Galactic Garbage Station หลังบ้านผมเป็นที่ทิ้งขยะ 1110-1111
GGS:บทที่ 1110 ข้อแม้
หลังจากที่ประธานาธิบดีอเมริกาและผู้นำหน่วยงานรัฐได้สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้วก็ได้ทรุดนั่งลงด้วยสายตาที่โง่งมซึมกระทือ
ไม่นานทุกคนได้สะดุ้งราวกับพึ่งจะตื่นนอนและไม่ได้มีท่าทีแข็งกร้าวต่อชายแปลกหน้าคนนี้อีกต่อไป พวกเขานั้นได้แสดงท่าทีที่เคารพและนอบน้อมก่อนที่จะพร้อมในกันพูดออกมาว่า “นายท่าน”
ชายแปลกหน้าคนนี้ก็คือซูจิ้งนั่นเอง เขาได้แปลงโฉมตัวเองโดยการใช้ผงแปลงโฉมที่ได้มาจากขยะห้วงเวลาฯวิถีแห่งจอมปีศาจ
เอาจริงๆเขานั้นสามารถเข้ามาที่นี่ได้โดยไม่ต้องเผยตัวเองออกมาได้เลยด้วยซ้ำเพราะในตอนนี้พลังจิตของเขานั้นสามารถใช้งานด้วยระยะทางกว่าหมื่นเมตร นี่รวมถึงระยะที่เขาสามารถจะสะกดจิตได้ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่ามันง่ายกว่าการเข้ามีที่นี่ซะอีก
นี่ยังไม่รวมถึงระบบเฝ้าระวังดีขนาดไหน เขาก็สามารถใช้กระแสจิตของตัวเองปิดได้แทบจะในทันทีด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การใช้วิธีการดังกล่าวนั้นก็ยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดพลาดทำให้ตัวตนของเขาหลุดลอดออกไปได้เหมือนกัน เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาในกรณีเหล่านั้น เขาจึงเลือกที่จะแปลงโฉมและมาที่นี่ด้วยตัวเอง
ความจริงแล้วซูจิ้งอยากจะทำการสะกดจิตสมบูรณ์ผู้บริหารประเทศอเมริกาทั้งหมดตั้งแต่มีเรื่องอยู่แล้วเพื่อที่จะได้เกิดสัญญาประนีประนอมขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากว่าเขาทำอย่างนั้นไปแล้ว ด้วยการที่อยู่ๆประเทศอเมริกาจะเปลี่ยนท่าทีก็คงจะเป็นเรื่องแปลกเกินไปสำหรับคนที่คอยจับตาดูเรื่องนี้ และอาจจะทำให้ประเทศอื่นนั้นจะแสดงท่าทีไม่พอใจต่อประเทศจีนขึ้นมาแทน
ด้วยเหตุนี้ซูจิ้งจึงเลือกที่กระทำการสามอย่างกับอเมริกา นั่นก็คือปล่อยข้อมูลลับของซีไอเอ ปล่อยวัตถุบินปริศนาไปจมกองเรืออเมริกาที่ช่องแคบมะละกา และใส่ชุดไอร่อนแมนไปถล่มฐานทัพอเมริกา
ตอนนี้ ถึงแม้ว่าอเมริกานั้นจะถูกกำราบลงและทั่วทั้งโลกกลับตั้งขอสงสัยกับประเทศจีนอีกครั้งจนอยากจะพิสูจน์ให้ได้ว่าประเทศจีนซ่อนขุมกำลังทางทหารไว้จริงๆหรือไม่ก็ตาม
แต่ในเมื่อประเทศเหล่านั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าประเทศจีนอยู่เบื้องหลังเรื่องเหล่านี้ก็ไม่มีทางเลยที่ประชาคมโลกจะประณามเรื่องนี้ให้เป็นความผิดของจีนได้อยู่ดี นี่คือสิ่งที่ซูจิ้งต้องการมากที่สุด
มาตอนนี้ต่อให้เขาไม่ต้องสะกดจิตเหล่าผู้บริหารประเทศของอเมริกาเพราะเรื่องทุกอย่างถือได้ว่าจบลงแล้วก็ตาม แต่ซูจิ้งก็ยังคิดว่าการสะกดจิตคนเหล่านี้เอาไว้เป็นไพ่ลับบนมือก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี
แถมการกระทำเช่นนี้ยังถือว่าเป็นการป้องกันการลอบกัดจากอเมริกาในอนาคตได้อีกด้วย นี่จึงเรียกได้ว่าทำน้อยแต่ได้มากอย่างแน่นอน
“ติ๊งงงงงง” ตอนนั้นเองหลังจากที่ซูจิ้งสะกดจิตสมบูรณ์สำเร็จได้ไม่นาน โทรศัพท์มือถือของซูจิ้งก็ได้ดังขึ้นมา เมื่อเขาหยิบมาดูก็พบว่าเป็นฉิงหยุนโทรมาหาเขา
ฉิงหยุนหรือก็คือระบบปัญญาประดิษฐ์ของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯของซูจิ้งนั่นเอง ด้วยการที่ระบบโทรจิตของฉิงหยุนนั้นค่อนข้างแคบโดยจำกัดอยู่แค่ภายในประเทศจีนและพื้นที่ใกล้เคียงประเทศจีนอีกไม่กี่กิโล คราวนี้ฉิงหยุนจึงต้องโทรมาหาซูจิ้งแทน
ซูจิ้งเองที่เห็นรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันทีว่าฉิงหยุนโทรมาทำไม เขาได้รียรับโทรศัพท์ในทันที โดยฉิงหยุนได้พูดออกมาว่า “ท่านเจ้าของ ด้วยการที่ท่านเจ้าของทำการสะกดจิตเมื่อสักครู่นี้และคนที่ถูกสะกิดจิตเมื่อสักครู่นี้คือเหล่าผู้มีอำนาจของโลกใบนี้ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เกิดการคิดลบอย่างมหาศาลเนื่องจากส่งผลกระทบต่อสังคมเป็นวงกว้าง ทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ถูกลดไป 53,145 หน่วยค่ะ”
“ห้ะ” สมองซูจิ้งแทบจะตอบสนองไม่ทันเมื่อได้ยินว่าค่าการใช้ประโยชน์หายไปมากมายถึงขนาดนี้
เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนที่จะรีบถามออกมาอย่างร้อนรนว่า “การสะกดจิตครั้งนี้ทำให้เกิดการลดค่าการใช้ประโยชน์ขนาดนี้ได้ยังไงกัน ยังไม่ต้องพูดถึงจำนวนที่ลดนะ ที่ฉันสะกดจิตคนพวกนี้ก็เพื่อให้โลกนี้สงบสุขนะ และทำไมถึงกลายเป็นผลร้ายล่ะ”
“ด้วยการที่ว่าความสงบสุขประเภทนี้ถือได้ว่าเป็นความสงบสุขที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้นค่ะ ความสงบสุขที่ระบบยอมรับนั้นต้องเป็นความสงบสุขที่ต่อให้ไม่ต้องเข้าไปควบคุมก็สามารถเกิดได้ด้วยตัวเองเท่านั้น
ท่านเจ้าของคะ ท่านเจ้าของอาจจะยังไม่รู้ว่าห้วงเวลาและกาลอวกาศที่นับไม่ถ้วนและไม่สิ้นสุดนี้ยังมีสถานที่อื่นที่มีสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแบบนี้อยู่อีกนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่มีจ้าวแห่งความตายได้เข้ามาเป็นเจ้าของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแบบท่าน เขาคนนั้นไม่ได้มุ้งเน้นที่จะสร้างค่าการใช้ประโยชน์แบบท่าน
เขาได้เล็งเห็นหนทางที่ชั่วร้ายโดยการพยายามที่จะหาทางลัดของระบบวิธีการต่างๆของสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาที่ได้กำหนดเอาไว้
เขาได้ศึกษาวิธีการคำนวนค่าการใช้ประโยชน์อย่างละเอียดไม่ว่าจะเป็นการทำเงินแค่ไหนถึงจะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์
ต้องทำให้คนประหลาดใจและตกใจแค่ไหนและต้องสร้างเรื่องดีๆต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขนาดไหนถึงทำให้ค่าการใช้ประโยชน์เพิ่มสูงขึ้น
หลังจากรับรู้สิ่งเหล่านั้นไปแล้วเขาจึงได้ควบคุมคนทั้งดินแดนของเขาพร้อมทั้งให้คนทั้งดินแดนมอบเงินทั้งหมดให้แก่เขาเพื่อจะเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ ไม่เพียงเท่านั้นเขายังให้คนเหล่านั้นสรรเสริญเขาประดุจดั่งพระเจ้าพร้อมทำสิ่งดีๆให้สังคม ตอนนั้นทำให้เรียกได้ว่าเป็นดินแดนที่สงบสุขเลยก็ว่าได้ แน่นอนว่าค่าการใช้ประโยชน์เองก็ไหลรินเข้ามาดั่งสายทะเลด้วยเช่นเดียวกัน
สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนั้นเองก็ได้ทำการยกระดับอย่างรวดเร็วก็จริง อย่างไรก็ตาม ด้วยการที่ระบบทางสังคมนั้นไม่ได้พัฒนาไปอย่างที่ควรจะเป็นทำให้สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนั้นไม่ได้รับค่าการใช้ประโยชน์ดีอย่างที่คาดไว้ อีกทั้งขยะห้วงเวลาฯที่เจ้าของคนนั้นได้ละเลยมานานและไม่ได้มีคิดจะจัดการจนทำให้กองสุมจนท่วมล้น
ผลสุดท้ายคือขยะห้วงเวลาฯเหล่านั้นส่งผลต่อดินแดนทั้งดาวจนกลายเป็นดาวขยะที่เต็มไปด้วยมลพิษจากขยะห้วงเวลาฯ
ด้วยเรื่องนั้นทำให้เหล่าผู้จัดการสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯในครานั้นต้องเปลี่ยนกฎเกณฑ์การคำนวนนี้ใหม่ นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการที่เข้าไปควบคุมวิถีแห่งสังคมไม่เพียงจะไม่เพิ่มค่าการใช้ประโยชน์แม้แต่น้อย กลับกันยังใช้การตัดแต้มนี้เป็นการตักเตือนอีก” ฉิงหยุนร่ายยาวออกมา
“ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ใช้การสะกดจิตมากก่อนนี่นา ไม่เห็นระบบจะหักแต้มแบบนี้เลย” ซูจิ้งรีบถามออกมาในทันที
“การสะกดจิตที่ผ่านมานั้นแน่นอนว่าย่อมส่งผลหักลบต่อค่าการใช้ประโยชน์ค่ะ เพียงแต่ว่าท่านเจ้าของเองไม่ได้สนใจเท่านั้นเอง
ฉิงหยุนเข้าใจว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะค่าดังกล่าวนั้นเล็กน้อยมากจนทำให้ท่านไม่ได้สนใจ นี่เป็นรายการค่าการใช้ประโยชน์ที่ผ่านมาค่ะ หากท่านไม่เชื่อสามารถตรวจสอบดูได้ แน่นอนว่ามีรายการที่บอกเอาไว้เกี่ยวกับการหักลบเพราะทำการสะกดจิตควบคุมผู้คนด้วยเช่นเดียวกัน” ฉิงหยุนพูดออกมาก่อนจะส่งรายการที่เกี่ยวกับค่าการใช้ประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดตั้งแต่เริ่ม
ในรายการดังกล่าวนั้นมีตั้งแต่การสะกดศัตรู พนักงานของสถาบันวิจัยฯของเขา ทีมตรวจสอบจากนานาประเทศ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ให้ค่าติดลบทั้งสิ้น
แต่ก็เป็นดังที่ฉิงหยุนว่าคือค่าเหล่านี้เล็กน้อยมากๆ น้อยชนิดที่เรียกว่าหน่วยเดียวหรือสองหน่วยและมากที่สุดก็แค่ไม่กี่สิบหน่วยเท่านั้นเอง เมื่อเทียบค่าการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์แล้วเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีตัวตนเลยจริงๆ
“แล้วการสะกดจิตและควบคุมผู้บริหารของอเมริกาทำไมถึงได้ส่งผลลบมากนักล่ะ” ซูจิ้งถามออกมา
“เหตุผลก็เพราะว่าคนเหล่านี้มีอิทธิพลต่อสังคมในวงกว้างค่ะ ดูจากตัวเลขแล้วหมายความว่าคนพวกนี้ส่งผลกระทบต่อคนทั้งโลกนี้เลย จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะเกิดค่าติดลบมากขนาดนี้” ฉิงหยุนตอบกลับมา
“แล้วกลับคนใหญ่โตของประเทศจีนก่อนหน้านี้ล่ะ” ซูจิ้งถามออกมาอีกครั้ง
“คนเหล่านั้นถูกควบคุมอยู่แล้วตั้งแต่ก่อนที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาจะยกระดับเป็นระดับหนึ่งและคนเหล่านั้นแล้วไม่ได้ถูกนายท่านเป็นคนลงมือกระทำจึงไม่ถูกนับรวมค่ะ
แน่นอนว่าหากท่านเจ้าของเป็นคนควบคุมคนเหล่านั้นหลังจากที่สถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯแห่งนี้ยกระดับ แต่หากท่านเจ้าของต้องการล่ะก็แน่นอนว่าระบบสามารถนำมานับรวมด้วย…” ฉิงหยุนตอบออกมา
ซูจิ้งที่ได้ยินดังนั้นจึงรีบพูดออกมาทันทีว่า “ไม่ไม่ไม่ไม่ เอาอย่างที่เธอพูดนั่นแหล่ะ คนพวกนั้นนอกจากจะควบคุมมาก่อนหน้าการยกระดับแล้วยังไม่ใช่ฉันเป็นคนทำเองอีก ฉันไม่สมควรจะนำค่าพวกนั้นมานับรวมด้วยจริงๆจ้า…”
แน่นอนว่าฉิงหยุนไม่ได้คิดจะนำค่าจากการสะกดจิตคนใหญ่คนโตของจีนมานับรวม เธอแค่อยากจะหยอกเล่นนิดหน่อยเท่านั้น
ตอนนี้ซูจิ้งกำลังดูค่าการใช้ประโยชน์ทั้งหมดที่เขามีอยู่ตอนนี้ ก่อนหน้าที่เขาจะเริ่มตอบโต้การกระทำของอเมริกา เขามีค่าการใช้ประโยชน์อยู่ 171,025 หน่วย แต่ในตอนนี้เขานั้นมีค่าการใช้ประโยชน์อยู่ที่ 175,035 หน่วย ถึงแม้ว่าอัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ของเขานั้นจะถูกหักลบไปกว่าห้าหมื่นหน่วยก็จริง แต่ก็ดูเหมือนว่าอัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์เองก็ยังไม่ได้ถึงกับติดลบแต่อย่างใด
ความจริงแล้วสิ่งที่ซูจิ้งกระทำต่ออเมริกานั้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่ทำให้ลดอัตราการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์แล้วทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่การที่เขาได้กวาดล้างกองทัพอเมริกาจนสร้างความตื่นตระหนกและมลพิษมากมาย
อย่างไรก็ตามค่าที่โดนลบนั้นไม่ได้มากมายอะไร โดยที่ซูจิ้งเองก็ได้เห็นค่าติดลบนี้อยู่ท้ายรายการเช่นเดียวกัน ซึ่งนี่น้อยกว่าที่ซูจิ้งคาดเอาไว้มากนัก
อีกเหตุผลหนึ่งนั้นนั่นก็เพราะระบบไม่ได้จะใจร้ายจนกระทั่งละเลยผลกระทบด้านดีๆที่เกิดขึ้นจากการกระทำร้ายๆของซูจิ้งแต่อย่างใด
ด้วยการกำราบอเมริกาได้ในครั้งนี้ช่วยให้โลกนี้มีสันติสุขมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย ไหนจะความประหลาดใจและความประทับใจที่เกิดขึ้นจากยานบินปริศนาและเกราะไอร่อนแมนที่ซูจิ้งใช้ที่มีแต่คนถวิลหาตามความฝันยามเด็กนั่นอีก
ด้วยการคำนวนที่ละเอียดละออของระบบนี้ทำให้ในที่สุดแล้วอัตราการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์นี้เพิ่มขึ้นมาราวกับจรวด
“ไม่คิดเลยว่าเกิดเรื่องมากมายขนาดนี้อัตราการเพิ่มของค่าการใช้ประโยชน์ยังคงเพิ่มได้ขนาดนี้อีก….เฮ้อ…..แต่ดูเหมือนว่านับแต่นี้ฉันคงไปสะกดจิตพวกคนใหญ่คนโตตามใจนึกไม่ได้แล้วสินะ นอกซะจากจะแน่ใจแล้วว่ามันจะเป็นการดีจริง ไม่อย่างนั้นต่อให้ค่าการใช้ประโยชน์มากมายขนาดไหนก็คงจะไม่พอ
ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะก็การที่จะทำให้ค่าการใช้ประโยชน์ขึ้นไปจนถึงหนึ่งล้านหน่วยนี่คงต้องรอไปอีกสิบปีแน่ๆ” ซูจิ้งพูดออกมา
“ท่านเจ้าของคะ นี่ไม่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสียทีเดียวนะคะ ตอนนี้ท่านเจ้าของได้ควบคุมคนเหล่านี้ไปแล้ว
แต่ในทำนองเดียวกันตอนนี้ท่านยังไม่ได้ให้คนพวกนี้ทำอะไรที่ส่งผลเสีย
ท่านสามารถยกเลิกการสะกดจิตได้และนั่นจะทำให้อัตราการเพิ่มค่าการใช้ประโยชน์ที่ติดลบเหล่านั้นหายไปได้ด้วยเช่นกัน” ฉิงหยุนได้พูดออกมา
“อ้อ ฉันยังทำแบบนั้นได้ด้วยนี่เนาะ” ซูจิ้งนั้นรู้สึกดีใจขึ้นมาในทันที เขาหันไปมองเหล่าผู้บริหารประเทศอเมริกาและนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจได้ยาก แต่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ยกเลิกการสะกดจิตคนเหล่านี้ นั่นก็เพราะในระยะยาวนั้น ต่อให้เขาต้องติดลบอัตราการเพิ่มจากเรื่องนี้กว่าห้าหมื่นหน่วยแต่นั่นก็ยังถือว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับได้
ในตอนนี้ประเทศจีนนั้นยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะไม่โดนประเทศอื่นข่มเหงรังแก ก่อนหน้านี้เองเขาก็มุ่งหวังเอาไว้อยู่แล้วว่าเขาจะใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเจอและส่งเสริมประเทศได้ในทันทีที่ทำได้
แต่นี่คงจะโทษได้เพียงสิ่งเดียวก็คือเวลาที่เขาจะทำให้ประเทศนี้แข็งแกร่งขึ้นนั้นไม่พอ
และเพราะเหตุนี้ทำให้เขานั้นไม่สามารถทำให้ประเทศจีนแข็งแกร่งพอที่จะเทียบเคียงอเมริกาและกลายเป็นประเทศผู้ปกป้องโลกนี้อย่างแท้จริงได้
“ค่าที่หักไปแล้วก็แล้วกันไปแล้วกัน” ซูจิ้งตัดสินใจอยู่นานจนพูดออกมา เขาได้เข้าไปพูดคุยกับเหล่าผู้บริหารของอเมริกาเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องทำต่อจากนี้แล้วเขาก็จากไป
หลังจากที่ซูจิ้งออกมาแล้ว เหล่าผู้บริหารของประเทศอเมริกายังคงประชุมกันอย่างเคร่งเครียดเหมือนเดิม แต่ที่ต่างออกไปก็คือหัวข้อการประชุมที่เปลี่ยนแปลงไป
GGS:บทที่ 1111 เยี่ยมเยือนปักกิ่ง
ด้วยเหตุการณ์ที่อเมริกาทั้งกดดันทั้งกีดกันกลุ่มทุนห้วงเวลาอย่างหนักแต่สุดท้ายก็ยกเลิกไปทั้งหมดอย่างเหมือนจะไม่เต็มใจได้ทำให้ประชาคมโลกต่างก็สนใจและพูดทั้งกันแทบจะทั่วทุกโลกและไม่ได้มีท่าทีจะละความสนใจนี้กันอย่างง่ายๆแต่อย่างใด
ไม่เพียงแต่ชาวเน็ตที่จะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แม้แต่รัฐบาลและผู้เชี่ยวชาญในแต่ละประเทศเองก็หยิบยกเรื่องนี้มาพูดเคราะห์และวิเคราะหฺกันอย่างจริงจัง
เรียกได้ว่าเหตุการณ์เป็นเหตุการณ์ใหญ่ของโลกนี้เลยก็ว่าได้
เช่นเดียวกับหวังจ้าวและเฉิงหนานเองก็เช่นกัน ในฐานะทีมผู้บริหารของกลุ่มทุนห้วงเวลาและอวกาศ ก่อนหน้านี้ทั้งสองกังวลอยากหนักจนเตรียมแผนการที่จะทำให้บริษัทอยู่รอดต่อไปได้อย่างการเชิญพนักงานโดยสวัสดิภาพ หรือแม้กระทั่งการกู้เงินจากธนาคาร
แต่ในตอนนี้ทั้งสองนั้นไม่ได้มีท่าทีกังวลอีกต่อไปนั่นก็เพราะในตอนนี้ไม่เพียงอเมริกาจะยกเลิกการกีดกันทางการค้าหรือการใส่ความแบบสุ่มๆไปแล้ว รัฐบาลจีนได้กลับมาสนับสนุนกลุ่มทุนห้วงเวลาฯให้กลายเป็นแนวหน้าของประเทศอีกครั้ง นี่เรียกได้ว่าฟ้าหลังฝนเลยก็ว่าได้
แต่เดิมนั้น กลุ่มทุนห้วงเวลาฯก็มีการเติบโตที่ดีเยี่ยมอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าการที่อยู่ๆอเมริกามากีดกันทางการค้าก่อนหน้านี้จะทำให้การเติบโตของบริษัทลดน้อยถอยลงไป แต่เมื่อไม่การกีดกันแบบนั้นอีก แถมยังทำสัญญาด้วยซ้ำแบบนี้ แน่นอนว่าอัตราการเติบโตนี้ต้องพุ่งขึ้นประดุจดั่งดาวหางเลยทีเดียว
หลังจากที่ได้เห็นกลุ่มทุนห้วงเวลาฯพัฒนาขึ้นราวกลับดาวหางแบบนี้ทำให้เหล่าผู้คนที่เคยคิดจะล้วงความลับข้อมูลจากกลุ่มทุนห้วงเวลาฯแต่พลาดไปนั้นต่างก็ตั้งบังคับตัวเองให้กล้าจะลองอีกครั้ง
พวกเขายินดีที่จะรับแรงกดดันอันมหาศาลแม้แต่จะมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นกับอเมริกาก็ตาม อย่างที่เขาว่าอยากได้ลูกเสือไม่เข้าถ้ำเสือจะไปหามาจากไหนกัน
ถึงแม้ว่าอเมริกาจะโชคร้ายถึงขนาดโดนกองกำลังปริศนากวาดล้างแบบนั้น แต่พวกเขาต่างก็เบื่อว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาไม่มีทางดีซ้ำซ้อนบ่อยครั้งได้ขนาดนั้นอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนี้จะให้ประชาชนชาวจีนมีความสุขอย่างมากที่ได้เห็นอเมริกาฉิบหายวายป่วงและได้เห็นว่ากลุ่มทุนห้วงเวลาแข็งแกร่งมากที่ผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาได้ แถมนี่จะทำให้ประเทศแม่ของพวกเขาเข้มแข็งขึ้นมากมายก็จริง แต่แน่นอนว่านี่ย่อมนำมาถึงภัยอันตรายที่มากขึ้นด้วยเช่นกัน
ในวันนนี้หวังจ้าวได้มาหาซูจิ้งที่บ้านอีกครั้ง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาได้มาในระหว่างเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น
ที่เขามาในครั้งนี้เป็นเพราะช่วงนี้บริษัทได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วจนทำให้เขาตื่นเต้นและไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้ซูจิ้งฟังผ่านทางโทรศัพท์ เขาอยากจะมาคุยกันต่อหน้ามากกว่า เพราะเขาเองก็อยากเห็นหน้าซูจิ้งเพราะไม่ได้เห็นมาตั้งแต่เริ่มเกิดเรื่องอเมริกานี้แล้ว
อย่างไรก็ตามหลังจากต้ามู่และเสี่ยวมู่เห็นหวังจ้าวแล้วบินเข้าไปแจ้งข่าวนั้น คนที่ออกมารับกลับไม่ใช่ซูจิ้งอย่างที่เขาคิดเอาไว้ คนที่ออกมาก็คือฉือชิง
“อ้าวพี่หวัง เข้ามาข้างในก่อนค่ะ” ฉือชิงพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มมิตรไมตรี
“หืม….อาจิ้งไม่อยู่บ้านเหรอ” หวังจ้าวถามออกมา
“ไม่อยู่ค่ะ แต่เข้าบอกอยู่นะว่าจะกลับมาวันนี้” ฉือชิงพูดออกมา
“ห้ะ ไอ้เด็กนี่ก็เหลือเกินเลยจริงๆ เกิดเรื่องราวขนาดนี้แล้วยังมีหน้าไปไหนมาไหนได้อีก ต่อให้มีอะไรสำคัญก็จริงแต่ก็ไม่ควรจะมากไปกว่าเรื่องความขัดแย้งของพวกเรากับอเมริกาไม่ใช่รึไง อ่ะต่อให้ไปด้วยเรื่องธุรกิจแต่ก็ควรจะไปหลังจากจบเรื่องนี่นา” หวังจ้าวพูดออกมาด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียดเล็กน้อย
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาไปทำอะไรกันแน่” ฉือชิงพูดออกมาด้วยท่าทางจนปัญญาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอเองแม้ว่าซูจิ้งจะโทรหาทุกวันแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงอยู่ดี
“…..งั้นพี่ขอตัวก่อนก็แล้วกัน ในเมื่อเขาไม่อยู่พี่ก็คุยธุระกับเขาไม่ได้อยู่ดี เอาเป็นว่าตอนอาจิ้งกลับมาให้เขาโทรหาพี่ด้วยนะ” หวังจ้าวพูดออกมา ก็ในเมื่อซูจิ้งไม่อยู่ในตอนนี้เขาก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเข้าไปในบ้านอยู่แล้วและเตรียมที่จะขึ้นรถและจากออกไป
ในตอนนั้นเองที่รถกาลเวลา001สีแดงสดได้วิ่งเข้ามาโดยสังเกตเห็นได้แต่ไกล หวังจ้าวและฉือชิงที่เห็นเองก็อดจะจ้องมองด้วยสายตากระจ่างใสไม่ได้
นั่นก็เพราะว่าจะมีสักกี่คนในตอนนี้ที่ได้ครอบครองรถกาลเวลา001นี้ได้ โดยเฉพาะกับคันที่วิ่งมาทางพวกเขานี้แล้ว แน่นอนว่าเป็นซูจิ้งอย่างแน่นอน
ทั้งฉือชิงและหวังจ้าวจับจ้องไปที่ที่นั่งคนขับอย่างไม่วางตา เมื่อรถเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู กระจกรถก็ได้เลื่อนเปิดออกพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้มของซูจิ้งที่พูดออกมาว่า “ลูกพี่จ้าว ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง”
“นายเนี่ยน้า…ทำให้ฉันเป็นห่วงจนมาหลายร้อยครั้งแล้วนะเนี่ย” หวังจ้าวพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ฉันพึ่งจะพูดถึงนายเมื่อกี้เองนะ ถ้ามาช้ากว่านี้อีกนิดฉันคงกลับไปแล้ว”
“ห้ะ แล้วจะมาทำไมกันบ่อยๆล่ะนั่น ในเมื่อตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้วก็ควรจะไปพักผ่อนไม่ใช่รึไงกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอนว่าฉันนั้นอยากจะพักผ่อนเลยคิดว่าจะจัดงานเลี้ยงบริษัททุกภาคส่วนในค่ำคืนนี้ แต่เอ็งนั่นแหล่ะหายหัวไปนานข่าวคราวก็ไม่บอกเลยไม่ได้จัดกันสักที
ว่าแต่ช่วงที่ผ่านมานี้นายหายไปไหนมาเนี่ย อะไรที่มันสำคัญไปกว่าความขัดแย้งของพวกเรากับอเมริกากัน” หวังจ้าวพูดตรงประเด็นในทันทีเพราะเขานั้นไม่ได้คิดว่าเรื่องราวต่างๆที่ทำให้บริษัทรอดวิกฤตการนี้มาได้นั้นเป็นเพราะซูจิ้งเลยสักนิด
“ถ้าจะให้เล่าเรื่องมันน่ะ อีกอย่างฉันขี้เกียจจะลื้อฟื้นพวกมันหลังจากจบเรื่องไปแล้ว ตอนนี้เอาเป็นเข้าไปในบ้านกันก่อนแล้วก็นั่งดื่มฉลองไปก่อนดีกว่า” ซูจิ้งหัวเราะออกมาพร้อมตัดบทเพราะขี้เกียจตอบคำถามซึ่งต้องมีแน่ๆถ้าหากเขาเล่าในทันที
“ฉันว่านายเก็บไวน์ของนายไปดื่มกันคืนนี้ดีกว่านะ” หวังจ้าวพูดออกมา
“ไม่เป็นไรน่า ก็คิดซะว่าเป็นการซ้อมดื่มก่อนดื่มจริงในงานก็แล้วกัน” ซูจิ้งพูดออกมาด้วยรอยยิ้มกว้างจนทำให้หวังจ้าวไม่อาจจะฝืนยื้อได้อีกต่อไป
ฉือชิงเองที่ได้เห็นซูจิ้งกลับพร้อมรอยยิ้มก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางมีความสุขออกมาแน่นอนว่าเธอเองก็ได้ดื่มด้วยถึงแม้จะนิดหน่อยก็ตาม
เย็นวันนั้น ซูจิ้งจึงได้พาฉือชิงและหวังจ้าวไปยังงานเลี้ยงของบริษัท บรรยากาศในงานนั้นมีชีวิตชีวาอย่างที่สุด นั่นก็เพราะเหล่าพนักงานเองก็ต้องรับแรงกดดันจากอเมริกาแทบจะไม่ต่างจากบริษัทเลยแม้แต่น้อย เพราะยังไงซะบริษัทของซูจิ้งก็ไม่ได้ต่างจากบ้านอันแสนดีของพวกเขา
ถึงแม้ว่าจากสายตาของทุกคนในตอนนี้ซูจิ้งและบริษัทกลุ่มทุนห้วงเวลาฯจะมีอนาคตที่สดใสจนเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด
แต่กับซูจิ้งแล้ว เขานั้นรู้ดีว่าที่เรื่องราวออกมาเป็นแบบนี้ได้เป็นเพราะในครั้งนี้เขานั้นแก้ทางได้ แน่นอนว่าเรื่องราวแบบนี้ย่อมมีโอกาสเกิดขึ้นอีกได้ในอนาคต หากเขานั้นเตรียมตัวไม่ดีพอย่อมล่มสลายได้ทุกเมื่อ
หากว่าเขานั้นไม่ได้ใส่ใจอย่างดีพอ ไม่เพียงผลกระทบที่เกิดขึ้นจะขยายเป็นวงกว้างแล้ว หากว่ามีเรื่องทำนองนี้จนทำให้เกิดสงครามโลกหรือแม้แต่สงครามนิวเคลียจนทำให้โลกล่มสลายแล้ว นั่นหมายความว่า ค่าการใช้ประโยชน์คงจะติดลบจนไม่เพิ่มอีกต่อไป และสถานีกำจัดขยะห้วงเวลาฯจะไม่สามารถยกระดับได้อย่างแน่นอน
ด้วยความรู้สึกกังวลจากยอดที่จะเกินต้านทานนี้ทำให้ซูจิ้งตั้งเป้าหมายไว้ว่าเขานั้นจะเป็นผู้ปกป้องโลกนี้ให้จนได้ วันต่อมา ซูจิ้งได้นำขยะห้วงเวลาฯบางส่วนตรงไปยังเมืองหลวง
ไม่นานมานี้ซูจิ้งได้ซื้อเครื่องบินเอาไว้ แน่นอนว่านี่คือเครื่องยินเจ็ทที่เร็วและสบายกว่าเครื่องบินทั่วไปมากนัก
“คุณซูครับ” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่ได้ยืนรอเขาอยู่ก่อนแล้วได้ทำการกล่าวทักทายในทันทีที่เห็นอย่างเคารพแบบสุดๆ ชายคนนี้อยู่ในชุดเครื่องแบบทหาร
“สวัสดี” ซูจิ้งพยักหน้ารับคำทักทาย
ในตอนนี้ ทั้งเจ้าหน้าที่ของเครื่องบินและเจ้าหน้าที่ของสนามบินที่เห็นฉากนี้ต่างก็ตกใจกันถ้วนหน้า นั่นก็เพราะพวกเขานั้นจดจำหนึ่งในสองของคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี ชายคนนี้อยู่ในระดับผู้การเลยทีเดียว
นี่ทำให้พวกเขาต่างก็อดจะนึกสงสัยว่าจริงๆแล้วซูจิ้งนั้นใหญ่ระดับไหนกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคือดูจากท่าทางและน้ำเสียงแล้ว หากซูจิ้งยินดีที่จะให้ชายคนนี้แบกขึ้นหลังพาไปจากที่นี่เขาก็ยินดีโดยไม่ต้องเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ
ทุกคนนั้นต่างก็เคยได้ยินมาว่าซูจิ้งนั้นมีเบื้องหลังที่ไม่ธรรมดา แต่เมื่อเห็นฉากนี้แล้วอย่าเรียกว่าธรรมดาเลย เรียกว่าปกคลุมฟ้าดินจะเพียงพอรึเปล่าก็ไม่รู้
ชายทั้งสองคนได้ขับรถพาซูจิ้งไปยังสถาบันวิจัยอาวุธ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สถาบันวิจัยทั่วไปแต่เป็นสถาบันวิจัยที่มีชั้นความลับขั้นสุดยอด คนทั่วไปนั้นอย่าว่าแต่จะได้เข้าไปเลย แค่รู้จักชื่อก็เพียงพอที่จะทำให้คนๆนั้นโดนอุ้มได้แล้วด้วยซ้ำ
ทันทีที่ทั้งสามได้ลงจากรถ ชายหน้าจีนแท้คนหนึ่งที่ดูอายุราวๆสี่สิบถึงห้าสิบปีในเครื่องแบบทหารก็ออกมาต้อนรับด้วยท่าทีเคารพ นอบน้อม และภักดี
หากใครมาเห็นฉากนี้แน่นอนว่าต้องตกใจอย่างที่สุดแน่นอน ทุกๆคนในที่นี้ที่เห็นฉากนี้ต่างก็มีท่าทีมึนตึงพร้อมสายตาประหลาดใจ ต่อให้พวกเขานั้นไม่ได้รับรู้ต่อสิ่งใดในโลกแต่แค่เห็นเครื่องแบบนี้ก็ต้องรู้ว่าชายคนนี้มีความสำคัญกับประเทศชาติขนาดไหน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เขากลับออกมารับซูจิ้งที่อายุน้อยกว่า ด้วยท่าทีนอบน้อมแบบนี้นี่มัน….
“แค้กๆ อะแฮ่มมม” ซูจิ้งได้แสดงอาการไอออกมาอย่างลุกลี้ลุกลนในทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า “สวัสดีครับท่านผู้บริหารโจว”
ชายหน้าจีนคนนี้เมื่อเห็นแล้วก็มีท่าทีอึ้งๆนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะเก็บความรู้สึกต่างๆเอาไว้และแสดงออกมาเพียงท่าทีสุขุมและพูดออกมาว่า “อะแฮ่ม…สวัสดีคุณซู ผมได้ยินชื่อเสียงคุณมามากมายหลายครั้งแล้วจนอยากจะเจอมาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้พบกับสักทีนี่เลยทำให้ผมประหม่าไปหน่อย”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น