Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1112-1113

 GGS:บทที่ 1112 ระบบป้องกัน


ผู้บริหารโจวได้เก็บความรู้สึกเคารพ นอบน้อม และภักดีเอาไว้ในใจในทันทีที่รู้สึกตัวและได้แสดงออกมาด้วยรอยยิ้มแห่งความใจดีให้ปรากฎอยู่บนใบหน้าแทน

ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาในทันที พลางคิดไปว่าฉากที่เห็นก่อนหน้านี้อาจจะมาที่ท่านผู้บริหารโจวนั้นเป็นหนึ่งในแฟนคลับของซูจิ้งก็เป็นได้

ซึ่งนั่นก็ไม่แปลกอะไรเพราะชายหนุ่มผู้นี้เป็นอัจฉริยะที่ท้าทายสวรรค์จนทำให้ทุกคนตื่นตะลึงและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก


ฉากที่เห็นก่อนหน้านี้เองอาจเป็นแค่พวกเขาตาฝาดไปเท่านั้น เพราะไม่ว่ายังไงคนที่เป็นถึงรองประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางจะไปมีท่าทีนอบน้อมต่อคนที่อ่อนกว่านั้นช่างไม่มีเหตุผลเลยสักนิด

ต่อให้ซูจิ้งจะทรงพลังและมีเบื้องหลังที่แข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำให้รองประธานคณะกรรมาธิการทหารส่วนกลางต้องก้มหัวให้แบบนี้ หากเป็นจริงก็คงเป็นเรื่องตลกระดับชาติเป็นแน่


หลังจากทักทายกันเสร็จแล้ว ซูจิ้งได้เดินเข้าไปในสถาบันวิจัยอาวุธกับชายหน้าจีนคนนี้ในทันที ในขณะที่เดินเข้าไปนั้น ชายวัยกลางคนผู้ซึ่งมีผมขาวครึ่งหัวผู้นี้ก็ได้ถามออกมาว่า

“คุณซู ตอนที่คุณโทรหาผมแล้วบอกผมว่ามีวิธีเสริมกำลังทางการทหารและป้องกันได้นี่คุณหมายความว่ายังไงกัน”


“เดี๋ยวผมบอกคุณทีหลังแล้วกัน แต่ตอนนี้คุณแน่ใจรึเปล่าว่าเชื่อคนของคุณได้” ซูจิ้งพูดพลางมองไปรอบห้องในสถาบันวิจัยแห่งนี้ ทุกคนล้วนต่อดูยุ่งกับงานของตัวเองอยู่

“อย่ากังวลไปเลยครับ คนทั้งหมดนี่เป็นคนของผมเอง” ชายวัยกลางคนผมขาวครึ่งหัวได้พูดออกมาอย่างมั่นใจ

“ไม่หรอกม้างงงงง…” ซูจิ้งพูดออกมา

“ฮ่าฮ่าฮ่า คุณก็รู้ว่านี่คือฐานวิจัยลับนี่นา ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะว่าท่านผู้บริหารโจวออกไปเรื่องของคุณล่ะก็ แม้แต่เป็นคุณก็ไม่สามารถมาที่นี่ได้หรอก ทุกคนในที่นี้ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด วิทยาการที่คุณนำมาที่นี่เองก็ต้องให้พวกเขาเป็นคนดำเนินการต่อและพัฒนาต่อไปโดยคนพวกนี้ คุณไม่จำเป็นต้องซ่อนจากคนพวกนี้แต่อย่างใด”


“ตรวจสอบอย่างเข้มงวดเหรอ แล้วไอ้พวกสายลับซีไอเอที่แอบเข้ามาก่อนหน้านี้ล่ะ” ซูจิ้งพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม

ทุกคนที่ได้ยินถึงกับหน้ากระตุกไปเล็กน้อยพร้อมความสงสัยที่ว่าซูจิ้งรู้ได้ยังไง เรื่องนี้เองก็เป็นหนึ่งในความลับสุดยอดของประเทศจีนเช่นเดียวกัน

ต่อให้เขาเข้าถึงข้อมูลลับที่ปล่อยออกมาก่อนหน้านี้ได้ก็ตาม แต่ที่คนทั่วโลกเห็นนั้นมันก็แค่รหัสยืนยันตัวตันเท่านั้น

รหัสนั่นต่อให้รู้อย่างมากก็แค่บอกว่าสายลับพวกนั้นเข้าไปแฝงกับองค์กรไหนและมีเป้าหมายอะไรเท่านั้น แต่ที่พวกคนเหล่านี้ไม่รู้ก็คือซูจิ้งเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการจัดการสายลับพวกนั้นเป็นการลับ

แน่นอนว่าเขานั้นย่อมรู้ข้อมูลที่แท้จริงทั้งหมดพร้อมทั้งลอบส่งข้อมูลให้กับรัฐบาลเพื่อจัดการสายลับเหล่านั้น ถึงแม้จะมองดูว่าแปลกที่เขารู้เรื่องแต่ในความเป็นจริงเขารู้อะไรมากกว่านั้นด้วยซ้ำไป

“อย่ามาใส่ใจดีกว่าครับว่าผมรู้อะไร หรือในอีกความหมายหนึ่งก็คือคนพวกนี้ใช่ว่าจะเชื่อใจได้ทุกคน งั้น….เอาเป็นว่าไปเรียกทุกคนมารวมกันที่นี่ก่อนก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมา


“นี่…” ชายวัยกลางคนหัวขาวครึ่งหนึ่งรู้สึกแปลกๆในทันทีว่าซูจิ้งต้องการทำอะไรกันน่า

คนพวกนี้ก่อนหน้านี้เองก็โดนตรวจสอบอย่างหนักมาแล้วนั่นก็เพราะเรื่องของสายลับของซีไอเอที่แฝงตัวเข้ามา หลังจากตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็เชื่อว่าไม่หลงเหลือสายลับอยู่อีก ต่อให้ยังมีสายลับเหลืออยู่จริงแต่การที่เรียกรวมตัวกันแบบนี้ก็ไม่สมควรจะช่วยให้รู้ได้อยู่ดี


“ฟังซูจิ้งซะ” ผู้บริหารโจวพูดออกมา

ในเมื่อผู้บริหารโจวออกปากเองขนาดนี้มีหรือที่จะมีคนกล้าขัด พวกเขาได้ทำการเรียกรวมเหล่านักวิจัยและเจ้าหน้าที่ทุกคนมารวมกันที่นี่จนครบ ตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้พูดออกมาว่า “นำกฎและระเบียบของกองทัพมาหน่อย”

“ห้ะ” ทุกคนพลันสงสัยในทันทีว่าจะเอามาทำไม

“เมื่อเอามาแล้วก็ให้ทุกคนอ่านมันออกมา” ซูจิ้งพูดออกมา


“……” ชายหัวขาวครึ่งหัวที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก นี่ซูจิ้งจะให้คนเหล่านี้อ่านกฎและระเบียบของกองทัพออกมาแล้วหวังว่าจะให้สายลับก้าวออกมายอมรับผิดรึไงกัน

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านผู้บริหารโจวได้ออกปากมาแล้วว่าให้ทำตามที่ซูจิ้งบอก ก็ไม่มีใครเลยที่จะกล้าขัด พร้อมทั้งนำป้ายกฎและระเบียบกองทัพออกมา

เมื่อสิ้นเสียงของซูจิ้ง ทุกคนได้ทำการกฎและระเบียบของกองทัพอย่างตั้งจังและอ่านจบลงอย่างรวดเร็ว

ตอนนั้นเอง ซูจิ้งได้เดินตรงไปยังชายวัยกลางคนหน้าหวานคนหนึ่ง เขาจับชายคนนั้นเอาไว้ในทันทีก่อนที่จะไปยังชายร่างสูงผอมคนหนึ่งแล้วลากออกมา


ชายหัวขาวครึ่งหัวที่เห็นถึงกับมึนงงและสับสนในทันทีพลางคิดขึ้นมาว่าสองคนนี้ทำอะไรผิดไปกัน ซูจิ้งขี้เกียจจะอธิบายอะไรมากจึงได้ทำการสะกดจิตโดยตรงโดยแกล้งทำเป็นแผ่รังสีสังหารออกมา นี่ทำให้ทั้งสองพูดออกมาอย่างรวดเร็ว

กลายเป็นว่า ชายหน้าหวานคนนี้เป็นสายลับจากฝรั่งเศษ ส่วนชายผอมสูงคนนี้ไม่ใช่สายลับแต่ได้ลับการติดต่อมาจากสายลับของประเทศอื่น

ด้วยการที่เขานั้นถูกยั่วยวนด้วยอำนาจของเงินตาและหลงไหลในตัวของสายลับจึงทำให้จิตใจของเขาสั่นคลอนและตัดสินใจทรยศประเทศในที่สุด


ถึงแม้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้มีตำแหน่งสูงและข้อมูลที่เข้าถึงได้นั้นมีจำกัด แต่ยังไงซะ เมื่อทั้งสองมาอยู่ที่นี่ได้ย่อมแน่นอนแล้วว่าข้อมูลลับบางส่วนน่าจะรั่วไหลไปแล้ว

เหล่าผู้ควบคุมแต่ละทีมต่างก็แสดงท่าทีโง่งมออกมา นี่มันเรื่องอะไรกัน กลายเป็นว่าสองคนนี้คือตัวปัญหาและถูกเปิดเผยได้อย่างง่ายดายขนาดนี้ ทุกคนในที่นี่ต่างหันไปมองซูจิ้งราวกับว่าได้พบเจอสัตว์ประหลาดร่างมนุษย์ พลางคิดสงสัยว่าชายคนนี้ทำได้ยังไงกัน

แน่นอนว่าทุกคนนี้ไม่มีทางรู้เลยว่าซูจิ้งจัดการเรื่องทั้งหมดนี้ได้เป็นซูจิ้งได้ครอบคลุมพื้นที่นี้ไว้ด้วยกระแสจิตของเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว หรือก็คือเขาใช้วิธีการอ่านออร่าของแต่ละคนนั่นเอง

ต่อให้คนพวกนี้ฝึกภาษากายมาดูขนาดไหนก็ตามแต่ยังไงซะต่อให้เป็นสายลับมือฉกาจขนาดไหน หรือแม้แต่คนที่ตัดสินใจทรยศไปแล้ว เมื่อต้องทำสิ่งที่ขัดกับใจตัวเองเอาไว้ ออร่าของคนเหล่านั้นจะบ่งบอกในทันที


เหล่าทหารยศสูงได้ลากตัวสองคนนี้เข้าในห้องสอบสวนในทันที หลังจากทั้งสองได้เข้าไปห้องสอบสวนแล้ว ซูจิ้งจีงได้เปิดประตูหลังของรถที่ขนของมาจากสนามบินในทันที

ของเหล่านี้ดูแล้วล้วนแปลกตามากนะและหนึ่งในนี้คืออาวุธปืนเลเซอร์ที่เขาได้มาจากห้วงเวลาฯยอดทหารจ้าวนักรบ ปืนคลื่นพลังงานจากห้วงเวลาฯอเวนเจอร์ คลื่นเสียงอัมพาตจากห้วงเวลาฯไอร่อนแมน อาวุธแรงโน้มถ่วงจากห้วงเวลาฯตำนานผู้พิทักษ์ดวงดารา


เหล่าผู้คนที่เห็นสิ่งเหล่านี้มีท่าทีตกตะลึงในทันที พวกเขาจ้องมองของเหล่านี้อย่างกับเห็นผีที่หลุดออกมาจากหนังแนววิทยาศาสตร์ยังไงอย่างนั้น และยิ่งตกตะลึงขั้นสุด เมื่อได้เห็นซูจิ้งได้ใข้ของเหล่านั้นให้ดู

ปืนเลเซอร์นี้ ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะได้ให้ทีมนักวิจัยของตนดัดแปลงปืนเลเซอร์นี้ไปเป็นเครื่องตัดเลเซอร์จนยอดสั่งซื้อถล่มทลายไปแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังมีความคิดว่านั่นเป็นการเอามีดฆ่าวัวไปเชือดไก่อยู่ดี

เขาจึงคิดว่าในเมื่อมันเป็นอาวุธก็สมควรจะทำให้มันเป็นอาวุธถึงจะดีที่สุด แน่นอนว่าด้วยปืนนี่เป็นของล้ำยุค อาวุธสมัยนี้ไม่มีทางเทียบได้เลยสักนิด

ส่วนอาวุธบางส่วนจากห้วงเวลาฯอเวนเจอร์นั้นล้วนแล้วแต่เป็นวิทยาการขั้นสูงเมื่อเทียบโลกยุคสมัยนี้ หากว่าสามารถศึกษาจนต่อยอดได้ล่ะก็พวกมันจะทำให้ประเทศจีนมีอำนาจไม่สิ้นสุด

“ของพวกนี้มาจากไหนกันแน่ ทำไมฉันคิดว่ามันออกมาจากหนังหลายๆเรื่องที่เคยเห็นกันล่ะ” นักวิจัยสูงอายุคนหนึ่งพูดออกมา


“จริงด้วย อย่างจานบินที่เป็นข่าวก่อนหน้านี้เองก็เหมือนกัน ฉันยังสงสัยอยู่ว่านั่นเป็นสิ่งมีชีวิตต่างดาวรึเปล่า คุณซู นี่คุณไปพบเทคโนโลยีจากพวกต่างดาวหรือว่าไป….” ชายวัยกลางคนอีกคนหนึ่งที่ได้ยินก็ได้แสดงความเห็นพร้อมตั้งคำถามในทันที

ซูจิ้งที่ได้ยินและฟังคำถามอันไม่สิ้นสุดเหล่านี้นถึงกับถอนหายใจออกมาดังๆ ด้วยการที่คนเหล่านี้ฉลาดมากๆ แน่นอนว่าการที่เขานำของต้นแบบเหล่านี้ออกมานั้นย่อมได้รับการสงสัยและอาจจะถึงค้นรู้เลยด้วยซ้ำว่าของเหล่านี้มาจากไหนบ้าง

หากเป็นเมื่อก่อน เขาเองคงจะทำการสะกดจิตสมบูรณ์ไปแล้ว แต่นั่นเองก็ไม่สามารถหลบเลี่ยงไปหาที่มีต่อการวิจัยของเหล่านี้ได้ด้วยเช่นเดียวกัน เขาจึงเลือกวิธีการจัดการสายลับแทนซึ่งมีผลเสียน้อยที่สุด

“เอาเป็นว่าพวกคุณแค่ศึกษาพวกมันและพัฒนาเพื่อประเทศของเราก็พอ อย่าได้ไปสนใจที่มาของสิ่งเหล่นี้จะดีกว่า” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่เหี้ยมเกรียมก่อนที่จะพูดต่อว่า “อ้อ แล้วก็ผมหวังว่าในนี้จะมีใครสักคนที่พอจะศึกษาภาพร่างนี้ได้นะ”

เมื่อทุกคนได้ยินก็ได้หันไปมองภาพวาดที่ซูจิ้งว่า แต่ในตอนนั้นเองทุกคนต่างก็เกือบอุทานออกมาในทันที นั่นก็เพราะ ตรงหัวของกระดาษวาดแบบร่างนั้นมีตัวอักษรที่ขนาดใหญ่เล็กน้อย เขียนเอาไว้ว่า ระบบป้องกันดวงดาว


บทที่ 1113 ป้องกันโลก


เมื่อเหล่าเจ้าหน้าที่ภายในสถาบันวิจัยแห่งนี้ได้เห็นตัวอักษรที่เขียนไว้ว่าระบบป้องกันดวงดาวต่างก็อึ้งทึ่งกันในทันที

เพราะเพียงเห็นจากชื่อแล้วมันช่างดูเวอร์วังเสียเหลือกเกิน ดูเหมือนว่านี่คือระบบที่ใช้ป้องกันการรุกรานจะศัตรูนอกโลกยังไงก็ไม่รู้


แต่โลกนี้มีความจำเป็นต้องใช้ระบบแบบนี้จริงๆด้วยอย่างนั้นเหรอ ยังไม่ต้องพูดถึงการที่ต้องวางระบบนี้ทั่วทั้งโลก แต่ พวกเราจะมีศัตรูมากจากนอกโลกจริงๆงั้นเหรอ

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่พวกเขาได้ศึกษาทั้งอุปกรณ์ ระบบ รวมถึงภาพร่างที่ซูจิ้งได้เอามาแล้ว พวกเขาต้องตกตะลึงอย่างที่สุด นั่นก็เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นเทคโนโลยีชั้นสุดยอด ถึงแม้พวกเขาพึ่งจะศึกษาสั้นจนรู้ได้แค่ผิวเผินก็ตาม แต่แน่นอนว่าทุกคนต่างก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจผิด และนี่ทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันขึ้นมาจริงๆ

“พระเจ้าช่วย เทคโนโลยีพวกนี้ช่างสูงล้ำจริงๆ”


“แน่นอนว่าระบบป้องกันพวกนี้เป็นสิ่งที่พวกเราคาดหวังว่าจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต และสิ่งของเหล่านี้ล้วนแล้วสร้างมาจากเทคโนโลยีที่พวกเราคิดว่าในอนาคตเราจะทำมันได้ รวมถึงระบบนี่เหนือล้ำกว่าระบบในปัจจุบันมากนัก”

“โดยเฉพาะระบบป้องกันนั่น ระบบนี่มีอาณาเขตป้องกันยันอเมริกาและเกาหลีใต้เลยนะ แถมยังครอบคลุมทั้งระบบป้องกันและระบบตรวจจับอีกด้วย ระบบนี้เหนือล้ำกว่าระบบใดๆในโลกจริงๆ หากเทียบกันแล้วระบบปัจจุบันไม่ได้ต่างจากปัจจุบันเลยสักนิด”

ก็ไม่แปลกที่เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะตกตะลึง นั่นก็เพราะ ซูจิ้งขุดระบบป้องกันดวงดาวนี้มาจากขยะห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์ทางช้างเผือก

ในห้วงเวลาฯจักรพรรดิ์ทางช้างเผือกนั้นเป็นยุคสมัยที่มนุษย์โลกได้ขยายอาณาเขตของตนไปยังดวงดาวต่างๆ จนทำให้เกิดสงครามระหว่างดวงดาวอยู่บ่อยครั้ง จึงไม่แปลกที่จะมีการคิดค้นและติดตั้งระบบป้องกันที่ครอบคลุมทั่วทั้งดาวแบบนี้

การที่แผนผังระบบนี้ถูกทิ้งมาอยู่ในกองขยะห้วงเวลาฯแบบนั้นได้สมควรจะมาจากระบบนี้ล้าหลังจนทิ้งเสียดีกว่า แต่ยังไงซะเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีของโลกใบนี้แล้วแน่นอนว่าเหนือล้ำกว่าร้อยปีพันปี

คำถามคือทำไมซูจิ้งถึงได้นำระบบนี้มาให้ที่นี่ศึกษากันล่ะ หรือว่าจะมีศัตรูจากนอกโลกมาบุกโลกนี้จรึงอย่างนั้นเหรอ

สำหรับคำตอบในข้อนี้คำตอบคือไม่ใช่ อย่างน้อยๆก็เท่าที่ซูจิ้งรู้ ด้วยการที่ระบบนี้เป็นระบบป้องกันพิสัยกว้างมากๆเรียกได้ว่าเหนือล้ำกว่าระบบไหนๆในโลก สิ่งที่เขาต้องการจริงๆนั้นคือมีไว้เพื่อใช้สกัดศัตรูในโลกนี้เป็นหลัก


ระบบป้องกันการโจมตีทางอากาศและระบบป้องกันมิสไซล์นี้ ซูจิ้งนั้นมุ่งหวังเอาไว้ว่าใช้ในการป้องกันประชาชนในประเทศนี้รวมถึงสงครามที่อาจจะเกิดขึ้น

ระบบในปัจจุบันนี้สามารถป้องกันการโจมตีทางอากาศและมิสไซล์ด้วยความสูงเพียงยี่สิบกิโลเมตรเท่านั้น แน่นอนว่ามันสามารถใช้ป้องกันได้เพียงแค่การโจมตีระดับเบาๆและอาณาเขตป้องกันก็ช่างน้อยนิด

ไม่ต้องพูดถึงเลยหากมีการโจมตีมาจากอากาศยานที่บินได้สูงกว่าและกระหน่ำโจมตีลงมา ยิ่งไปกว่านั้นคือประเทศเองยังมีข้อพิพาดกับประเทศเพื่อนบ้านบ่อยครั้งเกี่ยวกับการทดลองมิสไซร์เหล่านี้ แล้วมีการหลุดรอดลงมาบนแผ่นดินประเทศบ่อยครั้งซึ่งสร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินอย่างมาก

นี่ยังไม่รวมถึงว่าหากฝ่ายศัตรูมีการใช้อาวุธที่มุ่งหวังในการทำลายล้างจริงๆอย่างหัวรบนิวเคลียหรือไม่การอาวุธเคมี ด้วยระบบป้องกันของปัจจุบันนั้นแทบจะฝากความหวังอะไรได้เลยแม้แต่น้อย


เมื่อเทียบกับระบบป้องกันดวงดาวนี้แล้วต่อให้ประเทศจีนถูกกระหน่ำยิงมาจากรอบด้านก็ยังไม่สะเทือนเลยสักนิด ยังไม่รวมถึงอาณุภาพของระบบที่ไม่ว่าเจอเป้าหมายแบบไหนก็ต้องพังพินาศ

ด้วยการที่ระบบนี้มีทั้งระบบตรวจจับและระบบป้องกันที่ไกลกว่า 1200 กิโลโมตร นี่จึงเป็เหตุผลว่าทำไมระบบป้องกันดวงดาวนี้ถึงได้ทรงพลังกว่าร้อยเท่าพันเท่าเมื่อเทียบกับระบบในปัจจุบัน

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ระบบป้องกันดวงดาวนี้จะดีกว่าระบบปัจจุบันจนเรียกได้ว่าแค่สร้างหนึ่งก็ป้องกันได้ทั้งโลกก็ตาม แต่ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบันของประเทศจีนนั้นทำให้ซูจิ้งไม่รู้เหมือนกันว่าจะช่วยยกระดับให้ประเทศป้องกันตนเองได้ดีขนาดไหน นี่ยังไม่รวมถึงหากว่าประเทศอื่นรู้เข้าจะส่งคนมาขัดขวางอีก


นั่นก็เพราะระบบนี่แน่นอนว่าไม่ได้มีแต่ชื่อว่าป้องกันแต่ไม่มีระบบอาวุธที่ทรงอาณุภาพอย่างแน่นอน ถ้าเป็นแบบนั้นระบบนี้จะป้องกันการรุกรานจากต่างดาวได้ยังไงล่ะ

ด้วยการที่อาวุธในระบบนี้เหนือล้ำกว่าอาวุธใดๆบนโลกใบนี้ แน่นอนว่าหากใช้ในทางที่ผิดล่ะก็ สามารถกวาดล้างพื้นที่บางส่วนบนโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย

“คุณซู คุณไปได้ระบบนี้มาจากไหนกันครับ มันช่างลึกล้ำกว่าเทคโนโลยีปัจจุบันมากนัก” เหล่านักวิจัยได้ถามออกมาด้วยความตื่นเต้น

“ไม่ต้องถามมาก หน้าที่ของคุณคือการศึกษาและนำมาประยุคใช้จริงให้ได้เร็วที่สุดเท่านั้น” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยท่าทีเย็นชาแสดงออกว่าไม่ต้องการกล่าวถึงที่มาของสิ่งนี้

“ได้ครับ” เหล่านักวิจัยที่ได้ยินและเห็นท่าทางก็ได้รีบนำไปศึกษาทันทีโดยไม่กล้าที่จะถามอะไรอีก


การที่ซูจิ้งนำสิ่งที่เหนือล้ำขนาดนี้มานั้นแน่นอนว่าเจ้าของสิ่งเหล่านี้ต้องมีความระมัดระวังตัวอย่างมาก ซึ่งสิ่งนี้นักวิจัยเหล่านี้ต่างก็เข้าใจดี

หลังจากซูจิ้งส่งมอบของแล้ว เขาก็ได้เดินออกจากพื้นที่ทดลองลับแต่ก็ไม่ได้กลับออกไปในทันที เขาได้เข้าไปพูดคุยกับผู้บริหารโจวอย่างลับๆเกี่ยวกับเรื่องปฏิสสาร บอกได้เลยว่าปฏิสสารนี้เป็นสิ่งที่น่าสะพรึงและต้องเป็นความลับสุดยอดยิ่งกว่าของที่เขานำมาซะอีก

ด้วยการที่ประเทศอย่างอเมริกาออกตัวมาพูดเกี่ยวกับปฏิสสารมาเองขนาดนี้ย่อมทำให้ประเทศอื่นเองก็คิดที่จะตามเรื่องนี้ไม่ปล่อยต่อให้อเมริกาสิ้นท่าจนล้มเลิกความตั้งใจจนเสนอประนีประนอมกับจีนแล้วก็ตาม

ด้วยความคิดที่ว่า หากมีสถาบันวิจัยไหนที่สามารถผลิตปฏิสสารได้เป็นที่แรกก็คงไม่พ้นที่นี่อย่างแน่นอนต่อให้ตอนนี้ยังไม่มีสำเร็จได้เลยก็ตาม นี่ทำให้พวกเขาตามติดสถาบันวิจัยของซูจิ้งอย่างไม่วางตา

ถึงแม้ว่าประเทศมากมายนั้นจะไม่สามารถเปิดฉากโจมตีได้อย่างอเมริกาก็จริง แต่หากว่าสถาบันของซูจิ้งสามารถปลิตปฏิสสารได้แล้วปล่อยให้หลุดออกไปล่ะก็ พวกเขาไม่อยากจะนึกเลยจริงๆว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง มันราวกับว่าโลกนี้สามารถล่มสลายได้ทุกเมื่อเลยด้วยซ้ำ นั่นก็เพราะไม่มีใครจะกล้ารับรองได้เลยว่าจะไม่มีประเทศไหนนำมันไปใส่หัวรบไปใช้เป็นอาวุธอย่างนิวเคลีย หรือแม้แต่การเบื่อโลกแล้วลอบส่งมิสไซร์ไปถล่มสถาบันวิจัยของซูจิ้งให้รู้แล้วรู้รอดไป


ถึงแม้ว่าซูจิ้งจะวางระบบป้องกันไว้อย่างแน่นหนาก็ตาม แต่นั่นเองก็ยังมีขีดจำกัดอยู่แค่การป้องกันแบบทั่วไปเท่านั้น สมมติว่าหากแต่ระประเทศขัดแย้งจนก่อให้เกิดสงคราม แน่นอนว่าต่อให้ระบบป้องกันสถาบันของซูจิ้งจะดีขนาดไหนย่อมต้องไม่เพียงพอ

หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ ปฏิสสารนี้สมควรจะนำไปผลิตในสถานที่ลับเท่านั้น


หลังจากซูจิ้งพูดคุยกับผู้บริหารโจวเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ในที่สุด ซูจิ้งก็ได้เรียกสถานที่ลับของรัฐบาลเอาไว้หลายแห่ง พร้อมทั้งจุดประสงค์ในการใช้ที่แตกต่างกันไป

หลังจากนั้นซูจิ้งได้นำวัตถุดิบวิจัยจากสถาบันห้วงเวลาฯไปส่งยังสถานที่ลับแห่งต่างๆ ด้วยการที่ต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ เขาจึงเลือกที่จะนำไปส่งด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าเหล่าสุดยอดนักวิจัยของรัฐที่ถูกโอนย้ายไปสถานที่ต่างๆตามความเหมาะสม และแน่นอนว่านักวัจัยเหล่านี้ถูกสะกดจิตสมบูรณ์โดยซูจิ้งอย่างไม่ต้องสงสัย

ในส่วนการผลิตปฏิสสารนั้น นอกจากอุปกรณ์แล้วเหล่านักวิจัยของสถาบันของซูจิ้งยังคงอยู่ที่นี่เหมือนเดิม จะมีเพิ่มเติมก็คือการเปิดห้องวิจัยใหม่และการขยายห้องวิจัยที่มีอยู่เท่านั้นเอง

หลังจากผ่านเรื่องวุ่นวายเหล่านี้ไปเพียงไม่กี่วัน ซูจิ้งจึงรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง ในวันนี้เขาจึงได้ขับรถไปที่เมืองฉิงหยุนจากสนามบินเมืองจงหยุนทันทีที่กลับไปถึงด้วยรถกาลเวลา001


เมื่อวานนี้พายุไต้ฝุ่นลูกใหล่าได้พัดผ่านเมืองฉิงหยุนจนทำให้เมืองได้รับความเสียหายอย่างมาก ที่ไม่ได้รับความเสียหายนั้นเป็นเพียงสถานที่แค่ไม่กี่แห่งระต้นไม้เท่านั้น และแน่นอนว่าสองข้างทางที่เขากำลังขับรถไปอยู่นี้ล้วนพังราบเป็นหน้ากอง

เมื่อถึงในเมืองฉิงหยุน ซูจิ้งได้เห็นคนจะนวนมากรวมตัวกันอยู่ที่ศาลบรรพบุรุษ ที่นั่นมีบ้านไม้เก่าๆหลังหนึ่งที่อยู่ข้างๆหอบรรพบุรุษแห่งนี้เรียกได้ว่ากำแพงต่อกันเลยด้วยซ้ำ แต่บ้านหลันนี้เองก็ได้ถูกพายุจนเอนมาพิงกับกำแพงข้างศาลบรรพบุรุษเรียบร้อยแล้ว นี่เองก็ได้ทำให้หอบรรพบุรุษได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน เพราะยังไงซะที่นี่ก็เก่ามากแล้ว


“เมื่อปีที่แล้วพวกเราพึ่งจะจ่ายเงินซ่อมที่นี่ไปแสนหยวนเองนะ เพราะไต้ฝุ่นบ้านั่นแท้ๆทำให้เราต้องทำการซ่อมเร็วขนาดนี้”

“เงินหนึ่งแสนหยวนนั่นเองเราก็ได้มาจากอาจิ้งซะด้วยสิ”

“ฉันว่าเรามาทำการขอรับบริจาคดีกว่า มันมากเกินไปที่จะโยนให้ซูจิ้งจัดการเรื่องแบบนี้ ยังไงซะพวกเราก็ไม่เหมือนก่อนแล้วนี่นา”

ด้วยการที่ซูจิ้งนั้นพัฒนาสิ่งต่างๆมากมายในเมืองฉิงหยุนทำให้คนในเมืองมีรายได้เพิ่มมากขึ้นจนเรียกได้ว่ารวยระดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่ารวมถึงหมู่บ้านตระกูลซูด้วย กับแค่การดูแลศาลบรรพบุรุษหอเดียวนี้ไม่เกินแรงพวกเขาอย่างแน่นอน

“ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวเรื่องนี้ผมจัดการเอง” ซูจิ้งพูดออกมา

“หืม…ไม่มีทาง พวกเราเองต่างก็เป็นลูกหลานและมีหน้าที่ดูแลศาลบรรพบุรุษนี้เหมือนกันน่า พวกเราสมควรที่จะระดมทุนเพื่อซ่อมศาลนี้ดีที่สุดแล้ว” ชาวหมู่บ้านคนหนึ่งที่เห็นซูจิ้งก็ได้พูดออกมา ถึงแม้ซูจิ้งจะร่ำรวยมากมายขนาดไหนก็ตามในตอนนี้ แต่นอกจากชาวบ้านพวกนี้จะไม่อิจฉาหรือริษยาซูจิ้งแล้ว พวกเขายังรู้สึกว่าติดหนี้บุญคุณด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะไม่คิดพึ่งพาซูจิ้งอย่างเดียวแบบนี้


“ฮ่าฮ่าฮ่า อย่าพึ่งเข้าใจผมผิดนา…. ที่ผมต้องการเป็นเจ้าภาพเองนั้นเป็นเพราะอยากจะทำให้ศาลบรรพบุรุษนี้ดูหรูหรามากขึ้นต่างหาก

และนั่นแน่นอนว่าต้องใช้เงินมากพอดู ผมไม่ทางที่จะให้ทุกคนมาออกเงินเพียงเพราะตอบสนองความต้องการของผมเองคนเดียวแบบนี้แน่นอน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

นี่ทำให้ชาวบ้านที่ได้ยินต่างก็สงสัยว่า ศาลบรรพบุรุษที่ดูหรูหราที่ซูจิ้งว่ามานี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)