ในที่สุดก็มีอยู่บนโลกนี้แล้วจริงๆ”


GGS:บทที่ 1122 มือถือกาลเวลารุ่นที่สอง


เหล่าผู้ชมคอนเสริตของซูจิ้งในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่ในงานเองหรือแม้แต่คนที่ชมอยู่ผ่านสตรีมก็ตาม หลังจากที่เห็นฉากที่ซูจิ้งเดินทะลุร่างของเหล่าสุดยอดดารามากมายพร้อมทั้งได้รับฟังคำอธิบายของซูจิ้งไปแล้ว ก็ยังคงมีความรู้สึกที่ยากจะเชื่อได้อยู่ดี

“เครื่องฉายภาพสามมิติเหรอ เรื่องจริงแน่เร้ออออ”

“นายก็เห็นอยู่กับตาตัวเองไม่ใช่เหรอ แล้วยังคิดว่าเป็นเป็นเรื่องหลอกอีกได้ยังไง”

“ก็แหม่ จะไปให้เชื่อลงได้ง่ายๆยังไงล่ะ ก็ในเมื่อนี่เป็นเทคโนโลยีที่พวกเราจะเห็นได้จากในหนังแนววิทยาศาสตร์เท่านั้นเองนา ใครจะไปคิดว่าพวกเราจะได้เห็นเครื่องฉายนั่นกับตาตัวเองเร็วขนาดนี้”


“นายลืมไปรึเปล่าว่าคนที่พัฒนาเทคโนโลยีนี้คือกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของพี่จิ้งน่ะ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมามากมายอย่างระบบปัญญาประดิษฐ์ ระบบประสาทเทียม ระบบห้าจี ระบบไร้คนขับ และของอย่างอื่นที่ล้วนแล้วเป็นวิทยาการชั้นสูงที่ไม่มีใครคิดว่าจะมีชีวิตอยู่จนได้เห็นกับตาตัวเองทั้งนั้น หากคิดถึงเรื่องพวกนั้นแล้วไอ้ระบบฉายภาพสามมิตินี่ยังดูด้อยกว่าด้วยซ้ำ”

“นายนี่พูดออกมาซะฉันเถียงไม่ถูกเลยแหะ”


แน่นอนว่าต่อให้เหล่าผู้ชมทั้งหลายแค่เห็นเจ้าเครื่องนี้จากในหนังก็คิดว่ามันเจ๋งดีแล้ว นับประสามอะไรกับของจริงพอมาคิดๆดูแล้ว ในอนาคต การถ่ายทอดข้อมูลนั้นคงต้องไม่ใช่ของง่ายๆอย่างการส่งออกมาในรูปแบบวิดีโอ

แต่ยังไงซะ การถ่ายทอดภาพผ่านเครื่องฉายภาพสามมิติแบบนี้ พวกเขาแทบจะคิดไม่ออกเลยว่าจะช่วยสร้างความบันเทิงให้พวกเขาได้มากมายขนาดไหน

หากจะให้บอกว่าความแตกต่างระหว่างวิดีโอกับภาพสามมิติแบบนี้ต่างกันยังไงนั้น ความแตกต่างที่อจะบอกได้แน่แน่ก็คือวิดีโอนั้นส่างต่อมาได้แค่ภาพที่ติดๆกันและข้อความก็เท่านั้น


หากว่านำเทคโนโลยีนี้ไปใช้ในการถ่ายทำหนังและฉายเป็นภาพยนตร์ล่ะก็ อย่าว่าแต่จะไม่ต้องใส่แว่นสามมิติเลย ผู้ชมสามารถมองเห็นได้จนเกือบทุกด้านของเหตุการณ์ที่พยายามจะสื่อสารกับผู้ชมได้ด้วยซ้ำ ความแตกต่างนี้ช่างหนักหน่วงจนเทียบกันไม่ได้เลยจริงๆ

“หยาน้อย เธอว่าวิทยาการใหม่ของเราตัวนี้เป็นยังไงบ้าง” หวังจ้าวหันไปถามหวังซือหยาด้วยรอยยิ้มกระเช้าเย้าแหย่ราวกับเด็กอวดของเล่นเลยก็ว่าได้

“ไม่เพียงจะสุดยอดเท่านั้นแต่มันยังทำอะไรได้อีกต้องหลายอย่างอีกด้วย……ว่าแต่ นี่พี่จะมาทำอวดทำไมเนี่ย ฉันรู้นะว่าเรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของซูจิ้งแน่นอน” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม


“เฮ้เฮ้ นี่ถือว่าเป็นงานของพวกเราต่างหาก เขาจะทำมันขึ้นมาก็เหมือนๆกันนั่นล่ะ” หวังจ้าวพูดออกมมาด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้ออออ ท่านเทพของพวกเราทำเกินหน้าเกินตาอีกแล้วสิ” ลู่ฉิงหยาพูดออกมาพลางถอดถอนหายใจ

“ฉันว่าเขาก็ทำตัวเหนือเมฆแบบนี้มาตั้งนานแล้วนา…ฉันยังไม่เคยเห็นเขาทำอะไรที่ด้อยลงมาจากเดิมเลยสักอย่าง” หยางเว่ยพูดออกมาเหมือนจะปลอบใจแต่ตัวเองก็ถอดถอนหายใจออกมาเหมือนกัน

“ถึงแม้เขาจะคอยบอกอยู่ตลอดเวลาว่านี่เป็นเพียงงานอดิเรกของเขาเท่านั้น แต่ทุกๆครั้งที่เขาเอางานอดิเรกออกมาให้ดูนี่ทำให้ฉันตกใจได้เสียทุกครั้งเลยจริงๆ” จูเจียนฮัว หลิวหยิน เป็งหมิง ปันเสวี่ย เต็งหมินถัง ฉินซูหลาน โจวหลัน และคนอื่นๆ ที่เห็นการฉายภาพจากเครื่องฉายภาพสามมิตินี้ต่างก็ตื่นตกใจและตื่นเต้นไปพร้อมๆกัน เพราะไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าเจ้าเครื่องนี้กว่าจะมีก็อีกนานแสนนาน ไม่มีใครเลยที่จะคิดว่าจะได้เห็นในช่วงชีวิตนี้


ทันทีที่ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปนั้นทำให้เหล่าดาราที่เข้าช่วยร้องเพลงในงานคอนเสริตของซูจิ้งต่างก็ถูกสัมภาษณ์แทบจะในทันที

กับเรื่องนี้เหล่าดาราเองก็สัมภาษณ์ออกมาคลายๆกันว่าจะว่าแปลกใจก็ไม่ใช่ จะว่าไม่แปลกใจก็ไม่เชิง นั่นก็เพราะตอนที่พวกเขาร้องเพลงโดยให้คนของซูจิ้งถือกล้องถ่ายไว้นั้นพวกเขาไม่ได้มีความรู้สึกเอะใจอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่พอมารู้ตัวอีกทีว่าตัวอีกทีก็ตอนที่เห็นร่างของตัวเองไปปรากฏในงานเรียบร้อยแล้ว

แต่ที่แน่ๆ พวกเขาไม่แปลกใจอีกต่อไปว่าทำไมซูจิ้งถึงบอกให้พวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นด้วยตัวเอง นั่นก็เพราะพวกเขานั้นไม่จำเป็นต้องให้เหล่าดาราลำบากลำบนไปที่นั่นจริงๆ


ด้วยเครื่องฉายภาพสามมิตินี้เรียกได้ว่าเพียงพอเลยก็ว่าได้ เพราะนี่ไม่เพียงจะได้สร้างความบันเทิงให้กับเหล่าแฟนคลับของเขาได้เหมือนๆกันแล้ว เขายังได้โฆษณาวิทยาการใหม่ของเขาอีกด้วย

ถึงแม้ดาราทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกอย่างไงไม่รู้ก็ตาม แต่พวกเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกโกรธเคืองหรือแม้แต่คิดจะฟ้องร้องเอาคืนเลยแม้แต่น้อย

นั่นก็เพราะเมื่อเทียบกับการที่ถูกฉายภาพออกไปแบบทั่วๆไปแล้วล่ะก็ การที่ถูกฉายออกไปเป็นภายฉายสามมิติแบบนี้ ไม่เพียงจะไม่เสียเวลาหรือชื่อเสียงแล้ว พวกเขายังได้รับชื่อเสียงกลับมาด้วยซ้ำไป

ข่าวนี้ไม่เพียงจะกระจายไปทั่วประเทศเท่านั้น ในตอนนี้ข่าวเรื่องเครื่องฉายภาพสามมิติ ได้เผยแพร่ไปทั่วทั้งโลกเรียบร้อยแล้ว


ในตอนแรก คนต่างประเทศต่างก็คิดว่าเป็นบริษัทใหม่ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาโครงการนี้เท่านั้น ต่อพอได้ยินชื่อกลุ่มทุนห้วงเวลาฯ พวกเขานั้นแทบจะผละจากเรื่องทุกอย่างที่ต้องทำพร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่าทำไมถึงเป็นกลุ่มทุนห้วงเวลาได้อีกแล้วกัน นี่พวกเขาจะไม่เหลือช่องทางทำมาหากินให้คนอื่นเลยรึไง


ซูจิ้งที่ขณะนี้ยังคงยืนอยู่บนเวที เขานั้นได้พูดออกมาต่อว่า “ผมรู้ดีว่าทุกคนนั้นไม่ได้มีใครคาดคิดมาก่อนว่ายุคที่มีเครื่องฉายภาพสามมิติแบบนี้จะอยู่ในยุคของพวกเรา

และผมก็เชื่ออีกว่า ผู้คนที่อยู่ในยุคที่มีเครื่องฉายภาพสามมิติแบบนี้ สมควรจะได้รับอรรถรสในการดูภาพได้เต็มที่ยิ่งกว่าพวกเราในทุกวันนี้

แต่ผมเองก็ต้องขอสารภาพตามตรงเลยนะว่า สิ่งนี้ไม่ใช่เครื่องฉายภาพสามมิติอย่างที่พวกเราเคยเห็นกันอยู่ในหนัง เจ้าเครื่องนี้เป็นเพียงวิทยาการที่คล้ายๆกันเท่านั้น

เอาล่ะในเมื่อเวลาก็เรื่องเลยมาขนาดนี้แล้ว หากว่าใครมีกิจธุระหรือต้องรีบกลับบ้าน และคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าสนใจ พวกคุณสามารถขอตัวออกไปก่อนได้เลยนะ”


เหล่าผู้ชมทั้งหลายที่ได้ยินคำพูดของซูจิ้งต่างก็นิ่งอึ้งกันไปหมด ถ้าพวกเขาไม่เข้าใจไม่ผิดล่ะก็ซูจิ้งกำลังจะสื่อว่าสิ่งที่พวกเขาพึ่งจะเห็นกันต่อหน้าตัวเองไปนี้เป็นเพียงวิทยาการที่คล้ายๆกันเท่านั้น

นี่เท่ากับว่าสิ่งที่ซูจิ้งทำมาทั้งหมดนั้นเป็นเพียงแค่ตัวอย่างของสิ่งที่ซูจิ้งอยากจะนำเสนอในคำคืนนี้ใช่รึเปล่า

แล้ว….จริงๆแล้วเขาอยากจะแสดงอะไรให้พวกเขาดูกันแน่ล่ะ ด้วยคำถามที่อยู่ในใจนี้ที่คิดซ้ำวนไปมา ไม่มีผู้ชมในงานคนไหนเลยที่จะละจากความสนใจนี้และเดินจากไปได้เลยสักคน

“ในวันนี้…ผมขอบอกไว้ก่อนว่า คอนเสริตที่ผมจัดนั้น ต้องการที่จะตอบแทนเหล่าแฟนคลับของผมจริงๆ แต่พอดีว่ามีของอย่างอื่นเสร็จผมเลยคิดจำนำมาเสนอให้กับทุกคนได้เห็นก่อนใคร นั่นก็คือ โทรศัพท์การเวลารุ่นที่สองนั่นเอง”

เมื่อซูจิ้งพูดจบ เขาก็ได้หยิบโทรศัพท์ออกมาเครื่องหนึ่งโดยที่จอบนเวทีข้างหลังอันใหญ่ยักษ์ก็ได้ฉายภาพที่ซูจิ้งกำลังถือโทรศัพท์เครื่องนี้อยู่ ภาพที่เห็นนั้นช่างชัดเจนมากจนเรียกได้ว่ารายละเอียดภายนอกของโทรศัพท์เครื่องนี้ราวกับอยู่ตรงหน้าใกล้ๆ

“โทรศัพท์กาลเวลารุ่นแรกยังเป็นที่นิยมอยู่เลยนี่นา แล้วทำไมถึงได้รีบออกรุ่นที่สองเร็วนักล่ะ”

“ถึงจะบอกแบบนั้นแต่มันก็ดูบางและเท่มากเลยนะนั่น”

“พี่จิ้งบอกว่าภาพฉายสามมิติก่อนหน้านี้นนั้นเป็นเพียงวิทยาการที่ใกล้เคียงกัน….อย่าบอกนะว่านั่นเป็นภาพที่ส่งมาจากโทรศัพท์รุ่นนี้น่ะ”

“อา…จะมีหรือไม่แต่ตอนนี้ฉันอยากได้มาไว้สักเครื่องแล้วล่ะสิ”

“แล้วอย่างนี้ใครจะไปซื้อรุ่นที่หนึ่งกันล่ะนั่น”

“นายอย่าทำเป็นโง่ไปเลยน่า แน่นอนว่าเจ้ารุ่นที่สองนี้ต้องแพงกว่ารุ่นแรกเยอะมากแน่ๆ ถึงแม้จะมีคนที่ซื้อรุ่นที่หนึ่งไหว แต่ฉันว่าคนพวกนั้นซื้อรุ่นที่สองต่อไม่ไหวหรอก ต่อให้มาซื้อรุ่นที่สองเลยฉันว่าก็ยังยากเย็น ฉันว่ายังไงซะก็ต้องมีคนเลือกซื้อรุ่นแรกไว้ก่อนอยู่แล้ว”


“นี่นายว่ารุ่นที่สองนี่จะมองของเจ๋งๆอย่างเครื่องฉายภาพสามมิตินั่นอย่างเดียวรึเปล่า หรือว่าจะมีนวัตกรรมอื่นด้วยนะ”

“ฉันว่าเป็นไปได้ยากอยู่นะที่จะมีลูกเล่นเจ๋งๆแบบอื่นอีก เพราะรุ่นแรกที่ออกไปนั่นก็ถือว่าเหนือล้ำกว่าใครในโลกไปหลายขุมแล้ว

นี่พึ่งจะผ่านไปไม่กี่เดือนเอง ต่อให้กลุ่มทุนห้วงเวลาจะสุดยอดขนาดไหนก็ไม่น่าจะคิดค้นอะไรใหม่ๆได้เร็วนักนะ”

ถึงแม้จะมีเสียงพูดคุยกันอย่างนั้น แต่ซูจิ้งก็ได้พูดออกมาว่า “อย่างที่ทุกคนคิดนั่นแหล่ะครับ เจ้ารุ่นที่สองนี้มีวิทยาการที่คล้ายกับเครื่องฉายภาพสามมิติอยู่ นั่นก็คือสิ่งที่ทุกคนพึ่งจะเห็นไปกัน


ด้วยสิ่งนี้ การวิดีโอคอลของพวกคุณแน่นอนว่าจะไม่ใช่เพียงรูปแบนๆแต่เป็นการฉายออกมาเป็นสามมิติแบบนี้ ไม่ว่าคุณ จะอยู่ห่างไกลขนาดไหนก็ตาม เพียงเปิดระบบฉายภาพสามมิตินี้ในระหว่างการสนทนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รายรอบคุณ ก็จะไปปรากฏอยู่ที่ปลายทางในทันที

อย่างไรก็ตาม อย่างที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ว่าเครื่องฉายภาพนี้เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งที่ผมจะนำเสนอ และเจ้ารุ่นที่สอง ก็ยังมีวิทยาการใหม่แฝงเอาไว้อยู่อีกสองอย่าง และมันเจ๋งมากจนอยากจะตั้งชื่อให้มันว่าสุดยอดโทรศัพท์กาลเวลาเลยด้วยซ้ำ”


ผู้ชมที่ได้ยินในตอนนี้ราวกับจะตาลายในทันที ด้วยเวลาสั้นๆแบบนี้แต่กลุ่มทุนห้วงเวลาฯ ยังสามารถคิดค้นเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่มาใช้กับโทรศัพท์นี้ได้อีกอย่างนั้นเหรอ แถมยังตั้งสองอย่างอีก…ว่าแต่ มันคืออะไรล่ะ


ซูจิ้งได้ทำการพูดต่อว่า “อย่างแรก เอาจริงๆจะบอกว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ก็กระไรอยู่ เอาเป็นว่าผมจะบอกอย่างนี้ดีกว่าว่าของผมนั้นดีกว่า แม่นยำกว่า รวดเร็วและครอบคลุมกว่า นั่นก็คือ ระบบแปลภาษา

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าโทรศัพท์สมัยนี้ต่างก็มีระบบแปลภาษานี้ได้กันทุกเครื่อง แต่คำถามคือ ความแม่นยำของมันนั้นมีแค่ไหนกัน สำหรับเจ้ารุ่นที่สองนี้ มันได้ใส่ระบบแปลภาษาเอาไว้ในตัวแล้ว ไม่ว่าคุณจะพูดภาษาอะไรเข้าไป ไม่ว่าจะมีสำเนียงแบบไหนก็ตาม แต่ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ของเจ้ารุ่นที่สองนี้จะแปลออกมาได้อย่างรวดเร็วและมั่นยำไม่เหมือนกับระบบแปลภาษาทั่วไปที่เวลาพูดอะไรไปแล้วก็จะตอบกลับมาเพียงว่า ซี ซี ซี ซี ซี ซี เท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมท่าทางล้อเลียนราวกับว่าเขาเองก็เคยประสบปัญหานี้มามากมายนับครั้งไม่ถ้วน จนทำให้หลายคนต่างก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วเขาก็พูดต่อว่า


“ส่วนอย่างที่สองนี้ จะให้ผมพูดออกมานั้นมันก็ยากเกินกว่าจะอธิบายจริงๆ เอาเป็นว่าหากพวกคุณได้เห็นเองกับตาก็เพียงพอแล้ว”

เมื่อซูจิ้งพูดจบ เขาได้ปาโทรศัพท์ลงพื้นอย่างแรงก่อนที่มันจะกระเด็นกลับขิ้นมาบนมือของเขาอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้นิ้วของตัวเองจับโทรศัพท์ดัดจนอู่ในมุม90องศาอย่างง่ายดาย

เหล่าผู้ชมที่เห็นต่างก็ตกตะลึงพลางคิดขึ้นมาในใจว่าโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สองนี้ทำมาจากยางรึไงกัน

แต่ยังไม่ทันที่ทุกคนจะหายตกตะลึงดี อยู่ๆซูจิ้งก็ได้ไปแตะปุ่มหนึ่งของโทรศัพท์เข้า และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ก็เหมือนกับบค่อยๆหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว มันรวดเร็วมากชนิดที่ว่ากว่าทุกคนจะรู้ตัว เจ้ารุ่นที่สองก็ได้กลายเป็นนาฬิกาข้อมือไปแล้ว และในตอนนี้ซูจิ้งเพียงฟาดมันไปบนข้อมือ มันก็รัดพันอยู่บนข้อมูลของซูจิ้งเรียบร้อยแล้ว

เหล่าผู้ชมในตอนนี้ต่างก็นิ่งไปนานสองนาน จนในที่สุด ก็เกิดเสียงกระซิบกระซาบกันขึ้นว่า

“….. นี่ฉัน….ถูกผีหลอกรึเปล่า”

“เปล่า…พระเจ้าเถอะ โทรศัพท์เปลี่ยนเป็นนาฬิกาข้อมือได้งั้นเหรอ”

“เป็นไปได้ยังไงกัน ทำไมโทรศัพท์ถึงเปลี่ยนเป็นนาฬิกาข้อมือได้ล่ะ”

“อะไรกันเนี่ย อะไรกัน อะไรกัน อะไรก้านนนนน”


แต่เดิมนั้น เมื่อทุกคนได้ยินซูจิ้งกำลังจะแนะนำนวัตกรรมตัวสุดท้ายของโทรศัพท์มือถือกาลเวลารุ่นที่สองนี้ทุกคนเองก็เตรียมใจที่จะตกตำลึงไว้แล้วเหมือนกัน

ใครจะไปคิดว่าซูจิ้งไม่ได้อธิบายอะไรเลยอยู่ๆเขาก็ทำนู่นทำนี่และสุดท้ายมันก็กลายเป็นนาฬิกาข้อมือไปแล้ว นี่มันอยู่เหนือกว่าการคาดคำนวนของทุกคนไปไกลอย่างมาก

บอกได้เลยว่าขนาดเห็นกับตาตัวเองยังไม่อยากจะเชื่อเลย ไม่ต้องพูดถึงว่าจะไปอธิบายสิ่งที่เห็นนี้ให้ใครฟังได้

ที่พวกเขานั้นสงสัยในตอนนี้มากที่สุดก็คือ โทรศัพท์รุ่นที่สองนี้เปลี่ยนไปเป็นนาฬิกาข้อมือไปได้ยังไงกัน เวทย์มนต์อย่างนั้นเหรอ


GGS:บทที่ 1123 เทคโนโลยีไร้รูป


เหล่าผู้ชมทั้งหลายในตอนนี้ต่างก็เชื่อว่าการที่โทรศัพท์ซูจิ้งนั้นเปลี่ยนรูปร่างไปได้สมควรว่าเขานั้นจะให้ทริคมายากลบางอย่างทำให้โทรศัพท์เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นนาฬิกาต่อหน้าทุกคน

แต่ในตอนนั้นเอง ซูจิ้งที่เหมือนจะอ่านความคิดได้ ก็ได้พูดออกมาว่า “ทุกคนไม่ได้เห็นไม่ผิดหรอกนะ โทรศัพท์เครื่องนี้สามารถเปลี่ยนรูปร่างได้เป็นนาฬิกาได้อย่างแท้จริง”

เมื่อซูจิ้งพูดจบ เขาได้กดปุ่มที่นาฬิกาปุ่มหนึ่ง และในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ก็ได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นมือถืออีกครั้งหนึ่ง และในครั้งนี้ ทุกๆคนต่างก็เห็นได้อย่างชัดถนัดตา


หลายๆคนในตอนนี้อดที่จะหยิบมือถือนี้ออกมาถ่ายรูปซูจิ้งในตอนนี้ไว้ไม่ได้อีกต่อไป คล้ายๆกับอีกหลายๆคนที่กำลังดูเหตุการณ์ผ่านช่องสตรีม พวกเขาได้รีบทำการบันทึกภาพเหตุการณ์นี้ไว้ในทันที

“อ้อ แล้วก็ผมจะบอกเพิ่มให้อีกหน่อยว่า โทรศัพท์เครื่องนี้สามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้สี่รูปแบบ สองในสี่ทุกคนก็ได้เห็นกันไปแล้วนั่นก็คือโทรศัพท์และนาฬิกา ส่วนอีกสองรูปแบบนั่นก็คือแว่นตาและหูฟัง” เมือซูจิ้งพูดจบ เขาก็ได้เข้าไปแตะสัญญาลักษณ์หนึ่งบนหน้าจอของระบบปฏิบัติการ โทรศัพท์ก็ได้เปลี่ยนเป็นแว่นตา และเมื่อกดปุ่มหนึ่งบนแว่นตา แว่นตาก็ได้กลายเป็นหูฟังแทบจะในทันที

“พระเจ้าเถอะ นี่มัน… โทรศัพท์เปลี่ยนรูปร่างได้”

“……………..เท่โคตร………….”

“เป็นไปได้ยังไง มันช่างดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์เลยสักนิด”

“ฉันล่ะอยากจะรู้จริงๆว่าโทรศัพท์นี่มันเปลี่ยนรูปร่างตัวเองได้ยังไงกัน ตอนที่ใช้ๆแล้วขี้เกียจพกโทรศัพท์ก็เปลี่ยนเป็นนาฬิกา โทรศัพท์เข้ามาก็กดปุ่มเปลี่ยนเป็นหูฟัง ถ้าไม่อยากจะระวังอะไรมากก็แค่เปลี่ยนเป็นแว่นตาเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะสะดวกสบายไปกว่านี้แล้ว”

“ยิ่งไปกว่านี้คือ….มันคือสิ่งประดิษฐ์สุดล้ำแห่งยุคนี้เลยนะ”

“อะไรกันล่ะนั่น ของแบบนี้สร้างขึ้นได้จริงๆด้วยเหรอ” หวังซือหยาได้หันไปทางหวังจ้าวและเฉิงหนานด้วยสายตาฉงนสนเท่ห์ แต่เหมือนเห็นท่าทางของหวังจ้าวและเฉิงหนานที่กำลังอึ้งๆไปเหมือนกันนั้น เธอจึงได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า “…..อย่าบอกนะว่าไม่รู้เรื่องนี้เหมือนกันน่ะ”

ทั้งหวังจ้าวและเฉิงหนานต่างก็ส่ายศรีษะกันไปมาอย่างช้าๆ ทั้งสองรู้เพียงแค่ว่าโทรศัพท์รุ่นใหม่ของซูจิ้งนั้นมีระบบฉายภาพสามมิติเท่านั้น แต่ทั้งสองไม่รู้เลยสักนิดว่ามันสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้แบบนี้ ถึงแม้ว่าทั้งสองเคยคิดถึงเรื่องที่ว่ามันเปลี่ยนรูปร่างได้อย่างอิสระก็คงจะดีไม่น้อยเหมือนกันแต่นั่นมันก็คือเรื่องเพ้อฝันเกินไป

แต่เมื่อทั้งสองได้เห็นกับตาตัวเองแบบนี้แน่นอนว่าย่อมต้องประหลาดใจแบบสุดๆ ทั้งสองบอกได้เลยว่าพวกเขาสามารถคาดหวังกับโทรศัพท์รุ่นนี้ได้แบบสุดๆที่จะพาพวกเขาขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์แห่งการค้า

จูเจียนฮัว ฉินซูหลาน เติงหมิงถัง มู่หรงเซียนเอ๋อ และคนอื่นๆที่ค้นเคยกับซูจิ้งเป็นอย่างดี ต่างก็จ้องมองไปยังซูจิ้งที่กำลังยืนแสดงการใช้งานโทรศัพท์ไร้รูปนี้ราวกับมองเห็นมนุษย์ต่างดาว

“ที่ร้ากกกก ท่านเทพของเธอโดนมนุษย์ต่างดาวสิงร่างไปแล้วเหรอ” ลู่ฉิงหยาที่กำลังจ้องมองซูจิ้งที่ขณะนี้อยู่บนเวทีก็อดที่จะหันมาหาฉือชิงพร้อมมองไปที่หัวของเธอราวกับว่าจะเตรียมจะทำอะไรบางอย่าง

“พูดบ้าอะไรของเธอเนี่ย” ฉือชิงตอบกลับไปด้วยความรู้สึกที่เธอเองก็ยากจะบอกได้เหมือนกัน

“…..หากว่าเขาทำได้ถึงขนาดนี้ล่ะก็ ฉันบอกเลยว่าหากอยู่ๆเขาบอกว่าตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาวที่ลี้ภัยมานี่ฉันจะไม่แปลกใจอะไรเลยสักนิด” หยางเว่ยได้พูดออกมาพลางส่ายหน้าพร้อมถอดถอนลมหายใจด้วยเหตุที่ว่าเทคโนโลยีมันล้ำจนดูหลุดโลกราวกับเป็นเทพนิยายมากเกินไป


ซูจิ้งที่อยู่บนเวทีในตอนนี้ก็ได้รับรูปถึงความประหลาดใจของผู้คนที่กำลังดูฉากนี้อยู่ เขาจึงได้พูดออกมาต่อว่า “ก็อย่างที่ทุกคนได้เห็นกันนั่นแหล่ะ โทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สอง “สุดยอดแห่งกาลเวลา” นี้จะนำพาความสะดวกสบายขั้นสุดให้กับทุกคน


เจ้ารุ่นสองนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคมากที่สุด พวกเราจึงได้แบ่งรุ่นที่สองนี้ออกเป็นสองรุ่นย่อย หนึ่งคือรุ่นที่มีเพียงระบบเครื่องฉายภาพสามมิติ ระบบไร้ลักษณ์ และระบบแปลภาษาเพียงอย่างหนึ่งต่อหนึ่งเครื่อง ส่วนอีกรุ่นคือรุ่นที่มีระบบทั้งสามนี้ไว้ในเครื่องเดียวกัน แน่นอนว่าทั้งรุ่นย่อยระบบเดี่ยวนี้ได้ตั้งราคาเอาไว้เท่ากับรุ่นแรกระดับทั่วไปที่ขายก่อนหน้านี้อย่างไม่มีเกินเลย”

เหล่าผู้คนที่ได้ยินคำพูดนี้แล้วต้องการเปลี่ยนโทรศัพท์ของตัวก็กู่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้นยินดี

โทรศัพท์กาลเวลารุ่นแรกนั้นถึงแม้จะแพงมากจนยากจะถือครองแม้แต่รุ่นทั่วไปที่พอจะเข้าถึงกันได้ก็ยังมีเข้าเนื้อไปไม่มากก็น้อย

กับโทรศัพท์กาลเวลารุ่นสองนี้ หากจะให้เครื่องหนึ่งมีสองในสามของระบบนี้อยู่พวกเขาต่างก็รู้ดีว่าต่อให้ตั้งไว้ในราคารุ่นหรูสุดก็ไม่ได้น่าเกลียดเลยสักนิด

แต่นี่ซูจิ้งยินดีที่จะเสนอทางเรื่องให้คนทั่วไปอย่างรุ่นระบบเดียวที่มีราคาเทียบเท่ากับราคาของรุ่นทั่วไปที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ล่ะก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่านี้แล้ว หากพวกเขาอยากจะได้จริงๆแล้วซูจิ้งตั้งไว้ราคาเทียบเท่ากับรุ่นหรูสุดของโทรศัพท์กาลเวลารุ่นแรกล่ะก็ พวกเขายังนึกไม่ออกเลยว่าชีวิตนี้จะได้มีโอกาสได้มาครอบครองรึเปล่า

นี่มันไม่เหมือนกับการที่เอาของดีมายั่วแล้วมาบอกราคาที่ยากจะเข้าถึงได้แบบโทรศัพท์เจ้าอื่นๆที่อยากได้แต่ก็ไม่สามารถซื้อมาครอบครองได้

ถึงแม้พี่จิ้งของพวกเขาจะทำได้และได้กำไรงามเสียด้วย แต่เขาเองนั้นกับเลือกที่จะไม่ทำ

ความจริงแล้วโทรศัพท์ไร้ลักษณ์นี้ซูจิ้งเองก็อยากจะขายมันในราคาที่สูงเหมือนกัน แล้วใช้วิธีการแจกโปรโมชั่นเอาก็ยังได้

แต่ด้วยการที่โทรศัพท์รุ่นนี้นั้นใช้ค่าใช้จ่ายที่สูงมากและยากที่จะผลิตได้เป็นจำนวนมากเขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีนี้แทนเพื่อตัดปัญหาการผลิต

ระบบไร้รูปนี้แน่นอนว่าพัฒนามาจากโทรศัพท์ที่ซูจิ้งได้เจอจากห้วงเวลาฯมาร์เวลที่จากขยะกองล่าสุดที่ล่วงหล่นลงมาเมื่อเดือนถึงสองเดือนที่แล้ว

หลังจากทำการศึกษาอย่างหนักและลับสุดยอดโดยมีซูจิ้งเป็นคนคุมงานนี้ด้วยตัวเอง ในที่สุดพวกเขาก็บรรลุถึงเทคโนโลยีที่เรียกว่าเทคโนโลยีนาโนคอมพิวเตอร์


โดยปกติแล้วนั้นในการจะทำคอมพิวเตอร์สักตัวนั้น คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะต้องมีชิพคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเทียบเท่าเข็มหมดอยู่ภายใน หลังจากนั้นจึงใช้โปรแกรมควบคุมชิพเหล่านั้นให้ประมวลผลและทำงานตามที่ต้องการ และสมมติว่าสามารถทำชิพคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพเท่ากันแต่มีระดับที่เล็กมากๆได้ล่ะก็ แน่นนอนว่านอกจากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่าแล้ว ยังสามารถสั่งชิพคอมพิวเตอร์คิดวิเคราะห์และควบคุมสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น และผลลัพท์ของการสร้างชิพคอมพิวเตอร์นั้นได้ก็คือระบบไร้ลักษณ์นี้นี่เอง

ยกตัวอย่างเช่นโทรศัพท์ที่อยู่บนมือของซูจิ้งในขณะนี้ ด้วยการที่ตัวมันนั้นมีชิพคอมพิวเตอรที่ขนาดเล็กมากอัดแน่นอยู่ในพื้นที่น้อยๆกว่า 220 ตัว

ด้วยจำนวนชิพที่มากมายขนาดนี้ย่อมมากพอที่จะใส่คำสั่งให้มีระบบเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ได้ทั้งสี่รูปแบบ

หากว่าเป็นปกติแล้วล่ะก็ เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าอีกนานแค่ไหน เทคโนโลยีนี้ที่จะสามารถปรากฎบนโลกนี้ได้หากเขาไม่ได้วัตถุดิบวิจัยมา

และต่อให้มีใครสักคนที่ทำได้ล่ะก็ คนนั้นย่อมเป็นอัจฉริยะที่แท้จริงเหนือกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน แต่อัจฉริยะเช่นนั้น ก็คงต้องสมควรจะสั่งสมประการณ์มานานนับแรมปี แน่นอนว่าด้วยเทคโนโลยีของยุคสมัยนี้แทบจะไม่มีทางเลยที่จะไปถึงได้


ตัวเขาเองนั้นหลังจากใช้เวลากว่าสองเดือนเต็ม เหล่าสุดยอดนักวิจัยของเขาก็ยังศึกษาได้แค่ระดับผิวเผินเพียงเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมากกว่าจะทำเลียนแบบมาได้เครื่องหนึ่ง ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในการผลิตนั้นมากมายอย่างมหาศาลและไม่สามารถผลิตได้จำนวนมากในเวลาอันสั้นได้


การที่ซูจิ้งออกมาแถลงเปิดตัวโทรศัพท์ในงานคอนเสริตนี้นั้น เป้าหมายของเขาไม่ใช่ต้องการจะขายโทรศัพท์นี้เพื่อจะหาเงินแต่อย่างใด

สิ่งที่เขานั้นต้องการจริงๆคือการเรียกกระแสเท่านั้น และด้วยเหตุนี้ ในที่สุด สุดยอดแห่งโทรศัพท์กาลเวลานี้จะยิ่งผงาดมากว่าแต่ก่อนและโด่งดังจนทำให้คู่แข่งของเขาทำได้เพียงปิดปากเงียบไปเท่านั้น

การที่เขานั้นเล่นใหญ่ยอมหลอกลวงเหล่าดาราเพียงแค่นี้ก็สมควรจะมากพอแล้ว เพียงเท่านั้นเทคโนโลยีจะช่วยทำให้ตลาดในวงการโทรศัพท์มือถือมีความตื่นตัวในเรื่องคุณภาพให้มากขึ้น และจะทำให้วงการโทรศัพท์มือถือยกระดับขึ้นไปอีกขั้น

แน่นอนว่าในอนาคต เทคโนโลยีเหล่านี้จะง่ายและสามารถเข้าถึงได้แทบจะทั่วทุกคน รวมถึงสามารถผลิตได้ในจำนวนมากและราคาก็ต้องลดลงอย่างแน่นอน แต่ด้วยการกระทำของซูจิ้งนี้เปรียบได้ดั่งการขุดทอง ที่ใครเจอก่อนก็สามารถกอบโกยไปได้มากกว่าใคร

นอกจากนี้ เมื่อเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถผลิตได้ง่ายและแพร่หลายแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่หยุดอยู่แค่โทรศัพท์มือถืออย่างแน่นอน

ยกตัวอย่างเช่นระบบฉายภาพสามมิติที่สามารถนำไปใช้ได้หลากหลายรูปแบบ

อย่างเช่นใช้ประกอบการจัดงานเลี้ยงที่เพียงแค่ดาวน์โหลดสิ่งต้องการมาใช้ประสีสันของงาน

หลังจากนั้นเพียงกฎปุ่มเพียงปุ่มเดียว สิ่งที่ดาวน์โหลดมานั้นก็จะปรากฎต่อหน้าทั่วทุกคนและสร้างสีสันให้กับงานแบบเสมือนจริง นี่จะไม่เรียกว่าสุดยอดก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรแล้วเหมือนกัน


เมื่อมาถึงจุดนี้ ซูจิ้งไม่ได้พูดถึงโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สอง “สุดยอดกาลเวลา” นี้อีกต่อไป เหตุผลหลักๆก็คือเขาขี้เกียจจะพูดแล้ว เขาจึงได้พูดออกมาว่า “และนี่คือสิ่งสุดท้ายในคำคืนนี้ หากว่ามีคนสนใจอยากรู้อะไรเพิ่มเติมเกี่ยวกับโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สองนี้ต่อ สามารถที่จะเข้าไปเยี่ยมชมและหาข้อมูลเพิ่มเติมในเว็บไซต์ของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯของผมได้ทีหลังนะ

และสุดท้ายนี้ผมยินดีเป็นอย่างมากที่ทุกคนมาเข้าร่วมงานในครั้งนี้ และยังยินยอมที่จะให้ผมโฆษณางานของตัวเองในงานที่จัดขึ้นเพื่อตอบแทนทุกคน ส่วนเรื่องราคาตั๋วที่ต้องเก็บไปสิบหยวนนี่อย่าถือโทษโกรธผมกันเลยนะ” ซูจิ้งพุดออกมาพลางติดตลกจนทำให้ทุกคนขำกันไปทั่ว


ถึงแม้ว่าราคานี้จะเทียบไม่ได้กับคอนเสริตใหญ่ๆก็ตาม แต่ความสุข ความสนุกสนานและความตื่นเต้นนั้นสูงล้ำกว่างานคอนเสริตเหล่านั้นมากมายนัก

นี่ยังไม่รวมถึงการที่ในงานนี้มีการแสดงคู่จากมู่หรงเซียนเอ๋อและหยินหนิงหนิง ตลอดจนเหล่าสุดยอดดารามากหน้าหลายตามารวมอยู่ในที่เดียวแบบนี้ สำหรับพวกเขาแล้วนั้น อย่าเรียกว่าเป็นคอนเสริตราคาสิบหยวนเลย แม้แต่คอนเสริตราคาตั๋วนับร้อยนับพันหยวนก็มอบสิ่งเหล่นี้ให้พวกเขาไม่ได้อย่างแน่นอน

ในส่วนที่ว่าขอโทษมาโฆษณาปิดท้ายรายการของคอนเสริตนี่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาคิดว่าทุกคนจะถือโทษโกรธเรื่องนี้จริงๆรึยังไง

พวกเขาต่างก็รู้สึกหากวามีการโฆษณาที่ชวนตื่นตะลึงแบบนี้ล่ะก็ พวกเขายินดีที่จะให้มีโฆษณาแบบนี้ตลอดงานเลยก็ยังได้ ต่อให้พวกเขาต้องจ่ายเงินเพิ่มเท่าราคาตั๋วเข้างานเพื่อที่จะดูโฆษณาของซูจิ้งต่อเขาก็ยินดีที่จะทำ

นั่นก็เพราะนี่จะทำให้พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้เห็นสิ่งนี้ก่อนใคร และนั่นจะทำให้เมื่อกลับออกไปนั้น พวกเขาก็จะต้องโดนรุมล้อมจากเพื่อนฝูงเพื่อถามเท่าเกี่ยวโทรศํพท์กาลเวลารุ่นที่สองนี้แน่ๆ เรียกได้เลยว่าพวกเขาจะได้มีสิ่งที่เอาไว้คุยโวได้อีกยาว


และในท้ายที่สุดนี้ ซูจิ้ง ได้ดีดกู่จิ้งเป็นเพลงการจากละของเป่ยหยวนเป็นเพลงส่งท้าย และเหล่าแฟนเพลงต่างก็ยินดีที่จะค่อยจากละไปอย่างไม่ค่อยจะอยากให้งานนี้จบลงเลยก็ตาม

อย่างไม่ต้องสงสัย คอนเสริตนี้ได้รับความนิยมอย่างที่สุดฉุดไม่อยู่ วิดีโอการสตรีมถูกส่งต่อกันในอินเตอร์เนตไปอย่างบ้าคลั่ง

แต่ที่จะโด่งดังมากกว่าคอนเสริตในครั้งนี้ก็คงจะเป็นโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สอง “สุดยอดกาลเวลา” ที่มีข้อมูลถูกส่งต่อไปทั่วโลกเพียงแค่ชั่วข้ามคืน


GGS:บทที่ 1124 อะไรอีก


หลังจากจบงานคอนเสริตของซูจิ้งไปนั้น ซูจิ้ง ฉือชิง หวังจ้าว หวังซือหยา และเฉิงหนาน ได้ร่วมนั่งดื่มกันบนหรูคันหนึ่ง

พวกเขารวมตัวกันเพื่อฉลองที่คอนเสริตในครั้งนี้จบลงด้วยดี และการแถลงข่าวเปิดตัวโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สอง “สุดยอดกาลเวลา” เป็นไปได้อย่างราบลื่นและสร้างแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ไปยังทั่วทั้งโลก ด้วยสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขานั้นต่างก็รู้สึกเป็นสุขอย่างที่สุด

ถึงแม้ว่าพวกเขานั้นไม่ได้ต้องการสร้างกระแสถึงขนาดทำให้ชาวเน็ตทำการพูดคุยกันอย่างไม่หยุดหย่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่แปลกอะไร นั่นก็เพราะว่า มิอถือกาลเวลารุ่นสองนี้คู่ควรกับการตกตะลึงนี้จริงๆ


“อาจิ้ง นายจะแต่งงานเมื่อไหร่เหรอ” หวังซือหยาอยู่ๆก็ถามออกมา

“ใกล้ๆนี้แหล่ะ ช่วงสิ้นปีนี้น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาพลองหันไปสบตาฉือชิงที่ตอนนี้กำลังยิ้มหวานช่ำ

“เยี่ยม ฉันจะคอยกินไวน์งานแต่งนะ” หวังซือหยาพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“อาจิ้ง….เอ่อ…น้องชายและน้องสะใภ้ ฉันขออวยพรให้กับงานแต่งของทั้งสองคนล่วงหน้านะ” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ยินดีด้วยน้า….” เฉิงหนานเองก็แสดงความยินดีออกมา

พวกเขาในขณะนี้ได้จ้องมองคู่ชายหญิงที่อยู่ตรงหน้า หรือก็คือซูจิ้งและฉือชิง ไม่ว่ามองยังไงทั้งสองก็คือหนุ่มหล่อและสาวสวยจริงๆ ช่างเป็นคู่ที่สมบูรณ์แบบยิ่งนัก

ด้วยการที่ในตอนนี้นั้น ซูจิ้งได้ขึ้นไปอยู่ในระดับที่อยากจะหาใครเทียบทาน จึงมีหลายๆคนที่เริ่มมองว่า ฉือชิงนั้นไม่ค่อยจะเหมาะสมกับซูจิ้งสักเท่าไหร่

ถึงแม้ว่าฉือชิงจะเป็นคนที่สวยงามหยดย้อยขนาดไหนก็ตาม แต่เธอเองมีแค่เบื้องหลังที่ธรรมดา และความสามารถและทักษะด้านต่างๆก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร

เมื่อเทียบกับซูจิ้งเองที่ไม่เพียงแค่หล่อเหลา แถมตัวเขาในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่าเป็นคนที่รวยที่สุดเลยก็ว่าได้ นี่ยังไม่พูดถึงอำนาจที่จะครอบคลุมไปทุกด้านแล้ว


อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนนอกจะรู้จักคู่รักทั้งสองนี้ดีหรือไม่ ทั้งสองก็ไม่ได้แยแสต่อสิ่งใดเลยสักนิด เพราะที่ทั้งสองรู้ก็คือทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนสมัยเด็กที่แอบรักแอบชอบกันมาโดยตลอด

ถึงแม้ว่าช่วงมัธยมปลายจะมีเรื่องที่ทำให้ต้องห่างเหินกันไปบ้าง แต่เมื่อทั้งสองได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ซูจิ้งได้แสดงให้เห็นว่าตัวของเขานั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่เธอรู้จักเขาไปมากมายนัก

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านั้น ฉือชิงจะเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบทั้งเงินทองและอำนาจจนทำให้ซูจิ้งถูกเข้าใจว่าเป็นพวกเกาะผู้หญิงอยู่บ่อยๆ แต่สุดท้ายแล้ว ซูจิ้งก็กลายเป็นคนที่เหมาะสมที่จะเป็นสามีที่ดีให้กับเธอจนได้


บางคนคิดว่าในเมื่อซูจิ้งนั้นในตอนนี้มีทั้งเงินและอำนาจ ตัวเขานั้นจะไปมีภรรยาหลายคนก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิด แต่ยังไงซะซูจิ้งก็ไม่ได้แยแสที่จะมีชีวิตอยู่โดยใช้ชีวิตแบบนั้นเลยแม้แต่น้อย

สำหรับเขาแล้วนั้น ต่อให้เอาคนที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดมารวมตัวกันก็ไม่อาจจะสู้ฉือชิงของเขาได้เลยแม้แต่น้อย สำหรับเขาแล้วการได้รักคนๆเดียวนั้นก็คือการที่มีชีวิตคู่แบบฉันมีแค่เธอ เธอมีแค่ฉัน นี่ถึงจะถือว่าเป็นเรื่องที่โรแมนติกที่สุดแล้ว


“อาจิ้ง กลุ่มทุนห้วงเวลาของเรานั้นพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว และด้วยมือถือกาลเวลารุ่นที่สองนี้ ฉันเชื่อว่าจะทำให้พวกเรานั้นไร้เทียมทานอย่างแน่นอน

ช่วงนี้นายก็ทำตัวสบายๆแล้วไปเตรียมตัวเรื่องงานแต่งก็แล้วกัน” หวังจ้าวพูดออกมา

“ตอนนี้ยังเร็วเกินไปนะที่จะผ่อนคลายได้น่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

หวังจ้าว หวังซือหยา และเฉิงหนาน ที่ได้ยินประโยคนี้ต่างก็ตั้งคำถามขึ้นมาทันทีในจิตใจ ถึงแม้จะได้ยินประโยคนี้ออกมา แต่พอฟังทำน้ำเสียงและรอยยิ้มของเขาก็อดที่จะรู้สึกว่าเขานั้นเหมือนจะยังไม่ได้ทำอะไรบางอย่าง


อยู่ๆซูจิ้งก็ได้ถามออกมาว่า “แล้วโรงพยาบาลล่ะ เป็นยังไงบ้าง”

“ตอนนี้โรงพยาบาลกังเฟิงนั้นกำลังพัฒนาไปได้อย่างดีมาก แม้แต่ชาวต่างชาติเอง ในตอนนี้ต่างก็มุ่งตรงมารักษากับเรา” เฉิงหนานพูดออกมา

“อืม…แล้วโรงพยาบาลอื่น…” ซูจิ้งถามออกมา

เมื่อได้ยินคำถามนี้ เฉิงหนานก็อดที่จะหัวเราะออกมาเบาๆไม่ได้และพูดออกมาว่า “ในตอนนี้การตลาดของโรงพยาบาลในภาพรวมนั้นถือได้ว่ายังมีขีดจำกัดอยู่

ด้วยการที่โรงพยาบาลของเรานั้นเติบโตและโดดเด่นเกินไปทำให้โรงพยาบาลแห่งอื่นนั้นยากที่จะไล่ตามทัน หากว่าจะบอกให้ชัดๆล่ะก็ โรงพยาบาลส่วนใหญ่ในตอนนี้ยังอยู่รอดได้ก็ด้วยการโฆษณาเท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงบอกว่าการพัฒนาธุรกิจในด้านการแพทย์ยังถือว่ามีขีดจำกัด แม้แต่โรงพยาบาลของพวกเราเองก็อยู่ในข้อจำกัดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน

และด้วยผลกระทบจากความสุดยอดของโรงพยาบาลของพวกเรานี้เอง พวกเขาจึงไม่สามารถทุ่มเทไปในด้านการพัฒนาเทคนิคทางการแพทย์ได้มากนัก และเชื่อว่าไม่นานก็จะต้องปิดตัวลง

โดยเฉพาะโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือปู่เตี๋ยนที่ตอนนี้กำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินจากธนาคารอย่างหนัก”

“นี่ก็หมายความว่าโรงพยาบาลบางส่วนจะปิดตัวลงได้ง่ายสินะ ยิ่งตอนนี้โรงพยาบาลในเครือปู่เตี๋ยนที่มีชื่อเสียงแย่อยู่แล้วด้วยยิ่งไปกันอย่า จะดีกว่าถ้าไรไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพวกนั้น…” ซุจิ้พูดออกมา

“ถึงจะพูดแบบนั้นแต่โรงพยาบาลในเครือปู่เตี๋ยนบางส่วนเองตอนนี้ก็ย้ายเข้ามาอยุ่ในเครือโรงพยาบาลของพวกเราเรียบร้อยแล้ว ด้วยการที่โรงพยาบาลในเครือของพวกเราอยู่ในช่วงกำลังขยาย การที่เรียกโรงพยาบาลที่มีความพร้อมอยู่แล้วแต่ใกล้ปิดตัวลงจึงเป็นทางเลือกที่ดี” เฉิงหนานพูดออกมา


“ถ้าอย่างนั้นช่วยอะไรฉันหน่อยสิ เลือกโรงพยาบาลให้ที่หนึ่งแต่ไม่ต้องใส่เป็นชื่อเครือโรงพยาบาลกังเฟิงนะ ฉันว่าจะเปลี่ยนชื่อนะ” ซูจิ้งพูดออกมา

เมื่อได้ยินแบบนี้ ทั้งหวังจ้าวและหวังซือหยาอดที่จะมองหน้ากันไม่ได้ ในตอนนี้โรงพยาบาลกังเฟิงนั้นกำลังได้รับความนิยมและมีชื่อเสียงที่ดีอยู่แล้ว

ตราบใดก็ตามที่โรงพยาบาลไหนแขวนป้ายเอาไว้ว่าอยู่ในเครือกังเฟิงจองหยุน โรงพยาบาลนั้นจะมีคนไข้หลั่งไหลเข้าในทันที แล้วซูจิ้งจะเปลี่ยนชื่อ…..เพื่อ?

“อาจิ้ง คราวนี้นายจะทำอะไรอีกล่ะนั่น” หวังจ้าวอดที่จะถามออกมาไม่ได้

“ก็แค่คิดๆอยู่น่ะ ในตอนนี้โรงพยาบาลทั่วไปนั้นมีการใช้ทั้งศาสตร์การแพทย์แผนจีนโบราณและศาสตร์การแพทย์แผนปัจจุบันของพวกตะวันตกอยู่ใช่ไหมล่ะ


และที่เราสามารถรักษาโลกมากมายให้หายได้ก็มาจากการประยุกต์ใช้ความรู้จากสองศาสตร์นี้

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีโรคบางโรคที่ไม่สามารถรักษาได้จากศาสตร์การแพทย์ทั้งสองนี้อยู่

ก็เลยคิดว่าอยากจะลองวิธีการใหม่ๆในการรักษาดูบ้าง ส่วนที่ว่าไม่ใช้ชื่อของโรงพยาบาลกังเฟิงนั้นประสิทธิภาพในการรักษาจะออกมาเป็นยังไงบ้าง

ที่ทำแบบนี้ก็เพราะว่าหากมีอะไรผิดพลาดไป ชื่อของโรงพยาบาลกังเฟิงก็จะไม่เสียตามไปด้วย” ซูจิ้งพูดออกมา

หวังจ้าวเฉิงหนาน หวังซือหยา และฉือชิงที่ได้ยินต่างก็มองซูจิ้งด้วยสายตาอึ้งๆ นั่นก็เพราะการที่โรงพยาบาลกังเฟิงสำเร็จมาได้จนถึงทุกวันนี้นั้นก็เป็นเพราะซูจิ้งที่ทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดทางการแพทย์มากมายขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคALS ปรับเปลี่ยนความสูงของร่างกายผู้ใหญ่ รักษาโรคทางดวงตา รักษาภาวะมีบุตรยาก และโรคอย่างอื่นอีก เรียกได้ว่าเขารักษาโรคที่ไม่มีใครรักษาได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยด้วยซ้ำ

และด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรงพยาบาลกังเฟิงจองหยุนกลายมาเป็นที่พึ่งสุดท้ายของโลกมนุษย์ ที่กล่าวอย่างนี้นั้นไม่ได้กล่าวเกินเลยเกินไปแต่อย่างใด เพราะในตอนนี้ แม้แต่ชาวต่างชาติเองก็ยังยินดีควักเงินจำนวนมาก เพื่อที่จะมารักษายังโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุน


แต่มาในตอนนี้ ซูจิ้ง กลับมาบอกว่าอยากจะสร้างโรงพยาบาลใหม่ขึ้นมาเพื่อแข่งกับโรงพยาบาลที่ตัวเองฟูมฟักมาเนี่ยนะ อย่าพูดถึงว่าทำได้หรือไม่ได้เลย แค่คิดที่จะทำก็ไม่ควรแล้ว

“อย่ากังวลไปเลยน่า ที่ทำนี่ก็แค่เพื่อที่จะทดสอบประสิทธิภาพวิชาการแพทย์ของเฉยๆ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ สุดท้ายแล้วโรงพยาบาลนี้ก็จะถูกผนวกรวมกับเครือโรงพยาบาลกังเฟิงอยู่ดี และเมื่อถึงตอนนั้นทั้งสองโรงพยาบาลจะทำการแลกเลี่ยนข้อมูลให้กันและกันด้วย” ซูจิ้งพูดออกมา

“ตกลง” เฉิงหนานพยักหน้ารับคำ ในเมื่อซูจิ้งออกปากเองขนาดนี้มีหรือที่จะขัดอะไรเขา

“…..อาจิ้ง นี่….หมายความว่านายพัฒนาการรักษาแนวใหม่ขึ้นมาได้แล้วใช่รึเปล่า และการรักษานี้เองก็สมควรจะดีเสียยิ่งกว่าวิธีการรักษาที่พวกเราใช้อยู่กันในปัจจุบันสินะ” หวังซือหยาถามออกมาอย่างไม่แน่ใจ

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ฉันก็ยังไม่กล้าที่จะพูดออกมาเพราะกลัวจะหาว่าเวอร์เกินไป เอาเป็นว่าตอนนี้รอเห็นเองจากข่าวก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ด้วยรอยยิ้มนี้ของซูจิ้งทำให้ทั้งฉือชิง หวังจ้าว หวังซือหยา และเฉิงหนานที่ต่างคุ้นเคยนั้นรู้สึกได้ทันทีเลยว่าซูจิ้งนั้นมีความมั่นใจในเรื่องครั้งนี้อย่างแน่นอน


ไม่กี่วันผ่านไป ด้วยความสามารถของเฉิงหนานนั้นทำให้เธอสามารถจัดหาโรงพยาบาลจำนวนหนึ่งให้ซูจิ้งได้อย่างไม่ยากเย็น พร้อมกับชื่อใหม่ของโรงพยาบาลเหล่านี้ว่า กังหยุน

แน่นอนว่าคนนอกไม่มีทางรู้เลยว่าโรงพยาบาลนี้เองก็เป็นโรงพยาบาลของซูจิ้ง ทุกคนต่างก็คิดว่านี่เป็นเพียงโรงพยาบาลเจ้าใหม่เจ้าหนึ่งเท่านั้นเอง

ในทันทีที่โรงพยาบาลกังหยุนเปิด โฆษณาต่างๆก็ได้เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ที่ทำให้ผู้คนนั้นรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อของโรงพยาบาลกังหยุนขึ้นมาบ้าง


ที่นี่เองก็มีทั้งคลินิกทั่วไปและคลินิกพิเศษ สำหรับคลินิกทั่วไปนั้นคิดราคาพอๆกับโรงพยาบาลอื่น แต่คลีนิคพิเศษนี้คิดราคาแพงหูฉี่อย่างมาก

และด้วยการที่โรงพยาบาลนี้มีชื่อว่ากังหยุน ทำให้หลายๆคนต่างก็คิดว่าโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้นั้นสมควรคิดที่จะเลียนแบบและเทียบเคียงกับโรงพยาบาลกังเฟิงจองหยุนอย่างแน่นอน

และนี่เองก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ชาวเน็ตออกมาพูดคุยเกี่ยวกับโรงพยาบาลกังหยุนนี้อยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น ลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือ อย่าคิดว่าใช้คำว่ากังหยุนอย่างเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ ไม่รู้รึไงว่าโรงพยาบาลที่มีคำนี้อยู่ในชื่อนั้นต้องรักษาได้ดีขนาดไหนถึงได้รับมา บ้างก็ว่าหาแนวทางของตัวเองไม่เป็นรึไง หรืออย่างคิดว่าดีขนาดไหนที่กล้าจะมาตั้งชื่อโดยใช้คำคำนี้เป็นต้น


ด้วยความรู้สึกเหล่านี้ของชาวเน็ตเองนั้นได้ทำให้สำหรับโรงพยาบาลนอกเครือของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนั้นถือว่าเป็นคำต้องห้าม โรงพยาบาลไหนที่มีคำว่ากังและหยุนอยู่นั้นจะรีบตัดออกหรือไม่ก็เปลี่ยนไปใช้ชื่ออื่นเลยก็มี นั่นก็เพราะการที่มีคำนี้อยู่ในชื่อ ไม่ได้ต่างจากการยุยงชาวเน็ตให้เรียกเทพแห่งความตายมาเยือนพวกเขา

แต่เหล่าชาวเน็ตก็ต้องหน้าหงายกลับมาเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าเมื่อพวกเขาได้เห็นระดับการรักษาและรายชื่อโรคต่างๆที่โรงพยาบาลกังหยุนนี้รักษาได้

มันน่าเหลือเชื่อเกินไปจนทำให้ชาวเน็ตต่างก็คิดกันว่าโรงพยาบาลแห่งนี้ต้องสร้างประวัติขึ้นมาเองแน่ๆ จนชาวเน็ตต้องต้องคำถามกลับไปว่า ทางโรงพยาบาลแน่ใจจริงๆรึเปล่าว่ารักษาโรคเหล่านั้นได้ พวกเขาไม่ใช่คนเชื่อง่ายอะไรขนาดนั้น


GGS:บทที่ 1125 การรักษาที่แปลกประหลาด


หลังจากที่โรงพยาบาลกังหยุนได้โฆษณาออกมาว่าทางโรงพยาบาลสามารถรักษาโรคหูหนวก ตาบอด และต้อกระจกโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งนาที

ด้วยการโรคเหล่านี้เป็นโรคทั่วไปแต่รักษาได้ยากยิ่ง แต่กับที่โรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้นั้นพวกเขาได้ใช้วิธีการรักษาโรคเหล่านี้ไว้ในคลีนิคทั่วไปเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการรักษาในคลินิกพิเศษแต่อย่างใด

นี่เป็นการบ่งบอกว่าโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้มาวิธีการรักษาที่ดีกว่าโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งที่ต้องรักษาโรคเหล่านี้ในคลีนิคพิเศษเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ชาวเน็ต ยังไม่ยอมเชื่อเพียงเพราะเรื่องแค่นี้อย่างแน่นอน การที่โรงพยาบาลที่มาจากไหนไม่รู้แล้วออกมาบอกว่าสามารถรักษาโรคที่โรงพยาบาลทั่วทั้งโลกแทบจะไม่มีปัญญารักษา ใครจะไปเชื่อได้ง่ายๆกัน

“โรงพยาบาลกังหยุนนี่ที่กล้าทำแบบนี้แสดงว่าตั้งใจจะชนกับโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนนะ”

“ฉันว่าแล้วไม่ผิดคำเลยจริงๆ”

“เดี๋ยวนี้ก็ยังมีบางคนคิดจะพยายามลอกเลียนความสำเร็จของโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนอยู่อีกเหรอเนี่ย นี่พวกนั้นไม่รู้กันเลยรึไงว่าทำไมโรงพยาบาลกังเฟิงถึงได้แข็งแกร่งได้ขนาดนี้”


“เรามาคอยดูกันดีกว่า ฉันว่าอีกไม่นานหรอกโรงพยาบาลนี้ต้องปิดตัวลงแน่ๆเพราะการรักษาที่สุดยอดขนาดนั้นน่ะไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้ เดี๋ยวก็โดนข้อหาโฆษณาเกินจริงไปอยู่ดี ฉันว่าดีไม่ดีนะ พวกนั้นต้องล่มจมเพราะโฆษณาของตัวเองแหงๆ”

เมื่อพูดถึงเรื่องโฆษณานั้น โรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้นั้นแน่นอนว่าย่อมทุ่มเงินลงไปโฆษณาอย่างมากมายมหาศาลอย่างแน่นอนเพราะว่ามีสื่อหลากหลายช่องและรูปแบบเผยแพร่โฆษณาของโรงพยาบาลนี้

อย่างไรก็ตาม ต่อให้ในตอนนี้ผู้คนจะจดจำชื่อของโรงพยาบาลนี้ดีกันแล้วก็จริง แต่ทุกๆคนยังคิดว่าการรักษาของโรงพยาบาลแห่งนี้ที่เวอร์วังนั้นมันช่างไม่น่าหัวเราะจนน่าหัวเราะเกินไป

และด้วยเหตุนี้จึงทำให้โรงพยาบาลหลายๆโรงพยาบาลเริ่มตื่นตัวเกี่ยวกับการใช้สื่อในการโฆษณาแล้วเหมือนกัน

แม้แต่โรงพยาบาลในเครือของปู่เตี๋ยนเองที่ในตอนนี้ถึงกับโฆษณาแข่งถึงขนาดติดโปสเตอร์ของโรงพยาบาลไปทั่ว จนเรียกได้ว่าเข้าถึงคนแทบจะทุกระดับและทำเงินไปไม่น้อยเลย นั่นเป็นเพราะยังมีคนบางคนนั้นจะคิดว่าอะไรที่โฆษณานั้นย่อมดีกว่าเสมอ ถึงแม้ว่าจะไปแล้วจะรักษาไม่หายก็ตาม


ในเช้าวันนี้ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งและเด็กหนุ่มอายุประมาณ16-17ปีพร้อมแว่นตาหนาเตอะได้เดือนเข้าไปยังประตูของโรงพยาบาลกังหยุน

เมื่อเด็กชายเห็นป้าย ก็อดที่จะขมวดคิ้วและหยุดเท้าของตัวเองลงก่อนที่จะถามออกมาว่า “แม่ แม่พาผมมาทำไมที่นี่ล่ะ ไม่ใช่ว่าเรากำลังจะไปโรงพยาบาลกังเฟิงกันหรอกเหรอ”

“โรงพยาบาลไหนมันก็เหมือนๆกันล่ะน่า แถมที่นี่ชื่อมันก็คล้ายกันแค่ชื่อขาดไปคำสองคำก็เท่านั้นแหล่ะ” หญิงวัยกลางคนพูดออกมา

“ถึงจะบอกว่าชื่อมันคล้ายกันแต่ยังไงก็คนละคำกันนะ โธ่… ถึงพวกเราจะมาจากเมืองชางไห่ก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ว่าโรงพยาบาลของที่นี่จะทุรกันดารเหมือนกับที่นั่นสักหน่อย” เด็กหนุ่มบ่นอุบออกมา


“ก็ที่นี่เค้าบอกว่าสามารถรักษาโรคทางดวงตาได้เพียงหนึ่งนาทีนี่นา แถมสิบคนแรกยังคิดครึ่งราคาอีกด้วย ราคารักษามันก็ตกเหลือหนึ่งหมื่นหยวนเท่านั้น ค่ารักษาที่นี่ถูกกว่าที่โรงพยาบาลกังเฟิงนั่นตั้งเยอะ

แถมที่นั่นยังเปิดรักษาโรคนี้เฉพาะคลีนิคพิเศษที่ต้องใช้เงินเริ่มรักษาตั้งล้านนึงแน่ะ” หญิงวัยกลางคนได้ร่ายยาวออกมา

“แต่ถ้ามันรักษาไม่ได้ ต่อให้ถูกยังไงก็เสียตังเปล่าไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง อีกอย่างนึงเห็นเขาบอกกันว่าที่นี่ใช้การรักษาด้วยใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพที่ได้ผลอย่างมาก พวกเขารับประกันด้วยว่า หากพวกเขารักษาไม่หายล่ะก็ไม่คิดเงินเลยสักหยวนเดียว มองยังไงก็คุ้มค่าที่จะลองนี่นา ลองดูเถอะน่า


ลูกรัก ลูกเองก็อายุพึ่งจะ 16 ปี แต่สายตาข้างลูกสั้นถึง 800 แล้ว ถึงแม้ว่าลูกจะไม่คิดว่านี่เป็นปัญหาใหญ่ แต่หากว่าลูกปล่อยทิ้งไว้จนโตล่ะก็ ลูกจะเข้าใจว่าแม่ทำไมถึงขวนขวายหาวิธีขนาดนี้ แต่แม่นั้นไม่อยากให้ลูกรับรู้ความรู้สึกนั้นเลยจริงๆ” หญิงวัยกลางคนใช้คำพูดต่างๆนานาจนทำให้เด็กหนุ่มนั้นต้องยอมตามใจในที่สุดถึงแม้ว่าเขาจะไม่เชื่อมั่นในโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้เลยสักนิด

แต่กับเรื่องนี้ ความจริงแล้วเขาก็ไม่อยากจะดื้อดึงอะไรมากนัก แล้วก็ไม่อยากจะไปรักษาที่คลินิกพิเศษของโรงพยาบาลกังเฟิงจางหยุนแต่แรกอยู่แล้ว เพราะเขาเองก็รู้ดีแก่ใจว่าครอบครัวของเขานั้นจ่ายค่ารักษาที่นั่นไม่ไหว ต่อให้จ่ายได้ก็ต้องแบกรับหนี้ก้อนโต

ด้วยการที่โรงพยาบาลแห่งนี้พึ่งจะเปิดใหม่และยังไม่มีใครเชื่อถืออีกทั้งช่วงนี้อากาศเย็นด้วยทำให้ที่นี่ไม่มีคนไข้สักเท่าไหร่นัก


หลังจากที่ทั้งคู่ไปทำบัตรโรงยาบาล ทั้งสองก็ได้เข้ารับการตรวจในคลินิกดวงตาในทันที เมื่อเข้าไปถึง หมอก็ได้ทำการเช็คระยะการมองเห็นของเด็กหนุ่มคนนี้ก่อนเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็ได้หายเข้าไปด้านหลังอยู่นานพอสมควร ก่อนที่จะเดินกลับมาพร้อมนำคอนแทคเลนส์คู่หนึ่งมาให้

เพียงแค่เห็นทั้งสองก็บอกได้ทันทีว่ามันบางมาก บางกว่าคอนแท็คส์เลนที่วางขายกันทั่วไปมากนัก

“นี่ ฉันพาลูกมารักษาตานะ แล้วหมอจะเอาคอนแท็คเลนส์ออกมาทำไม” หญิงวัยกลางคนเริ่มโวยวายออกมา ส่วนเด็กหนุ่มเองก็ทำได้เพียงเลิกคิ้วของตัวเท่านั้นพลางนึกในใจว่าโรงพยาบาลนี้ไม่ขี้เหนียวไปหน่อยรึเปล่า

“ฮ่าฮ่าฮ่า ใจเย็นๆครับคุณนาย เห็นอย่างนี้เจ้านี่ไม่ใช่คอนแท็คเลนส์ธรรมดานะครับ นี่ คือคอนแทคเลนส์ชีวภาพที่ทางเราผลิตขึ้นมา


หากว่าเป็นคอนแทคเลนส์โดยทั่วไปแล้วหากว่าใส่ไว้เป็นเวลานานจะทำให้เกิดความรู้สึกไม่สบายและฝืดเคืองดวงตา

ต่อให้ใส่ไว้นานแล้วไม่อาการทั้งสองอย่างนี้ แต่หากเผลอไผลจนลืมถอดออกจากดวงตาก็อาจจะส่งผลต่อการมองเห็นมากกว่าเดิม และถึงขั้นทำให้ตาอักเสบเลยด้วยซ้ำ

เมื่อเทียบกับคอนแทคเลนส์ตัวนี้แล้ว มันถูกสร้างขึ้นมาด้วยเทคโนโลยีทางชีวภาพ รับประกันได้ว่าไม่ทำให้ดวงตารู้สึกไม่สบายอย่างแน่นอน

และที่ดีที่สุดของคอนแทคเลนส์นี้ก็คือ เมื่อใส่เข้าไปแล้วไม่จำเป็นต้องถอดออกมาอีกเลยตลอดชีวิต นอกเสียจากว่าจะเกิดอุบัติเหตุทำให้มันเสียหายมันก็สูญเสียความสามารถของมันไป

แต่ไม่ต้องกังวลนะครับ หากเกิดเรื่องนั้นจริงล่ะก็ คุณนายก็แค่มาที่นี่แล้วก็ซื้อมันใหม่แค่นั้นเอง” หมอวัยกลางคนพูดออกมา


“ห้ะ ดีขนาดนั้นเลยเหรอ” หญิงวัยกลางคนอุทานออกมาด้วยสายตาอันเปล่งประกายในทันที

“จริงหรือเปล่า….” เด็กหนุ่มได้ถามออกมาด้วยความรู้สึกไม่ใช่ในเรื่องนี้นั่นก็เพราะเขานั้นไม่เคยได้ยินว่าในโลกนี้จะมีคอนแทคเลนส์ที่ดีแบบนี้มาก่อน

หากว่าคอนแทคเลนส์นี้จริงพวกเขาก็ควรจะทำวางขายทั่วไป ไม่ควรจะมาใช้กับโรงพยาบาลเล็กๆแบบนี้

ชายวัยกลางคนเองก็ได้อธิบายเกี่ยวกับข้อสงสัยของทั้งสองคนอย่างกระตือรือร้นจนทำให้ทั้งสองคนยอมที่จะใช้คอนแทคเลนส์นี้ในการรักษาเด็กหนุ่มในที่สุด

กระบวนการในการใส่คอนแทคเลนส์นี้ไม่ได้ยุ่งยากแต่อย่างใด ใช้เวลาเพียงไม่ถึงนาทีก็เรียบร้อยแล้วเพราะเด็กหนุ่มคนนี้เคยใช้มาบ้างแล้ว

เมื่อเด็กหนุ่มได้ใส่คอนแทคเลนส์นี้เข้าไปแล้ว เขานั้นไม่ได้รู้สึกไม่สบายดวงตาเหมือนกับคอนแทคเลนส์ที่เขาเคยใช้มาก่อนหน้านี้เลยสักนิด เขาในตอนนี้ไม่รู้สึกด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังใส่คอนแทคส์เลนส์อยู่จริงๆ

แม้แต่มองในกระจกเองเขาก็ไม่เห็นร่องรอยอะไรเลยที่จะบ่งบอกว่าเขานั้นกำลังใส่คอนแทคเลนส์อยู่


ตัวเลนส์นี้มันบางราวกับปีกของจั๊กจั่นจนทำให้เมื่อใส่ไปแล้วมันกลืนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของลูกตาโดยสมบูรณ์

ส่วนเรื่องของการมองเห็นนั้นแทบจะไม่ต้องอธิบายเลย ตอนนี้เขาเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวได้อย่างชัดเจนอย่างที่สุดในชีวิตของเขา

“จิ้งเอ๋อ ลูกรู้สึกเป็นยังไงบ้าง” หญิงวัยกลางคนที่เห็นท่าทางของลูกตัวเองก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้

“รู้สึกดีครับ….” เด็กน้อยพลางคิดในใจว่า อย่างน้อยๆก็ตอนนี้อ่ะนะ คอนแทคเลนส์นี้ได้สร้างประหลาดใจให้เขาอย่างมาก มันช่างสมบูรณ์แบบจนเขาเองก็อดที่จะถามออกมาไม่ได้ว่า “นี่ผมไม่ต้องใส่แว่นตานั่นแล้วจริงๆเหรอ”


“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้ตาของเธอเป็นปกติแล้ว นอกจากว่าเธอนั้นอยากจะใส่แว่นเลนส์ธรรมดาเพื่อป้องกันดวงตาของตัวเองเท่านั้น

ตราบใดที่เธอยังรักษาดวงตานี่ไว้ไม่ให้อักเสบหรือมีสิ่งสกปรกเข้าไปในดวงตามากเกินไปก็ไม่มีปัญหา อ้อ แล้วก็ยาได้ใช้ยายอดตาหรือน้ำยาล้างตาโดยเด็ดขาด แน่นอนว่ารวมถึงเศษอะไรก็ตามด้วยเหมือนกัน หากเธอทำเรื่องเหล่านี้ได้ล่ะก็ ฉัน…ไม่สิทางโรงพยาบาลรับประกันเลยว่าคอนแทคแลนส์นี้ใช้ได้อย่างน้อยๆก็สิบปีเลยทีเดียว อ้อ ทางโรงพยาบาลของเรานั้นยังมีการรับประกันในทุกกรณีเปลี่ยนให้ฟรีเป็นระยะเวลาหนึ่งปีด้วยนะ” หมอวัยกลางคนพูดออกมา

“สุดยอดไปเลย เห็นไหม แม่บอกแล้วว่าโรงพยาบาลนี้ดีจริงๆ” หญิงวัยกลางคนพูดออกมาด้วยท่าทางเปี่ยมสุขและรอยยิ้มกว้าง

ในที่สุด คู่แม่ลูกก็ได้จากไปจากโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้อย่างเปี่ยมสุขยิ่งกว่าเดิม นั่นก็เพราะว่าอาการของเด็กหนุ่มได้หายดูแล้วโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีกในอนาคต หากเป็นที่อื่นล่ะก็อย่าพูดถึงคอนแทคเลนส์เลย แค่รักษากว่าปกติก็ตั้งเสียเงินไม่ต่ำสี่หมื่นหยวนอย่างแน่นอน


หลังจากนั้นช่วงระยะเวลาหนึ่งได้มีคนไข้คนหนึ่งได้เข้ามายังคลินิกรักษาตาเพื่อรักษาอาการมองไม่เห็น แน่นอนว่าค่ารักษาโรคมองไม่เห็นนี้ย่อมแพงเป็นเรื่องธรรมดา

แต่เมื่อคนไข้คนนี้รักษาอาการมองไม่เห็นนี้ได้ก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก และไม่คิดว่าเงินที่สูญเสียไปไม่คุ้มค่าเลยสักนิด


ในวันนี้เช่นเดียวกัน ได้มีนักข่าวสองคนเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่งมายังโรงพยาบาลกังหยุนเพื่อขอสัมภาษณ์เกี่ยวกับรูปแบบการรักษาของที่นี่ เนื่องจากเริ่มมีข่าวลือเกี่ยววิธีการรักษาที่ไม่เหมือนใครออกไป

ตอนนั้นเอง ทั้งคู่ ก็ถูกสั่งให้ถอยไปเนื่องจากขวางทางอยู่ เป็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในรถเข็นมีอาการค่อนข้างสาหัสขนาดที่ว่าเลือดยังไหลออกมาตลอดเวลา แค่ดูก็รู้ว่าพึ่งจะเกิดเหตุสดๆร้อนๆ

นักข่าวทั้งสองได้รีบวิ่งตามเข้าไปในคลินิกเหตุฉุกเฉินในทันที ตอนแรกทั้งสองก็คิดว่าจะโดนไล่ออกมาเหมือนกัน แต่ทั้งหมอและพยาบาลก็ไม่ได้มีท่าทีไล่ทั้งสองออกมาจากห้องแต่อย่างใด

“นี่…..น่าจะเป็นห้องผ่าตัดใช่รึเปล่า”

“น่าจะใช่นะ…. แต่ดูแล้วมันเหมือนไม่ใช่ยังไงก็ไม่รู้ แถมพวกเขายังไม่คิดจะกันพวกเราออกไปอีกด้วย ปกติแล้วในห้องผ่าตัดแบบนี้ต้องไม่ให้คนนอกเข้าไม่ใช่รึไงกัน อย่าบอกว่าที่นี่ไม่รู้ถึงสามัญสำนึกของโรงพยาบาลในข้อนี้…..”


“โคตรห่วยเลยจริงๆ คนพวกนี้คิดจะผ่าตัดกันทั้งแบบนี้น่ะเหรอ”

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่พยาบาลไม่สนใจคำพูดของทั้งสองคนนี้แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ได้ทำการตัดขากางเกงเป็นช่อง เผยให้เห็นรอยแผลที่ขา รวมถึงถลกเสื้อเผยให้เห็นรอยแผลฉกรรจ์ที่สีข้าง

ในตอนนี้เอง หมอผู้ดูแล ได้นำแผ่นอะไรบางอย่างที่มีขนาดเท่าฝ่ามือออกมา ก่อนที่จะวางลงไปบนบาดแผลอย่างรวดเร็ว แม้แต่บริเวณสีข้างที่เป็นรอยแผลฉกรรจ์ก็ยังสามารถวางลงไปได้

ตอนนั้นเอง แผ่นดังกล่าวก็ได้ปล่อยแสงออกมา หลังจากนั้น รอยผลที่เลือดไหลไม่หยุดก็ค่อยหยุดลงอย่างรวดเร็วพร้อมทั้งรักษาบาดแผลจนหายชนิดที่ว่าสังเกตได้ด้วยตา


มันช่างดูมหัศจรรย์อย่างมากเมื่อเทียบกับการที่ว่ารอยแผลฉกรรจ์ขนาดนั้นกลับหายได้อย่างง่ายๆและรวดเร็วขนาดนี้ หากเป็นปกติ อย่าว่าแต่ครึ่งเดือนเลย ให้เวลาเดือนหนึ่งแผลก็ยังไม่ปิดสนิทดีด้วยซ้ำ

“พระเจ้าเถอะ นี่มันอะไรกัน” นักข่าวได้ตามอุทานออกมาด้วยท่าทีโง่งม

“อ๋อ ไอ้นี่เรียกว่าแผ่นรักษาโปรโตน่ะ” หมอคนที่ปิดบาดแผลได้พูดออกมา

“”แผ่นรักษาโปรโตห่าเหวอะไรนะ” นักข่าวคนหนึ่งที่กำลังตำลึงถามซ้ำออกมาโดยไม่สามารถสงวนท่าทีใดๆไว้ได้แต่อย่างใด นั่นก็เพราะนอกจากพวกเขาจะยังไม่เคยได้ยินแล้ว เขายังไม่เคยเห็นการรักษาแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต จนไม่อาจสงวนท่าทีของการเป็นนักข่าวไว้ได้แม้แต่น้อย


เมื่อตั้งสติได้ พวกเขานั้นเริ่มจะรู้สึกอยากจะถ่ายรูปขึ้นมาจึงได้ทำการขออนุญาตผุ้ป่วยและหมอเจ้าของไข้ หมอเจ้าของคนไข้นั้น ทำเพียงแค่มองหน้าเจ้าหน้าที่พยาบาลกันไปมาแล้วจึงตอบตกลงอย่างไม่อิดออดแต่อย่างใด ส่วนผู้ป่วยนั้นด้วยท่าทีนอบน้อมที่สุดในชีวิต แม้แต่ผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหนักมาก่อนหน้านี้ก็ยังต้องใจอ่อนในทันทีเมื่อได้เห็น

หากเป็นตามปกติ เขาเองก็คงจะปฏิเสธแบบหัวชนฝาไปแล้ว แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเขามาที่แล้วมันช่างน่าอัศจรรย์จนไม่อยากเชื่อเหมือนกัน

ในตอนแรก เขาเองก็ยังนึกว่าต้องพาตัดใหญ่เลยด้วยซ้ำ ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว ไม่เพียงไม่ต้องผ่าตัด แต่ในตอนนี้เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าอาการบาดเจ็บนั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยซ้ำ นี่จึงทำให้เขาอารมณ์ดีอย่างมาก


หลังจากที่ได้สัมภาษณ์หมอในห้องฉุกเฉินและผู้ป่วยเรียบร้อยแล้ง นักข่างทั้งสองยังคิดที่จะไปหาคนไข้คนอื่นเพื่อสัมภาษณ์อยู่อีก เนื่องจากว่าเหตุการณ์ที่ทั้งสองพึ่งจะได้เห็นไปนั้นช่างมหัศจรรย์มากเกินไป

หลังจากเขาได้สัมภาษณ์แล้ว พวกเขาก็พบว่าวันนี้มีคนไข้ที่มีอาการหลากหลายเข้ามารับการรักษา พวกเขาเองจึงได้คอยดักสัมภาษณ์ ทีละราย ทีละราย และในทุกๆเคสคนไข้ ผลลัพท์นั้นได้ทำให้ท้องสองต้องตกตะลึง


ในตอนแรกที่มานั้น ความตั้งใจสูงสุดของนักข่าวทั้งสองก็คือการเปิดโปงโรงพยา บาลที่มักจะชอบทำการโฆษณาเกินจริงอยู่เสมอ

แต่มาในตอนนี้ พวกเขารู้แล้วว่า โรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้ไม่เพียงจะไม่ได้โฆษณาเกินจริงเลย พวกเขายังมอบการรักษาที่วิเศษกว่าที่ใดให้กับผู้ป่วยด้วยซ้ำไป


GGS:บทที่ 1126 เทคโนโลยีการรักษาสุดลึกล้ำ


ดังคำกล่าวที่ว่า ไวน์(สุรา)ดี ย่อมไม่กลัวตรอกลึก ไม่ว่าตรอกนั้นจะลึกขนาดไหน หากดีจริงผู้คนต่างก็ดั้นด้นเข้าไปถึง

ด้วยความมหัศจรรย์ในวิธีการรักษาของโรงพยาบาลกังหยุนประกอบกับการรายงานของนักข่าวทั้งสองคน ในตอนนี้ ชื่อเสียงของโรงพยาบาลกังหยุนได้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่ทำให้เหล่าผู้คนที่เคยดูถูก ต้องหันหลังกับมามองใหม่อีกครั้ง

“โรงพยาบาลกังหยุนนี่ไม่ได้อวดอ้างเกินเลยจริงๆเหรอเนี่ย เห็นเขาว่ากันว่าวิธีการรักษาของที่นั่นลึกล้ำมากเลยนะ”

“ไม่ใช่ว่าข่าวของสำนักข่าวนั่นโดนซื้อหรอกนะ”


“ไม่ใช่หรอกน่า ฉันรู้จักผู้รายงานข่าวสองคนนั่นดี แถมในข่าวสามารถถ่ายวิดีโอที่หมอคนหนึ่งหยิบแผ่นที่เรียกว่าแผ่นรักษาโปรโตพลาสเอาไว้ได้ วิดีโอนั้นยังถ่ายตอนที่เจ้าแผ่นนั่นรักษาบาดแผลไว้ด้วยนะ เรียกได้ว่าต่อให้แผลใหญ่ขนาดไหนก็รักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัดเลยด้วยซ้ำ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ เทคโนโลยีรักษาของพวกเขานั้นต้องเป็นของจริงอย่างแน่นอน”


“ยังมีเรื่องมหัศจรรย์มากกว่านั้นอีกนะ พวกเขาสามารถรักษาโรคสายตาสั้นได้ในหนึ่งนาที รักษาอาการมองไม่เห็นได้ในหนึ่งชั่วโมง รักษาอาการต้อกระจกโดยใช้เวลาไม่ถึงสัปดาห์โดยไม่ต้องผ่าตัด รักษาบาดแผลให้หายได้เพียงไม่กี่วินาที เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ แต่นี่ไม่เท่ากับว่าโรงพยาบาลกังหยุนจะดีกว่ากังเฟิงหรอก เหรอ…”


ในตอนนี้หวังกังหยุนได้อ่านรายงานข่าวของโรงพยาบาลกังหยุน เขาทำหน้าฉงนสนเท่ห์เกี่ยวกับเรื่องนี้ในทันที ตอนนั้นเองก็ได้มีหมอคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “หมอหวัง ผมว่าข่าวนี้น่าจะมีการรายงานผิดพลาดแน่ๆ โลกนี้ไม่มีทางมีเทคโนโลยีที่เหนือล้ำแบบนี้ได้อย่างแน่นอน”

“อย่าพึ่งรีบด่วนสรุปหากว่ายังไม่รู้จักพวกนั้นดีนะ” หวังกังหยุนพูดออกมา

หากเป็นก่อนหน้านี้เขาเองก็รู้สึกว่าข่าวนี้น่าจะมีอะไรผิดพลาดเหมือนกัน แต่เขาเองก็เคยตกตะลึงเกี่ยวกับโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนของซูจิ้งมาแล้ว นี่ทำให้ความคิดเกี่ยวกับทางด้านการแพทย์ต้องเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนี้เขาได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสอนใจแล้วว่าการที่ตัวเองทำไม่ได้ก็ใช่ว่าคนอื่นทำไม่ได้ อย่ารีบตัดสินใจโลกทั้งใบด้วยสิ่งที่เห็นในระยะสายตาเท่านั้น


ณ โรงพยาบาลต่างๆ หลิวเว่ยและหมอคนอื่นๆที่เห็นข่าวของโรงพยาบาลกังหยุนก็อดที่จะหยิบยกมาพูดคุยกันไม่ได้ว่าวิธีการรักษาที่สุดแสนจะน่ามหัศจรรย์แบบนั้นมีโอกาสจะมาจากวิธีไหนได้บ้าง

นอกจากนี้ หลังจากที่ได้เห็นข่าวแล้ว ลูฉิงหมิงและหมอคนอื่นของโรงพยาบาลกังเฟิงเองก็อดไม่ได้ที่จะพูดคุยเรื่องนี้เช่นเดยวกัน

ด้วยการที่โรงพยาบาลกังเฟิงของพวกเขานั้นมีโอกาสที่จะขึ้นไปสู่ระดับโลกได้แล้ว การที่อยู่ๆก็มีโรงพยาบาลใหม่อย่างกังหยุนมาขัดขวางนี้ ต่อให้พวกเขากลายเป็นระดับโลกไปแล้วก็ตามแต่ก็อดที่จะหยิบยกเรื่องนี้ออกมาพูดคุยได้อยู่ดี

“โรงพยาบาลนั้นเจ๋งขนาดนั้นเลยเหรอ”

“ดูจากข่าวนี้ก็น่าเชื่อถืออยู่นา น่าจะเป็นเรื่องจริงนะ”

“จะยังไงก็ช่าง ยังไงซะเราก็ไม่น่าจะต้องมีเรื่องให้ขัดแย้งกัน แต่อยากจะรู้เหมือนกันนะว่าพวกนั้นมีเบื้องหลังยังไงกันแน่ แล้วทำไมอยู่ๆถึงได้พึ่งจะออกมาแบบนี้”

“ประธานลู่ครับ ประธานซูว่ายังไงบ้าง”


ลู่ฉิงหมิง ในตอนนี้กำลังใช้ความคิดอยู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เขากำลังจะตัดสินใจว่าควรจะโทรหาซูจิ้งดีหรือเปล่าว่าควรจะตอบโต้ยังไงดี

ในที่สุด เขาก็ตัดสินใจได้ว่าโทรหาซูจิ้งดีกว่า แต่เมื่อโทรไปหา ซูจิ้งกับบอกเขาว่าอย่าได้ใส่ใจกับโรงพยาบาลกังหยุนเพราะไม่ได้มีผลอะไรกับพวกเรา นี่ทำให้ลูฉิงหมิงถึงกับพูดไม่ออกเหมือนกันเมื่อได้ยิน

ในครั้งนี้ตัวเขาคิดว่าคู่ต่อสู้ในครั้งนี้แข็งแกร่งพอที่จะโค่นล้มโรงพยาบาลกังเฟิงลงได้ แต่ซูจิ้งกับบอกไม่ให้ใส่ใจ

หากว่ามีโรงพยาบาลอื่นที่สามารถรักษาโรคเฉพาะทางอย่างโรคทางดวงตาได้แม้แต่เป็นคลีนิคธรรมดาล่ะก็ แล้วใครจะมารักษาที่คลีนิคพิเศษของซูจิ้งกันล่ะ นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการส่งต่อคนไข้เหล่านั้นให้โรงพยาบาลอื่นไปเปล่าๆหรอกเหรอ

แต่ก็อีกล่ะนะ เพราะยังไงซะซูจิ้งก็คือประธานใหญ่ของพวกเขาอยู่ดี หากซูจิ้งพูดมาแล้ว พวกเขาก็มีแต่ต้องทำตามเท่านั้น


ในตอนนี้เองที่โรงพยาบาลกังหยุนได้จัดตั้งเว็บไซต์ทางการขึ้นมาและได้เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการรักษาและเทคโนโลยีที่ใช้ในอินเตอร์เน็ต

ดูเหมือนว่าวิธีการรักษาของโรงพยาบาลนี้เกือบจะครอบคลุมโรคภัยทุกช่วงชีวิตของคนๆหนึ่งไปเลยด้วยซ้ำ แถมยังดูมีอนาคตไกลแบบสุดๆ

แน่นอนว่าด้วยเหตุนี้ทำให้เรียกความสนใจของผู้คนอย่างมากเพราะวิธีการต่างๆที่โรงพยาบาลกังหยุนได้เผยแพร่ออกมานั้นเกือบจะเป็นสิ่งที่ผู้คนต่างๆต่างก็ต้องการและรู้จักดี


ยกตัวอย่างเช่นการใช้คอนแทคเลนส์ชีวภาพในการรักษาโรคสายตาสั้น ความจริงแล้วในเรื่องนี้ได้มีการศึกษาและพัฒนามานานมากแล้วแต่ก็ยังไม่มีคนทำสำเร็จ นี่จึงเป็นเหตุที่ผู้คนรับได้มากกว่าถึงแม้จะยังไม่เคยมีใครทำสำเร็จเลยก็ตาม และในตอนนี้ โรงพยาบาลกังหยุน กลายเป็นผู้เบิกทางในการรักษาเส้นทางนี้

สำหรับการรักษาอาการมองไม่เห็นนั้น คอนแทคเลนส์ชีวภาพนี้ก็ถูกนำมาใช้ด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าใช้เทคโนโลยีที่ใช้ทำคอนแทคส์เลนนี้ใช้วิทยาการที่สูงล้ำกว่า

ทางโรงพยาบาลได้ใช้กล้องขนาดเล็กทดแทนจอรับภาพของดวงตาแล้วทำการเชื่อมต่อเข้ากับระบบประสาทการมองเห็นและส่งข้อมูลการมองเห็นผ่านคลื่นไฟฟ้าไปยังสมองแทนที่จอรับภาพของดวงตาที่ใช้ไม่ได้


นี่จึงทำให้สมองสามารถรับรู้สิ่งต่างๆได้โดยตรงและเปลี่ยนเป็นการมองเห็นภายในสมอง

ในส่วนการรักษาต้อกระจกนั้น โรงพยาบาลกังหยุนไม่จำเป็นต้องใช้การผ่าตัดแต่อย่างใด พวกเขาในโมเลกุลจากธรรมชาติที่เรียกว่า “ลาโนลินสเตรอล” หยดเข้าไปที่ดวงตาประหนึ่งยาหยอดตา โมเลกุลนี้จะค่อยๆเข้าไปช่วยฟื้นฟูกระจกตาที่เสื่อมสภาพได้เพียงไม่ถึงสัปดาห์

สำหรับการรักษากระจกตาเสื่อมสภาพนั้น พวกเขาได้ใช้แผ่นรักษาโปรโตปลาสเพื่อฟื้นคืนสภาพเซลล์กระจกตา

สิ่งที่เรียกว่าโปรโตปลาสนี้เป็นชื่อสามัญของสิ่งที่พวกเขาใช้ เจ้าสิ่งนี้คือวัสดุมีชีวิตที่มีอยู่ทั่วไปในเซลล์อยู่แล้ว อุปกรณ์สร้างขึ้นมาเพื่อใช้การปล่อยแสงเพื่อกระตุ้นให้โปรโตปลาสในเซลล์ทำการซ่อมแซมตัวเองเท่านั้น นี่จึงทำให้บาดแผลหยุดเลือดไหลและซ่อมแซมตัวเองจนแผลปิดอย่างรวดเร็ว


ทันทีที่ข่าวเกี่ยวกับข้อมูลวิธีการและเทคโนโลยีในการรักษาที่เว็บไซต์ของโรงพยาบาลกังหยุนปล่อยออกมาได้เข้าไปถึงผู้คน

ผู้คนต่างก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้งกันในทันทีที่เห็นข้อมูลเหล่านี้ แม้แต่บรรดาหมอทั้งหลายเองก็ยังไม่เคยคาดคิดว่าจะมีการรักษาแบบนี้อยู่ในโลก

ทุกวิธีการที่โรงพยาบาลกังหยุนใช้นั้นราวกับหลุดออกจากนอกกรอบศาสตร์ที่พวกเขาได้เรียนรู้มา แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น วิธีการเหล่านี้ช่างดูลึกล้ำราวกับหลุดออกมาจากหนังวิทยาศาสตร์เลยก็ว่าได้

แต่ถึงแม้ว่าจะดูเหมือนหนังวิทยาศาสตร์ขนาดไหนก็ตาม แต่เมื่อพวกเขาได้ลองนึกถึงวิธีการต่างๆที่อยู่ในหนังมาปรากฎอยู่ในโลกแห่งความจริงได้นั้น พวกเขากลับนึกภาพอื่นไม่ออกเลยนอกจากวิธีการของโรงพยาบาลกังหยุน

นี่จึงทำให้โรงพยาบาลกังหยุนต้องเริ่มรับแรงกดดันจากจำนวนคนไข้ที่เริ่มหลั่งไหลไปที่นั่น

แต่ผลที่ได้ก็คือ ยิ่งมีคนไปที่นั่นมากเท่าไหร่ สถิติที่โรงพยาบาลสามารถรักษาโรคต่างๆได้ก็มากขึ้นตามไปด้วย ราวกับว่าเป็นวังวนแห่งความสำเร็จเลยก็ว่าได้


ในตอนนี้เอง โรงพยาบางกังหยุนก็ได้ออกมาประกาศว่าคลีนิคพิเศษของพวกเขานั้นพร้อมที่จะเปิดให้บริการแล้ว โดยโรคที่คลีนิครับรักษานั้นก็คือมะเร็ง

ทันทีที่ข่าวนี้ได้แพร่ออกไปก็ได้ทำให้เหล่าผู้คนต่างก็แตกตื่นกันในทันที หากว่าเป็นโรคต่างๆก่อนหน้านี้ผู้คนยังพอที่จะยอมเชื่อได้ แต่การที่โรงพยาบาลกังหยุนออกมาประกาศว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้แบบนี้มันยากที่จะเชื่อได้จริงๆ

นั่นก็เพราะว่า โรคมะเร็ง คือโรคร้ายหนึ่งในห้าที่พลากชีวิตของมนุษย์ในโลกใบนี้และรักษาไม่ได้ ไม่สิต้องบอกว่าเป็นหนึ่งสี่ของโลกที่ยังไม่มีการรักษาได้

เหตุที่เหลือแค่สี่นั้นก็เพราะว่าโรคALSนั้นถูกรักษาได้โดยซูจิ้งไปแล้ว หรือนี่จะหมายความว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นยินดีที่จะท้าทายกับซูจิ้งได้รึเปล่าเพราะพวกเขานั้นจะได้รับชื่อเสียงมากมายหากว่าสามารถรักษาโรคที่ไม่มีทางรักษาให้หายนี้ได้จริง

แต่ที่สำคัญกว่านั่นก็คือพวกเขาสามารถทำได้จริงๆรึเปล่า เหตุผลที่โรคมะเร็งนี้กลายเป็นโรคที่ไม่มีทางรักษาได้นั้นเป็นเพราะว่าไม่ว่าจะรักษาจนหายไปกี่ครั้งก็ตาม โรคมะเร็งก็ยังกลับมาเป็นได้อีกครั้งไม่ว่าจะกี่ปีก็ตาม


แล้วอยู่ๆการที่มีโรงพยาบาลเปิดใหม่มาประกาศว่ารักษาได้หายขาดแบบนี้นี่ หากไม่เรียกว่าโรงพยาบาลแห่งปาฎาหารย์ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้วเหมือนกัน แต่ปาฏิหารย์จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆขนาดนั้นเลยหรือ

ถึงแม้ว่าการประกาศนี้จะสร้างให้ผู้คนเกิดความสงสัยอยู่เต็มประดาเพียงใด แต่กับผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้น

ทันทีที่พวกเขาป่วยเป็นมะเร็งก็ไม่ได้ต่างจากม้าใกล้ตายที่รอหมอม้ามาฉีดยาให้ดับดิ้นไปเท่านั้น

ข่าวนี้ได้ช่วยให้มีความหวังขึ้นมาโดยไม่ได้สนใจเรื่องที่ว่าจะเชื่อได้หรือไม่ก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ บนโลกนี้ ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่กล้าจะมาประกาศตัวแบบนี้ได้

นี่จึงเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาแล้ว นั่นก็เพราะหากไม่มีข่าวนี้ ฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพวกเขาแล้วก็ยังควานหากันไม่เจอด้วยซ้ำ


ตอนนี้บางสำนักข่าวที่ทราบเรื่องก็ได้ส่งนักข่าวตรงไปยังโรงพยาบาลกังหยุนเพื่อสัมภาษณ์ในทันที แน่นอนว่าสำหรับคนแบบนี้แล้ว ข้อมูลของคนไข้นั้นสามารถหามาได้อย่างง่ายดาย

พวกเขาได้ใช้ช่องทางนิดหน่อยในการได้ข้อมูลคนไข้จากโรงพยาบาลอื่นมาและยืนยันได้ว่าเป็นมะเร็งจริง และเหล่านักข่าวมั่นใจได้ว่าคนไข้คนนี้ไม่ได้รับการรักษาจนหายจากโรงพยาบาลอื่นก่อนที่จะมายังโรงพยาบาลกังหยุนอย่างแน่นอน


ในวันนี้ คลีนิคพิเศษของโรงพยาบาลกังหยุนนั้นได้รับคนไข้มะเร็งมาสามราย นี่ทำให้เหล่าหมอที้งหลายยุ่งมาก แต่นักข่าวก็ยังไปขอสัมภาษณ์หมอที่มีหน้าที่รักษาอยู่ดี

“หมอครับ คุณจะรักษาคนไข้โรคมะเร็งได้ยังไงครับ ด้วยการที่โลกนี้เป็นหนึ่งในสี่ของโรคที่ไม่มีทางรักษาได้หายและฆ่าชีวิตผู้คนมากมายในโลกใบนี้ แล้วทำไมคุณหมอยังมั่นใจได้ว่าสามารถรักษาโรคนี้ได้กัน” นักข่าวสาวสวยถามออกมาอย่างคาดคั้น

“ที่พวกเรามั่นใจนั้นเป็นเพราะว่าพวกเราได้ทำการศึกษาและพัฒนาวิธีกรต่อกรโรคมะเร็งจนถึงระดับดีเอ็นเอได้แล้ว ถึงแม้ว่าพวกเรายำไม่ชำนาญในเรื่องนี้สักเท่าไหร่นักเพราะยังขาดคนไข้ที่มารับการรักษา


แต่เมื่อคิดถึงว่าโรงพยาบาลของเรานั้นพึ่งจะเปิดใหม่แล้ว พวกเรานั้นต้องการพิสูจน์ให้สาธารณชนเห็นว่าพวกเรานั้นมีความพร้อมที่จะรักษาโรคนี้จริงๆ

เอาล่ะ ผมจะไม่หยุดพวกคุณจากการถ่ายทำหรอกนะ ต่อผมก็หวังว่าพวกคุณจะไม่มาขัดขวางการรักษาและขอให้พวกคุณเคารพสิทธิของคนไข้ด้วยเหมือนกันเพราะยังไงซะที่นี่ก็คือโรงพยาบาล สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการรักษาคนไข้ที่ต้องใช้สมาธิในการรักษามากกว่าปกติ” หมอได้พูดออกมาด้วยท่าทางไม่ยินดียินร้ายต่อนักข่าว


นักข่าวเองในตอนนี้ก็เข้าใจในเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะยังไงซะที่นี่ก็คือโรงพยาบาล หากว่าหมอนั้นไม่มีสมาธิในการรักษาคนไข้มากพอล่ะก็พวกเขาเองก็รับผลที่จะเกิดขึ้นกับตัวเองไม่ไหวอย่างแน่นอน

ที่แน่ๆหากเกิดเรื่องจริงอย่างน้อยๆพวกเขาต้องเสียงานของตัวเองไปตลอดชีวิตซึ่งนั้นยังถือว่าเป็นอย่างน้อยที่สุด หากเรื่องเลยเถิดล่ะก็แน่นอนว่าพวกเขานั้นคืออาชญากรดีๆนี่เอง

ด้วยเหตุนี้ เหล่านักข่าวจึงเลือกที่จะพยายามไม่เข้าไปขัดขวางการรักษาของหมอเจ้าของไข้และแทรกแซงผู้ป่วย พร้อมทั้งรอดูผลการรักษามะเร็งอยู่เงียบๆ


GGS:บทที่ 1127 ฉิวจิงสับสน


หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน โรงพยาบาลกังหยุนก็ได้ประกาศข่าวดีออกมาว่าผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระยะลุกลามนั้นมีอาการป่วยที่ดีขึ้น และหลังจากนั้นประมาณสิบวันผู้ป่วยก็ได้หายดีอย่างแท้จริงเหลือแค่เพียงการฟื้นฟูร่างกายเท่านั้น

แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้จะมีคนเชื่อได้ง่ายๆได้ยังไง หลายๆคนตั้งข้อสงสัย อีกหลายคนเองไม่เชื่อเรื่องนี้เลยสักนิด แต่เมื่อผู้ป่วยเหล่านี้ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ปรากฏว่าพวกเขาตรวจไม่พบมะเร็งเลยแม้แต่น้อย นี่เทียบเท่ากับว่าพวกเขาหายดีแล้วจริงๆ

ทันทีที่ข่าวนี้ได้เผยแพร่ออกไปก็ได้สร้างความโกลาหลไปทั่วทั้งโลกในทันที วงการแพทย์ทั่วทั้งโลกต่างก็ตกตะลึงกับเรื่องนี้ นั่นก็เพราะประเทศจีนไม่เพียงจะเอาชนะโรคALSได้เพียงอย่างเดียวแต่ยังเอาชนะโรคมะเร็งได้อีกด้วย


เมื่อเทียบกับโรคที่โดนตราไว้ว่าไม่มีทางรักษาได้ทั้งห้าโรคนั้น โรคมะเร็งมีผู้ป่วยมากกว่าโรคALSถึงสิบเท่า ยิ่งไปกว่านั้นคือจำนวนยังคงมากขึ้นเรื่อยๆ

โดยส่วนใหญ่ของผู้ที่เป็นมะเร็งนั้นจะเป็นผู้ที่สูบบุหรี่และได้รับสารก่อมะเร็งต่างๆ นี่จึงทำให้จำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งนั้นเพื่อสูงขึ้นในทุกๆปี และยังมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

“พระเจ้า โรงพยาบาลนั่นสุดยอดเลยจริงๆที่มีสามารถรักษาได้แม้แต่มะเร็งระยะลุกลาม”

“ในตอนแรกพวกเราทุกคนต่างก็คิดว่าที่โรงพยยาบาลออกมาโฆษณานั้นเป็นเพียงเรื่องเกินจริงไปเท่านั้นเพื่อให้ได้รับชื่อเสียง

พวกเราเชื่อด้วยซ้ำว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นพยายามลอกเลียนแบบทุกสิ่งทุกอย่างมาจากโรงพยาบาลกังเฟิงจงหยุนด้วยซ้ำ ตอนนี้รู้แล้วว่าโฆษณาเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง”

“คราวนี้ฉันว่าโรงพยาบาลกังเฟิงต้องมีคู่ปรับแล้วเป็นแน่”

“แล้วซูจิ้งมีท่าทียังไงบ้างล่ะ”

“ไม่มีเลยแม้แต่น้อย เห็นเขาว่ากันว่าซูจิ้งนั้นมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับโทรศัพท์กาลเวลารุ่นที่สองซึ่งทำรายได้มากกว่าโรงพยาบาลเลยไม่ได้สนใจด้านการแพทย์อีกต่อไป”


หลังจากได้เห็นข่าวนี้ หวังกังหยุน หลิวเว่ย และหมอคนอื่นๆเองก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่นาน ส่วนหมอของโรงพยาบาลกังเฟิงอย่างลูฉิงหมิงและคนอื่นๆต่างก็ตกตะลึงอยู่นานเลยทีเดียว

“พระเจ้า พวกเราเอาชนะโรคมะเร็งได้แล้ว”

“ตอนแรกฉันก็ว่ารางวัลโนเบิลด้านการแพทย์ปีนี้จะกลายเป็นของท่านประธานซูจิ้งแล้วนะ เพราะว่าเขานั้นเป็นคนที่รักษาโรคALSได้

แต่เมื่อทางนั้นรักษาได้แม้แต่โรคมะเร็งแบบนี้หากรางวัลโนเบิลหลุดมือไปก็ไม่ได้แปลกใจเลยสักนิด เพราะว่าทางนั้นดูแล้วสุดยอดกว่ายังไงก็ไม่รู้”

“ตอนนี้ผู้คนต่างก็พูดถึงโรงพยาบาลกังหยุนกันเป็นการใหญ่ ราวกับว่าพวกเขานั้นลากพวกเราลงมาจากยอดหอคอยเลยจริงๆ”


ก่อนหน้า ผู้คนต่างก็นึกกันไปว่าโรงพยาบาลกังเฟิงนั้นไม่มีใครจะฉุดรั้งลงมาจากยอดหอคอยไม่ได้แล้ว แม้แต่องค์กรการแพทย์ระดับโลกนั้นก็ยากที่จะเทียบเคียง

ใครจะไปคิดว่าอยู่ๆก็มีโรงพยาบาลอื่นโผล่ออกมาโดยมีรูปแบบการบริหารที่คล้ายกันและทำได้แม้แต่การรักษาโรคที่ไม่มีวันรักษาแบบนี้ นี่คือศัตรูที่แท้จริงของโรงพยาบาลกังเฟิงชัดๆ

และผลจากนี้ก็ทำให้เหล่าผู้คนกลุ่มหนึ่งที่เงียบหายไปนานปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง คนกลุ่มนี้ก็คือกลุ่มคนนักเลงคีย์บอร์ดที่เป็นปฏิปักษ์ต่อซูจิ้ง โดยพวกเขานั้นได้หาเรื่องซูจิ้งมานับครั้งไม่ถ้วน

แต่เดิม คนเหล่านี้ต่างก็ถอดใจที่จะลากซูจิ้งลงมากยอดไปแล้วทั้งๆที่ยังไม่ยากเลยแม้แต่น้อยแต่ก็ทำได้เพียงรับมันไว้แต่โดยดี


เหตุหลักๆก็คือซูจิ้งนั้นทำได้แม้กระทั่งทำให้อเมริกายอมศิโรราบได้ แล้วใครจะกล้าไปเมื่อเรื่องกัน

อย่างไรก็ตาม โดยไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครสักคนกล้าที่จะเปรีบยบเทียบกับโรงพยาบาลกังเฟิงของซูจิ้งได้ นี่เรียกได้ว่าเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว

“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่คิดเลยว่าซูจิ้งจะมีวันนี้กับเขาด้วย”

“สำหรับคนที่กล้าไปท้าต่อยกับซูจิ้งที่อยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้าแบบนี้ได้สมควรจะต้องเป็นคนที่สุดยอดกว่าซูจิ้งอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าไม่เคยมีคนสนใจเขามาก่อน”

“ดีจริงๆที่เรามีโรงพยาบาลกังหยุน ในภายภาคหน้าฉันจะไปรักษาแต่กับหมอที่นั่นเท่านั้น”


ณ ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีบรรยากาศมืดดำหนวดเครารกรุงรังได้หัวเราะออกมาสามครั้งอย่างดังลั่นในทันทีที่เห็นข่าวการรักษาโรคมะเร็งนี้

ชายคนนี้ก็คือฉิวจิง คนที่เคยหาเรื่องกับซูจิ้งแล้วพบกับจุดจบที่ไม่สวยเลยแม้แต่น้อยโดยที่ซูจิ้งยังไม่ได้ทำอะไรเลยสักนิด

เขาเองเคยเป็นหมอที่ได้รับความนิยมในวงการแพทย์มาก่อน แต่ในตอนนี้ เขากลับกลายเป็นหมอที่ไม่มีคนสนใจแม้จะเอ่ยถามชักชวนให้เข้าร่วมเลยด้วยซ้ำ

ในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขานั้นไม่ได้ต่างไปจากหมาหัวเน่าเลยแม้แต่น้อย นั่นก็เพราะเขาได้ละทิ้งจิตวิญญาณและความสูงส่งของการเป็นแพทย์และมีชีวิตอยู่ไปวันๆเท่านั้นเอง

ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วเขาจะได้ทำงานในคลินิกเล็กๆแห่งหนึ่ง แต่เขานั้นก็ได้ทำงานด้วยใจที่ไม่อยากเพราะแตกต่างกับชีวิตช่วงเวลาก่อนหน้ามากเกินไป


เขานั้นทำสีหน้ามุ่ยยู่ตลอดทั้งวัน และมีปัญหากับทุกสิ่งที่เห็น จนในที่สุด แม้แต่คลินิกเล็กๆก็ยังไม่สามารถที่จะยอมรับเขาไว้ได้จึงทำให้ฉิวจิงต้องตกงานอีกครั้ง

ในตอนนี้ เขาเองได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของโรงพยาบาลกังหยุนที่ดูแล้วสูงล้ำกว่าโรงยาบาลกังเฟิงทำให้เขานั้นรู้สึกมีความสุขขึ้นมาอย่างที่สุด ในขณะเดียวกัน หัวใจของเขาก็กลับคืนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

“หึ เป็นเพราะในตอนนั้นฉันแค่พลาดไปหาเรื่องซูจิ้งไว้ในไมโครบลอคเท่านั้น ไอ้โจรแก่หวังกังหยุนนั่นถึงกับตราหน้าฉันว่าเลวระยำตำบอนอย่างที่สุดจนทำให้ไม่มีโรงพยาบาลไหนที่กล้าจะรับฉันอีก


แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าโรงพยาบาลกังหยุนจะไม่รับฉันสักหน่อย หึหึหึ พวกเขานั้นดูท่าจะต้องการเทียบเคียงกับโรงพยาบาลกังเฟิงตั้งแต่เริ่มแบบนี้แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ต้องไม่ชอบซูจิ้งเช่นเดียวกัน

ในเมื่อฉันที่กล้าจะท้าทายซูจิ้งจนโดนขึ้นบัญชีดำแบบนี้ไปสมัครโรงพยาบาลอื่นไม่ได้แต่ฉันว่ายังไงพวกเขาก็ต้องรับฉันเอาไว้อย่างแน่นอน ฮ่าฮ่าฮ่า” เมื่อฉิวจิงคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมาทำให้เขานั้นอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้จริงๆ

ตอนนี้เขารู้สึกราวกับผมทางสว่างที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาจนได้


“เหนือสิ่งอื่นใดนั้น…ฉัน…คงต้องโพสต์ลงไปในไมโครบลอกซะหน่อยสินะ” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยสายตาที่ร้อนรน เขาได้เปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองพร้อมกับสร้างเนื้อหาหนึ่งขึ้นมาในไมโครบลอคของตัวเองแล้วโพสต์ออกไป

เนื้อหาของโพสต์นี้เกี่ยวกับการกดให้โรงพยาบาลกังเฟิงดูต่ำลงและยกโรงพยาบาลกังหยุนให้สูงขึ้น เพียงแค่เห็นก็สามารถรู้ได้ในทันทีว่าคนเขียนโพสต์นี้มีความรู้สึกยังไง

เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ฉิวจิงไปทำการตัดผมโกนหนวดก่อนจะนำสูทตัวเก่งของเขามาใส่ จนทำให้ภาพลักษณ์ในตอนนี้ราวกับได้คืนสู่ความสง่าในฐานะแพทย์อีกครั้งหนึ่ง และได้มุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลกังหยุนในทันทีเนื่องจากในเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลกังหยุนได้แจ้งเอาไว้ว่าพวกเขากำลังต้องการรับผู้มีความสามารถ และนี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขานั้นโพสต์ข้อความดูถูกแบบนั้นออกไป เพราะคิดว่าจะได้คะแนนจากเรื่องนี้จนทำให้ถูกรับเข้าทำงานทันที


ด้วยการที่ในตอนนี้ฉิวจิงนั้นยากจนข้นแค้นจนทำให้แม้แต่รถยนต์ส่วนตัวก็ต้องขายออกไป เขาจึงไปโดยใช้แท็กซี่เพื่อตรงไปที่โรงพยาบาลกังหยุนแทน

พร้อมความคิดที่ว่าในคราวนี้เขานั้นต้องมีอนาคตที่ไม่สิ้นสุดอย่างแน่นอน คิดไปแม้กระทั่งว่าด้วยสิ่งนี้จะทำให้ภรรยาเก่าของเขานั้นต้องเปลี่ยนใจกลับมายืนอยู่ข้างเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งอารมณ์ดีจนถึงขั้นอยู่ๆก็หัวเราะออกมาเบาๆ


“แหม่…ดูท่าทางมีความสุขมากเลยนะครับเนี่ย มีเรื่องดๆเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอครับ” คนขับรถถามออกมาด้วยรอยยิ้ม

“ก็ไม่ได้มีความสุขอะไรขนาดนั้นหรอกน่า พอดีผมเตรียมจะไปสมัครงานที่โรงพยาบาลกังหยุนเท่านั้นเอง” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“โอ้….คุณเป็นหมอด้วยเหรอครับเนี่ย โรงพยาบาลกังหยุนนี่ดีมากเลยนะครับ ผมได้ยินมาว่าวิธีการรักษาของที่นั่นดีเยี่ยมเลย รักษาได้แม้กระทั่งโรคมะเร็งแน่ะ” คนขับรถได้พูดออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย

“ใช่แล้ว โรงพยาบาลกังหยุนนั้นสุดยอดจริงๆ ฉันหวังจริงๆว่าจะได้ร่วมงานกับพวกเขาจริงๆ” ฉิวจิงพูดออกมาด้วยท่าทีสุขุม แต่จิตใจของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ นั่นก็เพราะ

อย่างแรก ด้วยประสบการณ์ที่เขาไม่ชอบหน้าซูจิ้งมาแต่ทุนเดิมและเรื่องที่พึ่งจะทำไปนี่ต้องสร้างความพึงพอใจให้แก่คนของโรงพยาบาลกังหยุนอย่างแน่นอน อย่างที่สอง ในตอนนี้ยังไงซะเขาก็ยังถือว่าเป็นหมอที่มีความสามารถอย่างแท้จริงอยู่ดี

“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอให้ได้งานนะครับ” คนขับรถได้พูดอวยพรออกมา


หลังจากที่นั่งรถไปพักใหญ่แล้ว คนขับรถได้เปิดข่าวขึ้นมาเพื่อทำลายบรรยากาศอันเงียบงันโดยเขาได้เปิดข่าวท้องถิ่นขึ้นมา

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากฟังช่องท้องถิ่นแบบนี้เลยแม้แต่น้อยแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรออกมาเพราะตอนนี้เขานั้นยังอารมณ์ดีอยู่ ตราบใดที่มันไม่ได้เสียงดังเกินจนรบกวนอารมณ์ของเขาก็ไม่มีปัญหา

แต่ทันที่เขานั้นได้ยินชื่อของโรงพยาบาลกังหยุนแว่วเข้าหูมาก็อดไม่ได้ที่จะตั้งใจฟังในทันที

เสียงจากวิทยุเป็นเสียงของนักข่าวสาวที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น โดยเธอพูดออกมาว่า “พวกเราพึ่งจะได้รับรายงานข่าวมาค่ะว่าซูจิ้งได้ปรากฏตัวที่โรงพยาบาลกังหยุนในตอนนี้ และภาพที่ส่งมานี้แสดงให้เห็นว่าประธานของโรงพยาบาลกังหยุนนั้นแสดงความเคารพต่อเขาอย่างมาก นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…”

….


“จากที่นักข่าวได้เข้าไปสัมภาษณ์นะคะ กลายเป็นว่าโรงพยาบาลกังหยุนแห่งนี้เองก็ถูกจัดตั้งขึ้นมาพร้อมทั้งบริหารงานโดยซูจิ้งเช่นเดียวกันค่ะ นี่หมายความว่า ซูจิ้งได้ค้นพบทั้งเทคโนโลยีในการรักษาแบบใหม่ ตลอดจนวิธีการรักษาโรคมะเร็งเองก็ถูกพัฒนาโดยซูจิ้งเช่นเดียวกัน…”

…..

“นักข่าวของเรานั้นได้ถามมาแล้วนะคะว่าทำไมทั้งๆที่โรงพยาบาลกังเฟิงเองก็ยังเปิดและทำรายได้อย่างดีเลิศอยู่แล้ว แล้วมีเหตุผลอะไรถึงได้เปิดโรงพยาบาลกังหยุนขึ้นมาอีก

โดยเขานั้นได้ตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มว่า เขานั้นต้องการจะแสดงให้เห็นว่าการที่โรงพยาบาลกังเฟิงมีชื่อเสียงมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั้นไม่ได้มาจากชื่อเสียงของเขา

แต่มาจากการที่โรงพยาบาลนั้นดำเนินการมามากมายและดีเยี่ยมจนทำให้ได้รับชื่อเสียงมาด้วยตัวเอง หากว่าจะมีอะไรมาล้มล้างได้ก็คงมีแต่ตัวเขาเองเท่านั้น

และเขายังบอกมาด้วยท่าทีอารมณ์ดีอีกค่ะว่า “ดูไร้สาระดีใช่ไหมล่ะ” ”

…..


ทันทีที่ข่าวนี้เผยแพร่ออกไปนั้นทำให้หวังกังหยุน หลิวเว่ย และหมอคนอื่นๆต่างก็สับสนกันไปหมด แม้แต่ลู่ฉินหมิงและหมอจากโรงพยาบาลกังเฟิงคนอื่นๆเองก็มีท่าทีสับสนไม่ต่างกัน นี่เท่ากับว่าพวกของลู่ฉินหมิงนั้นกังวลเองอยู่ฝ่ายเดียวว่าจะรับมีกับเรื่องนี้ยังไง

พอเขากลับมาหวนคิดว่าการที่ซูจิ้งไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้นั้นก็เป็นเพราะเหตุนี้เองสินะ เพราะยังไงซะสุดท้ายแล้วทั้งสองโรงพยาบาลนั้นก็จะเป็นโรงพยาบาลในเครือเดียวกันอยู่ดี

เรื่องนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่ออกมาโวยวายและกระทำการดึงโรงพยาบาลกังเฟิงและซูจิ้งให้ตกต่ำและยกโรงพยาบาลกังหยุนให้สูงนั้นต่างก็สับสนกันไปหมด


ในรถคันหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงไปยังโรงพยาบาลกังหยุนนั้น ฉิวจิงในตอนนี้ราวกับว่าตัวเองกำลังจะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่ ทั่วทั้งร่างกายนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีอย่างที่สุด

ในตอนนี้เขานั้น มีความรู้สึกว่าทั่วทั้งโลกนี้เต็มไปด้วยเบื้องหลังที่ตัวเขานั้นยากจะหยั่งถึงได้จริงๆ


GGS:บทที่ 1128 ขยะกองใหม่


ชายหนุ่มมาดสุขุมคนหนึ่งหลังจากกลับมาจากที่ทำงาน เขาได้ทำการเปิดQQแล้วเข้าไปในกลุ่มของเขาในทันที หลังจากนั้นเขาได้ทำการพิมพ์ข้อความออกไปว่า “นี่โรงพยาบาลกังเฟิงยังไม่แสดงท่าทีอะไรต่อโรงพยาบาลกังหยุนอีกเหรอ ไอ้พวกนั้นไม่น่าจะคิดยอมแพ้ง่ายๆนี่นา

สงสัยว่าจะยังไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่สินะ หรือว่าเราจะร่วมมือกันกระตุ้นให้ไอ้พวกนั้นเต้นดิ้นไปดิ้นมาดีล่ะ”

“…….”

“…….”

เพื่อนในกลุ่มของเขานั้นที่เคยคิดแบบเดียวกันนั้น ในตอนนี้ต่างก็เงียบงันกันไปหมด

“เป็นอะไรกันพวกนาย” ชายหนุ่มมาดสุขุมเริ่มผิดสังเกตจึงได้ถามออกมา

“นี่นายยังไม่ได้ข่าวอีกเหรอ” คนหนึ่งในกลุ่มพิมพ์ถามออกมา

“ข่าวอะไรล่ะนั่น วันนี้ทั้งวันฉันยังไม่ได้ยินว่าโรงพยาบาลกังเฟิงจะทำอะไรเลยสักอย่าง แต่ก็เอาเถอะ ยังไงซะต่อให้ไอ้พวกนั้นทำอะไรก็เทียบไม่ได้กับการที่โรงพยาบาลกังหยุนเอาชนะโรคมะเร็งได้อย่างแน่นอน”

“…..เอาไปดูเองเถอะ” คนหนึ่งในกลุ่มได้พิมพ์ตอบออกมาก่อนที่จะส่งลิ้งค์ข่าวให้ดู

เมื่อชายหนุ่มมาดสุขุมได้เปิดดูก็ได้เข้าไปยังข่าวๆหนึ่ง ในทันทีที่เห็น ดวงตาของเขาเบิกกว้างในทันที ปากของเขาอ้ากว้าง กว้างที่สุดเท่าที่จะเคยอ้ามา


เขารู้สึกเหมือนกับว่ามีม้านับหมื่นตัววิ่งเล่นอยู่ในใจเขา พลางนึกอุทานออกมาในใจว่า ห่าเหวอะไรกัน ซูจิ้งเป็นเจ้าของโรงพยาบาลกังหยุนงั้นเหรอ

แล้วไอ้การที่พวกเขาต่างก็พากันยกยอปอปั้นโรงพยาบาลกังหยุนให้สูงและฉุดกระชากโรงพยาบาลกังเฟิงให้ต่ำลงมานั้นจะไปมีค่าอะไรกัน ในเมื่อทั้งสองโรงพยาบาลนั่นต่างก็เป็นของซูจิ้ง นี่มันไม่ได้ต่างจากลิงที่ถูกหลอกให้เป็นตัวตลกเลยนี่หว่า


ชายหนุ่มมาดสุขุมคนนี้มีความรู้สึกอยากจะขุดหลุมออกจากกลุ่มแชทนี้ออกไปให้พ้นๆเพราะคนในกลุ่มนี้เยอะจนทั่วทั้งประเทศเลยก็ว่าได้

ยังดีหน่อยที่ชื่อผู้ใช้เป็นเลขรหัสและไม่มีใครรู้ว่าตัวจริงของแต่ละคนนั้นคือใคร ไม่อย่างนั้นล่ะก็ไม่เพียงจะมีคนรู้ว่าเขานั้นทำอะไรลงไปล่ะก็ มีหวังต้องย้ายหนีกันบ้างแน่ๆ

หลังจากคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักพัก หนุ่มมาดสุขุมก็มีความคิดว่าจะดีดตัวเองออกจากกลุ่มนี้ในทันที ในตอนนั้นเองที่เขาเห็นว่า จำนวนคนที่อยู่ในกลุ่มนี้จากห้าหกหลักเหลือเพียงแค่หลักเดียวเท่านั้น


กลุ่มนี้แต่เดิมนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อรวบรวมเหล่าคนที่ไม่พอใจในตัวซูจิ้งและเตรียมที่จะก่อการบางอย่าง

ตอนนี้ในเมื่อพวกเขารู้ดีแล้วว่าซูจิ้งนั้นยากที่จะทำอะไรได้แล้วแน่ๆ จะเป็นการดีกว่าถ้าไม่ไปทำการทุบหินด้วยไข่ จะดีกว่า นี่คือเหตุผลที่ทำให้จำนวนคนในกลุ่มหายไปอย่างรวดเร็วในพริบตา

สำหรับกลุ่มนี้นั้น เรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในทุกครั้งที่ซูจิ้งเริ่มเคลื่อนไหวทำอะไรบางอย่าง

ทุกๆครั้งที่ซูจิ้งทำอะไรแล้วสำเร็จได้ด้วยดีนั้นทำให้คนเหล่านี้รู้สึกได้ราวกับว่าซูจิ้งได้ตบหน้าพวกเขาแบบตรงๆ และนั่นก็ทำให้ล้มเลิกความตั้งใจไปในทันที


เหมือนอย่างตอนที่อเมริกานั้นล้มเลิกความตั้งใจไป ในตอนนั้นคนในกลุ่มที่มีมากมายห้าหกหลักลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่หลัก

และในวันนี้จากกลุ่มที่เริ่มจะกลับมาเติบโตจนถึงเลขห้าหลักได้ ในที่สุดก็หลงเหลือแค่เลขหลักเดียว

เรียกได้ว่ากลุ่มๆนี้ตายแล้วอย่างสิ้นเชิง

ยิ่งเห็นแบบนี้ ชายหนุ่มมาดสุขุมก็ไม่มีท่าทีอิดออดที่จะคงอยู่ในกลุ่มนี้อีกต่อไป พร้อมการยกเลิกความคิดที่จะใช้เหล่าฝุ่นผงพวกนี้ไปสาดซัดใส่ซูจิ้งอีกต่อไป


ในโลกอินเตอร์เน็ต หลังจากข่าวที่ว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นมีซูจิ้งเป็นคนก่อตั้งเผยแพร่ออกไปทำให้ชาวเน็ตพูดคุยเรื่องนี้กันไปทั่ว

“พระเจ้าเถอะ กลายเป็นว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นถูกก่อตั้งโดยซูจิ้ง”

“เมื่อไม่กี่วันก่อนฉันได้ยินข่าวมาว่ามีคนออกมาเยาะเย้ยซูจิ้งว่าที่เงียบไปนั้นเป็นเพราะว่าเขานั้นอวดดีไม่ออกเมื่อต้องเจอกับคนที่แน่กว่าเขา

ตอนนี้ฉันเองอยากรู้แล้วล่ะว่าคนพวกนั้นตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าหน้าจะบางลงบ้างหรือยัง ยิ่งนึกก็ยิ่งสงสัยนะว่าคนพวกนั้นมีหนังหนาแค่ไหนกัน ดูตอกหน้ากลับไปซ้ำๆก็ยังกล้าที่จะออกมาวอแวโหวกเหวกโวยวายแบบนี้อยู่เรื่อย

นี่คือขนาดพี่จิ้งยังไม่ได้ออกมาทำอะไรเลยนะ นี่ฉันล่ะอยากจะให้พี่จิ้งออกโรงเองเลยจริงๆ อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นยังไง”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ใครจะไปรู้ ที่พี่จิ้งทำการตั้งโรงพยาบาลใหม่ขึ้นมาโดยไม่ให้ใครรู้นั้นอาจเป็นเพราะเขาวางแผนที่จะเห็นคนออกมาวอแวโหวกเหวกโวยวายแบบนี้อยู่ก็ได้ แล้วดูว่าใครบ้างที่ทำแบบนี้ซ้ำๆจะได้กุดหัวถูก”


“อย่างกับแสงสว่างและเงามืดเลยแหะ”

ที่ผ่านมานั้น คนเหล่านี้คือคนที่เคยกล้าที่จะหาเรื่องกับซูจิ้งแบบซึ่งหน้า แล้วแพ้พ่ายไปซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเก็บจนเริ่มคิดว่าพวกเขาถูกซูจิ้งรังแกมากเกินไป

จึงได้สั่งสมความนี้เอาไว้ภายในใจ นานวันไป พวกเขาก็ยิ่งรู้ตัวว่าทำอะไรไม่ได้แต่ก็ยังไม่มีความคิดที่จะถอดใจ จึงเรียกที่จะอยู่เงียบๆรอคอยจังหวะที่จะเอาคืน

ทั้งที่ซูจิ้งไม่ได้มีความคิดที่จะเริ่มก่อนแม้แต่น้อย ซูจิ้งแทบจะไม่เคยทำอะไรคนเหล่านี้เลยสักนิด นอกจากดำเนินธุรกิจอย่างตรงไปตรงมา และล้างบางคนที่กล้าจะหาเรื่องโดยนำคนที่มีความสัมพันธ์ดีกับเขามาเกี่ยวข้องด้วย ควรจะเป็นซูจิ้งต่างหากควรที่จะมีความรู้สึกนี้ด้วยซ้ำไป


ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน คนเหล่านี้ถึงแม้จะเลิกรวมตัวกันแต่นั่นก็ไม่ได้จะทำให้ความคิดเกลียดชังนี้จางหายไปไหน

พวกเขาต่างก็ตีโพยตีพายว่าทั้งๆที่ซูจิ้งเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลกังเฟิงดีๆแล้วอยู่ๆก็ไปแอบตั้งโรงพยาบาลใหม่แบบนี้ แสดงว่าซูจิ้งต้องการแกล้งพวกเขาชัดๆ ………


“ฮ่าฮ่าฮ่า สรุปว่าโรงพยาบาลกังหยุนนั้นอยู่ในเครือเดียวกับเราตั้งแต่ต้นเหรอเนี่ย” เหล่าหมอและพยาบาลของโรงพยาบาลกังเฟิงที่ได้ยินข่าวนี้ต่างก็อดที่จะออกมาแสดงความยินดีและโล่งใจกันไม่ได้

“ไอ้หมอนี่นี่น้า..เล่นซะพวกเราหัวหมุนเป็นลิงไปเลย” ลูฉิงหมิงพูดออกมาด้วยรอยยิ้มและไม่ได้มีท่าทีโกรธเคืองซูจิ้งเลยแม้แต่น้อย

ตัวเขานั้นออกจะยินดีด้วยซ้ำที่การแพทย์ของโลกใบนี้ได้พัฒนาขึ้นไปอีกระดับขั้นหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือวิชาความรู้การแพทย์ที่ช่วยยกระดับวงการยังเป็นโรงพยาบาลในเครือเดียวกันแบบนี้ นี่ต้องทำให้โรงพยาบาลกังเฟิงกังหยุนครอบคลุมการรักษาในทุกด้านและกลายเป็นที่นิยมอย่างแน่นอน

“ประธานของเรานี่ทั้งๆที่น่าจะยุ่งการเปิดตัวโทรศัพท์มือถือกาลเวลารุ่นที่สองซะขนาดนั้นยังหาเวลามาพัฒนาการแพทย์แขนงใหม่ได้ยังไงกันเนี่ย”


“ยิ่งไปกว่านั้นคือนี่ไม่ใช่แค่ศาสตร์การรักษาเล็กๆธรรมดาแต่เรียกได้ว่าเป็นจ้าวแรกที่นำเทคโนโลยีมาผสานกับการรักษาโลกเลยก็ว่าได้ถึงขนาดที่ว่ารักษาได้แม้แต่โรคมะเร็ง

นี่เรียกได้เลยว่าถ้าไใช้เทคโนโลยีทางด้านพันธุกรรมอย่างเดียวล่ะก็ไม่มีทางเลยที่จะชนะโรคมะเร็งได้ แต่มั่วผนวกรวมกับด้านการแพทย์แล้ว นี่ถือเป็นยุคใหม่แห่งะการรักษาได้เลยนะ”

“ลูกพี่ของพวกเรานี่ต้องไม่ใช่มนุษย์แล้วแน่ๆ”

“อีกไม่นานหรอก เขาจะได้กลายเป็นพระเจ้าในร่างมนุษย์อย่างแท้จริง”


ในตอนนี้ไม่เพียงทั่วทั้งโลกจะตื่นเต้นกับเรื่องนี้แล้ว แม้แต่หมอในโรงพยบาลกังหยุนที่ก่อนหน้านี้กังวลแทนซูจิ้งอย่างหนัก ในตอนนี้พวกเกลับเปลี่ยนท่าทีเป็นได้หน้าแทนเจ้านายในทันที

ในตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะไปไหนก็สามารถมีเรื่องคุยโวได้แม้แต่กับภรรยาและลูกๆของตัวเองไปอีกนานแสนนาน

ก่อนหน้านี้พวกเขานั้นเพียงแค่คิดว่าการทำงานกับโรงบาลกังหยุนได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ในตอนนี้พวกเขากระจ่างชัดแล้วว่า พวกเขานั้นได้เดินไปในเส้นทางสายหนึ่งที่จะชี้นำชาวโลก


ในตอนนี้เรียกได้เลยว่าโรงพยาบาลกังเฟิงนั้นได้มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ยุ่งกว่าเดิม ซูจิ้งเองก็ได้ออกมาพูดเกี่ยวกับโรงพยาบาลทั้งสองนี้แล้วด้วยว่า

ตั้งแต่เขาได้ทำการก่อตั้งโรงพยาบาลกังเฟิงมานั้น เขาได้ทำการศึกษาศาสตร์การแพทย์ทั้งแผนจีนโบราณและแผนปัจจุบันของชาติตะวันตกอย่างแตกฉาน

แต่นั่นก็ทำให้เขานั้นผมความจริงว่าความรู้ทางการแพทย์ทั้งความรู้แผนจีนโบราณและความรู้แผนปัจจุบันของชาวตะวันตกนั้นไม่ได้เพียงพอต่อการรักษาโรคที่เกิดขึ้นในโลกยุคนี้ และนี่คือเหตุผลที่เขาได้คิดหาวิธีการรักษาโลกรูปแบบใหม่และในที่สุดก็ได้ตั้งโรงพยาบาลกังหยุนขึ้น

และด้วยการนี้ภายในอนาคตอันใกล้ เมื่อทั้งสองโรงพยาบาลได้ถ่ายทอดองค์ความรู้ที่มีให้กัน เขาคาดว่าในอนาคต โรงพยาบาลกังเฟิงกังหยุนจะกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของวงการแพทย์อย่างแน่นอน


ในตอนนี้ที่ประตูโรงพยาบาลกังหยุน รถแท็กซี่คันหนึ่งได้เข้ามาจอด และเป็นฉิวจิงที่ก้าวลงมาจากรถ ในตอนนี้เขาไม่ได้มีอาการปิติยินดีแบบก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

นี่ทำให้คนขับรถเองถึงกับประหลาดใจเหมือนกันเพราะก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เห็นชายหนุ่มคนนี้มีท่าทีมั่นใจอย่างที่สุด ราวกับว่าตัวเขานั้นได้งานที่นี่แล้วอย่างไม่ต้องสืบ

แต่เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมหลังจากได้ยินข่าวที่ว่าโรงพยาบาลกังหยุนเป็นของซูจิ้งแล้วทำไมถึงได้หมดอาลัยตายอยากอย่างนี้กัน แต่ก็อีกนั่นล่ะ เขาก็แค่คนขับรถมาส่งเลยไม่อยากจะถามอะไรมาก


หลังจากลงจากรถแท็กซี่ ฉิวจิงมองไปยังป้ายของโรงพยาบาลกังหยุนอยู่พักใหญ่แล้วก็ได้ถอดถอนลมหายใจออกมายาวๆ หากเขารู้มาแต่แรกว่าโรงพยาบาลแห่งนี้เป็นซูจิ้งก่อตั้งเขาคงไม่มาที่นี่ แต่เขาเองก็ไม่สามารถบอกให้คนขับเปลี่ยนเป้าหมายได้ทันเพราะมัวต่อตกตะลึงจนไม่ได้สติเนื่องจากดีใจสุดขั้วและต้องมาเศร้าสุดขีดในพริบตา

เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงยังกล้ามาที่นี่ อาจเป็นเพราะว่าเขานั้นยังคิดว่าที่นี่คือความหวังสุดท้าย หรือไม่ก็ข่าวนั้นเอาจจะเป็นข่าวปลอมก็ได้

ใครจะรู้ ซูจิ้งอาจไม่ใช่คนก่อตั้งจริงๆเพราะซูจิ้งนั้นไม่น่าจะคู่ควรกับที่นี่ นั่นก็เพราะกับอีแค่การรักษาโรคALSนั่นเขาก็แค่ได้วิธีการมาจากหนังสือเท่านั้น


กับครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน มันเป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่ใช่ว่าจะอ่านหนังสือโบราณก็สามารถเอาชนะโรคมะเร็งได้ ไหนจะธุรกิจที่รัดตัวขนาดนั้นไม่น่าจะมีเวลาว่างพอมาทำเรื่องแบบนี้ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าข่าวอาจจะพลาดไปก็ได้

ฉิวจิงยังคงก้าวเดินต่อไปเพื่อจะสัมภาษณ์งานด้วยความคิดที่เข้าข้างตัวเองแบบสุดๆ ในเมื่อมาถึงนี้แล้วเขาก็ไม่อยากจะถอยโดยไม่ได้รู้ผลอย่างแน่นอน


เมื่อคนสัมภาษณ์เห็นเขา สายตาของชายคนนั้นก็มีท่าทางแปลกๆเล็กน้อย เขาได้ลองเปิดอะไรบางอย่างดูอีกครั้งเพื่อยืนยันความคิดของตน

สิ่งที่เขาเปิดนั่นก็คือหน้าเว็บที่ฉิวจิงได้กล่าวดูถูกโรงพยาบาลกังเฟิงเอาไว้แล้วทำการยื่นให้ฉิวจิงในทันทีราวกับว่าเขาขี้เกียจจะพูดเรื่องนี้แม้แต่น้อยก็ไม่อยาก และเขาก็ได้เรียกหน่วยรักษาความปลอดภัยให้หิ้วฉิวจิงออกไป

ฉิวจิงในตอนนี้ได้นั่งลงอยู่ที่ริมทางเท้าหน้าโรงพยาบาล เขาอดทนเรื่องราวต่างๆต่อไปอีกไม่ได้จนร้องไห้ออกมา


ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่าในที่สุด ซูจิ้ง ก็คือคนก่อตั้งโรงพยาบาลนี้

เขารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวกำลังเล่นตลกกับชีวิตเขาซ้ำไปซ้ำมา เล่นกับหัวใจของเขาโดยการส่งแสงสว่างสุดท้ายมาให้แล้วดับลงไปซะดื้อๆ หรือจะบอกว่าซูจิ้งกำลังย่ำยีหัวใจของเขาแต่เขาก็ไม่กล้าจะว่าร้ายซูจิ้งอีกต่อไป

ตอนนี้ ชั่วขณะนี้ เขาสำนักผิด สำนึกผิดอย่างที่สุด เขาครุ่นคริดอย่างหมกมุ่นว่าทำไมเขาถึงได้ไปเริ่มท้าทายซูจิ้งได้กัน ทำไมกันล่ะ


ตอนนี้ซูจิ้งผู้สร้างเรื่องราวทั้งหมดนี้ เขาไม่ได้แยแสต่อโลกภายนอกแต่อย่างใด เขาเองก็รู้เรื่องฉิวจิงแล้วเหมือนกันแต่ก็เท่านั้น หากต้องสนใจเรื่องนั้นสู้เขาเอาเวลาไปศึกษาสมบัติจากกองขยะห้วงเวลาฯและบ่มเพาะยังจะดีกว่า

ถึงแม้คนทั้งโลกจะเห็นว่าโรงพยาบาลกังหยุนดีเด่ขนาดไหน แต่เขาก็หาได้สนใจไม่ มันก็แค่ก้าวเล็กๆสำหรับเขาในการเติมเต็มค่าการใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของเขาก็เท่านั้น


ในคืนวันนั้นราวๆตีสาม ซูจิ้งที่หลับอยู่ก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เป็นฉิงหยุนได้พูดออกมาว่า “ท่านเจ้าของ ขยะห้วงเวลาฯมาแล้วค่ะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ซูจิ้งได้ลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมดีดตัวยืนแล้วพุ่งลงไปที่ชั้นหนึ่งในทันที

เป้าหมายของเขาคือสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯ


GGS:บทที่ 1129 สะพรึง


เมื่อซูจิ้งก้าวเข้าสู่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศ วงวันขนาดยักษ์ได้หมุนเวียนอยู่บนท้องฟ้าโดยมีขยะมากมายกำลังไหลลงมาอย่างไม่ขาดสาย และเช่นเดิม ขยะแต่ละชิ้นลอยไปลอยมาด้วยสนามพลังพิเศษของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเพื่อคัดแยกขยะในเบื้องต้น

ทันทีที่ซูจิ้งมองปลาดไปนั้น หนังตาของเขาก็ได้กระตุกในทันที เหตุผลก็เพราะว่าเขานั้นได้เห็นโครงกระดูกมากมายทั้งโครงกระดูกมนุษย์และโครงกระดูกของสิ่งมีชีวิตที่ไม่คุ้นตา เรียกได้ว่าเป็นท้องทะเลโครงกระดูกที่เต็มไปด้วยความหลอนและน่าสะพรึงก็ว่าได้

นอกจากนี้ ซูจิ้ง ยังเห็นตะขาบตัวใหญ่ยักษ์ที่มีความยาวกว่าสองเมตรเป็นอย่างน้อย รวมถึงไม้ท่อนยักษ์ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่าสิบห้าเมตร สัญชาตญานของซูจิ้งแทบจะแจ้งเตือนในทันทีเลยว่าห้วงเวลาที่พวกมันจากมานั้นไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

นอกจากนั้นยังมีขยะธรรมดาอยู่อีกเป็นจำนวนมาก เท่าที่เขาเห็นนั้นมีทั้งเศษใบไม้ ดิน ดาบหัก เศษผ้า เศษกระดาษ เฟอร์นิเจอร์ และขยะอย่างอื่น


หลังจากผ่านไปสักพัก ขยะห้วงเวลาฯก็หยุดไหลลงมาและวังวนมิติก็ได้จางหายไป

ขยะห้วงเวลาฯกองนี้นั้นแทบจะเต็มพื้นที่รองรับของสถานีฯที่มีขนาดกว่า 1800 ตารางเมตรเลยทีเดียว และในตอนนี้พวกมันล้วนแล้วแต่ถูกแบ่งหมวดหมู่เอาไว้แล้ว

ซูจิ้ง ตรงไปยังขยะฯกองสิ่งมีชีวิตก่อนเป็นอย่างแรก นอกจากตะขาบที่เขาได้เห็นไปในตอนแรกแล้ว ในกองนี้ยังมีหนู แมลง และพืชอยู่อีก

เขาได้ทำการปล่อยกระแสจิตเพื่อสะกดจิตสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในทันทีเพื่อป้องกันการหนี และที่ก็ต้องทำให้ซูจิ้งต้องประหลาดใจไม่น้อยเหมือนกัน นั่นก็เพราะตะขาบและหนูที่หลงมานี้มีความแข็งแกร่งทางจิตใจที่สูงกว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่ติดมาและสูงล้ำกว่าคนบนโลกนี้ซะอีก

อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งยังไม่ได้สนใจสัตว์พวกนี้แม้แต่น้อย หลังจากควบคุมสัตว์ทุกตัวได้ เขาก็ตรงไปยังขยะฯกองกระดูกในทันที เขานั้นอยากเห็นให้ชัดๆว่ากระดูกพวกนี้มันคือตัวอะไรกันแน่

แต่ที่เขานั้นค่อนข้างจะมั่นใจก็คือ จากรูปร่างของกระดูกนั้นพวกมันล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งกว่าตะขาบและหนูที่เจออย่างแน่นอน


ในตอนนั้นเอง อยู่ๆ ขยะกองไม้ก็ได้มีสูงระเบิดดังลั่นจนทำให้ไม้จำนวนมากมายไหลร่วงลงมาพร้อมควันโขมงโฉง

ซูจิ้งขมวดคิ้วแน่นในทันทีพร้อมความคิดที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตหลุดรอดไปยังขยะกองไม้อย่างนั้นเหรอ แต่เมื่อคิดถึงความสามารถในการคัดแยกของฉิงหยุนนั้นถึงจะค่อนข้างจะเป็นการคัดแยกเบื้องต้นจริงๆ อย่างเช่นกล่องไม้ที่มีอัญมณีอยู่ก็ยังจัดให้อยู่เป็นขยะฯกองไม้จนเขาต้องแงะพวกมันออกมาเองทั้งๆที่พวกนี้คือของดีทั้งนั้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงการทำตามความต้องการของซูจิ้งแล้วนั้น ฉิงหยุนยังคงเพ่งเล็งการคัดแยกขยะฯสิ่งมีชีวิตก่อนเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว

ตราบใดที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ ฉิงหยุนจะถือว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตในทันที ไม่ว่าจะต้นหญ้าเล็กๆ หรือแม้แต่สมบัติศักดิ์สิทธิ์ที่มีการไหลเวียนของพลังวิญญาณก็ยังโดนจัดเป็นสิ่งมีชีวิตเลย ฉิงหยุนจึงไม่น่าจะพลาดเรื่องนี้ได้


ด้วยความสงสัย ซูจิ้งได้ปลดปล่อยกระแสจิตเข้าไปตรวจสอบทั้งขยะฯกองไม้ในทันที แต่ก่อนที่จะพบเจออะไรนั้น ไม้ในกองก็เริ่มไหลลงมาอีกครั้ง และในคราวนี้ เผยให้เห็นโลงศพสีดำทมิฬโลงหนึ่ง

นี่ทำให้ซูจิ้งอดที่จะถลึงตามองไม่ได้เพราะฉากนี้ช่างคุ้นเคยอย่างไม่อยากเชื่อ

เขาเคยพบโลงศพมาแล้วครั้งหนึ่งจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ

โลงศพที่ซูจิ้งเจอในตอนนั้นมีศพมีชีวิตอยู่และในภายหลังเขาก็ได้นำมันไปตั้งแสดงที่พิพิธภัณฑ์ของเขาโดยอ้างว่าเป็นโลงศพในยุคสมัยสามกษัตริย์ห้าจักรพรรดิ์ซึ่งสร้างความตะลึงต่อสายตาชาวโลกจนอึ้งทึ่งกันไปทั่ว

นี่จึงทำให้เขาอดจะสงสัยไม่ได้ว่าในคราวนี้เขาจะต้องเจอศพมีชีวิตแบบคราวก่อนอีกรึเปล่า เขาได้ทำการปล่อยพลังงานศักดิ์สิทธิ์ใส่โลงศพในทันที

อย่างไรก็ตาม ในคราวนี้ พลังงานศักดิ์สิทธิ์ได้กระทบเข้ากับแรงต้านที่ทรงพลัง มันแข็งแกร่ง เย็นยะเยือก และเต็มไปด้วยพลังแห่งมารร้าย

หัวสมองของซูจิ้งในตอนนี้สั่นสะท้านในทันทีนั่นก็เพราะพลังจิตของเขานั้นเมื่อเผชิญหน้ากับคลื่นพลังนี้ราวกับเรือเล็กที่แล่นฝ่าท้องทะเลคลั่ง


พลังของเขาถูกผลักกลับมาอย่างง่ายๆและต้านเอาไว้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย สมองของเขาส่งสัญญาณความเจ็บปวดในทันทีพร้อมกับใบหน้าของเขาที่ขาวซีดในทันใด

เป็นตอนนี้ที่โลงศพได้ทำการระเบิดออกเผยให้เห็นร่างๆหนึ่งที่ถูกปกคลุมเอาไว้ด้วยกลิ่นอายสีดำพร้อมกับหมอกสีดำที่แพร่กระจายไปทั่ว

ด้วยการที่มีหมอกดำปกคลุมทำให้ซูจิ้งไม่อาจจะเห็นใบหน้าของร่างนี้ได้ มันได้ลอยตัวขึ้นตรงไปบนฟ้าอย่างไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย

“ไอ้เด็กเวร แกกล้าดียังไงถึงกล้ามาขัดขวางการบ่มเพาะของข้า กว่าข้าจะพบเจอสถานที่ที่เต็มไปด้วยพลังแห่งหยินและไอปีศาจเพื่อทำการซ่อมแซมบาดแผลบนร่างพร้อมทั้งบ่มเพาะจนกว่าจะบรรลุแบบนี้ได้นั้นก็ยากแล้ว

ไม่คิดเลยจริงๆว่าสถานที่แบบนี้ยังมีมนุษย์อันแสนอ่อนแอมายุ่มย่ามได้ แกจะจ่ายค่าเสียหายที่มาก่อกวนข้าแบบนี้อย่างไร

หากไม่มากพอที่จะตอบสนองต่อความโกรธของข้าล่ะก็ ข้าจะสังเวยแกให้กลายเป็นผีเน่าๆตัวหนึ่ง” เงาดำในตอนนี้ได้ส่งเสียงอันแหลมเล็กออกมา มันเป็นเสียงที่เสียดหูแบบสุดๆและแฝงเอาไว้ด้วยความโกรธอย่างมาก


ซูจิ้งในตอนนี้ดูเงาดำที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัวแบบสุดๆ หนึ่งเป็นเพราะตอนนี้เขาได้รับความบาดเจ็บทางวิญญาณและยังไม่มีเวลาฟื้นฟู

อีกหนึ่งคือเขารับรู้ได้ในทันทีว่าร่างเงาดำที่อยู่ตรงหน้านี้ยากที่จะต่อกร และเท่าที่ฟังดูแล้ว ร่างนี้ไม่เพียงจะไม่ใช่มนุษย์ เจ้านี้ยังสามารถสังเวยวิญญาณมนุษย์ให้แปรเปลี่ยนไปเป็นไอมารได้ นี่คือเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด….เจ้านี่คือตัวอะไรกันแน่


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้ายแบบนี้ แม้แต่ซูจิ้งก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าเขานั้นจะเผชิญหน้าด้วยวิธีการไหนดี

หากจะพูดคุยล่ะก็ หากพูดคุยไม่ดีมันจะเปลี่ยนจากการค้าขายหยกผ้าไหมเป็นสงครามการแย่งชิงได้อย่างง่ายดาย และผู้คนมากมายจะถูกสังเวยกลายเป็นไอมารอย่างแน่นอน แล้วเขาจะคุยอะไรได้กัน

ในเมื่อยังไงซะร่างๆนี้ก็ตั้งตนเป็นศัตรูอยู่แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือการเปิดการโจมตีก่อน…..

เมื่อซูจิ้งคิดได้ดังนั้น เขา ก็ได้หยิบมีดบินทั้งสามขึ้นมาไว้ในมือก่อนที่จะซัดออกไปใส่ในทันที มีดทั้งสามแหวกฝ่าอากาศออกไปพร้อมการเสริมแรงจากกระแสจิตของซูจิ้งตรงไปยังร่างเงาในทันที


มีดบินทั้งสามนั้นรวดเร็วจะแทบจะทิ่มแทงไปยังร่างเงาดำนั้นแทบจะในพริบตา อย่างไรก็ตาม มีดบินทั้งสาม ราวกับถูกแรงอะไรบางอย่างขัดขวางเอาไว้ พวกมันได้หยุดลงก่อนที่จะสัมผัสร่างเงาตรงๆและสลายไปเป็นฝุ่นผง

“อ่อนด้อยนัก” เพียงชั่วพริบตา ร่างเงาก็ได้ปรากฎกายอยู่หน้าซูจิ้งในทันที กรงเล็บที่แพร่กลิ่นอายอันเย็นยะเยือกได้พุ่งตรงไปที่ลำคอของซูจิ้ง

ซูจิ้งที่รู้ตัวก็ถึงกับหน้าถอดสี เขาปัดกรงเล็บนั้นออกไปแล้วทำการร่ายบทสวดมนต์ในตำราวิถีแห่งมังกรในทันทีจนทำให้ทั่วทั้งร่างกลายเป็นมังกร นี่คือกระบวนท่าที่หนึ่งในวิถีมังกร ตราประทับมังกรสวรรค์

“ปังงงงงง” เงาดำได้ทำการรับแรงกระแทกได้อย่างไม่ยากเย็น ซูจิ้งเองนั้นต้องถอยหลังจากแรงกระแทกไปสามก้าว

เงาดำที่เห็นฉากนี้ก็ถึงกับประหลาดใจจนต้องบ่นออกมาเบาๆว่า “เหอะ ดูถูกแกไปหน่อยแหะ ไม่นึกว่าคนอย่างแกจะเรียนตำราพุทธได้”


ตอนนั้นเอง เงาดำได้เข้าประชิดซูจิ้งอีกครั้ง ซูจิ้งได้ประเคนทุกอย่างที่มีใส่ร่างเงาดำจนเกิดแรงกระแทกดังกึกกั้งราวกับช้างตัวใหญ่ยักษ์ที่กำลังตกมัน

หากนี่เป็นตึกล่ะก็ต้องราบเป็นหน้ากองไปแล้ว หากเป็นคนธรรมดาโดนแรงกระแทกนี้เข้าไปล่ะก็อวัยวะภายในต้องระเบิดเป็นชิ้นๆในทันที


อย่างไรก็ตาม คราวนี้ร่างเงาดำนั้นราวกับเลือนลางหายไป มันปล่อยให้ซูจิ้งซัดฝ่ามือทะลุผ่านได้อย่างง่ายดายแล้วใช้มือสัมผัสฝ่ามือของเขา

ซูจิ้งไม่ได้รับรู้เลยแม้แต่น้อยว่านี่คือการโจมตีอย่างหนึ่ง กว่าเขาจะรู้ตัวก็คือตอนที่บรรยยกาศโดยรอบที่เขาสัมผัสได้นั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนี้เขานั้นสัมผัสได้ว่าอากาศรอบตัวเต็วไปด้วยหมอกสีดำ ไอปีศาจนับไม่ถ้วนหลังไหลล้อมรอบตัวซูจิ้ง จับ และพันธนาการซูจิ้งเอาไว้


ในตอนนี้ซูจิ้งกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำใหญ่ นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่าเขานั้นกำลังอยู่ในห้วงวิกฤต ถึงแม้จะเป็นแบบนี้แต่สมองของซูจิ้งก็ไม่ได้ลนลานแต่อย่างใด

เขาคิดวิเคราะห์เกี่ยวกับร่างเงาและไอปีศาจนี้และคิดได้ว่าในเมื่อความมืดก็คือความมืด ต่อให้ติ้นลึกหนาบางยังไงซะย่อมไม่แตกต่างกัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูจิ้งจึงได้เริ่มพูดบางอย่าง และในตอนนั้นเองก็ได้ปรากฎตัวอักษรที่แผ่อายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ในขณะเดียวกัน จิตใจของซูจิ้งในตอนนี้ได้นึกถึงเนื้อหาในตำราหัวใจพระสูตรรูปพระพุทธ ถ้าเขาจำไม่ผิด รูปพระพุทธในตำรานั่นสมควรจะเป็นพระพุทธเจ้าที่มีอำนาจบารมีที่สุดในห้วงเวลาฯแห่งนั้น

และมือข้างหนึ่งข้างพระพุทธเจ้าได้มีรูปของเงาดำเงาหนึ่งอยู่


GGS:บทที่ 1130 ภยันตราย


ไอปีศาจที่อยู่โดยรอบร่างของซูจิ้ง ในตอนนี้กำลังพากันไหลบ่าเข้าไปในร่าง

ในคราวนี้ ร่างเงาได้หายไปและไปปรากฎอยู่บริเวณพื้นที่ทั่วไปของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาและกาลอวกาศของซูจิ้งที่อยู่อีกพื้นที่หนึ่งที่อยู่ใต้เท้าของเขา ขณะเดียวกันเงารอบๆของซูจิ้งก็หายไปในทันที

ใช่แล้ว เป็นซูจิ้งที่ลอบสั่งให้ฉิงหยุนเคลื่อนย้ายร่างเงานั้นไป ตอนแรกนั้นซูจิ้งที่เลือกจะโจมตีก่อนหน้านี้เป็นเพราะต้องการวัดฝีมือตัวเอง


นั่นก็เพราะว่าหากเขามัวแต่พึ่งพาฉิงหยุนแล้วตัวเขาจะแข็งแกร่งขึ้นได้ยังไง อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้แค่ได้เผชิญหน้าเพียงชั่วครู่กับภัยอันตรายที่ลึกสุดหยั่งนี้ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้ฝึกฝนเลยแม้แต่น้อย

สิ่งที่เขาต้องเผชิญนั้นราวกับต้องไปเต้นรำบนปลายมีด ศัตรูในครั้งนี้ใช้ชีวิตของเขานำมาเล่นราวกับของเล่นฆ่าเวลา หากเขายังฝืนรั้งไว้มีโอกาสตายได้ทุกเมื่อในทันที นี่ทำให้เขาจำฝังใจอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อคิดได้จึงให้ฉิงหยุนเคลื่อนย้ายเงาดำไปอยู่ในพื้นที่ทั่วไปที่อยู่ข้างล่างเพื่อที่จะทำการศึกษาร่างเงานี้ก่อน


ในตอนนี้เขามองไปยังเงาดำที่อยู่ใต้เท้าได้อย่างถนัดถนี่ นั่นก็เพราะเขาได้ตั้งค่าเอาไว้ว่าให้สามารถมองเห็นได้ด้านเดียวแบบเดียวกับกระจกมายากล

“ก่าก่ะก่ะ ไอ้เด็กเวรเจ้าใช้อาวุธวิเศษอย่างนั้นหรือ ช่างเป็นอาวุธที่ดีจริงๆ มีความสามารถด้านมิติซะด้วย น่าสนใจ น่าสนใจ”

เพียงชั่วขณะนั้น เงาดำได้ส่งเสียงแหลมสูงออกมา มันนั้นถูกขัดขวางการบ่มเพาะโดยมนุษย์อันต่ำต้อย แถมตัวมันนั้นยังพลาดที่จะจับตัวแถมยังถูกกักขังไว้ในช่องมิตินี้อีก จะไม่ให้มันโกรธได้ยังไง

ร่างเงาดำได้เปลี่ยนเป็นหมอกสีดำอีกครั้งแล้วหายวับไป ชั่วขณะถัดมา เกิดเสียงระเบิดขึ้นที่กำแพงมิติที่อยู่ใกล้ๆ

เป็นร่างเงาดำนี้ที่พยายามจะพังกำแพงมิติออกไป มันพยายามอยู่อีกหลายหน แต่ทั้งหมดล้วนไร้ประโยชน์

“ดูเหมือนว่ามันจะไร้รูปร่างแหะถึงสามารถเปลี่ยนเป็นเงาดำตรงๆได้แบบนี้ แถมการโจมตีจากร่างเงาดำนี่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตปีศาจที่พร้อมจะกัดกินจิตใจ

ถึงแม้ว่าเจ้านี่จะไม่มีร่างเนื้อแต่ก็ยังถูกทำให้บาดเจ็บทางจิตวิญญาณได้…..ไอ้นี่มันผีไม่ใช่เหรอ” ซูจิ้งทำการวิเคราะห์ร่างเงาดำพร้อมใช้ความคิดบางอย่าง

ตอนนี้ซูจิ้งมั่นใจแล้วว่าต้องเป็นสิ่งมีชีวิตจำพวกปีศาจ นั่นก็เพราะก่อนหน้านี้ทั้งตราประทับมังกรและบทสวดหัวใจพระสูทรูปพระพุทธล้วนแล้วแต่มีผลต่อมัน และน่าจะแกร่งพอที่จะทำลายมันได้


แต่เขาเองก็ไม่คิดว่ามันไม่เลือกที่จะต่อต้านแต่เลือกที่จะใช้ไอปีศาจมุ่งโจมตีไปที่ร่างเขาแทนทั้งๆที่ระดับนั้นห่างกันมากขนาดนี้ นี่ทำให้ซูจิ้งตัดสินใจวิธีการรับมือได้ทันทีเพราะสำหรับเขาในตอนนี้น่าจะมีวิธีการที่จัดการได้ง่ายดายอยู่

แต่ยังไม่ทันทีที่ซูจิ้งจะคิดวิธีรับมือได้เสร็จดี ร่างเงาได้เปลี่ยนเป็นเงาดำและจางหายไปอีกครั้ง

ซูจิ้งในตอนนี้เองก็ได้รอคอยให้ร่างเงาดำนี้ไปติดอยู่กับกำแพงมิติอีกครั้ง แต่หลังจากที่เงาดำหายไปประมาณสองวินาที เงาดำนี้ก็ไม่ได้ปรากฎแต่อย่างใด

ในตอนนี้ซูจิ้งเริ่มคิดว่าผิดสังเกตแล้ว อยู่ๆเงาดำก็ได้ปรากฎอยู่เหนือหัวซูจิ้งอีกครั้ง เงาดำพูดออกมาด้วยเสียงที่ยิ้มเยาะว่า “แกคิดจริงๆเหรอว่าแค่มิตินี้จะขังข้า”

เมื่อพูดจบลง เงาดำได้วางมือลงบนร่างของซูจิ้งอีกครั้ง ซูจิ้งรู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขานั้นราวกับร่วงหล่นสู่นรกอันลึกสุดจะหยั่ง เขารู้สึกได้ถึงความตาย ความเจ็บปวด และความสะพรึงกลัว

“เงาดำนี่ทะลุกำแพงมิติได้…” ซูจิ้งสบถออกมา เขาในตอนนี้นั้นเกือบสิ้นสติแล้วแต่ก็ยังมีสติพอที่จะนำเหรียญตราเทวฑูตออกมา

พลังงานศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ได้ปกคลุมป้องกันร่างกายของซูจิ้งเอาไว้ หมอกดำรอบตัวของเขาได้หายไปในทันทีพร้อมกับเสียงร้องอันเย็นยะเยือกและโหยหวนของเงาดำและเสียงหมอกควันดำที่รีบถอยล่น

เงาดำในตอนนี้โกรธจัดและพยายามที่จะฝ่าแสงศักดิ์สิทธิ์เข้าไปจับตัวซูจิ้งอีกครั้ง แต่ทันที่ที่มันจับซูจิ้ง มือของมันนั้นราวกับถูกพลังงานบางอย่างให้กลับกลายไปเป็นควันอีก นี่ทำให้เงาดำถึงกับต้องร้องสะดุ้งออกมา


ในคราวนี้ซูจิ้งได้ทำการควบคุมเหรียญตราเทวฑูตแห่งส่องแสงจ้าโดยมีร่างกายของซูจิ้งเป็นศูนย์กลาง ลำแสงนั้นครอบคลุมไปทั่วและรายล้อมร่างเงาดำนั่นเอาไว้

ร่างเงาดำได้รีบเรียกสติของตัวเองออกมาจากความเจ็บปวดทางจิตใจ มันกลายเป็นเงาดำอีกครั้งและหายไปในทันที

หลังจากรอไปหนึ่งหรือสองวินาที ร่างเงานี้ก็ยังไม่โผล่มาทำให้ซูจิ้งนั้นรู้สึกได้ถึงลางร้าย คราวนี้เป็นฉิงหยุนพูดออกมาว่า “แย่แล้วค่ะท่านเจ้านาย เงาดำนั่นหลุดออกไปนอกสถานีฯแล้ว”

“ฉิบหาย” ซูจิ้งมัวแต่กังวลสถานีจนลืมนึกเรื่องนี้ไป ใครจะไปคิดว่าไปตัวที่ฆ่าเขาได้อย่างงายดายจะหนีตายเพียงเพราะเหรียญตราเทวฑูตแบบนี้ หากมันออกไปล่ะก็มีหวังต้องนองเลือดเป็นแน่

ซูจิ้งได้รีบออกจากสถานีพร้อมกับขี่อินทรีย์ทองขึ้นไปบนฟ้าเพื่อที่จะหาร่องรอยของเงาดำ แต่ไม่ว่าเขาจะมองหายังไงก็ไม่พบ


ในขณะเดียวกัน ณ บริเวณรอบนอกของหมู่บ้านตระกูลซูอันสงบสุข ชายกลุ่มหนึ่งเดินไปบนชายหาดพร้อมกับสะพายตาข่ายดักปลา

ซูดาเป่าคือหนึ่งในนั้น เขาเองเป็นเพียงคนแก่คนหนึ่ง วาระสุดท้ายของเขาเองจะมาถึงในอีกไม่ช้า ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนหาปลา ร่างกายของเขานั้นตัวดำคล้ำและเต็มไปด้วยบาดแผลน่าเกลียดหลายแห่ง แต่ด้วยการที่เขานั้นเป็นคนขยัน แม้จึงใกล้ถึงเวลาสุดท้ายแห่งชีวิต แต่เขาก็ยังคงทำงานของตนต่อไป

ในตอนนั้นเอง เงาดำสายหนึ่งได้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มันได้คลุมทั้งร่างของซูดาเป่าเอาไว้ชั่วพริบตาแล้วหายวับไป ร่างของซูดาเป่าพลันหยุดลง ดวงตาของเขากลายเป็นขาวโพลน

ชายร่างใหญ่ที่เห็นท่าทางแปลกๆที่เดินมาข้างๆได้รีบทักซูดาเป่าในทันที “ดาเป่า ดาเป่า เป็นอะไรไปน่ะทำมานิ่งไปแบบนี้ รีบเอาตาข่ายไปวางกันดีกว่า”

ซูดาเป่าเมื่อถูกเรียกก็ราวกับได้สติ ดวงตาของเขากลับมามีลูกตาดำอีกครั้งแต่มันน่ากลัวอย่างประหลาด เขาไม่ได้สนใจชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆ เพียงหันไปมองซูจิ้งที่บินอยู่บนฝากฟ้าที่กำลังขี่อินทรีย์ทองเอาไว้ ดวงตาของเขาหรี่ลงอย่างโกรธแค้นก่อนที่จะหันหลังไปอีกทางและเดินจากไป


“ดาเป่า ดาเป่า จะไปไหนล่ะนั่น อยู่ๆก็จะไปไหนกันล่ะ” ชายร่างใหญ่ที่ไม่รู้สถานการณ์ได้ตามซูดาเป่าพร้อมกับพยายามใช้มือจับไปที่บ่าเพื่อหมายจะรั้งเพื่อถามเหตุผล

ซูดาเป่าได้ปัดมือของชายร่างใหญ่ และนั่นทำให้ร่างของชายคนนั้นปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ ชายร่างกายตกใจและหมดลมตายในทันที ซูดาเป่าเองไม่ได้สนใจแต่อย่างใด เขาทำเพียงเดินจากไปโดยเร็ว

“ไอ้เวรนั่นหายไปไหนวะ” ซูจิ้งที่อยู่บนฟากฟ้ากำลังเคร่งเครียดในทันที แน่นอนว่าในเรื่องนี้เสี่ยวจินนั้นแข็งแกร่งกว่าซูจิ้งมากนัก ในตายของมันเป็นของนักล่าแน่นอนว่าย่อมดีกว่าอย่างมากแถมตอนนี้ความสามารถในการมองเห็นของมันก็เหนือกว่าเดิมมากนัก แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่เจอร่องรอยของเงาดำนั่นเลยสักนิด

“ไม่ดีแล้ว เราไม่สามารถไปให้เงาดำนั่นหลุดออกไปได้ ไม่เช่นนั่นโลกนี้จะต้องตกอยู่อันตรายแน่ๆ”

ซูจิ้งในตอนนี้มีสีหน้าเคร่งเครียด เขาได้นำเรียญตราเทวฑูตออกมาพร้อมทำการปล่อยแสงอีกครั้ง

ซูจิ้งได้ศึกษาเหรียญตราเทวฑูตนี้มาบ่อยครั้งจนรู้วิธีการใช้งานอยู่สองอย่าง หนึ่งคือการใช้ป้องกันร่างกายไม่ให้ถูกความมืดเข้าครอบงำ อีกหนึ่งคือการปล่อยแสงเพื่อชำระล้าง

ถึงแม้ในตอนนี้ ด้วยการที่มันได้ปกป้องเขาไปทำให้มันเริ่มอ่อนแรงลงก็ตาม แต่เหรียญตรานี้ก็ยังมีอำนาจพอที่จะชำระล้างความมืดได้อยู่ในวงกว้างอยู่ ถึงแม้ว่าผู้ใช้จะต้องส่งพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้นและผู้ใช้จะต้องเหนื่อยอย่างมากในช่วงเวลาหนึ่งเพราะตั้งรับผลจากไอปีศาจนั้น


อย่างไรก็ตาม ซูจิ้งนั้นไม่รู้ว่าในตอนนี้เหรียญตราเทวฑูตนี้คลอบคลุมพื้นที่เท่าไหร่กันแน่ หากดูจากการที่มันสะสมพลังงานเอาไว้กว่าหนึ่งอาทิตย์ล่ะก็เขาคาดว่ามันจะครอบคลุมประมาณสิบกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย

เขาหวังได้เพียงว่าเงาดำนั่นจะยังไปได้ไม่ไกลเท่านั้น


ในตอนนี้ ซูจิ้งได้ปลดปล่อยพลังงานศักดิ์สิทธิ์เจิดบังเกิดแสงที่เจิดจ้าไปทั่วอย่างรวดเร็ว


GGS:บทที่ 1131 ไล่ล่า


แสงศักดิ์สิทธิ์ได้แพร่กระจายออกจากเหรียญตราเทวฑูตอย่างรวดเร็ว และในตอนนี้แสงได้คลอบคลุมไปทั่วทั้งหมู่บ้านตระกูลซู

เงาในร่างของซูดาเป่าเองก็ได้รับรู้ถึงความผิดปกตินี้ เขาได้รองหันหลังกลับไปดูก็ถึงกับหน้าถอดสีในทันที เขาได้เร่งฝีเท้าของตัวเองจนในตอนนี้รวดเร็วกว่าแชมป์นักวิ่งคนไหนๆมากนาก ความรวดเร็วของเขาในตอนนี้ราวกับเสือชีต้า

นีทำให้ทุกคนในหมู่บ้านที่เห็นต่างก็ได้แต่มองตามอย่างโง่งม พวกเขาต่างรู้สึกอัศจรรย์ในว่าคนแก่อย่างซูดาเป่านั้นอยู่ๆทำไมถึงวิ่งกัน แล้วนั่นมันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ


อย่างไรก็ตาม ถึงแม้เขาจะวิ่งเร็วขนาดไหนก็ตามแต่ก็ไม่มีทางเร็วไปกว่าความเร็วแห่งแสง เงาดำสายหนึ่งได้ปรากฎรอบตัวของเขาแล้วทำการเร่งความเร็วของซูดาเป่าให้เร็วขึ้นไปอีก ผลก็คือ ในตอนนี้นอกจากความเร็วแล้ว ขาของซูดาเป่านั้นบิดเบี้ยวผิดรูป กระดูกขาแตกหัก และเนื้อขาดลุ่ย

“ร่างห่วยแตก” เงาดำสบถออกมาก่อนที่จะครอบคลุมร่างของซูดาเป่าเอาไว้ก่อนที่จะหายวับไป เงาดำนั้นตั้งใจที่จะใช้ร่างกายของซูดาเป่าเพื่อพยายามหลบหนี แต่ตอนนี้ดูท่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

“ตรงนั้น” ทันทีที่เงาดำปรากฎตัว ซูจิ้งและเสี่ยวจินก็ได้รับรู้และมุ่งตรงไปยังทิศทางที่เงาดำอยู่ในทันที ซูจิ้งให้เสี่ยวจินจับเขาเอาไว้ด้วยกรงเล็บจนทำให้ร่างของเสี่ยวจินเต็มไปด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์ และนี่ทำให้เสี่ยวจินทำความเร็วได้มากกว่าเดิม


“ไอ้มนุษย์ระยำ ถือดีว่ามีภาชนะทรงพลังอยู่ในมือก็กล้าที่จะตามล่าอย่างไม่ลดระแบบนี้ หากข้าฟื้นฟูสภาพบาดเจ็บนี้ได้ล่ะก็ ข้า จะทำให้แกต้องเจอกับนรกโลกกันต์” เงาดำสบถออกมาอีกครั้งก่อนที่จะไอออกมา

ร่างเงาดำนี้แต่เดิมต้องการเพียงแค่หาสถานที่ที่มีหยินบริสุทธิ์และไอมารที่หนาแน่นเพื่อฟื้นฟูร่างกายเท่านั้น แต่มาในตอนนี้ ไม่เพียงจะยังไม่ได้ฟื้นฟู มันยังโดนผลกระทบจากแสงศักดิ์สิทธิ์ของเหรียญตราเทวฑูตจนทำให้เจ็บหนักยิ่งกว่าเดิม


มาในตอนนี้มันยังต้องใช้เวทย์มนต์มาเพิ่มความเร็วในการหลบหนีทำให้อาการบาดเจ็บของมันนั้นแย่ลงจนยากจะฟื้นฟู การที่จะเกลียดซูจิ้งจนเข้ากระดูกดำนั้นก็ไม่แปลกแต่อย่างใด

ฝึบ…. ร่างเงาในตอนนี้ได้เปลี่ยนกลายเป็นหมอกดำและหายไปในทันที เพียงชั่วขณะหนึ่ง มัน ก็ได้ไปอยู่อีกพื้นที่หนึ่งที่ห่างออกไปกว่า 1 กิโลเมตร แต่ทันทีที่กลับมาปรากฎ ร่างนี้ไอออกมาอย่างหนัก

“เร่งความเร็ว” ซูจิ้งได้นำยันพันลี้ขึ้นมาแล้วแปะลงไปบนร่างของเสี่ยวจิน ในตอนนี้ อินทรีย์ทองได้เปลี่ยนไปเป็นประกายแสงสีทองและหายไปจุดก่อนหน้านี้ราวกับประกายแสง

อย่างไรก็ตาม เงาดำเองยังถือได้ว่าเร็วกว่านัก เพราะมันได้หายตัวไปจากจุดเดิมและไปปรากฎอยู่อีกที่หนึ่งที่ห่างจากเดิมไปอีก 1 กิโลเมตร

ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นยังจับรู้สึกร่างเงาดำได้ ถึงแม้จะต้องเปลี่ยนทิศทางอยู่หลายครั้งจนเกือบจะหลุดไปแล้วแต่ก็ยังจับความรู้สึกได้อยู่ดี

อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ อินทรีย์ทองนั้นเริ่มไม่ไหวแล้ว นี่ทำให้ร่างเงาดำนั้นออกห่างจากซูจิ้งได้เข้าไปในทุกขณะ และในไม่ช้า ซูจิ้งจะติดตามร่างเงาดำไม่ได้อีก

“เสี่ยวจิน นายไม่ไหวแล้ว กลับไปปกป้องบ้านของเราซะ” เมื่อซูจิ้งพูดจบ เขาก็ได้นำเอาชุดเกราะไอร่อนแมนออกมาจากกระเป๋ามิติและทำการสวมใส่อย่างรวดเร็วพร้อมทั้งไล่ตามจับต่อไป

ถึงแม้ว่าชุดเกราะนี้อาจจะส่งผลต่อแรงกดดันที่มีต่อประเทศจีน หรือแม้แต่ทำให้เขาต้องเปิดเผยตัวเองเพราะว่าเขาได้ไปกวาดล้างฐานทัพอเมริกาเอาไว้ก็ตาม

แต่นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเทียบกับร่างเงานี้เขาไม่ได้สนใจเรื่องหยุมหยิมพวกนั้นแต่อย่างใด นั่นก็เพราะหากเจ้านี่หลุดลอดไปล่ะก็ โลกนี้ต้องเกิดความโกลาหลเป็นแน่

แน่นอนว่าต่อให้เป็นความเร็วของชุดเกราะไอร่อนแมนก็ตามก็ยังไม่อาจเทียบกับความเร็วของเงาดำได้ เมื่อซูจิ้งเริ่มสังเกตุในเรื่องนี้ เขา ได้ติดต่อไปยังหลัวฉือหลินในทันทีเพื่อให้ช่วยติดตาม

ถึงแม้เงาดำนั้นจะรวดเร็ว แต่ในทุกๆครั้ง เงาดำจะต้องมีชะงักในทุกครั้งที่มันออกห่างไป ด้วยสแตนด์สายฟ้าของหลัวฉือหลินที่วิ่งไปมาผ่านสายไฟไฟได้ราวกับกระแสไฟฟ้าแบบนี้ เรียกได้เลยว่าหากเขาเดินยังยากกว่า


ด้วยความช่วยเหลือของหลัวฉือหลินทำให้ซูจิ้งนั้นผ่อนคลายได้มากขึ้น ถึงแม้ชุดเกราะไอร่อนแมนของเขาจะไม่เร็วเท่าเงาดำ แต่ด้วยการที่หลัวฉือหลินรายงานตำแหน่งของเงาดำนั่นมาในทุกครั้งที่เงาดำเคลื่อนย้าย

ด้วยเหตุนี้นอกจากจะทำให้เขานั้นพุ่งตรงไปถูกทางแล้ว ตัวเขาที่ในตอนนี้ได้รับการเพิ่มความเร็วจากแสงศักดิ์สิทธิ์ยิ่งทำให้เขาเข้าใกล้ร่างเงาดำได้มากขึ้น

“แม่…ข้า…ดูถูกมันเกินไป” ในตอนนี้ร่างเงาดำบาดเจ็บอย่างหนักและเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขนาดมันนั้นยอมตัดใจใช้พลังงานเวทย์มนต์เพื่อหนีจากซูจิ้งแล้วก็ยังหนีไม่พ้น นี่ยิ่งทำให้ร่างเงาดำนี้ทั้งรู้สึกหดหู่และโกรธแค้นในเวลาเดียวกัน

“นี่คือ?” ร่างเงาดำที่บินอยู่ในตอนนี้ได้หันไปเห็นสิ่งแปลกๆ มันเห็นสิ่งที่น่าจะเป็นเมืองแต่มันก็ไม่รู้ว่ามันคือเมืองรึเปล่า นั่นก็เพราะสิ่งนี้มันไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ ร่างเงาดำไม่มีอารมณ์หรือความรู้สึกที่จะใส่ใจของพวกนั้น ที่ร่างเงาดำนั้นสนใจก็คือสายไฟฟ้าที่วางพาดผ่านอยู่ระหวางเสาร์ที่สูงลิบ

“ไอ้ตัวสอด ออกมานี่” เงาดำได้พูดพร้อมทั้งปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลออกมาพร้อมทั้งปล่อยหมอกครอบคลุมทั่วทั้งอากาศในพื้นที่

หลัวฉ์อหลินในร่างสแตนด์นั้น ในตอนนี้ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอันมหาศาลที่พยายามดึงตัวหลัวฉือหลินออกมาจากสายไฟฟ้า หน้าตาของหลัวฉือหลินในตอนนี้ดูเรียกได้ว่าดูไม่ได้แบบสุดๆ


เขานั้น นอกจากตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับซูจิ้งแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขานั้นถูกจับตัวได้ หากเป็นคนธรรมดานั้น อย่าว่าจะเห็นเขาเลย ต่อให้โดนฆ่าตายก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้าร่างเงาดำนี้ เขารู้สึกได้ในทันทีว่าตัวเองนั้นไม่ได้ต่างจากลูกไก่ที่อยุ่ในกำมือเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เร็วไปก็คงไม่ช่วยอะไรได้

กับเรื่องนี้ถือว่าไม่แปลกแต่อย่างใด นั่นก็เพราะ ร่างสแตนด์นั้นหากจะให้อธิบายก็คือการหลอมรวมระหว่างพลังแห่งร่างกายและพลังแห่งจิตวิญญาณ หรือจะให้บอกคือวิญญาณที่ก่อรูปก็ว่าได้เหมือนกัน

แต่ต่อให้คนทั่วไปไม่เห็น แต่ไม่ใช่กับร่างเงาดำนี้ ร่างเงาดำสมควรจะเป็นวิญญาณร้าย ด้วยการที่มันนั้นมีพลังงานวิญญาณที่แม้แต่ซูจิ้งก็ยังต้องตกตะลึงแล้วนับประสาอะไรกับหลัวฉือหลินที่เจอซูจิ้งยังต้องหมดท่า

“…ห่าเหวอะไรกัน” เงาดำที่จับสังเกตหลัวฉือหลินในร่างสแตนด์นั้นถึงกับขมวดคิ้วในทันที มันรู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกๆอยู่ในสายดำๆตรงหน้าเป็นแน่

ร่างเงายังคงพยายามที่จะดึงหลัวฉือหลินในร่างสแตนด์สายฟ้าออกมาจากสายไฟฟ้าอย่างสุดแรง แต่หลัวฉือหลินเองก็พยายามยื้อไว้แบบสุดชีวิต

ถึงแม้จะบอกได้ว่าสายไฟฟ้านี้ไม่ได้ต่างจากบ้านเกิดของเขาก็ตาม แต่เมื่อต้องเจอกับพลังอันยิ่งใหญ่ขนาดนี้เขาก็ยื้อไว้ได้อีกไม่นานนัก

ในขณะที่หลัวฉือหลินเริ่มหมดหวัง ในตอนนี้ ซูจิ้งที่สวมใส่เกราะไอร์ร่อนแมนก็ได้มาถึง ด้วยการที่ทั่วทั้งล่างถูกครอบคลุมด้วยด้วยพลังงานศักดิ์สิทธิ์จึงทำให้ในตอนนี้ตัวซูจิ้งนั้นราวกับเป็นลูกไฟสีขาวขนาดใหญ่กำลังพุ่งตรงมา

“ฮึ่มมมม” ร่างเงาส่งเสียงโกรธแค้นออกมาก่อนที่มันจะระบายความโกรธไปยังร่างสแตนด์ของหลัวฉือหลินโดยการตบไปที่สแตนด์ทีสองทีก่อนที่จะหายวับไปอีกครั้ง

ร่างสแตนด์ของหลัวฉือหลินในตอนนี้อยู่ในสภาพปางตายในทันทีจนราวกับจะแตกสลายไปแล้ว ตัวของหลัวฉือหลินที่อย่างห่างไกลไปอีกร้อยกว่าไมล์นั้น ตอนนี้เขาอยู่ในห้องอพาร์ทเมนต์สุดหรูนอนสิ้นสติอยู่ท่ามกลางกองเลือดบนพื้นห้อง

ด้วยการที่หลัวฉือหลินนั้นตกอยู่ในสภาพปางตายทำให้ซูจิ้งติดตามร่างเงาได้อย่างยากลำบาก จนในที่สุด เขาปล่อยให้เงาดำรอดพ้นไปจนได้

ในตอนนี้ยังมีสิ่งที่ซูจิ้งกังวลอยู่ ถึงแม้ว่าแสงชำระล้างจะแผ่ขยายอาณาเขตของมันได้อย่างรวดเร็วก็จริงแต่มันก็ไม่ได้บินติดตามตัวของซูจิ้งไปแต่อย่างใด

แถมแสงชำระล้างนี้ยังเหมือนกับแสงทั่วไปตรงที่ต้องมีตัวกำเนิดแสงอย่างเหรียญตราเทวฑูตและพลังวิญญาณของซูจิ้งในการขยายอาณาเขต

หากว่าซูจิ้งยังคงบินอยู่อาณาเขตดังกล่าวก็ไม่สามารถขยายไปได้ไกลนัก แต่หากเขาอยู่กับที่ อาณาเขตของแสงชำระล้างนั้นสามารถครอบคลุมได้ทั้งเมืองจองหยุนด้วยซ้ำ

นี่จึงเป็นสิ่งที่ซูจิ้งค่อนข้างกังวล เพราะเขาคิดว่าหากยังติดตามแบบนี้ต่อไปล่ะก็ ไม่เพียงเขานั้นจะไม่สามารถจะจับเงาดำได้ ดีไม่ดี เงาดำอาจจะรู้ว่าเขานั้นกำลังปกป้องเมืองทั้งเมืองเอาไว้อยู่ มันอาจจะไปที่นั่นแล้วกวาดล้างเมืองเพื่อควบคุมคนที่มีสัมพันธ์อันดีและเพื่อนๆของเขาก็ได้


ความจริงแล้วหากว่าเงาดำนี้ไปทำร้ายคนอื่น เขาเองก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่หากว่านั่นกลับกลายเป็นเพื่อนๆและคนที่เขามีสัมพันธ์อันดีด้วยเขานั้นย่อมไม่ยินดี อีกอย่าง ในตอนนี้ หลัวฉือหลินเองก็กำลังเจ็บหนัก เขาต้องรีบไปช่วยหัวฉือหลินก่อนเพราะเขานั้นยังไม่ยินดีที่จะให้หลัวฉือหลินต้องตายลง


“….ไปเมืองของหยุนก่อนแล้วกันแล้วค่อยว่ากันอีกที” ซูจิ้งถอดถอนลมหายใจออกมาก่อนที่จะพุ่งตรงไปยังเมืองจองหยุนในทันที


GGS:บทที่ 1132 มาตรการรับมือ


หลังจากซูจิ้งไปถึงเมืองจงหยุนแล้ว แสงศักดิ์สิทธิ์ยังคงปล่อยต่อไปอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ซูจิ้งจะไม่แน่ใจว่าด้วยพลังที่เหลืออยู่ของเหรียญตราเทวฑูตจะทำให้แสงศักดิ์สิทธิ์ส่องไปได้สักเท่าไหร่ แต่เขาก็ค่อนข้างมั่นใจว่าแสงนี้จะครอบคลุมพื้นที่เมืองส่วนใหญ่อย่างแน่นอน เขาวางแผนไว้ว่าหลังจากเสร็จเรื่องที่นี่จะต้องหาวิธีใช้เหรียญตรานี้ในการกำราบเงาดำนั่น


ด้วยการที่ซูจิ้งเป็นกังวลในอาการของหลัวฉือหลินเขาจึงได้ตรงไปหาหลัวฉือหลินก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อไปถึงเขาก็พบร่างของหลัวฉือหลินที่ลงไปกองอยู่กับพื้นท่ามกลางกองเลือด หน้าของเขาซีดเผือดราวกับคนที่ตายไปแล้ว

ซูจิ้งใช้นิ้วของตัวเองไปอังที่จมูกของหลัวฉือหลินเพื่อตรวจสอบ ยังโชคดีที่เขานั้นยังมีชีวิตอยู่

ซูจิ้งนำเม็ดยากำเนิดเลือดออกมา ก่อนที่จะทำการป้อนเข้าปากของหลัวฉือหลินไป เรียกได้ว่าเขานั้นทุ่มทุนสร้างกับหลัวฉือหลินอย่างมากเพราะเขานั้นได้ใช้วิธีการที่ดีที่สุดที่ซูจิ้งมี

เม็ดยานี้ซูจิ้งได้มาจากขยะห้วงเวลาฯสุสานไร้ค่าฯ แต่เดิมเขาค้นพบเม็ดยานี้สี่เม็ด หนึ่งใช้ในการทดสอบ หนึ่งใช้ในการรักษาชีวิตเว่ายเสี่ยวหยวน และในตอนนี้เขาจะเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากหลัวฉือหลินนั้นบาดเจ็บอย่างหนักมาก หากรักษาด้วยวิธีธรรมดาเกรงว่าจะไม่ทันอย่างแน่นอน

หลังจากป้อนยาไปแล้ว ซูจิ้งยงคงรักษาหลัวฉือหลินต่อโดยการใช้เวทย์มนต์สัมผัสแห่งใบไม้ฯ หลังจากผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง หลัวฉือหลินได้ฟื้นขึ้นมาพร้อมสภาพที่ดีกว่าเดิม นี่แสดงว่าเข้าพ้นขีดอันตรายแล้ว

“ผมขอโทษครับนายท่าน ผมนี่ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี” หลัวฉือหลินกล่าวขอโทษขึ้นมาเป็นอย่างแรก

“ไม่ใช่ความผิดของนาย ศัตรูต่างหากที่แกร่งเกินไป ตอนนี้นายต้องรักษาตัวแล้วทำการบ่มเพาะให้ดี เพราะในอนาคตนายอาจจะต้องเจอกับศัตรูแบบนี้อีก” เมื่อพูดจบ ซูจิ้งได้นำข้าวสีน้ำเงิน ปลาเขี้ยวหยก และอาหารเสริมพลังอื่นๆและจากไป


ก่อนหน้านี้ซูจิ้งไม่เคยมีความคิดที่จะให้เหล่าคนใต้บังคับบัญชาของเขาบ่มเพาะเป็นพิเศษเพราะว่าคนเหล่านี้แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดามากแล้ว เขาจึงไม่คิดว่าจำเป็นต้องทำแบบนี้ แต่เรื่องในครั้งนี้ทำให้เขาต้องคิดใหม่ในที่สุด อีกอย่างหนึ่งคือตอนนี้ทุกคนถูกสะกดจิตสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว แน่นอนว่ายิ่งแข็งแกร่งก็ยิ่งดีกว่าอย่างแน่นอน


ซูจิ้งได้ตรงกับไปยังหมู่บ้านตระกูลซู ทันทีที่ไปถึงเขาก็พบกับเหตุการณ์บางอย่างที่ท่าเรือ ที่นั่น เป็นซูดาเป่าและชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่อยู่บนเปลสนามที่กำลังเข็นไปยังรถพยาบาลที่มีหมอและพยาบาลอยู่

ทั้งสองตกอยู่ในสภาพกึ่งตาย โดยที่ซูดาเป่านั้นมีขาที่แตกหักและเต็มไปด้วยบาดแผล

“ขอฉันดูหน่อย” ซูจิ้งแหวกฝูงชนเข้าไป นี่ทำให้ทุกๆคนต้องหันไปมองซูจิ้งในทันที หากเป็นคนธรรมดาคนๆนั้นคงโดนด่าออกมาแล้วที่มาขัดขวางการช่วยชีวิตแบบนี้

หากหยุดมือในทุกๆครั้งที่มีคนร้องขอ อย่าว่าแต่จะถึงโรงพยาบาลเลย ดีไม่ดีจะตายตรงนี้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อนี่คือซูจิ้ง แน่นอนว่าทุกคนยินดีที่จะหยุดมือลง


อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ ทั้งหมอและพยาบาลไม่รู้จริงๆว่าคนไข้ทั้งสองของพวกเขานั้นเป็นอะไรกันแน่ นี่จึงทำให้ไม่รู้ว่าจะช่วยทั้งสองได้ยังไง แต่ในเมื่อหมอเทวดามาอยู่ตรงหน้า นี่ที่ว่าเป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาแล้ว

“อาจิ้ง เธออยู่นี่ก็ดีแล้ว สองคนนี้ไม่รู้เป็นอะไรอยู่ๆก็หมดสติเลย”

“ใช่แล้ว แถมผู้อาวุโสนี่ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ก่อนหน้านี้อยู่ๆเขาก็วิ่ง วิ่ง แถมวิ่งเร็วแบบสุดแล้วจู่ๆก็ล้มไปกองกับพื้นเลย”

ซูจิ้งได้ทำการตรวจสอบอาการของซูดาเป่าและชายวัยกลางคนในทันที เขาพบว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอาการบาดเจ็บร้ายแรงอะไร บาดแผลส่วนใหญ่นั้นนอกจากขาของซูดาเป่าแล้ว รอยแผลทั้งหมดมาจากการล้มไปเท่านั้น

แต่ที่เขาพบก็คือที่ทั้งสองหมดสติและปางตายเป็นเพราะวิญญาณและจิตวิญญานของทั้งสองคนนั้นได้รับการบาดเจ็บอย่างหนัก เกรงว่ายาในปัจจุบันนั้นยากที่จะรักษาได้

ซูจิ้งได้ใช้กระแสจิตของตัวเองส่งตรงไปยังสมองของคนทั้งสอง ทั้งสองถูกซูจิ้งสะกดจิตและมีอาการดีขึ้นมา หลังจากผ่านไปสักพัก ทั้งสองก็ได้ฟื้นขึ้นมา ถึงแม้น่าตายังตื่นตระหนกอยู่บ้างแต่ดูแล้วก็ไม่มีอันตรายใดๆ

ที่ทั้งสองยังมีชีวิตอยู่นั้นเป็นเพราะร่างเงาดำต้องการเพียงหลบหนีออกไปอย่างรวดเร็วเท่านั้นจึงไม่อยากจะทำให้อะไรให้ผิดสังเกต ยิ่งไม่ต้องพูดถึงที่ทั้งสองไม่ได้มีค่าอะไรกับมันเลย ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็ไม่มีทางรอดมาถึงตอนนี้ได้

“ฟื้นแล้ว ฟื้นแล้ว อาจิ้งนี่ฝีมือแพทย์สุดยอดจริงๆ”

“แหงสิ นายไม่รู้รึว่าเขานั้นเป็นใครกัน”

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ๆอดไม่ได้ที่จะกล่าวสรรเสริญซูจิ้งออกมา ถึงแม้ซูจิ้งจะยินดีแต่ก็ไม่อาจอยู่นานได้ หลังจากส่งทั้งสองไปโรงพยาบาลแล้ว ซูจิ้งก็กลับไปที่บ้านในทันที


เมื่อกลับไปถึง ซูจิ้งโทรหาไป๋ฮิตูให้มาหา ไม่นานนักไป๋ฮิตูก็ได้มาถึง ซูจิ้งได้นำธงหลอนจิตที่เขาได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจูเซียนออกมา ก่อนที่จะมอบให้ไป๋ฮิตูก่อนที่จะหันไปบอกเสี่ยวจินว่าให้ไป๋ฮิตูขี่หลังพร้อมทั้งบอกสิ่งต่างๆที่ไป๋ฮิตูต้องกระทำออกไป

แน่นอนว่าจินเตี๋ยวนั้นไม่ยินดีแม้แต่น้อยที่จะให้คนอื่นมาขี่หลังของมันแบบนี้ แต่จินเตี๋ยวก็รู้ดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วนจึงยอมที่จะละความต้องการส่วนตัวออกไป

ไป๋ฮิตูที่ขี่หลังจินเตี๋ยวนั้นได้บินตรงไปยังเส้นทางหนึ่ง หลังจากบินไปได้หนึ่งร้อยกิโลเมตร ไป๋ฮิตูได้ทำการกางธงหลอนจิตออกมา

เป็นตอนนั้นเองที่หน้าผีออกมาจากธง แน่นอนว่ามันเองก็คือปีศาจร้ายตนหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อมันได้ออกมานั้นก็ต้องกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด นั่นก็เพราะว่าพื้นที่ตรงนี้ยังอยู่ในรัศมีของแสงชำระล้าง

ไป๋ฮิตูยังคงทำซ้ำอย่างนี้ไปเรื่อยๆเป็นระยะ นี่คือการตรวจสอบระยะแสงชำระล้างของเหรียญตราเทวฑูตนั่นเอง

และเมื่อผลสุดท้ายมาถึงก็ต้องทำให้ซูจิ้งถึงกับต้องประหลาดใจในทันที นั่นก็เพราะแสงชำระล้างนั้นมีอนาเขตมากกว่าสองพันกิโลเมตร นี่เรียกได้ว่าเกือบทั่วทั้งประเทศจีนเลยทีเดียว

แน่นอนว่าหากยิ่งห่างออกไปแสงชำระล้างก็จะยิ่งอ่อนแรงลง แต่นี่แสดงให้เห็นว่าเหรียญตราเทวฑูตนั้นพัฒนาจากเดิมจนทรงพลังอย่างมาก


ถึงแม้ว่าอสูรหลอนวิญญาณที่ซูจิ้งใช้วัดผลนี้อาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับร่างเงาดำก็ตาม ต่ออย่างน้อยๆเขาก็ไม่ต้องกลัวร่างเงาดำนั่นเข้ามาประชิดหรือก่อเรื่องใกล้ๆอย่างแน่นอน

“ตราบใดที่ฉันยังใช้เหรียญตราเทวฑูตนี้อย่างน้อยๆครึ่งนึงของประเทศก็น่าจะปลอดภัยล่ะนะ” ซูจิ้งพูดออกมาราวกับผ่อนคลายไปแล้ว แต่เขาก็รู้ดีว่านี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะวางใจได้แม้แต่น้อย

การที่ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวแบบนี้หลุดรอดออกมาจากสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องดี ต่อให้เขานั้นอยากจะผ่อนคลายยัง เมื่อรู้แล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะทำ สิ่งที่เขาเลือกที่จะทำในตอนนี้ก็คือหาวิธีป้องกันและกำราบร่างเงาดำนั้นให้ได้

“เอาเป็นว่าเริ่มจากการเพิ่มระยะของแสงชำระล้างนี่ก่อนแล้วกัน….


เหรียญตราเทวฑูตนี่ยิ่งดูดซับพลังวิญญาณมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้พลังวิญญาณของฉันแข็งแกร่งขึ้นล่ะนั่นส่งผลต่ออาณาเขตของแสงชำระล้างนี้…..

หากฉันยังทำแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเป็นไปได้ว่าแสงชำระล้างจะครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก….แล้วเจ้าเงาดำนั่นจะทำยังไงล่ะ

ยังไม่ตั้งพูดถึงทั้งโลกดีกว่า เอาแค่ขยายขอบเขตก่อนก็พอ นี่ฉันต้องมีความนิยมชมชอบอีกเท่าไหร่กันนะ” ซูจิ้งคิดอย่างหนัก


ซูจิ้งนั้นรู้ดีว่าตัวเองไม่ใช่คู่มือของร่างเงาดำนั่น แต่ด้วยเหรียญตราเทวฑูดนี้ทำให้เขานั้นสามารถต่อกรกับร่างเงาดำนั่นได้ แน่นอนว่าในตอนนี้สิ่งที่เขานั้นสมควรจะทำที่สุดก็คือการพัฒนาเหรียญตราเทวฑูตนี้

คิดได้ดังนั้น ซูจิ้งได้ทำการนั่งลงกับพื้นและเริ่มดูดซับพลังงานศักดิ์สิทธิ์ในทันที ด้วยการที่ก่อนหน้านี้เขาทำเรื่องเหลือเชื่อมากมายจนทำให้ผู้คนนั้นสรรเสริญและศรัทธาเขาอย่างต่อเนื่อง

และด้วยการที่เขาทำนู่นทำนี่เอาไว้ทำให้เหรียญตราเทวฑูตยังคงได้รับแรงศรัทธาอย่างต่อเนื่อง

เพียงแต่ว่าเป็นจิตวิญญาณของเขาที่ไม่สามารถดูดซับได้หมดในคราวเดียวจึงเป็นเหตุผลทำให้เหรียญตรานี้พัฒนาขึ้นแทนอย่างต่อเนื่อง เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่คิดว่ากลับกลายเป็นช่วยเขาไว้ในตอนนี้เหมือนกัน


ในตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ก็เหมือนดังผู้คนที่ต่อให้อยากกินผลไม้ขนาดไหนก็กินได้ไม่หมดในคราวเดียวจึงเลือกกินเฉพาะผลดีๆ ส่วนที่เหลือก็ปล่อยเอาไว้อย่างนั้น

ตอนนี้ ซูจิ้งไม่เพียงจะไม่ปล่อยผ่านอีกต่อไป เขายังทำการเพ่งจิตของตนเพื่อรวบรวมพลังวิญญาณจากทั่วทั้งทุกมุมโลกเอาไว้ต่อให้จะเล็กจะน้อยเขาก็ไม่คิดจะละเลย

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ซูจิ้งก็ได้ทำการฟื้นฟูจิตวิญญาณของตัวเองที่เกิดจากการโจมตีของร่างเงาดำนั่น พร้อมกันนั้น ซูจิ้งได้เริ่มวางแผนแผนหนึ่งขึ้น และในแผนการนี้จะเป็นการทำเพื่อสร้างแรงศรัทธาต่อเขาให้เกิดขึ้นกับมนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)