Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1114-1115
GGS:บทที่ 1114 ล้ำสมัย
“หรูหรา…อาจิ้ง กับศาลบรรพชนแบบนี้นายจะทำให้หรูหราได้ยังไงกัน” ซูเจิ้งฮงถามออกมา หัวหน้าอย่างซูเกาฉุนและซูเจิ้งหยิงเองที่ได้ยินก็จ้องมองซูจิ้งด้วยความสงสัย
“บอกไม่ถูกเหมือนกันแหะ เอาเป็นว่าค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงก็สักล้านหยวนน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“ล้านหยวน!!!!” ทุกคนที่ได้ยินอดที่จะสะดุ้งเฮือกไม่ได้ในทันที แต่เดิมแล้วพวกเขานั้นต่างก็คิดว่าในเมื่อนี่เป็นศาลบรรพชน แน่นอนว่าทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้งตั้งแต่ซูจิ้งเริ่มร่ำรวย เขานั้นไม่เคยลืมชาติตระกูลตัวเองและได้สนับสนุนจนทำให้ทุกคนมีรายได้ขึ้นมาจนเรียกว่าร่ำรวยได้แล้ว แน่นอนว่าเงินเพียงแค่นี้สำหรับพวกเขาแล้วไม่ได้ยากเย็นเกินไป
แต่การที่อยู่ๆก็ได้ยินว่าจะใช้เงินล้านหยวนเพียงเพื่อปรับปรุงศาลบรรพชนเล็กๆแบบนี้ ไม่ว่าใครก็คงจะต้องตกใจเป็นแน่ เพราะด้วยเงินขนาดนี้ เพียงพอต่อการตั้งวัดใหม่หรือปลูกบ้านได้เลยด้วยซ้ำ
“อาจิ้ง ต่อให้นายมีเงินมากมายยังไงก็ไม่ควรจะลงเงินไปกับเรื่องแบบนี้นา” ซูเจิ้งฮงอดไม่ได้ที่จะกล่าวเตือนออกมา
“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าคิดมากไปเลยครับ ผมแค่ต้องการให้สารบรรพชนของเรานั้นดูใหญ่กว่านี้อีกนิดและดูดีกว่านี้อีกหน่อยก็เท่านั้นเอง
แล้วก็อยากจะให้ศาลบรรพชนแห่งนี้มีบรรยากาศดีๆอีกด้วย เพราะผมตั้งใจว่าตอนที่ผมแต่งงานสิ้นปีนี้ว่าจะจัดที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีแขกเหรื่อมากมายอย่างแน่นอน
หากว่าจัดด้วยสภาพตอนนี้แน่นอนว่าแม้แต่เจ้าบ่าวอย่างผมคงหาที่นั่งไม่ได้เป็นแน่ ผมไม่ยอมพลาดโอกาสนี้เป็นอันขาด” ซูจิ้งพูดออกมา
ทุกคนที่ได้ยินต่างก็เข้าใจกันในทันทีและเรื่องที่ซูจิ้งและฉือชิงเป็นแฟนกันนั้นทุกคนต่างก็รู้กันทั่ว พวกเขานั้นยังรู้อีกว่าทั้งคู่จะแต่งงานกันตอนสิ้นปีนี้สิ่งนี่ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใจให้พวกเขาแต่อย่างใด
แต่ที่แปลกใจก็คือ ซูจิ้งไม่ได้คิดจะจัดงานแต่งงานแบบต่างชาติที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมกันหรอกเหรอ หรืออย่างน้อยๆเขาก็ควรจะจัดงานในหมู่บ้านจะดีกว่า
การที่มาจัดงานที่ศาลบรรพชนแบบนี้เขานั้นไม่กลัวจะหาว่าไม่จริงๆจังกับฉือชิงรึไงกัน ทั้งๆที่ด้วยสถานะของเขาในตอนนี้ เพียงพอที่จะปิดเมืองเพื่อจัดงานได้ด้วยซ้ำ
“อ้อ ส่วนการที่ผมจะเริ่มปรับปรุงยังไงนั้นแน่นอนผมจะขอพูดคุยและขอความเห็นทุกคนด้วยนะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
ด้วยการที่ตอนนี้ทุกคนโดยเฉพาะผู้ชายถูกเกณฑ์มาเพื่อที่จะเตรียมซ่อมแซมสารบรรพชนอยู่แล้วจึงเรียกได้ว่าอยู่กันเกือบครบ พวกเขาจึงเริ่มคุยกันเรื่องนี้ในทันที
ด้วยการที่ศาลบรรพบุรุษนี้มีความสำคัญกลับหมู่บ้านมาก เมื่อตอนนี้ทั้งหมู่บ้านนั้นมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นแล้วจึงไม่แปลกที่ทุกคนนั้นอยากจะทำให้ดีที่สุดเพื่อเป็นหน้าเป็นตาของตระกูล
ในเมื่อซูจิ้งเสนอตัวมาแบบนี้แถมยังทำให้ดูดีขึ้นกว่าเดิมแล้วจึงไม่มีใครคิดจะคัดค้านแต่อย่างใด
ด้วยการที่เขาซูจิ้งตอนนี้ร่ำรวยจนน่าหวาดกลัว ในข้อนี้ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ยังไงซะ คนในหมู่บ้านก็ไม่เข้าใจในข้อนี้อยู่ดี
ซูเจิ้งฮงเองก็ไม่ได้ขัดอะไรซูจิ้งมากนักแค่คอยพร่ำบ่นอยู่ตลอดเวลาว่า “ไม่แพงไปหน่อยเหรอ ไม่เกินไปหน่อยเหรอ”
แต่ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นขี้เกียจอธิบายความร่ำรวยของตัวเองจึงไม่ได้พูดอะไรออกมา สิ่งที่เขาทำนั้นก็มีเพียงชี้นิ้วนู่นนี่นั่นแล้วจ่ายตังค์แค่นั้นเอง
แน่นอนว่าเกี่ยวกับการปรับปรุงศาลบรรพชนแห่งนี้ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ต้องคำนึงถึงอย่างการจะเริ่มปรับปรุงเมื่อไหร่ น่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ต้องไม่กระทบโครงสร้างเดิม ต้องไม่เกิดอุบัติเหตุหรือสร้างความรำคาญให้คนในหมู่บ้าน ซึ่งมันมีรายละเอียดยิบย่อยมาก
ซูจิ้งจึงได้มอบหมายหน้าให้กับหัวหน้าหมู่บ้านคนก่อนและเหล่าผู้อาวุโสที่รู้จักธรรมเนียมและผู้รับเหมาก่อสร้างฝีมือดีให้คุมการปรับปรุงในครั้งนี้ ส่วนซูจิ้งนั้นมีหน้าที่ในการจ่ายเงินอย่างเดียว
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว ซูจิ้งก็ตรงกลับไปบ้านตัวเองเพื่อที่จะจัดการขยะห้วงเวลาฯต่อ เนื่องจากเรื่องของอเมริกาทำให้เขานั้นเว้นว่างมากหลายวันแล้ว
หลังจากจัดการขยะไปได้สักพัก ซูจิ้งก็ได้นำแผ่นพลาสติกชิ้นหนึ่งออกมาอย่างสนใจ แต่ด้วยการที่มันนั้นทั้งแตกหักและสกปรกอย่างมาก เขาจึงให้เสี่ยวไป๋ซ่อมแซมให้ ก่อนที่จะนำไปล้างจนเห็นว่าแผ่นพลาสติกนี้มันมีความโค้งมนจนราวกับเป็นใบหน้าของคน
“หืม?” ซูจิ้งรู้สึกใจเต้นขึ้นมาในทันที
พลาสติกแผ่นบางที่มีรูปร่างคล้ายใบหน้าคนนี้ทำให้เขานั้นรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาราวกับเดจาวูเลยทีเดียว เขาหยิบพลาสติกนี้ขึ้นมาก่อนที่จะทาบกับใบหน้าของตน
พลาสติกนี้ได้ทำการยึดแนบเข้ากับผิวหนังบนใบหน้าของเขาจนแทบจะเป็นเนื้อเดียวกันด้วยซ้ำ ซูจิ้งได้ลองคลำไปทั่วจนกระทั่งพบสวิตหนึ่งอยู่บริเวรหน้ากากใกล้กับใบหูของตัวเอง
เมื่อซูจิ้งได้กดสวิตนี้ทันใดนั้นหน้ากากนี้ก็ปรากฎแสงเรืองรองจนทั่วก่อนที่จะเกิดภาพพล่าเลือนขึ้นมาบนหน้ากาก
และในตอนนั้นเอง ใบหน้าของซูจิ้งก็ได้เปลี่ยนไปเป็นชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าดิบเถื่อนคนหนึ่ง
“เจ้านี่คลายกับหน้ากากแปลงโฉมที่ได้จากห้วงเวลาจักรพรรดิ์แห่งดวงดาวเลยแหะ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม เขาก็ไม่ได้ประหลาดใจอะไรนักเพราะเทคโนโลยีเช่นนี้มีการกล่าวถึงอยู่ในห้วงเวลาฯมาร์เวลในช่วงกัปตันอเมริกาสอง
ตอนนั้นถ้าเขาจำไม่ผิดน่าจะเป็นแบล็ควิโดว์ที่ใช้หน้ากากนี้ในการปลอมตัว นี่บ่งบอกได้ว่าห้วงเวลาฯมาร์เวลนี่ไม่ธรรมดาเหมือนกัน
“หน้ากากสองอันนี้ดูเหมือนจะใช้เทคโนโลยีที่แรกต่างกันอยู่นะ สงสัยจะต้องศึกษาสักหน่อยแล้วสิ” ซูจิ้งคิดขึ้นมาก่อนที่จะนำหน้ากากแปลงโฉมที่เขาเคยได้มาจากขยะห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์แห่งดวงดาวออกมา
ซูจิ้งได้ทารศึกษาหน้ากากทั้งสองชิ้นเปรียบเทียบกันในทันที หน้ากากแปลงโฉมนี้มีข้อดีตรงที่เปลี่ยนโครงสร้างใบหน้าไปอย่างสิ้นเชิงจึงเป็นเหตุผลให้ไม่มีใครรู้ว่าความจริงแล้วตัวเขานั้นคือมนุษย์แมงมุมเมื่อตอนที่เขาได้ใช้ตอนเหตุการณ์กองโจรเกล็ดงู
ภายหลัง ตั้งแต่เขาได้ผงแปลงโฉมที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจที่ทำให้เข้านั้นแปลงการได้ทั้งตัวเขาจึงไม่ได้ใช้หน้ากากนี้สักเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ผงนั้นมีระยะเวลาที่จำกัด แถมจำนวนผงแปลงโฉมที่เขามีก็ยังจำกัดจำเขี่ย จะเป็นการดีที่เขาเก็บผงนั้นไว้ใช้ในยามจำเป็นจริงๆ
และด้วยเหตุนี้ ซูจิ้ง จึงคิดที่จะพัฒนาเทคโนโลยีที่ช่วยให้เขานั้นแปลงโฉมตัวเอง หากสำเร็จ นอกจากเขาจะแปลงเป็นใครก็ได้แล้ว นี่จะทำให้เขานั้นมีตัวตนมากมายและทำอะไรได้หลากหลายมากขึ้น แต่ซูจิ้งเองย่อมรู้ดีกว่าใครว่าหากเทคโนโลยีหลุดรอดออกไปนั้นจะทำให้โลกนี้เกิดความโกลาหลมากมายขนาดไหน
ซูจิ้งได้ให้เสี่ยวไป๋ลองซ่อมแซมของที่ดูเหมือนจะเป็นนาฟิกาดู หลังจากซ่อมแซมเสร็จสิ้น หน้าจอของมันก็ได้ปรากฎแสงบริเวณด้านบนคล้ายๆกับตัวเลขบ่งบอกเวลาโดยเวลาที่ปรากฎขึ้นนี้ไม่ได้ตรงกับเวลาบนโลกขณะนี้แต่อย่างใด แต่ก็ไม่แปลก เพราะเวลาที่ปรากฎนี้สมควรจะเป็นเวลาของอีกห้วงเวลาหนึ่ง
ซูจิ้งได้เห็นปุ่มมากมายที่อยู่ข้างขาวเขาจึงคิดว่านี่คงจะเป็นปุ่มตั้งเวลาและสีตัวเลขอะไรพวกนั้นเขาจึงคิดที่จะลองกดดู
เมื่อเขาได้กดปุ่มสีขาว ตัวนาฬิกาก็ได้กลายเป็นสีขาว เมื่อเขากดเป็นสีแดง ตัวนาฬิกาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง เมื่อกดปุ่มสีดำตัวนาฬิกาก็เปลี่ยนเป็นสีดำ ถึงแม้จะดูธรรมดาแต่ซูจิ้งก็ยังรู้สึกว่ามันวิเศษอย่างบอกไม่ถูก
ซูจิ้งได้ลองกดปุ่มอื่นดูก็พบว่ามันเหมือนจะเป็นปุ่มปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้งานจนทำให้ซูจิ้งอดจะทึ่งไม่ได้เหมือนกัน มันมีทั้งรูปแบบแว่นตา ระบบโทรศัพท์มือถือ ระบบหูฟัง และระบบเวลา และในตอนนี้หน้ากากนี้อยู่ในโหมดเวลา
“เจ้านี่เปลี่ยนรูปแบบได้เพียงการกดปุ่มเดียวเองจริงๆเหรอ” ซูจิ้งได้สงสัยอย่างมากจึงได้ลองกดไปที่รูปแบบโทรศัพท์ดู
หลังจากกดปุ่มไปนั้น ตัวนาฬิกาได้เริ่มเปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองราวกับบีบอัดตัวเองลงจนเหลือเพียงโทรศัพท์เครื่องบางเท่านั้น มันบางราวกับเป็นนามบัตรใบหนึ่งที่ดูยืดหยุ่นอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ
ซูจิ้งที่เห็นฉากนี้กับตาตัวเองนั้นก็รู้สึกมหัศจรรย์กับสิ่งนี้ไม่ได้เหมือนกัน ต่อให้เจ้าสิ่งนี้จะมากห้วงเวลาฯมาร์เวลแต่มันกลับดูล้ำยุคอย่างมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาได้เคยอ่านมา
ซูจิ้งยังได้ลองใช้รูปแบบแว่นตา และหูฟังดูบ้าง และเจ้าสิ่งนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่างตัวเองเป็นของสองอย่างนี้ได้อย่างง่ายดายราวกับใช้เวทย์มนต์เลยทีเดียว
“เจ้านี่ทำมาจากวัสดุอะไรกันแน่ ช่างน่ามหัศจรรย์จริงๆ” ซูจิ้งในตอนนี้จ้องมองหูฟังนี้ด้วยสายตาเป็นประกาย เขานั้นรีบตั้งเป้าหมายในทันทีว่าโทรศัพท์กาลเวลารุ่นถัดไปนั้นต้องทำแบบนี้ให้ได้
ลองนึกดูว่าในขณะที่ถือโทรศัพท์อยู่แล้วนึกขี้เกียจจะถือก็แค่เปลี่ยนโหมดเป็นนาฬิกาเท่านั้น หากว่าอยากจะโทรหาใครในขณะขับรถก็แค่เปลี่ยนเป็นรูปแบบหูฟัง หรือว่าหากขี้เกียจจะถือกล้องตั้งท่าถ่ายรูปก็แค่เปลี่ยนเป็นรูปแบบแว่นตาก็เท่านั้น
ใครจะไม่อยากได้โทรศัพท์ที่สุดเท่เปลี่ยนเป็นอะไรก็ได้หลากหลายอย่างแบบนี้ล่ะ
และไม่เพียงแค่กับโทรศัพท์เท่านั้น วัสดุที่ใช้ทำเจ้าสิ่งนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้มากมายหลากหลายกับวิถีชีวิตของมนุษย์ แน่นอนว่าหากผลิตขึ้นมาต้องมีคนอยากใช้อย่างไม่ต้องสงสัย
ซูจิ้งยังคงลองเล่นของสิ่งนี้ต่อไปอย่างไม่วางมือ คราวนี้เขาได้เปลี่ยนไปเป็นโหมดโทรศัพท์แล้วลองกดปุ่มต่างๆเล่นดู จนในที่สุด เขาก็ได้เข้าไปเห็นสัญญาลักษณ์แปลกๆที่ไม่คุ้นตาอยู่บนหน้าจะโทรศัพท์ เขาจึงได้ลองกดดู คราวนี้โทรศัพท์ได้มีแสงสว่างวาบ
และในตอนนั้นเอง สายตาของซูจิ้งก็ได้เบิกกว้างในทันที
GGS:บทที่ 1115 ก้าวหน้าในทุกด้าน
สิ่งเขาเห็นนั่นก็คือโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้ได้ฉายภาพหนึ่งออกมา มันเป็นภาพของชายหาด แต่มันไม่เหมือนกับโทรศัพท์เครื่องใดบนโลกนี้อย่างแน่นอน นั่นก็เพราะภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้าเขาในตอนนี้คือภาพสามมิติ
“เครื่องฉายภาพสามมิติ!!!!” ซูจิ้งนั้นสูดหายใจเข้ายาวจนสุดอีกครั้งและปล่อยออกมายาวๆเพื่อควบคุมอารมณ์ของตัวเอง
สิ่งที่เขาเห็นนี้ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไปในหนังแนววิทยาศาสตร์ และนี่ก็เป็นสิ่งที่คนบนโลกนี้เฝ้าใฝ่ฝันที่จะสร้างมันขึ้นมาให้ได้โดยตลอด การที่อยู่ๆได้เห็นของที่ทุกคนต่างก็ใฝ่ฝันถึงตรงหน้าแบบนี้ เขาจะดีใจจนเนื้อเต้นก็ไม่แปลกอะไรแม้แต่น้อย
ภาพที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้ก็คือภาพชายหาดที่สวยงามรอยเด่นสง่าอยู่ตรงหน้าราวกับว่าตัวเขานั้นสามารถสัมผัสเม็ดทรายได้เลย เรียกได้ว่ามันสมจริงแบบสุดๆ
ก่อนหน้านี้เข้าไม่เคยนึกออกมาก่อนเลยว่าหากเครื่องฉายภาพสามมิติสร้างขึ้นมาได้นั้นจะออกมารูปแบบไหนหรือให้ความรู้สึกยังไง แต่ตอนนี้เขาได้รู้เรียบร้อยแล้วว่ามันสมจริงเสียยิ่งกว่าหนังสามมิติซะอีก
ที่มันฉายอยู่ตรงนี้นั้นสมควรจะเป็นวิดีโอที่มีตวามยาวประมาณหนึ่งนาทีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลาหนึ่งนาทีนี้ ซูจิ้งไม่สามารถสงบจิตใจตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขารู้สึกได้ทันทีว่าเขาผมโอกาสทางธุรกิจครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งเรียบร้อยแล้ว
“โทรศัพท์มือถือนี้คุ้มค่าที่จะศึกษาสุดๆ” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยความตื่นเต้นก่อนที่จะรีบออกจากสถานีฯแล้วตรงไปยังสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯในทันที
เขาได้มอบโทรศัพท์มือถือแกนักวิจัยพร้อมทั้งทดลองใช้จนทำให้นักวิจัยของเขาหน้าเหวอไปตามๆกันในทันที หลังจากเสร็จสิ้น ซูจิ้งได้กลับไปบ้านเพื่อจัดการขยะของเขาต่อ
ขยะห้วงเวลาฯมาร์เวลกองนี้นี่เรียกได้เลยว่าซูจิ้งแทบจะไม่ได้ปล่อยผ่านไปเลยแม้แต่สักชิ้นเดียว เขาสามารถขุดเอาขยะเทคโนโลยีล้ำยุคออกมาได้มากมายหลากหลาย บางชิ้นถึงแม้จะซ้ำกับชิ้นที่เคยเจอมาแล้วแต่เขาก็ไม่อิดออดที่จะเก็บพวกมันไว้ เรียกได้ว่าขยะกองนี้เต็มไปด้วยเทคโนโลยีของโลกที่ใฝ่ฝันว่าจะมีเลยทีเดียว
และด้วยการที่ห้วงเวลาฯมาร์เวลนอกจากจะมีดวงดาวที่มากมายหลากหลายแล้ว ช่วงเวลายังคาบเกี่ยวกับโลกในยุคปัจจุบันเสียเป็นส่วนใหญ่
มันก็ก็คงจะคล้ายกับการที่ขยะของห้วงเวลาที่สมัยนี้หลุดรอดไปอยู่ในห้วงเวลาสมัยโบราณกาล เพียงแต่ในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นยุคสมัยเดียวกันแต่มีระดับเทคโนโลยีที่แตกต่างกันเท่านั้น มันเหมือนเป็นการยกระดับให้เทคโนโลยีของโลกด้วยวิทยาการที่ล้ำกว่าเท่านั้นเอง
เรียกได้ว่า ขยะห้วงเวลากองฯทำให้ซูจิ้งยิ้มหน้าบานแทบจะตลอดเวลาที่ขุดคุ้ยเลยก็ว่าได้ เรียกได้ว่าไม่ปล่อยให้รอดสายตาเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังจากซูจิ้งจัดการขยะห้วงเวลาฯมาร์เวลนี้ไปกว่าครึ่งเดือน ในที่สุดก็ถึงเวลาในการตรวจสอบซ้ำอีกครั้ง
คราวนี้เขาใช้เวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้นในการตรวจสอบซ้ำเพราะเก็บเกี่ยวไปจนเกือบจะหมดกอง
เมื่อแน่ใจแล้วก็ได้ตรวจตราซ้ำแล้วซ้ำอีกจนในที่สุดก็มั่นใจแล้วว่าขยะห้วงเวลาฯที่เหลือนี้เขาใช้ไม่ได้แล้วจริงเขาจึงได้สั่งให้ฉิงหยุนทำการเผาและฝังกลบขยะฯที่เหลือ
ส่วนขยะฯที่เขาใช้ประโยชน์ได้ก็นำไปไว้ในมิติเก็บของ จนใจที่สุด ขยะฯที่สูงกองท่วมหัวก่อนหน้านี้ก็ได้หายวับไปจนเหลือแต่ลานโล่งๆเพื่อรอขยะชุดใหม่เข้ามา
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเวลาเกือบเดือนนึงแล้วที่ไม่มีขยะห้วงเวลาล่วงหล่นลงมาอีก ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ซูจิ้งมีความสุขอย่างมาก
เขาได้ใช้ช่วงเวลาดังกล่าวในการฝึกฝนและบ่มเพาะตำราต่างๆอย่างตำรารักษาโรคทั่วไป วิถีแห่งใต้หล้า ตำราจ้าวแห่งสายน้ำ ตำราวิถีแห่งมังกร ตำรากระดาษการสงคราม
อีกทั้งยังได้ทำการเพาะพันธุ์ข้าวสีน้ำเงินและเก็บเกี่ยวเนื้อกิ้งก่างูเหล็กแล้วกินอย่างเต็มที่จนทำให้ตอนนี้ความแข็งแกร่งโดยรวมของเข้าเพิ่มขึ้นอีกครั้งทั้งร่างกาย พลังภายใน และจิตวิญญาณ
หลังจากผ่านการฝึกฝนและบ่มเพาะมากว่าหนึ่งเดือน
ตอนนี้พลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นจนทำให้ตอนนี้ใช้พลังจิตยกของหนักได้กว่า 890 กิโลกรัม
พลังภายในของเขานั้นเพิ่มขึ้นจนทำให้สามารถกลั้นหายใจได้นานกว่าสามชั่วโมงเมื่ออยู่ใต้ท้องทะเล
สำหรับร่างกายนั้น เขาบ่มเพาะและฝึกฝนตำราวิถีแห่งมังกรจนเข้าสู่กระบวนท่าที่สองได้แล้วจนทำให้พลังหมัดของเขามีน้ำหนักกว่า 2,200 กิโลกรัม พร้อมทั้งตราประทับมังกรที่มีอาณุภาพไปถึง 2,800 กิโลกรัม
การที่ตราประทับมังกรของเขามีอาณุภาพมากกว่าพลังหมัดของเขาแบบนี้เป็นเพราะว่าตราประทับมังกรนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเท่านั้นนั่นเอง
ซูจิ้งยังคงฝึกฝนตัวเองอย่างหนัก ต่อให้เขาต้องยุ่งวุ่นวายขนาดไหนเขาก็ยังหาเวลาฝึกฝนอยู่ดี นี่จึงไม่แปลกที่เขานับวันจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
เรียกได้ว่าในตอนนี้เขาไม่มีใครที่จะต่อกรด้วยได้อย่างแน่นอน แต่ว่าเขาเองก็ยังไม่ได้ไร้เทียมทานแต่อย่างใด หากเขาโดนอาวุธหนักอย่างปืนคลื่นความร้อนเขานั้นก็ยังต้องตายอยู่ดี
ด้วยการที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯนั้นยังคงเชื่อมต่อกับห้วงเวลาฯต่างๆอยู่แบบนี้ อย่าว่าแต่ไร้เทียมทานเลย แม้แต่ความแข็งแกร่งของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอเลยด้วยซ้ำ
นี่จึงเป็นเหตุผลที่เขาต้องแข็งแกร่งมากขึ้นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ต่อให้ต้องฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพหรือไร้เทียมทานจริงๆ ต่อให้ยากขนาดนั้นเขาก็ยินดีที่จะทำ
นั่นก็เพราะว่ากว่าเขาจะทำให้โลกนี้สงบสุขและยกระดับสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯให้หยุดการทิ้งขยะห้วงเวลาฯลงมาได้นั้นไม่รู้ว่าต้องเจอกับอะไรอีกเท่าไหร่
ถึงแม้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขานั้นจะหลบเลี่ยงและหยุดยั้งไว้ได้ก็จริง แต่ทรัพยากรที่เขามีนั้นนอกจากน้อยนิดแล้ว นับวันภัยอันตรายต่างๆก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น
แถมในตอนนี้ขยะห้วงเวลาฯยังหยุดเทลงมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน เขากลัวแต่ว่าขยะครั้งต่อไปที่มานั้น ไม่เพียงจะไม่เหลืออะไรให้เขาเก็บเกี่ยวแล้ว เขากลัวว่าภัยอันตรายที่แฝงมานั้นจะอันตรายเกินกว่ายากที่จะรับมือ
เขาเองก็อยากจะทำตามสิ่งที่ผู้คนกล่าวเอาไว้ว่าค่อยๆก้าวไปทีละก้าวจนกว่าจะถึงเป้าหมายเหมือนกัน แต่ดูจากสถานการณ์แล้วล่ะก็ หากเขามัวแต่ก้าวทีละก้าวไปนั้น เมื่อถึงเวลา มันจะไม่เหลือทางให้เขาได้ก้าวเดินอีกต่อไปแล้ว เหมือนดั่งที่เขาว่ากันว่า มัวแต่ค่อยๆก้าว กว่าจะถึงสรวงสวรรค์ก็ล่มสลายไปแล้ว
ในช่วงหนึ่งถึงสองเดือนที่ผ่านมานี้ ไม่เพียงอเมริกาจะไม่หาเรื่องกลุ่มทุนห้วงเวลาเท่านั้น แม้แต่ประเทศอื่นเองก็ไม่กล้าเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่าประเทศจีนในตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้ามาหาเรื่องก่อนเลยสักประเทศ
ในเรื่องธุรกิจของกลุ่มทุนห้วงเวลาฯนั้น แน่นอนว่ายังคงพัฒนาขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง ในตอนนี้รายรับของซูจิ้งเพิ่มขึ้นเป็นระดับจาก สามแสนสามหมื่นล้านหยวนไปเป็นสามแสนหกหมื่นล้านหยวนและสี่แสนล้านหยวนตามลำดับ เรียกได้ว่ารายรับของกลุ่มทุนห้วงเวลานั้นพุ่งสูงขึ้นไปกว่าเจ็ดแสนล้านหยวนเรียบร้อยแล้วจนติดอันดับบริษัทที่ร่ำรวยที่สุดในโลกไปแล้ว นี่ขนาดรายรับเกือบครึ่งหนึ่งเป็นของซูจิ้งด้วยซ้ำ
สำหรับทางด้านสถาบันวิจัยห้วงเวลาฯนั้น ในตอนนี้เรียกได้ว่าราบลื่นแบบสุดๆ ช่วงเวลานี้ทางสถาบันสร้างงานวิจัยออกมาได้อย่างต่อเนื่องเลยทีเดียว
เรียกได้ว่า สิ่งของที่ซูจิ้งนำไปให้วิจัยนั้น เหลือเพียงไม่กี่ด้านไม่กี่อย่างเท่านั้นที่ยังวิจัยได้ไม่สำเร็จและยังไม่ได้พัฒนามาใช้จริง ถึงความจริงแล้วจะเป็นการคัดลอกงานคนอื่นออกมารับรางวัลก็ตาม
เมื่อซูจิ้งได้เห็นผลงานวิจัยเหล่านี้ก็ได้ไปกระตุ้นให้ซูจิ้งที่อยู่เงียบมากกว่าสองเดือนคิดจะทำอะไรบางอย่างเพื่อจะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์และค่าพลังงานของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯเลยทีเดียว
วันนี้ซูจิ้งได้โทรไปหาเว่ยเสี่ยวหยวน นี่ถือว่านานพอดีเลยทีเดียวหลังจากที่เธอได้ตกลงมาจากตึกครั้งล่าสุด เธอได้รับการรักษาเป็นอย่างดีจากซูจิ้งจนทำให้ไม่เหลือรอยแผลเป็นบนร่างกายเลยแม้แต่น้อย แถมยังสุขภาพดีกว่าก่อนตกตึกลงมาซะอีก
“โอ เจ้านาย มีอะไรให้รับใช้งั้นรึ” เว่ยเสี่ยวหยวนพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“”ช่วยฉันหาสถานที่ใหญ่ๆหน่อยสิ ฉันว่าจะจัดคอนเสริตน่ะ” ซูจิ้งพูดออกมา
“คอนเสริต์เหรอ” เว่ยเสี่ยวหยวนนิ่งอึ้งไปในทันทีราวกับว่าตัวเองได้ฟังอะไรผิดไป
โดยปกติแล้วนักร้องส่วนใหญ่นั้นมีเหตุผลในการจัดคอนเสริตอยู่สามอย่างนั่นก็คือ เงิน ชื่อเสียง และตอบแทนแฟนคลับ และโดยส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งเน้นไปที่เงินกันซะมากกว่า
อย่างไรก็ตามซูจิ้งนั้นร่ำรวยมากมายแล้วเขานั้นก็ไม่น่าจะอยากได้เงินอีกไม่ใช่เหรอ หากเป็นโดยทั่วไปแล้วนักร้องจะได้เงินมากมายจากการจัดคอนเสริตก็จริงแต่นี่ก็สมควรกว่าเงินที่ซูจิ้งได้มาในแต่ละเดือน
จะว่าชื่อเสียงเหรอ หรือว่าจะเป็นการตอบแทนแผนคลับ แต่ซูจิ้งเองก็ไม่ได้อยู่ในวงการบันเทิงแม้แต่ไหนแต่ไรแล้วเขาต้องการจะทำเพื่อสองอย่างนี้ไปทำไมกัน
“ช่ายยยย ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งดีนะ ยิ่งใหญ่มากๆๆ ก็ยิ่งดีมากๆๆๆ ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างงงงงงง
“พี่จิ้ง ถามจริงๆนะ คอนเสริตนี้พี่จะทำอะไรกันแน่อ่ะ” เว่ยเสี่ยวหยวนถามออกมาเพราะเริ่มเอะใจในบางอย่าง
“ก็แค่การตอบแทนแฟนคลับน่า….. ก่อนหน้านี้ฉันเองก็เกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่ถึงขนาดนั้น แฟนคลับของฉันเองก็ยังคอยออกมาปกป้องฉันอยู่ไม่ยอมตีจากไปไหน ถึงแม้จะช่วยได้ไม่มากแต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าติดค้างพวกเขาอยู่ดี ฉันรู้สึกดีจริงๆในระหว่างเกิดเรื่องร้ายที่ยังคงมีแฟนคลับดีๆคอยให้กำลังใจฉันน่ะ อีกอย่าง ฉันเองก็อยากจะเปิดตัวงานวิจัยใหม่ด้วยน่ะในวันนั้น” ซูจิ้งพูดออกมา
“ได้ค่า…จะรีบทำให้นะคะ” เว่ยเสี่ยวหยวนที่ได้ยินก็เข้าใจในทันที
“อ้อ ส่วนเรื่องค่าบัตรนั่นถ้าต่ำเกินไปฉันก็กลัวว่าผู้คนจะคิดว่าคอนเสริตนี้มันไร้ความหมาย เอาเป็นว่าเก็บค่าบัตรสักหน่อยเอาเป็นสักสิบหยวนแล้วกัน แต่ในเมื่อนี่เป็นงานเพื่อตอบแทนแฟนคลับของฉัน เพราะฉะนั้นเป้าหมายแรกๆที่เราจะขายบัตรให้นั้นต้องเป็นพวกเขา ฉันจะหาวิธีบางอย่างในการคัดเลือกแฟนคลับพวกนั้นโดยให้ระบบปัญญาประดิษฐ์ช่วยฉันเลือกว่าใครเป็นแฟนคลับพันธุ์แท้จริงๆ แล้วค่อยให้คนพวกนี้ซื้อบัตรก่อนเป็นกลุ่มแรกแล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา
“….โอเค” เว่ยเสี่ยวหยวนนั้นแถบจะพูดไม่ออกเลยจริงๆ ความจริงแล้วงานแบบนี้สมควรจะเป็นงานของเธออย่างแน่นนอนแต่ซูจิ้งกลับมีคุณสมบัติมากพอที่จะวางแผนทำเรื่องนี้อย่างรวดเร็วจนเรียกได้ว่าเธอไม่ต้องทำอะไรด้วยซ้ำ
หลังจากคุยกันเรื่องคอนเสริตเสร็จแล้ว เว่ยเสี่ยวหยวนจึงได้ไปหาสถานที่ตามที่ซูจิ้งต้องการ ส่วนซูจิ้งก็ได้โทรไปหาหวังซือหยาเพื่อให้เธอติดต่อดาราให้เขาเพื่อร่วมงานคอนเสริตให้หน่อย
เมื่อหวังซือหยาได้ยินว่าซูจิ้งจะจัดงานคอนเสริตทำให้เธออะไรดีอย่างมากและให้ความร่วมมือในทันทีโดยไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าเขาจะเปิดตัวอะไรในงานนี้
เรียกได้ว่าสำหรับเธอแล้วงานคอนเสริตของซูจิ้งนั้นคือที่สุดยิ่งกว่าการที่เธอจะได้เงินเยอะๆซะอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น